วันนี้นายกลัวสินะ เจ็บหรือเปล่า?
หลังจากนั้นไม่นานคุณพ่อก็ออกไปข้างนอกล่ะ คุณแม่ร้องไห้ แต่พอพูดเหมือนอย่างที่มิโดริเคยพูดเสมอ คุณแม่ก็พอจะส่งยิ้มมาให้ได้
ทำการบ้านเสร็จแล้วลองดูนะ
ไม่เป็นไรน่า มิโดริ ผมจะคอยปกป้องมิโดริเอง
บทที่ 1
เสียงลากปากกาขีดเขียนดังสะท้อนในห้องตรวจคนไข้ที่ใช้โทนสีขาวเป็นหลัก ชายวัยสูงอายุในชุดกาวน์ซึ่งนั่งอยู่เบื้องหน้าติดป้ายชื่อว่า ?ฮาชิโมโตะ? ที่หน้าอก
ทั้งห้องตรวจคนไข้และฮาชิโมโตะไม่เปลี่ยนไปจากอดีตเลยแม้แต่น้อย ด้วยเหตุนั้นเมื่อมาที่นี่จึงมีความรู้สึกเหมือนย้อนเวลากลับไปในอดีตเมื่อสิบปีก่อนตอนมาเยือนที่นี่ครั้งแรกเสมอ
นัยน์ตาดำขลับคู่โตเบิกกว้างจนสุด ร่างกายที่มีขนาดเล็กกว่าปัจจุบันห้าสิบเซนติเมตรแข็งเกร็ง
ตอนนั้นตนเองยังอายุแปดขวบจึงรู้สึกกังวลและใจฝ่อกับสถานที่และผู้ใหญ่ที่ไม่คุ้นเคย แต่ที่สามารถทนได้ก็เพราะไม่ใช่ตัวคนเดียว เนื่องจากมีเขาอยู่ด้วยนั่นเอง
เสียงปากกาหยุดลง
?เขาไม่ได้ปรากฏตัวเกือบจะหนึ่งปีแล้วเหรอ?
ฮาชิโมโตะพึมพำเหมือนพูดกับตัวเอง ก่อนผลักแฟ้มที่สอดอยู่ในบันทึกคนไข้ออกไปที่มุมโต๊ะแล้วหันมาทางนี้
?การสลับตัวกับมิโดริคุงหายไปจริงๆ แล้วสินะ ซุยคุง?
ซุย โมริโอกะ ซุย นั่นคือชื่อของตน
แต่ในบันทึกคนไข้ที่ถูกผลักไปเขียนไว้ว่าโมริโอกะ มิโดริ ตัวฟุริงานะน่าจะใช้เป็น MORIOKA MIDORI ชื่อนั้นเคยเป็นชื่อแท้จริงซึ่งถูกตั้งให้กับร่างกายนี้ แต่ในอนาคตคงไม่มีการใช้มันในฐานะชื่อของตนอีกแล้วแน่ๆ
ซุยจ้องฮาชิโมโตะกลับตาไม่กะพริบแล้วจึงพยักหน้าช้าๆ
?ครับ มิโดริไม่อยู่แล้ว คิดว่าคงไม่ปรากฏตัวอีกต่อไป?
นัยน์ตาอ่อนโยนหรี่ลง รอยย่นที่ดวงตายิ่งเป็นร่องลึกมากขึ้น
?เป็นอะไรหรือเปล่า??
?เรื่องอะไรเหรอครับ??
?เขาเป็นคนสำคัญ...เป็นคนสำคัญที่สุดสำหรับเธอนี่นา?
?...ครับ?
นั่นคือเรื่องจริง
อาการช็อกตอนที่ตัวตนซึ่งจะเรียกว่าเป็นร่างครึ่งหนึ่งของตัวเองก็ว่าได้หายไป กับความสิ้นหวังและเศร้าโศกซึ่งเกิดขึ้นหลังจากนั้นไม่สามารถบรรยายด้วยคำพูดได้ ราวกับถูกชำแรกแหวกร่างออกเป็นครึ่งหนึ่ง
?แต่ตอนนี้สบายมากแล้วครับ เพราะมิโดริอ่อนแอ...เลยหนีไป ก็เท่านั้นเองครับ?
?...งั้นเหรอ?
ฮาชิโมโตะไม่อาจเอ่ยคำพูดมากไปกว่านั้นได้ เขาอาจกำลังสับสนว่าควรจะพูดอะไรดี ถ้าตัวเองอยู่ในสถานะกลับกันก็คงคิดหาคำพูดที่เหมาะสมเช่นเดียวกัน
ซุยพยายามเผยอยิ้มเท่าที่จะสามารถทำได้เพื่อให้ฮาชิโมโตะรู้สึกสบายใจ
?ไม่เป็นไรครับ ผมเป็นตัวปลอมแต่ทั้งพ่อและแม่ก็อ่อนโยนด้วย...ต้องไปได้สวยแน่ครับ?
