The song of terra พันธนา...มายาไพร #1

ถ้าเพื่อนๆ มีเรื่องที่น่าสนใจและต้องการแบ่งปันเนื้อหา หรือร่วมเป็นส่วนหนึ่งของการเป็นนักเขียนมืออาชีพ

Moderator: Gals, B.Comics, พี่บี

ตอบกลับโพส
ภาพประจำตัวสมาชิก
Horae
โพสต์: 5
ลงทะเบียนเมื่อ: จันทร์ 18 มิ.ย. 2007 12:41 pm
ที่อยู่: โหลแก้วที่มีน้ำปริ่ม
ติดต่อ:

The song of terra พันธนา...มายาไพร #1

โพสต์ โดย Horae »

บทที่ 1



หากมองให้ไกลออกไปสุดเวิ้งฟ้าก็จะเห็นแนวชายป่าสีเขียวขจีลิบๆ

กุบกับ...กุบกับ

เสียงกีบเท้าม้ากระทบพื้นดินอ่อนนุ่มเป็นจังหวะของท่วงท่าของสัตว์สี่เท้าที่งามสง่านี้ บนหลังที่ไร้ซึ่งอานม้า มีร่างสูงสง่าในชุดเกราะสีเงินของนักรบแห่งเผ่าเอลฟ์ขาวนั่งหลังเหยียดตรงอย่างสง่างาม คล้ายกับทะนงในชาติกำเนิดแห่งตน

เอลฟ์...ชนเผ่าอันมีวิทยากรสูงล้ำหน้าไปมากกว่าชนเผ่าอื่นมากมายนัก

เอลฟ์ขาว...เอลฟ์ที่สง่า สวยงาม และฉลาดที่สุดในบรรดาหมู่เอลฟ์ด้วยกัน

แสงสีแดงยามที่ตะวันรอนขอบฟ้า ในเวลาอีกไม่นานนัก เทวีอาร์เทมิสขับเคลื่อนราชรถสีเงินผ่านฟากนภา โปรยปรายความมืดมิดมาพร้อมกับแสงสีเงินยวงอ่อนละมุน

?ท่านเพอร์ซิสขอรับ?

นายทหารใต้บังคับบัญชาของดยุคหนุ่ม ?เพอร์ซิส? แห่งอัลฟ์เฮม ผู้ดำรงตำแหน่งเสนาบดีต่างประเทศและกลาโหมที่ควบคู่กันไป เนื่องจากบิดาที่เคยดำรงตำแหน่งเสนาบดีกลาโหมได้จากโลกนี้เพราะถูกโรคร้ายคร่าไปก่อนวัยอันควรอย่างน่าเสียดาย เขาจึงต้องรับตำแหน่งนี้มาชั่วคราว...แค่ชั่วคราวเท่านั้น

ทหารหนุ่มขี่ม้าเลียบเคียงขึ้นมา เขาค้อมศีรษะเล็กน้อย

?ตะวันใกล้ตกดินแล้วขอรับ ข้างหน้านี่มีหมู่บ้านเล็กๆอยู่ ไม่ทราบว่าท่านจะพักที่นั่นไหมขอรับ เผื่อว่าจะได้ขอพื้นที่ตั้งค่ายค้างแรมสักคืน?

เอลฟ์หนุ่มพยักหน้ารับ

?ก็ดี ไว้ข้าและพลทหารคนอื่นจะตามไปสบทมให้หลัง เจ้ารีบไปก่อนเถอะ?

?ขอรับ?

ครั้นทหารหนุ่มรับคำสั่งเสร็จก็กระตุกสายบังเหียนของอาชาร่างปราดเปรียวเพียงเล็กน้อย เร่งฝีเท้าของมันให้เร็วจนจากที่เหยาะย่างเป็นวิ่งควบฝ่าความมืดข้างหน้านำไป

สายลมฤดูใบไม้ร่วงที่ไหลกรีดกรายผ่านยอดไม้เรียกเสียงแกรกกรากได้ชะงัด เพอร์ซิสแหงนหน้าขึ้นมองกิ่งไม้ที่สั่นไหวไปมา สักพัก เขาจึงร้องสั่ง

?เร่งฝีเท้าม้า พวกเราต้องออกจากป่านี้ก่อนค่ำ!?

