New Release Bly : Dreamcatcher ตาข่ายรัก กับดักฝัน

อัพเดทข่าวบงกชบุ๊คส์ ความเคลื่อนไหว และกิจกรรมพิเศษ ตลอดจนร่วมสนุกชิงรางวัลพร้อมของรางวัลมากมาย

Moderator: P'Bly, Gals, พี่บี

ตอบกลับโพส
Gals
โพสต์: 1101
ลงทะเบียนเมื่อ: ศุกร์ 13 ก.พ. 2009 3:47 pm

New Release Bly : Dreamcatcher ตาข่ายรัก กับดักฝัน

โพสต์ โดย Gals »

We always return to our first loves.
[Native American Proverb]

เรามักหวนกลับมายังรักแรกของเราเสมอ
[สุภาษิตของชนพื้นเมืองอเมริกัน]

บทนำ

ณ ร้านกาแฟแห่งหนึ่งในใจกลางมหานครนิวยอร์ก
เสียงเครื่องบดเมล็ดกาแฟดังแทรกเสียงดนตรีบรรเลงเบาๆ ที่เปิดคลอในร้าน กลิ่นหอมหวนของกาแฟสดทำให้ลูกค้าที่มาเยือนผ่อนคลายความเหนื่อยล้าจากความวุ่นวายภายนอกได้เป็นอย่างดี เว้นเสียแต่ชายหนุ่มชาวเอเชียซึ่งนั่งหลบมุมอยู่โต๊ะริมหน้าต่างที่มีสีหน้าเคร่งเครียดกว่าเดิม เนื่องจากเสียงของเครื่องจักรขนาดเล็กทำลายสมาธิของเขาเสียกระเจิดกระเจิง
เขาทอดมองไปยังผู้คนด้านนอกที่เดินสวนกันขวักไขว่ด้วยจิตใจที่ไม่สงบเอาเสียเลย พลางถอนหายใจออกมาเต็มแรง ก่อนจะวางนิ้วลงบนแป้นพิมพ์โน้ตบุ๊กตัวเก่งและตัดสินใจกดปุ่ม Delete ลบข้อความกว่าห้าหน้าเอสี่ทิ้งเป็นครั้งที่สามอย่างหัวเสีย
ไม่ได้เรื่องเลยแฮะ...
นธัญญ์ ชายหนุ่มชาวไทย นักศึกษาชั้นปีสุดท้ายของมหาวิทยาลัยแห่งหนึ่งในนิวยอร์กบ่นพึมพำกับบทความที่เพิ่งลบทิ้งก่อนจะพับฝาโน้ตบุ๊กลง คิดในใจว่าการเปลี่ยนบรรยากาศเพื่อเขียนบทความเชิงสร้างสรรค์ ซึ่งเป็นงานสุดท้ายที่เขาจะต้องส่งอาจารย์สำหรับทำเรื่องขอจบนั้นไม่ง่ายเลย ทั้งที่เขาใช้เวลาครุ่นคิดถึงสิ่งที่จะเขียนเกือบทั้งเทอม แต่พอลงมือเขียนจริงกลับไม่เป็นไปตามที่คิด เพราะไม่ว่าเขาจะเขียนอะไรลงไป ก็รู้สึกราวกับเขาใช้วัตถุดิบเดิมๆ มาเล่าใหม่ ไม่มีความแปลกใหม่แม้แต่น้อย ทั้งยังขาดชีวิตชีวา อ่านดูแล้วเหมือนงานที่สักแต่เขียนไปให้จบๆ เท่านั้น เขารู้ทันทีว่าสิ่งที่เขาขาดไปก็คือ ?แรงบันดาลใจ?
แต่ถึงจะรู้ก็ใช่ว่ามันจะหากันได้ง่ายๆ ยิ่งเขาเป็นพวกรักสันโดษและไม่ค่อยมีเพื่อนด้วยแล้ว ไม่ต้องถามเลยว่าจะมีใครช่วยเขาหาแรงบันดาลได้บ้าง และเขาจะไม่เครียดจนหน้านิ่วขนาดนี้ถ้างานชิ้นนี้ไม่จำเป็นต้องพรีเซนต์ในคลาสเรียนสัปดาห์หน้า
นธัญญ์ถอนหายใจยาว ตัดสินใจเลิกเขียน เก็บข้าวของแล้วลุกขึ้นไปสั่งกาแฟมาเพิ่มความสดชื่นอีกแก้วก่อนเดินกลับหอพักนักศึกษา แต่กาแฟก็ไม่ได้ช่วยให้เขารู้สึกดีขึ้น เขายังคงครุ่นคิดถึงเรื่องงานไม่หยุด กระทั่งเสียงเตือนของโทรศัพท์ดังจากกระเป๋ากางเกง เขาถึงหลุดออกจากโลกส่วนตัว
?นาธาน ฉันจะกลับบ้านที่นิวเม็กซิโกสุดสัปดาห์นี้ สนใจไปด้วยกันไหม?
มันเป็นข้อความของจูเลีย โรเมโร เพื่อนสนิทเพียงคนเดียวของเขา ส่วนนาธานก็เป็นชื่อในภาษาอังกฤษที่แปลงมาจากชื่อจริงในภาษาไทยของเขานั่นเอง
นธัญญ์ย่นคิ้วเล็กน้อย เขาจะไม่แปลกใจเลยถ้าเธอไม่ได้ส่งข้อความมาชวนไปเที่ยวบ้านอย่างนี้ เพราะถึงเขากับเธอจะได้ชื่อว่าเป็นเพื่อนสนิทกัน แต่เขากับจูเลียไม่ได้ไปไหนมาไหนด้วยกันบ่อย เนื่องจากเขาชอบขลุกอยู่กับกองหนังสือ ส่วนจูเลียก็ติดแฟนหนุ่มตาน้ำข้าว การเชิญชวนครั้งนี้จึงค่อนข้างน่าแปลกใจ
?ฉันต้องเขียนงาน ขอโทษด้วยนะ?
นธัญญ์ก้มหน้าพิมพ์ข้อความส่งกลับไปแบบอ้อมๆ ด้วยไม่อยากทำลายน้ำใจเพื่อนนัก ก่อนจะเก็บโทรศัพท์เข้าที่เดิม ในเวลาอย่างนี้เขาไม่มีกะจิตกะใจจะไปเที่ยวที่ไหนหรอก เพราะการจดจ่ออยู่กับการสร้างผลงานชิ้นสุดท้ายสำคัญกว่าการท่องเที่ยวไร้สาระเป็นไหนๆ กลับห้องพักแล้วไปนั่งเขียนงานยังมีประโยชน์กว่าเยอะ

