ทันทีที่ผู้ที่เรียกตัวเองว่าแม่มดได้ข่าวว่าเจ้าชายกำลังประชวรหนัก เธอก็รีบมาเข้าเฝ้าฯ ในทันที หัวหน้าองครักษ์รายงานสถานการณ์ให้เธอฟังด้วยสีหน้าที่ตึงเครียด
?ตอนแรกฝ่าบาททรงตั้งใจว่าจะออกเดินทางไปน้ำตกเพื่อฝึกจิตชะล้างความคิด ตามที่มีระบุไว้ในคัมภีร์ศาสนาของโลกฝั่งตะวันออก แต่เนื่องจากแถวนี้ไม่มีน้ำตก ฝ่าบาทจึงทรงใช้น้ำพุในสวนแทน และน้ำก็เย็นกว่าที่คาดเอาไว้มาก ทำให้พระองค์ไข้ขึ้นสูงจนประชวร?
?........?
รูดี้จ้องหน้าองครักษ์ที่เล่าเรื่องราวให้เธอฟัง จากนั้นเธอก็ทำหน้าเอือมระอาก่อนจะหันทางเจ้าชายและพูดว่า
?นี่บ้าหรือเปล่า??
?ฉันไม่ได้บ้า คนบ้าที่ไหนจะมาเป็นหวัดอยู่แบบนี้?
วีลฟรีทซึ่งสวมเสื้อผ้าหนาเตอะตัวใหญ่เบ้อเริ่มกำลังคุดคู้อยู่บนเตียง พระองค์ตอบเสียงขึ้นจมูกพร้อมค่อยๆ ขยับพระวรกาย
?เป็นหวัดแค่นี้ไม่เห็นต้องเรียกหม่อมฉันมาเลยเพคะ โธ่เอ๊ย.... หม่อมฉันเองก็กำลังเตรียมตัวไปบ่อน้ำร้อนอยู่เหมือนกัน ถ้าผิวของหม่อมฉันเกิดแห้งกร้านขึ้นมาล่ะก็ ฝ่าบาทจะรับผิดชอบหรือเพคะ??
รูดี้บ่นพึมพำพร้อมกับจัดการสั่งยาให้พระองค์ วีลฟรีทขมวดคิ้วจ้องใบหน้าของเธอ
?เดิมทีเธอก็เป็นผู้ชายนี่นา? สนใจเรื่องดูแลผิวด้วยหรือ??
?จะหญิงหรือชายก็ไม่เกี่ยวหรอกเพคะ อ๊ะ แต่หม่อมฉันเข้าบ่อน้ำร้อนฝั่งผู้ชายนะจะบอกให้ เวลาเห็นผู้หญิงร่างเปลือยทีไร รู้สึกอยากจะอาเจียนออกมาทุกที?
รูดี้กล่าวอย่างไม่ใส่ใจ พลางเปิดห่อผ้าที่พกติดตัวมาด้วยและค่อยๆ หยิบสินค้ารุ่นใหม่ออกมาวางเรียง รูดี้มีงานอดิเรกคือการเก็บสะสมของหายาก และเธอก็ใช้มันทำกำไรหาค่าขนมให้ตัวเองด้วยการเสนอขายสินค้าเหล่านี้ให้เจ้าชายและท่านเคานท์อยู่เป็นประจำ ไหนๆ อุตส่าห์มาถึงที่นี่แล้ว จะกลับไปมือเปล่าก็กระไรอยู่
วีลฟรีทมองดูสินค้า และทันใดนั้นพระองค์ก็นึกอะไรบางอย่างขึ้นมาได้จึงหันไปมองหน้าแม่มดและเอ่ยปากถาม
?ว่าแต่เวลาเธอเข้าบ่อน้ำร้อนฝั่งผู้ชาย เธอจัดการกับก้อนหน้าอกของเธออย่างไรหรือ??
?หมายถึงหน้าอกอันอวบอั๋นของหม่อมฉันหรือเพคะ? แบบนี้ไง?
รูดี้ยกปกเสื้อของตัวเองขึ้นและเอามือล้วงลงไป จากนั้นเธอก็ดึงเอาก้อนอะไรบางอย่างออกมา แล้วหน้าอกของเธอก็แบนราบเรียบในทันที
?ถอดออกมาได้ด้วยหรือ!?
