ทหารนับพันอาชานับหมื่นพุ่งทะยานไปข้างหน้า ทิ้งไว้เพียงกลุ่มฝุ่นควันลอยฟุ้งเป็นร่องรอยอยู่เบื้องหลัง เสียงตุ้ง ตุ้ง จากกลองรบดังปลุกใจ ทหารทุกนายส่งเสียงฮึกเหิมคล้ายกับจะทะลุผ่านไปถึงชั้นเมฆา ดังสนั่นหวั่นไหวก้องกังวานไปทั้งยอดเขา
?สั่งการลงไป ท่านอ๋องมีรับสั่งว่าผู้ที่สามารถเด็ดหัวของหัวหน้าโจรกบฏจ้าวกวางได้สำเร็จ จะได้รับทองคำหนึ่งพันชั่ง ?
นานวันที่กองทัพไม่สามารถยึดครองภูเขาเทียนหยูแห่งนี้ได้ แต่ด้วยบารมีของท่านอ๋องผู้ถูกเลือกโดยสวรรค์ ผู้ได้รับความเมตตาจากสวรรค์อย่างยิ่ง บัดนี้พวกเขาถึงใกล้จะได้รับชัยชนะเต็มที จึงไม่แปลกอันใดที่เสียงตะโกนอันกึกก้องของรองแม่ทัพฝานหยี่สิงผู้ประกาศคำสั่งนี้จะเต็มไปด้วยความฮึกเหิม
เนื่องจากแสงแดดอันร้อนระอุแผดเผาอย่างไร้ความปรานี เหล่ากบฏที่ติดอยู่บนยอดเขาแห่งนี้ต้องเผชิญกับการขาดแคลนเสบียงอาหารและน้ำดื่ม พวกเขาจึงสามารถปราบปรามเหล่ากบฏลงได้ในที่สุด
สวรรค์ทรงช่วยราชวงศ์เปิง!
สวรรค์ทรงช่วยนายเหนือหัวองค์ใหม่!
ย่อมแน่ว่าสวรรค์ทรงช่วยท่านอ๋อง เพราะหากพวกเขายังไม่สามารถชนะศึกครั้งนี้ลงได้ในเร็ววัน เกรงว่าอาจจะมีขุนนางจำนวนไม่น้อยอาศัยเหตุการณ์ในครานี้ยุแยงใส่ความ เพื่อให้ราชสำนักกล่าวโทษต่อท่านอ๋อง กลุ่มขุนนางล้วนหวั่นเกรงผลงานการรบที่ยิ่งใหญ่ ความช่ำชองในการออกสู่สมรภูมิ แม้นกระทั่งชื่อเสียงอันเลื่องลือของท่านอ๋อง ส่วนตัวการใหญ่ในการนี้นะหรือ...ฝานหยี่สิงสะบัดแส้ม้าด้วยความเดียดฉันท์ อดส่ายศีรษะมิได้ ภาพชายหนุ่มรูปงามดูสุภาพอ่อนโยนที่อาศัยอยู่ตงกง ผุดขึ้นในความคิด
จริงดังคำกล่าวที่ว่าไม่มีคำว่าพี่น้องในราชสำนัก!
แม้ว่าพี่น้องคนนี้จะเป็นผู้นำทัพออกรบเพื่อโค่นล้มราชวงศ์ก่อน ช่วยเหลือส่งเสริมจนบิดาสามารถก้าวขึ้นนั่งบัลลังก์ในวันนี้ได้ แต่ก็ไม่อาจหยุดยั้งความเกลียดชังที่มีต่อพี่น้องคนนี้ ทุกครั้งที่ท่านอ๋องต้องออกสู่สนามรบ ผู้ที่ปรารถนาให้เขาสิ้นชีพมากที่สุดคงหนีไม่พ้นไท่จื่อ หากวันใดที่เขามีอันต้องสิ้นชีพลงตามแรงปรารถนานั้นจริง เพื่อแสดงออกถึงน้ำใจไมตรีและความเมตตากรุณาอันล้นพ้น ไท่จื่อคงจะเป็นผู้ทูลขอตำแหน่งอันสมเกียรติให้กับท่านอ๋องด้วยตนเอง ให้ผู้อื่นได้ชื่นชมสายสัมพันธ์รักระหว่างพี่น้อง
ความคิดช่างแยบคายและเห็นแก่ตัว ที่ยิ่งกว่านั้นคือเจ้าเล่ห์ยิ่งนัก
ฝานหยี่สิงเขี่ยเจ้าคนน่ารังเกียจนั้นออกไปจากความคิด มองดูสถานการณ์ตรงหน้าอีกครั้ง จากนั้นก็หัวเราะเสียงดังออกมา ต่อหน้าท่านอ๋องผู้ได้รับความรักจากสวรรค์แล้ว ไม่ว่าผู้ใดก็มิอาจต่อกรด้วยได้ แน่นอนว่าแม้แต่กุนซือของกลุ่มโจรกบฏแห่งภูเขาเทียนหยูแห่งนี้...กงซุนจ่างซุนผู้ที่ในท้องเต็มไปด้วยความเจ้าเล่ห์ ในสมองเต็มไปด้วยแผนการอันชั่วร้าย สุดท้ายก็ต้องก้มศีรษะอันหยิ่งทระนงและขี้ฉ้อของตนลง กลืนแผนการชั่วร้ายทั้งหมดลงท้อง เผชิญกับความปราชัยดังเช่นหุบเขาถล่มจนต้องหนีหัวซุกหัวซุนอยู่ในตอนนี้
ความคับแค้นใจทั้งหมดที่ได้รับจากความพ่ายแพ้ ความอัปยศที่ได้รับจากกงซุนจ่างซุนที่ผ่านมา ฝานหยี่สิงถูกปลอบประโลมจากสิ่งเหล่านั้นด้วยภาพตรงหน้า ยามที่เขามองดูกงซุนจ่างซุนผมเผ้ายุ่งเหยิง พยายามต่อสู้อย่างสุดชีวิตราวกับสัตว์ติดจั่น หวังเพียงจะสามารถหนีรอดออกไปได้ เขาก็อดผิวปากอย่างอารมณ์ดีออกมามิได้
เขารู้ว่าไม่มีผู้ใดทนแบกรับความอดสูนี้ไว้ได้ ความอัปยศทั้งหมดที่ได้รับจากกงซุนจ่างซุน ท่านอ๋องจะต้องเอาคืนเป็นพันเท่าหมื่นเท่าเป็นแน่!
