จุดเริ่มต้นของเรื่องราวทั้งหมด
ในคืนที่ไร้ดวงจันทร์และแสงของดวงดาว ท้องฟ้าเป็นสีน้ำเงินเข้มจนจรดพื้นดิน ชายหนุ่มเรียบร้อยในชุดนักเรียนยืนอยู่ใต้บาร์โหน ทั้งที่เป็นช่วงต้นฤดูร้อนแต่มือของเขากลับสวมถุงมือไว้ ส่วนชายหนุ่มอีกคนซึ่งสวมเสื้อวอร์มสีน้ำเงินมองเขาอย่างสงสัย พร้อมกับหยิบบุหรี่และไฟแช็กออกมาจากกระเป๋า
แม้ว่าจะยังเป็นเยาวชน แต่หนุ่มชุดวอร์มก็ยังคงคาบบุหรี่ไว้ในปาก แช็ก แช็ก เสียงจุดไฟดังขึ้นสองครั้งก่อนมันจะเคลื่อนเข้ามาใกล้ก้นบุหรี่ ชายหนุ่มสูบเข้าไปอย่างแรงสองทีแล้วแสงไฟสีส้มก็ติดขึ้นมา
หนุ่มเรียบร้อยขมวดคิ้วมองเขาอยู่ใกล้ๆ ไม่จำเป็นต้องมีคำพูดใดก็รับรู้ได้ถึงการดูถูก
?เฉิงเฉิงหยางมองอะไร ลองสูบสักม้วนสิ ไม่มีใครตายหรอกน่ะ!? หนุ่มชุดวอร์มพูดอย่างเย้ยหยัน ?ทำไมมองด้วยสายตาแบบนั้นล่ะ ใช่สิ เด็กหัวดีอย่างนายคงไม่ชินกับพฤติกรรมของเด็กเกเรอย่างพวกฉันสินะ!?
?ฉันไม่ได้บอกว่าพวกนายเป็นเด็กเกเรสักหน่อย? เฉิงเฉิงหยางตอบเรียบๆ
?เออ เด็กเรียนแบบพวกนายก็มักจะดูถูกเด็กอย่างพวกฉันอยู่แล้ว เวลาพูดก็พูดด้วยน้ำเสียงไม่ค่อยพอใจ อย่าคิดนะว่าฉันไม่รู้ว่าลับหลังพวกฉัน นายพูดอะไรไว้บ้าง!? หนุ่มชุดวอร์มยิ้มเย้ย ?ก็เพราะไม่รู้จักเรียนรู้สิ่งที่ดี อายุเท่านี้เลยสูบบุหรี่ ท่าทางก็ไร้มารยาท การเรียนก็ย่ำแย่...แต่นายรู้ไหม อย่างน้อยพวกฉันก็ไม่แบมือขอเงินคนที่บ้านใช้แล้วกัน!?
?งั้นเหรอ? เฉิงเฉิงหยางมองเขาอย่างใจเย็น ?ก็เพราะพอเงินไม่พอใช้นายก็มาข่มขู่เอากับฉันใช่ไหมล่ะ?
?แม่แกสิ!? หนุ่มชุดวอร์มคาบบุหรี่ไว้แล้วเข้าไปกระชากคอเสื้อเขา ?ข่มขู่อะไร แกจะกล่าวหาฉันงั้นเหรอ ฉันบังคับแกหรือไง แกยอมเอาเงินมาให้ฉันเองไม่ใช่เหรอ?
เฉิงเฉิงหยางขมวดคิ้วมองปลายจมูกของคนตรงหน้า อีกนิ้วเดียวบุหรี่นั่นก็จะไหม้หน้าของเขาแล้ว เขาจึงรีบหันหน้าไปด้านข้างด้วยความหวาดกลัว
?ใช่แล้ว...ใช่แล้ว...!?
?เออ! ว่าง่ายๆ แบบนี้ก็จบแล้ว!? หนุ่มชุดวอร์มปล่อยมือแล้วดันเขาไปด้านหลัง ?แล้วเงินล่ะ? นักเรียนตัวอย่าง?
เฉิงเฉิงหยางมองไปที่เขาแต่ไม่ได้เคลื่อนไหวใดๆ ?ฉันขอถามอะไรหน่อยได้ไหม?
?อะไร?? ชายคนนั้นพ่นควันเป็นวงออกจากปาก ตอบอย่างหงุดหงิด
?ทำไมต้องมาหาเรื่องฉันตลอด?
หืม? หนุ่มชุดวอร์มหยุดหมุนบุหรี่ในมือแล้วหันไปถามเขาช้าๆ ?ทำไม ข้องใจเหรอ?
?ฉันแค่อยากรู้ว่าทำไม? เขายิ้มแห้งๆ ?ฉันไม่เข้าใจว่าทำไมต้องเป็นฉัน...ฉันจำไม่ได้ว่าฉันเคยมีปัญหาอะไรกับพวกนาย?
?ไม่ชอบขี้หน้าไง นายไม่เข้าใจเหรอนักเรียนตัวอย่าง ทำไมนะ คนบางคนแค่เห็นหน้าฉันก็เกลียดแล้ว!? หนุ่มชุดวอร์มเดินเข้าไปใกล้เขาอย่างไม่สบอารมณ์ ?เรียนดีเนอะ ตอนนี้ผลสอบแย่มากไม่ใช่เหรอ ครั้งที่แล้วอันดับหนึ่งในสิบนายยังไม่ติดเลยไม่ใช่หรือไง?
คำพูดนี้เหมือนคำสาปชั่วร้ายซึ่งมีผลกระทบต่อจิตใจของเฉิงเฉิงหยางเป็นอย่างมาก ตัวเขาเกร็งขึ้นมาฉับพลัน ดวงตาทั้งสองจ้องมองไปที่พื้นดิน คำพูดเหยียดหยามทั้งหมดยังดังก้องอยู่ในหัวเขา
?ผลสอบแย่ซะขนาดนี้ เป็นนักเรียนตัวอย่างแล้วไหงผลสอบเป็นแบบนี้ล่ะ คิดว่าตัวเองฉลาดนักแต่คะแนนแค่นี้ดูได้ที่ไหนกัน?