เข้าใจแล้ว แบบนี้ก็หมายความว่าถ้ามีอุปกรณ์นี้ผู้ชายก็สามารถแปลงเป็นผู้หญิงได้สินะ
เจ้าชายรู้สึกชื่นชมอย่างไร้เดียงสา ก่อนพระองค์จะเปลี่ยนเป็นสีหน้าจริงจังอย่างกะทันหัน และจ้องแม่มดตาเขม็ง
?เธอคิดว่าเป็นไปได้ไหมที่วันหนึ่ง จู่ๆ หน้าอกของผู้ชายก็พองออกมา?
?หา? ถ้ามีปรากฏการณ์มหัศจรรย์แบบนั้นอยู่ในโลกจริงล่ะก็ หม่อมฉันคงไม่ต้องเหนื่อยจนถึงทุกวันนี้หรอกเพคะ?
?....นั่นสินะ เรื่องบ้าๆ แบบนั้นไม่มีทางเป็นไปได้หรอก?
วีลฟรีทยื่นมือไปจับหน้าอกปลอมที่รูดี้เพิ่งถอดออกมา
?สัมผัสในตอนนั้นฉันต้องคิดไปเองอย่างแน่นอน ผู้ชายทั่วไปเขาคงไม่ติดของแบบนี้เอาไว้กับตัวหรอก แล้วมันก็ไม่ได้นุ่มนิ่มแบบหน้าอกปลอมอันนี้ด้วย มันแบบว่านุ่มๆ ฟูๆ....มากกว่านี้....ไม่สิ....มันเด้งดึ๋ง....?
?วีล เลือดกำเดาไหล!?
คำพูดของรูดี้ช่วยปลุกวีลฟรีทซึ่งกำลังบีบหน้าอกปลอมของเธอด้วยสีหน้าที่ยุ่งยากให้ตื่นจากภวังค์ และเมื่อเจ้าชายสังเกตเห็นว่าน้ำสีแดงกำลังไหลติ๋งๆ ซึมลงบนที่นอน พระองค์ก็รีบเอามือกดจมูกของตัวเองทันที
?มะ ไม่ ไม่ใช่นะ! ฉันนึกถึงสัมผัสนั้นแค่แป๊บเดียวเอง! ฉันบอกไว้ก่อนเลยนะ ว่าฉันไม่ได้เป็นอะไร!?
ทันใดนั้น หน้าของพระองค์ซึ่งกลายเป็นสีแดงหลังนึกถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในสวนเมื่อคืน ก็ค่อยๆ ซีดลง
?....จะต้องมีอะไรผิดพลาดอย่างแน่นอน ฉันกำลังใจสั่นกับผู้ชาย.... แถมยังเป็นเจ้าบ้านั่นอีกต่างหาก....?
คำพูดพึมพำอย่างหมดแรงของเจ้าชายทำให้รูดี้ช็อกเป็นอย่างมาก เธอเบิกตาโพลง
หลังนิ่งเงียบไปสักพัก ในที่สุดรูดี้ก็เปลี่ยนเป็นส่งสายตาเวทนาให้พระองค์ ก่อนจะหยิบขวดแก้วใบเล็กขึ้นมา
?คนบ้าก็มีเรื่องกลุ้มใจแบบคนบ้าสินะ โลกก็เป็นอย่างนี้นี่แหละ อะ หม่อมฉันให้ฝ่าบาท?
?ฉันไม่ได้บ้า!.... แล้วนี่คืออะไรน่ะ?
ข้างในขวดแก้วใบเล็กที่แม่มดยื่นให้บรรจุของเหลวใสสีแดงอยู่เต็มขวด
?ยาเสน่ห์เพคะ ถ้าเอาไปให้คนที่เราหมายปองดื่ม เขาก็จะหลงรักเราขึ้นมาทันที หม่อมฉันเห็นท่าทางความรักของฝ่าบาทคงเต็มไปด้วยอุปสรรคขวากหนาม เล่นขี้โกงนิดๆ หน่อยๆ แค่นี้ ฝ่าบาทคงรับได้ใช่ไหมเพคะ แต่ว่าหม่อมฉันก็ไม่ทราบเหมือนกันนะว่าสามารถใช้กับเพศเดียวกันได้หรือเปล่า?
?ช่างเป็นยาที่ไร้ซึ่งศีลธรรมจริงๆ?
ท่าทางของเจ้าชายดูกริ้วมาก แล้วจากนั้นพระองค์ก็หันมาจ้องหน้ารูดี้พร้อมกับกระซิบว่า
?หมายความว่าถ้าผู้ชายเอาไปให้ผู้ชายดื่ม ก็ไม่ได้อย่างนั้นหรือ??
?ก็ปกติยานี้เขาเอาให้เพศตรงข้ามดื่มนี่นา คงจะเป็นอย่างนั้นแหละเพคะ?
