โรงเรียนฮาขุจุไดของพวกเราแสนกว้างใหญ่สุดลูกหูลูกตา มีพื้นที่มากกว่าโรงเรียนทั่วไปประมาณสามสิบเท่าตัว ดังนั้นหลายสิ่งหลายอย่างที่โรงเรียนอื่นมีชิ้นเดียวจะมีอยู่ที่โรงเรียนนี้สามสิบชิ้น ห้องดนตรีและห้องพยาบาลก็มีหลายสิบห้อง อย่างห้องน้ำก็มีรวมกันมากกว่าสองร้อยห้อง
แน่นอนว่าเรื่องเล่าเขย่าขวัญก็มีมากกว่าโรงเรียนอื่นหลายเท่า ไม่ว่าจะเป็นอาคารเรียนใด หอพักใด อาคารสิ่งก่อสร้างใดๆ ล้วนแล้วต่างมีการเล่าขานว่ามีคนพบเห็นเรื่องสยองขวัญและสิ่งต้องห้ามต่างๆ อาคารละสองสามเรื่อง มีทั้งเรื่องเล็กๆ น้อยๆ ทั่วไป อย่างเช่น พวกคราบที่ฝาผนัง รอยเปื้อนที่เพดาน หรือประตูที่เปิดไม่ออก ถ้ามานั่งล้อมวงกันเล่าเรื่องสยองขวัญแล้วละก็ เล่าต่อเนื่องกันสองคืนก็ยังไม่จบ
....ถึงแม้ว่าผมจะเกริ่นนำแบบนี้ก็ตาม แต่เรื่องราวในครั้งนี้ไม่ใช่เรื่องสยองขวัญ (อันที่จริงก็มีคดีเกี่ยวกับเรื่องสยองขวัญที่น่าสนใจอยู่หลายคดี แต่ผมจะขอยกไปเล่าในโอกาสต่อไป) ที่โรงเรียนแห่งนี้มีหลายสิ่งหลายอย่างที่น่ากลัวกว่าภูตผีวิญญาณ หากลองไปสอบถามพวกนักเรียนดูว่าอะไรที่น่ากลัวที่สุดในฮาขุจุได กว่าครึ่งคงจะหันไปมองทางอาคารเรียนกลางเป็นแน่ สภานักเรียน โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ตัวแทนฝ่ายบริหารงานธุรการ เท็นโนจิ โคเท็ตสึผู้มีพลังอำนาจราวกับสิงโตนั่นเอง
แล้วอีกครึ่งที่เหลือก็คงจะชี้ไปทางทิศใต้ของโรงเรียนอย่างหวาดๆ ที่ด้านข้างของประตูทิศใต้นั้นมีอาคารเรียบๆ สูงสามชั้นหันหน้าไปทางสนามกีฬาของฝ่ายมัธยมปลาย
เป็นอาคารที่ไม่มีความสะดุดตาเลยแม้แต่น้อย ผนังโดยรอบเต็มไปด้วยคราบสีดำและรอยร้าว หน้าต่างชั้นสามมีเทปกาวปิดเอาไว้ รางน้ำฝนเต็มไปด้วยคราบสนิมและรอยบุบบี้ ทั้งที่อาคารเรียนภาควิชาพลศึกษาทั้งใหญ่และใหม่กว่าหลายเท่า แต่กลับมีบรรยากาศกดดันคุกคามอันน่าประหลาดแผ่ออกมาจากอาคารโกโรโกโสแห่งนี้
ที่ดาดฟ้าของอาคารมีเสาธงสูงตั้งอยู่ ธงสีแดงซึ่งมีตัวอักษรสีขาวสามคำ ?จิตใจ เทคนิค ร่างกาย? อยู่นั้นสะบัดพลิ้วไหวไปมา
อาคารนั้นคือห้องพักอาจารย์พลศึกษานั่นเอง
*
ผมเคยไปห้องพักอาจารย์พลศึกษาเพียงแค่ครั้งเดียว ตอนที่มีคดีโปรยชุดว่ายน้ำนักเรียนเต็มสระ ในตอนนั้นเป็นช่วงปิดภาคฤดูร้อนจึงมีอาจารย์เวรอยู่แค่คนเดียว ดังนั้นเลยไม่เข้าใจว่าทำไมเท็นโนจิ โคเท็ตสึคนนั้นถึงต้องระแวดระวังห้องพักอาจารย์พลศึกษานักหนา เพราะอาจารย์ที่มาสอนคาบพละทั่วไปก็ดูธรรมดา ไม่ได้มีอะไรเป็นพิเศษ
แต่ในวันที่ 1 กันยายน ซึ่งเป็นวันเปิดภาคเรียนวันแรกหลังปิดภาคฤดูร้อน
?ฟังนะ ฮิคาเงะ แค่จ้องตากันครั้งแรกก็นับว่าสงครามได้เริ่มขึ้นแล้ว อย่าขวัญเสียซะล่ะ ถ้าเสียเชิงก็ถือว่าจบเห่ล่ะนะ?
