จากแค้นเกิดเป็นความชัง
ภายในตำหนักจื่อเวย บรรยากาศนิ่งชะงัก
บุรุษซึ่งนอนอยู่บนแท่นบรรทมมังกรสีหน้าเทาคล้ำ ลมหายใจแผ่วเบาดุจใยแมงมุม ผู้ที่อยู่รายล้อมกายเขาแต่ละคนล้วนมีสีหน้าหนักอึ้ง ไม่กล้าแม้แต่จะหายใจเสียงดัง
ทันใดนั้นเสียงฝีเท้าระลอกใหญ่พลันดังแว่วมาจากด้านนอก ในชั่วพริบตาที่ประตูตำหนักถูกเปิดออก ทุกคนที่อยู่ในตำหนักล้วนหันไปมองโดยพร้อมเพรียง...
ชุดคลุมสีดำบนร่างชายหนุ่มขับเน้นความสูงใหญ่เพรียวสง่าของเขา ใบหน้าหล่อเหลาดุจหยก องคาพยพทั้งห้าคมคายโดดเด่น พาให้ทุกคนที่อยู่ในตำหนักแทบจะกลั้นลมหายใจจ้องมองเขา
โดยเฉพาะเด็กหนุ่มที่อยู่ข้างแท่นบรรทมยิ่งจับจ้องเขาอย่างตะลึงงันตาไม่กะพริบ
เขาเสมือนกระบี่ล้ำค่า สูงส่งและโอหัง ทว่ากลับเหมือนกระบี่ไร้ฝักยิ่งกว่า ทั้งแหลมคมและอันตราย ทั่วสรรพางค์กายแผ่กำจายกลิ่นอายน่าครั่นคร้ามที่ติดตัวมาตั้งแต่กำเนิด ทำให้ผู้คนได้แต่เมียงมองทว่ามิกล้าเข้าใกล้
เขาไม่ปรายตามอง สาวเท้าก้าวใหญ่เข้าไปในตำหนัก ไม่รู้สึกถึงสายตาของผู้อื่นแม้แต่น้อย จนกระทั่งเขาอยู่ห่างจากแท่นบรรทมมังกรไม่กี่ก้าว ทุกคนถึงรีบกระวีกระวาดทำความเคารพเขา
?ถวายบังคมท่านอ๋อง?
เขายกมือเป็นสัญญาณ ทุกคนล้วนถอยหลังไปหนึ่งก้าวอย่างเงียบเชียบ
เมื่อเดินมาถึงแท่นบรรทม เขาจดจ้องบุรุษที่ลมหายใจรวยรินอยู่บนเตียง ทว่าความรู้สึกมากล้นในหัวใจกลับมิได้ปรากฏออกมาให้เห็นทางสีหน้า กระทั่งดูเหมือนว่าบุรุษผู้นั้นรู้สึกได้ถึงการมาของเขาจึงลืมตาขึ้นอย่างเชื่องช้า ยกยิ้มอย่างแปลกใจและคล้ายกับคาดเดาได้อยู่ในที
?ซวิ่นอวี่...? ต้วนซวิ่นเหรินยื่นมือมาหาเขา
ต้วนซวิ่นอวี่มองมือที่แห้งเหี่ยวข้างนั้นด้วยสีหน้าเรียบเฉยไร้อารมณ์ จากนั้นค่อยๆ กุมไว้อย่างช้าๆ ?พี่สาม ข้ากลับมาแล้ว? สุ้มเสียงทุ้มเข้มน่าหลงใหลราวกับสุราชั้นเลิศก็ไม่ปาน ทว่ากลับไร้ซึ่งไออุ่นแม้แต่กระผีกริ้น
?ในที่สุดเจ้าก็กลับมา...? ต้วนซวิ่นเหรินเอ่ย เขายื่นมืออีกข้างหนึ่งออกไป แล้วเรียกเสียงแหบต่ำ ?อี้เอ๋อร์...?
?เสด็จพ่อ? เด็กหนุ่มซึ่งยืนอยู่ข้างแท่นบรรทมมาโดยตลอดรีบกุมมือเขาไว้
?ซวิ่นอวี่ เราขอมอบอี้เอ๋อร์ให้กับเจ้า?
คิ้วเข้มของต้วนซวิ่นอวี่ขมวดน้อยๆ เหลือบมองเด็กหนุ่มที่ไม่ได้อยู่ในสายตาของเขามาตั้งแต่แรกเริ่มแวบหนึ่ง ร่างทั้งร่างชะงักนิ่งไปเล็กน้อย จากนั้นกลับคืนสู่ความเยือกเย็นอย่างรวดเร็ว ไม่เผยอารมณ์ใดๆ ออกมาอีกแม้แต่นิดเดียว
?สภากลาง? ต้วนซวิ่นเหรินเรียกด้วยเสียงแหบแห้ง
?กระหม่อมอยู่นี่พ่ะย่ะค่ะ? บุรุษผู้ยืนอยู่ปลายแถวคือเหวินเหรินเทียนจี ใต้เท้าสภากลางแห่งราชสำนัก เขามีใบหน้างามล้ำละมุนละไม ยามนี้เขาหุบรอยยิ้มหยอกล้อดังเช่นทุกที และขานตอบด้วยสีหน้าเคร่งขรึมจริงจัง
?ร่างราชโองการ ประกาศคำสั่งของเราออกไป...ให้แต่งตั้งองค์ชายห้า ต้วนอี้ ขึ้นเป็นฮ่องเต้ แต่งตั้งเจิ้นเป่ยอ๋องเป็นผู้สำเร็จราชการ...ช่วยฮ่องเต้น้อยบริหารแผ่นดินร่วมกับขุนนางใหญ่แห่งสามสภา...?
ครั้นวาจานี้โพล่งออกมา ถึงแม้ทุกคนที่อยู่ในเหตุการณ์ไม่ประหลาดใจต่อราชโองการสั่งเสียฉบับนี้ ทว่าสีหน้าแต่ละคนล้วนแตกต่างกันไป ต่างคนต่างครุ่นคิดกับตนเอง
?กระหม่อมน้อมรับพระบัญชาพ่ะย่ะค่ะ!?
เหวินเหรินเทียนจีถวายคำนับเสร็จ ขณะที่กำลังจะออกไปร่างพระราชโองการ...