บทที่ 1: สู่ดินแดนใหม่

ถึงใจจะคิดว่าการนั่งเขียนบทความอยู่ที่ห้องพักจะมีประโยชน์มากกว่า แต่สุดท้ายนธัญญ์ก็พาตัวเองมายืนอยู่กลางสนามบินนิวเม็กซิโกจนได้ เพราะไม่สามารถทนกับการตื๊อของเพื่อนสาวได้ ยิ่งพอรู้ว่าที่เธอกลับมาเยี่ยมบ้านเกิดนั้นเพราะต้องการพักใจหลังจากเลิกรากับแฟนหนุ่มแบบสายฟ้าแลบ เขาก็อดใจอ่อนไม่ได้ ยังดีที่การมาครั้งนี้ไม่ได้ไร้ความน่าสนใจเท่าไรนัก เพราะนอกจากนิวเม็กซิโกจะเป็นเมืองใหม่ให้นธัญญ์ได้ท่องเที่ยวแล้ว ยังมีงานพาววาว ซึ่งเป็นเทศกาลพื้นเมืองของชาวอินเดียนแดงที่จะจัดขึ้นในวันพรุ่งนี้อีกด้วย
ดูเหมือนว่างานเทศกาลนี้จะเป็นเพียงอย่างเดียวที่ทำให้นธัญญ์ตัดสินใจมาเหยียบสนามบินนิวเม็กซิโก โดยเฉพาะการได้มากับหญิงสาวผู้สืบทอดเชื้อสายอินเดียนแดง เพราะนั่นหมายความว่านอกจากเขาอาจจะได้แรงบันดาลใจสำหรับงานเขียนแล้ว เขาจะได้สัมผัสวิถีชีวิตความเป็นอยู่ของชาวอินเดียนแดงที่ยังหลงเหลืออยู่ในโลกยุคปัจจุบันด้วย
รถเคลื่อนตัวเข้าสู่เมืองเทาส์ซึ่งอยู่ทางตอนเหนือของรัฐนิวเม็กซิโก นธัญญ์ค่อนข้างตื่นตาตื่นใจกับบรรยากาศโดยรอบของเมืองเทาส์เป็นอย่างมาก เพราะภายในเมืองเทาส์เต็มไปด้วยสีสันมากมายและศิลปะต่างๆ ที่สามารถมองเห็นได้ทั่วไปจากอาคารบ้านเรือนที่ตั้งเรียงรายอยู่ตามท้องถนน เจมส์ พ่อของจูเลียเล่าประวัติของเมืองให้ฟังตลอดทางว่าเมืองแห่งนี้ ในยุคหนึ่งเคยเป็นเมืองที่ชาวฮิปปี้ ย้ายเข้ามาอยู่ร่วมกัน จึงทำให้เมืองเทาส์มีบรรยากาศผ่อนคลาย สงบ สวยงาม และสนุกสนาน นับว่าเป็นสิ่งหนึ่งที่หาไม่ได้จากเมืองใหญ่ๆ อย่างนิวยอร์ก
แต่นอกจากจะคละคลุ้งไปด้วยบรรยากาศของชาวฮิปปี้แล้ว นธัญญ์ยังสัมผัสได้ถึงวัฒนธรรมเก่าแก่ของอินเดียนแดงที่ฝังตัวอยู่ในชุมชนแห่งนี้ สังเกตได้จากร้านรวงและบ้านเรือนซึ่งก่อสร้างคล้ายกับบ้านดินที่มีอยู่ประปราย แต่เขาก็ไม่แปลกใจนัก เพราะเมืองแห่งนี้ได้ชื่อว่าเป็นเมืองของชาวพิวโบล ซึ่งเป็นเผ่าอินเดียนแดงที่เก่าแก่เผ่าหนึ่ง
?ถ้านายอยากจะเห็นบ้านดินแบบนี้เยอะๆ ละก็ ไปดูที่ชุมชนชาวพิวโบลสิ นั่งรถออกไปนอกเมืองแป๊บเดียวก็ถึงแล้ว? เจมส์ว่าหลังจากที่ชายหนุ่มถามเขาถึงเรื่องบ้านดินไม่หยุดปาก ตามด้วยจูเลียที่แทรกขึ้นมาอีกคน
?ไม่ต้องห่วง ถ้านายอยากไปจริงๆ เดี๋ยวฉันยืมรถพ่อขับพานายไปเที่ยวเอง?
?ห้ามเอาไปทำพังเด็ดขาดเชียว? เจมส์เหลือบมองลูกสาวตัวดีเล็กน้อยก่อนแซวขำๆ
?แหม พ่อก็พูดไป ถ้ามันจะพังก็เป็นเพราะรถพ่อเก่าเกินจะเยียวยาต่างหาก ไม่ใช่ฝีมือหนูซะหน่อย? คนถูกแซวว่าแก้มป่อง
ภาพสองพ่อลูกหยอกล้อกันทำให้คนมองหยักยิ้มได้เล็กน้อย ก่อนเขาจะนึกขึ้นมาได้ว่าในเมืองเทาส์แห่งนี้ นอกจากอินเดียนแดงที่ถูกเรียกว่าชาวพิวโบลแล้ว ยังมีอินเดียนแดงเผ่าอื่นๆ อาศัยรวมอยู่ด้วยอีก
?คุณโรเมโรเป็นชาวพื้นเมืองเผ่าไหนหรือครับ?
เสียงหัวเราะเมื่อครู่ค่อยๆ ผ่อนลงก่อนคนตัวใหญ่จะมองชายหนุ่มผ่านกระจกมองหลัง
?บรรพบุรุษฉันมาจากเผ่าอะแพชี แม่ของจูเลียก็มาจากเผ่าอะแพชีเหมือนกัน แต่เป็นอะแพชีคนละกลุ่ม จูเลียก็เลยเป็นสาวลูกครึ่ง? เขาว่าติดตลก
นธัญญ์พยักหน้ารับไปอย่างนั้น เขาไม่รู้หรอกว่าเผ่าอะแพชีหรือเผ่าอินเดียนแดงอื่นๆ แตกย่อยออกเป็นกี่กลุ่มและแตกต่างกันแค่ไหน แค่กลุ่มอินเดียนแดงใหญ่ๆ เขายังรู้จักไม่ครบเลยด้วยซ้ำ
?ว่าแต่นายจะไปร่วมงานพาววาวด้วยไหม เห็นจูเลียบอกนายมาที่นี่ก็เพื่องานนี้? เจมส์เปลี่ยนเรื่อง
?ครับ ผมเคยได้ยินชื่องาน แต่ไม่เคยไปมาก่อนเลยอยากมาดูให้เห็นกับตา?
?งั้นก็ดี ฉันจะได้เตรียมชุดไว้เผื่อนายด้วยอีกคน? เจมส์ว่าเองเออเอง
นธัญญ์มองไปยังจูเลียอย่างขอคำอธิบายว่าชุดที่ว่านั้นคืออะไร ทว่าจูเลียกลับหันมายิ้มยิงฟันให้เขาแล้วยักไหล่ก่อนจะเบนสายตาออกไปนอกรถ