ประธานทำหน้าระแวดระวังอย่างที่ไม่ค่อยจะแสดงให้เห็นสักเท่าไหร่นักตอนที่อยู่หน้าอาคารห้องพักอาจารย์พลศึกษา ผมไม่รู้เหมือนกันว่าเธอต้องการจะสื่อถึงอะไร แต่ในวันนั้นมีริบบิ้นเล็กๆ สีขาวถักทอที่ผมแกละยาวสีดำขลับทั้งสองข้างของเธออยู่
?ปีนี้เราจะแพ้อีกไม่ได้นะคะ?
รุ่นพี่มิโซโนะที่ยืนอยู่ข้างประธานพูดออกมาด้วยน้ำเสียงที่ห้าวหาญ แถมยังมีผ้าคาดศีรษะสีขาวคาดอยู่ใต้ผมสีทองด้านหน้าด้วย
?แค่คิดถึงการต่อสู้หลังจากนี้ ก็รู้สึกร้อนผ่าวจนสั่นไปทั้งตัวเลยค่ะ แบบนี้เขาเรียกกันว่าอะไรนะคะ?
?การสั่นสู้ของนักรบ?? (มุชะบุรุย)
?มะ ไม่ได้นะคะ คุณฮิคาเงะ จะมากอดกันไว้ให้แน่น (มุชะบุรุ) แบบนั้นมันน่าอายออก!?
?ไม่มีภาษาญี่ปุ่นคำนั้นสักหน่อย? คงจะหมายถึงมุชะบุริทสึคุ (การกอดไว้ให้แน่น) ล่ะมั้ง? ผมไม่มีอารมณ์จะมาแก้คำให้หรอกนะ
แล้วที่น่าตกใจเป็นอย่างยิ่งก็คือ แม้แต่คิริกะยังอุตส่าห์ตามมากับเขาด้วย โดยที่เอาแต่หลบอยู่ทางด้านหลังของผม ทั้งที่ปกติแล้วเป็นเด็กเก็บตัวแทบจะไม่ออกจากห้องสภานักเรียนเลยแท้ๆ แถมวันนี้ก็เอาผ้าคาดศีรษะสีขาวพันรอบคอแทนปลอกแขนเสียด้วย
?....ทำไมคิริกะถึงได้ดูมุ่งมั่นขนาดนั้นด้วยล่ะ??
ผมมาลองถามดูเอาป่านนี้
?ก็กรอบงบประมาณของงานกีฬาสีสามสิบล้านเยน?
คิริกะพูดพร้อมกับชูกำปั้นทั้งสองข้างขึ้นมา สามสิบล้านเยนเหรอ อืม ผมไม่ค่อยตกใจกับความเว่อร์วังอลังการในหลายๆ ด้านของฮาขุจุไดสักเท่าไหร่แล้วล่ะ
?ถ้าชนะแล้วจะได้กรอบงบประมาณเพิ่มขึ้นเท่านั้น จะได้เงินมาบริหารเพิ่มไงล่ะ?
?....ถ้าชนะเหรอ? อ่า คือว่า หมายความว่ายังไง??
ช่วงปิดภาคฤดูร้อนมัวแต่ยุ่งวุ่นวายกับเรื่องโน้นเรื่องนี้จนทำให้ผมมาที่นี่โดยที่ยังไม่ได้รับฟังข้อมูลในเชิงลึกเกี่ยวกับงานกีฬาสีเลย
ประธานยิ้มยียวน
?งั้นเหรอ ฉันยังไม่ได้อธิบายเลยงั้นเหรอ งานกีฬาสีของโรงเรียนเราน่ะพิเศษไม่เหมือนใครนะ เป็นการแข่งขันโดยแบ่งโรงเรียนออกเป็นสองทีม คือทีมสีขาวกับทีมสีแดงน่ะ?
