New Release : เจ้าบ่าวอสูร

อัพเดทข่าวบงกชบุ๊คส์ ความเคลื่อนไหว และกิจกรรมพิเศษ ตลอดจนร่วมสนุกชิงรางวัลพร้อมของรางวัลมากมาย

Moderator: P'Bly, Gals, พี่บี

ตอบกลับโพส
Gals
โพสต์: 1101
ลงทะเบียนเมื่อ: ศุกร์ 13 ก.พ. 2009 3:47 pm

New Release : เจ้าบ่าวอสูร

โพสต์ โดย Gals »

บทนำ
ในคฤหาสน์แห่งนั้นมีเด็กชายสองคนวิ่งตามกันอยู่...คนหนึ่งหน้าตาน่ารักน่าเอ็นดูมองแล้วรู้เลยว่าเมื่อโตขึ้นต้องเป็นหนุ่มรูปงามแน่นอน
ส่วนอีกคนหนึ่ง ใครเห็นแล้วต้องอึ้ง เมื่อดวงหน้านั้นดุดัน...ขี้ริ้ว...ไม่ความน่าดูแม้แต่น้อย...ไม่ว่า คิ้ว ตา จมูก หรือปาก...
มองเผินๆ แล้ว หน้าของเด็กขายคนนั้นมองดูเหมือนยักษ์ มากกว่าคน
แต่ทั้งคู่ก็เป็นพี่น้องกัน...คนน่ารักนั้นเกิดก่อน...ส่วนคนหน้ายักษ์นั้นเกิดทีหลัง
ถ้าคนเลี้ยงดู และคนรอบข้างมีจิตวิทยาอันสูงส่ง เด็กทั้งสองคนก็คงจะอยู่กันได้อย่างเป็นสุข...แต่เมื่อคนเลี้ยงดู และคนรอบข้างเป็นแค่บุคคลธรรมดา...ไม่สามารถควบคุมต้องเองให้ใช้จิตวิทยากับเด็กได้อย่างถูกต้อง...ทันเวลา...มันก็พัง...
เด็กชายขัตติยะนั้นกลายเป็นเด็กอารมณ์ดี...ใจดี...มีความเผื่อแผ่แก่ทุกคนรอบตัวในเวลาต่อมา...
แต่เด็กชายมานะเขตกลายเป็นเด็กขึ้นโมโห...พร้อมจะหาเรื่องกับคนทุกคนที่มีปฏิกิริยากับเขา
ข้อสำคัญ...ยิ่งโตขึ้นเท่าไหร่..มานะเขตก็ยิ่งไม่ชอบพี่ชายของตนเองมากขึ้นเรื่อยๆ จนสามารถจะตีกันได้ตลอดเวลา...
ความโกรธและเกลียดของมานะเขตมีมากขึ้นเรื่อยๆ จนสามารถจะทำอะไรที่บิดามารดาและคนใกล้ชิดไม่คิดว่าเขาจะทำได้ ในวันหนึ่งเมื่อออกไปเล่นน้ำในลำคลองหลังบ้านด้วยกัน...
ทั้งคู่ว่ายน้ำแข่งกันท่ามกลางกอลเชียร์ของคนในบ้านหลายต่อหลายคน...
มานะเขตเป็นผู้แพ้ ซึ่งตัวเล็กกว่า...ผอมบางกว่า
เขาขึ้นไปยืนอยู่อีกฝั่งตรงข้ามกับเรือนแพที่มีแต่หลังคา...และฝาเพียงด้านเดียวในเวลานั้น และยืนมองพี่ชายว่ายหน้ำอยู่ตามลำพัง...
กองเชียร์หายไปหมดเมื่อถึงเวลาอาหารกลางวัน...ทุกคนต้องกลับไปดูแลผู้เป็นเจ้านายและตัวเอง...
มานะเขตว่ายน้ำข้ามมาที่เรือนใหม่...และมองเห็นเชือกขดหนึ่งทิ้งอยู่ในซอกของเรือนแพนั้น...เขาดึงมันขึ้นมาแล้วมองไปยังร่างของพี่ชายที่ยังคงว่ายน้ำอยู่...
วันนี้เขาจะทำให้ทุกคนรู้เสียทีว่าใครจะอยู่...ใครจะไป...ระหว่างพี่น้องสองคนที่แตกต่างกันราวกับฟ้าและดิน...
ใครจะอยู่...ระหว่างไอ้หน้าเทวดาหรือหน้ายักษ์...
มานะเขตคิดอย่างคั่งแค้น เมื่อถูกกระทบกระแทกจิตใจมาตลอดเวลาที่เติบโตขึ้นมา...
เขาไม่เคยคิดเลยว่าตัวเองจะเกลียดพี่ชายผู้น่ารักในสายตาคนอื่นได้เพียงนี้
เด็กชายมองดูพี่ชายก่อนจะถือเชือกโดดลงไปในน้ำตามพี่ชายไปเรื่อยๆ...จนกระทั่งอีกฝ่ายหยุดนิ่ง...ลอยคอหันหลังให้
น้องชายจึงลากเชือกเข้าไปคล้องคอพี่ชายเอาไว้ แล้วกระชากไปขันเชนาะเอาไว้แน่นจนอีกฝ่ายดึงเท่าไหร่ก็ดึงไม่ออก...