สิ้นคำบัญชา อาชาไนยอีกหลายสิบตัวก็กระโจนพรวดตามมาติดๆ พวกมันวิ่งห้อผ่านออกจากป่าที่รกชัฏตามแรงกระตุกจากสายบังเหียน

การเริ่มต้นของตำนานอีกบทหนึ่งแห่งเอลฟ์ขาวเริ่มต้นขึ้น...ณ จุดนี้นี่เอง...

?ห้วงรัก ห้วงฝัน อันแสนหวาน
ห้วงกาล ห้วงยาม ไหลย้อนหา
ห้วงมนต์ ห้วงกล ห้วงมนตรา
?พันธนา...มายาไพร? ?


เปลวไฟบนคบเพลิงเต้นระริกคล้ายกับกำลังระบำร่ายไปตามจังหวะแห่งสายลม

เสียงสรวลเสเฮฮาของทหารกล้าดังขึ้น แต่ก็ดังไม่มากนัก บุรุษชาตรีสามศอกเดินกันขวักไขว่ทั่วบริเวณค่ายค้างแรม อันเป็นที่ตั้งของหมู่บ้านเล็กๆแห่งหนึ่ง ที่ตั้งอยู่ไกลออกจากตัวเมืองออกมา

ภายในกระโจมสีแดงเลือดนกที่ตั้งตระหง่านระหว่างกลางกระโจมน้อยใหญ่อื่นๆ

เพอร์ซิสนั่งเช็ดตัวดาบประจำกายอย่างทะนุถนอม แสงสีเงินสะท้อนประกายวูบวาบยามที่แสงสลัวจากไฟส่องกระทบ บอกได้ชัดว่าผู้เป็นเจ้าของคงดูแลเป็นอย่างดี

?เพอร์ซิส...?

เสียงนั้นดังมาก่อนตัว แล้วตามมาด้วยเสียงของใครบางคนแหวกผ้าปิดกระโจม ถือวิสาสะก้าวเข้ามาโดยไม่รอคำให้อนุญาต

เพอร์ซิสเหลือบมองวูบหนึ่ง แต่ก็นานพอที่จะเห็นเอลฟ์หนุ่มร่างกำยำเดินเข้ามาในกระโจม เขาแหวกเปิดผ้าที่ปิดกั้นทางเข้าออกเพื่อเดินเข้ามา

จากสายตาที่ทอดลงต่ำของดยุคหนุ่มเขาเห็นปลายเท้าของพี่ชายของเขา ?พาลามัส? ที่มาหยุดยืนอยู่ตรงหน้า สักพักหนึ่ง พาลามัสก็ออกปากถาม

?ไม่คิดจะทักพี่ชายอย่างข้าบ้างหน่อยรึอย่างไรกัน? เพอร์ซิส เอาแต่ยุ่งอยู่กับดาบ ระวังเถอะ ดีไม่ดี...สักวันเจ้าสาวของเจ้าอาจจะเป็นดาบก็ได้นะ?

ผู้เป็นพี่ชายเย้าแหย่ด้วยน้ำเสียงที่ไม่เอาจริงเอาจังมากนัก แต่ก็ทำให้เพอร์ซิสสามารถละสายตาจากดาบได้

?สวัสดีตอนเย็น ท่านพี่ มีอะไรรึเปล่า??

คำตอบที่ได้รับกลับมานั้น คล้ายกับกำลังประชดอยู่อย่างไรอย่างนั้น

แต่พาลามัสก็ไม่ได้ถือสาอะไรมากนัก เขาว่าต่อ ?ท่านโจเฮ็ม...ข้าหมายถึง หัวหน้าหมู่บ้านส่งคนมาชวนพวกเราไปงานเฉลิมฉลองของหมู่บ้านกันน่ะ เจ้าจะไปรึเปล่า เพอร์ซิส?