?เอ๋?.... ไม่นะครับ ผมคิดว่าแบบนั้นมันธรรมดามากๆ เลยล่ะครับ?
?เปล่าหรอก ถ้าจะให้พูดอีกอย่างก็คือว่า พวกเราเป็นทีมสีขาว....?
ประธานชี้ไปยังริบบิ้นที่ผมของตนเอง แล้วมองไปยังผ้าคาดผมสีขาวของรุ่นพี่มิโซโนะและคิริกะ ก่อนที่จะเปิดประตูอาคารห้องพักอาจารย์พลศึกษา
เมื่อผ่านประตูเหล็กบางๆ เข้าไปก็เห็นห้องพักอาจารย์ในทันที ผมเห็นภาพหลอนว่ามีลมร้อนไหลออกมาจากด้านใน โต๊ะซึ่งเต็มไปด้วยเอกสารและเครื่องเขียนวางกระจัดกระจายถูกนำมาตั้งเรียงกัน โดยรอบๆ โต๊ะมีคนรูปร่างแข็งแรงบึกบึนนั่งเรียงกันราวกับกำแพงปราสาท พวกอาจารย์พลศึกษานั่นเอง ทุกคนล้วนแล้วแต่สวมชุดวอร์มแบะอกให้เห็นเสื้อยืดสีฉูดฉาดด้านในพร้อมกับนาฬิกาจับเวลาหรือไม่ก็นกหวีด ทุกคนกอดอกแล้วจ้องมาทางพวกเราด้วยสายตาที่ดูข่มขู่คุกคาม
มีอีกสิ่งหนึ่งที่บรรดาอาจารย์พลศึกษาหลายสิบคนทำเหมือนกันจนชวนสยอง
ทุกคนล้วนแล้วแต่ผูกผ้าคาดศีรษะสีแดง
ประธานยังคงพูดต่อ
?พวกเขาเป็นทีมสีแดงน่ะ งานกีฬาสีของโรงเรียนฮาขุจุไดน่ะนะ เป็นการแข่งขันระหว่างภาควิชาพลศึกษากับภาควิชาที่เหลือยังไงล่ะ?
หัวหน้าภาควิชาพลศึกษาก็คืออาจารย์โอวาดะ อาจารย์สอนยูโดวัยสี่สิบกว่าๆ เป็นชายร่างใหญ่ละม้ายคล้ายลิงอุรังอุตังจนถูกพวกนักเรียนตั้งฉายาลับหลังว่าลิงหิมะ และอาจารย์โอวาดะคนนั้นก็เป็นผู้ทำหน้าที่นำทางพวกเรา ทำให้ผมรู้สึกจิตใจอยู่ไม่เป็นสุขขณะที่กำลังเดินขึ้นบันได
?พวกเราน่ะก็แค่อาจารย์?
เมื่อเดินมาจนถึงชั้นสามอันมืดสลัวแล้ว อาจารย์โอวาดะก็หันหลังกลับมายิ้มยิงฟัน
?ถึงแม้ว่าจะผูกผ้าคาดศีรษะแบบนี้พร้อมๆ กันเพื่อเป็นการปลุกใจก็เถอะนะ แต่ลงแข่งได้แค่กีฬาอาจารย์บางชนิดเท่านั้น พระเอกของงานต้องเป็นนักเรียนอย่างพวกเธอแหละนะ?
เมื่อพวกเราทั้งสี่คนเดินขึ้นบันไดจนถึงชั้นสามโดยมีประธานเป็นคนเดินนำแล้ว อาจารย์ก็ใช้นิ้วโป้งชี้ไปด้านในสุดของทางเดินในอาคาร
?พวกอาจารย์ก็จะลุยเต็มที่เหมือนกัน ไว้เจอกันนะ?