เวลานั้นพี่ชายลอยละล่องตามแรงลากของน้องชายไปตามกระแสน้ำที่ไหลเชี่ยวในลำคลองนั้น...
เวลานั้นบนคฤหาสน์ใหญ่เตรียมอาหารเรียบร้อย...นายเหมซึ่งเพิ่งรับมรดกหน้าที่พ่อบ้านต่อจากบิดาซึ่งแก่ตัวลงแล้วก็วิ่งไปเรียนเชิญท่านเจ้าของบ้านลงมารับประทานอาหาร...
ส่วนคนใช้หนุ่มคนหนึ่งก็ถูกใช้ให้ไปตามลูกชายทั้งสองของเจ้าของคฤหาสน์ที่เล่นน้ำอยู่ที่เรือนแพ...ให้กลับขึ้นมาทานข้าว...
คนรับใช้หนุ่มคนนั้นวิ่งมาถึงเรือนแพ...แต่มองหาลูกชายเจ้านายทั้งคู่ไม่เห็นจนต้องวิ่งเลียบริมคลองซึ่งเวลานั้นสามารถวิ่งได้ตลอด ไม่มีการสร้างรั้วหรือสร้างอาณาเขตของใครของมันอย่างทุกวันนี้...
คนรับใช้ผู้นั้นวิ่งไปไกลจนเห็นร่างร่างหนึ่งลอยอยู่ใต้ร่มไม้ในคลอง จึงวิ่งลงไปหาอย่างรวดเร็ว...
ภาพที่เห็นทำให้คนรับใช้คนนั้นถึงกับเข่าอ่อน...ทรุดร่างลงไปมองดูร่างที่ลอยปริ่มๆ น้ำอยู่นั้นอย่างไม่แน่ใจว่าเป็นหรือตาย...ก่อนจะรีบปลดเชือกจากลำคอแล้วแบกกลับมายังคฤหาสน์หลังนั้นในเวลาต่อมา
***
แม้จะไม่มีผู้ใดมาชี้หน้าด่าว่าเขาเอาตรงๆ ว่าคุณนะฆ่าพี่ชาย...แต่สายตาของทุกคนที่มองมายังมานะเขตก็เหมือนจะตราหน้าเด็กหนุ่มได้ดีเสียยิ่งกว่าคำพูด
คนที่มีหน้าที่ดูแลเขาถูกเปลี่ยนทันที...เมื่อรู้ตัวว่าไม่สามารถสอนให้ลูกชายเจ้านายเป็นคนดีได้...กลายเป็นสาวใช้รุ่นพี่มาแทนแม่เฒ่าที่เคยงาน...
ทุกสิ่งทุกอย่างมาลงกับสาวใช้รุ่นพี่นั้นทั้งหมด จนหล่อนสบถออกมาด้วยความโกรธในวันหนึ่งว่า...
?อะไรๆ ก็มาลงกับกูหมด...แล้วกูจะรู้ไหมว่าไอ้หน้ายักษ์นี่มันใจร้าย...ใครๆ ก็อยากจะอยู่กับคนใจดีทั้งนั้น...แต่กูต้องมาอยู่กับคนใจร้าย...?
สาวใช้รุ่นพี่รำพึงรำพันออกมาด้วยความกลัดกลุ้ม ไม่พอใจ โดยไม่รู้เลยว่าคนที่ตัวเองต้องดูแลนั้นยืนยู่ใกล้แค่ฝากระดานกั้นในเรือนแพแห่งนั้น...
หล่อนยืนพูดอยู่อีกด้าน...แต่มานะเขตอยู่อีกด้านแค่นั้น...
เขายืนฟังอยู่โดยไม่กระโตกกระตากอะไรเลย...ก่อนจะทอดตามองไปยังเชือกเส้นใหม่ที่ใครไม่รู้เอามาทิ้งไว้ที่เดิม...
คืนนั้น...เมื่อสาวใช้รุ่นพี่ลงอาบน้ำในคลอง...หล่อนก็ถูกเชือกคล้องรัดคออย่างพี่ชายเขาไม่มีผิด...แล้วลากไปผูกเอาไว้สุดชายคลองอย่างที่เคยทำ...
***
มารดาของมานะเขตเศร้าโศกจนล้มป่วยไปเพราะการตายของลูกชายสุดที่รัก ส่วนบิดาของเขา...การตายของสาวใช้แบบเดียวกับลูกชายคนโตเหมือนจะย้ำให้รู้ว่าใครทำกับคนทั้งคู่โดยไม่ต้องมีใครพูด...
บิดาของเขาป่วยตามมารดา และตายตามกันไปในปีนั้นเอง...รวมสามศพ...ทั้งพ่อแม่และพี่ชาย...ไม่นับสาวใช้รุ่นพี่คนนั้น...
ทุกคนมองมานะเขตอย่างหวาดกลัว...โดยไม่มีใครกล้าเข้าใกล้เขาอีก...
คนรับใช้ลาออกไปทีละคนจนเหลือนายเหมเพียงคนเดียวหลังจากนั้น...