?งานฉลอง??

คนเป็นพี่ชายยิ้มเล็กน้อย เมื่อเห็นว่าดยุคหนุ่มมีท่าทีสนอกสนใจขึ้นมา ?ใช่ เห็นว่าเนื่องในโอกาสอะไรสักอย่างนี่ล่ะ ว่าแต่ เจ้าจะไปรึเปล่า งานฉลองจะเริ่มเวลาในวันใหม่พอดีไม่มีขาดไม่มีเกิน?

?....................?

?อีกอย่าง ข้าลืมบอกเจ้าไปรึเปล่าว่าหมู่บ้านนี้เป็นหมู่บ้านนักรบน่ะ??

เท่านั้นเอง การเกลี้ยกล่อมก็สำเร็จผลโดยไม่ต้องเปลืองสมองและเปลืองแรง (พูด) เลยสักนิด

ในที่สุด เวลาก็ผ่านไปกว่าค่อนคืน...

ขณะที่สรรพสิ่งต่างตกอยู่ในห้วงนิทรา แต่ ณ หมู่บ้านเล็กๆที่ตั้งอยู่ริมชายป่าแห่งหนึ่งกลับเต็มไปด้วยความครึกครื้นร่าเริง

บรรยากาศของ ?งานรื่นเริง? ช่างคึกคักผิดกับเมื่อตอนที่ยังที่มีแสงตะวันสาดส่อง ทั้งที่ในยามนี้เป็นเวลาเข้าสู่วันใหม่แล้วแท้ๆ สรรพสัตว์ต่างก็พากันหลับไหล

ดวงจันทร์เริ่มคล้อยเคลื่อนไปทางทิศตะวันตก ใกล้ลับขอบฟ้าเต็มที...

ชาวบ้านต่างพากันมาจับจองพื้นที่หญ้าอ่อนนุ่มรอบลานหินกว้างที่ถูกประดับตกแต่งอย่างสวยงาม หากแต่แฝงด้วยความแข็งแกร่งในคราวเดียวกัน เสียงจอแจดังไม่ขาดสายเมื่อบรรดาชาวบ้านที่นั่งลงแล้วนั้นหันมาจับกลุ่มคุยทักทายอย่างเป็นกันเองและสนิทสนม

ดอกเมอร์ทัสสีขาวสะอาด อันเป็นสีแสดงความรักที่บริสุทธิ์จากใจจริงถูกประดับประดาเหน็บไว้แทบทุกแห่งหนจนได้กลิ่นหอมอ่อนฟุ้งกำจายไปทั่วทั้งบริเวณหมู่บ้าน

คบเพลิงถูกจุดไว้ล้อมรอบลานกว้างทั้งแปดทิศ แสงสีแดงสดลุกโชติช่วงปะทุตลอดเวลา คล้ายกับกำลังรอคอยอะไรบางอย่างที่กำลังจะออกมา และทำให้ตัวมันดับลงในไม่ช้านี้

พาลามัสผู้เป็นเสนาบดีมหาดไทยหันไปพูดคุยถามสารทุกข์สุขดิบและความเป็นอยู่ของชาวบ้าน ส่วนเพอร์ซิสเองนั้น ถึงแม้ภายนอกจะดูเหมือนกับว่าไม่ได้ใส่ใจกับงานเฉลิมฉลองที่มีสีสันสดใสของเหล่าชาวบ้าน แต่ใจจริง เขากลับเป็นอีกคนที่เฝ้ารอค่ำคืนนี้

ในที่สุด เสียงพูดคุยก็สร่างซาลง พร้อมกับเปลวไฟบนคบเพลิงที่เริ่มมอดดับเองโดยอัติโนมัติ

กริ๊ง...