?........?
แบบนี้ก็หมายความว่า ถ้าอีกฝ่ายเป็นผู้หญิงก็จะใช้ได้ผลสินะ
?....ฉันล่ะเกลียดของแบบนี้ที่สุดเลย?
วีลฟรีทพึมพำด้วยท่าทีโมโห สายตาของพระองค์ยังจดจ้องอยู่ที่ขวดใบเล็กตรงหน้าไม่ขยับ
บทที่ 1 แขกที่ไม่ได้รับเชิญ
มิเรย์รู้สึกหนาวเล็กน้อย เธอจึงห่อไหล่พร้อมกับคว้าผ้าห่มดึงเข้ามาหาตัว
สมกับที่เป็นอากาศในเดือนพฤศจิกายนจริงๆ ตอนเช้าอุณหภูมิจะลดลงต่ำเป็นพิเศษ กรีนฮิลเด้ เมืองหลวงแห่งราชอาณาจักรอัลเทมาริส ตั้งอยู่ทางทิศเหนือของซานเจอร์เวย์เมืองที่มิเรย์เกิดและเติบโตมา ด้วยเหตุนี้เมื่อเปรียบเทียบกันแล้ว ฤดูใบไม้ร่วงของที่นี่จึงผ่านไปเร็วกว่า มิเรย์นึกถึงคำพูดของเหล่านางกำนัลที่บอกว่าอีกไม่นานหิมะคงจะตก ยิ่งคิดก็ยิ่งรู้สึกหนาว เธอจึงหดมือและเท้านอนคุดคู้อยู่ภายในผ้าห่ม
เธอรู้สึกว่าเตียงนอนของเธอกว้างผิดปกติ ถึงจะกลิ้งอย่างไรก็ดูเหมือนยังมีพื้นที่เหลืออยู่อีกมาก ตอนแรกเธอก็รู้สึกสนุกดี จึงลองขยับตัวกลิ้งไปกลิ้งมา แต่พอนึกดูอีกที ตอนนี้เธอก็ไม่ใช่เด็กๆ ที่จะมาเล่นอะไรแบบนี้แล้ว เมื่อคืนเธอเพิ่งจะอายุครบสิบเจ็ดปีบริบูรณ์ กลายเป็นหญิงสาวที่โตเต็มตัว
(ฉันนอนคนเดียวแท้ๆ ทำไมเตียงถึงต้องกว้างขนาดนี้นะ มิน่าล่ะ ถึงได้หนาวแบบนี้....)
มิเรย์รู้สึกไม่พอใจเล็กน้อย เธอขยับตัวพลิกไปอีกฝั่งพร้อมขมวดคิ้ว
ทันใดนั้น มือของเธอก็สัมผัสโดนอะไรบางอย่างที่นุ่มๆ และอบอุ่น
เธอจึงลองเปิดเปลือกตาขึ้นดูด้วยอารมณ์ครึ่งหลับครึ่งตื่น แล้วเธอก็พบใบหน้าที่เหมือนกับตัวเองไม่มีผิดกำลังนอนหายใจหลับสนิทอยู่ตรงหน้า ร่างนั้นใส่ชุดนอนสีฟ้าและสวมหมวกนอนน่ารักเนื้อผ้าแบบเดียวกับชุดนอนที่สวมใส่
?........?
เสี้ยววินาทีแรก มิเรย์คิดว่าตรงนั้นคงมีกระจกวางอยู่ แต่วินาทีต่อมา เธอก็ระลึกได้ว่าไม่น่าจะเป็นไปได้ มิเรย์เบิกตาโพลงและลุกพรวดขึ้นในทันที
?เฟร็ด!? นายมาทำอะไรที่นี่....?
มิเรย์ร้องตะโกน ขณะเดียวกันมืออีกข้างหนึ่งของเธอก็สัมผัสถูกอะไรบางอย่างที่อุ่นๆ อีกแล้ว
เธอหันขวับไปมองด้วยความตกใจ แล้วก็ต้องสะดุงโหยงเมื่อเห็นใครอีกคนหนึ่งกำลังนอนอยู่ตรงนั้น
?อะ....!?
