New Release BLY แปล : มายาพันธกานต์ BOX SET 2 เล่มจบ

อัพเดทข่าวบงกชบุ๊คส์ ความเคลื่อนไหว และกิจกรรมพิเศษ ตลอดจนร่วมสนุกชิงรางวัลพร้อมของรางวัลมากมาย

Moderator: P'Bly, Gals, พี่บี

ตอบกลับโพส
Gals
โพสต์: 1101
ลงทะเบียนเมื่อ: ศุกร์ 13 ก.พ. 2009 3:47 pm

New Release BLY แปล : มายาพันธกานต์ BOX SET 2 เล่มจบ

โพสต์ โดย Gals »

บทที่หนึ่ง

เหมันต์พร่างพรม ตะวันราแสง
หิมะไม่ได้ตก ทว่าหนาวเหน็บจนน่าตระหนก
ที่ปลายขอบฟ้าไกล แสงสีแดงนวลถูกลมเหนือโชยแผ่วพัดหายไปอย่างไร้ร่องรอยเสียแล้ว ชาวบ้านตัวเล็กๆ ที่กลับบ้านได้ต่างเร่งรีบกลับบ้าน ภายในประตูที่ปิดแน่นนั้นสั่งสมความร้อนอันน้อยนิดจนน่าอนาถเอาไว้
เถ้าแก่หลี่ซุกมือเอาไว้ในเสื้อ มองถนนอันหนาวเหน็บเงียบเหงา
ที่หนาวและเหงาไม่ได้มีเพียงถนนเท่านั้นเพราะแม้แต่ในโรงเตี๊ยมก็ยังหนาวและเหงาไปด้วย สองสามวันก่อนยังมีภาพคนที่ไปอวยพรวันเกิดบ้านสกุลไป๋เดินไปมาอยู่หน้าร้าน อาจเพราะแขกมากันเกือบครบแล้วจึงไม่เห็นภาพเช่นนั้นอีก แขกคนเดียวที่มีนั่งถูมือไปมาอยู่ข้างเตาผิง เขาก้มหน้าอยู่ตลอดเวลา
อากาศหนาว คนยอมออกมาข้างนอกย่อมมีไม่มาก เกรงว่าวันนี้คงไม่มีใครมาพักที่โรงเตี๊ยมแล้ว
?กุบกับ กุบกับ...? เสียงฝีเท้าม้าดังใกล้เข้ามา กลับมาดังเอาในเวลานี้
?เฮ้ย! แขกมา!? เสี่ยวเอ้อร์สะดุ้งได้สติ
เถ้าแก่หลี่ยืดคอออกไปมองด้านนอก
ม้าเร็วทะยานมาดุจเหินลม สองคนขี่ม้าสองตัวตามกันมา ที่สุดก็มาหยุดลงหน้าโรงเตี๊ยม หญิงสาวใบหน้ารูปไข่ซึ่งต้องลมเย็นจนแดงไปหมดนั่งอยู่บนหลังม้า นางถามขึ้นอย่างสดใส ?นี่ รู้หรือไม่ว่าบ้านสกุลไป๋ไปทางใด?
?แม่นางจะไปอวยพรวันเกิดผู้อาวุโสสกุลไป๋รึ?
?อื้อ ต้องไปถนนสายใดรึ?
?เลี้ยวซ้ายด้านหน้านี้ จากนั้นไปอีกสามลี้ก็จะถึงเขตบ้านสกุลไป๋ แม่นางขี่ม้าอีกครึ่งชั่วยามก็จะมองเห็นลานใหญ่ของบ้านสกุลไป๋แล้ว?
?หือ! ยังต้องขี่ม้าอีกครึ่งชั่วยามเชียวหรือ สกุลไป๋นี่ช่างฟุ่มเฟือยเสียจริง!? นางหันกลับไปเอ่ยกับบุรุษหนุ่มด้านหลังด้วยรอยยิ้ม ?ศิษย์พี่ท่านว่าอย่างนั้นหรือไม่?
โจวรั่วเหวินหัวเราะ
ปีนี้เขาเพิ่งอายุได้ยี่สิบปีเต็ม ใบหน้างดงามของเขาให้ความรู้สึกสงบสุขุม เขาคือศิษย์ที่โดดเด่นที่สุดแห่งสำนักหวาซาน อีกทั้งในใจของอาจารย์ เขายังเป็นคู่ครองที่เหมาะสมของธิดาผู้เป็นไข่มุกเม็ดงาม เขามองฟางหนีหงศิษย์น้องซึ่งอาจารย์และอาจารย์หญิงยกให้ตนอย่างกลายๆ เรียบร้อยแล้ว จากนั้นก็ยิ้มเอาใจ ?ศิษย์น้อง สกุลไป๋เป็นหนึ่งในสี่สกุลใหญ่แห่งยุทธภพ พวกเรามาอวยพรวันเกิดเป็นพิเศษ ข้าว่าเรื่องของวาจานั้นควรเคารพนบนอบเสียหน่อยก็จะเป็นการดี?
?เฮอะ! เฟิง ไป๋ ซือหม่า สวี หลายปีมานี้สกุลไป๋มิได้มีทายาทอันเก่งกาจสักคน หากเอ่ยถึงอันดับสกุลผู้มีอิทธิพลในยุทธภพ สกุลไป๋คงจะถูกจัดอยู่ปลายแถวแล้ว?
โจวรั่วเหวินถอนหายใจส่ายหน้า ?ศิษย์น้อง...?
?เรื่องนี้ท่านพ่อเป็นคนบอกข้า? ฟางหนีหงแลบลิ้นใส่โจวรั่วเหวินก่อนจะยิ้มหวาน ?ศิษย์พี่ ข้ารู้กาลเทศะหรอก เรื่องเหล่านี้ข้าไม่ไปพูดต่อหน้าท่านผู้อาวุโสไป๋อย่างแน่นอน!?
?สายมามากแล้ว เรารีบไปกันเถิด! วันเกิดอายุครบห้าสิบปีของผู้อาวุโสไป๋ คนในยุทธภพต่างมาถึงกันตั้งแต่สองวันก่อน วันพรุ่งนี้จะเป็นวันงานแล้ว พวกเราเพิ่งมาเอาวันนี้เกรงว่าจะเสียมารยาทพอควร?
?กลัวอันใด เราไม่ได้มาสายเสียหน่อย อวยพรวันเกิดหากไม่มาล่วงหน้าจะเป็นการทำผิดหรือ? ฟางหนีหงตอบกลับไปหนึ่งประโยค นางล้วงเศษเงินเล็กน้อยมาโยนให้เถ้าแก่หลี่ จากนั้นก็เตรียมกระทุ้งสีข้างม้าเพื่อมุ่งหน้าต่อไป แต่ไม่คาดว่าจะมีเสียงคนแปลกหน้าดังขึ้น
?ทั้งสองท่านโปรดรั้งอยู่ก่อน?