การไม่เหลือใครอีกทำให้บ้านทั้งบ้านที่เคยมีเสียงพูดคุย เสียงหัวเราะ เสียงเฮฮาหายไปหมด...เหลือเพียงความเงียบเข้ามาครอบคลุมไปทั้งคฤหาสน์อันใหญ่โตนั้น
แล้วเพื่อนของบิดาซึ่งกำลังจะไปรับราชการต่างประเทศก็ยื่นมือเข้ามาช่วย
?ไปเรียนต่อเมืองนอกกันเถอะนะ...ลุงกำลังจะไปทำงานที่นั่น...ไปให้มันลืมเรื่องเศร้าที่นี่...?
เพื่อนของบิดาพูดอย่างคนที่ไม่รู้อะไรลึกซึ้งของครอบครัวเขา...แต่ก็ทำให้มานะเขตยอมตกลงจะตามไปด้วย ด้วยทุนส่วนตัวของบิดามารดาของเขานั่นเอง...
ส่วนธุรกิจของบิดาก็มีทนายความเป็นผู้ดูแลร่วมกับหุ้นส่วนอีกสองสามคนที่ไม่มีใครคิดจะโกงเขาเลยสักคน...
คนเหล่านั้นช่วยกันดูแลจนมานะเขตจนเรียนจบกลับมาดูแลธุรกิจที่ตกทอดมาเป็นของเขาแต่เพียงผู้เดียว...
***
คืนหนึ่ง...ขณะที่มานะเขตหลับสบายอยู่นั้น...ผ้าห่มก็ถูกกระชากไปจากร่างของเขา...จนรู้สึกหนาวสั่นจากแอร์ที่เปิดอยู่...
ชายหนุ่มลืมตาขึ้นหมายจะเอื้อมมือไปดึงผ้าห่มมาห่ม...แต่กลับเห็นร่างที่มายืนจังก้าอยู่หน้าเตียงด้วยใบหน้าที่มีแต่กระดูก...แต่เสื้อผ้าชุดนั้นมานะเขตไม่เคยลืมเลยว่าพี่ชายของเขาสวมมันในวันที่เขาตาย...
มือที่เอื้อมไปยังผ้าห่มสั่นระริก...ขณะที่ผ้าห่มถูกกระชากทิ้งไปอีกครั้ง...
?พี่ชาย...!??
มานะเขตอุทานเสียงเบาด้วยริมฝีปากสั่นระริก และดวงตาที่เบิกโพลงอย่างตกใจสุดขีด...
?นายจำฉันได้รึ...แล้วจำได้ไหมว่าทำอะไรกับฉัน...?
?ฉัน...ฉันไม่ได้ตั้งใจ...ฉันเพียงแต่อยากแกล้ง?
มานะเขตได้แต่ตอบเสียงสั่น
?แต่ฉันตาย...นายจะว่ายังไง...?
ขัตติยะกระทืบเท้าจนน้องชายรู้สึกว่าคฤหาสน์นั้นสะเทือน...
?ฉัน...ฉันขอโทษ...?
?ขอโทษไม่หาย...ขอโทษไม่หาย...เข้าใจไหม...นายจะต้องชดใช้..นายจะต้องชดใช้...?
เสียงของพี่ชายตะโกนลั่นๆ กรอกอยู่กับหูจนมานะเขตลืมตาตื่นในเวลาต่อมา...เหงื่อแตกซิกไปทั้งตัว...
***
เช้าวันรุ่งขึ้น...นายเหมถูกเรียกไปพบคุณผู้ชายของเขาที่เรือนแพริมน้ำแห่งนั้น
?หาช่างมาสร้างเรือนแพให้สมบูรณ์...ให้เป็นเรือนสวยๆ เลยนะ...มันจะเรียกเท่าไหร่ก็บอกมา...?
?ครับผม...?
นายเหมรับคำแล้วทำตามคำสั่งโดยทันที...
สามเดือนต่อมาเรือนแพซึ่งสร้างด้วยไม้สัก และกระจกสลักลายสวยงามก็เสร็จเรียบร้อย...
?ฉันอยากจะยกเรือนแพนี้ให้พี่ชายที่ตายจะทำยังไงนายเหม...?
?ก็ทำพิธีบวงสรวง จัดข้าวปลาอาหาร แล้วก็กล่าวยกให้สิครับ...?
นายเหมแนะนำ
?งั้นจัดการทำพิธี...ฉันจะยกให้เขา...?
?ครับผม...?
นายเหมรับคำสั่งจากเจ้านายและดำเนินการทันที
***
แต่ถึงกระนั้นก็ไม่เป็นที่พอใจของพี่ชายอยู่ดี...คราวนี้มานะเขตโดนลากจากเตียงลงมากลิ้งอยู่บนพื้นเลยทีเดียว พอเงยหน้าขึ้นมาเห็นพี่ชาย...ชายหนุ่มก็ถอยหนีด้วยความแตกตื่นและตกใจ...
?พี่จะเอาอะไรอีก...จะเอาอะไร...สร้างเรือนแพให้แล้วไง...?