ความสงสัยของชายหนุ่มถูกปล่อยให้ค้างคาอยู่อย่างนั้นกระทั่งเจมส์เคลื่อนรถเข้าจอดบริเวณหน้าบ้านสองชั้นหลังหนึ่ง บ้านหลังนี้ไม่ใหญ่มากแต่ก็พอมีสนามหญ้าเล็กๆ หน้าบ้านให้ตั้งม้านั่ง และกว้างพอให้เด็กๆ แถวนั้นวิ่งเล่นได้
ทันทีที่รถจอดสนิท ประตูบ้านก็เปิดออกพร้อมกับเสียงคนในบ้านที่ดังตามออกมา
?ยินดีต้อนรับกลับบ้าน ลูกสาวแม่!?
?แม่!? จูเลียรีบลงจากรถ วิ่งเข้าไปโผกอดผู้หญิงวัยกลางคน รูปร่างท้วม ทว่ามีใบหน้าละม้ายคล้ายกับเธออย่างรวดเร็ว
ไม่นานนัก ก็มีเด็กผู้ชายวัยรุ่นร่างสูงที่ไว้ผมยาวเช่นเดียวกันกับเจมส์โผล่หน้ามาทางด้านหลังพร้อมทักทายเธอด้วยน้ำเสียงยียวน
?นี่คงโดนหนุ่มนิวยอร์กทิ้งมาอีกล่ะสิ ถึงได้กลับบ้านได้?
นธัญญ์แอบหัวเราะน้อยๆ เขารู้ว่าหนุ่มน้อยที่เห็นตรงหน้านั้นเป็นน้องชายวัยไฮสคูลของจูเลีย ถ้าจำไม่ผิดน่าจะอายุสิบแปดล่ะมั้ง
?หุบปากไปเลยเจฟฟรี่ ฉันเป็นคนทิ้งหมอนั่นต่างหากย่ะ!? จูเลียผละจากมารดา หันไปแหวน้องชาย
?จริงเร้อ? เด็กหนุ่มทำหน้าไม่เชื่อจนอีกฝ่ายต้องชูกำปั้นสูงเป็นการขู่
และก่อนที่สงครามย่อมๆ จะบังเกิดขึ้น เจมส์ก็ห้ามทัพลูกทั้งสองเสียก่อนด้วยการแนะนำแขกของบ้านให้สมาชิกในครอบครัวที่เหลือได้รู้จัก
?นี่นาธาน เพื่อนของจูเลีย นั่นนาตาชากับเจฟฟรี่ ภรรยากับลูกชายฉัน?
?สวัสดีครับคุณนายโรเมโร แล้วก็นายด้วยเจฟฟรี่?
พอได้ยินเสียงทักทาย ก็ไม่มีใครสนใจจูเลียอีกต่อไป นาตาชาตรงเข้ามากอดชายหนุ่มเบาๆ พลางว่าด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน
?เคยได้ยินจูเลียเล่าเรื่องเธอให้ฟังหลายครั้งแล้ว เพิ่งเคยเห็นตัวจริงก็ครั้งนี้ หล่อกว่าที่คิดอีกนะเนี่ย?
นธัญญ์ยิ้มน้อยๆ คงจะมีแต่นาตาชาเท่านั้นกระมังที่รู้เรื่องราวของเขาจากปากจูเลีย ก็พอเข้าใจอยู่นั่นแหละนะ ว่าอย่างไรเสียลูกผู้หญิงย่อมสนิทสนมกับแม่มากกว่าพ่ออยู่แล้ว
?ขอบคุณครับ? ชายหนุ่มยิ้มน้อยๆ พลางเหลือบมองเด็กหนุ่มที่ยกมือขึ้นเป็นเชิงทักทายเล็กน้อย
?ไง?
?ไงเจฟฟรี่?
เจฟฟรี่ไม่ได้สนใจทักทายคนมาใหม่มากนัก นอกจากจะปรายตามองนธัญญ์ตั้งแต่หัวจรดเท้าแล้วหันไปถามพี่สาว
?เพื่อนเธอเป็นคนจากเผ่าไหนน่ะ?
ที่ถามไปอย่างนั้นเพราะเห็นว่านธัญญ์ไว้ผมยาว จะดูแปลกก็ตรงที่ใบหน้าและสีผิวของเขาไม่ละม้ายคล้ายคลึงกับชาวอินเดียนแดงที่เคยเห็นทั่วไปก็เท่านั้น
?ใครว่าหมอนั่นเป็นอินเดียนแดงกันล่ะ เขาเป็นคนไทยต่างหาก รู้จักไหมประเทศไทยน่ะเด็กโง่ เห็นใครไว้ผมยาวก็คิดว่าเป็นพวกเดียวกับเราหมด?
?ไม่เอาน่า อย่ามัวมาเถียงกันอยู่เลย เข้าบ้านกันเถอะ แม่จะได้เตรียมชุดให้แขกของเรากันด้วย? นาตาชาเข้ามาห้ามทัพอีกพลันหันไปหานธัญญ์ ?เดี๋ยวเชิญเข้าบ้านนะจ๊ะนาธาน บ้านหลังเล็กหน่อยแต่รับรองว่าอยู่สบายแน่นอน?