ฝานหยี่สิงหันไปดูแม่ทัพล่อหยี่เฟิง ใบหน้าสง่างามของเขาไร้ซึ่งความรู้สึกอันใด มีเพียงริมฝีปากทั้งคู่ที่โก่งขึ้นเล็กน้อย นัยน์ตาดำขลับวาววับดั่งดวงดารา กระไอสังหารฉายอยู่รอบตัวเขา ใบหน้านั้นประดับด้วยริมฝีปากสีแดงดั่งโลหิต รอยยิ้มแฝงไว้ด้วยความโหดร้าย แต่กลับเป็นข้อพิสูจน์ว่าในท้ายที่สุดแล้วเขาจะเป็นผู้กำชัย จะไม่มีผู้ใดสามารถต่อต้านเขาได้ ศึกครานี้จะต้องไร้พ่ายอย่างแน่นอน ในใจของฝานหยี่สิงยิ่งทวีความเชื่อมั่นขึ้นไปอีกเท่า
ที่ภูเขาเทียนหยูสามารถยืนหยัดจนถึงบัดนี้ สร้างความรำคาญแก่จิตใจของเขายิ่งนัก ซ้ำร้ายยังบั่นทอนชื่อเสียงของท่านอ๋อง แต่วันนี้เหตุการณ์เหล่านี้จะสิ้นสุดลง ท่านอ๋องยังคงเป็นท่านอ๋องที่ออกศึกไร้พ่ายต่อไป และยังคงเป็นท่านอ๋องคนเดิมที่กลุ่มโจรกบฏจะต้องกลัวจนหัวหด วิ่งหนีหัวซุกหัวซุนเมื่อได้ยินชื่อ
เมื่อได้รับคำสั่งให้เด็ดหัวของหัวหน้าโจรกบฏ พลทหารทุกนายต่างส่งเสียงตอบรับดังกึกก้อง ก่อให้เกิดเสียงดังสะท้านฟ้าสะเทือนดิน ความยิ่งใหญ่ของกองทัพนั้นสร้างความหวาดกลัวให้แก่กลุ่มโจรกบฏไปทั่วทั้งกายและใจ
ความเกรียงไกรของโจรกบฏไม่อาจคงไว้ได้อีกต่อไป ทหารพ่ายดั่งภูเขาล้ม ความอลหม่านเกิดขึ้นอย่างไม่อาจหลีกเลี่ยงได้
ยอดเขาเทียนหยูแห่งนี้มีภูมิศาสตร์ที่เหมาะแก่การตั้งรับ แต่ฝ่ายรุกจะลำบาก ทำให้กลุ่มโจรกบฏสามารถต่อกรยื้อดึงกับกองทัพจากราชสำนักอยู่นานถึงสามเดือน
ในช่วงสองปีมานี้ ฮ่องเต้องค์ใหม่ทรงมีรับสั่งให้ออกทัพกำราบตั้งแต่ทิศใต้จรดทิศเหนือ ก่อให้เกิดความสูญเสียเป็นอย่างยิ่ง แต่ชัยชนะในการเข้าปราบปรามแต่ละคราก็เป็นการแสดงถึงอำนาจบารมี และความยิ่งใหญ่ของพระองค์ จนได้รับการยอมรับให้เป็นองค์เหนือหัวอย่างแท้จริง
ผู้ที่คอยนำทัพออกรบ สนับสนุนฮ่องเต้ในการก้าวขึ้นสู่พระแท่นบัลลังก์ก็คือโอรสองค์เล็กของพระองค์ หรือผิงอ๋องผู้ได้รับการขนานนามว่าเป็นยอดบุรุษผู้กล้าแห่งราชวงศ์เปิงนั่นเอง ผู้มีความองอาจห้าวหาญอย่างหาใดเปรียบ แม้จะมีพระชันษาเพียงยี่สิบปี
พระโอรสองค์นี้ทรงเชี่ยวชาญการรบ นำทัพออกศึกจนชนะนับครั้งไม่ถ้วน เกิดเป็นตำนานไร้พ่าย ทว่าตำนานไร้พ่ายนี้กลับต้องสิ้นสุดลงด้วยเหล่าโจรกบฏแห่งภูเขาเทียนหยูแห่งนี้
หัวหน้ากลุ่มโจรกบฏจ้าวกวางนั้น เดิมทีเป็นเพียงบุตรนอกสมรสคนหนึ่งของอ๋องราชวงศ์ก่อน แต่อาศัยประโยชน์จากแหล่งที่ตั้งของภูมิประเทศกับฐานะผู้สืบสายโลหิตแห่งราชวงศ์ก่อน ทำการรวบรวมสมัครพรรคพวกจากผู้ที่ยังคงจงรักภักดีต่อราชวงศ์ก่อนให้เข้าร่วมได้สำเร็จ ต่อสู้ยืนหยัดจนถึงบัดนี้ แต่วันนี้จะเป็นวันที่วิญญาณของจ้าวกวางต้องกลับคืนสู่ปรโลก
?ผู้ที่สามารถเด็ดหัวของหัวหน้าโจรกบฏจ้าวกวางได้ จะได้รับทองคำหนึ่งพันชั่ง!?