ผู้ที่กำลังนอนหายใจหลับสนิทอยู่อีกฝั่งคือเอดูอัลท์นั่นเอง เขาสวมหมวกนอนแบบเดียวกับลูกชาย ดูอย่างไรก็ไม่เหมือนชายวัยสามสิบกลางๆ เลยสักนิด
การที่สาวน้อยวัยสิบเจ็ดปีอย่างเธอมีพ่อและพี่ชายมานอนขนาบข้างด้วยแบบนี้ ช่างเป็นเรื่องที่เสื่อมเสียเกียรติยิ่งนัก แต่ถ้าจะพูดให้ถูกก็คือ พ่อและพี่ชายแอบเข้ามานอนบนเตียงของเธอต่างหาก
มิเรย์ตัวสั่นเทิ้ม เธอดึงผ้าห่มอย่างสุดแรงจนทั้งสองคนหงายกลิ้งลงไปจากเตียง
?นี่พวกนายทำอะไรเนี่ย!!?
เสียงตะเบ็งร้องด้วยความโกรธดังกึกก้องไปทั่วคฤหาสน์ของท่านดยุคเบลุนฮัลท์ในยามเช้า
***
?ทำอะไรให้รู้จักควรไม่ควรกันบ้างสิ?
แม้เวลาจะล่วงผ่านไปจนถึงยามที่สองพี่น้องมุ่งไปยังห้องอาหารเพื่อรับประทานอาหารเช้าแล้ว แต่มิเรย์ก็ยังรู้สึกโกรธไม่หาย
?พ่อลูกนอนด้วยกันเนี่ยนะ คิดได้อย่างไร!? ทำไมถึงต้องแอบเข้ามานอนบนเตียงของฉันด้วยเนี่ย!?
เฟร็ดซึ่งกำลังเดินอยู่ข้างๆ น้องสาวเจ้าอารมณ์คนนี้ อ้าปากหาวหวอดพร้อมกับตอบ
?แค่นอนด้วยกันไม่เห็นจะเป็นอะไรเลยนี่นา เธอก็ไม่ได้เสียหายอะไรสักหน่อย?
?เสียหายสิ ฉันเป็นผู้หญิงนะ จะทำเรื่องแบบนั้นได้อย่างไร!?
?งั้นก็คิดซะว่านี่เป็นหน้าที่ของลูกก็แล้วกัน หายโกรธได้แล้วน่า ขนาดผมนะ ตอนที่ถูกท่านพ่อรับไปเลี้ยงใหม่ๆ ท่านพ่อบุกเข้ามาในห้องนอนของผมทุกวันเลยนะจะบอกให้?
?นั่นเป็นเรื่องสมัยเด็กไม่ใช่หรือ? แต่ตอนนี้ฉันอายุสิบเจ็ดปีแล้วนะ ต่อให้เป็นคนในครอบครัวก็เถอะ เล่นแอบมุดเข้ามาในเตียงของลูกสาววัยก่อนออกเรือนแบบนี้ มันไม่แปลกไปหน่อยหรือไง!?
เฟร็ดยักไหล่เล็กน้อยก่อนหันไปมองมิเรย์ด้วยสีหน้างัวเงียเช่นเดิม
?ยังจะมีหน้ามาบ่นอีกนะเรา เตียงนั่นก็เป็นเตียงของผมแท้ๆ??
เมื่อได้ยินดังนั้น มิเรย์ก็เปลี่ยนเป็นสีหน้าจริงจังพร้อมยกมือขึ้นมาแตะที่คางทันที
?ฉันกำลังจะถามอยู่พอดีเลย ทำไมฉันถึงไปนอนบนเตียงของนายได้ล่ะ?
เมื่อคืนนี้มีงานปาร์ตี้ฉลองวันเกิดอายุครบสิบเจ็ดปีของมิเรย์และเฟร็ด เธอจำได้ว่าเธอผลัดกันรินเหล้าและร่วมดื่มกับเหล่าอัศวินทีละคนอย่างสนุกสนาน แล้วเธอมานอนที่ห้องของเฟร็ดตั้งแต่เมื่อไรกัน ดูเหมือนว่าเธอจะจำเรื่องราวระหว่างนั้นไม่ได้เลย
?ผมต่างหากที่ต้องถามเธอ พอผมกลับมาถึงห้องตอนใกล้สว่าง ก็เห็นเธอกำลังนอนกรนหลับสบายอยู่บนเตียงของผมแล้ว และท่านพ่อก็กำลังอบรมสั่งสอนริฮาร์ทเป็นการใหญ่อยู่ข้างๆ นั่นแหละ?
?....นี่มันเรื่องอะไรกัน??