เสียงอ่อนโยนของบุรุษผู้หนึ่งเอ่ยเพียงไม่กี่คำทว่ากลับทะลุเข้ามาในโสตประสาทของคนสองคนที่อยู่บนหลังม้า จังหวะจะโคนและท่วงทำนองในน้ำเสียงนั้นราวกับจะทำให้อากาศเยือกเย็นสงบนิ่งกลับโลดแล่นตามไปด้วย ทำให้สองคนที่กำลังจะกระทุ้งสีข้างม้าจากไปนั้นต้องหันกลับมาอย่างพร้อมเพรียง
แขกเพียงหนึ่งเดียวในโรงเตี๊ยมที่นั่งเงียบอยู่ข้างเตาผิงมาตลอดนั้น ไม่ทราบว่ามายืนอยู่นอกประตูโรงเตี๊ยมตั้งแต่เมื่อใด
เขาสวมเสื้อผ้าสีดำ เส้นผมสีดำ รองเท้าหนังสัตว์เนื้อหนาสีดำ แต่งตัวอย่างบัณฑิตธรรมดา
?หือ? ฟางหนีหงเปล่งเสียงตอบรับ ครั้นสายตาไปสบกับดวงตางดงามเสียจนไม่น่าจะงดงามเช่นนั้นเข้า หัวใจก็โลดเต้นตึกตัก
ดวงตาคู่นั้นดูงดงามเสียจนไม่น่าจะงดงามเช่นนั้นได้ ลึกล้ำเสียจนไม่น่าจะลึกล้ำเช่นนั้นได้ และยังลึกซึ้งเสียจนไม่น่าจะลึกซึ้งเช่นนั้นได้ ราวกับเพียงแค่ประสานสบดวงตาคู่นั้นครั้งแรก ในใจก็มีถ้อยคำมากมายที่ต้องการเอื้อนเอ่ยเอ่อล้นขึ้นมาทว่ากลับติดค้างอยู่ในลำคอ ไม่อาจพูดได้แม้สักคำ
เมื่อมองตาคู่นั้นเป็นครั้งที่สอง นางจึงพบว่านั่นไม่ควรเรียกว่า ?งดงาม? ...ผู้ที่ยืนอยู่นอกประตูโรงเตี๊ยมนั้นคือบุรุษหนุ่มรูปงามผึ่งผาย ทั้งยังงดงามผึ่งผายเสียยิ่งกว่าบุรุษใดที่นางเคยพานพบ
คิ้วหนา จมูกเป็นสัน ริมฝีปากที่ทำให้รู้สึกอัศจรรย์ใจ ยังมีรอยยิ้มที่ดูอบอุ่นสง่างามนั้นอีก
?ขอถามคุณชายท่านนี้ เหตุใดจึงเรียกให้พวกเราหยุดเล่า? คนโผงผางอย่างฟางหนีหงกลับสงบเสงี่ยมลงได้
รอยยิ้มอบอุ่นขยายกว้างขึ้นที่มุมปาก บุรุษในชุดสีดำประสานมือแสดงความเคารพเบาๆ ?ขอถามว่าแม่นางกับคุณชายผู้นี้ต้องการไปยังคฤหาสน์สกุลไป๋ใช่หรือไม่?
?ไม่ผิด? โจวรั่วเหวินตอบ ?เรากำลังจะเดินทางไปอวยพรวันเกิดผู้อาวุโสไป๋ในนามของสำนักเรา?
?เมื่อเป็นเช่นนี้ พวกท่านรับผู้โดยสารเพิ่มอีกหนึ่งได้หรือไม่? บุรุษชุดดำถามอีก ?ข้าเองก็ต้องการไปยังคฤหาสน์สกุลไป๋เช่นกัน?
?ท่านรึ? ฟางหนีหงมองเขาอย่างไม่กะพริบตา ?ท่านไม่มีม้ารึ?
?เดิมข้าคิดเดินเท้าไป ไม่คิดว่าลมจะแรงกะทันหัน ถนนหนทางเดินเหินได้ยากนัก...?
?ท่านก็จะไปอวยพรวันเกิดเช่นกันหรือ?
?ใช่แล้ว?
โจวรั่วเหวินมองศิษย์น้องข้างกายตนซึ่งดูแปลกแปร่งไป จากนั้นก็มองบุรุษผู้นั้น...
รูปงามสง่า สุขุมผ่าเผย...
โจวรั่วเหวินหัวร่อฮาฮา ?ที่แท้ก็ไปทางเดียวกัน ข้าคือศิษย์สำนักหวาซานนามว่าโจวรั่วเหวิน ส่วนนี่คือศิษย์น้องของข้า หนีหง ขอถามแซ่และนามอันสูงส่งของท่านได้หรือไม่?
?ข้าคือไป๋เส้าฉิง? เสียงของเขาทะลุเข้าไปถึงโสตประสาทอย่างแท้จริง น้ำเสียงทุกถ้อยพยางค์นั้นทำให้คนฟังรู้สึกไม่สบายใจอย่างบอกไม่ถูก
สายตาของฟางหนีหงเลื่อนไปหยุดที่ไป๋เส้าฉิง นางรู้สึกตกใจครั้งแล้วครั้งเล่า ?ไป๋รึ ท่านแซ่ไป๋ ท่านเป็นคนสกุลไป๋หรือ?
ไป๋เส้าฉิงท่าทางลำบากใจกับคำถามนี้เล็กน้อย เขาลังเลครู่หนึ่งแล้วจึงเอ่ยด้วยรอยยิ้ม ?น่าละอายนัก เส้าฉิงเป็นเพียงบุตรคนที่สามซึ่งน่าผิดหวังที่สุดของสกุลไป๋เท่านั้น?
?โอ ที่แท้ท่านคือคุณชายสามแห่งสกุลไป๋ เมื่อเป็นเช่นนี้ก็ขอเชิญร่วมทางไปกับข้าเถิด!? โจวรั่วเหวินแสดงสีหน้าวางใจออกมาทันที เขายื่นมือออกไปรับไป๋เส้าฉิงขึ้นม้า ?ศิษย์น้อง นี่ก็สายมากแล้ว เราออกเดินทางกันเถิด?
?ได้!?
?ขอบคุณพี่โจวมาก?
คนสามคนขี่ม้าสองตัว เร่งรุดเดินทางไปในแสงอาทิตย์อัสดง
เถ้าแก่หลี่ยืนอยู่นอกประตู เอ่ยพึมพำกับตัวเอง ?นี่ข้ามิใช่ตาบอดแล้วหรือ นั่นคือคุณชายสามแห่งสกุลไป๋แท้ๆ ข้าหมายความว่าแม้เขาจะสวมเสื้อผ้าปกติธรรมดา แต่ท่าทางนั้นงดงามอย่างหาได้ยากจริงๆ หากตอนเข้าโรงเตี๊ยมมาเขาออกเสียงสักนิด ไม่แน่ว่าข้าอาจจะมองออก ไอ้หยา เสียโอกาสอันดีที่จะได้ต่อสายป่านไปแล้วสิ? เขาเคาะหัวตัวเองครั้งแล้วครั้งเล่า