ว่าจบก็พาร่างอุ้ยอ้ายกลับเข้าไปในบ้าน จูเลียกับเจฟฟรี่ยังคงถกเถียงกันตามประสาพี่น้องอยู่เป็นระยะ กว่าจะเงียบเสียงลงได้ก็ตอนที่นาตาชาให้เจฟฟรี่พานธัญญ์ขนสัมภาระเข้าไปเก็บไว้ในห้องของเขาที่ชั้นสอง เขาได้นอนห้องเดียวกับเด็กหนุ่มเนื่องจากบ้านหลังนี้ไม่มีห้องสำหรับรับแขก ก่อนที่ทุกคนจะถูกเรียกลงมายังห้องครัวของบ้านเพื่อร่วมมื้อเย็นกัน หลังมื้ออาหารก็เป็นเวลาของการเตรียมตัวสำหรับงานพาววาวที่จะจัดขึ้นในวันพรุ่งนี้
นธัญญ์เพิ่งจะเข้าใจในตอนนี้เองว่าชุดที่ทั้งเจมส์และนาตาชาบอกว่าจะเตรียมให้เขานั้นหมายถึงชุดอินเดียนแดงของเผ่าอะแพชีที่เขาจะต้องใส่ในวันงาน ใจจริงแล้วเขาไม่อยากสวมชุดของชาวพื้นเมืองร่วมงานสักเท่าไร เพราะนั่นหมายถึงเขาจะต้องร่วมเต้นรำกับคนอื่นๆ เสมือนว่าเป็นอินเดียนแดงด้วย เขาแค่อยากจะไปดูบรรยากาศของงานเฉยๆ ทว่าเห็นความตั้งใจและความตื่นเต้นของครอบครัวโรเมโรที่ช่วยกันตกแต่งชุดให้เขาแล้ว นธัญญ์ก็ปากหนัก ไม่กล้าปฏิเสธไปเสียเฉยๆ ได้แต่นั่งมองทุกคนอย่างสนอกสนใจ
ไม่นานนัก ชุดทรงยาวคล้ายกับชุดเดรส ปักลวดลายหลากสีสันและพู่ห้อยรอบตัวก็เสร็จสิ้น นาตาชายกมันขึ้นมาสวมลงบนศีรษะชายหนุ่มพลางมองอย่างชื่นชม
?ใส่ขึ้นเหมือนกันนะเนี่ย ถ้าถักเปียอีกหน่อย คงดูเหมือนคนอินเดียนแดงแน่นอน?
นี่ไม่ใช่เสียงของนาตาชา แต่เป็นเสียงของจูเลียที่ละสายตาจากกระจกมามอง หลังจากที่เธอทดลองสวมชุดของเธอซึ่งมีลักษณะคล้ายกับของนธัญญ์แต่มีสีสันฉูดฉาดและสวยงามกว่า
?อืม แต่หนักเอาเรื่องเหมือนกันนะชุดนี้เนี่ย? นธัญญ์ว่าพลางหมุนตัว สำรวจดูตัวเองในกระจกบ้าง
?เครื่องประดับเยอะก็อย่างนี้แหละ? นาตาชาแทรกขึ้น ก่อนเปลี่ยนเรื่องหลังจากชายหนุ่มถอดชุดคืน ?แล้วนี่เธอมาอยู่กี่วันกันจ๊ะ?
?สามวัน สองคืนครับ มะรืนนี้ก็กลับแล้ว?
?กลับเร็วจัง งานพาววาวมีตั้งสามวันเลยนะ แสดงว่าเธอก็ต้องกลับตอนมีงานวันที่สองน่ะสิ? นาตาชาทำหน้าตกใจเล็กน้อย ก่อนที่เสียงของเจมส์จะดังขึ้นแทรกเป็นลูกคู่
?นั่นสิ อุตส่าห์มาทั้งที มีเวลาอยู่แค่แป๊บเดียวก็ได้เที่ยวแค่นิดเดียวเท่านั้นนะ น่าจะอยู่จนจบงาน ฉันจะได้พานายไปเที่ยว?
?ผมต้องพรีเซนต์งานอีกน่ะครับ ต้องขอโทษด้วยจริงๆ? นธัญญ์ยิ้มแหยๆ ให้จูเลียแกล้งแซวขึ้นมาบ้าง
?นาธานเขาเป็นเด็กเนิร์ดน่ะ พ่อกับแม่อย่าไปเซ้าซี้เขาเลยน่า?
?น่าเสียดายจังนะ งั้นครั้งหน้าเธอต้องมาหลายๆ วันนะ โอเคไหม?
?ครับ? นธัญญ์เออออรับคำนาตาชาไปโดยไม่รู้ว่าเขาจะมีโอกาสมาที่นี่อีกครั้งเมื่อไรด้วยซ้ำ
?พวกลูกไปนอนกันได้แล้วล่ะ เดี๋ยวที่เหลือ แม่กับพ่อจะเอาไปเก็บไว้ในรถเอง พรุ่งนี้เราจะได้ออกเดินทางกันแต่เช้า ไปพักผ่อนเอาแรงซะ?
กิจกรรมของครอบครัวถูกปิดท้ายโดยการถูกนาตาชาไล่ให้ไปนอน มีเพียงจูเลียกับเจฟฟรี่เท่านั้นที่พยักหน้ารับแล้วพากันแยกย้าย ขณะที่นธัญญ์แอบลอบถอนหายใจด้วยอยากจะพักให้เต็มตื่นหลังการเดินทางสักคืน ไม่ใช่เดินทางต่อเนื่องกันอย่างนี้