?ทองคำหนึ่งพันชั่ง!?
ทุกคนเลือดลมสูบฉีดแผ่กระจายไปทั่ว ความเย้ายวนของทองคำทำให้ดวงตาของเหล่านักรบแดงก่ำ ยกมือขึ้นตวัดดาบ ฟันแทงศัตรูอย่างไม่ปรานี แม้เพียงเงาก็ไม่ละเว้น
ที่ผ่านมาไม่เพียงแต่ล่อหยี่เฟิงเท่านั้นที่คับแค้นใจ การพ่ายแพ้ติดต่อกันเป็นเวลานานย่อมส่งผลให้จิตใจของเหล่าทหารสั่นคลอนได้ไม่ยาก แต่คำสั่งท่านแม่ทัพล่อหยี่เฟิงเป็นดั่งประกาศิต ไหนเลยจะมีคนกล้าขัดขืน มิเช่นนั้นทหารที่ลอบหนีไปคงมีไม่น้อยกว่ามดเป็นแน่
แต่วันนี้ชัยชนะอยู่เพียงแค่เอื้อม เพื่อระบายความคับแค้นใจทั้งหมด พวกเขาต่างฟาดฟันศัตรูอย่างไม่ปรานี ยิ่งได้รับความเย้ายวนจากทองคำหนึ่งพันชั่ง การฆ่าฟันก็ยิ่งทวีความรุนแรงขึ้นไปอีก
ผู้ที่ยอมมาออกรบต่างหวังว่าตนจะได้รับตำแหน่ง เกียรติยศ ความร่ำรวยบนหลังม้า วันนี้ขอเพียงเด็ดหัวหัวหน้ากบฏจ้าวกวางได้สำเร็จ ก็จะได้รับความร่ำรวยไปตลอดชีวิต เมื่อคิดเช่นนั้นทุกคนต่างลงมือกันรวดเร็วมากขึ้น หากว่าดาบที่ใช้ฆ่าฟันมีอันต้องบิ่นไปก็คว้าเอาดาบของผู้ตายขึ้นมาฟาดฟันศัตรูต่อ
?ผู้ที่เด็ดหัวกงซุนจ่างซุนได้ จะได้รับทองคำสองพันชั่ง?
ล่อหยี่เฟิงออกคำสั่งเมื่อมองเห็นบุรุษชุดขาวอยู่กลางวงล้อมที่อยู่ห่างไกลออกไป เขากำมือที่ถือบังเหียนไว้แน่น ดวงตาหรี่ลง กระไอสังหารยิ่งแผ่กำจายมากขึ้น
ท่ามกลางฝุ่นดินลอยคละคลุ้ง คนผู้นั้นสวมอาภรณ์สีขาวโพลนดั่งหิมะ ความสกปรกใดๆ จากโลกมนุษย์ไม่อาจสร้างความแปดเปื้อนลงบนนั้นได้ ผมสีดำปล่อยยาวสยายเปรียบดั่งเทพเซียนจากสรวงสวรรค์ แต่ส่วนที่ไม่เหมือนกับเทพเซียนทั่วไปนั้นคือ ดวงตาดอกท้อที่หางตาโก่งขึ้นเล็กน้อย สายตาดึงดูดใจคนคู่นั้น...