?ช้าก่อน? ต้วนซวิ่นอวี่ยกมือขึ้นห้าม
ชั่วพริบตานั้น สายตาของทุกคนล้วนตกกระทบลงบนร่างของเขา เหวินเหรินเทียนจีชะงักฝีเท้าเล็กน้อย
?พี่สาม? ต้วนซวิ่นอวี่หลุบขนตางอนยาวเพื่อปิดบังนัยน์ตาทรงเสน่ห์ไร้ซึ่งไออุ่น ?พี่สามให้คนควบม้าเร็วมาส่งข่าวว่าต้องการให้ข้ากลับวัง ตอนนี้ข้ากลับมาแล้ว แต่อีกประเดี๋ยวข้าก็จะไปแล้ว? ความนัยในวาจานี้คือเขาไม่มีความคิดที่จะรับตำแหน่งผู้สำเร็จราชการ
ทุกคนในตำหนักไม่มีใครไม่ประหลาดใจกับความยโสโอหังและเย่อหยิ่งของต้วนซวิ่นอวี่ คาดไม่ถึงว่าเขาจะกล้าโต้เถียงฝ่าบาทเช่นนี้
ต้วนซวิ่นอวี่ไม่เพียงแค่เป็นเชื้อพระวงศ์ผู้เป็นดังพระอนุชาองค์เล็กของฝ่าบาทองค์ปัจจุบัน ทั้งสองยังมีความสัมพันธ์สนิทสนมแน่นแฟ้น เป็นเรื่องน่าชื่นชมในราชสำนัก จนกระทั่งเมื่อสิบเก้าปีก่อน หลังจากต้วนซวิ่นอวี่รับคำสั่งจากฮ่องเต้องค์ก่อนให้มุ่งหน้าไปชายแดนทางเหนือเพื่อทำหน้าที่แทนฮ่องเต้องค์ปัจจุบันที่กลับมาเมืองหลวง มิตรภาพนี้ก็เริ่มเกิดการเปลี่ยนแปลงที่ไม่ชอบมาพากล
ครานั้นหลังจากต้วนซวิ่นเหรินกลับมาเมืองหลวง ฮ่องเต้องค์ก่อนก็เสด็จสวรรคต ต้วนซวิ่นเหรินจึงสืบทอดบัลลังก์ต่อโดยปริยาย ต่อมาภายหลังมีข่าวเล่าลือในราชสำนักว่าต้วนซวิ่นเหรินช่วงชิงตำแหน่งฮ่องเต้ไปจากต้วนซวิ่นอวี่ แค่เพียงเพราะว่าแรกเริ่มเดิมทีฮ่องเต้องค์ก่อนทรงรักใคร่โปรดปรานต้วนซวิ่นอวี่เป็นที่สุด ดุจโอรสของพระองค์โดยแท้ เนื่องด้วยต้วนซวิ่นอวี่เป็นโอรสเพียงคนเดียวของพระเชษฐาหรือฮ่องเต้ในรัชสมัยก่อน ยามเสด็จพ่อของเขาสวรรคต เขาเพิ่งลืมตาดูโลกได้ไม่ถึงเดือนดีด้วยซ้ำ พระองค์จึงทรงมีพระประสงค์จะมอบบัลลังก์ให้เขาตั้งแต่แรกอยู่แล้ว
แต่ไม่ทราบว่าเป็นเช่นนี้จริงหรือไม่ นับแต่นั้นมาต้วนซวิ่นอวี่ก็ประจำการอยู่ที่ชายแดนทางเหนือยาวนานถึงสิบเก้าปี โจมตีแว่นแคว้นทางเหนือแตกพ่ายไปมากมาย ไม่มีผู้ใดกล้าบุกรุกชายแดนอีก ถึงขนาดค่อยๆ พากันมาสวามิภักดิ์ กลายเป็นมิตรประเทศของราชวงศ์อู๋จี๋ คอยส่งบรรณาการด้วยเงินขาวและม้าศึกทุกๆ ปีเสียด้วยซ้ำไป จนเขาได้รับการยกย่องจากแคว้นต่างๆ ทางเหนือเป็น ?เทพสงครามไร้พ่าย?
บัดนี้เขากุมกำลังทหารมหาศาล บัญชาการกองทัพยิ่งใหญ่เกือบสี่แสนนายของชายแดนทางเหนือ มีข่าวลือแพร่สะพัดในราชสำนักช่วงหนึ่งว่าเขาคงจะยกทัพก่อกบฏเข้าสักวันจึงต้องการให้ฝ่าบาททรงเรียกตราทหารคืนจากเขาโดยเร็ว แต่ว่าฝ่าบาทกลับไม่เคยสนพระทัย
ความจริงพิสูจน์แล้วว่าต้วนซวิ่นอวี่ไม่เพียงแค่มิได้ก่อกบฏ จำนวนครั้งที่กลับมายังเมืองหลวงในช่วงระยะเวลาสิบเก้าปีนี้ยังน้อยเสียจนนับนิ้วได้ มิหนำซ้ำท่าทีในตอนนี้ยิ่งแสดงให้เห็นประจักษ์ชัดว่าเขาไม่มีความสนใจต่อสิ่งต่างๆ ในวังหลวงเลย
การกระทำนี้ทำให้ใต้เท้าแห่งสามสภาที่อยู่ในเหตุการณ์ และนางสนมกลุ่มใหญ่ลอบครุ่นคิดใคร่ครวญอย่างลับๆ เพราะการตัดสินใจของต้วนซวิ่นอวี่จะเปลี่ยนแปลงความรุ่งโรจน์และเสื่อมสลายของขุมอำนาจในราชสำนักได้ในอนาคต
ถ้าหากต้วนซวิ่นอวี่คิดจะขัดพระราชโองการ หวนกลับชายแดนทางเหนือโดยพลการจริง กลุ่มบูรพาซึ่งขึ้นตรงต่อฮองเฮาย่อมยินดีปรีดาเป็นธรรมดา เนื่องจากฮองเฮาไม่มีพระโอรสและพระธิดาจึงทรงรับเลี้ยงต้วนอี้ที่มารดาเสียชีวิตไปก่อนวัยอันควรมาตั้งแต่กาลก่อน
หากมีฮ่องเต้น้อยอย่างต้วนอี้ กลุ่มบูรพาย่อมแผ่ขจายอำนาจไปทั่วทั้งราชสำนัก
?น้องสิบสาม...ยังเกลียดพี่สามอยู่อีกหรือ? ต้วนซวิ่นเหรินซึ่งเหลือเพียงลมหายใจเฮือกสุดท้ายถามอย่างต่ำต้อยหาใดเปรียบ ราวกับลืมไปว่าตนเองมีฐานะสูงส่งเป็นถึงโอรสสวรรค์ ลืมไปว่าในตำหนักบรรทมยังมีนางสนมและขุนนางคนอื่นๆ อยู่อีก
ต้วนซวิ่นอวี่มองเขาด้วยสีหน้าไม่แปรเปลี่ยน แล้วดึงมือเขาออกเบาๆ ?พี่สาม พักผ่อนเถิด?
ทั้งที่เป็นตะเกียงสิ้นน้ำมันแล้วแท้ๆ แต่มิรู้ว่าต้วนซวิ่นเหรินเอาเรี่ยวแรงมาจากหนใด ดึงดันกุมมือของเขาไว้แน่น ?ซวิ่นอวี่ ช่วยอี้เอ๋อร์ดูแลบ้านเมือง เจ้าไม่ทำไม่ได้...เจ้าต้องทำเช่นนี้ เจ้าไปจากเมืองหลวงไม่ได้อีกแล้ว เจ้า...? ยังมิทันสิ้นคำ โลหิตสีแดงสดแสบตาก็ไหลรินลงมาจากมุมปาก
?ฝ่าบาท!? ใต้เท้าแห่งสามสภาและนางสนมที่อยู่ข้างกายเริ่มอยู่ไม่สุข ?หมอหลวง!?
แววตาเลื่อนลอยของต้วนซวิ่นเหรินเกาะกุมด้วยประกายน่าเกรงขาม เขากล่าวยืนกราน ?เจิ้นเป่ยอ๋อง เราขอสั่งเจ้า สั่งให้เจ้าประจำการอยู่ในเมืองหลวง เป็นผู้สำเร็จราชการคอยช่วยเหลือฮ่องเต้องค์ใหม่!?
