New Release BLY แปล : เพื่อนบ้านแสนดีขอไออุ่นทีเถอะ

อัพเดทข่าวบงกชบุ๊คส์ ความเคลื่อนไหว และกิจกรรมพิเศษ ตลอดจนร่วมสนุกชิงรางวัลพร้อมของรางวัลมากมาย

Moderator: P'Bly, Gals, พี่บี

ตอบกลับโพส
Gals
โพสต์: 1088
ลงทะเบียนเมื่อ: ศุกร์ 13 ก.พ. 2009 3:47 pm

New Release BLY แปล : เพื่อนบ้านแสนดีขอไออุ่นทีเถอะ

โพสต์ โดย Gals »

เพื่อนบ้านแสนดีขอไออุ่นทีเถอะ


ลมหนาวแห่งเดือนพฤศจิกายนโชยมาปะทะผิวแก้ม ริมฝีปากของโทโมฮารุพ่นควันขาวเป็นไอออกมาขณะแหงนมองสิ่งปลูกสร้างตรงหน้า มันคืออะพาร์ตเมนต์สองชั้นที่มีชั้นละสามห้อง ได้ยินว่าสร้างมากว่าสามสิบปีแล้ว ทว่าตัวอาคารกลับค่อนข้างสะอาด ไม่ได้เก่าโทรมอย่างที่คาดไว้
ทั้งยังอยู่ใกล้สถานีรถไฟกับร้านสะดวกซื้อ ตัวห้องเป็นห้องขนาดหกเสื่อ สไตล์ดั้งเดิม ข้อเสียอย่างหนึ่งคือไม่มีกล่องไปรษณีย์หน้าห้อง ทำให้ต้องมารับจดหมายที่จุดรวมกล่องไปรษณีย์ตรงชั้นหนึ่ง แต่นั่นก็ไม่ใช่ปัญหาใหญ่เลย เพราะเท่าที่ลองตระเวนหาดู ห้องที่มีเงื่อนไขคล้ายกันในย่านนี้ค่าเช่าอยู่ที่ประมาณเจ็ดหมื่นเยน
(...ทำไมที่นี่ถึงคิดแค่สามหมื่นเยนนะ)
ความกลัวทำให้เขาไม่กล้าถามเหตุผลกับบริษัทจัดหาห้องเช่า และไม่ว่าคำตอบจะเป็นอย่างไร โทโมฮารุก็ไม่เหลือตัวเลือกอื่นแล้ว เขาใกล้จะถังแตกเต็มที เพราะเพิ่งถูกแฟนคนแรกในชีวิตหลอกเอาเงินเก็บไปเกือบหมดเมื่อหนึ่งเดือนก่อน
โทโมฮารุทอดถอนใจขณะเดินขึ้นบันได พาตัวเองเข้าไปในห้องที่เพิ่งย้ายมาสดๆ ร้อนๆ ลงมือแกะลังกระดาษเพื่อจัดที่นอนสำหรับคืนนี้ แล้วถอนหายใจอีกครั้งเมื่อนึกถึงแฟนเก่าที่คบกันมาครึ่งปี
สมัยเรียนโทโมฮารุไม่เคยมีแฟนเลย เรื่องนี้เล่าให้ใครฟังก็มีแต่คนตกใจ
เขาเป็นคนมีกิริยามารยาทนุ่มนวลและเป็นมิตร เครื่องหน้าอ่อนละมุน ดวงตาค่อนข้างกลมโต ส่งผลให้ดูอ่อนเยาว์กว่าอายุจริง โดยรวมจัดว่าเป็นชายหน้าตาดีคนหนึ่ง นอกจากนี้ยังมีรูปร่างสมส่วนและสูงตามมาตรฐาน สมัยเรียนจึงมีสาวๆ มาสารภาพรักอยู่บ้าง
ถึงกระนั้นโทโมฮารุก็ไม่เคยตกลงคบกับใคร เพราะคนที่เขามีใจให้ล้วนเป็นเพศเดียวกันเสมอ
นอกจากจะไม่กล้าประกาศตัวว่าเป็นเกย์ เขายังไม่อาจหาญพอที่จะเข้าไปอยู่ในแหล่งรวมตัวของผู้มีรสนิยมเดียวกันด้วย ดังนั้นจึงตัดใจจากความรักไปนานแล้ว จนเมื่อประมาณครึ่งปีก่อนโทโมฮารุไปสังสรรค์กับคนที่บริษัทแล้วดันดื่มหนักไปหน่อย ขากลับเลยแวะนั่งพักในสวนสาธารณะแถวบ้านเพื่อรอให้สร่างเมา ตอนนั้นเองมีชายวัยไล่เลี่ยกันคนหนึ่งเข้ามาทักเขา