เสียงใสหวานกังวานราวระฆังแก้วดังแว่วเสนาะหูมาวูบหนึ่ง แล้วเงียบลงไป

กริ๊ง...

เสียงกระพรวนดังขึ้นอีกระลอก แล้วเงียบลงไปอีกครา เรียกให้ความวังเวงกลับคืนสู่ทั่วอาณาบริเวณ

ท่ามกลางความเงียบสงัดนั้น สามารถทำให้ดยุคหนุ่มรู้สึกได้ถึงหัวใจของเขา ที่เต้นแรงผิดจังหวะด้วยความลุ้นระทึก รอคอยว่าจะมีสิ่งใดออกมาทำให้ประหลาดใจ

พลัน คบเพลิงทั้งแปดก็ติดขึ้นมาอีกครั้ง เรียกความสว่างกลืบคืนมาได้อย่างรวดเร็ว

เปลวเพลิงบนคบไฟเริงระบำลุกโชติช่วงขึ้นมาอีกครั้ง แสงสีส้มสลัวที่ทอดลงบนพื้นหินทำให้เห็นเงาสีดำสี่ร่างวูบไหวไปมาเนื่องๆ

สายตาทุกคู่จับจ้องไปที่ร่างแน่งน้อยในอาภรณ์สีขาวบริสุทธิ์ที่ยาวพอดีถึงช่วงเอวที่ก้าวเข้ามาในลานกว้าง พร้อมกับร่างบางของเอลฟ์สาวตนอื่นอีกสามนาง ทว่า ทั้งสามกลับไม่ดูโดดเด่นเท่าเอลฟ์สาวนางแรก หรืออาจเรียกได้ว่าไม่งดงามเทียบเท่า

สายตาของดยุคหนุ่มจับจ้องไปที่เอลฟ์สาวเจ้าของดวงตาสีน้ำเงินหม่นนางแรกไม่กะพริบ

เสื้อที่สั้นพอดีตัวเผยให้เห็นเอวคอดกิ่ว กระโปรงประดับด้วยขนสัตว์หนานุ่มบานออกเหมือนกลีบดอกไม้ ยามที่ร่างบางนั้นหมุนกายเป็นจังหวะอย่างแช่มช้อย ทว่า กลับแลดูพลิ้วไหว และสวยงามใครคราเดียวกัน

เรียวปากอิ่มขยับเล็กน้อย แล้วเปล่งวาจาเสียงทั้งสูงและต่ำ ทั้งอ่อนหวานและโศกเศร้า ทั้งนุ่มนวลและโหยไห้

"ภายใต้เงามืดสลัวแห่งความโศกเศร้า
ข้ามองเห็นอีกด้านของตัวเองที่มิอาจยอมรับ
ใครสักคนเป่าขลุ่ยบรรเลงร่ายเพลง
สายดาวโปรยจากฟากฟ้ากลางทุกข์ระตม

กลีบดอกไม้ปลิวร่วงหล่นต้องพสุธา
เพียงอยากส่งความเจ็บปวดไปแสนไกล
ปล่อยใจที่สูญเสียให้ล่องลอยจากไป
แต่กงล้อแห่งโชคชะตาต้องหมุนต่อไปไม่มีสิ้นสุด

ตอนนี้ ใครหนอระทม
โปรดรู้ไว้...ใจของข้าจะถ่ายความสุขให้
กลีบอุษาโปรยสู่ความสดใส
เพียงแค่ได้ปัดเป่าทุกข์
แล้วก้าวสู่แดนแห่งความสุขอันสดใส

เปลวเพลิงที่ร่ายระบำประทับในใจข้า
เพียงแค่ส่งความทุกข์ออกไป
ความสดใสเบ่งบานทุกแห่งหนไป
เพียงอย่าทิ้งแสงสว่าง...
กงล้อแห่งโชคชะตายังคงหมุนต่อไป...*"


(* แปลจาก Wheel of destiny (Eng.) จากอนิเมชั่นเรื่อง Gundam Seed)

เสียงหวานใสไพเราะนั้นได้ขาดหายไปแล้ว แต่จังหวะดนตรีนั้นยังคงเคล้าคลอไปกับสายลม

พึ่บ!