มิเรย์ขมวดคิ้วเมื่อได้ฟังเรื่องราวที่คาดไม่ถึงนี้ แต่ดูเหมือนว่าเฟร็ดเองก็ไม่รู้เหมือนกันว่าเป็นมาอย่างไร
?ไม่รู้สิ.... สองคนนั้นคุยกันเสียงดังมาก ผมก็เลยไล่ออกไปข้างนอก แต่หลังจากนั้นดูเหมือนว่าท่านพ่อจะกลับเข้ามา ผมก็ไม่รู้เหมือนกันว่าท่านเข้ามาตอนไหน?
มิเรย์ทำสีหน้าจริงจังมองพี่ชายซึ่งกำลังเล่าเรื่องแบบไม่ใส่ใจสักเท่าไรนัก
?นี่ ก่อนหน้านี้ป๊ะป๋าก็เป็นแบบนี้เหมือนกันหรือ? ฉันรู้สึกว่าป๊ะป๋าดูเปลี่ยนไปนิดหน่อย.... อย่างเมื่อกี้ ตอนที่โดนหม่าม้าตบหน้าคว่ำน่ะ ดูท่าทางป๊ะป๋ามีความสุขมากเลย?
เมื่อแม่ของมิเรย์ได้ยินเสียงของลูกสาวร้องดังลั่น เธอก็รีบวิ่งมาหาทันที เธอจับหูของผู้เป็นพ่อลากออกไปจากห้อง ดูเหมือนว่าหูของพ่อจะโดนบิดโดนคั้นอยู่ไม่น้อย มิเรย์แอบมองดูว่าพ่อจะโดนอะไรบ้าง แต่พอเห็นแก้มของพ่อแดงระเรื่อเมื่อโดนแม่จับคอปกเสื้อยกขึ้น เธอก็รีบหันหลังกลับไม่กล้าดูต่อ
?อย่าไปคิดมากเลย ลักษณะแบบนี้สืบทอดมาทางสายเลือดน่ะ.... พูดง่ายๆ ก็คือ ท่านพ่อชอบโดนหญิงที่แข็งแกร่งรังแก ชายชาตรีสายเลือดกษัตริย์ก็อย่างนี้แหละ?
?บะ.... แบบนี้นี่เอง?
มิเรย์รู้สึกแปลกๆ เมื่อได้ยินเรื่องราวที่คาดไม่ถึงเช่นนั้น และทันใดนั้น เฟร็ดก็หยุดเดินอย่างกะทันหัน มิเรย์จึงเงยหน้าขึ้นมองเขา
ทั้งสองคนหยุดอยู่ที่หน้าห้องห้องหนึ่งพอดี ประตูห้องเปิดแง้มอยู่เล็กน้อย และเมื่อมิเรย์มองลอดผ่านช่องว่างประตูเข้าไป เธอก็เห็นแผ่นหลังของคนคนหนึ่งกำลังนั่งเท้าที่วางแขนพร้อมกับก้มหน้าอยู่บนเก้าอี้ และคนคนนั้นก็คือริฮาร์ทนั่นเอง
?นี่ เรามาลองทดสอบกันหน่อยไหม?
เฟร็ดซึ่งกำลังมองลอดช่องว่างของประตูอยู่เหมือนกันกล่าวกระซิบกระซาบ พร้อมกับเขยิบหน้าเข้ามาใกล้มิเรย์
?เราแอบย่องเข้าไปทางข้างหลังของเขาแล้วก็เอามือปิดตา เพื่อทดสอบว่าเขาสามารถแยกเสียงของผมกับเสียงของเธอออกหรือเปล่า?
เมื่อได้ฟังแผนการเล่นซุกซนเหมือนเด็กๆ นี้ มิเรย์ก็หันไปมองพี่ชายด้วยสีหน้าเบื่อหน่าย
?เรื่องแค่นี้เขาก็ต้องแยกออกอยู่แล้วแหละ เสียงของนายกับเสียงของฉันสูงไม่เท่ากันเสียหน่อย ริฮาร์ทอยู่กับนายบ่อยขนาดนั้น เขาไม่มีทางสับสนอยู่แล้ว และอีกอย่าง เขากำลังหลับอยู่ไม่ใช่หรือ? เข้าไปกวนแบบนี้คงไม่ดีหรอกมั้ง?
?ถ้าไม่ลองก็ไม่รู้หรอก เอาเป็นว่าเริ่มจากผมก่อนก็แล้วกันนะ?
เฟร็ดไม่ฟังคำทัดทานของน้องสาว เขาย่องเข้าไปในห้องโดยระวังไม่ให้มีเสียงฝีเท้า และเมื่อเขาเดินมาถึงข้างหลังของเป้าหมาย เขาก็รีบยกมือทั้งสองขึ้นปิดตาริฮาร์ททันที
?ทายสิ ใครเอ่ย??