เสียงฝีเท้าก้าวลงบันไดด้านหลังของพวกเราดังก้อง ผมถอนหายใจเมื่อร่างใหญ่ยักษ์เดินหายลับไป โล่งอกไปที เป็นเพราะประธานใช้คำพูดกำกวมเลยเข้าใจผิดคิดว่าต้องมาแข่งกีฬากับพวกอาจารย์พลศึกษาเสียอีก
คนที่กำลังคอยพวกเราอยู่ที่ประตูด้านซ้ายมือสุดทางเดินนั้นเป็นคนที่พวกเรารู้จักกันดี นักเรียนหญิงตัวสูงโปร่ง มัดผมหางม้ายกสูงแบบญี่ปุ่นโบราณ สวมเสื้อคลุมเบลเซอร์เต็มยศถูกต้องตามระเบียบทั้งที่อากาศยังคงร้อนตับแลบ คุณนากามิเนะ ฟูกะ ประธานกรรมการศีลธรรมนั่นเอง ในวันนี้เธอไม่ได้สวมปลอกแขนสีขาวของกรรมการศีลธรรมแต่อย่างใด หากแต่นำเอาผ้าคาดศีรษะสีแดงมามัดผมแทน
สายตาที่เธอมองมายังพวกเราเต็มเปี่ยมไปด้วยความแน่วแน่ที่จะต่อสู้ จะว่าไปแล้วคนคนนี้เป็นนักเรียนภาควิชาพลศึกษาอย่างนั้นเหรอ แล้วก็ คือว่า ทำไมถึงได้อยู่ในโหมดพร้อมรบตลอดเวลาได้ขนาดนี้กันครับ
ประธานเดินไปตามทางเดินโดยไม่สนใจความสงสัยของผม
?ปีนี้ฟูกะเป็นนายพลงั้นเหรอ??
คุณฟูกะส่ายหน้าเป็นการปฏิเสธคำถามของประธาน
?ไม่ใช่ฉันหรอก ฉันแค่ถูกเรียกมาเป็นที่ปรึกษาเพราะรู้เรื่องวงในของสภานักเรียนหลายๆ เรื่องก็เท่านั้นแหละ?
?หืม? อย่างนี้นี่เอง ฟูกะไปเที่ยวห้องของฮิคาเงะอยู่บ่อยๆ ก็เลยรู้นิสัยใจคอกันดีล่ะเนอะ?
?อะไรนะ?
คุณฟูกะหน้าแดงก่ำจนแทบจะเป็นสีเดียวกันกับสีแดงสดของผ้าคาดศีรษะ
?พูดอะไรน่ะ ยะ ยะ อย่ามาไร้ศีลธรรมนะ! ฉันเคยไปห้องของมาคิมุระแค่ครั้งเดียวเองนะ!?
?คำว่านิสัยใจคอ นี่มันก็ไม่ได้มีความหมายในแง่ไร้ศีลธรรมไม่ใช่เหรอ??
ใช่แล้วครับ ไปเปิดพจนานุกรมดูได้เลยครับ
?ว่าไงนะ! อึก อือ ฟังแล้วมันไร้ศีลธรรมนี่ ก็ตัวคันจิมันแปลว่าพฤติกรรมทางเพศนี่?
?ฟ้าผ่ากลางวันแสกๆ ? (เซเต็นโนะเฮะคิเระคิ)
?อืม.... คำนั้นไม่ไร้ศีลธรรมหรอก?
?จิตรกรรมฝาผนังโบสถ์? (เซโด โนะเฮะคิงะ)
?คำนั้นก็ไม่ได้ไร้ศีลธรรม แถมยังจะบริสุทธิ์งดงามเสียด้วยซ้ำ?
?เห็นชุดนักเรียนแล้ว ?แหะแหะแหะ เสียวจัง? ? (เซฟุคุเดะ เอะเฮะเฮะคิโมจิอี้)
?อันนั้นก็ไม่ไร้ศีล....?
?ไร้ศีลธรรมสิครับ!? ผมเผลอตบมุกออกไปโดยที่ไม่ได้ตั้งใจ ?ไร้ศีลธรรมสุดๆ ไปเลยไม่ใช่รึไงกันครับ แล้วนี่กำลังคุยเรื่องอะไรกันอยู่? ทำไมรุ่นพี่มิโซโนะเอาแต่เงียบล่ะครับ ช่วยห้ามประธานหน่อยสิครับ!?
รุ่นพี่พึมพำออกมาด้วยดวงตาที่ดูว่างเปล่า
?....นี่มันเรื่องอะไรกันคะ ทั้งๆ ที่ฉันไม่เคยไปห้องคุณฮิคาเงะเลยแม้แต่ครั้งเดียวแท้ๆ แต่คุณฟูกะกลับเคยไปแล้ว.... ถ้าเป็นอย่างนี้แล้ว ฉันก็จะบุกเข้าไปโดยไม่บอกไม่กล่าว.... ผลักให้ล้มลง.... กดลงกับพื้น....?
แบบนี้ชักไม่ได้การแล้ว
?คิริกะก็พูดอะไรสักหน่อยสิ....?
ผมตกใจเมื่อหันกลับไปแล้วไม่เห็นคิริกะ หายไปแล้วเหรอ?