ล่อหยี่เฟิงมองภาพวาดของกงซุนจ่างซุนอยู่ทุกเมื่อเชื่อวัน ทุกคราที่มองจะรู้สึกแค้นใจจนอยากควักดวงตาดอกท้อคู่นั้นออกเสีย กระชากรอยยิ้มกระหยิ่มบนใบหน้าให้หลุดออก ฉีกใบหน้าที่เต็มไปด้วยรอยยิ้มนั้นเสียให้สิ้นซาก
ผู้ที่ทำให้ชื่อเสียงของเขาในฐานะเทพเจ้าแห่งสงครามต้องมีมลทิน ผู้ที่ทำให้เขาต้องถอยร่นไปนับร้อยลี้ คนผู้นั้นคือบุรุษใบหน้าหล่อเหลา สะอาดสะอ้าน ดูอายุน้อยกว่าเขาหลายปีผู้นี้นะหรือ
ล่อหยี่เฟิงได้รับความอัปยศอดสูอย่างเหลือคณา คำยกยอว่า ?วีรบุรุษเกิดจากคนหนุ่ม? นี้ เดิมทีทั่วใต้หล้ามีเพียงเขาที่คู่ควร มาบัดนี้กงซุนจ่างซุนผู้นี้กลับเหมาะสมกับคำนี้ยิ่งกว่าเขาเสียแล้ว
กงซุนจ่างซุนที่เคยแต่ได้ยินเสียงเล่าลือ ทว่ากลับไม่เคยมีโอกาสพบหน้า หากมิใช่เพราะล่อหยี่เฟิงยอมเสียเงินถึงสองพันชั่ง ซื้อใจผู้ที่เคยรู้จักกับเขามาก่อนจนยอมวาดภาพเหมือนให้ เกรงว่าล่อหยี่เฟิงอาจไม่มีโอกาสได้เห็นแม้แต่ภาพวาดของเขาก็เป็นได้
คนที่เคยพบเห็นใบหน้าของกงซุนจ่างซุนมีน้อยเสียจนนับนิ้วได้ จ้าวกวางคอยดูแลปกป้องเขาราวกับสมบัติล้ำค่า ส่วนกงซุนจ่างซุนก็คอยช่วยวางแผนกลยุทธ์นานาให้กับจ้าวกวาง ทำไร่ทำนา คอยฝึกปรือเหล่าทหารบนยอดเขาแห่งนี้
เมื่อมีเสบียงกอปรกับกำลังรบที่เข้มแข็งขึ้น สายเลือดของราชวงศ์ก่อนผู้นี้จึงสามารถต่อกรกับกองทัพอันยิ่งใหญ่ของล่อหยี่เฟิงได้นานถึงสามเดือน การต่อสู้ที่ยืดเยื้อนี้ทำให้รากฐานของราชวงศ์เปิงสั่นคลอน ขุนนางจำนวนไม่น้อยที่ยังคงฝักใฝ่ราชวงศ์เดิมเริ่มเอาใจออกห่าง ลังเลว่าจะถวายชีวิตต่อฝ่ายใดดี
แต่ความลังเลใจนี้มีเพื่อให้ล่อหยี่เฟิงทำลายจนไม่เหลือแม้แต่เศษเสี้ยว เขาจะทำให้พวกโจรกบฏเหล่านี้ไม่กล้ามีความคิดเพ้อฝันอีกต่อไป!
จ้าวกวางมิใช่ปัญหาใหญ่ คนที่ต้องคอยระวังอย่างแท้จริงคือผู้มีใจเป็นใหญ่และวางแผนการเหล่านี้ขึ้นมา กงซุนจ่างซุนนั่นเล่า
?ผู้ที่เด็ดหัวกงซุนจ่างซุนได้ จะได้รับทองคำสองพันชั่ง?
คำสั่งถ่ายทอดออกไปเป็นทอดๆ บุรุษผู้นั่งอยู่บนหลังอาชาสีขาวย่อมได้ยินแล้วเช่นกัน เขายกศีรษะขึ้นมองมาทางล่อหยี่เฟิง สายตาท้าทายในดวงตาดอกท้อนั้นทำให้ล่อหยี่เฟิงใจเต้นระส่ำอย่างมิอาจห้าม ริมฝีปากอดแสยะยิ้.ิได้
อยากตายภายใต้คมดาบของข้าเช่นนั้นหรือ ได้ ข้าจะให้เจ้าได้สมดังใจ!
เขาควบม้าทะยานไปข้างหน้า ฝานหยี่สิงรีบห้ามปราม ?ไม่ได้นะพ่ะย่ะค่ะ ท่านอ๋อง คนแซ่กงซุนเจ้าเล่ห์เพทุบาย เกรงว่าจะเป็นหลุมพราง?
?ภายใต้ความสามารถของข้าแล้ว หลุมพรางใดๆ ล้วนเป็นเพียงเรื่องน่าขัน?
หลังเอ่ยวาจาเย่อหยิ่งเช่นนั้น เขาก็สะบัดสายบังเหียน ควบม้าทะยานไปข้างหน้า ทหารเดินเท้าทั้งหลายต่างหลีกทางให้ ซ้ำยังมีบางส่วนตื่นเต้นจนต้องกลั้นลมหายใจ สายตาจ้องมองระหว่างล่อหยี่เฟิงและกงซุนจ่างซุนไปมาอย่างสนใจ
ในที่สุดก็ถึงเวลาตัดสินว่าใครคือผู้ที่อยู่เหนือกว่า ระหว่างผิงอ๋องผู้ได้รับชื่อเสียงกรียงไกรบนหลังม้า ผู้เปรียบดั่งเทพเจ้าแห่งสงคราม กับอีกผู้หนึ่งซึ่งเดิมทีไร้ชื่อเสียง แต่กลับเป็นที่รู้จักเพียงชั่วข้ามคืนจากการสู้รบ ณ ภูเขาเทียนหยู
***
กงซุนจ่างซุนอยู่ภายใต้อาภรณ์สีขาวพิสุทธิ์เหมือนดั่งเทพเซียน แม้แต่ม้าที่เขาควบอยู่ก็เป็นสีขาวปลอด ไม่มีรอยสกปรกแม้แต่กระผีกริ้น เขาสมบูรณ์พร้อมจนราวกับความทุกข์ใจทั้งหมดทั้งมวลของคนธรรมดาเดินดินต้องหลีกลี้ ผู้ที่เป็นดั่งเทพเซียนท่ามกลางสนามรบอันชุ่มโชกด้วยโลหิตนี้เป็นความงดงามที่ยากจะพรรณนา สง่าเกินกว่าสรรหาคำใดมาเปรียบเปรย แต่กลับเป็นที่หวั่นเกรงด้วยเหตุใดไม่อาจทราบได้
ทหารของทั้งสองฝ่ายต่างคิดเช่นนี้ แต่ไหนเลยจะมีผู้ใดรู้ว่าภายใต้ใบหน้าไร้ความรู้สึกที่กงซุนจ่างซุนแสดงออกมานั้น แท้จริงแล้วสองมือของเขาแทบไม่มีแรงจับบังเหียน สองขาจวนจะคุมหลังม้าไว้ไม่อยู่
ตลกน่า ในปัจจุบันจะมีพนักงานออฟฟิศสักกี่คนกันเชียวที่สามารถควบม้าได้ ถ้ามีเขายอมยกหัวให้กับคนที่ทำได้เลยเอ้า!