มือกำข้อมือซ้ายบนเสื้อเชิ้ตแน่น ตรงนั้นมีสร้อยข้อมือหยกสีเขียวอ่อนที่ใส่ติดตัวมาเป็นเวลานานแล้ว เป็นของที่ได้รับจากคนที่ทิ้งพวกตนไป
เวลาไม่สบายใจ พอได้กำมันแล้วจิตใจจะสงบลง เมื่อก่อนเป็นนิสัยประจำตัวของมิโดริ แต่ปัจจุบันมันกลายเป็นนิสัยประจำตัวของซุยด้วย
?ซุยคุงก็คือซุยคุง มิโดริคุงก็คือมิโดริคุง ตอนนี้อยู่ด้วยกันเป็นคนคนเดียวเหมือนในอดีต แต่พวกเธอทั้งคู่ไม่มีทางเป็นตัวปลอมได้หรอก ฉันคิดอย่างนั้น?
เสียงฮาชิโมโตะที่คล้ายกับจะเตือนสตินั้นอ่อนโยน แต่ซุยไม่อาจพยักหน้าได้
?...ตัวปลอมสิครับ?
เสียงพึมพำเล็กๆ ที่คายออกมาด้วยความทุกข์ระทมชะงักติดอยู่ในปาก ส่งไปไม่ถึงฮาชิโมโตะ
ผ้าม่านสีขาวพลิ้วไหว สายลมเย็นสดชื่นพัดเข้ามาจากภายนอก อีกฝั่งของหน้าต่างที่เปิดไว้ประมาณครึ่งเดียวมองเห็นดอกตูมของซากุระกำลังเริ่มผลิบาน
?จะเป็นนักศึกษามหาวิทยาลัยตั้งแต่เดือนหน้าแล้วนะ รู้สึกไม่สบายใจบ้างไหม??
ฮาชิโมโตะเปลี่ยนเรื่องราวกับถูกลมที่พัดไล้แผ่นหลังเร่งเร้าให้ทำ
?ไม่เป็นไรครับ มาฮิโระก็อยู่ด้วย?
?อา จริงด้วยนะ อยู่มหาวิทยาลัยเดียวกับคาซาโนะคุงสินะ?
น้ำเสียงนั้นสะท้อนความโล่งอกได้อย่างชัดเจน
?ถ้าจำไม่ผิด เขากำลังจะเป็นนักศึกษาปีสามแล้วสินะ เอ คณะอักษรศาสตร์??
?ครับ ทั้งผมและมาฮิโระเรียนหลักสูตรนานาชาติของคณะอักษรศาสตร์ครับ แม้ชั้นปีจะต่างกันแต่ดูเหมือนวิชาเรียนจะเหมือนกัน พ่อกับแม่ก็อุ่นใจครับ แต่ก็ต้องรบกวนมาฮิโระอีกล่ะครับ?
?คาซาโนะคุงน่าจะดีใจมากกว่านะ?
?อย่างนั้นเหรอครับ?
ฮาชิโมโตะพยักหน้าตอบ ?ไม่ผิดแน่? กับซุยที่ยิ้มขื่นๆ
?เขาเอ็นดูเธออยู่จริงๆ นี่นา?
?ดูแลเหมือนไข่ในหินเลยครับ คงเพราะอยู่ด้วยกันมาตั้งสิบปีเลยติดนิสัยขี้เป็นห่วง?
ประตูห้องตรวจคนไข้ถูกเคาะเหมือนจะรับกับคำพูดของซุย
?อาจารย์ เข้าไปได้ไหมคะ??
?เชิญเลย?
พอตอบกลับไปแล้ว ฮาชิโมโตะก็ลดระดับเสียงให้ค่อยลง บอกว่า ?พูดถึงก็มาเลย? ก่อนจะหัวเราะ
นางพยาบาลยังสาวที่เปิดประตูสีขาวเข้ามาอย่างนิ่มนวลมองซุยแล้วยิ้มละมุน
?โมริโอกะคุง คาซาโนะคุงมารับแล้วจ้ะ?
ชายร่างสูงผมสีดำสั้นๆ กระดกชี้โด่ชี้เด่ปรากฏตัวขึ้นจากอีกด้านหนึ่งของประตูตามติดเสียงมา
เขาคือคาซาโนะ มาฮิโระ เพื่อนสมัยเด็กนั่นเอง
วันนี้เขาก็ห้อยกล้องสะท้อนภาพเลนส์เดี่ยวมาด้วยเหมือนปกติ จนเรียกว่าเป็นยี่ห้อของเขาก็ว่าได้
?สวัสดีครับ คุณหมอฮาชิโมโตะ?
มาฮิโระผู้มีนัยน์ตาสีคมเข้มเหมือนเส้นผมแลดูอบอุ่นอ่อนโยนก้มศีรษะลงเล็กน้อย
?ไงมาฮิโระคุง ดูคล้ำลงกว่าตอนเจอกันคราวก่อนหรือเปล่าเนี่ย??
?พอเข้าเดือนมีนาคม รังสีอัลตราไวโอเลตก็แรงมากน่ะครับ พักนี้ออกมาเดินแทบทุกวันจนขนาดผมที่คล้ำยากๆ ยังคล้ำลงเลยครับ?