แถบผ้ายาวสีแดงและน้ำเงินตวัดโลดแล่นตัดกัน มือเรียวบางเป็นผู้ควบคุมให้แถบผ้านั้นโบกสะบัดไปตามจังหวะที่ร่ายรำ พร้อมกับผ้าสีขาวอีกสามผืนที่สะบัดตวัดผ่านร่างที่อยู่ตรงกลาง

กริ๊ง... กริ๊ง... กริ๊ง...

เสียงของกระพรวนที่กำไลข้อเท้ายังส่งเสียงใสเคล้าคลอไปกับจังหวะเช่นเดิม หากแต่เร่งเร้าจังหวะถี่รัวมากขึ้น ในยามที่ร่างบอบบางของเอลฟ์สาวหมุนอย่างแรงจนกระโปรงสีขาวสะอาดนั้นบานออก เผยให้เห็นเรียวต้นขาที่ถูกเรือนผมสีฟ้าสดใสคล้ายท้องฟ้าสะบัดบังเป็นระยะ แถบผ้าสีน้ำเงินถูกโบกสะบัดไปรอบทิศทาง ผืนผ้าสีอื่นต่างกลายเป็นแถบผ้าที่พลิ้วไหวล้อมเป็นกรอบเท่านั้น

มีเพียงผ้าสีน้ำเงิน...สีแห่งนักรบที่ยังคงโลดแล่น

พึ่บ! พึ่บ! พึ่บ! พึ่บ! พึ่บ!

เสียงพึ่บพั่บที่เกิดจากการที่สะบัดผ้าตัดผ่านอากาศดังติดต่อกันเป็นระยะเวลาสั้นๆ ก่อนที่ปลายเท้าข้างหนึ่งของเอลฟ์สาวนัยน์ตาสีน้ำเงินหม่นจะแตะพื้นอย่างนุ่มนวล ร่างบางนั้นโน้มลงต่ำจนใบหน้านั้นแทบสัมผัสติดดินสีน้ำตาลเข้ม

ความเงียบเข้าครอบคลุมทั่วลานกว้างชั่วครู่หนึ่ง คล้ายกับต้องมนต์สะกดแห่งพงไพร ก่อนจะเริ่มมีเสียงปรบมือและโห่ร้องด้วยความชื่นชมตามมาในที่สุด

เอลฟ์สาวทั้งสี่ย่อกายลงอย่างงดงามและแช่มช้อย...เชื่องช้า

กลีบดอกเมอร์ทัสโปรยปรายลงมาช้าๆ ยามที่ร่างอรชรทั้งสี่ก้าวออกไปจากลานหินกว้าง เท้าของนางทั้งสี่แทบไม่สัมผัสพื้นสักนิด

?เอาล่ะ...?

เสียงกระแอมไอดังมาจากเอลฟ์ชราที่มีดวงตาสีม่วงซึ่งเริ่มฝ้าฟางจนเห็นได้ชัด ?เงียบหน่อย วันนี้พวกเรามีแขกผู้มีเกียรติมาร่วมงานฉลองในหมู่บ้านที่ทั้งเล็กและห่างไกลจากเมืองหลวงของพวกเราด้วย?