?ไม่ต้องการ...ฉันต้องการชีวิตฉันคืนมา...เอาชีวิตฉันคืนมา...?
เสียงของขัตติยะตะโกนลั่นห้อง พร้อมกับใบหน้าอันหล่อเหลาคมคายก็เปลี่ยนเป็นหน้าผีที่ยื่นเข้ามาเข่นเขี้ยวใส่น้องชายที่ฆ่าเขา
มานะเขตก้มหน้าลงหลบตาพี่ชาย ตัวสั่นระริกไปด้วยความหวาดกลัว พูดอะไรไม่ออกตอบอะไรไม่ถูก...จนผลสุดท้ายหมดสติไปด้วยความกลัวตรงนั้นเอง

1
วันนั้นเป็นวันแต่งงานของปีย์มนัสกับเจ้าบ่าวของหล่อนที่เดินทางมาจากกรุงเทพฯ
?เจ้าบ่าวมาแล้ว...เจ้าบ่าวมาแล้ว...?
เสียงตะโกนของเด็กๆ ที่มาร่วมงานกับผู้ปกครองหลายต่อหลายคนดังขึ้นไปถึงห้องแต่งตัวของเจ้าสาวชั้นบน...ทำให้เพื่อนเจ้าสาวซึ่งจบมาจากวิทยาลัยเดียวกันวิ่งมาโผล่หน้าต่างมาดูกันเป็นแถว
ปีย์มนัสเดินมาดูอยู่หลังเพื่อนด้วยสีหน้าท่าทางเนือยๆ ของหล่อน...ซึ่งจะว่าไปแล้วไม่ได้กระตือรือร้นกับการแต่งงานครั้งนี้เลยแม้แต่น้อย...
แต่หล่อนปฏิเสธบิดามารดา...และการตกลงสู่ขอกันหลังจากที่ปีย์มนัสได้รับการสวมมงกุฎนางสงกรานต์ประจำตำบลได้เพียงวันเดียวไม่ได้
หล่อนงามถูกตาถูกใจคุณมานะเขต ฉมาบดี ผู้อำนวยการบริษัทอะไหล่คอมพิวเตอร์ขนาดใหญ่ซึ่งมาเป็นประธานในงานประกวดคืนนั้น...
วันต่อมาเขาและใครต่อใครที่เป็นผู้ใหญ่ระดับอำเภอและจังหวัดก็มาสู่ขอปีย์มนัสให้แต่งงานกับเขาด้วยการเสนอสินสอดทองหมั้นให้นับสิบล้านบาทเลยทีเดียว...
มันไม่ใช่เรื่องเล็กๆ สำหรับคนที่ใหญ่โตระดับเขามาสู่ขอนางสงกรานต์ซึ่งเพิ่งจบวิทยาลัยมาหมาดๆ...พร้อมกับสินสอดทองหมั้นที่มากมายขนาดนั้น
พ่อแม่ของหล่อนตอบตกลงโดยไม่ถามหญิงสาวแม้แต่คำเดียว...ทำเอาหล่อนพูดไม่ออกมาจนถึงวันนี้...และอาจจะพูดไม่ออกไปตลอดชีวิตเลยก็ได้...
หญิงสาวทุกคนที่วิ่งมาอออยู่ที่หน้าต่าง...ต่างพากันทอดสายตาลงไปดูรถเก๋งคันหรูที่วิ่งตามกันเข้ามาในเขตบ้านประมาณสิบคัน...โดยมีรถของเจ้าบ่าวผูกโบสีชมพูนำหน้ามาแต่ไกล...
เพื่อนเจ้าสาวพากันยิ้มอย่างยินดี...และมองดูเจ้าบ่าวในสูทสีครีมที่ก้าวลงมาจากรถ...ตรงมายังเรือนไม้สองชั้นขนาดกลางอันเป็นบ้านของเจ้าสาว และเป็นที่จัดพิธีแต่งงานในครั้งนี้
แต่พอทุกคนมองเห็นใบหน้าของเจ้าบ่าวถนัด...รอยยิ้มนั้นก็เริ่มจางหาย และมีความรู้สึกหวาดหวั่นแทนเจ้าสาวขึ้นมาเงียบๆ...หลังจากนั้นเพื่อนทุกคนก็หันไปมองเจ้าสาวกันเป็นแถว...
ทุกคนต่างเปิดทางให้ปีย์มนัสก้าวเข้าไปใกล้หน้าต่าง ไปดูเจ้าบ่าวของหล่อนที่กำลังเดินตรงเข้ามาและเงยหน้ามองเจ้าสาวของเขาบนหน้าต่างชั้นบนได้เต็มตา...
ขณะนั้นปีย์มนัสกะพริบตาปริบๆ เมื่อมองเห็นผู้ชายร่างสูงกับดวงหน้าอันมึนตึง...ไม่มีเค้าของความน่าดูสักนิดเดียว นอกจากความดุดันอันน่าสะพรึงกลัว
?นั่นมันคนหรือยักษ์กันแน่...?