ตั้งแต่ที่เขาสอบได้คะแนนน้อยในครั้งนั้น ทุกคนมักจะหัวเราะเยาะเขา แล้วตอนนี้ก็โดนพวกที่แม้แต่หนังสือยังไม่เคยเปิดอ่านดูถูกอีก น่าขายหน้าชะมัด!
?ทำไม จ้องฉันทำไมล่ะ? หนุ่มชุดวอร์มยิ้มหยัน ?ฉันพูดผิดตรงไหน ทุกคนเขาก็พูดกันว่านายเป็นพวกชอบคิดไปเอง ทำเป็นดูถูกคนแบบพวกฉัน ตอนนี้โดนคนแบบพวกฉันหัวเราะเยาะบ้าง นายคงไม่ชอบสินะ นายคิดว่าฉันเป็นมะเร็งร้ายที่ไร้ประโยชน์ในสังคมใช่ไหมล่ะ แต่ตอนนี้นายก็กำลังให้เงินพวกเนื้อร้ายอย่างง่ายดายล่ะนะ!?
เฉิงเฉิงหยางเบิกตาโพลง เขารู้ได้อย่างไรกัน! ?ฉันไม่เคยพูดแบบนั้น! ความหมายของฉันคือ...นายก็รู้ใช่ไหมว่านายก่อความวุ่นวายในห้อง แต่คนอื่นเขาจะเรียนกัน พวกเรา...?
ระหว่างที่เขากำลังพูด หนุ่มชุดวอร์มกลับดึงเขาเข้ามาต่อยเข้าที่หน้าอย่างจัง ?หุบปาก! ยังจะกล้าพูดอีก!?
เฉิงเฉิงหยางเซถอยหลังไปชนกับบาร์โหนและล้มลงกองกับพื้น
เขานั่งอยู่บนพื้นเงียบๆ มองหน้าคนตรงหน้าแล้วกำหมัดแน่น เขาไม่เข้าใจเลย เขาก็แค่อยากตั้งใจเรียน สอบเข้ามหาวิทยาลัยดีๆ เท่านั้นเอง เขาก็ไม่ได้อยากให้ผลสอบออกมาแย่ แต่เขาไม่เข้าใจเหมือนกันว่าทำไมตั้งใจขนาดนี้แล้วถึงยังสอบได้แย่อย่างนี้...แถมสุดท้ายต้องมาเจอกับอะไรแบบนี้อีก
?อะไร! สายตานั่นมันอะไร ไม่พอใจตรงไหน? หนุ่มชุดวอร์มกัดบุหรี่พร้อมกับถีบเขาอย่างแรง ?ลุกขึ้นเดี๋ยวนี้ กล้ามองฉันแบบนี้เหรอ ดูถูกกันเหรอ การเรียนแย่แล้วยังคิดว่าตัวเองเป็นนักเรียนดีเด่นอีก!?
เฉิงเฉิงหยางรีบลุกขึ้นอย่างเชื่อฟัง มิหนำซ้ำเขายังพุ่งเข้าหาหนุ่มชุดวอร์มด้วยความเร็ว ในมือไม่รู้ว่าถืออะไรไว้ แต่เขาเอาของในมือสวมเข้าที่คอของอีกฝ่าย!
?อะ...อะไร?? หนุ่มชุดวอร์มก้มศีรษะแล้วตะลึงเมื่อเห็นบนไหล่ตัวเองมีเชือกเส้นหนึ่งพาดอยู่
ทว่าเขายังไม่ทันได้โต้ตอบเฉิงเฉิงหยางก็โยนปลายเชือกด้านหนึ่งข้ามบาร์โหนไป จากนั้นหันกายกลับ หันหลังให้หนุ่มชุดวอร์มแล้ววิ่งไปข้างหน้าเพื่อดึงเชือกให้ตึง...!
?หา? เฮ้ย...อึ้ก!? หนุ่มชุดวอร์มยังไม่ทันตั้งตัวร่างของเขาจึงถูกลากไปกับพื้น สองขาห่างจากพื้นขึ้นเรื่อยๆ เชือกที่ห้อยคออยู่รัดแน่นขึ้นจนศีรษะกระแทกเข้ากับบาร์โหน
บุหรี่ในปากตกลงบนพื้น เชือกรัดคอจนเขาพูดไม่ได้ เชือกนั้นคือเชือกลูกเสือที่ทนทานและแน่นหนามาก หนุ่มชุดวอร์มพยายามใช้สองมือแกะมันออกแต่สุดท้ายก็ไม่ได้ผล ไม่ว่าสองขาจะสะบัดอย่างไรก็ไม่สามารถเรียกใครให้มาช่วยได้
เขาเข้าใจแล้วว่าทำไมเฉิงเฉิงหยางต้องใส่ถุงมือ
ไม่ ไม่ ไม่! มันเจ็บมาก เขาหายใจไม่ออกแล้ว! ทำไมในสวนสาธารณะถึงไม่มีคนเลย ใครก็ได้ช่วยด้วย! ฆ่าคน...ฆ่า...คอเขา!
เฉิงเฉิงหยางพันเชือกรอบฝ่ามือสองทบและยืนอยู่ห่างๆ เท่านั้น ขอแค่ดึงเชือกให้ตึงถึงไม่ต้องใช้แรงมากก็สามารถแขวนคอคนคนหนึ่งให้ตายได้ การดิ้นรนของเพื่อนร่วมชั้นถูกส่งผ่านมาจนเชือกสั่น และมันก็สั่นเบาๆ เป็นครั้งสุดท้ายในชีวิต...