จิตใจอันร้อนรุ่มและแสนจะกระวนกระวายของกงซุนจ่างซุนถูกปิดซ่อนไว้อย่างมิดชิดภายใต้ภาพลักษณ์ดั่งเทพเซียนของเขา เขารู้สึกว่าลึกๆ แล้ว จ้าวกวางคงต้องการให้เขาตาย แถมตายยิ่งเร็วยิ่งดีถึงได้ไม่ห้ามปรามตอนที่เขาเสนอว่าอยากสวมใส่เสื้อผ้าสีขาว
พวกเขากำลังหนีตาย ทำไมต้องให้เขาสวมใส่เสื้อผ้าสีขาว ซ้ำยังให้ขี่ม้าสีขาว การแต่งตัวที่เหมือนกับเจ้าชายขี่ม้าขาวสุดแสนจะโดดเด่นนี้ แต่งไปให้ใครดูกัน ที่นี่คือสนามรบ ทำตัวให้กลมกลืนกับสภาพแวดล้อมให้มากที่สุดจึงจะมีโอกาสหนีรอดไปได้ไม่ใช่หรือ?! การสวมใส่ชุดขาวขี่ม้าขาวแต่เพียงลำพังท่ามกลางกลุ่มคนนับพันเช่นนี้ นอกจากต้องการล่อเป้าแล้วยังจะให้เป็นอย่างไหนไปได้อีก?
ศัตรูคนใดที่ไม่มาไล่ล่าเขา คนคนนั้นคงจะต้องรู้สึกเหมือนทำผิดอย่างร้ายแรงต่อพ่อแม่และตัวเองอย่างแน่นอน!
ในใจของทหารของราชวงศ์เปิงจะต้องคิดว่า รีบยิงธนูเร็วเข้า! ยิงใส่เจ้าคนสวมใส่ชุดขาวโดดเด่นนั่น! ใครบอกให้เขาเรียกร้องความสนใจ คนพิลึกพิลั่นที่รักความโดดเด่นเช่นนี้สมควรตาย นอกจากนี้หากยิงตายสำเร็จจะได้รับทองคำถึงสองพันชั่งเชียวนะ เย้ ข้ารวยแล้ว ท่านแม่ ต่อไปข้าจะเป็นเศรษฐีแล้ว ท่านจะได้ไม่ต้องคอยกินผักดองแกล้มข้าวอีกต่อไป และข้ายังสามารถสู่ขอสะใภ้มาคอยปรนนิบัติท่านได้อีกด้วยนะ
อย่าหาว่าเขาคิดมากเกินกว่าเหตุเลยเถอะ แต่เป็นเพราะว่าชุดขาวชุดนี้มันสว่างจ้าบาดตาเสียเหลือเกิน เขาถึงเชื่อมั่นเต็มเปี่ยมว่าชุดนี้ต้องเป็นชุดที่มีค่าที่สุดในบรรดาสมบัติทั้งหมดของจ้าวกวางอย่างแน่นอน
พอเขาปฏิเสธจะสวมชุดนี้ จ้าวกวางพูดด้วยสายตาละห้อย น้ำตาเอ่อล้นว่า ?ท่านกงซุน ท่านเป็นผู้มีพระคุณของข้า แม้ว่าข้าจะต้องสิ้นชีวิต ข้าก็จะขอตายต่อหน้าท่าน ท่านเป็นผู้ที่จุติลงมาภายใต้ดวงดาวแห่งปัญญา เดิมทีก็มิใช่ปุถุชนธรรมดา ข้าจะต้องสรรหาสิ่งที่ดีที่สุด ล้ำค่าที่สุด สูงส่งที่สุดให้กับท่าน ขอให้ท่านอย่าได้บอกปัดเลย หากมิใช่เพราะท่านยอมช่วยเหลือข้า ณ ยอดเขาเทียนหยูนี้ ข้าคงจะมีชีวิตอยู่ได้ไม่ถึงวันนี้?
คำพูดที่เปี่ยมไปด้วยความสำนึกบุญคุณอันสุดแสนจะซาบซึ้งใจเช่นนี้ เป็นเพียงคำพูดไร้สาระที่พล่ามออกมาไม่รู้จักจบจักสิ้น เหมือนกับบทพูดของละครโทรทัศน์ ความเคารพยำเกรงที่มีต่อเขานั้นมากมายมหาศาลเสียเหลือเกิน
หากว่าจ้าวกวางไม่ใช่ผู้ที่ช่วยชีวิตของเขาไว้ เขาจะต้องเย็บปากจ้าวกวางให้แน่น พร้อมทั้งถีบให้ตกน้ำไปในคราวเดียวกันเพื่อให้มีสติขึ้นมาบ้าง และเพื่อชำระล้างบรรดาคุณธรรมจริยธรรมทั้งหลายที่มีอยู่ในตัวให้สะอาดหมดจด ไม่เหลือแม้แต่คราบหรือร่องรอยใดๆ ในสมอง
กงซุนจ่างซุนก่นด่าในใจระหว่างที่ควบม้าเพื่อหลบหนี
จ้าวกวางคนนี้เป็นคนที่ซื่อจนบื้อ คงคิดอยู่เสมอว่าคนแซ่ล่อเป็นพวกกบฏที่ช่วงชิงราชบัลลังก์ ส่วนตนเองยังคงเป็นบุตรของอ๋องอยู่ และตนมีภาระหน้าที่ที่จะต้องจัดการพวกกบฏพวกนี้เพื่อ ?ล้มชิงฟื้นหมิง ?