เฟร็ดถามด้วยเสียงที่สูงกว่าปกติ ริฮาร์ทสะดุ้งเล็กน้อยเมื่อโดนแกล้งแบบไม่ทันตั้งตัว แต่เขาก็ตอบกลับมาด้วยน้ำเสียงฟังสบายๆ
?เฟร็ด?
?ถูกต้อง?
เฟร็ดปล่อยมือพร้อมกับหัวเราะ ริฮาร์ทหันหลังมามองและยิ้มให้เขาเล็กน้อย
?อะไรกัน วิธีเล่นแบบใหม่หรือ?
?เปล่า พอดีผมเดินผ่านมาเจอก็เลยอยากทักทายนิดหน่อยเท่านั้นเอง แต่นายตอบได้ทันทีเลยนะว่าเป็นเสียงของผม?
?ฉันก็ต้องรู้อยู่แล้ว?
ริฮาร์ทกล่าวพร้อมหัวเราะราวกับจะบอกว่ามันก็ต้องแน่นอนอยู่แล้วแหละ มิเรย์จ้องเขม็งมองดูท่าทีของทั้งสองคน
(จะว่าไปแล้ว สองคนนี้เขาเป็นเพื่อนซี้กันจริงๆ ด้วยเนอะ)
แค่ดูหน้าริฮาร์ทก็รู้แล้วว่าเขาไว้เนื้อเชื่อใจเฟร็ดมากขนาดไหน ส่วนเฟร็ดเอง ไม่ว่าจะยามที่ทั้งสองคนนั้นคุยความลับ หรือหัวเราะกระซิบกระซาบกัน สีหน้าของเขาก็ดูแตกต่างจากที่แสดงให้มิเรย์เห็น
(สองคนนี้มีตรงไหนที่ดูจะเข้ากันได้บ้างเนี่ย จนถึงตอนนี้ฉันก็ยังไม่เข้าใจเลยจริงๆ.... แต่ที่ว่าสนิทสนมกันเป็นอย่างดี คงไม่ผิดแน่)
เฟร็ดเดินกลับมาหามิเรย์ด้วยท่าทีสบายใจ หลังสำเร็จภารกิจทดสอบมิตรภาพของทั้งสองแล้ว เขายกนิ้วขึ้นแตะริมฝีปากพร้อมกับมองมิเรย์ด้วยสายตาแกมบังคับ เธอจึงจำใจเดินย่องเข้าไปในห้องด้วยเช่นเดียวกัน
เมื่อมิเรย์เดินมาถึงข้างหลังของริฮาร์ท เธอแอบสูดหายใจเข้าลึกๆ และยกมือทั้งสองขึ้นปิดตาเขาทันที
?ทายสิ ใครเอ่ย?
?........?
ริฮาร์ทไม่มีปฏิกิริยาตอบกลับใดๆ เขายังคงก้มหน้าอยู่เหมือนเดิม มิเรย์ซึ่งกำลังรอลุ้นคำตอบด้วยความตื่นเต้น เมื่อเห็นเขาไม่ขยับตัวแม้แต่น้อยก็รู้สึกประหลาดใจเป็นอย่างมาก เธอชะเง้อหน้ามองเขา
(หรือว่าหลับไปเสียแล้ว?)
แต่เมื่อกี้ยังพูดกับเฟร็ดอยู่ดีๆ เลยนี่นา แต่เขาอาจจะเป็นคนที่หลับง่ายมากๆ ก็เป็นได้
มิเรย์ยังคงวางมือไว้ที่เดิม และระหว่างที่เธอกำลังลังเลอยู่ว่าจะทำอย่างไรต่อไปดี ริฮาร์ทก็ค่อยๆ เปล่งเสียงออกมา
?....ใครกัน ผมไม่รู้เลยจริงๆ ครับ?
คำตอบของเขาทำให้มิเรย์ทำตาโตด้วยความแปลกใจ
?เอ๋.... ไม่รู้จริงๆ หรือ??
?ครับ นึกไม่ออกเลย?
แก๊ง เสียงระฆังในศีรษะของเธอดังขึ้น มิเรย์ก้มลงมองริฮาร์ทด้วยท่าทีเหม่อลอย
มิเรย์คิดว่าเธอกับริฮาร์ทก็สนิทสนมกันมากในระดับหนึ่ง ถึงจะไม่สนิทเท่ากับเฟร็ดก็เถอะ แต่นี่แค่เสียงก็ยังจำกันไม่ได้เลยหรือ
(แบบนี้นี่เอง.... ฉันคงไม่ได้เป็นคนสำคัญของริฮาร์ทสินะ ฉันเข้าใจผิดคิดไปเองว่าเราสองคนสนิทสนมกัน แบบนี้นี่เอง เข้าใจแล้ว....ฮ่าๆๆ....)