ทันใดนั้นหนุ่มชุดวอร์มก็แน่นิ่งไป การเคลื่อนไหวของร่างกายหยุดลง ชีวิตมาถึงจุดจบแล้ว เฉิงเฉิงหยางคลายร่างที่เกร็งลง แต่ถึงอย่างนั้นก็ไม่กล้าผ่อนแรงในมือเพราะกลัวว่าเพื่อนร่วมชั้นจะหล่นลงบนพื้น
เขาหันกายกลับมองไปยังเพื่อนร่วมชั้น ร่างที่ไร้เรี่ยวแรงลอยอยู่กลางอากาศ จมูกของเขาได้กลิ่นเหม็น เพราะใต้ศพที่ห้อยนั้นมีคราบปัสสาวะอยู่
?นายเก่งนักไม่ใช่เหรอ? เฉิงเฉิงหยางอดหัวเราะไม่ได้
เขาใช้มือเป็นแกนในการม้วนเชือกเพื่อตรึงมันให้แน่นขึ้น เพราะถ้าเกิดศพตกลงมาบนพื้น เขาต้องลำบากย้ายศพอีก
เชือกที่ดึงจนตึงถูกมัดเข้ากับบาร์โหน แต่เพราะมีแรงไม่มากพอจึงทำให้ศพเลื่อนลงมาหลายเซนติเมตร
เขาหอบไปพลางปาดเหงื่อไปพลาง สุดท้ายเขาก็สามารถอ้อมมาที่ด้านหน้าได้ ชักอยากจะดูคนที่แกล้งเขามาตลอดซะแล้วสิ
ดวงตาถลนออกมา ปากอ้ากว้าง นัยน์ตาที่เบิกกว้างเต็มไปด้วยความกลัวตาย สภาพดูไม่ได้แบบนี้เชียวเหรอ...เฉิงเฉิงหยางสังเกตเห็นเชือกเหมือนจะบาดเข้าไปในเนื้อของเขา คงจะเจ็บน่าดูสินะ
?อี๋ บุหรี่นายตกแน่ะ? เฉิงเฉิงหยางมองบุหรี่ของเขาที่ยังติดไฟอยู่และเก็บมันขึ้นมา ?นายชอบสูบบุหรี่ไม่ใช่เหรอ? จากนั้นก็เอาบุหรี่ยัดเข้าไปในปากของหนุ่มชุดวอร์มพลางยิ้มไปด้วย
ตอนแรกเขาคิดว่าตัวเองจะกลัวมาก...การฆ่าใครสักคนเป็นเรื่องที่น่ากลัว ทุกคนมักพูดกันแบบนี้ แต่ตอนนี้ที่เขากำลังมองศพตรงหน้า มองท่าทางการสูบบุหรี่นั้นแล้วเขากลับรู้สึกพอใจและมีความสุขมาก
เขาจะไม่ถูกกลั่นแกล้งอีกต่อไปแล้ว จะไม่มีคนมาขู่เอาเงินจากเขาอีกแล้ว
?หึหึ...? เฉิงเฉิงหยางหัวเราะไม่หยุด เขารู้สึกดีใจจากส่วนลึกของจิตใจ ?ฮ่ะๆ...ฮ่าๆๆ!...ฮ่าๆๆ!?
ดวงตาของเขาเป็นประกายดั่งแสงไฟในความมืด ในที่สุดเขาก็เข้าใจถึงการหลุดพ้นแล้ว...ยังมีอีกหลายคน ถ้าหากเขาฆ่าได้ทุกคนเขาก็จะเป็นอิสระสักที!
บทที่ 1
หอพักหนึ่งร้อยปีที่ถูกทิ้งร้าง
เหลียงรั่วซีแอบเหลือบมองคนข้างๆ รอบแล้วรอบเล่า มองมือใหญ่สองข้างที่วางอยู่บนพวงมาลัยอย่างผ่อนคลาย ในรถเงียบสงบแต่เธอกลับพูดไม่ออกสักคำ
หวา เขายังโกรธอยู่อีกเหรอ
เธอไม่ได้ตั้งใจจะแอบดูคอมพิวเตอร์ของเขาจริงๆ นะ แค่โดนเมาส์นิดเดียวหน้าจอก็สว่างขึ้นมาเอง เธอจะไปรู้ได้อย่างไรกัน ก็ใช่อยู่หรอกว่าเธอไม่ควรแอบดูภาพบนหน้าจอ แต่ใครจะไปรู้ล่ะว่าหน้าจอนั่นเปิดเฟซบุ๊กค้างไว้อยู่ แถมยังเป็นรูปของเขาอีก!
ก็เขาเคยบอกว่าไม่มีเฟซบุ๊กนี่ ตอนนั้นเขาช่างขี้โกหกจริงๆ ที่จริงแล้วก็มีเฟซบุ๊กเป็นของตัวเอง แถมรูปโปรไฟล์ยังเป็นรูปคู่กับหญิงสาวที่แสนจะน่ารัก...เอาจริงๆ เธอรู้สึกผิดสังเกตมาตั้งแต่แรกแล้ว ผู้ชายในรูปคล้ายเขามาก แต่ดูรวมๆ แล้วก็ไม่ได้คล้ายสักเท่าไร ส่วนผู้หญิงที่อยู่ข้างๆ เธอไม่เคยเห็นมาก่อน
เธออยู่ที่นี่มาเป็นเดือนแล้ว แต่ไม่เห็นว่าเคาเอ่อร์ปี่จะมีเพื่อนเลยนี่? โดดเดี่ยวจะตาย นอกจากออกไปทำงานแล้วก็น้อยครั้งมากที่เขาจะออกไปข้างนอก และเขาก็ไม่มีวันยิ้มร่าแบบในรูปด้วย ถึงจะหน้าตาเหมือนกันเป๊ะก็เถอะ แต่เธอแน่ใจเลยว่านั่นไม่ใช่เพื่อนร่วมบ้านของเธอ
เธอก็แค่ถามด้วยความสงสัย แต่เคาเอ่อร์ปี่กลับโยนเธอออกนอกห้อง ทำสงครามเย็นกับเธอตั้งหลายวัน...ที่จริงเธอก็รู้ว่าตัวเองมีส่วนผิด แต่เพราะความสงสัยทำให้เธอไม่สามารถอยู่เฉยๆ ได้ สุดท้ายเธอจึงแอบไปถามคุณย่าทวด อย่างไรเสียคุณย่าทวดก็เป็นคนสั่งให้เธอมาอยู่กับเคาเอ่อร์ปี่ ท่านต้องรู้จักเขาดีพอในระดับหนึ่งแหละ
แค่คำถามเดียว...เคาเอ่อร์ปี่มีฝาแฝดเหรอคะ
?ขอโทษ ฉันขอโทษมาหลายวันแล้วนะ เมื่อไรนายจะหายโกรธเนี่ย? เหลียงรั่วซีพูดอย่างเหนื่อยใจ พร้อมกับแอบเหลือบมองคนขับรถที่นั่งอยู่ทางซ้ายมือ
โคลบี้ไม่ได้พูดอะไรออกมาเลย เขาตั้งใจมองหนทางข้างหน้าต่อไป
?ฉันก็บอกแล้วไงว่าไม่ได้ตั้งใจไปโดนเมาส์! ตอนหน้าจอสว่างฉันก็ตกใจเหมือนกัน คนในจอหน้าตาเหมือนนายเด๊ะ ไม่ว่าใครถ้าได้เห็นสักแวบก็ต้องสงสัยใช่ไหมล่ะ? เธอบ่นกระปอดกระแปด แต่ทำไมเขายังคงทำหน้านิ่งอยู่อีก
โคลบี้มองเธอด้วยหางตา ?เธอรู้อยู่แล้วเหรอว่านั่นไม่ใช่ฉัน?
