เปลวไฟจากเทียนไขไหวระริกในความมืด
เด็กน้อยมองเห็นสิ่งที่ดูคล้ายลิ้นอสรพิษ ทว่าเมื่อมันขยับเข้ามาใกล้มากขึ้นเรื่อยๆ เด็กน้อยจึงตระหนักถึงชะตาชีวิตของตน
นับตั้งแต่มี ?ขุนนาง? มาปรากฏตัวอย่างกะทันหัน กงล้อของชีวิตก็ผิดเพี้ยนไปจนสิ้น
ข้าวฟ่างหมดเกลี้ยงไม่เหลือแม้เพียงสักเม็ด ทำให้พ่อของเขาตะโกนอย่างโกรธแค้น แม่กลายเป็นคนที่มีสีหน้าเฉยชาไร้ความรู้สึก เพราะต้องฆ่าหมูและสุนัขที่ผอมโซจนไม่ถูกเก็บเป็นส่วยทีละตัวๆ ในขณะที่พี่ชายคนโตเวลาหิวขึ้นมาก็มักจะโกรธเกรี้ยวทุบตีน้องๆ และระยะนี้ก็ยิ่งมีอาการหนักขึ้นอย่างเห็นได้ชัด
ไม่มีคำพูดจาใดๆ ที่ดูเป็นการสนทนา เอ่ยปากออกมามีแต่คำด่าทอจนกู่ไม่กลับ ยิ่งนานวันพี่ชายคนโตก็ยิ่งกลายเป็นเหมือนปีศาจไปแล้ว พี่คนอื่นๆ ก็มีทั้งพี่ชายที่เอาแต่กลอกตาไปมาเงียบๆ และพี่สาวที่เอาแต่นั่งเหม่อลอยอยู่ในไร่จนน่าหนักใจ บางครั้งก็มีใครสักคน เดี๋ยวหัวเราะเดี๋ยวร้องไห้เหมือนเป็นบ้า บางครั้งก็มีคนเป็นลมบ้าหมู
ตัวเขาซึ่งเด็กที่สุดและไม่มีใครสนใจมักจะกลายเป็นเป้าที่ถูกลากเข้ามาเกี่ยวข้องด้วยเสมอ
แล้ว ?เวลานั้น? ก็ค่อยๆ คืบคลานเข้ามาอย่างช้าๆ
เพราะฉะนั้นเมื่อตอนที่เห็นลิ้นอสรพิษเข้ามาใกล้ในความมืด เขาจึงรู้
เทียนไขน่าจะหมดไปนับตั้งแต่วันที่เห็นพ่อแม่กำลังตะกละตะกลามตอนดึกๆ แล้ว แต่เหตุที่อันสำรองถูกจุดขึ้นคงเป็นเพราะเหตุผลสุดท้าย
ความหมายของสิ่งที่พ่อกับแม่และพี่ชายคนโตนั่งปรึกษากันบนพื้น ก่อนที่เปลวไฟจากเทียนไขนั้นจะใกล้เข้ามา
?....ไงล่ะ แค่ฆ่าเฉยๆ ก็น่าเสียดาย มันน่าจะกินได้มากกว่าไก่นะ?
?ใช่ไหมล่ะ? ถ้าค่อยๆ กินทีละนิดก็กินได้ตั้งห้าวัน....?