มิเรย์แอบเสียใจอยู่ในใจ และในขณะที่เธอกำลังตั้งท่าจะหันกลับนั้นเอง ริฮาร์ทก็ยกมือขึ้นมาจับมือของมิเรย์ซึ่งกำลังปิดตาของเขาอยู่
?ผมไม่รู้จริงๆ ว่าคุณคือใคร เพราะฉะนั้นขอดูหน้าหน่อยได้ไหมครับ?
เมื่อพูดจบ เขาก็ดึงมือของเธออ้อมผ่านหลังเก้าอี้มาด้านหน้า มิเรย์เดินโซเซตามแรงดึงของริฮาร์ทมาหยุดอยู่ตรงหน้าเขาพอดี
ขาของมิเรย์พันกันยุ่งเหยิงจนอ่อนแรง ริฮาร์ทคว้าตัวเธอเข้ามากอดไว้ จากนั้นเขาก็เผยรอยยิ้มที่แสนจะคุ้นเคย
?อ้าว มิเรย์หรอกหรือครับ อรุณสวัสดิ์?
?อะ อรุณสวัสดิ์.... ทำไมถึงต้องแกล้งทำเป็นไม่รู้ด้วยล่ะ!??
เขาทักทายเธอด้วยน้ำเสียงร่าเริง แถมสีหน้าก็ดูออกอย่างชัดเจนว่าเขารู้แต่แรกแล้วว่าเป็นเธอ พอมิเรย์รู้ว่าตัวเองถูกหลอก เธอก็จ้องเขากลับด้วยท่าทีฉุนเฉียว ริฮาร์ทหัวเราะพร้อมเงยหน้าขึ้นมองเธอ
?ขอโทษครับ ผมแค่อยากเปลี่ยนวิธีทักทายคุณตอนเช้าเสียหน่อยก็เท่านั้นเอง?
?ไม่เห็นจะต้องเปลี่ยนเลย ทำให้ฉันเข้าใจผิดนึกเสียใจอยู่ฝ่ายเดียวอย่างกับคนบ้า.... แล้วทำไมฉันถึงมานั่งอยู่ตรงนี้ได้เนี่ย!!?
มิเรย์ตะโกนออกมา เมื่อเพิ่งสังเกตเห็นว่าตัวเองกำลังนั่งอยู่ตรงไหน
เธอรู้สึกว่าสายตาของตัวเองอยู่สูงกว่าของริฮาร์ทซึ่งต่างจากปกติ และเมื่อมองดูให้ดีก็พบว่าตัวเองกำลังนั่งตะแคงข้างอยู่บนตักของริฮาร์ท ตอนที่ถูกลากมา แรงดึงของเขาทำให้เธอล้มก้นกระแทกกับอะไรบางอย่าง แต่ดูเหมือนว่าเธอจะล้มลงบนที่ที่ไม่สมควรอย่างยิ่ง
?ก็ไม่มีที่อื่นให้คุณนั่งแล้วนี่ครับ?
?แล้วทำไมถึงต้องเป็นบนตักของคุณด้วยล่ะ!??
?ช่วยไม่ได้จริงๆ ครับ เก้าอี้มีแค่ตัวนี้ตัวเดียวเท่านั้น?
ริฮาร์ทกล่าวด้วยรอยยิ้มราวกับเป็นเรื่องปกติ แต่ปัญหามันไม่ได้อยู่ตรงนั้นสักหน่อย
?ฉะ ฉันยืนก็ได้ ไม่เป็นไรหรอก....?
มิเรย์ตั้งท่าจะยืน แต่ตัวกลับโคลงเคลงไร้เรี่ยวแรง ริฮาร์ทจึงค่อยๆ ดึงแขนเธอกลับมาอย่างอ่อนโยน
?ดูเหมือนว่าขาของคุณจะล้าเสียแล้วนะครับ?
?ถ้างั้นฉันนั่งบนพื้นก็ได้?
?ที่พื้นเย็นมากครับ ไม่ได้หรอก?
?ไม่ต้องห่วง ฉันชอบที่เย็นๆ อยู่แล้ว?
มิเรย์ปฏิเสธคำแนะนำของเขาทุกอย่างและตั้งท่าจะยืนขึ้นให้ได้ ริฮาร์ทจึงคว้าแขนของเธอเอาไว้อีกครั้ง
?ไม่ได้นะครับ?