หึๆๆๆ! โต้ตอบแล้ว เขาโต้ตอบแล้ว! เหลียงรั่วซีรู้สึกว่ามีแสงสว่างส่องขึ้นมาจากกลางทะเล ?ฉันอยู่ที่นี่มานานเท่าไรแล้ว นายก็ทำหน้านิ่งแบบนี้อยู่ตลอด แล้วยังโหดจะตาย ปกติก็ไม่ได้มีเพื่อนสนิทที่ไหน จะไปยิ้มอย่างมีความสุข แถมยังมีแฟนสาวที่น่ารักขนาดนั้นได้ยังไงกันเล่า!?
เสียงไซเรนของรถพยาบาลดังแว่วมา ทางขวามีรถที่ไม่ได้เปิดไฟเลี้ยวพุ่งเข้าข้างทาง คงเพราะไม่ได้ดูทางให้ดี
โคลบี้ถือโอกาสจ้องมองทีหนึ่ง แต่เขาไม่ได้จ้องคนขับรถนั้น เขาจ้องเธอต่างหาก
ที่เธอพูดมามันก็ถูก ความจริงมักจะขัดหูแบบนี้อยู่แล้ว...เมื่อก่อนเขาก็เคยใช้ชีวิตด้วยความสุข ด้วยรอยยิ้มที่เบิกบาน ไม่มีความกังวลเหมือนกัน
หลังจากที่เหลียงรั่วซีรู้สึกถึงสายตานั้นก็รีบเอามือกอดอก เธอพูดผิดตรงไหน ทำไมต้องจ้องเธอด้วยสายตาแบบนั้น เธอก็มองทุกสิ่งอย่างเป็นกลาง อีกอย่างหนึ่งคุณย่าทวดก็บอกเธอแล้วว่าเคาเอ่อร์ปี่มีฝาแฝดจริงๆ
แต่สำหรับเรื่องอื่นๆ คุณย่าทวดไม่ขอพูดถึง ท่านบอกว่าเรื่องนั้นเป็นเรื่องส่วนตัวของเคาเอ่อร์ปี่ ถ้าเขาอยากเล่าเดี๋ยวเขาก็เล่าเอง
?ไม่นึกเลยว่าเธอจะเป็นคนถี่ถ้วนแบบนี้? เขาพูดเรียบๆ รถยังคงแล่นต่อไป ?ฉันขอเดาว่าเธอคงไปถามคุณย่าทวดของเธอแล้วใช่ไหม?
เอ่อ เดาถูกอีกแล้ว! ลูกศรหนึ่งดอกยิงเข้ากลางอกเธอ จะถี่ถ้วนรอบคอบแค่ไหนก็คงสู้เขาไม่ได้ เหมือนกับว่าทุกสิ่งมักเป็นไปตามที่เขาคิด
?รู้แค่เรื่องที่นายมีฝาแฝดเท่านั้น เรื่องอื่นคุณย่าทวดบอกว่าถ้านายไม่อนุญาตก็พูดไม่ได้เด็ดขาด? เหลียงรั่วซีพูดไปตามความจริง ?ฉันไม่ได้บังคับให้นายเล่านะ ฉันก็แค่สงสัย สงสัยแค่สองเรื่องจริงๆ นะ...?
?ฉันจำเป็นต้องพูดด้วยเหรอ เธอคิดว่าเธอเป็นใคร แค่เธอถาม ฉันก็ต้องเล่าทุกอย่างให้เธอฟังหรือไง? โคลบี้ขมวดคิ้ว ยัยนี่จะไร้เดียงสาเกินไปแล้ว
?น้าาา!? เหลียงรั่วซีอ้อนวอน ?ขอร้องล่ะ ฉันอยากรู้ว่านายเป็นพี่ชายหรือน้องชาย?
ธรรมดาไปหรือเปล่า? เขาเหยียบเบรกรถเบาๆ ไฟแดงข้างหน้าต้องรออีกหกสิบวินาที สำหรับยัยนี่แล้วความสงสัยของเธอไม่น่าจะมีแค่นี้
อย่างไรเสียหลังจากที่เธอบังเอิญเห็นเฟซบุ๊กของเขาแล้ว เขาก็ไม่คิดว่าจะเก็บเงียบต่อไปได้ เพียงแต่จะเร็วหรือช้าเท่านั้นเอง
?พี่ชาย? เขาหันมาตอบ ?แล้วคำถามที่สองล่ะ?
?แหะ...? เหลียงรั่วซีหัวเราะ โอกาสไขข้อสงสัยมาถึงแล้ว ?โคลบี้เป็นชื่อภาษาอังกฤษของนาย แล้วชื่อเดิมนายชื่ออะไร?