ข้างๆ ลิ้นอสรพิษที่ส่ายไปมา มีเสียงดังเก๊งเบาๆ
แม้เขาจะเป็นเด็ก แต่ไม่รู้ว่าทำไมเขาจึงรู้ว่านั่นเป็นเสียงขยับใบมีด
(อสูรร้ายกำลังจะมา)
อสูรร้ายที่เคยอยู่ในคราบของครอบครัวกำลังจะเข้ามาฆ่าเขา
พวกพี่ๆ คนอื่นๆ หลับลึกราวกับก้อนดินที่ไม่มีแม้ลมหายใจอยู่ข้างๆ เพราะเหน็ดเหนื่อยจากการทำงานในไร่ที่เก็บเกี่ยวผลผลิตอะไรไม่ได้
....จะปลุกก็ไม่ได้ เพราะจะเช้าแล้วทั้งที่พักผ่อนได้เพียงนิดเดียว
เสียงฝีเท้าแห่งความตายค่อยๆ เขยิบเข้ามาใกล้ ร่างทั้งร่างของเขาสั่นสะท้าน พร้อมกับเสียงที่ดังขึ้นจากที่ไหนสักแห่งในหัว
(ถ้าผมตาย ทุกคนจะรอด)
เขาคิดเช่นนั้น แม้มีเวลาเหลือพอจะหนีไปจากที่นั่น และตัวเขาเองสามารถหนีไปจากชีวิตประจำวันอันโสมมที่ถูกตบตีด่าว่าได้ก็ตาม....
เมื่อเด็กน้อยลืมตาขึ้น สิ่งที่เห็นคือดาบและร่างของพ่อที่ดูคล้ายวิญญาณล่องลอยและเลือนรางในความมืด
ในแววตาที่เต็มไปด้วยความว่างเปล่า ไม่มีความสงสารลูกชายคนสุดท้องแม้แต่น้อย
เป็นธรรมดาที่ในหัวย่อมมีแต่เรื่องทำให้ตัวเองมีชีวิตรอด ตอนที่มองเห็นใบหน้าซึ่งเต็มไปด้วยความบ้าคลั่งนั้น เด็กน้อยคิดไปเองว่าเป็นเรื่องที่ช่วยไม่ได้
แต่....ไม่รู้ว่าทำไมจึงได้หลบใบมีดที่ตวัดเฉียงลงมา
ที่ถอยหลบคงเป็นการทำไปตามสัญชาตญาณโดยไม่รู้ตัว ช่วงที่ถูกโจมตีอย่างร้อนแรงราวกับถูกเหล็กที่เผาไฟแทงเข้าที่ท้อง ไม่รู้ทำไมจึงมีเลือดกระเซ็นมาจากข้างๆ
เด็กน้อยที่ล้มตัวลงมองข้างๆ อย่างอึ้งๆ เพราะเขาเบี่ยงตัวหลบ อสรพิษจึงพลาดเป้าไปโดนพี่สาว....
เสียงใครบางกรีดร้องแหวกอากาศขึ้นมาในยามค่ำคืน
เวลาผ่านไปนานแค่ไหนไม่รู้.... เด็กน้อยกดท้องที่มีเลือดพุ่งออกมาช้าๆ แล้วเงยหน้าขึ้น ในบ้านที่เงียบกริบนั้นมีกลิ่นคาวเลือดคละคลุ้งจนแทบจะอาเจียน....และศพที่กองพะเนิน
หลังจากนั้นไม่นานเด็กน้อยจึงรู้ว่าครอบครัวที่สติแตกของเขาฆ่าฟันกันเอง
เขาเริ่มคลานออกไปข้างนอกด้วยสัญชาตญาณ
(....อยากมีชีวิต)
เขาคิดมาตลอดว่าสิ่งที่น่ากลัวที่สุดในโลกนี้ คือภูตผีปีศาจที่มีอยู่ทุกหนทุกแห่ง
แต่ว่าไม่ใช่
(ผมอยากมีชีวิต)
คนที่จะฆ่าเขา คือคนที่เป็นพ่อแท้ๆ ไม่ใช่ปีศาจที่แปลงกายเป็นพ่อ
คนที่เป็นครอบครัว
น้ำตาของเขาไหลพรากโดยไม่มีทั้งความโกรธและความเศร้า น้ำตานั้นร่วงผล็อยไม่หยุดและไม่มีเหตุผล
เขาไม่รู้สึกเจ็บปวดที่ท้องแล้ว มีแต่ความร้อนของน้ำตาที่ทำให้เขายังมีสติและคลานออกไปข้างนอก
กลางดึกในคืนเดือนหงาย เสียงนกฮูกร้องฮู้ๆ ในความมืดชวนขนลุก
เขารู้คำตอบแล้วว่าอะไรที่น่ากลัวที่สุดในโลกนี้ ถึงกระนั้นเด็กน้อยก็ยังชูมือขึ้น
(ผม....อยากมีชีวิต....)