เพื่อนเจ้าสาวคนหนึ่งแอบรำพึงออกมาให้ทุกคนได้ยิน แล้วก็ยกมือขึ้นปิดปากเอาไว้แทบไม่ทัน
?ทำไมหน้าตาถึงได้ดุดันแบบนี้ ถ้าใส่เขี้ยวเข้าไปอีกอย่าง ก็เป็นยักษ์ได้เลยนะนี่...!??
?โอย...ตายแล้ว...?
คนสุดท้ายอุทานแล้วหันมามองปีย์มนัสอย่างเห็นอกเห็นใจแถมสงสารโดยทั่วกัน...
?ปีย์...ปีย์เอ๊ย...ลงมาได้แล้วลูก ขบวนเจ้าบ่าวมาถึงแล้ว...?
เสียงของมารดาที่ดังมาจากชั้นล่างทำให้ทุกคนต้องหันมามองหน้ากันเลิ่กลั่กอย่างไม่รู้จะทำอย่างไรดีต่อไป...
ถ้าเจ้าบ่าวมีดวงหน้าพอดูได้บ้างก็คงจะไม่เป็นปัญหา...แต่ในเมื่อปรากฏตัวออกมาแล้วหน้าราวกับยักษ์แบบนี้...ผู้เป็นเจ้าสาวก็ต้องตกตะลึงพรึงเพริดเป็นธรรมดา
เพราะหล่อนไม่เคยเห็น...ไม่เคยพบหน้าค่าตาเขามาก่อน...ทุกอย่างล้วนเป็นเรื่องของผู้ใหญ่ทั้งนั้น...เล่นเอาปีย์มนัสทำอะไรไม่ถูกไปชั่วขณะ...
ในเวลาต่อมา...มารดาของหล่อนก็ซอยเท้าจากชั้นล่างขึ้นมาตามตัวลูกสาวที่ยืนตกตะลึง...ทำอะไรไม่ถูกอยู่นั่น...
นางปุยเปิดประตูเข้ามาดูลูกเพราะเรียกแล้วไม่ยอมลงไปเสียที จนคณะของเจ้าบ่าวเข้ามานั่งรอกันเต็มบ้านแล้ว...
?ปีย์...ทำไมไม่ลงไปล่ะลูก...มัวช้าทำไม...?
?คุณแม่คะ...คนสวมสูทสีนวลนั่นหรือคะเจ้าบ่าว...ทำไมหน้าดุจังคะ...?
เพื่อนสนิทของปีย์มนัสถามนางปุยอย่างไม่เข้าใจ
?เขาก็เป็นแบบนั้นล่ะ...ปีย์ลงไปเถอะลูก...เราตกลงกับเขาไปแล้วนะ...จะมาปฏิเสธตอนนี้ไม่ได้แล้ว...หน้าตาของเขาเป็นรูปธรรม เขาจึงยังไม่ได้แต่งงานสักทีไง...ยังโสดทั้งแท่งจนมาพบลูก...แต่เขารวยมากนะ...แม่แน่ใจว่าเขาต้องเลี้ยงลูกแม่ให้สุขสบายไปตลอดชีวิตได้อย่างแน่นอน...ดีกว่าไอ้พวกหล่อๆ ที่มันเอาแต่จะหลอกผู้หญิงให้ช้ำใจ แล้วไม่คิดจะตกจะแต่งจริงๆ จังๆ นะลูกนะ...?
เหตุผลของมารดาทำให้ปีย์มนัสเถียงไม่ออกในที่สุด...
ใช่แล้ว...ในกลุ่มเพื่อนเจ้าสาวในวันนี้ก็ยังมีคนที่ทุกข์ใจเพราะถูกหนุ่มรูปหล่อมันหลอกกินไข่แดงแล้วไม่ยอมรับผิดชอบมาจนถึงทุกวันนี้...
พอโดนเปรียบเทียบให้ฟังเช่นนั้น เพื่อนเจ้าสาวก็ต้องเงียบเสียงไปเป็นแถว...ปล่อยให้มารดาของปีย์มนัสจูงมือลูกสาวลงไปพบหน้าเจ้าบ่าวหน้ายักษ์แต่โดยดีพิธีหมั้นจึงเริ่มในเวลาต่อมา...ทุกๆ คนต่างจ้องมองทองคำและเงินสดที่รวมกันได้สิบล้านบาทก้อนนั้นอย่างตื่นตาตื่นใจ
แน่นอน...คำพูดของนางปุยนั้นไม่ผิดที่มีผู้ชายไม่กี่คนหรอกที่จะมอบสินสอดทองหมั้นให้ผู้หญิงมากมายแบบนี้...และการแต่งงานเป็นฝั่งเป็นฝาตามประเพณีดีกว่าการรักกันเองชอบกันเอง...แล้วเลิกรากันไปเองอยู่ดี...
พิธีแต่งงานของปีย์มนัสและมานะเขตจึงดำเนินไปอย่างราบรื่นตั้งแต่เช้าจนถึงเย็นถึงค่ำ...จนถึงเวลาที่เจ้าสาวจะต้องเดินทางเข้ากรุงเทพฯ กับเจ้าบ่าว...ไปอยู่ด้วยกันที่เรือนหอซึ่งเตรียมเอาไว้แล้ว
ปีย์มนัสมองดูบิดามารดาซึ่งเดินมาส่งหล่อนจนถึงรถเก๋งคันใหญ่สีนวลผูกโบว์สีชมพูให้รู้ว่าเป็นรถเจ้าบ่าวเจ้าสาวในค่ำวันนั้น...