?อะไรกัน.... ตั้งแต่เมื่อกี้แล้วนะ โน่นก็ไม่ได้นี่ก็ไม่ได้ ทำไมถึงจะไม่ได้ล่ะ?
?ทำไมน่ะหรือครับ....?
ริฮาร์ทยังคงยิ้มอยู่ เขาคว้ามือของมิเรย์มาจับไว้โดยไม่แสดงอาการเขิน
?ก็เพราะว่าผมอยากมองหน้าคุณใกล้ๆ ไปด้วย คุยกับคุณไปด้วยน่ะสิครับ?
?....ไม่ ดะ เดี๋ยวก่อนสิ?
นี่เล่นแสดงกิริยาวาจาใสซื่อตั้งแต่เช้าตรู่กันเลยทีเดียว แถมยังมากกว่าปกติอีกต่างหาก จะดูหน้าไปคุยไปก็ได้ เธอไม่ได้ถือสาอะไรหรอก แต่แบบนี้มันไม่ใกล้เกินไปหน่อยหรือ อ้อมแขนของริฮาร์ทกักขังมิเรย์เอาไว้ ถึงเธออยากจะหนี แต่ก็หนีไปไหนไม่ได้ และเธอก็ไม่สามารถหยุดแก้มไม่ให้หายร้อนผ่าวได้เลย
มิเรย์ทำท่าลุกลี้ลุกลนพยายามผลักตัวให้ออกห่างจากตัวริฮาร์ท และเมื่อเธอมองไปที่ประตูทางเข้า ก็เห็นเฟร็ดทำท่าโบกมือไปมาก่อนจะปิดประตูลง ดูเหมือนว่าเขาจะแสร้งทำเป็นไม่รู้ไม่เห็นอะไรทั้งนั้น
?คุณรังเกียจผมขนาดนั้นเลยหรือครับ??
ริฮาร์ทถามพร้อมรอยยิ้มเฝื่อนๆ ทำให้มิเรย์อึ้งจนถึงกับพูดไม่ออก
ถ้าถามว่ารังเกียจหรือเปล่า คำตอบก็คือไม่ใช่ ความรู้สึกของเธอในตอนนี้คือไม่สามารถทนอยู่ใกล้เขามากขนาดนี้ได้ แต่ถ้าเธอตอบออกไปแบบนั้นคงถูกเขาหัวเราะเยาะแน่ เธอจึงปิดปากเงียบไม่กล้าเอ่ยปากตอบ
?....แล้วคุณไม่หนักหรือ?
?ไม่เลยครับ?
?....ถ้างั้นก็แล้วไป?
มิเรย์พึมพำพร้อมแก้มที่แดงก่ำ ทำไมเธอต้องมาเจอเรื่องที่ทำให้หัวใจทำงานหนักตั้งแต่ก่อนเวลาทานอาหารเช้าแบบนี้ด้วยนะ เท่านั้นยังไม่พอ ดูเหมือนว่าจะมีเพียงเธอคนเดียวเท่านั้นที่กำลังร้อนรนอยู่ เธอไม่เข้าใจจริงๆ ว่าทำไมอีกฝ่ายถึงยังทำหน้าเรียบเฉยอยู่ได้
+++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++
จากที่เคยปลอมตัวเป็นพี่ชายเพื่อปฏิบัติภารกิจลับ คราวนี้มิเรย์ต้องเปลี่ยนบทบาทมาจัดตั้งคณะละครหญิงเสียอย่างนั้น ?ยาเสน่ห์? ที่วีลฟรีทได้มาจะสามารถช่วยแก้อาการป่วยทางใจของพระองค์ได้หรือไม่! ในขณะเดียวกันริฮาร์ทเองก็เริ่มเอาจริงกับความรักมากขึ้นแล้วด้วย....!? มิเรย์จะสามารถช่วยเพื่อนของเธอให้สมหวังในความรักผ่านการแสดงครั้งหนึ่งในชีวิต (แน่นอนว่าในร่างผู้ชาย) ได้หรือเปล่า....!?
การแสดงที่เดิมพันด้วยแผนการพาหนีของ ?ท่านเคานท์กำมะลอ? ได้เริ่มต้นขึ้นแล้ว!?
เชิญพบกับเรื่องราวแฟนตาซีแบบฉบับเจ้าชายเจ้าหญิงที่เพิ่มดัชนีความวุ่นวายของความรักที่กำลังจะเบ่งบาน ในเล่ม 4 ได้เลย!