นั่นเป็นความปรารถนาอย่างยิ่งยวดที่จะมีชีวิตอยู่อย่างแท้จริง
มือที่ชูขึ้นถูกใครสักคนคว้าเอาไว้ก่อนที่มันจะตกลงสู่พื้น
?....เกิดอะไรขึ้น....!?
นั่นเป็นเสียงสุดท้ายที่เข้าหู ก่อนที่ทุกอย่างจะหลุดลอยไป
?เจ้าชื่ออะไร??
เด็กน้อยพึมพำตอบไปขณะที่กำลังจะทรุดลงท่ามกลางความมืดมิด
?....เงซึ....?
บทนำ
ชายคนหนึ่งกำลังเดินโขยกเขยกอยู่คนเดียวในเอนยู เมืองหลวงของมณฑลโคคุ ผมและหนวดปล่อยยาวสยาย ถึงแม้ว่าผมที่เป็นสีขาวจะดูเหมือนหวีมาบ้างแต่ก็ยังยุ่งอยู่และมีทรายปนอยู่ด้วย ที่เขาถือมาเป็นถุงผ้าเก่าๆ ดูหนักซึ่งขยับไปมาอยู่ทางด้านหลัง กับกิ่งไม้ที่ใช้แทนไม้เท้า เขาแต่งกายด้วยเสื้อผ้าสีมอๆ มีแต่รอยปะกับชุดเสื้อคลุมที่ทำจากฟาง รองเท้าก็สึกจนเกือบจะทะลุถึงพื้น บ่งบอกให้รู้ว่าเขาผ่านการเดินทางมาอย่างยาวนาน มีเพียงแววตาอ่อนโยนซึ่งเต็มเปี่ยมไปด้วยความหลักแหลมที่ดูขัดแย้งกับภาพลักษณ์ที่เห็น
หากดูอย่างผิวเผินก็ยากที่จะบอกอายุได้ แต่เมื่อดูดีๆ ก็พบว่าเขาไม่ใช่คนชรา อายุน่าจะเพิ่งสี่สิบกว่าๆ เขาเดินหลบมุมอยู่บนถนนใหญ่เหมือนมึนงงกับเสียงจ้อกแจ้กจอแจในเมืองหลวงของมณฑล ฝีเท้านั้นดูไม่สับสนลังเลต่อจุดหมายปลายทางที่กำลังมุ่งไป
เขาเดินตั้งแต่เช้าจรดค่ำ เมื่อตกกลางคืนก็หลับใต้ชายคาที่พอจะกันลมและฝนได้ ก่อนจะออกเดินอย่างมุ่งมั่นต่อไปอีกครั้ง แล้ว....ในที่สุดที่ที่เขามาหยุดยืนอยู่ก็คือหน้าประตูใหญ่ของป้อมเอนยู ซึ่งเป็นที่ตั้งของที่ว่าการมณฑลโคคุ
แม้ทหารยามหน้าประตูจะมองว่าเขาเป็นขอทาน แต่ก็ไม่ได้แสดงสีหน้ารังเกียจ เมื่อรู้ว่าเขามีธุระที่ที่ว่าการมณฑลก็นำเขาไปเข้าแถวรออย่างสุภาพ และเพราะท่าทางของเขาที่ดูอ่อนล้า จึงส่งใบลำดับในการรอให้แล้วบอกให้เขาไปพักผ่อนที่ไหนสักแห่งจนกว่าจะได้รับการเรียก
ชายผู้นั้นยิ้มแล้วตอบปฏิเสธอย่างสุภาพ เขาเลือกที่จะไปยืนเข้าแถวที่ค่อยๆ เคลื่อนไปภายใต้อากาศหนาวเย็นเพราะฤดูหนาวมาเยือนเร็วกว่ามณฑลอื่น
เขามองไปรอบๆ ราวกับพยายามจะค่อยๆ ซึมซับทุกสิ่งที่เห็นเข้ามาไว้ในใจ