ไม่สิ เธอเดินผ่านผมและประธานไป มือของเธอกำลังจับอยู่ที่ลูกบิดประตูซึ่งอยู่ด้านหลังของคุณฟูกะ
?เร็วเข้า นี่มันเดิมพันด้วยเงินสามสิบล้านเยนเลยนะ!?
คิริกะพูดเช่นนั้นด้วยน้ำเสียงเกรี้ยวกราดแล้วเปิดประตูออก ประธานหัวเราะออกมา คุณฟูกะทำหน้าขรึม รุ่นพี่มิโซโนะทำสีหน้ากังวล จากนั้นทยอยเดินเข้าไปด้านใน ทิ้งผมไว้ด้านนอกคนเดียว ผมจึงรีบตามเข้าไป
ในนั้นเป็นห้องประชุมมีโต๊ะยาววางเรียงกันเป็นรูปสี่เหลี่ยม
มีคนสวมเครื่องแบบนักเรียนนั่งอยู่ด้านหน้าของกระดานไวท์บอร์ด นักเรียนชายตัวสูงนั่งกอดอกสวมแว่นตาจ้องมาทางพวกเราด้วยสายตาราวกับจะทะลุทะลวง ประกายแสงที่สะท้อนจากดวงตานั้นมีอยู่เพียงข้างเดียวทำให้ผมสะดุ้งด้วยความตกใจ ทำไมชายคนนั้นถึงได้เอาผ้าคาดศีรษะสีแดงคาดเฉียงปิดตาข้างขวาแทนผ้าคาดตากันนะ แล้วยิ่งเป็นชายหนุ่มหน้าตาดีใบหน้าซีดเผือดด้วยแล้ว ยิ่งชวนสยองหนักไปอีกขั้นหนึ่ง
?ทาคิซาวะ นายเองหรอกเหรอ .... แบบนี้น่ะ คาดไม่ถึงเลยนะเนี่ย?
ประธานพูดด้วยน้ำเสียงแกมระอา ชายคนที่ถูกเรียกว่าทาคิซาวะคลายแขนที่กอดอกออกจากกันช้าๆ แล้วเงยหน้าขึ้นมาแสยะยิ้มที่มุมปาก
?ปล่อยให้ข้ารอเสียนานเลยนะ เท็นโนจิ ....คุคุคุ ตาขวาที่ถูกเจ้าทะลวงในศึกครั้งก่อนเริ่มจะปวดตุบๆ ขึ้นมาแล้ว ....สีแดงนี่คือสีแห่งการล้างแค้น เป็นสีของไฟแห่งความเกลียดชังของข้ายังไงล่ะ?
ผมส่งสายตาไปทางรุ่นพี่มิโซโนะเพื่อส่งความหมายไปว่า ?อ่า หรือว่าคนคนนี้?
รุ่นพี่มิโซโนะส่งสายตากลับมายังผมเพื่อบอกว่า ?ค่ะ ใช่แล้วค่ะ ก็อย่างที่เห็น?
?เวลาหมุนเวียนมาบรรจบครบรอบ ข้าจะสับเจ้าด้วยดาบของข้าจนไม่เหลือซาก แล้วส่งเจ้าไปยังมหานรกแปดขุมชั่วกัปชั่วกัลป์?
ประธานหันหลังกลับไปทางคุณฟูกะแล้วชี้คุณทาคิซาวะด้วยนิ้วโป้ง
?ฟูกะ หรือว่าที่เธอมาคอยประกบแบบนี้ก็เพื่อเป็นล่ามอย่างนั้นเหรอ?
?อย่ามาเรียกว่าล่ามนะ! ถึงจะอย่างนั้นก็เถอะ?
?งั้นก็เริ่มงานเลี้ยงอันชุ่มไปด้วยเลือดกันเถอะ จงนั่งล้อมโต๊ะกลมแห่งการพิพากษาได้แล้ว เท็นโนจิและเหล่าลูกสมุนเอ๋ย?
?นี่มันไม่ใช่โต๊ะกลมนี่ครับ ต้องโต๊ะเหลี่ยมสิครับ?
?คุณฮิคาเงะ ตบมุกไปก็เปล่าประโยชน์ค่ะ?
ขอโทษครับ มันเผลอไป
เมื่อพวกผมนั่งลงที่เก้าอี้พับ คุณทาคิซาวะก็เปิดปากพูดอีกครั้ง
?ค่ำคืนนี้ที่พวกเรามารวมตัวกัน....?