มาฮิโระหัวเราะพลางม้วนแขนเสื้อขึ้น หากมองดูดีๆ สีผิวของเขาเปลี่ยนไปนิดหน่อยตั้งแต่แถวๆ ข้อมือลงมา
?หน้าร้อนถัดจากนี้น่ากลัวเลยล่ะครับ?
ฮาชิโมโตะส่งเสียงขึ้นแล้วหัวเราะ
?จริงๆ ด้วย มาฮิโระคุงในหน้าร้อนเหมือนนักเรียนชมรมเบสบอลเลยน้า?
มาฮิโระเบนสายตาไปทางซุยหลังจากหัวเราะเหมือนกัน
?วันนี้เสร็จแล้วเหรอ??
แม้ถามซุย แต่เจ้าตัวก็ไม่ได้เป็นคนที่จะตัดสินใจเองได้ ฮาชิโมโตะจึงพยักหน้าแทน
?เสร็จแล้วล่ะ ซุยคุง จะมาอีกเมื่อไรก็ได้เลยนะ?
?ครับ ขอบคุณครับ?
สมัยเริ่มแวะเวียนไปมาสถานพยาบาล อัตราการไปเจอหน้าฮาชิโมโตะอยู่ที่สัปดาห์ละหนึ่งครั้ง และความถี่ลดลงเรื่อยๆ ตามจำนวนปีที่ผ่านไป สมัยเป็นนักเรียนมัธยมต้นสองสัปดาห์ครั้ง สมัยเข้าโรงเรียนมัธยมปลายเดือนละครั้ง และในปีนี้สองเดือนครั้ง ระยะนี้ถ้าไม่ได้ยามาก็จะไม่มีนัดหมายครั้งต่อไปด้วย แค่แวะมาเพื่อรายงานสภาวะปัจจุบันให้ฮาชิโมโตะรับทราบเท่านั้น
ถ้าจะพูดให้ถูกคืออาจไม่ต้องเข้ามาแล้วก็ได้ แต่อีกสองเดือนให้หลังตนคงต้องได้มาที่นี่อีกแน่ๆ
?งั้นขอตัวนะครับ?
ซุยก้มศีรษะลงต่ำเป็นการคำนับแล้วออกไปกับมาฮิโระ ทิ้งสถานพยาบาลไว้เบื้องหลัง
พอออกมาข้างนอกก็เห็นดวงอาทิตย์กำลังจมดิ่งลงทางกลุ่มอาคารฝั่งตะวันตก ท้องฟ้าอาบย้อมไปด้วยสีแดงก่ำ อีการีบบินกลับรัง
?สถานพยาบาลนั้นมีแต่คุณพยาบาลสวยๆ ทั้งนั้นเลยเนอะ คุณหมอฮาชิโมโตะชอบแต่คนหน้าตาสวยๆ??
ซุยระเบิดหัวเราะ มาฮิโระเอียงคอด้วยหน้าตาจะล้อเล่นก็ไม่ใช่จะเอาจริงก็ไม่เชิง
?อะไรของนาย?
?แต่การจัดให้มีสาวสวยไว้ที่โรงพยาบาลก็อาจได้ผลกว่าที่คิดก็ได้?
?จะใช่อย่างนั้นเหรอ ผมว่าไม่เห็นจะเกี่ยวกันสักหน่อย?
มาฮิโระส่ายหน้าเป็นเชิงบอกว่าไม่ใช่
?พอได้เห็นคนสวยๆ แล้วก็กระชุ่มกระชวยดีไม่ใช่เหรอ เวลานายกลับจากสถานพยาบาลก็ดูอารมณ์ดีด้วย?
?มันไม่ใช่แบบนั้นนะ แต่เพราะได้คุยกับคุณหมอฮาชิโมโตะแล้วรู้สึกสบายใจขึ้นต่างหาก?
คงเพราะเป็นสถานที่ที่ไปๆ มาๆ ตลอดสิบปีแล้วหรือเปล่า พอไปที่สถานพยาบาลของฮาชิโมโตะแล้ว ใยบางๆ ในจิตใจที่ค่อยๆ ตึงเครียดขึ้นทีละนิดท่ามกลางการใช้ชีวิตในแต่ละวันก็ถูกรีเซตใหม่และผ่อนคลายลง รู้สึกได้ว่าเป็นแบบนั้น
?เอาเถอะ ถ้านายสดชื่นขึ้นได้ละก็จะอย่างไหนก็ได้ทั้งนั้นแหละนะ?
เมื่อเห็นรอยยิ้มสดชื่นของมาฮิโระ สีหน้าของซุยก็พลอยสดใสขึ้นมาโดยอัตโนมัติ
?แล้วที่สำคัญมาฮิโระล่ะ? วันนี้ไปชมรมมาแล้วเหรอ??