มองรอยยิ้มของคนที่มากันเป็นครอบครัวดูมีความสุข เงี่ยหูฟังเสียงกระพือปีกของนกตัวน้อยๆ ท้องฟ้าในฤดูหนาวใสและสูงอย่างไม่มีที่สิ้นสุด ใสจนราวกับจะได้ยินเสียงระฆัง ....เขาแหงนหน้าขึ้นเล็กน้อยสูดอากาศเข้าลึกๆ ราวกับจะขอบคุณการมีชีวิตอยู่ แววตานิ่งสงบสะท้อนภาพท้องฟ้า
คลื่นฝูงชนค่อยๆ มาออกันอยู่ที่หน้าประตูใหญ่
ตัวเขาเองก็เป็นหนึ่งในนั้นที่ผ่านประตูใหญ่ ตอนที่ผ่านออกมา ถุงผ้าที่ห้อยอยู่ด้านหลังดูเหมือนแกว่งเบาลง ชายคนนั้นหันกลับไปทางป้อมเอนยูแล้วก้มศีรษะลงอย่างนอบน้อมเพื่อแสดงความขอบคุณ จากนั้นเขาก็หันกลับไปตามทางเดิมอีกครั้ง คราวนี้ผ่อนฝีเท้าลงเล็กน้อย
เมื่อผู้คนต่างๆ มองเห็นเขาก็เสนออาหาร น้ำดื่ม เครื่องหอม ผ้าห่มกันหนาว....ไปจนถึงห้องพักค้างคืนให้
เขารีบเดินผ่านไปโดยก้มศีรษะขอบคุณอย่างสุภาพ รอยยิ้มไม่เคยขาดหายไปจากใบหน้าของเขา
เขาพยักหน้าและยิ้มอย่างอ่อนโยนให้กับทหารยามเฝ้าประตูมณฑลที่ถามอย่างเป็นห่วงว่าเขาจะไปที่ใด แล้วออกเดินทางจากมณฑลในตอนย่ำรุ่ง
เสียงนกกระพือปีกพร้อมกันดังมาจากที่ไหนสักแห่ง
เสียงน้ำค้างหยดติ๋งๆ ดังมาเข้าหู
เสียงกระแสน้ำไหลดังแว่วมาไกลๆ ยอดไม้สีขาวที่โค้งลงมาเพราะเข้าสู่ช่วงฤดูหนาวสั่นไหว
เขาค่อยๆ เดินไปจนพบต้นไม้ใหญ่ต้นหนึ่ง เขาเข้าไปใกล้แล้วนั่งลงใต้ต้นไม้นั้น
ถึงแม้จะเป็นฤดูหนาวที่แห้งแล้ง แต่ชีวิตที่รอฤดูใบไม้ผลิยังคงหายใจอยู่
ลมในฤดูหนาวที่ทำให้หนาวจนแทบจะแข็งตายเป็นหลักฐานที่แสดงให้เห็นว่ายังมีชีวิตอยู่
โลกอ่อนโยนต่อเขา ไม่ว่าเขาจะอยู่ที่ใดก็ตาม
?....เอเงซึ?
เขาแหงนหน้ามองท้องฟ้าที่มีแสงรำไรในตอนรุ่งสาง แล้วยิ้มกว้างเหมือนเด็ก
?ข้าทำตามสัญญาสำเร็จแล้ว ....ดีนะที่ทัน?
สายลมนั้นคล้ายจะพัดพาหัวใจของเขาไปไกล
?การได้พบกับเจ้า ใช้ชีวิตกับเจ้า.... ข้า....?
เขากระซิบอย่างอบอุ่นเหมือนแสงแดด ราวกับกำลังตกหลุมรักโลกนี้
?มีความสุขจริงๆ นะ?
เขาหรี่ตาเหมือนกับแสบตา ดวงตาเป็นประกายราวกับเห็นสุดยอดสมบัติ....
เขาใช้เพียงสายตาโอบกอดโลกสุดท้ายสำหรับเขาเอาไว้ด้วยความรัก
?....ไปก่อนนะ แล้วข้าจะรอเจ้าอยู่?