ต้วนซวิ่นอวี่เม้มปากไม่พูดไม่จา หมอหลวงข้างกายปรี่เข้าไปข้างหน้า คิดจะตรวจชีพจรให้ฮ่องเต้โดยเร็ว ทว่ากลับได้ยินเขาตวาดเสียงต่ำ ?ถอยออกไป!?
หมอหลวงได้ยินดังนั้นจึงทำได้เพียงโค้งกายร่นถอยไปด้านหลัง
?เจิ้นเป่ยอ๋อง...น้องสิบสามของเรา...กลับมาเถิด พี่สามจะไปแล้ว เจ้าจะไม่ยอมรับปากคำขอร้องเพียงหนึ่งเดียวของเราเลยหรือ?? เขากล่าว ลมหายใจค่อยๆ สับสนวุ่นวาย แต่มือที่กุมเอาไว้ไม่ผ่อนเรี่ยวแรงลงเลยสักนิด นัยน์ตาดำขลับเป็นประกาย ?น้องสิบสาม...พี่สามขอโทษเจ้า...น้องสิบสาม...?
ต้วนซวิ่นอวี่นิ่งเงียบไม่ส่งเสียง ได้ยินเสียงพึมพำของต้วนซวิ่นเหรินค่อยๆ แผ่วระโหยจนกระทั่งภายในตำหนักบรรทมเงียบสนิทไร้สุ้มเสียง ทุกคนกลั้นหายใจรวบรวมสมาธิรอคอยคำตอบของเขา
แม้ทุกคนอยากรู้ว่าคำขอโทษในพระโอษฐ์ของฝ่าบาทแท้ที่จริงแล้วหมายถึงการช่วงชิงบัลลังก์ที่เล่าลือกันหนาหูหรือไม่ แต่ในเวลานี้คำตอบไม่สำคัญอีกต่อไปแล้ว สิ่งที่สำคัญที่สุดก็คือต้วนซวิ่นอวี่ยินดีรั้งตัวอยู่ในเมืองหลวงหรือไม่
ต้วนซวิ่นอวี่แววตาเย็นชา ทำให้ทุกคนอ่านความคิดเขาไม่ออก อีกทั้งตั้งแต่ต้นจนจบแววตาของเขาล้วนทอดมองบนใบหน้าของต้วนซวิ่นเหริน ไม่รู้ว่าผ่านไปเนิ่นนานเท่าใด เขาค่อยๆ ยื่นมือออกไป ในขณะที่ทุกคนคิดว่าเขาจะดึงพระหัตถ์ของฮ่องเต้ออกอีกครา กลับเห็นเขาลูบใบหน้าของต้วนซวิ่นเหริน ทาบปิดดวงตาเอาไว้
?พี่สาม...ข้ารับปากแล้ว...ท่านหลับตาเถิด? เขาเอ่ยเสียงต่ำ
ชั่วพริบตาที่มือร่วงหล่นก็เห็นต้วนซวิ่นเหรินปิดตาทั้งสองข้างลง มุมปากปรากฏรอยยิ้มรำไร สองมือที่กุมต้วนซวิ่นอวี่ไว้ลู่ลงอย่างไร้เรี่ยวแรง สิ้นลมไปเสียแล้ว
ครั้นทุกคนเห็นก็คุกเข่าลงทันทีทันใด
?ฝ่าบาท!? นางสนมพากันปล่อยโฮร่ำไห้
ขันทีประจำกายฮ่องเต้ตะเบ็งร้องเสียงดัง ?ฝ่าบาทสวรรคตแล้ว!?
?เสด็จพ่อ...? องค์ชายทั้งสามถลาไปยังหน้าแท่นบรรทม
ต้วนซวิ่นอวี่หลุบขนตางอนยาว พิศมองต้วนอี้
ต้วนอี้ร้องไห้จนตาแดงก่ำไปแล้ว รูปโฉมงดงามราวหยกของเด็กหนุ่มคล้ายคลึงกับนางอยู่หลายส่วน เป็นบุตรที่เกิดจากพี่สามกับนาง ที่น่าขันคือตอนนี้ตนเองกลับต้องมาปกป้องเขาแทนพี่สาม
ต้วนซวิ่นอวี่ยิ้มเย้ยหยันตนเอง ถามตนเองว่า...นี่มันเรื่องบ้าอันใดกัน?
***
ฮ่องเต้เสด็จสวรรคต ในพระราชโองการสั่งเสียเขียนไว้ว่า ในบรรดาองค์ชายทั้งสาม องค์ชายห้าซึ่งมีพระชนมายุสิบแปดพรรษาได้รับสืบทอดราชบัลลังก์ องค์ชายใหญ่ต้วนรั่วจื้อได้รับแต่งตั้งเป็นผิงชินอ๋อง องค์ชายรองต้วนฉู่ยงเป็นจื๋อชินอ๋อง ภายในวังเริ่มจัดการงานเคลื่อนพระศพของฮ่องเต้ โดยมีต้วนซวิ่นอวี่และฮ่องเต้น้อยต้วนอี้ร่วมกันรับผิดชอบดูแล
ต้วนซวิ่นอวี่ยืนอยู่ในสุสานหลวง มองดูหีบพระศพถูกยกเข้าไปในห้องเก็บพระศพ ด้านในมีโลงศพหนึ่งอยู่ก่อนแล้ว ไม่ต้องถามเขาก็รู้ดีว่าสตรีที่อยู่ในโลงคือผู้ใด
?ยามเป็นร่วมเคียงหมอน ยามตายร่วมเคียงหลุมรึ? เขาพึมพำถาม จากนั้นแค่นเสียงหัวเราะ
?เสด็จอา?? ต้วนอี้เงยหน้าขึ้นอย่างฉับพลัน สีหน้านั้นฉงนสนเท่ห์
ต้วนซวิ่นอวี่ปรายตามองเขาแวบหนึ่ง แล้วจึงมุ่งหน้าเดินไปทันที
ต้วนอี้ผงะอึ้งเล็กน้อย แต่ยังคงก้าวเท้าตามเขาไป และจัดการเรื่องหยุมหยิมยิบย่อยในพิธีเคลื่อนพระศพเข้าสู่สุสานหลวงร่วมกับเขากระทั่งเสร็จสิ้น ภายใต้การควบคุมดูแลของกรมพิธีการและขันทีผู้ดูแลงานราชพิธี
ต้วนอี้ขอบตาแดงก่ำตั้งแต่เริ่มจนจบพิธี ทว่าขณะก้าวออกจากห้องเก็บพระศพตามหลังต้วนซวิ่นอวี่ เขาจิตใจล่องลอยทำให้เผลอเหยียบอากาศ ล้มคะมำคุกเข่าลงกับพื้น
?ฝ่าบาท!? ขันทีผู้ดูแลงานราชพิธีซึ่งเดินตามอยู่ด้านหลังรีบเข้าไปพยุงเขาทันที
ต้วนอี้ช้อนสายตาขึ้นด้วยความอับอายเล็กน้อย แต่กลับเห็นว่าต้วนซวิ่นอวี่ก้าวเท้าเร็วรี่ออกไปจากสุสานหลวงโดยไม่แม้แต่จะหันกลับมามอง
เฮ้อ ที่แท้เขาก็ไม่ได้คิดไปเอง แต่ว่าเสด็จอาไม่อยากเข้าใกล้เขาจริงๆ เหมือนกับที่เสด็จอารีๆ รอๆ ไม่ยอมรับปากเสด็จพ่อเพื่อรับตำแหน่งผู้สำเร็จราชการ
เสด็จอามิได้ยินดีรั้งตัวอยู่ในเมืองหลวง เพียงแต่ถูกบังคับให้อยู่ที่นี่ก็เท่านั้น
ต้วนอี้หันกลับไปมองห้องเก็บพระศพชั่วครู่หนึ่ง เขารู้ว่าต่อไปนี้ไม่มีคนที่จะรักใคร่เอ็นดูเขาอย่างเสด็จพ่ออีกแล้ว และเขาก็ต้องรีบเติบโตเป็นผู้ใหญ่โดยเร็ว กลายเป็นกษัตริย์ผู้เพียบพร้อมในอุดมคติของท่านพ่อ
ดังนั้นเขาจึงไม่ยอมให้ใครมาช่วยพยุง และลุกขึ้นไล่ตามฝีเท้าของต้วนซวิ่นอวี่ไป
ครั้นเดินออกมาจากสุสานหลวง ต้วนอี้เห็นเจ้ากรมพิธีการฟู่เหนียนจิ้งไม่รู้พูดสิ่งใดกับต้วนซวิ่นอวี่ แต่เสด็จอาของเขาโบกมืออย่างส่งๆ หนึ่งคำรบ จากนั้นเดินขึ้นเกี้ยวออกไปอย่างสง่าผ่าเผยทันที ไม่ยอมหยุดรออีกแม้แต่เค่อ เดียว
?นี่ๆๆ...? ฟู่เหนียนจิ้งยืนอยู่ที่เดิมด้วยใบหน้าตะลึงงัน
?เจ้ากรมฟู่ เกิดอะไรขึ้น?