อ๊า พูดผิดแล้ว ไม่ใช่ ?ล้มชิงฟื้นหมิง? แต่เป็น ?ล้มเปิงฟื้นเกิง? ต่างหาก
รัชสมัยบ้าอะไรกัน เป็นรัชสมัยที่ไม่ปรากฏในหน้าหนังสือประวัติศาสตร์เล่มใดๆ ที่เขาเคยร่ำเรียนมาก่อน และตอนนี้คือรัชสมัยของราชวงศ์เปิง ก่อนหน้านี้คือราชวงศ์เกิง แต่ช่างมันเถอะ ไม่ว่าอย่างไรก็ตาม จ้าวกวางก็คือสายเลือดที่เหลือรอดของราชวงศ์ก่อนนั่นเอง
จ้าวกวางที่นำทัพออกต่อสู้เพื่อกอบกู้ราชวงศ์ของตนเป็นได้เพียงลูกแตงโมที่ถูกผ่าเท่านั้น ถูกฆ่าแล้วฆ่าอีก ฆ่าจนเลือดไหลเป็นแม่น้ำ กลิ่นเหม็นเน่าของศพโชยไกลเป็นร้อยลี้ มิหนำซ้ำยังถูกตราหน้าว่าเป็นโจรกบฏอีก ไม่เพียงแต่จะไม่ได้รับผลดีอันใดเลย ยังต้องตกเป็นที่ครหาตลอดไปแม้แต่ตอนสิ้นชีพลงแล้ว ผลสรุปน่าเศร้าเช่นนี้ เหตุใดถึงยังคงเต็มเปี่ยมไปด้วยความรู้สึกว่าตนเองมีความชอบธรรม มีแววตาที่มั่นคงอยู่ได้อีก สิ่งนั้นทำให้กงซุนจ่างซุนรู้สึกโกรธจนปวดท้อง รู้สึกไม่คุ้มค่าแทนจ้าวกวาง
จ้าวกวาง! เจ้าไม่ใช่แม้แต่บุตรในสมรสด้วยซ้ำ ขนาดบุตรในสมรสของพ่อเจ้ายังยอมยกธงขาวไปแล้ว ทำไมเจ้าถึงยังดื้อดึงอยู่อีก กลัวว่าตัวเองจะอายุยืนเกินไปหรือไง สมองเจ้าทำด้วยอะไรกันแน่? โง่เง่า ปัญญาอ่อน พ่อของเจ้าก็ไม่เคยทำดีกับเจ้าเลย พี่ชายเจ้า (ที่เกิดจากเมียแต่ง) ไม่เคยใส่ใจไยดี แม่ใหญ่ของเจ้า (เมียแต่งของพ่อ) ก็หวังเป็นอย่างยิ่งว่าจะเลี้ยงเจ้าให้โตมาเป็นขยะ ทำอะไรไม่เป็น ไม่รู้อะไรสักอย่าง...
กงซุนจ่างซุนถอนหายใจอย่างอ่อนแรง จ้าวกวางถูกเลี้ยงมาจนกลายเป็นขยะจริงๆ สมองซื่อจนบื้อเช่นนี้ อย่าว่าแต่จะกอบกู้ราชวงศ์เลย แม้ว่าหากยังอยู่สมัยราชวงศ์เกิง ขอเพียงมีคนใส่ร้ายป้ายสีเพียงเล็กน้อย เขาก็สามารถถูกตัดสินลงโทษได้อย่างไร้สิ้นคำแก้ตัว ถูกกำจัดชนิดถอนรากถอนโคนได้โดยไม่ยากนัก
แม้กระทั่งบนภูเขาเทียนหยูแห่งนี้ เกรงว่าคงจะมีใครบางคนเสแสร้งทำเป็นยกยอปอปั้นเขา ให้เขาออกหน้าเป็นหัวหน้า แท้จริงแล้วเพื่อที่จะให้ทางราชสำนักตราหน้าว่าเขาเป็นหัวหน้าโจรกบฏ เพื่อให้เขาต้องแบกรับความผิดทั้งหมดไว้แล้วปล่อยคนอื่นไป
ความคิดชั่วร้ายออกจะชัดเจนขนาดนี้ ทำไมจ้าวกวางถึงดูไม่ออกกันนะ ทีคนอื่นล่ะฉลาดกันเชียว ยัดเยียดการกระทำที่ต้องถูกตัดหัวทั้งหมดไปให้กับจ้าวกวางแต่ผู้เดียว
เมื่อมีจ้าวกวางเป็นเกราะกำบัง ขอเพียงฮ่องเต้องค์ใหม่ของราชวงศ์เปิงไม่ใช่คนไร้สมองที่ชื่นชอบการฆ่าฟันเป็นชีวิตจิตใจ ภายหลังสังหารจ้าวกวางแล้ว หากคนที่เหลืออยู่ยอมใช้ชีวิตอย่างสงบเสงี่ยม ฮ่องเต้องค์ใหม่ย่อมไม่มีความจำเป็นจะต้องตัดรากถอนโคนคนกลุ่มนี้อีก
พูดตรงๆ ก็คือ ทุกคนนำชีวิตของจ้าวกวางมาแลกเปลี่ยนกับชีวิตอันสุขสบายของตน
นั่นไง เขารู้มาสักพักแล้วว่าสมองของจ้าวกวางมีปัญหา แต่ไม่คิดว่าจะหนักหนาถึงเพียงนี้ สิ่งแรกที่เขาควรทำเมื่อทะลุมิติเข้ามา ณ สถานที่แห่งนี้ก็คือพาจ้าวกวางไปหาหมอ แม้ว่าจะไม่สามารถเยียวยาสมองของจ้าวกวางได้ เขาก็ยังยินดีที่จะกรอกยานับสิบขนานให้กับจ้าวกวาง ให้จ้าวกวางดื่มยาจนตายไปเลยยิ่งดี
การข้ามมิติที่แสนจะงี่เง่า ไหนๆ จะทะลุมิติทั้งที มันต้องเข้ามาเป็นพระเอกอย่างล่อหยี่เฟิงที่เพียบพร้อมไปด้วยรูปลักษณ์ภายนอก พละกำลัง แถมยังเป็นถึงอ๋อง มีพ่อเป็นฮ่องเต้องค์ใหม่ที่เพิ่งขึ้นครองราชย์ พี่ชายก็เพิ่งได้รับแต่งตั้งให้เป็นไท่จื่อสิถึงจะถูกต้อง มิใช่หรือ?