มาฮิโระสังกัดชมรมถ่ายภาพของมหาวิทยาลัย ดูเหมือนเป็นชมรมที่กระตือรือร้นมากทีเดียว เพราะมาฮิโระยังไปมหาวิทยาลัยทั้งที่เป็นวันหยุดยาวด้วยซ้ำ
?เปล่า แค่มาเดินแถวนี้เท่านั้นเอง ฉันมาเดินเล่นของฉันเผื่อมีอะไรเด็ดๆ ให้ถ่ายได้?
พูดจบมาฮิโระก็ลูบกล้องถ่ายรูป
การถ่ายรูปเป็นงานอดิเรกของมาฮิโระ ไม่เปลี่ยนไปเลยตั้งแต่สมัยรู้จักกันตอนเป็นนักเรียนชั้นประถมจนกระทั่งบัดนี้
ได้ยินว่าปีที่แล้วได้รางวัลในการประกวดงานใหญ่ นับว่าเป็นคนมีฝีมือดีเพราะทำงานพาร์ทไทม์นำเสนอภาพถ่ายให้กับบริษัทโฆษณาอยู่ด้วย
กล้องถ่ายรูปที่พกเดินไปไหนมาไหนด้วยทุกวันเหมือนเป็นส่วนหนึ่งของร่างกายนั้นดูเหมือนพ่อกับแม่จะซื้อให้เพื่อฉลองการเข้าเรียนมัธยมต้น แต่เพราะชิ้นส่วนต่างๆ ภายในตัวกล้องพัฒนาไปอย่างรวดเร็วไม่มีขาดช่วงก็เลยกลายเป็นรุ่นเก่ามากไปแล้วกระมัง
ดูเหมือนว่าเขาจะไม่ยึดติดกับประเภทของภาพที่ถ่ายจึงถ่ายของที่ชอบได้ตามใจอิสระ
ตัวซุยเองก็เคยถูกหันกล้องเข้าใส่หลายครั้ง รูปถ่ายครอบครัวโมริโอกะที่ประดับอยู่ในห้องรับประทานอาหารของบ้าน มาฮิโระก็เป็นคนถ่าย
?แล้วถ่ายอะไรดีๆ ได้มั่งหรือยัง??
?รูปที่น่าจะใช้ในงานพาร์ทไทม์ได้ ฉันถ่ายไว้ตั้งไม่รู้กี่รูปแล้วล่ะนะ?
มาฮิโระตอบพลางหยุดฝีเท้าลงกะทันหัน
บนสะพานที่ทอดข้ามแม่น้ำสายใหญ่ซึ่งตัดผ่านเมืองพอดี มีรถยนต์แล่นไปมาอยู่อีกด้านหนึ่งของรั้วลูกกรงซึ่งแบ่งเขตฟุตปาธเอาไว้
มาฮิโระเตรียมตั้งท่าถ่ายรูปโดยหันกล้องไปทางผิวน้ำซึ่งส่องประกายระยิบระยับสะท้อนภาพท้องฟ้าสีแดงยามตะวันตกดิน เขารัวชัตเตอร์ต่อเนื่องกันสองสามครั้ง
ซุยยืนเท้าศอกกับรั้วเฝ้ามองดูอยู่ตรงที่ห่างออกไปหน่อยเพื่อไม่ให้เกะกะ
เมื่อเดินกับมาฮิโระแล้วเรื่องแบบนี้ก็กลายเป็นเหตุการณ์ในชีวิตประจำวัน และซุยก็ไม่ได้เกลียดเวลาแบบนี้ พอมองท่าทางของมาฮิโระที่ทุกทีจะร่าเริงแจ่มใสปิดปากเงียบ แววตาจริงจัง มองเข้าไปในเลนส์ก็จะรู้สึกมหัศจรรย์ใจและจิตใจสงบจนกระทั่งลืมเวลาไปเลย
สายลมพัดไล้ผมหน้าม้าแผ่วเบาพร้อมกับที่มาฮิโระหันกลับมาในท่าที่ยังถือกล้องเตรียมถ่ายรูปอยู่
?...มาฮิโระ??
แชะ เสียงชัตเตอร์ดังขึ้น
?จู่โจมไม่ทันให้ตั้งตัวเลย ขี้โกงนี่นา?
ซุยหัวเราะเพราะคิดว่าเป็นการแกล้งหยอกเล่นของมาฮิโระ แต่มาฮิโระที่ลดกล้องลงไม่ได้ยิ้มเลยแม้แต่น้อย
?เป็นอะไรไปเหรอ??
?...เปล่า?
ไม่มีอะไร เขาพึมพำเบาๆ แล้วมองหน้าจอกล้องถ่ายรูป ตรงหน้าจอนั้นน่าจะสะท้อนภาพของซุยที่เพิ่งโดนถ่ายไปเมื่อครู่
?อะไรเล่า พูดแบบนั้นทำให้ผมคาใจนะ รูปที่ถ่ายออกมามันดูแย่มากเลยหรือไง??
ซุยจงใจถามเรื่องเครียดๆ ให้เป็นเรื่องล้อเล่น แต่มาฮิโระส่ายหน้าโดยที่ตายังจับจ้องที่หน้าจอ ขยับริมฝีปากเล็กน้อย เล็กน้อยจริงๆ จนเสียงที่ลอดออกมาเบาๆ โดนเสียงรถยนต์ที่แล่นผ่านไปกลบหมด
แต่ก็ส่งไปถึงหูซุยได้อย่างไม่ผิดเพี้ยน
?มิโดริ?