หากรู้มาก่อนว่าสวนสาธารณะแห่งนั้นคือสถานที่นัดพบของคนรักเพศเดียวกัน สถานการณ์อาจจะเปลี่ยนไปจากเดิมก็ได้ แต่น่าเสียดายที่โทโมฮารุไม่รู้เรื่องรู้ราว จึงทึกทักเอาเองว่ามันคือปาฏิหาริย์ หรือไม่ก็โชคชะตาฟ้าลิขิต
เมื่อรู้ว่าโทโมฮารุไม่เคยมีประสบการณ์ด้านความรักมาก่อน อีกฝ่ายก็เสนอให้คบกันแบบค่อยเป็นค่อยไป ทั้งคู่ออกเดตกันหลายครั้งโดยที่ไม่เคยจูบกันเลย และให้สัญญาว่าสักวันจะพาอีกฝ่ายไปแนะนำตัวกับครอบครัว
ดอกรักที่เพิ่งมาบานในวัยยี่สิบห้าปีพาให้เขาหลงระเริงไปกับคนรักคนแรกในชีวิต อยู่มาวันหนึ่งอีกฝ่ายก็บอกกับเขาว่า “แม่ที่ต่างจังหวัดกำลังป่วยหนัก ต้องเข้ารับการผ่าตัด”
ที่เหลือคงไม่ต้องสาธยายแล้วว่าเกิดอะไรขึ้น โทโมฮารุหลงเชื่ออุบายตื้นๆ ที่พวกมิจฉาชีพชอบใช้ และมอบเงินเก็บอันน้อยนิดให้คนรักไป ฝ่ายนั้นซาบซึ้งจนน้ำตาไหล บีบมือเขาพร้อมบอกว่า “ถ้าแม่หายดีเมื่อไร พวกเราไปเยี่ยมท่านที่ต่างจังหวัดด้วยกันเถอะ” ...จากนั้นก็หายต๋อมไปเลย
ความสิ้นหวังอย่างรุนแรงโถมเข้าใส่เมื่อรู้ว่าถูกหลอก แต่เหมือนเคราะห์ซ้ำกรรมซัด เพราะหลังจากนั้นไม่นานเขาดันล้มป่วยเข้าโรงพยาบาลติดกันหลายวันจนต้องลาออกจากงานไปทั้งอยางนั้น เงินในบัญชีที่ร่อยหรออยู่แล้วจึงแทบจะหายวับไปในพริบตา
ขืนปล่อยไว้อย่างนี้มีหวังสิ้นเนื้อประดาตัวแน่นอน โทโมฮารุตัดสินใจย้ายที่อยู่เพื่อลดรายจ่ายและพุ่งไปที่บริษัทจัดหาห้องเช่าทันที โดยเน้นหาห้องที่ราคาถูกก่อน และห้องที่บริษัทแนะนำมาก็คือห้องในอะพาร์ตเมนต์แห่งนี้
(เพราะอะไรกันนะ...เป็นห้องที่เคยถูกโจรยกเค้าเหรอ ถ้าใช่ก็แย่เลย...หรือว่าเคยมีคนฆ่าตัวตาย...)
ถึงอย่างนั้นค่าเช่าสามหมื่นรวมค่าส่วนกลางก็เป็นราคาที่แสนเย้ายวน อยู่ๆ ไปก่อนจนกว่าจะได้งานใหม่แล้วกัน ขณะที่เขากำลังปลอบใจตัวเองก็ได้ยินเสียงอะไรบางอย่างฟาดกับประตูกระจกดังแปะ
แมลงเหรอ กลางดึกแบบนี้อีกฟากของประตูระเบียงซึ่งยังไม่ได้ปิดม่านนั้นมืดสนิท ระหว่างสอดส่ายสายตาหาต้นตอของเสียงก็เหลือบไปเห็นอะไรขาวๆ แปะอยู่กับกระจก
เฮ้ย โทโมฮารุอุทานเสียงหลง แวบแรกนึกว่าก้อนขาวๆ นั่นคือท้องจิ้งจก แต่ปรากฏว่าไม่ใช่ สิ่งที่มีลักษณะคล้ายใบเมเปิลขนาดเล็กนั้นคือฝ่ามือของเด็กอย่างไม่ต้องสงสัย
โทโมฮารุถึงกับลืมหายใจ จังหวะที่ลุกขึ้นสายตาเคลื่อนจากตำแหน่งเดิม ฝ่ามือเล็กๆ ที่แปะอยู่บนกระจกก็หายไปเสียแล้ว หรือว่าจะตาฝาดนะ เขาเขยิบเข้าไปใกล้ ทันใดนั้นกระจกทั้งบานก็สะเทือนเหมือนถูกลูกบอลกระแทกจากด้านนอก
“เหวอ!?”