การเดินทางไปยังบ้านคุณยายของจูเลียเริ่มต้นตั้งแต่เช้ามืด โดยใช้รถบ้านสีขาวคันใหญ่ที่กว้างขวางพอจะให้คนที่ยังไม่ตื่นเต็มตาดีอย่างนธัญญ์หลับพักเอาแรงอีกรอบได้ แต่เอาเข้าจริงเขาก็นอนไม่หลับ จึงได้แต่คอยชมทิวทัศน์สองข้างฝั่งไปตลอดทาง
เพียงครึ่งชั่วโมงก็มาถึงบ้านคุณยายของจูเลีย นธัญญ์ตกใจทันทีที่เข้าไปในบ้านเล็กๆ หลังนั้นแล้วได้พบเจอญาติคนอื่นๆ ของหญิงสาวที่พากันมาชุมนุมกันเสียเต็มบ้าน บางคนถึงกับเอาเต็นท์ที่ติดตัวมากางนอนบนสนามหญ้าหน้าบ้านเลยด้วยซ้ำ
จากที่ชายหนุ่มเป็นคนไม่ชอบเข้าสังคมอยู่แล้ว ยิ่งมาเจอคนแปลกหน้าจำนวนมากๆ ในคราวเดียว ก็ยิ่งทำให้เขารู้สึกอึดอัดมากขึ้นเป็นเท่าตัว นี่ถ้าไม่เกรงใจพ่อแม่ของจูเลียละก็ เขาคงขอไปเก็บตัวอยู่ในรถบ้านเสียให้รู้แล้วรู้รอด แต่ก็พยายามทำตัวเป็นปกติก่อนจะเข้าไปกระซิบถามจูเลียที่เดินนำหน้าอยู่เล็กน้อย
?นี่เธอมีญาติเยอะขนาดนี้เลยเหรอ?
?ไม่เชิงญาติหรอก คนพวกนี้เป็นคนเผ่าเดียวกันน่ะ?
คำตอบของหญิงสาวทำเอาใบหน้าของนธัญญ์ยับย่นยิ่งกว่าเดิม
?คนในเผ่าเหรอ แล้วมาที่บ้านของยายเธอทำไม?
?ก็เพราะว่า...?
?หลานจูเลียของยาย กลับมาแล้วเหรอ ไหน มาให้ยายกอดหน่อยซิลูก?
ยังไม่ทันจะได้ตอบ ร่างเล็กของหญิงชราที่มัวแต่รับแขกคนอื่นๆ อยู่ข้างในห้องนั่งเล่นก็ปรากฏตัวขึ้น พลางอ้าแขนรับอ้อมกอดจากหลานสาวที่ไม่ได้เจอหน้ากันมานานหลายเดือนอย่างเปี่ยมรัก
?คิดถึงจังเลยค่ะยาย ขอกอดแน่นๆ ให้หายคิดถึงหน่อยซิ?
?ไม่ต้องมาปากหวานเลยแม่ตัวดี เธอนั่นแหละที่ไม่ยอมกลับมาเอง? หญิงชราว่าด้วยสีหน้ายิ้มๆ ทำเอาจูเลียหัวเราะแห้งๆ
?แหม ยายก็ หนูยุ่งนี่นา?
?ยุ่งกับเรื่องผู้ชายน่ะสิ ยายรู้นะว่าโชคชะตาของเธอถูกผูกไว้กับผู้ชาย?
?แหมยาย รู้ทันไปหมดซะทุกเรื่องจริงๆ?
?ถ้าไม่รู้ทันแล้วจะเป็นยายของเธอได้เหรอ? หญิงชราหัวเราะพลางเหลือบมองไปยังชายหนุ่ม ?เธอคงเป็นเพื่อนของจูเลียสินะ?
?สวัสดีครับ? นธัญญ์รีบทักทาย
หญิงชราเดินกระย่องกระแย่งเข้ามาหาเขา แล้วอ้าแขนออกเป็นสัญญาณให้ชายหนุ่มเข้ามาสวมกอด และทันทีที่เขากอดหล่อน หล่อนก็แตะปลายจมูกลงมาบนซีกแก้มเขาทั้งสองข้างเบาๆ เป็นการทักทายแบบอินเดียนแดงที่แสดงถึงความมีมิตรไมตรีต่อคนแปลกหน้า
?เธอเป็นคนพิเศษนะ โชคชะตาถึงได้นำพาเธอมาที่นี่?
แทนที่จะทักทายชายหนุ่มกลับ หล่อนกลับพูดอะไรบางอย่างที่คนฟังไม่เข้าใจนัก เขาฝืนยิ้มให้หญิงชราที่ยิ้มกว้างจนตาหยีและเห็นเหงือกไร้ฟันเล็กน้อย ก่อนที่หล่อนจะเข้าไปทักทายแขกคนอื่นๆ ที่ทยอยมากันอย่างไม่ขาดสาย
จูเลียเกือบจะลืมไปแล้วว่าเธอค้างตอบคำถามของนธัญญ์เอาไว้ ถ้าเขาไม่รีบเข้ามาดึงเธอก่อนที่เธอจะตรงไปทักทายคนอื่นๆ ที่เธอรู้จักอีกทาง
?ตกลงว่าคนอื่นในเผ่ามาหายายเธอทำไม?
หญิงสาวยกคิ้วขึ้นเล็กน้อยก่อนว่า
?ก็ยายฉันเป็นโฮลีแมนของเผ่าน่ะสิ?