เขาหน้าบึ้งหันศีรษะกลับทันที แสดงออกอย่างชัดเจนว่าไม่สนใจจะตอบ
?นี่ ทำไมนายขี้งกอย่างนี้ คนเราก็ต้องมีชื่อสิ ฉันไม่ชอบหรอกนะที่ต้องเรียกนายว่าโคลบี้หรือไม่ก็เคาเอ่อร์ปี่ เค้าเอ่อร์ปี่ อยู่ตลอด? เหลียงรั่วซีทำปากยื่น ?ไม่งั้นนายก็ตั้งมาสักชื่อให้ฉันเรียกแล้วกัน?
แต่จะปิดบังเธอได้เหรอ วันนั้นที่คอมพิวเตอร์เธอก็เห็นชื่อน้องชายของเขากับตาแล้ว จะปิดอย่างไรดี
?ถ้าฉันตอบแล้วก็ไม่ต้องถามอะไรอีก และที่สำคัญห้ามอยากติดต่อน้องชายฉัน ห้ามไปเพิ่มเพื่อนในเฟซบุ๊กด้วย?เขาพูดอย่างหนักแน่น ?ฉันรู้ว่าฉันไม่มีสิทธิ์ทำอะไรเธอ ฉันก็ทำได้แค่ไล่เธอออกจากที่นี่?
ถ้าโดนไล่ออกไปเธอจะต้องเผชิญกับการขาดอาหาร เขารู้ว่าเธอต้องการอาหารที่ต่างจากคนอื่น มีแค่เขาเท่านั้นที่สามารถทำให้เธออิ่มได้ คุณย่าทวดเข้าใจถึงความร้ายแรงนี้ดี คงไม่ปล่อยให้เหลนต้องตกอยู่ในสภาวะขาดอาหารแน่นอน
เหลียงรั่วซีเบิกตาโตมองเขาอย่างเงียบๆ แล้วแอบถอนหายใจไปเฮือกใหญ่
ถ้าเคาเอ่อร์ปี่ไล่เธอออกไป เธอต้องตายแน่ๆ ที่คุณย่าทวดสั่งให้เธอกับเขาอยู่ด้วยกันนั้นก็เพื่อผลประโยชน์ของกันและกัน เพราะเขาสามารถคุ้มครองเธอได้ ความหมายก็เหมือนกับเครื่องรางของขลังนั่นแหละ และก็เป็นการช่วยเหลือเคาเอ่อร์ปี่เหมือนกัน ถึงแม้เธอจะไม่เข้าใจว่าช่วยอะไร แต่คุณย่าทวดบอกว่าการช่วยเหลือเขาก็เหมือนการสร้างบุญกุศลซึ่งเรื่องนี้สำคัญกับเธอมาก
เพราะการสร้างบุญกุศลคือกุญแจสำคัญที่จะทำให้เธอมีชีวิตอยู่ต่อไปได้
?ฉันรับรองว่าไม่แน่นอน!? เหลียงรั่วซียกมือขึ้นสาบาน ?ฉันก็รู้จักการให้เกียรติคนนะ นายดูสิ เรื่องที่เกิดขึ้นก็ตั้งหลายวันแล้ว ฉันไม่ได้ไปสืบและก็ไม่ได้ไปเพิ่มเพื่อนในเฟซบุ๊กของน้องชายนายด้วย?
เขารู้ว่าแม้เหลียงรั่วซีจะอายุเพียงแค่สิบเจ็ดปีและจำเป็นต้องเรียนเองอยู่ที่บ้าน แต่เพราะประสบการณ์และสภาพแวดล้อมรอบตัวเธอจึงถือได้ว่าเธอพูดรู้เรื่องกว่าเด็กคนอื่นๆ
?ฉันถึงไม่ได้ไล่เธอไปไหนไง แล้วยังถูกบังคับออกมาเป็นเพื่อนเธออีก? เขาพูดอย่างเบื่อหน่าย ?ฉันใจกว้างขนาดนี้แล้ว ชื่อยังสำคัญอีกเหรอ?
?ก็ใช่น่ะสิ? เหลียงรั่วซีพยักหน้าตอบอย่างหนักแน่น ?ชื่อมันหมายถึงคนคนหนึ่งเลยนะ ฉันอยากรู้ว่าคนที่ฉันอยู่ด้วย คนที่ดูแลฉันเป็นคนยังไง?
เขาสูดลมหายใจเข้าแต่ไม่ได้ตอบคำถามใดๆ กลับชี้ไปที่จดหมายบนตักเธอ ?ดูที่อยู่สิ หลังจากนี้ต้องไปทางไหนต่อ ทางจะตันแล้ว?
?หา? เหลียงรั่วซีเพิ่งได้สติ ไม่ใช่แล้ว เขายิ่งขับยิ่งมั่วกันไปใหญ่แล้ว
เธอรีบหยิบจดหมายบนตักขึ้นมาเปิดการ์ดเชิญ นี่คือจดหมายจากส้มเพื่อนสมัยมัธยมของเธอเลยนะ ที่โรงเรียนของส้มจัดงานครบรอบสี่สิบปีวันสถาปนาโรงเรียนอย่างยิ่งใหญ่ เปิดโอกาสให้คนเข้าไปดูหอพักอันเก่าแก่ของโรงเรียนซึ่งสร้างความสนใจให้กับคนที่ชอบของโบราณแบบเธอเป็นอย่างมาก
สมแล้วที่ส้มเป็นเพื่อนที่แสนภาคภูมิของเธอ ถึงแม้ว่าส้มจะย้ายไปเรียนเมืองนอกตอน ม.2 แล้วกลับมาเรียนต่อในประเทศอีกทีตอน ม.5 แถมยังเรียนโรงเรียนเอกชนที่แพงจนหูฉีก ส่วนตัวเธอเองเรียนมัธยมปลายได้ไม่นานก็ลาออกจากโรงเรียนไป แต่ความสัมพันธ์ฉันพี่น้องก็ไม่มีวันเปลี่ยนไปเพราะวันเวลา
?ส้มบอกว่าโรงเรียนเธออยู่บนเขา...อ๊ะ! เจอแล้วๆ!? เธอชี้ไปข้างหน้า ?โรงเรียนของเธอทำธงด้วย?