ทำไมเขาถึงได้โชคร้ายอย่างนี้นะ ดันทะลุมิติมาเป็นคนข้างกายของเจ้าโง่จ้าวกวาง แถมยังกลายเป็นกุนซือของโจรกบฏไปเสียอีก เขาอยากจะตะโกนใส่ฟ้าเหลือเกิน ครั้นแล้วกงซุนจ่างซุนก็ชำเลืองมองไปยังล่อหยี่เฟิงที่อยู่ห่างไปไม่ไกล ในใจคอยจินตนาการว่าหากตนสามารถทะลุมิติมาเป็นล่อหยี่เฟิง ชีวิตจะมีความสุขถึงเพียงใดกัน
ดาบทรงค่า สุราชั้นเลิศ ทองคำและหญิงงาม น่าจะกองไว้เต็มห้องรอให้เขาไปเชยชม เขาเพียงแค่นั่งไขว่ห้างคอยลิ้มรสความหวานหอมของชีวิตก็เพียงพอแล้ว
สมดังคำกล่าวที่ว่าอย่าเปรียบคนกับคนเลย มิเช่นนั้นคนที่จะเจ็บปวดก็คือตัวเอง
ล่อหยี่เฟิงได้รับสายตาเปี่ยมด้วยความอิจฉาริษยาที่มองมาจากกงซุนจ่างซุน แต่น่าเศร้านักที่เขากลับเข้าใจเจตนาของกงซุนจ่างซุนผิดไป
มองดูสายตาที่เต็มไปด้วยความท้าทาย ดูถูก เย่อหยิ่งนั่นเล่า! หน้าอกของล่อหยี่เฟิงกระเพื่อมขึ้น จิตอาฆาตและความทระนงพุ่งขึ้นมาในทันใด
นับตั้งแต่ที่เขาออกสู่สมรภูมิมา มีเพียงกงซุนจ่างซุนผู้นี้เท่านั้นที่ทำให้เขาได้ลิ้มรสชาติของความพ่ายแพ้ มิหนำซ้ำบัดนี้เจ้าโจรชั่วคนนี้ยังบังอาจใช้สายตาที่อยู่เหนือทุกสิ่งมองดูเขาเช่นเดียวกับมองดูกองพลที่กำลังพ่ายแพ้ ราวกับจะบอกว่า...
หากมิใช่เพราะสวรรค์ไม่ประทานฝนมาให้ แสงอาทิตย์สาดส่องแรงกล้าทุกวัน อาหารบนยอดเขาค่อยๆ ร่อยหรอกระทั่งหมดลง ทำให้พวกเขาไม่มีข้าวสารกรอกหม้อ ต้องเผชิญกับความอดยาก กอปรกับอากาศอันร้อนระอุจนแหล่งน้ำบนภูเขาเทียนหยูค่อยๆ เหือดแห้ง ไม่เพียงพอสำหรับกองทัพ มีหรือพวกเขาจะยอมสละพื้นที่แห่งนี้ออกไปตายเอาดาบหน้า ต่อให้ต้องปิดล้อมไปอีกสามปีสิบปี อ๋องเล็กๆ อย่างล่อหยี่เฟิงก็ไม่อาจปราบพวกเขาลงได้
?ความอวดดี? ของกงซุนจ่างซุนเช่นนี้ ทำให้ความอาฆาตบนใบหน้าของล่อหยี่เฟิงแจ่มชัดยิ่งขึ้น เขาควบม้าพุ่งทะยานไปหากงซุนจ่างซุน หากกงซุนจ่างซุนรู้ว่าสายตาที่เต็มไปด้วยความอิจฉาริษยาของตนจะทำให้ล่อหยี่เฟิงคิดไปไกลได้ถึงเพียงนี้ และนำความอาฆาตแค้นราวกับยมทูตมาสู่ตัว อาจเป็นได้ว่าเขาคงจะยอมควักลูกตาของตนเองออกเสียแทนที่จะไปมองล่อหยี่เฟิง
ไม่สิ อย่างมากก็แค่แอบมองเท่านั้น
คนอะไรรูปร่างดี หน้าตาก็ดี ความหล่อเหลาคมคายนี้ยากที่จะหาใครเทียมได้ แค่ได้เห็นก็รู้สึกเป็นกำไรชีวิต เมื่อย้อนคิดไปถึงจ้าวกวาง หากว่าจ้าวกวางมีรูปร่างหน้าตาแบบนี้ ถึงแม้ว่าบนโลกใบนี้จะไม่มีทัศนคติเกี่ยวกับรักร่วมเพศ เขาก็คงจะพยายามอย่างเต็มที่เพื่อให้ได้เชยชมจ้าวกวาง และจะลิ้มรสไม่ให้เหลือแม้แต่ซาก พร้อมทั้งเอ่ยคำพูดยอดฮิตในหนังว่า ?บุญคุณที่ข้าช่วยชีวิตเจ้า เห็นทีจะต้องใช้ร่างกายเจ้าตอบแทนเท่านั้น?