ฟู่เหนียนจิ้งได้ยินจึงรีบร้อนหันกลับมาโค้งกายตอบ ?ฝ่าบาท กระหม่อมอยากตรวจสอบจำนวนแน่ชัดของราชทูตที่เข้าร่วมงานพิธีครองราชย์กับผู้สำเร็จราชการพ่ะย่ะค่ะ?
?อ้อ?? เขาเป็นฮ่องเต้องค์ใหม่ที่เพิ่งขึ้นครองราชย์ มีหลายเรื่องไม่ค่อยเข้าใจ ย่อมต้องมีคนคอยช่วยเหลืออยู่ข้างๆ หากได้เสด็จอาคอยช่วยจัดการแทนเขา คงจะไม่มีอะไรไม่เหมาะสม ?มีปัญหาอันใดหรือ?
?เอ่อ...ฝ่าบาท จำนวนคนที่เชิญเข้าร่วมพิธีมีมากหรือน้อยเกี่ยวพันกับจำนวนของกำนัลตอบแทนที่กรมพิธีการต้องตระเตรียมพ่ะย่ะค่ะ แต่ผู้สำเร็จราชการยังมิได้ให้กระหม่อมตรวจสอบก็ส่งคนไปแจ้งข่าวแก่แคว้นต่างๆ ให้แคว้นพันธมิตรทั้งหมดส่งราชทูตมาร่วมงานแล้วพ่ะย่ะค่ะ? เมื่อถึงครานั้นกองของกำนัลคงจะมากมายมหาศาลพอดู
?เรื่องนี้ยังมีหนทางแก้ไขหรือไม่?
?เมื่อสักครู่กระหม่อมอยากจะปรึกษากับท่านผู้สำเร็จราชการพ่ะย่ะค่ะ ดูว่าสามารถส่งคนไปยับยั้งทหารส่งข่าวได้หรือไม่?
?เช่นนั้นข้าจะไปลองถามเสด็จอาดูแล้วกัน?
?ฝ่าบาทต้องเรียกแทนพระองค์เองว่าเราพ่ะย่ะค่ะ ฝ่าบาท? ฟู่เหนียนจิ้งเอ่ยเตือนเสียงเบา
?ข้า...เรารู้แล้ว? เฮ้อ ต้องเปลี่ยนคำพูดใหม่ ไม่ใช่เรื่องง่ายดายเหมือนกันนะเนี่ย ?ฝูซู?
?ฝ่าบาท เกี้ยวถูกเตรียมไว้พร้อมแล้วพ่ะย่ะค่ะ? ฝูซู ขันทีซึ่งติดตามอยู่ข้างกายต้วนอี้มาตั้งแต่ยังเยาว์วัยก้าวไปข้างหน้าหนึ่งก้าวทันที เขารอคอยอยู่นอกสุสานหลวงมาตลอด ย่อมตระเตรียมเรื่องเล็กกระจิ๋วพรรค์นี้ไว้เรียบร้อยตั้งแต่แรกแล้ว
?ไปกันเถอะ รีบหน่อย พวกเราต้องไล่ตามเสด็จอา? ขณะที่เข้านั่งในเกี้ยว ต้วนอี้ก็กล่าวขึ้นเช่นนี้
ฝูซูถอนหายใจ อยากจะบอกกับฮ่องเต้องค์ใหม่เหลือเกินว่า เสด็จอาเป็นของพระองค์ หาใช่ของพวกเรา แต่ว่าเขาเอ่ยวาจาล่วงเกินพระพักตร์มังกรออกมาไม่ได้จึงหันกลับไปพูดกับราชครูซวีหนึ่งคำ บอกให้เขาสอนฝ่าบาทใช้คำใช้น้ำเสียงให้ดีๆ
นายเหนือหัวของเขาเข้าถึงง่ายไม่ถือตัว ย่อมเป็นเรื่องดีอย่างใหญ่หลวง แต่บัดนี้เป็นถึงฮ่องเต้แล้ว อย่างไรก็ต้องใช้พลังอำนาจเสียบ้าง ไม่เช่นนั้นอยู่ในวังนี้คงจะอันตรายยิ่ง
ทว่าต้วนอี้ไหนเลยจะทราบว่าในก้นบึ้งหัวใจฝูซูกำลังคิดเช่นไรอยู่ ใจทั้งดวงของเขาอยากจะไล่ตามเกี้ยวที่อยู่ข้างหน้าโดยเร็ว น่ายินดีนักที่หลังจากเข้าสู่ประตูเมืองแล้ว ราษฎรซึ่งน้อมส่งพระศพยังคงอยู่บนถนนมิได้แยกย้ายกันกลับไปจึงชะลอการเคลื่อนที่ของเกี้ยวลง ทำให้เขาขวางเสด็จอาเอาไว้ได้หลังจากเข้าสู่ประตูโย่วฝู
?เสด็จอา!? ไม่รอให้ฝูซูคอยประคอง ต้วนอี้รีบกระโดดลงจากเกี้ยวทันที ไล่ตามต้วนซวิ่นอวี่ด้วยฝีเท้าว่องไว
ต้วนซวิ่นอวี่ยืนอยู่กับที่ คิ้วเข้มพาดเฉียงมุ่นขึ้นน้อยๆ เว่ยเส้าอวี่ องครักษ์ประจำกายเห็นท่าไม่ดีจึงเอ่ยโน้มน้าวเสียงเบา ?นั่นคือฝ่าบาท คือฝ่าบาทนะพ่ะย่ะค่ะ? ไว้หน้ากันสักหน่อยเถิด รีบๆ หันหน้ากลับไปสิ
ด้านหน้ามีขุนนางในราชสำนักเดินไปมา แม้กระทั่งผิงชินอ๋องก็อยู่ที่นี่ด้วย ถึงแม้บอกว่าเป็นหลานของตนเอง แต่อย่างไรเขาก็เป็นฮ่องเต้แล้ว ใต้หล้านี้ไม่มีขุนนางคนใดสามารถทำเป็นมองไม่เห็น แสร้งทำไม่ได้ยินฝ่าบาทได้หรอก