สายตาของชาวหมู่บ้านทุกคู่หันไปจ้องกลุ่มทหารในชุดเกราะที่เสริมสร้างความเข้มแข็งและความสง่าเป็นทางเดียวกัน และพร้อมเพรียงโดยไม่ได้นัดหมาย

ดวงตาฝ้าฟางกวาดมองไปรอบบริเวณลานหินกว้าง จนหยุดอยู่ที่บรรดาทหารที่นั่งจับกลุ่มรวมกัน ?ข้า...โจเฮ็มต้องขอขอบคุณพวกท่านที่อุตส่าห์มาร่วมงานเล็กๆและเรียบๆเช่นนี้ ราตรีนี้ยังอีกยาวนัก ขอเชิญทุกท่านร่วมสนุกต่อเถิด และข้าคงต้องขออภัย ที่ต้องให้นาตาเรียมาทำหน้าที่พูดแทนข้า?

คล้ายกับทุกคนเข้าใจและเห็นใจเอลฟ์ชราผู้ซึ่งเป็นผู้นำหมู่บ้านที่ดีมาตลอด พวกเขาต่างพากันเงียบกริบ ไม่ได้ซักถามอย่างสงสัยหรือปริปากประท้วงแต่อย่างใด

สักพัก เพอร์ซิสจึงเห็นร่างบอบบางในชุดกระโปรงสีชมพูหวานตัวยาวก้าวเข้ามาแทนที่เอลฟ์ชรา เขาชะงักไปเล็กน้อย เมื่อเห็นว่านางคือเอลฟ์สาวที่เพิ่งออกไปร่ายระบำกลางลานกว้างเมื่อครู่

?ต่อไปนี้...คงเป็นเวลาที่ชายชาตรีสามมศอกต่างก็รอคอย...หวังว่าพวกท่านต่างก็คงจะเตรียมผ้าพันแผลมากันพร้อมแล้วนะคะ?

เสียงใสที่แฝงไปด้วยความเจ้าเล่ห์และร่าเริงกล่าวขึ้นเป็นครั้งแรกของวันใหม่ ไม่มีท่วงท่าความงามสง่าที่แฝงด้วยความเคร่งขรึมเช่นเมื่อครู่หลงเหลืออยู่เพียงนิดเดียว

?อีกสิบนาทีเท่านั้นนะคะ อดใจรออีกสักนิด? เสียงของนาตาเรียกลั้วหัวเราะคิกเล็กน้อย

แต่เสียงของนางก็ทำให้เกิดเสียงเฮลั่นดังขึ้น ร่างสูงกำยำของชายหนุ่มชาวบ้านต่างพากันลุกพรวดขึ้นอย่างรวดเร็ว และเฮโลกรูกันไปที่ลานหินกว้างซึ่งถูกใช้เป็นเป็นสถานจัดงานฉลอง

?พวกท่านจะเข้าไปร่วมงานด้วยก็ได้นะ?

เสียงหวานแต่สงบราบเรียบของนาตาเรียดังขึ้นจากด้านหลัง ทำให้เพอร์ซิสและพาลามัสหันขวับไปมองพร้อมกันในทันที

เอลฟ์สาวเจ้าของชุดการร่ายรำงดงามเมื่อครู่นั้นเอง

ร่างของนางนั้นสูงสะโอดสะอง แต่ก็ไม่ได้สูงจนดูเก้งก้างหรือน่าเกลียดจนเกินไป วงหน้ารูปไข่เรียวงามล้อมรอบด้วยเรือนผมสีฟ้าสดใสยาวสยายจรดเอวนั้นละเอียดนุ่มดุจแพรไหม ดวงตาสีน้ำเงินหม่นคมเรียวคล้ายดวงตาพญานกฉายแววเย็นชาจนไร้ความรู้สึก

ริมฝีปากสีชมพูระเรื่อนั้นไม่ประดับรอยยิ้มเจ้าเล่ห์และซุกซนแบบเมื่อครู่เลยสักนิด ทำให้ดวงหน้างามแลดูเคร่งขรึมไปอักโข และครั้งนี้ รัศมีความงามของนางไม่ได้ถูกผิวกายที่ไม่ได้ขาวนวลเหมือนหิมะกลบแม้แต่น้อย

ในความรู้สึกของผู้ที่มอง...สีผิวที่ไม่ได้ขาวจนเกินไปนั้นกลับทำให้นางแลดูองอาจ แข็งแกร่ง เข้มแข็งมากขึ้น เหมาะสมกับที่มีเชื้อสายของนักรบอยู่ในกาย

ตอนนี้ นางกลับอยู่ในชุดที่เพิ่งใช้ในการแสดงเริงระบำเมื่อครู่ ทำให้เอลฟ์หนุ่มทั้งสองอดสงสัยไม่ได้

จะเปลี่ยนชุดไปเปลี่ยนชุดมาทำไม?