ดูใบหน้านั้นสิ ช่างงดงามเสียนี่กระไร ใบหน้าที่แสดงความกราดเกรี้ยวนั้นช่วยเสริมแต่งความเป็นชายชาตรี ดวงตาคมยาวนั่น แม้จะแฝงไปด้.ั่งอสรพิษ แต่กลับยิ่งเพิ่มพูนเสน่ห์ กงซุนจ่างซุนแทะโลมล่อหยี่เฟิงด้วยสายตาจนน้ำลายแทบจะไหลออกจากปาก
อาหารตาอันเลอค่า
หล่อแบบไม่เกรงใจใครเลย!
แต่ที่น่าเศร้าคือพวกเขาทั้งสองไม่ได้อยู่ฝ่ายเดียวกัน...มองดูใบหน้าอันสุดแสนจะปัญญาอ่อนของจ้าวกวางก่อน แล้วมองดูใบหน้าอันหล่อเหลาของล่อหยี่เฟิงอีกครั้ง กงซุนจ่างซุนอดไม่ได้ที่จะถอนหายใจยาวๆ เจ้าของร่างนี้จะตกน้ำทั้งทีทำไมถึงไม่ไปตกน้ำในจุดตั้งเต็นท์ของล่อหยี่เฟิงกันนะ ทำไมจะต้องมาตกในอาณาบริเวณของจ้าวกวางบนภูเขาเทียนหยูนี้ด้วย
แม้ว่าในโลกแห่งนี้จะไม่มีเกย์ แต่ความรู้สึกตอนที่ได้รับความช่วยเหลือจากหนุ่มรูปงาม กับคนโง่ที่ถูกคนอื่นให้ร้ายแล้วยังไม่รู้ตัว มันต้องต่างกันราวฟ้ากับเหวอยู่แล้ว
เพียงแค่จินตนาการว่าล่อหยี่เฟิงเป็นผู้ช่วยตนขึ้นจากน้ำ จากนั้นก็เริ่มต้นด้วยการผายปอด ต่อด้วยการอุ้มแบบเจ้าหญิง ตนเองถูกโอบกอดแน่นด้วยท่อนแขนอันแข็งแรงดุจเหล็กกล้านั้น และเมื่อลืมตาขึ้นมาก็มองเห็นกล้ามอกที่บึกบึน ไม่แน่นะ บางทีก้นของเขาอาจจะถูไถไปโดนของสงวนของล่อหยี่เฟิงโดยไม่ตั้งใจ ให้รับรู้ถึงขนาดสักเล็กน้อยก็ยังดีว่าใหญ่หรือเล็ก
โอ๊ โฮ่ โฮ่ น้ำลายไหลออกมาโดยไม่รู้ตัวแล้ว
+++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++
กงซุนจ่างซุนข้ามมิติไปเป็นกุนซือของตัวประกอบในหนังสือนิยายที่เขาเคยอ่าน แม้ว่าเขาจะหลงใหลได้ปลื้มในใบหน้าอันหล่อเหลาเกินธรรมดาของพระเอก...เทพเจ้าแห่งสงครามล่อหยี่เฟิง แต่เขาก็ทำได้เพียงเสียใจจนน้ำตาอาบแก้ม เพราะว่าพวกเขาอยู่คนละฝ่ายกัน
วันนี้เขาตกเป็นเชลยของล่อหยี่เฟิง ในหัวเขาถึงต้องคิดหาทางเอาตัวรอด... เพื่อการนี้เขาจึงทำให้ล่อหยี่เฟิงเข้าใจผิดว่าในมือเขามีสมบัติของราชวงศ์ก่อน จากนั้นก็แกล้งทำเป็นความจำเสื่อมแล้วนับญาติกับล่อหยี่เฟิง ให้คนแซ่ล่อจำต้องเลี้ยงเขาไว้เพื่อค่อยๆ หลอกถามที่ตั้งสมบัติ
เขามองดูล่อหยี่เฟิงที่ต้องแสร้งแสดงความห่วงใยและลดตัวลงมาช่วยดูแลบาดแผลของเขา หรือในยามที่เขาเจอโจร ล่อหยี่เฟิงก็ยื่นมือมาช่วยเหลือและปลอบใจ ในใจเขาเต็มไปด้วยความสุข...เอ๋ เดี๋ยวก่อน!
ตรวจสอบว่าข้าบาดเจ็บหรือไม่ก็ตรวจไปสิ เหตุใดต้องแก้ผ้าข้า แล้วนั่นท่านกำลังจับอะไร?
หมอนี่ไม่สนใจในตัวบุรุษ แล้วตอนนี้ที่กำลังลวนลามเขาอยู่คืออะไรกัน?!