นายท่านของเขาพยศดื้อรั้นไปนิด ทำตามใจไม่ฟังใครไปสักหน่อย แต่ว่าที่นี่คือในวัง หาใช่ชายแดนทางเหนือ แม้ว่าฮ่องเต้น้อยผู้นี้ดูแล้วไม่มีอันตรายสักนิด แต่อย่างไรก็เป็นฮ่องเต้ แค่ราชโองการฉบับเดียวก็สามารถเอาชีวิตคนได้แล้ว
แต่ต้วนซวิ่นอวี่กลับทำหูทวนลม ยืนนิ่งอยู่ที่เดิม
?เสด็จอา? ต้วนอี้หอบหายใจเล็กน้อยพลางยิ้มตะโกนเรียก ไม่คิดสักนิดว่าการไล่ตามมาถึงตรงหน้าเขาด้วยตนเองนั้นเป็นการเสียเกียรติแห่งโอรสสวรรค์
?มีเรื่องอันใด? ต้วนซวิ่นอวี่มองเขาจากตำแหน่งที่สูงกว่า นัยน์ตาดำขลับเย็นยะเยียบอยู่ตลอดเวลา
?เอ่อ...เจ้ากรมฟู่แห่งกรมพิธีการอยากทราบว่าจำนวนราชทูตที่เข้าร่วมพิธีสามารถเปลี่ยนแปลงได้หรือไม่ ดังนั้นข้าเลย...?
?ที่แท้แล้วใครเป็นฮ่องเต้กันแน่? ต้วนซวิ่นอวี่ตัดบทเขาเสียงกระด้าง
เว่ยเส้าอวี่สูดหายใจเฮือก เขาสาบานได้ว่า ห่างออกไปไม่กี่ก้าว ขุนนางที่กำลังเตรียมจะถวายบังคมต้องตกใจจนอ้าปากค้างเช่นเดียวกัน จบกันๆ นายท่านจะเกรงใจกันหน่อยไม่ได้เลยหรือไร
?ข้า...?
?หรือว่าฮ่องเต้องค์ก่อนไม่เคยสอนเรื่องอะไรให้ท่านเลย? องค์ชายห้าอย่างท่านถูกโอ๋เสียจนเปราะบางไปหน่อยกระมัง? ต้วนซวิ่นอวี่แค่นเสียงหัวเราะ ก้าวเข้าไปข้างหน้าหนึ่งก้าว ท่าทางคล้ายกับกำลังขยับเข้าไปข้างหูต้วนอี้ ทว่ากลับมิได้เบาเสียงลงแม้แต่นิดเดียว ราวกับจงใจให้ทุกคนได้ยินกันทั่ว ?หากยังไม่หย่านม จะให้ข้าหาแม่นมให้ท่านสักคนหรือไม่?
เว่ยเส้าอวี่หลบตาอย่างเหนื่อยใจ เห็นเพียงเหล่าขุนนางตื่นตกใจจนถอยกรูดไปหลายก้าว สีหน้าท่าทางราวกับเห็นผี แต่กลับเป็นผิงชินอ๋องที่หัวเราะจนหุบปากไม่ลง
เฮ้อ ฮ่องเต้องค์ใหม่ผู้น่าสงสาร ไม่มีผู้ใดกล้ายื่นมือช่วยเหลือเขา แม้แต่พี่น้องก็ยังเห็นเป็นเรื่องตลก...ขณะที่ในใจเว่ยเส้าอวี่กำลังจะได้ข้อสรุป เขากลับเห็นบุรุษผู้หนึ่งกำลังก้าวเข้ามาด้วยฝีเท้าเร็วไว
?ข้า...? ต้วนอี้ไม่รู้สึกตัวโดยสิ้นเชิงว่ารอบกายเกิดความวุ่นวายอันใดขึ้น เขาจดจ้องนัยน์ตาแฝงรอยยิ้มยั่วเย้าคู่นั้นของอีกฝ่ายตาไม่กะพริบ
เขาถูกเกลียด ก้นบึ้งของดวงตาเสด็จอาคือความรังเกียจชิงชังโดยไม่ปิดบัง ทำให้หัวใจของเขาเจ็บแปลบน้อยๆ
เพราะเหตุใดกัน เสด็จพ่อมักจะพูดเรื่องดีๆ ของเสด็จอาต่อหน้าเขาอยู่เสมอ บอกเสมอว่าเสด็จอาเป็นคนที่โดดเด่นที่สุด ห้าวหาญที่สุดในบรรดาพี่น้องทุกคน และเป็นคนที่รักใคร่สนิทสนมกับเสด็จพ่อมากที่สุด ตั้งแต่เขาจำความได้ เขาเคยพบเสด็จอาเพียงสามครั้งเท่านั้น และมักจะมองเห็นแค่ปราดเดียวอย่างเร่งร้อน ยิ่งไปกว่านั้นแม้แต่ตอนวันตรุษ เสด็จพ่อตั้งใจสั่งให้เสด็จอากลับเมืองหลวง เสด็จอาก็เพียงแค่ทักทายแล้วจากไป ไม่ไว้หน้าเสด็จพ่อแม้แต่กระผีกริ้น
เขาอดถามเสด็จพ่อไม่ได้ เสด็จพ่อยิ้มขื่นพลางกล่าวว่า ?เป็นพ่อที่หักหลังเขา เขาโกรธพ่อก็เป็นเรื่องที่สมควรแล้ว?
เขาเคยถามหลายครั้งหลายครา อยากรู้ว่าแท้จริงแล้วเสด็จพ่อหักหลังอันใดเสด็จอา ทว่าเสด็จพ่อมักไม่ยอมพูด แต่คำขอร้องที่เสด็จพ่อวิงวอนต่อเสด็จอาก่อนสิ้นใจคล้ายกับพิสูจน์ข่าวลือในราชสำนักว่า...เสด็จพ่อแย่งชิงบัลลังก์ของเสด็จอามา
?ฝ่าบาทบอบบางเช่นนี้จะปกครองขุนนางในราชสำนักได้อย่างไร? รอยยิ้มด้วยเจตนาร้ายเต็มเกลื่อนใบหน้าต้วนซวิ่นอวี่
?ไม่จำเป็นต้องให้ผู้สำเร็จราชการเปลืองสมองหรอกพ่ะย่ะค่ะ ฝ่าบาทมีผู้น้อยคอยสั่งสอนอยู่แล้ว?