ทั้งสามเร่งเดินทาง ฟางหนีหงหันไปมองไป๋เส้าฉิงที่อยู่บนหลังม้าของศิษย์พี่ไม่หยุด ใจของนางเต้นรัว เมื่อลงม้าที่ปากทางคฤหาสน์สกุลไป๋ก็มีเมฆสีแดงปกคลุมไปทั่ว
ไป๋เส้าฉิงกระโดดจากหลังม้าลงพื้นอย่างไม่คล่องนัก ?ขอบคุณพี่โจวมาก?
?เล็กน้อย? โจวรั่วเหวินรวบมือคำนับพลางหัวเราะ เขาหันไปมองคฤหาสน์สกุลไป๋อันมีชื่อเสียงก้องยุทธภพเบื้องหน้านั่น
ในบรรดาสี่สกุลอันเลื่องชื่อของยุทธภพ สกุลไป๋นั้นร่ำรวยที่สุด ไม่ต้องพูดถึงที่ดินกว้างใหญ่เป็นรัศมีร้อยลี้นี้ก็ได้ เพียงแค่คฤหาสน์สกุลไป๋ซึ่งตั้งอยู่ ณ ทะเลสาบลั่วซีแห่งนี้ และสิงโตทองคำแท้มีตาเป็นอัญมณีสองตัวหน้าประตูใหญ่นั่นก็อธิบายได้ทุกสิ่งแล้ว
คนรับใช้ของสกุลไป๋ที่รับผิดชอบต้อนรับแขกเร่งรีบเข้ามา ?ฮาฮา! แขกคนสำคัญมาถึงแล้ว ขอถามคุณชายและแม่นางว่าท่านมีชื่อแซ่อันสูงส่งอันใด ข้าน้อยจะได้ไปรายงานกับผู้อาวุโสได้อย่างถูกต้อง? คนรับใช้ยิ้มแย้มต้อนรับ ทว่าดูคล้ายไม่สังเกตเห็นไป๋เส้าฉิงที่อยู่ด้านข้างแม้แต่น้อย
?ข้าคือโจวรั่วเหวินแห่งสำนักหวาซาน ท่านอาจารย์สุขภาพไม่สู้ดี ไม่อาจมาได้ด้วยตนเอง จึงให้ข้ากับศิษย์น้องฟางหนีหงมาร่วมอวยพรผู้อาวุโสไป๋แทน?
คนรับใช้ของสกุลไป๋รักษามารยาทนัก ดูท่าจะได้รับการอบรมมาเป็นอย่างดี ?ที่แท้เป็นท่านวีรบุรุษแห่งสำนักหวาซาน เชิญขอรับ เชิญๆ ห้องพักสำหรับคนของสำนักหวาซานถูกจัดเตรียมเอาไว้พร้อมแล้ว? คนรับใช้ยิ้มให้ทั้งสองแล้วจึงหันกายนำทางไป
?แล้วท่านเล่า? ฟางหนีหงไม่ยอมขยับเท้า นางหันไปถามเบาๆ
ริมฝีปากงดงามของไป๋เส้าฉิงยกขึ้นเล็กน้อย ?เส้าฉิงต้องขอไปพบมารดาก่อน แม่นางฟางรักษาตัวด้วย?
ครั้นเห็นไป๋เส้าฉิงหันกายไปอย่างมิได้ใส่ใจอันใดนัก ฟางหนีหงก็เม้มปาก ?รอเดี๋ยว เช่นนั้นข้า...?
?แม่นางฟางมาอวยพร คงต้องพักอยู่ที่บ้านสกุลไป๋สองสามวันกระมัง? ไป๋เส้าฉิงหยุดฝีเท้า เบื้องหลังของเขาช่างดูสงบนิ่ง ?เช่นนั้นข้า...จะต้องไปเยี่ยมเยือนแม่นางเป็นแน่ เพื่อขอบคุณในน้ำใจของแม่นาง?
ฟางหนีหงเพิ่งยิ้มออกก็ครานี้ นางทั้งดีใจและเขินอาย ?จริงรึ? นางเงยขึ้นมองเบื้องหลังของไป๋เส้าฉิงครู่หนึ่ง อดถามขึ้นมาไมได้ ?ท่านจะขอบคุณข้าอย่างไร?
?เลี้ยงอาหารแม่นางสักมื้อเป็นอย่างไร? มีแววหยอกเย้าแทรกอยู่ในถ้อยคำทว่ากลับฟังดูหนักแน่น
ไป๋เส้าฉิงก้าวเท้าจากไปแล้ว แต่เสียงหัวเราะอ่อนโยนยังหลงเหลืออยู่ข้างหูของฟางหนีหง
โจวรั่วเหวินหันกายไป พบว่าศิษย์น้องยังคงยืนเหม่ออยู่ที่เดิม ?ศิษย์น้อง ยังไม่รีบตามมาอีก? เขามองไปยังทิศที่ฟางหนีหงมอง ก่อนจะถามออกมาทั้งที่รู้ ?คุณชายสามสกุลไป๋ไปแล้วรึ?
?อือ เขาบอกว่าต้องไปพบมารดา? ฟางหนีหงรู้สึกเคว้งคว้างนัก
?เราไปกันเถิด! พี่ชายคนนั้นรอนำทางเราไปยังห้องพักอยู่นะ! วันนี้ผู้อาวุโสไป๋มีเรื่องยุ่ง พรุ่งนี้ค่อยไปคารวะ?
?อือ?
ในคฤหาสน์เต็มไปด้วยเรือน หอ และศาลาต่างๆ ทางเดินโดยรอบทอดตัวต่อเนื่องกันไป ทั้งสองเดินตามคนรับใช้ไปครึ่งชั่วยามจึงมาถึงหอเฟิงหย่าที่ถูกเตรียมเอาไว้ต้อนรับพวกเขา
ทิวทัศน์หรูหราเบื้องหน้าทำเอาชาวยุทธ์อย่างพวกฟางหนีหงรู้สึกคล้ายหลุดไปอยู่อีกโลกหนึ่ง
ที่ระเบียงทางเดินชั้นล่างมีกรงนกสวยงามหลากสีสันแขวนเอาไว้ ทำให้ฟางหนีหงหัวร่อฮาฮามิได้หยุด
?ศิษย์พี่มาดูเร็ว นี่คืออะไร?
โจวรั่วเหวินมองศิษย์น้องที่กำลังตื่นเต้น ริมฝีปากแต้มรอยยิ้ม ?ศิษย์น้อง มานี่เถิด ศิษย์พี่จะพูดกับเจ้าสักสองสามประโยค?
ฟางหนีหงโยนก้อนหินออกไปก้อนหนึ่ง ทำเอาปลาจิ๋นหลี่ สีขาวแดงฝูงใหญ่ในบ่อน้ำแตกกระเจิง จากนั้นนางจึงเงยหน้าเหวี่ยงเปียยาวไปด้านหลัง ?เรื่องอะไรหรือ?
?ไป๋เส้าฉิงผู้นั้น เราผูกสัมพันธ์กับเขาให้น้อยลงจะดีกว่า?
ฟางหนีหงนิ่งไป ?เพราะเหตุใดเล่า?
?เขา...สถานการณ์บ้านของเขาไม่ค่อยดี?
?เป็นคุณชายสกุลไป๋เหตุใดสถานการณ์ทางบ้านจึงไม่ค่อยดี? ฟางหนีหงสงสัยนัก
?เรื่องนี้ในยุทธภพมีข่าวลือต่อกันมา เจ้าไม่รู้รึ? โจวรั่วเหวินนั่งลงที่ระเบียงทางเดิน เขาพับแขนเสื้อขึ้น ?มาๆ ศิษย์พี่จะบอกต่อเจ้า?
?ท่านรีบพูดเถิด?