ขนตาของเขาค่อยๆ หลุบลง มือขวาหล่นจากเข่าตกลงบนผืนดินสีขาวนุ่ม
รอยยิ้มแสนอ่อนโยนยังคงอยู่บนใบหน้า แต่เขาไม่ได้ลืมตาขึ้นอีกเลย
....ไม่อีกเลย
***
ห้องหนึ่งในคฤหาสน์โคเรน เอเงซึที่ยังไม่นอนกำลังอ่านหนังสืออยู่ วูบนั้นเขาเงยหน้าขึ้นมองหน้าต่าง ดาวดวงหนึ่งร่วงหล่นจากฟ้าในตอนรุ่งสาง
เอเงซึจ้องมอง....แล้วเอามือทาบอก
เขารู้แน่แก่ใจว่ามีบางสิ่งหล่นหายไปจากใจ และอาจจะรู้ด้วยว่าสิ่งนั้นคืออะไร
น้ำตาไหลออกมาจากเปลือกตาทั้งสองข้างของเขาที่ปิดสนิท
เอเงซึร้องไห้อย่างไร้เสียง น้ำตาหยดแล้วหยดเล่าไหลอาบแก้มโดยที่เขาไม่ได้เช็ดมัน
?....ท่านโดชู....?
เขากุมหน้าอกข้างซ้ายเหมือนกับจะจับหัวใจที่กำลังแตกสลาย
?....ท่าน....โดชู....!?
เอเงซึเรียกชื่อนั้นซ้ำๆ เสียงแหบพร่านั้นค่อยๆ เบาลงจนคล้ายกับถูกดูดซึมหายไปกับพื้นดิน
ความโศกเศร้าอย่างน่าใจหายจนคล้ายจะกระอักออกมาเป็นเลือด ทำให้บรรยากาศพลอยหม่นมัวเศร้าซึมไปด้วย
....ถึงกระนั้นเวลาก็เริ่มจะเช้าแล้ว
แสงแดดตอนย่ำรุ่งทางตะวันออกที่ห่างไกลออกไปลอดผ่านช่องระหว่างนิ้วเข้ามา
น้ำตาของเอเงซึยังคงไหลไม่หยุด ทัศนวิสัยที่ยังคงบิดเบี้ยวเป็นตัวกั้นแสง
?....พักผ่อนเถอะนะ....ท่านโดชู?
เอเงซึหน้าเบะร้องไห้เสียงดังอย่างสุดจะกลั้น
?........!?
ตึง หลังของเอเงซึกระแทกเข้ากับกำแพงก่อนที่ตัวจะค่อยๆ ทรุดลง
?....พักผ่อนเถอะนะ ท่านโดชู....?
เขาฝากคำพูดสุดท้ายถึงคนที่เขารักยิ่งกว่าใครในโลกนี้
?ขอให้หลับให้สบายนะ....?
แล้วเอเงซึก็ได้ยินเสียงนาฬิกาทราย
เวลาที่หยุดนิ่งเริ่มไหลลงมาอย่างไร้ความปรานี เป็นเสียงของทรายที่ไร้ความเห็นใจ
***
ตึง ตึง เสียงเคาะลงบนที่เท้าแขนของเก้าอี้
?....ซาชุนกิแต่งงานกับคนธรรมดาแล้วเหรอ....?
เสียงเคาะหยุดลง เหลือเพียงเสียงถอนหายใจกึ่งหงุดหงิดกึ่งระอาอยู่ภายในห้อง
?ไม่ไหวเลย เออิคิคัดค้านตระกูลมาตลอด....พอพวกเราปล่อยไปกลับยิ่งไปกันใหญ่ ซ่อนเด็กสาวที่มีความสามารถพิเศษเอาไว้ไม่ให้พวกเรารู้ เป็นเด็กสาวที่น่าจะทำประโยชน์ได้ตั้งนานแล้วด้วย.... แต่หากไม่ใช่สาวบริสุทธิ์ก็ไม่มีความหมาย?