กว่าจะเข้าใจว่าโฮลีแมนที่จูเลียว่าคืออะไรก็ต้องใช้เวลาพอสมควร เพราะตอนแรกเขาเข้าใจว่าโฮลีแมนของเผ่าอินเดียนแดง ก็คือหมอผีหรือผู้วิเศษอะไรเทือกนั้น แต่แท้จริงแล้วไม่ใช่ เป็นเพียงผู้อาวุโสในเผ่าที่ได้รับการเคารพนับถือและเป็นผู้ที่มีหน้าที่ประกอบพิธีกรรมทางศาสนาให้กับเผ่าเท่านั้น หรือเรียกอีกอย่างว่าผู้นำทางจิตวิญญาณ ที่ชาวอินเดียนแดงในอดีตเชื่อว่ามีพลังวิเศษในการรักษาอาการเจ็บป่วยต่างๆ
การที่บ้านของหญิงชรามีคนในเผ่ามารวมตัวกัน ก็เพื่อให้หล่อนได้อวยพรก่อนจะเดินทางไปยังสถานที่จัดงานพาววาว ส่วนสาเหตุที่ต้องมากันตั้งแต่ฟ้ายังไม่สางอย่างนี้ก็เพราะพวกเขาเชื่อกันว่า ช่วงที่พระอาทิตย์ปรากฏสู่ขอบฟ้าในยามเช้า เป็นเวลาที่เหมาะสมต่อการเริ่มต้นชีวิตใหม่ ถ้าเทียบกับความเชื่อของไทย ก็เสมือนกับเป็นฤกษ์ยามที่ดีนั่นเอง
ใช่ว่าคนในเผ่าทุกคนจะเข้าร่วมพิธีกรรมศักดิ์สิทธิ์ มีเพียงแต่ผู้ใหญ่ในครอบครัวเท่านั้นที่เข้าร่วม หลังจากพิธีกรรมนั้น ทุกคนจะล้อมวงพูดคุยกันตามประสา ส่วนเด็กๆ และบรรดาวัยรุ่นจะแยกกลุ่มออกมากันอีกที นธัญญ์เองก็ถูกจูเลียลากไปนั่งรวมกับกลุ่มลูกพี่ลูกน้องผู้หญิง ก่อนจะพากันนินทาแฟนเก่าของเธออย่างสนุกปาก ปล่อยให้เขานั่งเหงาเป็นหมาหงอยอยู่คนเดียวในวง จนกระทั่งพิธีกรรมของเผ่าเสร็จสิ้น เป็นสัญญาณอันดีว่าได้เวลาออกเดินทางไปยังสถานที่จัดงานแล้ว
นธัญญ์ใช้เวลาขณะที่ทุกคนสาละวนกับการจัดเก็บข้าวของขึ้นรถอีกครั้ง ปลีกตัวมานั่งพักคนเดียวยังม้านั่งยาวบริเวณมุมสนามหญ้าหน้าบ้าน เนื่องจากอึดอัดกับการเป็นส่วนหนึ่งของกลุ่มเต็มทน มิหนำซ้ำยังเป็นกลุ่มของคนที่เพิ่งรู้จักเสียอีก
ง่วงก็ง่วง เหนื่อยก็เหนื่อย รู้อย่างนี้ไม่มาด้วยซะก็ดีหรอก
นธัญญ์ได้แต่บ่นพึมพำในใจคนเดียว พลางหลับตาลง หวังว่าจะได้งีบสักสิบนาที สิบห้านาที หากแต่เขาหลับตาได้เพียงครู่เดียว เสียงแหบแห้งของใครบางคนก็ดังขึ้นข้างๆ หู
?ทำไมหนีมานั่งคนเดียวอย่างนี้ล่ะ?
คุณยายของจูเลีย!
พอเห็นใบหน้าเหี่ยวย่นของหญิงชราที่พร่างพรายไปด้วยรอยยิ้ม นธัญญ์ก็รีบเบิกตาโพลงให้ดูราวกับว่าตัวเองปราศจากซึ่งความง่วงงันทั้งๆ ที่ศีรษะแทบจะร่วงลงพื้นอยู่รอมร่อแล้ว
?ผมเหนื่อยๆ น่ะครับ ก็เลยแวบมาหามุมพักสายตา?
?ไม่ใช่ว่าเบื่อความช่างจ้อของสาวๆ หรอกเหรอ ถึงหนีออกจากวงมา? หญิงชราว่าอย่างรู้ทัน สงสัยว่าหล่อนคงจะเห็นเขานั่งหน้าเหี่ยวอยู่ในวงกอสซิปของสาวๆ กระมัง
?ก็นิดหน่อยครับ? นธัญญ์ยอมรับหน้าเจื่อนพลางยกมือลูบต้นคอเบาๆ ก่อนจะรีบเปลี่ยนเรื่อง ?แล้วคุณยายล่ะครับ ออกมาเดินเล่นเหรอ?