ร่องรอยบางอย่างปรากฏขึ้นพร้อมเสียงดังแปะ ฝ่ามือ มันคือรอยฝ่ามือเล็กๆ ที่เห็นชัดไปถึงลายนิ้วมือ กระจายอยู่ทั่วบานประตูกระจก ทั้งที่ข้างนอกไม่มีใครอยู่เลย
โทโมฮารุทำได้แค่ทรุดนั่งอยู่ตรงนั้น เงยหน้ามองรอยฝ่ามือที่ปรากฏขึ้นเรื่อยๆ อย่างตกตะลึง
(นี่สินะ...ที่มาของสามหมื่นเยน...!)
เข้าใจแล้วว่าทำไมทางบริษัทถึงตอบแบบกำกวมว่า “ผู้เช่าบางท่านก็ไม่ใส่ใจ” คนเราต้องจิตแข็งขนาดไหนกันถึงจะอยู่ได้โดยไม่ใส่ใจกับสิ่งนี้
ห้องที่เขาเช่า มันมีปรากฏการณ์เหนือธรรมชาตินี่เอง

วันแรกที่ย้ายมาโทโมฮารุไม่ได้นอนเลยจนถึงเช้า
แม้จะนึกเสียใจเมื่อรู้ที่มาของค่าเช่าแสนถูก แต่เขาก็ไม่มีเงินสำหรับย้ายห้องอีกรอบแล้ว และไม่รู้จะไปหาห้องที่ค่าเช่าถูกขนาดนี้ได้จากที่ไหนด้วย หลังเดินไปปิดผ้าม่านทั้งที่ขาสั่นหงึกหงัก หน้าซีดเป็นไก่ต้ม โทโมฮารุก็อดทนจนผ่านพ้นมาได้ด้วยการกล่อมตัวเองว่า เสียงใดๆ ก็ตามที่เกิดขึ้นด้านนอกถือเป็นเสียงลม เขาเป็นพวกใจปลาซิวก็จริง แต่มีความอดทนสูงทีเดียว
นอกจากรอยฝ่ามือบนประตูกระจกแล้ว ยังมีเหตุการณ์ลี้ลับเกิดตามมาอีกหลายระลอก ตั้งแต่ก๊อกน้ำในครัวเปิดเอง ประตูตู้เก็บของสั่นกุกกัก ไปจนถึงไฟดับพึ่บกะทันหัน เพื่อบังคับตัวเองไม่ให้หันไปสนใจสิ่งเหล่านั้นโทโมฮารุจึงตั้งหน้าตั้งตาจัดของทั้งคืนจนเสร็จเรียบร้อย โดยแลกมากับอาการปวดศีรษะเพราะอดนอนจนถึงเช้า
เสียงประหลาดเงียบลงเมื่อแสงแห่งอรุณสาดส่องเข้ามาผ่านผ้าม่านหน้าประตูกระจก โทโมฮารุอยากจะล้มตัวนอนเสียเดี๋ยวนี้ แต่คนตกงานอย่างเขาไม่มีเวลามาทำตัวสันหลังยาว ดังนั้นจึงรีบแต่งตัวออกจากห้อง เพื่อไปที่กรมสวัสดิภาพแรงงาน
ห้องของเขาคือห้องตรงกลางชั้นสอง รีบไปทักทายห้องข้างเคียงเสียแต่เนิ่นๆ จะดีกว่า โทโมฮารุคิดในใจขณะล็อกกุญแจ ประตูห้องข้างๆ เปิดออกในจังหวะนั้นพอดี ผู้ที่ชะโงกหน้าออกมาเป็นชายร่างสูง สวมเสื้อเชิ้ตกับกางเกงสแล็กสีดำ ถือถุงขยะไว้ในมือข้างหนึ่ง ชายคนนั้นชะงักเมื่อโผล่ออกมาได้ครึ่งตัว
แดดยามเช้าสว่างจ้าเกินไปสำหรับคนที่จัดห้องมาทั้งคืน โทโมฮารุจึงเห็นใบหน้าของอีกฝ่ายไม่ชัดในครั้งแรก รู้แค่ว่าเป็นคนตัวสูงพอสมควร เกินกว่าเขาซึ่งมีส่วนสูงตามมาตรฐานประมาณหนึ่งช่วงหัว อายุอานามน่าจะมากกว่าโทโมฮารุ ผมค่อนข้างยาวและหยักศก ดูแล้วไม่น่าใช่พนักงานบริษัททั่วๆ ไป คงทำอาชีพที่มีอิสระด้านการแต่งกายและทรงผมมากกว่า
เขาวิเคราะห์ในใจขณะที่มือยังเสียบกุญแจคารู ชายผู้แต่งดำทั้งตัวเดินออกมาจากห้องแล้วผงกหัวให้ กลิ่นบุหรี่จางๆ ลอยมาทุกครั้งที่เขาเคลื่อนไหว ครั้นพยักหน้าตอบ อีกฝ่ายก็ยิ้มให้เล็กน้อย
“อยู่ห้องข้างๆ เหรอ?”