เสียงนั้นฟังดูหนุ่ม แต่มีความลุ่มลึกเหมือนก้นแม่น้ำที่ดำมืด ไม่อาจบอกอายุได้
?....ก็ดีแล้วไม่ใช่เหรอ ผลลัพธ์ก็ได้ออกมาแล้ว ....สองอย่าง?
เปียที่ถักหลวมๆ กวัดแกว่งทำให้เกิดเสียงผมเสียดสีกัน ผมสีเงินยวงดังแสงจันทร์ที่มีสีทองเหลือบอยู่เล็กน้อย ดวงตาดำขลับทั้งคู่ยิ่งทวีความมืดในยามราตรี ขนตาเส้นยาวถี่ที่ล้อมกรอบดวงตาคู่นั้นอยู่ก็เป็นสีเงินเช่นกัน มือขาวที่ดูเกือบซีดนั้นตัดกับดอกกุหลาบสีแดงสดคล้ายสีเลือดที่อยู่ในมือ
ชายหนุ่มที่ดูคล้ายวิญญาณในยามค่ำคืนยิ้มมุมปาก
?เอาไว้ปีใหม่ไปคิโยกันดีไหม ไม่ได้ไปนานแล้ว?
ปลายนิ้วขาวเผือดที่ลอยเด่นในความมืดจัดกุหลาบลงในแจกัน
ตอนนั้นเองสีของแขนเสื้อที่ลู่ลง เป็นสีครามคล้ายท้องฟ้าที่เริ่มสว่าง หรือที่เรียกว่า สีเฮียว
***
ในคืนที่มืดมิด.... โซไทฟุยืนอยู่บนยอดของหอสูงอันงียบสงัดในอุทยานพลางกวาดตามองลงไปด้านล่าง เขากำลังมีความสุขกับดื่มสุราชมจันทร์เพียงลำพัง ข้างๆ นั้นมีจอกเหล้าที่มีเหล้ารินเอาไว้สองถ้วยทอดเงาอย่างเงียบสงบ
ทันใดนั้นหนึ่งในเงานั้นก็ถูกคว้าไป
โซไทฟุจิบเหล้าในถ้วยโดยไม่มองเพื่อนที่นั่งข้างๆ
?ในที่สุดก็กลับมาแล้วเหรอ ....จบเรื่องแล้วใช่ไหม??
?....จบแล้ว?
ด้วยคำพูดนั้นเพียงคำเดียว โซไทฟุก็รู้ว่าคราวนี้อดีตเพื่อนรักจะหลับใหลไปตลอดกาลแล้ว
?งั้นเหรอ?
แม่ทัพอาวุโสพึมพำเพียงแค่นั้น ไม่มีอะไรจะพูดอีกต่อไป
ซาเอนจุน ชายที่มุ่งทำตามอุดมการณ์ของตัวเองจนเข้าขั้นหัวดื้อ ไม่เคยเปลี่ยนแปลงไปเลยจนกระทั่งถึงวาระสุดท้าย ยังคงไว้ซึ่งเกียรติยศที่สูงส่ง สูงค่า น่านับถือ เหมือนดั่ง ?ดอกเบญจมาศ? ที่ได้รับพระราชทาน
โซไทฟุหันไปมองข้างๆ
?ทำไมทำสีหน้าเหนื่อยๆ อย่างนั้นล่ะ?
?....เพราะถูกเออิคิใช้งานหนักน่ะสิ คนที่แค่พยักหน้าก็สั่งข้าได้มีแต่ผู้หญิงคนนั้นจริงๆ?
เขาเคยถูกไล่ออกจากบ้านเพื่อมาทำตัวให้เป็นประโยชน์โดยการช่วยเหลือวังที่กำลังจะล่มสลาย
โซไทฟุได้ยินดังนั้นก็กุมท้องหัวเราะ
?เออิคิก็ดูเหมือนจะไม่เปลี่ยนไปเลยนะ?
?ไม่เลย?
?....ผู้หญิงช่างแข็งแกร่งจริงๆ?