ไม่มีคำพูดต่อจากนั้น แต่ถึงแม้ไม่พูดต่อก็เข้าใจได้
หัวใจห่อเหี่ยว
ดูเหมือนขบเม้มริมฝีปากไว้แต่มันใกล้เคียงกับการควบคุมตัวเองแล้วฝืนยิ้ม
?เห็นเป็นมิโดริ ไม่ใช่ผมเหรอ??
มาฮิโระไม่ได้ยอมรับหรือปฏิเสธ แต่ในสถานการณ์นี้ไม่มีคำตอบที่น่าฟังจึงกลายเป็นเงียบกริบ
นักเรียนในชุดเครื่องแบบเดินผ่านด้านข้างของทั้งสองคนไปเช่นเดียวกับรถยนต์
จิตใจที่สงบจนถึงเมื่อครู่ปลิวลอยไปที่ไหนสักแห่ง หัวใจเต้นแรงจนเจ็บแปลบ
บทสนทนานี้ไม่ควรดำเนินต่อไป ซุยเข้าใจและเอ่ยคำพูดต่อเงียบๆ
?ทั้งผมทั้งมิโดริก็เหมือนกันนั่นแหละ?
นั่นคือคำโกหก
มิโดริไม่สะกดความรู้สึกที่แท้จริงในจิตใจด้วยรอยยิ้มเหมือนอย่างซุย เขาไม่สามารถทำได้ แม้จะปิดบังความอ่อนแอโดยการกลบเกลื่อนอย่างเต็มที่ แต่ก็งุ่มง่ามมากจนไม่อาจซ่อนได้
ซุยรักมิโดริที่เป็นแบบนั้นและคอยช่วยเหลือเขา อย่างน้อยก็จนถึงเมื่อหนึ่งปีก่อน
ครั้งหนึ่งซุยเป็นคนที่ชื่อมิโดริ ไม่สิ พูดแบบนั้นไม่ถูกต้อง
ครั้งหนึ่งซุยเคยเป็นบุคลิกที่เกิดขึ้นข้างในคนชื่อมิโดริ
ตอนนั้นมิโดริยังเพิ่งอายุได้หกหรือเจ็ดขวบ หลังจากนั้นซุยก็ใช้ชีวิตร่วมกับมิโดริเป็นเวลามากกว่าสิบปี จนกระทั่งมิโดริหายไปเมื่อฤดูใบไม้ผลิของปีที่แล้ว
มิโดริไม่อยู่แล้ว ตัวตนที่อยู่ในร่างกายนี้ คือซุยที่ชื่อโมริโอกะ มิโดริ
มาฮิโระผุดสีหน้าตกตะลึงและเงยหน้าขึ้น กะพริบตาราวกับจะสะบัดไล่ความรู้สึกไม่ดีให้ออกไป
?...ขอโทษ ฉันผิดเอง?
?มาฮิโระไม่ผิดหรอก?
?ฉันไม่ได้ตั้งใจจะทำร้ายนายให้เจ็บปวด?
?ผมไม่ได้เจ็บปวดสักหน่อย?
มาฮิโระชูมือทั้งสองข้างขึ้นราวกับจะยอมแพ้
?ฉันขอโทษจริงๆ จะไม่พูดอีกแล้ว?
ซุยไม่ได้เกลียดที่มาฮิโระมองเห็นตนเป็นมิโดริ การเห็นทับซ้อนกันไม่ใช่เรื่องแปลกอะไร ดังนั้นจึงไม่รู้สึกเจ็บปวด แต่ถึงแม้จะไม่ได้เกลียดก็ใช่ว่าจะรู้สึกสบายใจ เพราะรู้สึกเหมือนตัวตนที่เป็นตัวเองในตอนนี้ถูกลมเอื่อยๆ พัดพาไป
ซุยเผลอถอนหายใจอย่างลืมตัว
?มาฮิโระก็อดทนดีเนอะ หนึ่งปีแล้วนะ มิโดริหายไปหนึ่งปีมาแล้วนะ??
หนึ่งปีหลังจากมิโดริหายไป เป็นระยะเวลาที่สั้นมากๆ แต่ขณะเดียวกันก็ยาวนานจนไม่น่าเชื่อ
?ยังเพิ่งหนึ่งปีเองนี่นา อีกอย่างมิโดริยังไม่ได้หายไป ตอนนี้คงแค่เหนื่อยนิดหน่อย...เลยกำลังพักผ่อนอยู่
น่าจะนะ มาฮิโระเสริมแล้วก็ยิ้ม
ซุยเม้มริมฝีปาก
?มาฮิโระยัง...อยากให้มิโดริกลับมาสินะ?
?ก็แหงสิ เพราะฉัน?