มีการให้ศีลให้พรกันตามประเพณีให้วุ่นวายกันพอควรกว่ารถจะเคลื่อนผ่านแถวของเพื่อนบ้านและแขกผู้มีเกียรติมากมายระดับอำเภอและจังหวัดที่พากันมาเป็นสักขีพยานการแต่งงานในครั้งนี้ ออกจากบริเวณบ้านไปในที่สุด
ทุกคนต่างเห็นพ้องต้องกันว่านอกจากหน้าตาที่ค่อนข้างจะดุดันแล้ว เจ้าบ่าวไม่มีอะไรบกพร่องเลยไม่ว่าฐานะการเงิน หรือหน้าที่การงาน...หรือแม้แต่สถานะทางสังคม...
มานะเขต ฉมาบดี เป็นที่ยอมรับของบุคคลทั่วไปทั้งสิ้น...และปีย์มนัสก็จะต้องถูกยอมรับในฐานะภรรยาของเขาด้วยเช่นกัน....
ทุกคนจึงลืมความน่ากลัวของเขาไปหมด...เมื่อต้องยอมรับในด้านอื่นแทน...
***
หญิงสาวถอนใจยาวเมื่อรถคันนั้นพาหล่อนผ่านรั้วบ้านอันให้ความอบอุ่นแก่หล่อนมาตั้งแต่เล็กจนเติบโตเป็นสาวเต็มตัว ออกไปสู่บ้านหลังใหม่ของผู้ชายแปลกหน้าที่หล่อนต้องแต่งงานด้วยโดยไม่รู้เลยว่าเขาจะดีหรือร้ายกับหล่อนเพียงไหน....
ชีวิตของหล่อนหลังจากวันนี้แล้วจะเป็นอย่างไร...มันจะดีไปตลอดชีวิตตามที่ทุกคนคาดคะเน เพราะเจ้าบ่าวมีหน้ามีตามีเงิน และมีเกียรติอยู่ในสังคมหรือไม่
ปีย์มนัสละสายตาจากบ้านกลับมามองคนข้างๆ ที่นั่งนิ่งเหมือนรูปปั้นมาตั้งแต่พิธีแต่งงานเริ่มโดยไม่คิดจะเหลือบแลมามองหล่อนสักแวบแล้วก็ถอนใจ...
ก็ดีเหมือนกัน...ไม่ต้องมอง...ไม่ต้องพูด...เพราะหล่อนก็ไม่อยากจะมองหน้าที่เหมือนยักษ์ไม่ได้ใส่เขี้ยวของเขาเท่าไหร่...และไม่อยากพูดกับคนที่ไม่อยากจะพูดอะไรกับหล่อนนักหรอก...
?จากนี้ไป...ฉันจะให้เงินเดือนเป็นค่าใช้จ่ายส่วนตัวของเธอทุกเดือน จะใส่ซองให้พ่อบ้านเอาไปให้...?
แล้วมานะเขต ฉมาบดีก็พูดกับหล่อน
?ฉันจะอยู่บนตึก...แต่เธอจะอยู่ในเรือนแพที่ฉันจัดเอาไว้ให้ นั่นคืออาณาจักรของเธอ...?
เขาพูดโดยไม่หันมามองหล่อนแม้แต่แวบ...
?เราจะออกสังคมร่วมกันบ้าง ถึงเวลานั้นเธอจะต้องไปกับฉันแล้วเราจะพูดกันอีกทีเมื่อต้องไปด้วยกัน...?
เขาบอกหล่อนเป็นเรื่องๆ...ให้รู้ว่าจะต้องทำอะไรบ้าง
?ฉันจะไม่อยู่กับเธอเลย...เราจะเจอกันตามหน้าที่เท่านั้น แล้วแต่ความจำเป็น...?
?แล้วถ้าฉันต้องการอะไรเพิ่มจะต้องทำยังไง...?
?แจ้งพ่อบ้านมา...หรือแม่บ้านก็ได้ หรือบอกเด็กรับใช้มาเขาจะขึ้นมารายงานฉันเอง...?
หล่อนพยักหน้าเป็นเชิงเข้าใจ...
?แล้วถ้าฉันจะไปไหนบ้างล่ะคะ...ถ้าจะออกไปทำงานหรือกลับไปเยี่ยมพ่อแม่...?
?บอกฉันก่อนแล้วกัน ฉันจะให้รถไปส่ง...?
?ฉันไปเองได้ค่ะ...ไม่ต้องให้ใครเดือดร้อน...?
เขาฟังนิ่งไปชั่วครู่ก็บอกหล่อนว่า...
?ฉันจะหารถส่วนตัวให้เธอ...ทุกอย่างที่ต้องการเพื่อความสะดวกสบายบอกมาได้เลยว่าต้องการอะไร...ยกเว้นอย่างเดียว?
?อะไรคะ...?
?เธออยู่ส่วนเธอ...ฉันอยู่ส่วนฉัน..เราจะต่างคนต่างอยู่...?