เออิคิรักซาเอนจุนแค่ไหน และซาเอนจุนรักเออิคิแค่ไหน โซไทฟุรู้ดี รวมถึงความเข้มแข็งของเออิคิที่ต้องเก็บความเศร้าโศกเสียใจต่อการตายของชายที่ตนอุทิศทั้งหมดของหัวใจให้ไว้ในอก และก้าวเดินต่อไปอย่างสง่าผ่าเผยด้วยเช่นกัน
พระจันทร์ที่สะท้อนอยู่ในจอกเหล้าสั่นไหว
?งั้นเหรอ....จบแล้วสินะ?
เขาคือชายที่ไม่สามารถละทิ้งตระกูลซึ่งเป็นดังโซ่ตรวนในชีวิตไปได้จนกระทั่งวาระสุดท้ายของชีวิต เมื่อกลายเป็นหัวหน้าตระกูลจึงต้องกล้าเฉือนเนื้อร้ายทิ้ง และตัดชื่อเสียงที่เสื่อมเสียเพราะการกระทำผิดอันไม่สมควรไป เขาเป็นดั่งฟางเส้นสุดท้ายของตระกูลที่ค่อยๆ จมลงมาตลอด ลูกชายสุดที่รักและลูกสะใภ้ก็ต้องพลอยมาติดร่างแหรับเคราะห์ไปด้วย
แล้วหลายฤดูก็หมุนเวียนเปลี่ยนผันไป ผ่านไปหลายรัชสมัย จนอยู่ในวัยที่เริ่มมองเห็นปลายทางของชีวิต มาถึงรัชสมัยของฮ่องเต้หนุ่มที่น่าเป็นกังวล ซาเอนจุน ในฐานะประมุขตระกูลซา จึง ?ก่อกบฏ? เพื่อทดสอบแนวโน้มความมั่นคง
นั่นเป็นการท้าทายอำนาจรัฐอย่างเป็นทางการ และถือเป็นเหตุผลเพียงพอที่จะสืบสวนและลงโทษตระกูลซาทั้งตระกูล
นำมาซึ่งการปลดปล่อยตระกูลซา เป็นการบ่งหนองออกมาจนหมดสิ้น และเป็นโอกาสที่จะวางรากฐานของตระกูลซาใหม่ตั้งแต่ขั้นพื้นฐาน
ชายที่ยอมให้ตัวเองถูกจารึกในประวัติศาสตร์ในฐานะนักโทษอุกฉกรรจ์เพื่อให้เกิดยุคสมัยและตระกูลซาใหม่
?เขามักจะตะลุยไปตัวคนเดียวเป็นประจำ....เฮ้อ พวกเราไม่มีทางที่จะทักท้วงอะไรเขาได้เลย ช่างโง่จริงๆ?
คนทั้งตระกูลเคยขับไสไล่สงคนโง่ที่ไม่ว่าจะอยู่ที่ไหนก็คิดถึงแต่ประเทศชาติและประชาชน
ซาเอนจุนไม่สามารถฝืนแบกรับทุกอย่างไว้คนเดียวจนภาระสำเร็จลุล่วงได้ เขาจะต้องมีทายาทที่สืบทอดเจตนารมณ์ของเขา
เขาเจอคนที่เข้าใจและจะสืบทอดสิ่งที่เขาทำมาแล้ว
?....หลานชายคนสุดท้องของจูโชใช่ไหมล่ะ คนที่เอนจุนเคยเป็นห่วงที่สุดสินะ ปีใหม่จะมางานถวายพระพรหรือเปล่า??
?เออิคิบอกว่าถึงจะต้องทั้งผลักทั้งดันก็จะส่งมา ไม่ให้อ้างว่ากำลังอยู่ในช่วงไว้ทุกข์ด้วย เป็นครั้งแรกที่จะส่งคนมาถวายพระพรปีใหม่ เพราะเป็นการแสดงออกว่ายอมรับฮ่องเต้องค์ปัจจุบันอย่างเป็นทางการไงล่ะ?
?....เขาเหมือนเอนจุนเหรอ??