คำพูดของมาฮิโระหยุดไปกลางคัน
ประโยคต่อไปลอยมาตามกระแสลมที่รถยนต์แล่นตัดผ่าน ส่งมาให้ซุยได้ยิน
?ชอบมิโดริ?
?...จริงด้วยนะ?
อาการห่อเหี่ยวในหัวใจเพิ่มมากขึ้น ในอกเจ็บช้ำราวกับถูกบีบรัดแน่น
ต่อแต่นี้มิโดริจะไม่กลับมาอีกเป็นครั้งที่สอง เรื่องนั้นซุยรู้ดีที่สุด แต่ไม่ว่าจะอธิบายแค่ไหน มาฮิโระก็คงไม่เข้าใจแน่ๆ
?มาฮิโระตัดใจไม่ได้ยิ่งกว่าอดทนเก่งอีกนะ ทั้งที่ถูกปฏิเสธอย่างสิ้นเชิงแท้ๆ?
เสียงของซุยสั่นเล็กน้อยแต่ดูเหมือนมาฮิโระไม่ทันสังเกต
?ถึงถูกปฏิเสธ แต่คนมันชอบอย่างไรก็ชอบอยู่ดีแหละนะ อีกอย่าง ครั้งแรกไม่ได้แต่ครั้งที่สองก็ไม่รู้นี่จริงไหม? ถ้ามิโดริกลับมาเขาอาจจะชอบฉันขึ้นมาก็ได้?
คำพูดที่กล่าวอย่างทีเล่นทีจริงไม่รู้ว่าพูดด้วยความรู้สึกที่แท้จริงถึงแค่ไหน
ซุยทำเป็นไม่สนใจความเจ็บปวดในอกแล้วเบ้ปากอย่างท้าทาย
?ไม่รู้สินะ?
?แกล้งกันนี่นา?
มาฮิโระทำปากยื่น
แม้จะทำตัวเหมือนเด็กๆ มากแต่กลับเข้ากันอย่างน่าประหลาด ซุยเผลอหัวเราะ มาฮิโระก็พลอยหัวเราะไปด้วยแต่จู่ๆ ก็กลับทำหน้าจริงจังขึ้นมา
?แต่ต้องทำให้มิโดริรักตัวเองก่อนที่จะมาชอบฉันอะนะ?
?นั่น...สินะ?
ถ้าทำอย่างนั้นได้ มิโดริก็คงไม่หายไปแน่นอน
?...ทั้งที่ชอบผมแทนก็ได้แท้ๆ?
เสียงพึมพำลอดออกมาแผ่วเบาแต่น่าจะได้ยินไปถึงหูของมาฮิโระ
ซุยค่อยๆ ขยับเข้าใกล้มาฮิโระ ซบหน้าผากลงบนไหล่ที่อยู่ตรงหน้าพอดี
ไม่อยากให้เห็นหน้าเพราะหน้าตาคงดูไม่ได้อย่างมากแน่ๆ หน้าตาน่าเกลียดที่ปนความเกลียดตัวเอง รู้สึกผิด และเจือความคาดหวังเล็กๆ
?ออกมาแล้ว กลยุทธ์จู่โจมแบบนั้น?
ซุยรู้สึกถึงเค้าลางของการหัวเราะขื่นๆ ที่ข้างหู คงทำได้แค่หัวเราะขื่นๆ กระมัง
ทั้งที่ปล่อยผมไว้ก็ได้แท้ๆ
แม้แต่ซุยเองก็ไม่รู้ว่าในหนึ่งปีนี้พูดคำนั้นมากี่ครั้งแล้ว ทุกครั้งที่มาฮิโระพูดถึงมิโดริ เขาจะเอ่ยด้วยคำพูดเดิม สีหน้าเดิม แล้วก็ความรู้สึกเดิม และ...
?ฉันก็พูดอยู่เสมอ?
คำตอบที่กลับมาก็เหมือนเดิมอีก
?ฉันชอบมิโดริ?
ซุยได้ยินเสียงที่เหมือนกับจะเตือนขณะผินสายตาซึ่งจับจ้องปลายรองเท้ามองไปด้านข้าง ผิวน้ำของแม่น้ำยังคงส่องประกายระยิบระยับอยู่เหมือนเคย
?ฉันเชื่อ?
เมื่อเงยหน้าขึ้นจากการถูกกระตุ้นด้วยเสียงอันดัง ก็เห็นนัยน์ตาสีดำที่ต้องแสงอาทิตย์เพียงด้านเดียวสะท้อนเป็นสีน้ำตาล
?มิโดริต้องกลับมาแน่นอน?
รู้สึกเหมือนหัวใจหยุดเต้นไปชั่วขณะ หนึ่งชั่วขณะนั้นเป็นเหตุให้เกิดความรู้สึกที่บอกไม่ถูกว่าเป็นอาการเจ็บจี๊ดๆ หรืออาการชาดิกแผ่ซ่านไปทั่ว ตั้งแต่แกนกลางของร่างกายไปจนถึงปลายนิ้ว
?ถ้าปล่อยผมไว้ก็จบด้วยดีแล้วแท้ๆ?