เสียงแหบทุ้มเอ่ยถาม สมองเบลอๆ จึงเริ่มทำงานในที่สุด โทโมฮารุรีบยืดตัวตรง
“อ๊ะ ใช่ครับ! ผมชื่ออาซาโนะ เพิ่งย้ายมาเมื่อวาน ฝากเนื้อฝากตัวด้วยนะครับ”
“สวัสดี ฉันชื่อมิคาเงะ”
ขอฝากตัวด้วยเช่นกัน มิคาเงะค้อมศีรษะให้เล็กน้อย โทโมฮารุจึงรีบค้อมตัวให้เช่นกัน
เมื่อยืดตัวขึ้นอีกครั้งและได้เห็นหน้าตาของอีกฝ่ายชัดๆ ก็ถึงกับชะงักไป เพราะเพิ่งสังเกตเห็นว่าอีกฝ่ายมีใบหน้าที่หล่อเหลาปานเทพบุตรทีเดียว
ดวงตาของมิคาเงะเป็นสองชั้นชัดเจนรับกับแพขนตายาว ผิวขาวจนน่าตกใจ ขาวชนิดที่นึกสงสัยเลยว่าปีๆ หนึ่งได้ออกมารับแดดบ้างหรือเปล่า แต่ริมฝีปากที่ประดับรอยยิ้มบางกลับเจือสีระเรื่อน่ามอง นับเป็นใบหน้าที่มีเสน่ห์อย่างบอกไม่ถูก
อาจจะเป็นดาราหรือนายแบบละมั้ง โทโมฮารุนึกในใจ ขณะที่มิคาเงะเลิกคิ้วข้างหนึ่งให้เขา
“เมื่อคืนนอนหลับรึเปล่า?”
โทโมฮารุสะดุ้งเฮือก สายตาหลุกหลิก เมื่อเห็นมิคาเงะทำหน้าเหมือนดูออกว่าไม่ได้นอน
“เอ่อ ผมจัดห้องเพลินจนถึงเช้าน่ะครับ...สะ เสียงดังรบกวนรึเปล่าครับ?”
“ไม่นะ ไม่เลยสักนิด ตั้งแต่เข้าปีนี้มาเธอเป็นคนที่สิบแล้วที่ย้ายมาอยู่ห้องนั้น”
สายตาล่อกแล่กของโทโมฮารุถูกดึงกลับมาที่มิคาเงะทันที ปัจจุบันคือเดือนพฤศจิกายน ใกล้สิ้นปีแล้วก็จริง แต่การมีผู้เช่าผลัดเปลี่ยนหมุนเวียนถึงสิบคนภายในหนึ่งปีนับว่าผิดปกติมาก
มุมปากของมิคาเงะยังคงมีรอยยิ้มประดับอยู่ แต่เป็นรอยยิ้มที่ใกล้เคียงกับคำว่าจืดเจื่อน ท่าทางชายคนนี้จะรู้ว่าห้องของโทโมฮารุมีอะไรเกิดขึ้นในยามค่ำคืน
สีหน้าตกตะลึงเปลี่ยนเป็นสีเว้าวอนในทันที โทโมฮารุปรี่เข้าไปหาโดยไม่รอช้า
“ผะ ผมว่าแล้วเชียว! อะพาร์ตเมนต์นี้มีของจริงๆ ใช่ไหมครับ!?”
“ฉันไม่รู้หรอกนะว่าเธอเจออะไรมา แต่ก็...มีหลายอย่าง”
ครั้นได้ยินอีกฝ่ายยอมรับแบบไม่สะทกสะท้าน ความกลัวที่พยายามสะกดไว้สุดชีวิตก็ปะทุออกมา โทโมฮารุแทบจะตะโกนอยู่แล้วตอนที่สาธยายเหตุการณ์เมื่อคืนให้ฟัง มิคาเงะไม่ตกใจเลยสักนิด ซ้ำยังพยักหน้าหงึกๆ ราวกับเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นบ่อยๆ ด้วย
“ห้องของคุณมิคาเงะเป็นยังไงครับ? มีเหตุการณ์แปลกๆ เกิดขึ้นรึเปล่า?”