แต่คล้ายกับเอลฟ์สาวจะไม่สนใจ นางเอ่ยอธิบายต่อ

?กฎมีไม่ยากนัก เพียงแค่ยืนอยู่ในลานประลองคนสุดท้ายให้ได้นานที่สุดเท่านั้น คนที่เหลือคนสุดท้ายจะได้สู้กับผู้ชนะเลิศปีที่แล้ว หากว่าท่านเอาชนะได้ ท่านก็จะเป็นฝ่ายชนะไปในทันที โดยไม่มีข้อแม้ใดๆ?

?นาตาเรีย...?

เพอร์ซิสขานชื่อของนาง หมายจะให้เอลฟ์สาวหยุดพูดด้วยเสียงที่สงบเหมือนท้องทะเลที่ราบเรียบเสียที แล้วหันมามองคนฟังบ้าง

และได้ผล นางหันกลับมามองจริงๆ ทว่า...

?ขออภัยด้วย ที่ไม่ได้แนะนำตัวตั้งแต่แรก ข้าชื่อ ?เนห์ริน? นาตาเรียคือน้องสาวฝาแฝดของข้า?

เนห์รินเผยอรอยยิ้มสุขุม ผิดกับน้องสาวฝาแฝดลิบลับ นางผายมือไปทางลานหินซึ่งบัดนี้ กลายเป็นประลองไปเสียแล้ว ก่อนจะกล่าวเสียงราบเรียบ

?พวกท่านจะลองเข้าร่วมการประลองด้วยไหม? หากลองก็ไม่เสียหายอะไรนี่...?

+.+.+.+.+.+.+.+.+.+.+.+.+.+.+.+.+

ก่อนอื่นก็ต้องสวัสดีท่านผู้อ่านก่อนเลยนะคะ ^ ^

เพิ่งจะเอานิยายเรื่องนี้มาลงที่อื่นนอกจากเด็กดีเป็นครั้งแรก (เพราะว่าคอมที่บ้านมันใช้ระบบเด็กดีอัพนิยายไม่ได้ มันเริ่มงอแง) ยังไงก็ต้องฝากด้วยนะคะ
ดวงดาว กระจ้อย กระจอก
ใครบอก โดดเด่น เพียงไหน
หาญสู้ จันทรา หรือไร
ผู้ใด จะหมาย เพียงดาว

ภาพประจำตัวสมาชิก
พู่กันไฟ
โพสต์: 3
ลงทะเบียนเมื่อ: อังคาร 13 พ.ย. 2007 6:40 am
ที่อยู่: chiang rai
ติดต่อ:

โพสต์ โดย พู่กันไฟ »

ไว้จะรออ่านเล่มเต็มนะจ๊ะ คิิกๆ
หนังสือพร้อมลายเซนเลยนะจ๊ะน้องสาวววววว อิอิ

Whan
โพสต์: 133
ลงทะเบียนเมื่อ: อังคาร 27 พ.ย. 2007 10:38 am

โพสต์ โดย Whan »

ออกตั้งนานแล้วยังไม่ได้ซื้อเยย ตังหมด หน้าปกสวยบาดใจมากๆเลย เนื้อเรื่องแฟนตาซีอย่างนี้ไม่มีทางหนีมือเราพ้นหรอก 55

ตอบกลับโพส

ย้อนกลับไปยัง “ก้าวแรก(สู่นักเขียนมืออาชีพ)”