เสียงกระด้างสายหนึ่งดังแทรกขึ้น ต้วนซวิ่นอวี่ปรายตามองครู่หนึ่ง ?ราชครูซวีหรือ?
เขาแค่นหัวเราะเสียงดัง ?หากตั้งใจสั่งสอนจริง เขาจะมีพฤติกรรมเช่นนี้ได้หรือ เป็นฮ่องเต้แต่ถ้าไม่มีความคิดเป็นของตัวเอง เอาแต่คิดจะพึ่งพาผู้อื่น ข้าแนะนำให้เขารีบสละบัลลังก์โดยเร็วเสียดีกว่า จะได้เหลือศพครบร่าง?
ใบหน้าขาวผ่องหล่อเหลาของซวีหลิงเดือดดาลคล้ำเขียว เขาส่งเสียงตวาดว่า ?ผู้สำเร็จราชการสามหาวเกินไปแล้ว ตามกฎมณเฑียรบาล...?
?เอากฎของบรรพบุรุษมาบังคับข้า?? ต้วนซวิ่นอวี่ตัดบท ไม่ได้เห็นเขาอยู่ในสายตาโดยสิ้นเชิง ?เช่นนั้นข้าก็จะทำให้เจ้ารู้ว่าข้านี่เล่าคือกฎ!?
?ท่าน!?
?พอได้แล้ว!? ต้วนอี้ตะคอกเบาๆ จากนั้นหมุนกายเดินไปทางตำหนักจื่อเวย
ซวีหลิงถลึงตาใส่ต้วนซวิ่นอวี่ครู่หนึ่ง แล้วจึงก้าวเท้าจากไป
ต้วนซวิ่นอวี่เบ้ปากแค่นเสียงฮึ เปลี่ยนทิศทางมุ่งหน้าไปยังตำหนักเยี่ยหวา นอกวังมีจวนผู้สำเร็จราชการอยู่หลังหนึ่ง แต่ระยะนี้งานยิบย่อยในวังยุ่งรัดตัว อันดับแรกคือพิธีเคลื่อนพระศพของฮ่องเต้องค์ก่อน ต่อมาก็พิธีขึ้นครองราชย์ของฮ่องเต้องค์ใหม่อีก เขาจึงขอตำหนักเยี่ยหวากับต้วนอี้เพื่อใช้เป็นที่พำนักชั่วคราวภายในวัง อีกทั้งห่างจากตำหนักจื่อเวยซึ่งเป็นที่ประทับของฮ่องเต้แค่สองช่วงเฉลียงทางเดินเท่านั้น
ภายในตำหนักเยี่ยหวาไร้ซึ่งข้ารับใช้หรือบ่าวสาวสวยคอยปรนนิบัติรับใช้ มีเพียงคนสนิทที่ติดตามเขาไปอยู่ชายแดนทางเหนือเป็นเวลาสิบกว่าปีไม่กี่คนเท่านั้น แต่ว่ายามนี้ภายในตำหนักกลับมีหญิงสาวหลายนางยืนรออยู่ ทำให้เขาหรี่ตาลงน้อยๆ
?ท่านอ๋อง? บุรุษรูปโฉมหล่อเหลาเป็นที่สุดผู้หนึ่งเห็นว่าเขากลับมาแล้วจึงรีบเดินเข้ามาหาพร้อมเอ่ยเสียงต่ำเบา ?ถงไทเฮาทรงส่งนางกำนัลประจำกายจำนวนหนึ่งมาให้ท่านอ๋อง บอกว่าจะให้ดูแลการกินการอยู่ของท่านอ๋องพ่ะย่ะค่ะ?
?กลับไป? ต้วนซวิ่นอวี่พูดเสียงเฉยชา จากนั้นก้าวไปบนเฉลียงทางเดินสายยาวพร้อมมุ่งหน้าไปยังตำหนักด้านหลัง
?แต่ว่า...?
?เหลียนหวา ข้าต้องการแค่เจ้าคนเดียวก็พอแล้ว? เขากระชากเหลียนหวาเข้าสู่อ้อมกอดต่อหน้านางกำนัลทั้งหลาย จุมพิตริมฝีปากของเหลียนหวาอย่างป่าเถื่อน
เมื่อเหล่านางกำนัลเห็นภาพนั้น แต่ละคนก็ตื่นตกใจจนดวงตาฉ่ำน้ำเบิกถลน ทว่ากลับไม่มีผู้ใดกล้าส่งเสียง
เว่ยเส้าอวี่ก้มหน้าด้วยความอับจนปัญญา จ้องมองรองเท้าหนังสีดำ แอบนับเลขในใจ คาดเดาว่าอีกนานเท่าไรถึงจะเงยหน้าขึ้นได้
ถึงแม้นายท่านของเขาจะเอาแต่ใจตัวเองยิ่งนัก แต่นอกจากทำตามอำเภอใจเกินไปหน่อยเป็นบางครั้งบางคราว โอหังไม่ฟังใครไปบ้าง ทั้งยังเย้ยหยันฮ่องเต้น้อยอยู่เนืองๆ เขาก็สมบูรณ์แบบจนทำให้คนหาที่ติไม่ได้
?ท่าน ท่านอ๋อง...? เหลียนหวาเบี่ยงหลบ แม้ว่าจะเคยชินกับความปรารถนาอย่างไม่รู้เวล่ำเวลาและสถานที่ของต้วนซวิ่นอวี่แล้ว แต่ที่นี่มีหญิงสาวอยู่ด้วย ไม่ว่าอย่างไรก็ทำให้เขารู้สึกอับอายอยู่ดี
?เส้าอวี่? ต้วนซวิ่นอวี่เรียกอย่างเกียจคร้าน
?กระหม่อมอยู่นี่พ่ะย่ะค่ะ?
?ข้าไม่อยากเห็นคนที่ไม่เกี่ยวข้องอยู่ในตำหนักเยี่ยหวา?
?พ่ะย่ะค่ะ? ความหมายคือสั่งให้เขาจัดการเสีย...เฮ้อ คนเขาแค่อยากเชื่อมสัมพันธไมตรีสักหน่อยเท่านั้น จู่ๆ ไล่ออกไปเลยไม่เท่ากับว่าไม่ไว้หน้ากันเกินไปหน่อยหรือ
แต่ว่านายท่านจงใจเกินไปหรือไม่ ถึงจะสร้างศัตรูไปทั่วก็อย่าหาเรื่องมากมายในคราวเดียวเยี่ยงนี้สิ
ในขณะที่เว่ยเส้าอวี่ส่ายหน้าพลางพานางกำนัลทั้งหลายออกไป ต้วนซวิ่นอวี่ก็พาเหลียนหวามาถึงตำหนักด้านหลัง รอกระทั่งประตูตำหนักปิดลงถึงเอ่ยถามขึ้น ?เถี่ยจี้มีข่าวคราวบ้างหรือไม่?