?ไป๋โม่หรานผู้นำสกุลไป๋ยุคปัจจุบัน...หรือก็คือผู้อาวุโสไป๋ที่เรามาอวยพรกันในครั้งนี้ กับไป๋ฮูหยิน...ซึ่งก็คือซ่งเซียงหลี สตรีงามอันดับหนึ่งในยุทธภพของยุคนั้น เรื่องราวความรักระหว่างท่านทั้งสองเป็นเรื่องสะท้านฟ้าสะเทือนดิน...?
ฟางหนีหงเหยียดปาก โบกมือพลางว่า ?เล่าเรื่องเก่าอยู่เรื่อย ข้าก็นึกว่าจะมีเรื่องใหม่ๆ อะไรมาเล่าให้ฟังเสียอีก! ข้าเคยฟังมาจากท่านพ่อ ครั้งนั้นไป๋โม่หรานถูกศัตรูโจมตี ซ่งเซียงหลีเข้าช่วยจนขาถูกตัดขาดยังไม่พอ แม้แต่ใบหน้างดงามอันดับหนึ่งแห่งยุทธภพก็ถูกทำลายจนเสียหายไปด้วย ไป๋โม่หรานสาบานต่อฟ้าหน้าเตียงที่ซ่งเซียงหลีนอนป่วยอยู่ว่าจะไม่มีวันทำให้นางได้รับอันตรายใดอีก ทั้งยังตบแต่งนางเข้าบ้านจริงๆ ตลอดหลายสิบปีมานี้ยังคงดูแลนางเฉกเช่นวันแรก คอยอยู่เคียงข้างนางมิได้ขาด จนได้รับการขนานนามเป็นสามีอันดับหนึ่งแห่งยุทธภพ
?ฮ่าฮ่า! เจ้ารู้ทั้งหมดนี้ได้อย่างไรกัน? โจวรั่วเหวินเอามือทั้งสองจับกันไว้ ?เช่นนั้นข้าจะถามเจ้า ไป๋เส้าฉิงถือกำเนิดมาได้อย่างไร เจ้าน่าจะรู้กระมัง?
?เรื่องนี้...มิใช่ถือกำเนิดจากซ่งเซียงหลีรึ?
?อย่างไรเล่า ยากเกินไปสำหรับเจ้ารึ? โจวรั่วเหวินว่าพลางพยักหน้า ?ไม่ใช่อย่างแน่นอน ในยุทธภพไม่มีผู้ใดไม่ทราบว่าไป๋ฮูหยินมีบุตรชายเพียงสองคนเท่านั้น คือคุณชายใหญ่ไป๋เส้าซิ่น กับคุณชายรองไป๋เส้าหลี่ สำหรับคุณชายสามท่านนี้ที่จริงแล้วคือบุตรที่เกิดจากไป๋โม่หรานกับสตรีตาบอดที่อาศัยในหุบเขาลึก?
ฟางหนีหงขมวดคิ้ว ?เช่นนั้นไป๋โม่หรานมิใช่กลายเป็นบุรุษที่ไม่รักเดียวใจเดียวแล้วรึ?
?จะกล่าวเช่นนั้นก็ไม่ได้? โจวรั่วเหวินส่ายหน้าเบาๆ ?ซ่งเซียงหลีคลอดบุตรให้ไป๋โม่หรานสองคน หลังจากนั้นหลายปีไป๋โม่หรานก็ถูกศัตรูโจมตีอีก เขาถูกรุกไล่จนตกหน้าผาเกือบกลายเป็นอาหารพยัคฆ์ แต่ก็ได้รับการช่วยเหลือจากสตรีตาบอดน่าสงสารผู้หนึ่งที่อาศัยอยู่ในป่าลึก บุรุษกับสตรีอาศัยอยู่ด้วยกันเพียงลำพังเช่นนั้น ไม่มีผู้ใดล่วงรู้ว่าเกิดเรื่องใดขึ้น อย่างไรเสียกว่าคนสกุลไป๋จะตามหาไป๋โม่หรานจนพบ ขณะนั้นสตรีตาบอดก็ตั้งครรภ์แล้ว?
?ไอ้หยา! เช่นนั้นซ่งเซียงหลีต้องโกรธเป็นฟืนเป็นไฟแน่?
?ยิ่งกว่านั้นเสียอีก ได้ยินอาจารย์กล่าวว่า...? โจวรั่วเหวินลดเสียงลงแล้วเข้าไปเอ่ยข้างหูนาง ?ซ่งเซียงหลีเสียใจกับเรื่องนี้จนคิดสั้น อยากจะปลิดชีวิตตนหลายต่อหลายครั้ง แต่ล้วนถูกคนในบ้านห้ามเอาไว้ได้ทัน เวลานั้นแม่เฒ่าไป๋ยังมีชีวิตอยู่ นางยืนยันเด็ดขาดไม่ให้ทายาทสกุลไป๋ตกหล่นไปอยู่นอกบ้าน ไป๋โม่หรานไม่มีหน้ามองภรรยาที่รัก อีกด้านยังต้องรักษาชื่อเสียงของตน เขาไม่ทราบทำอย่างไรดี ในที่สุดจึงรอคำอนุญาตจากซ่งเซียงหลีและรับคุณชายสามเข้าบ้านสกุลไป๋มา แม้แต่สตรีตาบอดที่มีบุญคุณต่อตนผู้นั้นก็รับเข้ามาอาศัยในคฤหาสน์สกุลไป๋ด้วย เขาดูแลนางในนามของญาติห่างๆ เรื่องราวก็จบลงเช่นนี้?
เขาเล่าเรื่องรวดเดียวจนจบ และยังเอ่ยต่อ ?ดังนั้นสำหรับบ้านสกุลไป๋แล้วไป๋เส้าฉิงไม่สู้เป็นที่ชื่นชอบนัก ทุกคนต่างทราบดีแก่ใจว่าเขาเป็นลูกหญิงชู้ เจ้าไม่เห็นสายตาที่คนรับใช้มองเขารึ ยังมีอีก ยามเขาลงม้านั้นดูตะกุกตะกักไม่คล่องตัว เกรงว่าแม้แต่กำลังภายในผู้อาวุโสไป๋ก็มิได้ถ่ายทอดแก่เขา ศิษย์น้อง เราอยู่ในถิ่นของผู้อื่น อย่าได้กระทำสิ่งที่ไม่ควรทำจะดีกว่า?
ฟางหนีหงกำลังจะคลายเปียออกเพื่อสางผมเสียใหม่ แต่ครั้นฟังคำของโจวรั่วเหวินแล้วจึงตวัดผมขึ้นไปเกล้าเอาไว้หลวมๆ พลางว่า ?ข้าไปทำเรื่องไม่ควรทำอันใดกัน ต่อให้ไป๋เส้าฉิงมิใช่บุตรแท้ๆ ของไป๋ฮูหยินแต่ก็ยังนับเป็นคนสกุลไป๋ เหตุใดข้าจึงพูดคุยกับเขาไม่ได้ เฮอะ ข้ายังต้องการให้เขาเลี้ยงข้าวข้าอยู่!? เมื่อคิดว่าคนข้างตัวมีท่าทีอย่างไรต่อไป๋เส้าฉิงนางก็ยิ่งรู้สึกขุ่นเคืองใจ จึงเอ่ยกับโจวรั่วเหวินอย่างตรงไปตรงมา ?ศิษย์พี่ แม้แต่ท่านก็กลายเป็นคนหัวสูงเช่นนี้ไปแล้วรึ หากท่านยังดูถูกเขาเพราะเรื่องเหล่านี้อีก ต่อไปข้าก็ไม่ต้องการพูดกับท่านแล้ว!? พูดมาถึงท้ายประโยคนางก็รู้สึกย่ำแย่อยู่ในใจ
ไม่มีผู้ใดล่วงรู้ ณ ที่แห่งหนึ่ง...สายใยแห่งความรู้สึกได้ถูกถักทอขึ้นแล้ว...ยากจะคลายออกได้