?ยังกลางวันอยู่เลยนะครับ?
?คุณฮิคาเงะ?
ก็มันมีแต่มุกให้ตบเพียบเลยไม่ใช่เหรอไง!
?ก็เพื่อเป็นการตัดสินแพ้-ชนะในการต่อสู้ระหว่างเทพและมารที่ยืดเยื้อมานับพันปี?
?ในปีนี้เองก็จะมีการเผชิญหน้ากันระหว่างสภานักเรียนและภาควิชาพลศึกษาที่มีมาต่อเนื่องสามปีแล้ว? คุณฟูกะช่วยแปลให้ฟัง ขอบคุณคุณฟูกะมากๆ เลยครับ มีวันนี้แหละที่ดูแล้วเป็นคนที่ทำอะไรตรงไปตรงมามากจริงๆ
?อันดับแรก เราควรจะเปิดกล่องแห่งพันธสัญญา เพื่อตรวจสอบหลักศิลาแห่งบัญญัติสิบประการกันก่อนเถอะ?
คุณทาคิซาวะกล่าวต่อ คุณฟูกะซึ่งยืนอยู่ข้างๆ กระแอมออกมาเล็กน้อย แล้วพลิกหลักศิลา....ไม่สิ ไวท์บอร์ดพร้อมกับช่วยแปล
?อันดับแรกจะตรวจสอบกติกาการแข่งขันที่กำหนดไว้เมื่องานกีฬาสีปีที่แล้วกันก่อน?
เมื่อผมอ่านกติกาหลักของงานกีฬาสีปีที่แล้วซึ่งเขียนเอาไว้ที่ด้านหลังของไวท์บอร์ด ทำให้ผมกระจ่างในทันที
กรณีที่ทีมสีขาว (ทีมที่ไม่ใช่ภาควิชาพลศึกษา) เป็นฝ่ายชนะ
จะมอบสิทธิ์ในการจัดตั้งคณะกรรมการดำเนินการแข่งกีฬาสี และสิทธิ์ที่เกี่ยวข้องกับงานกีฬาสีทั้งหมดให้กับสภานักเรียน
....เรื่องมันก็เป็นแบบนี้
อย่างนี้นี่เอง ทำให้ทั้งประธานและคิริกะมุ่งมั่นกับเรื่องนี้มาก
++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++
ฤดูใบไม้ร่วงกำลังมาเยือนโรงเรียนอภิมหายักษ์ใหญ่ซึ่งมีจำนวนนักเรียนกว่า 8,000 คน อากาศที่เย็นสบายกระตุ้นต่อมเจริญอาหารในฤดูใบไม้ร่วง การอ่านหนังสืออย่างเพลิดเพลินในฤดูใบไม้ร่วง และการเล่นกีฬาในฤดูใบไม้ร่วง! สภานักเรียนเข้าสู่ช่วงการเตรียมศึกในงานกีฬาสีซึ่งเป็นงานใหญ่ช่วงต้นภาคการศึกษาที่สอง แน่นอนอยู่แล้วว่างานกีฬาสีของฮาขุจุไดย่อมไม่ใช่งานแข่งกีฬาธรรมดาๆ แต่มันคือสงครามที่ต้องต่อสู้อย่างเต็มที่ในรูปแบบของงานกีฬาสี โดยมีสิทธิ์ในการบริหารและกรอบงบประมาณสามสิบล้านเยนเป็นเดิมพัน!
ประธาน คุณโทคิโกะ และคุณอิคุโนะซึ่งปกติจะเป็นอริต่อกันต่างผนึกกำลังกันต่อสู้กับศัตรูที่แข็งแกร่งตรงหน้า แม้แต่คิริกะเองก็ยังเต็มเปี่ยมไปด้วยมุ่งมั่นอย่างที่ไม่เคยมีมาก่อนเพื่อเม็ดเงินงบประมาณมูลค่ามหาศาล แล้วหัวหน้าทีมของภาควิชาพลศึกษาที่ยืนอยู่ฝ่ายตรงข้ามกับพวกเราก็คือ.....จอมมาร?
เรื่องราวรักโรแมนติกและลึกลับของโรงเรียนสุดไฮเปอร์ที่เต็มไปด้วยหยาดเหงื่อและน้ำตาอันแสนเจิดจ้าของหนุ่มสาวในชุดเซ็กซี่ยิ่งกว่าทุกครั้งระลอกที่ 4!