ประโยคนี้ทำให้หญิงสาวเกือบจะหันไปถามเขาว่าแล้วจะแต่งงานให้มันวุ่นวายทำไม แต่เมื่อนึกได้ก็พยักหน้า?
?ได้ค่ะ...ไม่มีปัญหา...?
?เราจะอยู่กันอย่างเพื่อนไปตลอดชีวิต...?
ประโยคนี้ทำให้ปีย์มนัสหันไปมองเขาแล้วพยักหน้าดวยความพอใจ...ได้เลย..หล่อนก็ต้องการแบบนี้เหมือนกันเมื่อเขาย้ำให้แน่ชัดก็ย่อมเป็นที่พอใจ...
?ไม่มีปัญหา...ฉันยินดีทำตามที่คุณต้องการ...?
?ฉันดีใจที่เราเข้าใจกันได้อย่างรวดเร็ว...แสดงว่าฉันเลือกคนไม่ผิด...?
คราวนี้ปีย์มนัสไม่พูด
ทั้งคู่นั่งรถคู่กันไปเงียบๆ เป็นเวลาสองชั่วโมงกว่าๆ จึงเลี้ยวเข้าไปในอาณาเขตบ้านของเขาซึ่งเป็นคฤหาสน์สร้างอยู่ริมคลองใหญ่ทีเดียว...
เมื่อลงจากรถ...หนุ่มหน้ายักษ์ผู้นั้นก็เดินขึ้นบันไดหินอ่อนสีขาวทั้งยาวและกว้างขึ้นไปยังประตูไม้สีทองทั้งกระจกและประตูเบื้องหน้าโดยไม่หันมามองหรือหันมาชวนหล่อนสักคำ...
?เรือนแพอยู่ทางนี้ครับคุณผู้หญิง...?
บุรุษผู้หนึ่งที่ก้าวลงจากคฤหาสน์มาหยุดอยู่ข้างๆ หล่อนกระซิบบอก และผายมือเป็นเชิงเชิญหญิงสาวให้ก้าวตามไปบนพื้นกระเบื้องที่งดงามราวกับแก้ว...ตรงไปยังเบื้องหลังคฤหาสน์ผ่านแนวต้นไม้มากมายที่ตกแต่งเอาไว้เหมือนกำแพงต้นไม้ดอกมากมาย
ปีย์มนัสไม่มีเวลาจะได้หยุดชื่นชมมันแม้จะมีแสงไฟส่องสว่างจ้าตลอดทางก็ตาม
หล่อนเดินเลี้ยวไปทางซ้ายที...ทางขวาที...ตามแนวไม้ที่หลุบไปมาอยู่นั่นจนกระทั่งถึงลานกว้าง...ตกแต่งไว้อย่างงดงาม พร้อมกับเรือนไม้หลังหนึ่งลอยอยู่ในคลองหลังคฤหาสน์
มันถูกตกแต่งด้วยไม้และกระจกอย่างมีศิลปะ จนหญิงสาวต้องหยุดมองมันอย่างทึ่งๆ จากแสงสปอร์ตไลท์ที่ส่องไปรอบเรือนนั้น...
?ตอนกลางวันมันจะสวยกว่าตอนนี้มากครับ...เรือนแพหลังนี้มีชื่อว่าเรือนแก้วครับ..?
บุรุษผู้แต่งตัวอยู่ในชุดม่อฮ่อมสีน้ำเงินบอกกับหล่อน...
?ลุงเป็นพ่อบ้านใช่ไหมจ๊ะ....?
?ใช่ครับ...ผมชื่อเหม....ส่วนแม่บ้านที่รับผิดชอบที่นี่ทั้งหมดชื่อนางนวล อีกคนชื่อแม่นกแก้วเขาดูแลบนตึกทั้งหมด...ไม่ค่อยได้มีโอกาสลงมา...จะมีลงมาก็แต่นางนวลและสาวใช้อีกสองคน แล้วก็มีพนักงานทั่วไปชื่อ พิพัฒน์...คนขับรถชื่อนายมิตร...คนทำสวนชื่อก้านครับผม...?
นายเหมรายงานเรียบร้อยแล้วเดินไปเปิดประตูเรือนแพให้หล่อนได้เข้าพัก โดยคนรับใช้อื่นๆ พากันมายืนเรียงหน้ากันสลอนให้นายหญิงคนใหม่ได้รู้จัก
?ในเรือนแก้วคุณผู้ชายท่านเตรียมข้าวของเครื่องใช้ไว้ให้คุณผู้หญิงครบถ้วนแล้วนะครับ คงไม่มีอะไรขาดเหลือ...คืนนี้คุณผู้หญิงใช้ของที่เตรียมไว้ให้ก่อนก็ได้ครับ...ส่วนของที่เอามาค่อยรื้อค่อยจัดเอาพรุ่งนี้ก็ได้...นางนวลจะลงมาช่วยครับ...มีอะไรขาดเหลือจะได้วิ่งหามาให้ครบ...?