?เปล่าหรอก ฉันตั้งใจมาหาเธอนี่แหละ?
นธัญญ์ย่นคิ้วเล็กน้อย ไม่เข้าใจสิ่งที่หญิงชรากำลังจะพูดนัก
ออกมาหาเขางั้นเหรอ ทำไม? มีเรื่องอะไรกัน
?คุณยายหมายความว่าอย่างไรครับ?
?บอกแล้วว่าเธอเป็นคนพิเศษ? หญิงชราอมยิ้มจนตาหยีก่อนจะชี้นิ้วมายังที่ว่างข้างชายหนุ่ม ?นั่งด้วยได้ไหม?
นธัญญ์ขยับให้หล่อนนั่งทันที หญิงชราไม่พูดอะไรนอกจากนั่งข้างเขาเฉยๆ จนความเงียบรอบกายชักทำให้เขาอึดอัด ยิ่งเหลือบเห็นใบหน้าเหี่ยวย่นยิ้มตลอดเวลาด้วยแล้ว เขาก็ยิ่งอึดอัดเป็นเท่าตัวเพราะไม่รู้ว่าคนข้างกายคิดอะไรอยู่
?ขอโทษนะครับ ผมยังไม่รู้จักชื่อคุณยายเลย พอจะบอกผมได้ไหมครับว่าคุณยายชื่ออะไร? เขาโพล่งทำลายความเงียบขึ้นมาทันทีที่นึกขึ้นได้ว่ามีบางสิ่งที่จูเลียยังไม่ได้บอกเกี่ยวกับตัวของหญิงชราคนนี้
?เมซิลด้า แต่เรียกว่ายายหรือย่าเหมือนหลานๆ ฉันเถอะ?
ชายหนุ่มพยักหน้ารับแล้วก็เงียบไปอีกเพราะไม่มีเรื่องคุย เมซิลด้าจึงเป็นฝ่ายถามขึ้นแทน
?มาอยู่กับเผ่าอินเดียนแดงแล้วรู้สึกเป็นอย่างไรบ้างล่ะ?
?ก็...ก็ดีครับ สนุกดี? ใจจริงแล้วนธัญญ์อยากจะบอกว่าเขาไม่ชอบมากกว่าเพราะต้องมาอยู่รวมกับคนเยอะๆ แต่ก็เกรงใจเจ้าบ้าน
เมซิลด้ารู้ดีว่าชายหนุ่มรุ่นหลานโกหกคำโต หล่อนยิ้มโชว์เหงือกสีชมพูเข้ม
?พวกเราชาวอินเดียนแดงชอบความสนุกสนานและชอบอยู่รวมกันเป็นกลุ่ม อาจจะไม่เหมาะกับคนรักสันโดษอย่างเธอมากนัก?
?ครับ? นธัญญ์หน้าเสียที่หญิงชราว่าอย่างรู้ทัน คงเป็นเพราะท่าทางอึดอัดหรือสีหน้าของเขาที่เผลอแสดงอารมณ์ออกมาโดยไม่ทันระวังตัวกระมังที่ทำให้เมซิลด้าดูออกว่าเขาคิดอย่างไร
?แต่เอาเถอะ เพราะไม่ว่าอย่างไรโชคชะตาก็กำหนดให้เธอต้องมาอยู่ที่นี่อยู่ดี แม้ว่าเธอจะไม่ชอบก็ตาม?
คนฟังย่นคิ้วเล็กน้อย คุณยายเมซิลด้าพูดแปลกๆ ออกมาอีกแล้ว
จากที่ไม่ได้สนใจอะไร ชายหนุ่มก็อดอยากรู้ขึ้นมาไม่ได้ ทว่ายังไม่ทันที่จะได้ถามอะไร หญิงชราก็ยักแย่ยักยันลุกขึ้นยืนแล้วพึมพำคนเดียว
?ได้เวลาเดินทางแล้ว ฉันไปเตรียมตัวก่อนนะ?
พอเห็นว่าคนข้างกายจะเดินกลับเข้าไปในตัวบ้านดังเดิม เขาก็รีบร้องเรียกไว้
?เดี๋ยวครับคุณยาย คือผมอยากจะ...?
?เธอเตรียมตัวให้พร้อม วันพรุ่งนี้ เข็มทิศแห่งโชคชะตาของเธอจะได้เวลาหมุน?
ถามยังไม่ทันสิ้นประโยค เมซิลด้าก็สวนขึ้นมาประหนึ่งว่าหล่อนนึกออกว่าตั้งใจจะพูดเรื่องนี้กับเขา พูดจบก็เดินหายเข้าไปในบ้าน ทิ้งให้นธัญญ์มองตามอย่างงุนงง
เดี๋ยวก็คนพิเศษ เดี๋ยวก็โชคชะตา คุณยายเมซิลด้าหมายความว่าอะไรกัน...