เถี่ยจี้คือแม่ทัพใหญ่ใต้บังคับบัญชาของเขา หนึ่งเดือนก่อนในวังส่งคนไปแจ้งอาการประชวรของฮ่องเต้องค์ก่อน เขาพาลูกน้องคนสนิทเพียงไม่กี่นายเร่งเดินทางกลับมาตลอดทั้งวันทั้งคืน บัดนี้เขาจำต้องพำนักอยู่ที่นี่จึงย่อมต้องวางหมากไว้ก่อนเป็นธรรมดา ด้วยเหตุนี้ถึงจำเป็นต้องให้เถี่ยจี้พาทหารจำนวนหนึ่งกลับมาเมืองหลวงแทนเขา
?แม่ทัพเถี่ยเข้าเมืองหลวงแล้วพ่ะย่ะค่ะ กระหม่อมได้ทำตามที่ท่านอ๋องทรงกำชับ ส่งคนพาเขาไปพักที่จวนผู้สำเร็จราชการ เล่าเรื่องที่เกิดขึ้นในช่วงนี้ให้เขาฟังหนึ่งรอบ? เหลียนหวาเคลื่อนมือปลดชุดคลุมกันลมของต้วนซวิ่นอวี่ จากนั้นเปลื้องชุดคลุมผ้าดิ้นสีขาวเรียบออก ?ท่านอ๋องจะเสด็จกลับจวนผู้สำเร็จราชการสักคราหรือไม่?
?ไม่ละ ข้าอยากพักผ่อน? ต้วนซวิ่นอวี่ล้มตัวลงบนเตียงด้วยความเหนื่อยล้า
ต้องบอกว่าการบัญชาการอยู่แนวหน้า กรีธาทัพออกศึก สำหรับเขาก็เป็นแค่อาหารทานประจำเท่านั้น แต่พิธีการหยุมหยิมในวังหลวงต่างหากที่ทำให้เขาเหน็ดเหนื่อยสุดจะทานทน
เพื่อจัดการพิธีเคลื่อนพระศพ เขาไม่ได้หลับตานอนมาสองวันเต็ม ไม่เพียงแต่ต้องฟังกรมพิธีการพูดจู้จี้จุกจิกข้างหู ยังต้องสังเกตการเคลื่อนไหวของขุมกำลังกลุ่มต่างๆ ในราชสำนักให้ฮ่องเต้น้อยที่ยังไม่ได้หย่านม ทั้งหมดนั้นจวนเจียนจะทำให้เขาเหนื่อยหน่ายถึงขีดสุด
?ท่านอ๋องทรงไล่นางกำนัลพวกนั้นกลับเกรงว่าจะไม่เหมาะสมนะพ่ะย่ะค่ะ? เหลียนหวาเอ่ยเสียงแผ่ว
?ทำไม นางอยากให้ ข้าก็ต้องรับ??
?กระหม่อมรู้ว่าท่านอ๋องไม่อยากข้องแวะกับเรื่องน่ารำคาญใจ แต่หากอยากตรวจสอบขุมอำนาจในวังหลวงให้แน่ชัด นี่ก็เป็นวิธีที่ดีเช่นกันมิใช่หรือพ่ะย่ะค่ะ?
เว่ยเส้าอวี่เป็นคนมีอารมณ์ขันทั้งยังพาให้คนนิยมชมชอบ เขาหาคนพูดคุยผูกสัมพันธ์ไปทั่ววังหลวง พูดถามอ้อมค้อมวกวนแต่ก็ได้ข่าวสารมาไม่น้อย
เป็นเช่นว่าในราชสำนักตอนนี้แบ่งเป็นกลุ่มบูรพาซึ่งมีถงไทเฮากับใต้เท้าสภาตะวันออกบิดาของนางเป็นผู้นำ และกลุ่มประจิมของซุนซูเฟย กับใต้เท้าสภาตะวันตกบิดาของนาง ทั้งสองกลุ่มห้ำหั่นชิงดีกันในราชสำนัก จุดประสงค์ก็เพื่อให้องค์ชายของฝ่ายตนได้ขึ้นครองราชบัลลังก์
บัดนี้ต้วนอี้ได้ขึ้นครองราชย์ กลายเป็นที่พึ่งพาอันทรงพลังที่สุดของกลุ่มบูรพา ทว่าต้วนซวิ่นอวี่ถูกเรียกตัวกลับกะทันหัน กลายเป็นการเปลี่ยนแปลงที่ยากจะคาดเดา เพราะว่ากองทัพสี่แสนนายซึ่งก็คือกองทัพทหารตะวันตกเฉียงเหนือเมื่อครั้งที่ฮ่องเต้องค์ก่อนประจำการอยู่ชายแดนตะวันตกเฉียงเหนือและตราทหารในมือ ต้วนซวิ่นอวี่ยังมิได้มอบคืนมา
กลุ่มบูรพาอาศัยเพียงฮ่องเต้น้อย รากฐานไม่นับว่ามั่นคงนัก แต่ถึงแม้กลุ่มประจิมจะมีผิงชินอ๋อง ทว่าก็มีแค่ยศ หาใดมีอำนาจใดๆ ไม่ แน่นอนว่าทั้งสองฝ่ายย่อมอยากดึงต้วนซวิ่นอวี่มาเป็นพรรคพวก แต่ว่าก็เกรงจะเป็นการชักศึกเข้าบ้าน ดังนั้นจึงยังคงอยู่ในขั้นสังเกตการณ์ มีเพียงถงไทเฮาแห่งกลุ่มบูรพาที่แสดงมิตรไมตรีอย่างเด่นชัด ส่งนางกำนัลมาปรนนิบัติ เกรงว่าคงจะใช้พวกนางเป็นหูเป็นตา คอยสอดส่องความเคลื่อนไหวของต้วนซวิ่นอวี่อย่างลับๆ
?ไยต้องตรวจสอบให้แน่ชัดเกินไปด้วย? ต้วนซวิ่นอวี่หลับตาพักผ่อน ?พูดตามความจริงก็มีแค่กลุ่มบูรพากับกลุ่มประจิม ขอแค่โค่นกลุ่มใดกลุ่มหนึ่งได้ กลุ่มที่เหลือก็ไม่มีปัญญาทำอะไรได้อยู่แล้ว ไม่รู้ว่าฮ่องเต้องค์ก่อนแก่เฒ่าเบาปัญญาหรืออย่างไร ไฉนถึงได้ปล่อยให้พวกตัวปัญหาเหล่านี้รวมตัวเป็นกลุ่มก้อน มีแต่เรื่องหยุมหยิมน่ารำคาญโดยแท้?
แต่อย่างไรเขาก็ไม่เชื่อว่าพี่สามแก่เฒ่าเบาปัญญา ยิ่งไปกว่านั้นยังสงสัยว่าทั้งหมดนี้เป็นแผนที่พี่สามวางไว้เพื่อรอให้เขากลับวังหลวงมาสะสาง กลายเป็นเหตุผลที่เขาไม่อาจไม่รั้งอยู่ที่นี่
หากเป็นเช่นนั้นจริง พี่สามก็เดิมพันครั้งใหญ่ทีเดียว เดิมพันด้วยแผ่นดินและชีวิตของบุตรชายสุดที่รักของเขา
เหลียนหวาพิศมองต้วนซวิ่นอวี่อยู่เนิ่นนานกว่าจะเอ่ยขึ้น ?ในเมื่อท่านอ๋องไม่อยากประทับอยู่ในวังหลวง เหตุใดยังต้องฝืนพระองค์เองด้วยพ่ะย่ะค่ะ?