ปีย์มนัสพยักหน้าเป็นการตอบรับ แล้วประตูเรือนแพนั้นก็ปิดลง หล่อนจึงรู้สึกเหมือนถูกเอามาปล่อยเกาะเอาไว้เพียงคนเดียว...โดดเดี่ยวตามลำพังในที่ที่หล่อนไม่เคยพบ...ไม่เคยเห็น...ไม่เคยรู้จักเลย...
นี่ล่ะหรือคือคืนแต่งงานคืนแรกของหล่อนที่ทุกคนมองดูว่าน่าจะมีความสุขอยู่ท่ามกลางความหรูหรา โอ่อ่า ใหญ่โต แต่ที่แท้ก็ถูกส่งมาอยู่ในเรือนแพริมน้ำเพียงลำพังนั่นเอง
ดีว่านายเหมเปิดไฟไว้ให้แล้วทุกห้อง...ไม่งั้นหล่อนคงงมโข่งอยู่คนเดียวกว่าจะหาทุกอย่างได้เจอ...
ปีย์มนัสเดินหาห้องน้ำเล็กๆ แต่ตกแต่งไว้ได้อย่างสวยหรู และจัดการอาบน้ำแต่งตัวด้วยเสื้อผ้าและอุปกรณ์ข้าวของเครื่องใช้ทุกอย่างที่ถูกเตรียมเอาไว้ให้อย่างเรียบร้อย
หล่อนมานั่งขัดสมาธิอยู่บนเตียงสีขาวขนาดควีนส์ไซส์และถอนใจเฮือกใหญ่ เมื่อรู้แล้วว่าที่แท้ถูกเอาตัวมาไว้เป็นหุ่นเชิดของมหาเศรษฐีคนนั้นนั่นเอง...
เขาต้องมีอะไรซ่อนอยู่เบื้องหลังอย่างแน่นอน...ถึงต้องแต่งงานเอาหล่อนมาบังหน้า...หรือว่าที่แท้เขาไม่ใช่ผู้ชาย...เขาเป็นเกย์..แต่ไม่ต้องการให้ใครได้รู้
เมื่อคิดมาถึงตอนนี้ หญิงสาวก็ต้องถอนใจให้ตัวเองอีกเฮือก และคาดว่าสิ่งที่คิดอาจจะเป็นความจริงอย่างแน่นอน...
หล่อนยักไหล่ให้ตัวเองเมื่อคิดต่อไปว่าถ้าเป็นเช่นนั้นจริงๆ มันก็ไม่ใช่เรื่องที่น่ากลัวอะไรหรอก...หล่อนยินดีที่จะช่วยเขาปกป้องตัวตนอันแท้จริงของเขาอยู่หรอก ในเมื่อเวลานี้ก็แต่งงานมากับเขาแล้วนี่นะ...จะไปร้องเรียนอะไรกับใคร มันไม่มีประโยชน์อะไร
ปีย์มนัสทิ้งตัวลงนอนบนที่นอนแสนสวย ในห้องนอนที่แม้จะเล็กก็จริงแต่ก็ถูกตกแต่งซะสวยงามโดยมัณฑนากรมีฝีมือ...ทำให้ผู้เข้ามาอยู่รู้สึกพึงพอใจไม่ใช่น้อย
หล่อนหลับตาลงพักหลังจากเหนื่อยมาทั้งวันหลังจากนั้น


+++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++
เมื่อน้องสาวสุดที่รักต้องตายจากไป ?ภูมินทร์? จึงต้องค้นหาความจริง เพราะปมปัญหาที่หญิงสาว?ขัตติยะ? กับ ?มานะเขต? เป็นพี่น้องกัน ซึ่งคนหนึ่งหล่อเหลาอีกคนหนึ่งเหมือนยักษ์ขาดแต่เขี้ยว มานะเขตคิดจะแกล้งพี่ชายแรงๆ แต่ทำให้ขัตติยะตายโดยไม่ตั้งใจ เขาสำนึกผิดจึงสร้างเรือนแพชดใช้ให้และไปสู่ขอสาวงามมาเช่นวิญญาณพี่ชายให้ยกโทษให้เขา... และช่วยปกป้องชื่อเสียงในวงสังคมให้เขาด้วย... เป็นการยิงปืนนัดเดียวแต่ได้นกสองตัวสามตัวเลยทีเดียว ?ปีย์มนัส? รู้สึกอ้างว้างเดียวดายจนบอกไม่ถูกเมื่อเจ้าบ่าวพาหล่อนมาทิ้งไว้ในเรือนแพอันสวยงามแต่น่ากลัว หล่อนจะทำยังไงดีเมื่ออยู่ก็ไม่ได้....จะไปก็ไม่ได้
ปีย์มนัสเหมือนตกอยู่ในความฝันที่หล่อนไม่อาจต้านทานขัดขืนได้ เมื่ออีกฝ่ายเคลื่อนริมฝีปากของเขาลงมา ปิดริมฝีปากนุ่มของหล่อนไว้แนบแน่น มันเป็นจูบแรกในชีวิตที่ทำให้หล่อนลืมตัว เคลิบเคลิ้มไปกับมันอย่างช่วยตัวเองไม่ได้


รูปภาพ

ตอบกลับโพส

ย้อนกลับไปยัง “Bongkoch Books News & Activities”