โทโมฮารุถามปนหอบ ขณะที่อีกฝ่ายตอบหน้าตายว่า “มีสิ”
“มะ มีเหรอครับ!? ทุกคืนเลยรึเปล่า!?”
“ก็หนวกหูทุกวี่ทุกวันแหละ แต่อยู่มาสองปีจนชินแล้ว อ้อ ตอนนี้ที่อะพาร์ตเมนต์มีแค่เธอกับฉันนะ นานๆ ทีจะมีคนย้ายมาอยู่ชั้นล่าง แต่ก็อยู่ได้ไม่นานหรอก”
“...หมายความว่า?”
“ห้องอื่นก็น่าจะมีเหมือนกัน เรียกว่าทั้งอะพาร์ตเมนต์เลยดีกว่า เธอเองก็รีบย้ายออกไปเถอะ”
มิคาเงะแนะนำด้วยน้ำเสียงสบายๆ ทำเอาโทโมฮารุแทบจะทรุดลงตรงนั้น รู้สึกเสียใจอย่างสุดซึ้งที่ไม่ยอมเค้นถามเหตุผลของสามหมื่นเยนกับบริษัทจัดหาตั้งแต่แรก มาถึงตอนนี้ก็สายไปแล้ว
โทโมฮารุยกมือข้างหนึ่งปิดหน้า ลอบถอนหายใจเล็กๆ
“ผมก็อยากย้ายออกครับ...แต่ไม่มีเงินแล้ว...”
ขนาดตัวเองยังฟังออกว่าเสียงสั่น เขาไม่เหลือแรงจะรักษาภาพพจน์อีกต่อไปแล้ว
“งั้นเหรอ” มิคาเงะพึมพำเสียงค่อยก่อนตบบ่าโทโมฮารุเบาๆ
“ถ้ากลัวมากก็หนีมาที่ห้องฉันได้นะ ไหนๆ ก็เป็นเพื่อนบ้านกันแล้ว ผูกมิตรกันไว้ดีกว่า”
ตอนที่เงยหน้าขึ้นมาอีกที ชายข้างห้องก็เดินเลยเขาไปและก้าวลงบันไดไปแล้ว โทโมฮารุสาวเท้าตามชายผู้กำลังมุ่งหน้าไปยังจุดทิ้งขยะ เอ่ยคำขอบคุณไล่หลังแล้วออกจากอะพาร์ตเมนต์ไป

งานที่กรมสวัสดิภาพแรงงานแนะนำมาไม่ใช่งานแบบที่เขาหวังไว้ ไม่รู้ผิดที่สีหน้าอิดโรยแบบคนอดนอนมาทั้งคืนหรือเปล่า หรือไม่ก็เป็นเพราะรู้สึกห่อเหี่ยวที่ต้องกลับไปยังอะพาร์ตเมนต์ผีสิง จิตใจจึงไม่อยู่กับเนื้อกับตัวตลอดการแนะนำ
โทโมฮารุกลับออกมามือเปล่า ระหว่างทางแวะซื้ออาหารเย็นที่ร้านสะดวกซื้อ กว่าจะกลับมาถึงอะพาร์ตเมนต์บริเวณรอบๆ ก็มืดสลัวแล้ว
มือข้างหนึ่งหิ้วถุงกับข้าวไว้ ขณะเงยหน้าเพ่งมองตัวอะพาร์ตเมนต์อันเงียบสงัด ดูเหมือนจะมีผู้อยู่อาศัยแค่สองคนอย่างที่มิคาเงะว่าจริงๆ
เขาแวะดูจดหมายในกล่องไปรษณีย์ชั้นล่างก่อนลากขาหนักๆ เดินขึ้นไปตามบันได จนมาหยุดอยู่หน้าประตูห้อง โทโมฮารุสูดหายใจลึกเข้าปอดหนึ่งทีแล้วไขกุญแจเข้าไป เท่าที่กวาดตามองจากทางเข้า ในห้องไม่มีสิ่งใดเปลี่ยนแปลงเป็นพิเศษ เขากลืนน้ำลายก้อนใหญ่ก่อนถอดรองเท้าด้วยใจตุ้มๆ ต้อมๆ
ภายในห้องที่จัดเป็นระเบียบแล้วมีเพียงเตียงนอน โต๊ะเตี้ยขนาดเล็ก และโทรทัศน์บนชั้นวางของเท่านั้น โทโมฮารุรีบตรงไปเปิดทีวีทันที รู้สึกใจชื้นขึ้นเมื่อมีทั้งแสงและเสียงที่คล้ายกลิ่นอายของมนุษย์ ช่วยขับไล่ความเงียบในห้องให้หมดไป
เขาเปิดฝาข้าวกล่องที่อุ่นร้อนมาจากร้านสะดวกซื้อแล้วลงมือกินเงียบๆ แต่ผ่านไปได้ไม่กี่นาทีจอโทรทัศน์ก็ดับวูบพร้อมเสียงดัง พึ่บ ต่ำๆ
บรรยากาศในห้องกลับมาเงียบสงัดอีกครั้ง โทโมฮารุรีบคว้ารีโมตขึ้นมากดเปิด แต่ปรากฏว่าไม่ติด ขนาดลุกไปกดปุ่มที่จอก็ยังไม่เป็นผล ที่ผ่านมาไม่เคยมีอาการแบบนี้แท้ๆ
(ดะ ดูคลิปในมือถือเอาก็ได้...)