ลึกเข้าไปในคฤหาสน์สกุลไป๋ เหมันต์ยิ่งทวีความหนาวเหน็บ
อาทิตย์อัสดงลับลาแล้ว ณ มุมที่ไม่มีผู้ใดยินดีมาเยี่ยมเยือนนักแห่งนี้ยิ่งหนาวเหน็บเปลี่ยวดายยิ่งกว่าที่ใด คนรับใช้สองสามคนกำลังทำความสะอาดสวนดอกไม้ พวกเขาเงยขึ้นมองเงาบุคคลที่เดินผ่านไปเบื้องหน้า ดวงตามีแววชื่นชมและเวทนาฉายวาบขึ้น
อบอุ่น สุขุม รูปงาม...คุณชายสาม
ความชื่นชมและเวทนานั้นฉายวาบขึ้นเพียงชั่วขณะเดียวก็หายไป เหล่าคนรับใช้คิดได้อย่างรวดเร็วว่าตนกับคนผู้นั้นมีสถานะอย่างไรต่อกันจึงรีบก้มหน้างุดทำงานของตน
จากหน้าประตูใหญ่ของคฤหาสน์มาถึงที่นี่ นี่นับเป็นคนที่หนึ่งร้อยสิบสอง
สายตาของไป๋เส้าฉิงไม่ไหวติง เขาใช้สายตาอ่อนโยนมองกระท่อมเล็กเตี้ยเสียจนไม่ควรมาปรากฏอยู่ในคฤหาสน์สกุลไป๋อันรุ่มรวยฟุ้งเฟ้อแม้แต่น้อย มุมปากของเขาปรากฏรอยยิ้มเย็น
คนรับใช้คนที่หนึ่งร้อยสิบสองนี้รับรู้ถึงตัวตนของเขาอย่างชัดแจ้ง แต่กลับทำประหนึ่งเขาไม่มีตัวตน
การแสร้งทำว่าคุณชายสามไม่มีตัวตนนั้นได้กลายเป็นกฎที่รับรู้กันเงียบๆ ในบ้านสกุลไป๋ไปเสียแล้ว ไป๋เส้าฉิงจำได้ ครานั้นที่เหล่าคนรับใช้ตัวน้อยมาหมอบคลานอยู่ข้างหน้าต่างเรียกให้เขาออกไปเล่นด้วยกัน คนรับใช้ตัวน้อยเหล่านั้นก็ถูกไล่ออกจากบ้านสกุลไป๋อย่างไร้ความปรานี
นิ้วเรียวยาวลูบร่องรอยบนประตูที่เขาทั้งคุ้นเคยและรู้สึกแปลกหน้า ไป๋เส้าฉิงถอนหายใจ
วันเวลาผันเปลี่ยนเคลื่อนคล้อย ใบไม้บนต้นร่วงโรยหมดสิ้น ที่แท้ก็ผ่านไปอีกหนึ่งปีแล้ว
เขาผลักประตูไม้ที่ลั่นเอี๊ยดอ๊าด ในห้องนั้นมีแผ่นหลังของคนผู้หนึ่งนั่งอยู่อย่างเดียวดายริมหน้าต่าง
เบื้องหลังของคนผู้นั้นไม่งดงามแม้แต่น้อย เสื้อผ้าหยาบไม่ประณีต ศีรษะไร้เครื่องประดับ เพียงมองจากด้านหลังก็สามารถคาดเดาได้ว่านางคงมีเพียงใบหน้าที่ธรรมดาแสนธรรมดาเท่านั้น
ความรู้สึกที่ทิ้งเอาไว้ให้คนมองได้สัมผัส...มีเพียงความเดียวดาย
ภายใต้แสงเทียนวูบไหวยิ่งดูเดียวดายนัก
ทว่าที่มุมปากของไป๋เส้าฉิงกลับเผยรอยยิ้มแท้จริงอันหาได้ยากออกมาก็ด้วยความเดียวดายอันแสนอบอุ่นนี้เอง
?ท่านแม่ ลูกกลับมาแล้ว? เขาเข้าไปใกล้ ค่อยๆ คุกเข่าลงข้างขาของสตรีวัยกลางคน แล้วเงยขึ้นมองใบหน้าที่แก่ลงทุกปี
สตรีผู้นั้นยิ้ม นางก้มลง แสงเทียนส่องให้ใบหน้าแสนธรรมดาของนางเป็นสีแดง ?เส้าฉิง เจ้ากลับมาแล้วรึ พรุ่งนี้พ่อเจ้าจะอายุห้าสิบปีแล้ว แม่คาดไว้แล้วว่าวันนี้เจ้าต้องกลับมา ดูซิ แม่เตรียมเทียนเอาไว้รอเจ้าด้วย? แม้ว่าตาจะมองไม่เห็น ทว่ามือกลับชี้ไปยังทิศที่มีเปลวเทียนได้อย่างแม่นยำ
ความอบอุ่นตีรื้นขึ้นมา ก้อนสะอื้นจุกอยู่ในลำคอ
?ขอบคุณท่านแม่?
?เด็กโง่ แม่ไม่ได้ให้อะไรเจ้าเลย!? นางคลำไปจนพบและจับมือของไป๋เส้าฉิงเอาไว้ ก่อนจะเอ่ย ?เจ้าลำบากเหลือเกิน?
?ไม่เลย?
?ไม่ต้องปิดแม่หรอก คนตาบอดคลำเก่งที่สุด เพียงแม่คลำมือของเจ้าแม่ก็รู้ว่าเจ้าใช้ชีวิตลำบากเพียงใด?
ไป๋เส้าฉิงหัวเราะ ?ท่านแม่ ท่านไม่ต้องกังวลไป ข้าเพียงช่วยอาจารย์ตักน้ำผ่าฟืนเท่านั้น ตัวข้าเป็นศิษย์ นั่นนับเป็นเรื่องใหญ่โตอันใดเล่า?
?เส้าฉิง เจ้ากลับมาครานี้ยังคิดออกจากบ้านสกุลไป๋ไปร่ำเรียนอีกรึ?
เขาเงียบไปครู่หนึ่ง
ไป๋เส้าฉิงเอ่ยเบาๆ ?หากท่านแม่เหงา เส้าฉิงจะไม่ไป จะอยู่เป็นเพื่อนท่านแม่?
?ไม่ต้องหรอก? มารดายิ้ม ?เจ้าดูแม่ บุตรชายคิดฝันกว้างไกล แม่จะล่ามผูกเจ้าเอาไว้ไยเล่า เจ้าไปเถิด! รองานฉลองวันเกิดของพ่อเจ้าเสร็จสิ้นแล้วก็ไปเสีย?
ทั้งสองเงียบกันไปชั่วครู่ ราวกับอากาศอันสงบนิ่งถูกทำให้ป่วนปั่น จู่ๆ นางก็ทอดถอนใจ ?เราพูดเหลวไหลอันใดกันอยู่ ที่นี่ไม่มีคนนอก ไยต้องพูดคำลวงเหล่านี้อีก เส้าฉิง เจ้าก็รู้ว่าพวกเขาปฏิบัติต่อเจ้าไม่ดี แม่ไม่อยากให้เจ้าต้องทนลำบากอยู่ในบ้านสกุลไป๋แห่งนี้?
?ท่านแม่!? ไป๋เส้าฉิงเอ่ยเสียงดัง ความร้อนตีรื้นขึ้นมาในดวงตา ?เส้าฉิงต้องทำได้แน่ จะมารับท่านแม่ออกไปจากนรกสกุลไป๋นี่ให้ได้?
?อืม แม่จะรอ?
สีของค่ำคืนยิ่งทวีความเข้ม เมื่อมองผ่านหน้าต่างจะเห็นเงาคนสองคนในกระท่อมเล็กเคลื่อนเข้าหากันอย่างอบอุ่น
แสงเทียนหรี่ดับลงแล้ว แต่ใจคนเล่าเป็นเช่นไร