?ถึงแม้ว่าความสามารถจะยังห่างไกล ....แต่ก็เหมือนมาก เพราะเขาเป็นคนที่ขี้ใจอ่อน?
โซไทฟุยิ้มกว้างแล้วลุกขึ้นยืน ชักดาบที่อยู่ข้างสะโพกออกมาทันที
?....ทีนี้ก็ส่งเอนจุนไปสู่สุคติได้แล้วสินะ?
เขาย่างเท้าดังตึงโดยไม่มีอาการเมาแม้แต่น้อย ปลายเท้าทั้งสองข้างวาดเป็นวงกลมหลายครั้ง กวัดแกว่งดาบที่หนักอึ้งราวกับว่าเป็นของเบาๆ ขณะที่ย่างเท้าอย่างหนักแน่น ท่วงท่าสง่างามจนไม่นึกว่าจะเป็นแม่ทัพอาวุโสที่ปกติแล้วจะซุ่มซ่าม ....นั่นเป็นเพลงดาบส่งศพ
โซไทฟุฝืนยิ้มออกมาพลางร่ายรำต่ออย่างสงบ เมื่อเห็นโชไทชิก้มหน้า
?โช....อีกไม่นานข้าก็คงไปก่อนเจ้า?
?....อย่าพูดเป็นลางสิ?
?จะเสียใจอะไรล่ะ? ทั้งข้า ทั้งเอนจุนมีชีวิตและเคยมีชีวิตอยู่มามากเกินพอแล้ว ถึงแม้ว่าพวกเราจะไม่อยู่ แต่เวลาที่เคยใช้ร่วมกันก็ไม่มีทางที่จะหายไปหรอก?
โชไทชิหันหน้าไปอีกด้าน สีหน้านั้นบ่งบอกถึงความเหงาอย่างเห็นได้ชัดเกินกว่าจะเอื้อนเอ่ยคำใดออกมาได้ ....บางทีตัวเขาเองอาจไม่รู้ด้วยซ้ำว่าตัวเองทำหน้าแบบนั้น ไม่มีใครเคยคิดว่าจะมีวันที่ได้เห็นเขาทำหน้าแบบนี้
ในที่สุดชายคนนี้ก็รู้จักคำว่าเหงาแล้ว
?....ถ้าเหนื่อยก็นอนพักเถอะ ถ้าเบื่อการมีชีวิตอยู่แล้ว ข้ากับเอนจุนจะมารับเจ้าไปอยู่เอง ข้าสัญญา?
โซไทฟุกวัดแกว่งดาบอย่างไร้เสียงเหมือนเป็นเพียงเงา โชไทชิจ้องปลายดาบที่มาจ่ออยู่ที่คอหอยอย่างนุ่มนวลแล้วพึมพำเบาๆ ว่า ?สัญญาแล้วนะ?
+++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++
โคชูเร ผู้ว่าราชการมณฑลหญิง และโทเอเงซึ ผู้ว่าราชการมณฑลอีกคนที่ได้รับมอบหมายให้ดูแลมณฑลซา ได้รับหน้าที่สำคัญคือการถวายพระพรปีใหม่ฮ่องเต้ จึงมุ่งหน้าไปยังคิโยซึ่งเป็นเมืองหลวง ชูเรจะได้พบกับชิริวกิ ฮ่องเต้ของประเทศไซอุนอีกครั้งหลังจากไม่ได้พบกันมานาน ริวกิที่คิดว่าจะเป็นเด็กขี้อ้อนกลับเป็นฮ่องเต้ที่เอาจริงเอาจังมากขึ้น ต่างไปจากเมื่อก่อนเล็กน้อย อีกทางด้านหนึ่งที่ชูเรไม่รู้ ข้อเสนอเรื่องการแต่งงานกับ ?คนคนนั้น? ที่คาดไม่ถึงก็กำลังดำเนินไป....!? จะเป็นอย่างไรต่อไป!? เรื่องราวแฟนตาซีแห่งสีสันที่เต็มไปด้วยความวุ่นวายทั้งเรื่องความรักและการทำงานยอดฮิตเล่ม 6 !