เขาล้วงมือถือในกระเป๋าออกมาแล้วก้มมองหน้าจอที่ดับอยู่
จังหวะนั้นเองอะไรบางอย่างสะท้อนอยู่บนจอมืดๆ
“เหวอ”
โทโมฮารุโยนมือถือทิ้งโดยไม่คิด มันหล่นกระแทกพื้นเสียงดังจนเขาสะดุ้งตัวเกร็งเพราะเสียงนั้นอีกรอบ
บนหน้าจอดำสนิทมีใบหน้าสะท้อนอยู่ แต่ไม่ใช่ใบหน้าของเขา
ตาฝาดหรือเปล่านะ บางทีเขาอาจจะเห็นใบหน้าอิดโรยจากการอดหลับอดนอนของตัวเองเป็นใบหน้าคนอื่น ไม่ ไม่ใช่ หน้าของเขาสะท้อนอยู่ที่มุมจอ แต่สิ่งนั้นปรากฏอยู่ที่ด้านหลังอีกที
(มีบางสิ่งบางอย่าง...อยู่ข้างหลัง)
ตอนนี้ก็ยังอยู่หรือเปล่า? แค่คิดก็ขนลุกซู่
เสียงโครมครามดังมาจากในห้องน้ำราวกับเฝ้ารอจังหวะนี้อยู่ เป็นไปได้ว่ากะละมังอาจจะบังเอิญหล่นลงมา แต่สำหรับโทโมฮารุผู้ไวต่อสิ่งเร้าเพราะอดนอนมาทั้งคืนถือว่าเกินจะรับไหวแล้ว เขาแผดเสียงลั่นพร้อมกับถลันออกจากห้องทันที
ร่างของโทโมฮารุเซไปทางขวาเพราะเหยียบปลายเท้าตัวเองที่ยัดอยู่ในรองเท้าผ้าใบลวกๆ จนเสียศูนย์ ระเบียงทางเดินฝั่งนั้นเป็นทางตัน สิ่งที่อยู่ตรงนั้นมีเพียงประตูห้องของมิคาเงะ
‘ถ้ากลัวมากก็หนีมาที่ห้องฉันได้นะ’ ประโยคที่อีกฝ่ายพูดกับเขาตอนกำลังจะออกจากอะพาร์ตเมนต์ผุดขึ้นมา โทโมฮารุพุ่งไปกดกริ่งหน้าห้องอย่างบ้าคลั่งโดยไม่เสียเวลาคิดแม้แต่น้อย
ระหว่างระดมกดกริ่งอย่างอับจนหนทาง ประตูห้องก็เปิดผลัวะ กลุ่มควันขาวพวยพุ่งใส่หน้าจนโทโมฮารุผงะถอยหลัง คงไม่ใช่ว่าเกิดเพลิงไหม้หรอกนะ ขณะนึกตื่นตระหนก ใบหน้าของมิคาเงะก็โผล่ทะลุม่านควันออกมาพร้อมบุหรี่ที่คาบไว้ในปาก
คราวนี้ชายข้างห้องสวมชุดวอร์มสีดำทั้งตัวต่างจากเมื่อเช้า ดูจากที่ยกมือขยี้ตางัวเงีย คาดว่าคงเพิ่งตื่นนอนได้ไม่นาน มิคาเงะหลุบตามองโทโมฮารุเงียบๆ พลางพ่นควันออกมา
“...เธอ คนเมื่อเช้า?”
“ชะ ใช่ครับ อาซาโนะครับ!”