โคลบี้มองธงที่ผูกกับเสาไฟฟ้าอย่างสนใจ สมแล้วที่เป็นโรงเรียนผู้ดี แค่วันครบรอบสถาปนาโรงเรียนแต่ทำเหมือนกับวันเลือกตั้งที่มีธงพลิ้วไสว บนธงเขียนว่า ?40 ปีโรงเรียนมัธยมปลายจาวยื่อ? ถึงขั้นมีป้ายบอกทางขึ้นไปบนภูเขา
?ส้มเป็นคนยังไง? โคลบี้ถามอย่างไม่ไว้วางใจ เดี๋ยวก็ต้องเจอกันแล้วควรให้เขาได้เตรียมใจก่อน
?ส้มเป็นคนน่ารัก ดีกับฉันมากเลย และก็เหมือนฉันมาก? ใบหน้าของเหลียงรั่วซีมักเต็มไปด้วยรอยยิ้มเวลาที่พูดถึงเพื่อนรัก ?แต่ว่า...เทียบกันแล้วอาการจะหนักกว่าหน่อย?
โคลบี้ถอนหายใจ ?อย่างเธอนี่ก็หนักสุดๆ แล้วนะ?!?
?โห! นี่นายว่ากันต่อหน้าเลยนะ? เธอทำหน้าบูด ?ฉันอาการหนักตรงไหน ฉันออกจะเป็นคนรอบคอบแต่เข้าใจอะไรได้ไม่ค่อยมากเท่านั้นเอง?
?อ้อเหรอ?
นี่ต้องเป็นการตอบที่ไม่จริงใจแน่ๆ แต่ว่าจะไม่ถือโทษอะไรก็แล้วกัน เพราะว่าเขาอุตส่าห์มาเป็นเพื่อนเธอ
ในโรงเรียนของส้มมีหอพักตึกหนึ่งที่เก่ามาก เพราะว่ายุคสมัยเปลี่ยนไป สิ่งก่อสร้างที่เก่าแก่เกินไปไม่สามารถติดตั้งเครื่องปรับอากาศได้จึงหยุดใช้งานไปแล้วสิบห้าปีและจะรื้อทิ้งในปีนี้ เพื่อเป็นการระลึกถึงก่อนการรื้อทิ้งจะมีกิจกรรมเยี่ยมเยือนหอพักแห่งนี้ นั่นคือกิจกรรม ?ค่ายเปิดประสบการณ์หอพักหนึ่งร้อยปี? ให้เหล่านักเรียนได้เข้าไปอยู่ในหอพักเพื่อสัมผัสชีวิตความเป็นอยู่ของนักเรียนในสมัยนั้น
เหลียงรั่วซีเป็นคนที่ชอบของเก่า วัตถุโบราณ และสิ่งก่อสร้างเก่าๆ ถ้าหากเป็นหอพักแบบในหนังญี่ปุ่นยิ่งไม่ต้องพูดถึงเลย ถึงแม้ว่าการรื้อทิ้งจะทำให้เธอรู้สึกเสียดาย แต่นั่นก็เป็นการตัดสินใจของโรงเรียน เธอไม่ได้มีสิทธิ์มีเสียงอะไร แต่อย่างน้อยก็ขอให้ได้สัมผัสบรรยากาศ แต่นี่ไม่เพียงได้เห็นกลับยังได้เข้าไปพักข้างใน ยังมีอะไรที่ดีไปมากกว่านี้อีกไหม
ประตูโรงเรียนผู้ดีนี้ตรวจตราเข้มงวดมาก ถ้าหากไม่ใช่นักเรียนในโรงเรียนก็ยากที่จะเข้าไปและยิ่งไม่ต้องพูดถึงการเข้าไปชื่นชม งานครบรอบโรงเรียนก็ไม่เคยให้คนภายนอกเข้ามา แต่ปีนี้กลับไม่เหมือนเดิม ไม่เพียงเปิดให้คนนอกเข้ามาแต่ยังจัดงานให้ยิ่งใหญ่เพื่อต้อนรับแขก
เหลียงรั่วซีเกาะหน้าต่างรถมองออกไปด้วยความตื่นเต้น โคลบี้แอบมองอยู่แวบหนึ่ง วัตถุโบราณ สิ่งก่อสร้างโบราณมันมีอะไรน่าหลงใหล? บางทีในสมัยก่อนเขาก็คงคิดว่ายอดไปเลย เพราะเต็มไปด้วยศิลปะหรือเรื่องราวประวัติศาสตร์ แต่เขาในตอนนี้กลับรู้สึกแค่ว่าในนั้นคงเต็มไปด้วยภูตผีวิญญาณที่อยู่กันมาอย่างยาวนานเท่านั้น
เฮ้อ! ครั้งก่อนพวกเขาไปร่วมทริปเที่ยวชมโบราณสถาน แต่ผลกลับกลายเป็นว่าพวกเขาเจอแฟนคลับผู้ชื่นชอบฆาตกรโรคจิต การเที่ยวชมโบราณสถานหรืออีกนัยหนึ่งก็คือการเยี่ยมชมสถานที่เกิดเหตุฆาตกรรม และจากความอาฆาตนั้นก็ทำให้ต้องตายไปเก้าศพถึงจะได้หนึ่งดวงวิญญาณกลับคืนมา
ยัยนี่ทั้งกลัวเจ็บและกลัวตายขนาดนี้ ทำไมถึงยังชื่นชอบการเยี่ยมชมสถานที่เก่าแก่อยู่อีก แถมกิจกรรมที่เธอถูกชวนมาเข้าร่วมยังเป็นกิจกรรมที่ต้องพักอยู่ในนั้นถึงสามวันสองคืน ข้อนี้ยุ่งยากที่สุด ถ้าเกิดมีดวงวิญญาณหนึ่งเปลี่ยนไป ใครกันจะเป็นคนที่ไม่รอด
เขาไม่ได้อยากเข้าไปในนั้น แต่ก็ปล่อยให้เหลียงรั่วซีไปคนเดียวไม่ได้...ใช่ เขาเป็นห่วง ทว่าไม่ได้เป็นห่วงเรื่องความปลอดภัยของเธอหรอก แต่ห่วงว่าเธอจะอดตายต่างหาก
สามวันสองคืนที่ไม่มีอาหารจากเขา หากหอพักเก่าแห่งนี้ไม่มีจิตชั่วร้ายเธอจะไม่อดตายเอาเหรอ อาหารของคนปกติไม่สามารถทำเหลียงรั่วซีอิ่มได้ สิ่งเดียวที่ช่วยเธอได้ก็คือจิตชั่วร้าย ไม่ว่าจะมาจากคน ผี ปีศาจก็ได้ทั้งนั้น แค่ขึ้นชื่อว่าจิตชั่วร้ายก็เป็นอาหารของเธอได้แล้ว
แต่นี่คือความลับที่ไม่สามารถบอกใครได้ เธอเป็นแค่เด็กมัธยมปลาย คงไม่สามารถยอมรับได้ว่าตัวเองกินอาหารธรรมดาแล้วไม่เกิดผลใดๆ ทุกอย่างยังคงเป็นความลับสำหรับเธอ เพราะฉะนั้นหากเขาไม่ตามมาด้วย เธอคงต้องอดตายจริงๆ
ไม่อยากเชื่อว่าเขาต้องมาทำเรื่องยุ่งยากเพราะกลัวว่าจะมีคนอดตาย...จนต้องมาทำกิจกรรมสัมผัสบรรยากาศหอพักเก่าแก่กับเด็กอายุสิบเจ็ดปี
โอ้ สวรรค์!