พอซุยพูดปนถอนหายใจ มาฮิโระก็ยิ้มเศร้า
ก่อนที่มิโดริจะหายไป เขาไม่ใช่ผู้ชายที่จะยิ้มแบบนี้ แต่จะสดใส ร่าเริง และเจิดจ้าเสมอ ซุยกับแม่ของมิโดริยังเคยพูดเลยว่า ?มาฮิโระคุงเหมือนดวงอาทิตย์เสมอเลยนะ? ซึ่งก็เป็นตามนั้นจริงๆ
แต่ซุยก็ไม่ได้ไม่ชอบใบหน้าของมาฮิโระในตอนนี้
พอรู้สึกเคืองมาฮิโระที่ยิ้มแบบเหงาๆ เพราะคิดถึงมิโดริก็นึกดีใจไปพร้อมกัน ทั้งที่อยากให้มาฮิโระตัดใจจากมิโดริ แต่ก็สบายใจในคำพูดว่าชอบมิโดริ เขายังไม่ลืมอีกครึ่งหนึ่งของซุยที่หายไป
?...จริงๆ นะ?
เปล่าประโยชน์เป็นบ้า
แต่ไม่ว่าเปล่าประโยชน์แค่ไหน ในที่สุดก็ย่อมถึงจุดสิ้นสุด
จะมีสักกี่คนบนโลกนี้ที่คิดถึงใครสักคนที่ไม่อยู่ไปเรื่อยๆ ได้
สักวันหนึ่งมาฮิโระก็จะลืมมิโดริ เพราะมิโดริไม่มีวันกลับมา
หนึ่งปีแล้ว แต่ขณะเดียวกันมันยังแค่หนึ่งปีเอง
ไม่ช้าก็เร็วความรู้สึกสูญเสียจะค่อยๆ ซึมซาบเข้าไปทีละน้อย และคงเกิดเป็นช่องว่างเล็กๆ ในจิตใจของมาฮิโระ การเข้าไปแทนที่จะได้ผลก็ต่อเมื่อใครสักคนถมช่องว่างนั้นจนเต็มด้วยความรักที่มีให้ และซุยก็เหมาะสมกับหน้าที่นั้นเป็นอย่างมาก เพราะซุยเป็นครึ่งหนึ่งของมิโดริ ยิ่งไปกว่านั้นยังน่าจะเข้มแข็งและฉลาดกว่ามิโดริ
?...ต้องเป็นอย่างนั้นแน่?
มาฮิโระเอียงคออย่างสงสัยที่ซุยผุดยิ้มเยาะกับตัวเอง
?ได้พูดอะไรหรือเปล่า??
?ไม่มีอะไร?
ซุยขยับห่างจากมาฮิโระแล้วก้าวเดินออกไป
?กลับกันเถอะ?
มาฮิโระที่อยู่ขนาบข้างเขกศีรษะซุยเบาๆ
?อย่าฝืนมากนะ อย่างน้อยก็ตอนอยู่ต่อหน้าฉัน?
?...อื้ม ขอบใจนะ?
พอตอบด้วยรอยยิ้ม มาฮิโระก็มุ่นคิ้วด้วยท่าทางเศร้าหน่อยๆ แล้วหัวเราะ
บ้านที่ซุยอาศัยอยู่กันสามคนกับพ่อแม่ ตั้งอยู่ใจกลางย่านที่อยู่อาศัยซึ่งนั่งรถโดยสารประจำทางจากสถานีไปประมาณสิบห้านาที และเป็นย่านที่คนมีฐานะค่อนข้างดีอาศัยอยู่
บ้านหลังคาสีฟ้าที่มองเห็นได้เมื่อเดินเอื่อยๆ จากป้ายรถโดยสารประจำทางไปราวห้านาทีนั้น มีหญิงสาวกำลังดูแลดอกไม้ในกระถางอยู่
?อ้าว ซุย มาฮิโระคุง?
เอมิโกะซึ่งเป็นมารดานั่นเอง เธอถอดถุงมือสีขาวที่ใช้ทำงานออกพลางยืนขึ้นปัดๆ กระโปรง ใบหน้าที่มองเห็นจากภายใต้หมวกกันแดดแลดูอ่อนเยาว์ ไม่เหมือนคนที่มีลูกชายอายุสิบแปดแล้วเลยแม้แต่นิดเดียว
?ยินดีต้อนรับกลับบ้านจ้ะ?
?กลับมาแล้วครับ?
มาฮิโระที่อยู่ข้างๆ ซุยตอบรับพลางค้อมศีรษะลง
?สวัสดีครับ สวนสวยเหมือนเคยเลยนะครับ ของบ้านผมมีแต่วัชพืชขึ้นรกไปหมดแล้ว?
?ถ้ามาฮิโระคุงไม่ว่าอะไร คราวหน้าป้าจะไปดูแลให้นะจ๊ะ?
?ถ้าให้คุณเอมิโกะไปทำแบบนั้น มีหวังผมโดนคุณแม่ซัดกระเด็นแน่เลยครับ?