เห็นเขายืนตัวสั่น พยักหน้าหงึกๆ อีกฝ่ายก็คงพอจะเดาที่มาที่ไปได้ เข้ามาสิ มิคาเงะหาวหวอดก่อนเปิดประตูกว้าง เชื้อเชิญให้โทโมฮารุเข้ามา
แปลนห้องของมิคาเงะก็เหมือนกับห้องของโทโมฮารุ คือเข้ามาแล้วเจอโซนครัวอยู่ทางซ้ายมือ ส่วนด้านในเป็นห้องขนาดหกเสื่อ ในนั้นมีชั้นหนังสือกับโต๊ะวางโน้ตบุ๊ก ไม่มีเตียงนอน แต่มีโต๊ะอุ่นขาขนาดกะทัดรัดตั้งอยู่กลางห้องแทน
“ไปนั่งที่โต๊ะอุ่นขาสิ ฉันขอเปลี่ยนชุดก่อน ดื่มกาแฟหน่อยไหม?”
“อ๊ะ ไม่เป็นไรครับ...”
มิคาเงะหยิบชุดที่แขวนอยู่บนราวแขวนตรงมุมห้องแล้วเข้าไปในครัว จัดการต้มน้ำทิ้งไว้ขณะเปลี่ยนเสื้อผ้า โทโมฮารุพาตัวเองลงไปนั่งที่โต๊ะอุ่นขาแล้วส่งเสียงถามไปทางครัว
“เอ่อ...เมื่อกี้คุณนอนอยู่เหรอครับ?”
อือ เสียงอู้อี้ตอบกลับมา โทโมฮารุจึงแอบก่นด่าความไม่รู้กาลเทศะของตนในใจ
“ขะ ขอโทษครับ...เห็นบอกให้มาได้ทุกเมื่อเลยลืมตัว...คิดเป็นจริงเป็นจังทั้งที่คุณแค่พูดตามมารยาท...”
ระหว่างที่นึกตำหนิพฤติกรรมวู่วามของตน มิคาเงะก็กลับมาพร้อมถ้วยมักสองใบ ชายผู้สวมเสื้อเชิ้ตและกางเกงสแล็กสีดำแบบเดียวกับเมื่อเช้าวางถ้วยลงตรงหน้าเขาก่อนลงมานั่งด้วยอีกคน
“ไม่ได้พูดตามมารยาทหรอก แค่ตกใจ เพราะเธอเป็นคนแรกที่วิ่งมาเคาะห้องฉันจริงๆ”
“ผมมารบกวนใช่ไหมครับ...?”
“ไม่เลย ถ้าคิดว่ารบกวนคงไม่เสนอแต่แรกอยู่แล้ว ดูเหมือน...เธอจะย้ายออกจากที่นี่ไม่ได้จริงๆ สินะ ผู้เช่าคนอื่นเขาตรงไปที่บริษัทจัดหาห้องเช่ากันหมด ไม่มาที่ห้องฉันหรอก”
มิคาเงะผู้นั่งอยู่เยื้องๆ ยกกาแฟขึ้นจิบ สีหน้ายังดูงัวเงียอยู่เล็กน้อย แต่ไม่มีทีท่ารำคาญใจ โทโมฮารุกล่าวขอบคุณด้วยความโล่งอกก่อนเริ่มจิบกาแฟบ้าง
“เอ่อ แล้ววันนี้ไม่ต้องไปทำงานเหรอครับ เห็นนอนอยู่จนถึงเมื่อครู่นี้...?”
“หืม...? อ๋อ กำลังจะเริ่มน่ะ”
“แปลว่าเดี๋ยวต้องออกไปข้างนอกใช่ไหมครับ ขอโทษนะครับที่มารบกวนตอนยุ่งๆ”
โทโมฮารุทำท่าจะลุกขึ้น แต่มิคาเงะยกมือห้ามไว้แล้วบอกว่า “ฉันทำงานที่บ้าน”
“พอดีเป็นนักเขียนน่ะ ส่วนใหญ่จะนอนตอนกลางวัน แล้วเริ่มงานหลังพระอาทิตย์ตกดิน”
นักเขียนนิยายเหรอครับ โทโมฮารุทำตาโต ถามนามปากกาด้วยความสนใจใคร่รู้ ก่อนจะได้รับคำตอบว่าใช้ชื่อเดียวกับชื่อจริงคือ มิคาเงะ คุนิฮิโกะ
โทโมฮารุไม่ใช่หนอนหนังสือ แต่ถ้ามีคนใกล้ตัวเป็นนักเขียนก็ย่อมรู้สึกสนใจ เขาโน้มตัวไปข้างหน้าเพื่อถามต่อว่ามีตัวอย่างงานเขียนให้ดูไหม จังหวะนั้นอยู่ๆ ก็มีเสียงกุกกักดังมาจากด้านหลัง
เมื่อหันไปดูด้วยความตกใจก็เห็นประตูตู้เก็บของกำลังสั่นกึกๆ โทโมฮารุหันไปส่งสายตาให้มิคาเงะเป็นเชิงถาม แต่เจ้าตัวกลับนั่งจิบกาแฟหน้าตาเฉย ระหว่างนั้นตู้เก็บของยังคงส่งเสียงไม่หยุด โทโมฮารุจึงเบนสายตากลับไปหามันอย่างหวาดๆ
“...เอ่อ ทำไมหน้าตู้เก็บของมีไม้ยันอยู่ด้วยล่ะครับ”
หน้าตู้เก็บของเก่าๆ ซึ่งเป็นแบบประตูเลื่อนมีไม้วางพาดเฉียงๆ
“ก็ถ้ามีอะไรออกมา มันจะยุ่งเอา”
“ขะ ข้างในมีอะไรอยู่ด้วยเหรอครับ?”