?ฮัลโหล ส้ม! ฉันใกล้ถึงแล้วนะ!? หญิงสาวข้างๆ คุยโทรศัพท์อย่างมีความสุข ?รถของเราคือ...อ้อ? เลี้ยวเข้าไปจอดตรงที่จอดรถด้านขวาเลยเหรอ...ได้ๆ?
เหลียงรั่วซีพูดไปด้วยใช้มือสั่งไปด้วย โคลบี้ก็เลี้ยวรถไปทางขวาตามคำสั่ง
?กรี๊ดดดดดด กรี๊ดดดดดด? จู่ๆ เธอก็กรี๊ดด้วยความดีใจ ?ส้ม! ส้ม!?
อีกฟากของลานจอดรถมีหญิงสาวคนหนึ่งสวมชุดสีส้มโบกมือสองข้างอย่างสุดพลังอยู่
นั่นส้มจริงๆ ด้วย...เสื้อไหมพรมสีส้มเข้ากับผ้าพันคอสีเขียวได้ดีมาก ไม่รู้ว่าตั้งใจให้สมกับชื่อส้มหรือเปล่า
?ส้มมมม? เหลียงรั่วซีเปิดหน้าต่างออกพร้อมกับตะโกนไปนอกรถ
?เสี่ยวซี! เสี่ยวซีๆๆ!? หญิงสาวใช้เสียงที่ดังและแหลมกว่าตะโกนกลับมา ?ฉันคิดถึงเธอมากเลย!?
?ฮิๆๆ? นี่คือเสียงร้องของความดีใจ
โคลบี้พูดอย่างเหลืออด ?ฉันขอจอดรถให้เสร็จก่อนได้ไหม?
เอ๋? ส้มก้มหน้าลงยิ้มเจ้าเล่ห์มองเหลียงรั่วซี ?สวัสดี?
รอยยิ้มของเธอดูคลุมเครือเสียจนโคลบี้ต้องขมวดคิ้ว พอเห็นเธอห่างออกจากหน้าต่างแล้วเขาก็รีบเลื่อนกระจกขึ้น
?ทำไมเขาถึงมองเราด้วยสายตาแบบนั้น? ท่าทางแบบนั้นมันไม่แปลกไปหน่อยเหรอ
?ก็นั่นน่ะสิ? เหลียงรั่วซีพูดเบาๆ ?สงสัยจะคิดลึก...ก็ฉันออกมากับผู้ชายสองต่อสองแล้วยังมาค้างคืนอีกต่างหาก ไม่แปลกหรอกที่จะมีคนคิดไปในทางที่ไม่ดี?
?เดี๋ยวลงจากรถแล้วไปอธิบายให้ชัดเจนซะ? เขาไม่ชอบการเข้าใจผิดแบบนี้
?ฉันไม่เคยบอกหรือไง ตั้งแต่ที่นายบอกว่าจะมากับฉันส้มก็คิดว่าเราเป็นแฟนกันแล้ว แถมยังบอกอีกว่าถ้าไม่ใช่จะมีผู้ชายที่ไหนมาเป็นเพื่อนผู้หญิง? เหลียงรั่วซีพูดอย่างเซ็งๆ ?ฉันเองก็บอกไปแล้วว่าเราเป็นเพื่อนกันจริงๆ?
ดูท่าคงต้องจุดธูปสาบาน โคลบี้พยักหน้าอย่างไม่ค่อยเต็มใจ หลังจากรถจอดนิ่งแล้วเขาก็ดึงเบรกมือ
?เรามาทำข้อตกลงกันก่อน? เขาปลดเข็มขัดนิรภัยออก มองไปที่เธอ
?ฉันรู้ ห้ามอยู่ตามลำพัง ห้ามแตะต้องคนหรือสิ่งของที่ไม่รู้จัก ถ้าเจอเหตุฉุกเฉินต้องรีบไปหานาย ห้ามไปไหนมาไหนคนเดียว!? ยังไม่ทันได้ฟังจากปากเขา เหลียงรั่วซีก็ท่องเองอย่างแม่นยำ ?นี่น่ะ นายพูดไปตั้งหลายรอบจนฉันท่องได้หมดแล้วเนี่ย?
?ท่องได้ก็ไม่มีประโยชน์อะไร? เขาพูดตรงๆ ?เธอต้องทำให้ได้ด้วย?