?ฝืนตัวเองเสียที่ไหน จัดการเรื่องที่ต้องทำให้เสร็จสิ้น ข้าก็จะกลับไปเองนั่นแล? เขากล่าวโดยมิได้เปิดเปลือกตาขึ้น ?ถ้าหากตอนนี้ข้าไม่อยู่ในวัง ไม่เกินสองสามวันฮ่องเต้น้อยผู้นั้นก็คงจะตามเข้าสุสานหลวงไปด้วยกันแล้ว รอให้จัดการเรื่องยุ่งยากพวกนี้เสร็จสิ้นแล้วค่อยไปก็ยังไม่สาย?
พี่สามร้องขอเขาถึงเพียงนั้น คงเพราะฮ่องเต้น้อยมีอำนาจเพียงน้อยนิดเป็นแน่จึงย่อมต้องหาคนที่ไว้ใจได้มาคอยช่วยเหลือ เป็นหลักพึ่งพิงให้แก่ฮ่องเต้น้อย แต่เหตุใดจึงเป็นเขาเล่า
หมากตานี้ของพี่สาม ควรบอกว่าเดินได้น่าหวาดเสียวเกินไป หรือว่ามองเขาได้ทะลุปรุโปร่งดี?
?ที่แท้ท่านอ๋องก็ทรงห่วงใยความปลอดภัยของฮ่องเต้น้อย?
ต้วนซวิ่นอวี่ลืมตาอย่างเชื่องช้า กล่าวอย่างหนังยิ้มเนื้อไม่ยิ้ม ?ความเป็นความตายของเขาเกี่ยวอะไรกับข้า?
?ไม่เกี่ยวจริงๆ หรือพ่ะย่ะค่ะ? เหลียนหวาอดถามพลางยิ้มไม่ได้
?พูดไม่ได้ว่าไม่มี ถ้าเกิดวันนี้เปลี่ยนตัวผู้ที่ขึ้นครองบัลลังก์ หากเป็นจื๋อชินอ๋อง บางทีอาจจะดำรงยุคสมัยแห่งสันติสุขต่อไปได้ ทว่าขุมกำลังของมารดาจื๋อชินอ๋องเสื่อมสลายไปแล้ว ไม่มีพลังอำนาจให้พูดถึงแม้แต่นิดเดียว เขาไม่มีโอกาสได้ครองราชย์อยู่แล้ว แต่หากบัลลังก์ตกอยู่ในมือผิงชินอ๋อง เกรงว่าคงจะโกลาหลวุ่นวายไปทั่วทั้งแผ่นดิน พอถึงตอนนั้นข้ายังจะใช้ชีวิตเอ้อระเหยอยู่ที่ชายแดนทางเหนือได้อีกหรือ?
ดวงตาคู่งามของเหลียนหวาขยับน้อยๆ เขาถามขึ้นอีกว่า ?ท่านอ๋องเพิ่งเสด็จกลับมาเมืองหลวงได้สิบกว่าวันก็ตรวจสอบเรื่องราวส่วนหนึ่งกระจ่างแจ้งแล้ว เช่นนั้นไม่ทราบว่าท่านอ๋องจะทรงทำอย่างไรต่อไปพ่ะย่ะค่ะ?
?เหลียนหวา วันนี้เจ้าพูดมากจริงๆ?
?ท่านอ๋องทรงใช้ชีวิตเอ้อระเหยอยู่ที่ชายแดนทางเหนือ ไม่ว่าผู้ใดเป็นฮ่องเต้ก็เหมือนๆ กัน ไม่ว่าผู้ใดก็ไม่สามารถทำลายชีวิตที่ท่านอ๋องทรงต้องการได้? หมายความว่าวาจาของต้วนซวิ่นอวี่เมื่อครู่ไม่ค่อยมีเหตุมีผลเท่าไรนัก ?ต่อให้เป็นฮ่องเต้องค์ก่อน ไม่ว่าประกาศราชโองการสักกี่ฉบับ ท่านอ๋องก็ยังคงขัดราชโองการจนถึงที่สุด ไม่ยินยอมเสด็จกลับมาเมืองหลวง?
?เพราะนั่นคือสิ่งที่เขาติดค้างข้า?
?ก็ใช่พ่ะย่ะค่ะ เพราะพระองค์แย่งชิงสตรีที่ท่านอ๋องทรงรักที่สุดไป มิหนำซ้ำตอนนี้ยังให้ท่านอ๋องคอยช่วยเหลือโอรสของพวกเขาทั้งสองคน...?
?เขาตายไปแล้ว กุมมือของข้าตายตาไม่หลับ? ราวกับว่าหากเขาไม่ให้คำสัญญาก็จะไม่ยอมปล่อยมือเขาเช่นเดียวกับที่ไม่มีวันหลับตาลง
ต่อให้เคียดแค้นชิงชังมากเพียงใด แต่ต่อหน้าผู้ตาย เขาไม่โอนอ่อนผ่อนปรนได้หรือ
?ท่านอ๋องแน่พระทัยนะพ่ะย่ะค่ะ ว่าอยากจะช่วยเหลือฮ่องเต้น้อย?
?เจ้าว่าอย่างไรเล่า? เขาแย้มยิ้มพลางถามกลับ
?กระหม่อมยากจะเดาความคิดของท่านอ๋องได้พ่ะย่ะค่ะ?
?เช่นนั้นรอดูก็พอ? ต้วนซวิ่นอวี่หลับตา ไม่เอ่ยปากใดๆ อีก
รอดูเถอะ ดูว่าเขาจะก่อความวุ่นวายครั้งใหญ่อย่างไร!
++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++
ต้วนซวิ่นอวี่จำต้องทนทุกข์ทรมานกว่าสิบปีหลังถูกพี่สามและสตรีผู้เป็นที่รักร่วมมือกันหักหลัง ทว่าบัดนี้เขากลับสู่เมืองหลวงและรับหน้าที่ผู้สำเร็จราชการตามราชโองการสั่งเสียของพี่สาม เขาจึงตัดสินใจชำระหนี้แค้นด้วยการทำให้ต้วนอี้บุตรของพี่สามที่เพิ่งขึ้นครองราชย์ไม่ได้อยู่อย่างสงบสุข และแสร้งทำเป็นมองไม่เห็นความเคารพเทิดทูนตัวเขาที่ปรากฏในดวงตาของต้วนอี้
กลางวันเขายึดกุมราชสำนัก ทำให้ต้วนอี้กลายเป็นฮ่องเต้หุ่นเชิดผู้ไร้ซึ่งอำนาจที่แท้จริง
ตกกลางคืนให้ต้วนอี้พลีกายรับใช้ เหยียบย่ำศักดิ์ศรีให้แหลกเหลวใต้ฝ่าเท้า
เขาควรรู้สึกสาแก่ใจที่ได้มองดูรอยยิ้มของต้วนอี้เลือนหายไปทุกวันๆ มิใช่หรือ แต่เหตุใดเล่าเขากลับดีใจไม่ออก กระทั่งเมื่อเขาพบว่าตนเองหลงรักต้วนอี้เข้าเสียแล้ว ต้วนอี้ในยามนั้นก็เจ็บปวดร้าวรานปานใจสลาย ไม่เชื่อใจเขาอีกต่อไป...