“แค่หนังสือกับเอกสารน่ะ ไม่มีที่ให้คนเข้าไปซ่อนหรอก แต่บางทีก็ชอบมีเสียงดังมาจากข้างใน...”
“อย่าพูดอะไรน่ากลัวสิครับ!”
“ไม่ต้องห่วง เดี๋ยวมันก็เงียบ”
มิคาเงะว่าพลางเอื้อมมือไปทางโต๊ะด้านหลัง สิ่งที่เขาคว้ามาคือกล่องบุหรี่กับไฟแช็ก และที่เขี่ยซึ่งมีเถ้าค้างอยู่ข้างใน
ชายหนุ่มคาบบุหรี่ไว้ในปาก จุดไฟอย่างคล่องแคล่วแล้วอัดควันเข้าปอด จากนั้นดึงออกแล้วอั้นไว้ชั่วอึดใจก่อนพ่นควันสีขาวออกมา
สายตาของโทโมฮารุจับจ้องท่วงท่าเหล่านั้นอย่างเผลอไผล เพราะพฤติกรรมของมิคาเงะละม้ายคล้ายคลึงกับพ่อของเขา ภาพในอดีตอันแสนไกลของพ่อยามสูบบุหรี่ย้อนคืนมาอีกครั้ง
เสียงในตู้เก็บของหยุดลงเมื่อควันขาวเริ่มลอยฟุ้งทั่วห้อง รอจนผ่านไปสักพักก็ยังไม่มีอะไรเกิดขึ้น
โทโมฮารุทำหน้างุนงงท่ามกลางความเงียบสงัดภายในห้อง
“มะ...เมื่อกี้คืออะไรเหรอครับ? ใช่หนูรึเปล่า...?”
“ถ้าเป็นหนูคงไม่ดีแน่ มันสกปรก”
“ผมว่าถ้าไม่ใช่หนู มันจะยิ่งแย่กว่านะครับ!?”
“แต่พวกที่ไม่มีร่างกายสร้างความเสียหายน้อยกว่า ไม่กัดแทะหนังสือด้วย”
มิคาเงะทำหน้าขึงขัง ชายคนนี้ชินชากับอะพาร์ตเมนต์ผีสิงขนาดไหนกัน ระหว่างที่แอบอึ้งอยู่ในใจ คราวนี้ประตูกระจกด้านหลังมิคาเงะกลับส่งเสียงดังสนั่นราวกับถูกคนทุบจากด้านนอก โทโมฮารุสะดุ้งตัวโยน มือเอื้อมไปหามิคาเงะผู้นั่งอยู่เยื้องๆ
“นี่แหละครับ ที่ผมเจอในห้องเมื่อคืน! เดี๋ยวหลังจากนี้บนกระจกจะมี...”



+++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++
หลังถูกคนรักหลอกเอาเงินเก็บไป และต้องลาออกจากงานเพราะความแตกว่าเป็นเกย์ โทโมฮารุก็ย้ายไปอยู่ที่อะพาร์ตเมนต์ราคาย่อมเยาแห่งหนึ่ง ปรากฏว่าห้องเช่าของที่นั่นราคาถูกแสนถูกเพราะมีพลังงานบางอย่าง โชคดีที่ข้างห้องของเขาคือมิคาเงะ หนุ่มนักเขียนนิยายสยองขวัญรูปงามผู้ไล่ผีได้หน้าตาเฉย แต่มิคาเงะก็ถูกสิ่งลี้ลับอย่าง ‘ยูเมโกะ’ ตามรังควานอยู่เช่นกัน ถึงขนาดไม่ได้หลับสนิทมานานปีเพราะกลัวจะถูกยูเมโกะเล่นงาน ทว่ามิคาเงะคนนั้นกลับหลับสบายเมื่อมีโทโมฮารุอยู่เคียงข้าง และระหว่างที่เฝ้ามองใบหน้ายามหลับใหลอยู่ทุกค่ำคืนนั้นเอง...?

รูปภาพ

ตอบกลับโพส

ย้อนกลับไปยัง “Bongkoch Books News & Activities”