เดิมเขาคิดรอให้มารดานอนหลับแล้วจึงกลับห้องนอนของตน ทว่าไป๋เส้าฉิงกลับยืนอยู่ข้างเตียง ยืนมองใบหน้าที่คุ้นเคยอยู่เช่นนั้นทั้งคืน
ท่านแม่ หลังงานฉลองวันเกิดข้าก็จะไปแล้ว
ความเศร้าหนักหน่วงซึ่งเก็บอยู่ลึกสุดหัวใจในยามปกตินั้น ถูกเข็มแห่งความอาวรณ์สะกิดให้เอ่อท้นขึ้นมา
กลับบ้านวันแรกเขามาพบมารดา วันนี้ต้องไปพบบิดากับ ?มารดา? อีกคนหนึ่ง และยังมีพี่ชายอีกสองคนที่ยืนอยู่บนก้อนเมฆนั่น รอให้เขาเคารพท่านพ่อและทำพิธีทุกอย่างเสร็จสิ้นเท่านั้นเขาก็จะจากไปทันที!
ไป๋เส้าฉิงครุ่นคิด หากยังอยู่ต่อไปก็มีแต่จะทำให้ผู้อื่นไม่พอใจ และยังนำปัญหามาสู่มารดาอีกด้วย
เขาเงยหน้า คิดจะถอนหายใจยาวสักครา ทว่าก็คิดขึ้นได้ว่ามารดากำลังหลับสนิทจึงได้แต่อดกลั้นเอาไว้
นอกหน้าต่างฟ้าสว่างแล้ว เมื่อคืนเขาใส่ยาหลับใหลสงบนิ่งลงไปในน้ำชา ไม่อยากให้มารดาต้องรับรู้ว่าเขาจากไปแล้ว
เมื่อไปแล้ว เกรงว่าคงนานถึงหนึ่งปีอีกครา
ประตูไม้เปิดดังเอี๊ยดอ๊าดอีกครั้ง แสงแดดสาดทอเข้ามา ไป๋เส้าฉิงก้าวออกจากกระท่อม กลับสู่ความเรียบนิ่งไร้อารมณ์ดังวันวาน
โถงหลักของคฤหาสน์สกุลไป๋อยู่ห่างจากที่นี่มากนัก ไป๋เส้าฉิงเดินช้าๆ ระหว่างทางพบกับแขกที่มาร่วมอวยพรวันเกิดไม่ได้ขาด ในสายตาประหลาดใจและชื่นชมนั้นมีความริษยาแทรกอยู่ จากใบหน้าของเขาเลยลงไปยังลำคอระหง กระทั่งถึงนิ้วมืออันเรียวงามเสียยิ่งกว่าสตรีของเขา
?คุณชายไป๋!? เบื้องหลังมีสุ้มเสียงสดใสแจ่มชัดตะโกนมา เงาร่างสีชมพูวิ่งมาหาเขาอย่างรีบร้อน ?คุณชายไป๋จะไปอวยพรผู้อาวุโสไป๋หรือ? เมื่อเห็นไป๋เส้าฉิงพยักหน้าน้อยๆ ฟางหนีหงก็ยิ้ม ?ข้ากับศิษย์พี่กำลังจะเชิญท่านร่วมทางไปด้วยกันพอดี ศิษย์พี่ เร็วหน่อยสิ!? ใบหน้างดงามดูตื่นเต้นดีใจหันไปเบื้องหลังเพื่อตะโกนพูดกับโจวรั่วเหวินซึ่งจงใจเดินเอื่อยๆ
?อืมๆ ข้ารู้แล้ว? โจวรั่วเหวินลอบถอนหายใจ ทำได้เพียงเดินไปหาไป๋เส้าฉิงแล้วยิ้ม ?พี่ไป๋ อรุณสวัสดิ์?
ไป๋เส้าฉิงไม่ได้ยิ้ม ทว่าในดวงตากลับฉายแววยิ้มแย้มอย่างปิดไม่มิด ?มิใช่อรุณแล้ว?
ไม่ว่าผู้ใดได้เห็นสายตาเป็นมิตรเช่นนี้ล้วนอดรู้สึกสนิทชิดเชื้อไม่ได้
สามคนเดินไปทางเดียวกัน เดินไปตามทางเดินเรื่อยๆ