เอ่ยว่า ตายจริง เสร็จ เอมิโกะก็เอามือแตะบริเวณปากแล้วยิ้ม
?เรื่องนั้นเดี๋ยวป้าบอกคุณซาโอริเองจ้ะ เป็นการขอบคุณที่ไปรับซุยให้เสมอ?
?อย่าใส่ใจเรื่องนั้นเลยครับ เพราะว่าผมอยากทำเอง?
ไฟตรงโถงหน้าบ้านติดสว่างเป็นสีส้ม ดวงอาทิตย์ที่อาบย้อมท้องฟ้าเป็นสีแดงก่ำจนถึงเมื่อครู่มองเห็นได้แค่ขอบบนเล็กน้อย วี่แววของยามค่ำคืนปรากฏขึ้นจากท้องฟ้าทางทิศตะวันออก
?ตายจริง เย็นย่ำป่านนี้แล้วสินะ?
คงหมกมุ่นกับการทำสวนอยู่กระมัง เอมิโกะตกใจพลางเช็กนาฬิกาข้อมือ
?มาฮิโระคุง ถ้าสะดวกก็มากินข้าวก่อนไหมจ๊ะ? สามีป้าบอกว่าวันนี้เลิกงานเร็ว คิดว่าอีกประเดี๋ยวก็คงกลับมาแล้วล่ะจ้ะ?
?ขอโทษด้วยครับ พอดีผมมีเรื่องที่ทำค้างไว้ตั้งแต่เมื่อวานต้องไปจัดการให้เรียบร้อยครับ?
ไม่ใช่เรื่องน่าแปลกที่เอมิโกะชักชวนมาฮิโระให้อยู่รับประทานมื้อเย็นด้วย อัตราความเป็นไปได้ที่มาฮิโระจะพยักหน้าตกลงอยู่ที่ประมาณหกสิบเปอร์เซ็นต์ แต่วันนี้ดูเหมือนว่าจะเป็นสี่สิบเปอร์เซ็นต์ที่เหลือมากกว่า
?อ้าว น่าเสียดายนะ?
?เอาไว้โอกาสหน้าผมจะมาขอรบกวนนะครับ อาหารฝีมือคุณเอมิโกะอร่อยกว่าที่ผมทำเองแน่นอน บรรยากาศโต๊ะกินข้าวของบ้านโมริโอกะครึกครื้นแล้วก็สนุกด้วยครับ?
หน้าตาเอมิโกะแสดงออกว่าดีใจกับน้ำเสียงที่ดูเหมือนออกมาจากใจจริง ไม่ใช่การเอาอกเอาใจ
?ขอบใจจ้ะ มาฮิโระคุงมีความรับผิดชอบดีจริงๆ นะ คุณซาโอริคงติดตามคุณมาโมรุได้อย่างวางใจ?
?ไม่เลยครับ โดนดุทางโทรศัพท์ตลอด?
ถ้ายังอยู่แบบนี้ต่อไปท่าทางคงได้ยาวแน่ มาฮิโระจะไม่เป็นคนตัดบทด้วยตัวเอง ส่วนเอมิโกะ นิสัยโดยธรรมชาติจะใส่ใจคู่สนทนา แต่พออีกฝ่ายเป็นมาฮิโระจึงเผลอลืมเวลาไป
?คุณแม่ ดึงเขาไว้ไม่ให้กลับไม่ดีนะ?
ซุยเอ่ยแทรกบทสนทนาของทั้งคู่ เป็นการติงเอมิโกะแล้วหันไปหามาฮิโระ
?มาฮิโระ แล้วไว้เจอกันนะ?
?อื้อ เจอกัน เรื่องมหาวิทยาลัยฉันจะเมลไปนะ?
?อื้ม ขอบใจนะ?
มาฮิโระโบกมือตอบซุยกับเอมิโกะที่โบกมืออยู่เคียงกัน แล้วหันหลังกลับออกจากบ้านโมริโอกะไป
+++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++
-ผมเกิดมาเพื่อปกป้องมิโดริ-
ซุย คือ อีกบุคลิกหนึ่งที่ถือกำเนิดขึ้นข้างในโมริโอกะ มิโดริ มิโดริผู้เป็นเจ้าของร่างกายหายไป เหลือไว้แต่ซุยคนนั้น... เป็นเรื่องที่เกิดขึ้นหลังจากคาซาโนะ มาฮิโระซึ่งเป็นเพื่อนสมัยเด็กของทั้งคู่สารภาพรักกับมิโดริได้สองสามวัน หลังจากนั้นผ่านไปหนึ่งปี มาฮิโระยังคงเชื่อมั่นอย่างแน่วแน่ว่ามิโดริจะกลับมา แม้ซุยจะกลายเป็นนักศึกษามหาวิทยาลัยแล้วก็ตาม ทำให้ซุยรู้สึกคล้ายว่าจะขุ่นเคือง ซุยจึงเข้าใกล้มาฮิโระด้วยหวังว่าเขาจะเลือกตนเองจากการผิดหวังในตัวมิโดริและตัดใจได้ ทว่ามาฮิโระกลับไม่ยอมโอนอ่อน...