?นี่ ผิวฉันบอบบางมากนะ นายก็รู้ว่าฉันกลัวการบาดเจ็บแค่ไหน ถ้าเจออะไรที่อันตรายละก็ฉันต้องหนีแน่นอนอยู่แล้ว ฉันไม่ใช่ประเภทที่จะเข้าไปเผชิญหน้าด้วยสักหน่อย? เธอพูดอย่างใสซื่อ ?คราวก่อนที่หนีตายบนภูเขานายยังไม่รู้อีกหรือไง?
?ไม่? เขาไม่ลังเลเลยด้วยซ้ำ ทั้งยังตอบกลับมาอย่างรวดเร็วอีกต่างหาก ?เธอเป็นพวกผิวบอบบางสุดๆ แต่กลับแยกไม่ออกว่าอะไรคืออันตรายน่ะสิ?
?ฉันเนี่ยนะ?? เธอทำหน้างอ ?ฉันไม่ได้โง่ขนาดนั้นนะ วางใจเถอะ อย่างไรเสียถ้ามีเหตุการณ์อะไรเกิดขึ้น ฉันก็จะรีบวิ่งไปอยู่ข้างๆ นาย แค่นี้โอเคไหม?
เฮ้อ เขาถอนหายใจ เธอไม่รู้ตัวเลยว่าตัวเองกำลังวิ่งเข้าหาอันตราย อีกอย่างหนึ่งความอยากรู้อยากเห็นของเธอก็มากเหลือเกิน พอลาออกมาเรียนที่บ้านก็ยิ่งทำให้เธอตื่นเต้นไปกับทุกสิ่งทุกอย่างในโรงเรียน เขาเกรงว่ามันจะมีปัญหากับสภาพจิตใจเธอทีหลังนี่แหละ
ทำไมเขาต้องกลัวด้วยว่าเธอจะหิวตาย
เขาหันหลังกำลังจะเปิดประตูรถแต่แขนเสื้อกลับถูกดึงไว้ โคลบี้ไม่ได้โต้ตอบอะไรเพียงมองดูเด็กสาวที่ดึงแขนเสื้อของเขาพลางทำตาเป็นประกาย กัดริมฝีปากทำหน้าอ้อนเขาอยู่ ใบหน้านั้นเต็มไปด้วยคำพูดแต่ก็ไม่ได้พูดอะไรออกมา
?เธอทำอะไรลับหลังฉันอีกแล้วเหรอ? เขาหรี่ตามองหวังว่างานครบรอบโรงเรียนครั้งนี้คงไม่มีอะไรเหนือความคาดหมายเกิดขึ้นอีกนะ หรือว่าเธอวางแผนอะไรเอาไว้กับส้ม...
?ชื่อ? เธอพูดเบาๆ กลัวว่าเขาจะโกรธ ?ฉันอยากแนะนำชื่อจริงนายกับส้ม?
จริงๆ เลย...โคลบี้มองหน้าเธอ แววตาของเธอเต็มไปด้วยความหวังและความกลัว มือที่ดึงแขนเสื้อของเขาเริ่มสั่น เธอตื่นเต้นและกลัวว่าเขาจะโกรธ แต่ก็อยากรู้มากอยู่ดี
เพราะชื่อนั้นสำคัญมาก มันหมายถึงการมีตัวตนอยู่ของคนคนหนึ่ง
ทว่าตัวเขาเองปล่อยวางมันมานานเท่าไรแล้วนะ
โคลบี้อดยิ้มเศร้าขึ้นมาแวบหนึ่งไม่ได้ เขาส่ายศีรษะไปมา จากนั้นจับมือที่ดึงแขนเสื้อตัวเองไว้เบาๆ แล้วดึงออก
?อินเจวี๋ยถิง ตัวถิงจากคำว่าสายฟ้า?
++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++
เกมเช็กชื่อผี...คือเกมที่ใช้คัดเลือกประธานนักเรียนเมื่อสมัยก่อน เหล่านักเรียนหัวกะทิที่ถูกจับสลากมาจึงดีใจที่ได้เล่นเพราะจะได้โอ้อวดปัญญาว่าเหนือกว่าคนอื่นๆ โดยไม่สนใจเลยว่าจะต้องเล่นเกมนี้ในหอพักหนึ่งร้อยปีที่เคยเกิดคดีสะเทือนขวัญ พวกเขาจะใช้ความฉลาดที่แสนมั่นใจไขคำใบ้เพื่อทายว่า ผีในเกมนั้นคือเพื่อนนักเรียนคนไหนและเป็นผู้ชนะในเกมนี้ให้ได้
แต่ไม่คาดคิดว่าเมื่อจบเกมแรกแล้วจะมีสมาชิกในกลุ่มเสียชีวิตอย่างอนาถหนึ่งคน พร้อมกับมีจดหมายหนึ่งฉบับถูกทิ้งไว้ข้างศพ ข้อความว่า...ถ้าตอบผิด ผีตัวนั้นที่ทุกคนทายจะกลายเป็นผีจริงๆ
เมื่อกติกาเปลี่ยนไป พวกเขาต่างหวาดกลัว แต่ทางหนีทั้งหมดโดนตัดขาดไปแล้วจึงทำได้เพียงจำใจเล่นเกมสยองขวัญนั้นต่อไปอย่างไม่รู้ชะตากรรม ทว่าคำใบ้แสนยากแต่ละอันเหมือนกับสร้างขึ้นมาเพื่อให้ไขไม่ออก ทำให้จำนวนศพค่อยๆ เพิ่มขึ้น สภาพการเสียชีวิตสยองขึ้นเรื่อยๆ ร่างกายและศีรษะเกือบจะแยกออกไปคนละทิศ เนื้อตัวเปียกชุ่มไปด้วยเลือด และทุกคนที่ถูกฆาตกรรมล้วนแสดงให้เห็นแล้วว่า...นี่ไม่ใช่ฝีมือของมนุษย์!
ไขคำใบ้ไม่ออก ใช้วิธีโกงก็ไม่ได้
หรือพวกเขาควรผลักใครสักคนไปตายเพื่อให้ตัวเองรอด?