ยังไม่ทันถึงห้องโถงหลัก เสียงเพลงเซิง ก็ลอยเข้าหูมาแล้ว ไม่ต้องเดินเข้าไปถึงข้างในก็รู้ว่าคึกคักและเต็มไปด้วยสีสันเพียงใด
ฟางหนีหงรำพึง ?แขกมากจริงเชียว?
?ผู้อาวุโสไป๋มีชื่อเสียงเกรียงไกรทั่วยุทธภพ วันฉลองวันเกิดครั้งใหญ่ย่อมมีผู้เคารพนับถือผู้อาวุโสไป๋มากมายมาร่วมอวยพร? โจวรั่วเหวินมองไป๋เส้าฉิงที่อยู่ข้างกาย จงใจเอ่ยชมสกุลไป๋สักประโยค
ไป๋เส้าฉิงมองโจวรั่วเหวินอย่างไม่แสดงอารมณ์ความรู้สึกใด เขาหัวเราะเบาๆ ?พี่โจวเดินทางพันลี้มาร่วมอวยพรท่านพ่อข้า เส้าฉิงซาบซึ้งน้ำใจไม่จบสิ้น?
?ไม่กล้ารับ ไม่กล้ารับ?
ทั้งเสียงสั่วน่า หลัวกู่ เสียงแขกเหรื่อกล่าวทักทายกันทั้งด้านในด้านนอก เสียงเหล่าคนรับใช้ซอยเท้าเดินไปทุกหนแห่ง เมื่อเพิ่มเสียงคณะละครฝึกซ้อมเปล่งเสียงเพื่อเตรียมแสดงละครอวยพรวันเกิดอยู่ด้านนอกโถงหลักด้วยแล้ว ยิ่งพวกเขาเข้าไปใกล้ก็ยิ่งรู้สึกว่าเสียงดังโหวกเหวกเหลือเกิน
งานเลี้ยงฉลองวันเกิดอันคึกคักนี้ เกรงว่าจะถือเป็นงานมงคลใหญ่อันหาได้ยากในรอบปีแห่งยุทธภพทีเดียว
ทั้งสามกำลังจะก้าวเข้ามาในโถงหลัก เสียงทั้งหลายก็หยุดลง
เสียงสั่วน่าหยุดลง เสียงหลัวกู่หยุดลง เสียงผู้คนพูดคุยกันหยุดลง แม้แต่เสียงฝีเท้าหรือเสียงกระแอมไอก็ไม่มีแม้แต่น้อย
เงียบสงัดไปทั่วบริเวณ
โจวรั่วเหวินกับฟางหนีหงมองกันและกันอย่างไม่เข้าใจ ทั้งสองตั้งใจจะถามออกมาพร้อมกัน ทว่าก่อนจะได้เอ่ยปากกลับได้ยินเสียงหัวเราะดังอันชวนให้ประหลาดใจ ?เชิญ! เชิญท่าน!?
ราวกับเสียงนี้คลี่คลายความเงียบงันทั้งมวล เสียงแห่งความคึกคักทั้งหลายกลับมาดังขึ้นอีกครั้ง ทั้งเสียงสั่วน่า หลัวกู่ เสียงคนรับใช้ยิ่งดังหนวกหูเสียยิ่งกว่าคราแรก ยิ่งคึกคักกว่าเดิม
บรรดาแขกในห้องโถงใหญ่นับได้หลายร้อยคน ทั้งสูงต่ำอ้วนผอมจากสำนักต่างๆ ต่างปรี่เข้าไปหาผู้อาวุโสไป๋ที่ใบหน้าเบิกบานแจ่มใส
?ท่านผู้ใดจากสำนักอันยอดเยี่ยมใดรึ จึงได้ทำให้เจ้าของงานต้องออกมาต้อนรับด้วยตนเองเช่นนี้?
โจวรั่วเหวินก้มหน้าคิด มุมปากยกขึ้นเล็กน้อย ?คนจากสำนักที่ยอดเยี่ยมเช่นนี้ในยุทธภพคงมีเพียงผู้เดียวเท่านั้น...เฟิงหลง?
?คุณชายใหญ่สกุลเฟิงรึ? ฟางหนีหงค่อยๆ มองไป๋เส้าฉิงที่อยู่เงียบๆ ก่อนจะว่า ?อาศัยบารมีตระกูลมาวางมาด ข้าละไม่ชื่นชมพวกคุณชายประเภทนี้ที่สุด?
ระหว่างพูดคุย ทางเดินปูกระเบื้องก็มีเสียงผู้คนดังขึ้นอีกครา คุณชายที่ฟางหนีหงไม่ชื่นชมนั้นถูกฝูงชนห้อมล้อมผลักดันจนเข้ามาด้านใน
ชุดสีคราม ผ้าคลุมสีน้ำเงิน กระบี่หยกเขียว...เฟิงหลง
ผมดำเงางาม ดวงตาดุจดวงดารา มือเรียวยาวทว่าทรงพลังจับอยู่ที่ด้ามกระบี่หยกเขียวอันเลื่องลือนั้นเบาๆ
เมื่อครู่ฟางหนีหงยังนึกรังเกียจชื่อเสียงเรียงนามของเขา รังเกียจว่าเขาดูวางอำนาจใหญ่โตเกินพอดี ทว่าตอนนี้กลับพูดไม่ออกแม้สักคำ
เพียงเพราะคำว่า ?หลง? คำเดียว หากผู้ที่ใช้ชื่อนี้มิใช่เขาก็คงไม่มีผู้ใดเหมาะสมจะใช้อีกแล้ว หากเขามิได้วางมาดสง่างาม จักมีผู้ใดมีคุณสมบัติเพียงพอจะวางมาดเช่นนี้ได้อีกเล่า
กักความเรืองรอง เก็บงำชื่อเสียง ไหนเลยจะปิดบังลักษณะแห่งมังกรและพยัคฆ์เอาไว้ได้
?วันเกิดของผู้น้อยไป๋ ไยกล้าให้คุณชายเฟิงต้องลำบาก? ใบหน้าของผู้อาวุโสไป๋เปล่งประกายแต่งแต้มด้วยรอยยิ้ม
?สกุลเฟิง ไป๋ ซือหม่า สวี มีสัมพันธ์อันดีต่อกันมารุ่นแล้วรุ่นเล่า วันเกิดท่านลุงทั้งที ผู้น้อยย่อมต้องมาอวยพรด้วยตัวเอง?
แม้จะเอ่ยเช่นนี้ ทว่าสกุลเฟิง ไป๋ ซือหม่า สวี กลับไม่เคยมีสกุลใดโดดเด่นเหนือสกุลอื่นเช่นนี้มาก่อน ชั่วระยะเวลาสั้นๆ เพียงสองสามปีมานี้ ผู้ที่เพียงจับกระบี่หยกเขียวก็กลายเป็นตำนานซึ่งคนทั้งยุทธภพต้องเหลียวมองเช่นนี้ เห็นทีจะมีเพียงสกุลเฟิงเท่านั้น
คุณชายสกุลไป๋ผู้กล้าแกร่งทั้งสองซึ่งยืนอยู่หลังบิดามองไปยังเฟิงหลง สายตานั้นทั้งอิจฉาและริษยา
เฟิงหลงหันมองโดยรอบโถงหลักแล้วจึงนั่งลงบนเก้าอี้อย่างนุ่มนวล เขารับชาหอมที่คนรับใช้ส่งให้อย่างนอบน้อม จิบคำเล็กๆ คำหนึ่ง ทุกกิริยาล้วนงดงามไร้ที่ติ
สกุลเฟิงโชคดีเพียงใดจึงมีบุตรเยี่ยงนี้