+++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++
นธัญญ์ นักศึกษาไทยในนิวยอร์กเดินทางไปบ้านเกิดของเพื่อนสนิทซึ่งมีเชื้อสายอินเดียนแดงที่นิวเม็กซิโก และได้รับเครื่องรางชิ้นหนึ่งมาพร้อมกับประโยคประหลาดๆ ว่า ?เข็มทิศแห่งโชคชะตาของเธอกำลังจะหมุน? หลังจากนั้นเขาก็ประสบอุบัติเหตุทางรถยนต์ เมื่อรู้สึกตัวอีกครั้ง ทิวทัศน์รอบกายกลับเปลี่ยนไป กลายเป็นสถานที่ไม่คุ้นเคย พร้อมกับปรากฏเหตุการณ์น่าเหลือเชื่อ นั่นคือ อินเดียนแดงกำลังไล่ล่าคาวบอย
วายา นักรบหนุ่มแห่งเผ่าอินเดียนแดง จับนธัญญ์เอาไว้และยัดเยียดสถานะ ?เชลย? ให้ เพราะเข้าใจว่าเขาเป็นสายของศัตรู ทว่าทั้งที่ควรจะโหดร้ายป่าเถื่อนใส่ให้สมกับสถานะนั้น เขากลับรู้สึกว่าหัวใจแข็งกระด้างของตนไหวเอนทุกครั้งที่ได้ใกล้ชิดกับเชลยหนุ่มรูปงาม
ความรักที่เกิดขึ้นท่ามกลางการต่อสู้ระหว่างชาติพันธุ์และกาลเวลาซึ่งล่วงเลยมากว่าร้อยปีนั้น แท้จริงแล้วเพราะใจเพรียกหาหรือว่าพรหมลิขิต?


รูปภาพ

ตอบกลับโพส

ย้อนกลับไปยัง “Bongkoch Books News & Activities”