+++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++
เพียงแรกพบหน้าเจ้ายุทธภพเฟิงหลงที่มาคารวะอวยพรวันเกิดบิดาของตน ไป๋เส้าฉิงก็สรุปได้ว่า...บุรุษผู้นี้ร้ายกาจนัก เขาเร่งรีบเดินทางจากไปเสียก่อนเป็นดีที่สุด
แต่ผู้ใดจะล่วงรู้...เบื้องหลังของเจ้ายุทธภพเช่นเฟิงหลงนั้นมีความลึกลับอื่นอยู่ เมื่อกักขังมือสังหารผู้เป็นภัยร้ายแห่งยุทธภพอย่างไป๋เส้าฉิงเอาไว้แล้ว เฟิงหลงกลับไม่เข่นฆ่าชำระความ เพียงแต่ใช้กลวิธีอ่อนแข็งกับเขาอย่างต่อเนื่องไม่หยุดหย่อน ทั้งทำให้สั่นไหวใจสะท้านและทรมานจนเกลียดชัง
ในยุทธภพแห่งนี้ บุรุษผู้สามารถกางมือข้างเดียวก็ครอบคลุมทั่วผืนฟ้าได้นั้น เหตุใดต้องคิดเค้นใส่ใจเรื่องของเขาหนักหนาเช่นนี้


รูปภาพ

ตอบกลับโพส

ย้อนกลับไปยัง “Bongkoch Books News & Activities”