1
?สรุปคือ พี่จะกลับญี่ปุ่นเที่ยววันพรุ่งนี้ใช่มั้ย?
?ใช่แล้วล่ะ ยูคาริ?
อิจิโนเสะ ทัตสึยะพูดตอบพลางพยักหน้าขณะกำลังคุยโทรศัพท์กับผู้เป็นน้อง
ที่ที่เขาอยู่คือเขตเทือกเขาทางตะวันออกของรัฐแคลิฟอร์เนียซึ่งอยู่ห่างจากโตเกียวถึงกว่า 9,000 กิโลเมตร เวลานี้แสงแดดอ่อนๆ ยามเช้ากำลังทอดลงมายังศูนย์ฝึกที่สร้างขึ้นจากการถางพื้นที่ป่าบริสุทธิ์เขียวขจี และเปลี่ยนให้กลายเป็นสถานที่ต่างๆ เช่น ลานกว้าง สนามยิงปืน สนามซ้อมรบ
มันเป็นศูนย์ฝึกแบบครบวงจรของบริษัททหารรับจ้างเอกชนสัญชาติอเมริกันนามว่า D.O.M.S. ที่ทัตสึยะกำลังอยู่ในระหว่างเรียนรู้งาน ณ ตอนนี้เขากำลังคุยโทรศัพท์อยู่บนหอสังเกตการณ์ที่สามารถมองลงไปยังสนามซ้อมรบได้
แม้จะได้เป็นหอสังเกตการณ์ แต่ก็สร้างขึ้นมาแบบเปิดโล่ง อีกทั้งยังไม่ซับซ้อน ดูผิวเผินแทบไม่ต่างจากหอชมวิวเลย
?รู้สึกว่าพี่จะไม่ทุกข์ร้อนเลยนะ ทั้งๆ ที่โรงเรียนก็เปิดแล้วแท้ๆ?
?คือว่าหน่วยห้าในบริษัทของพี่ต้องไปทำงานที่เกาหลี เขาเลยจะพาไปส่งให้รวดเดียวกันเลย ค่าเครื่องบินจากที่นี่ไม่ใช่เล่นๆ เลยนะ แค่ได้ขึ้นฟรีแบบนี้ก็เยี่ยมสุดๆ แล้วล่ะ?
ทัตสึยะพยายามสรรหาคำพูดต่างๆ นานาเพื่อเอาใจผู้เป็นน้องที่น้ำเสียงชักเริ่มแสดงถึงความไม่สบอารมณ์
?สุดท้ายที่นั่นก็กลายเป็นเหมือนกับบ้านหลังที่สองของพี่ไปแล้วสินะ?
?หา??
?เปล่าไม่มีอะไร ราตรีสวัสดิ์!?
?เฮ้ย เดี๋ยวสิ?
ทัตสึยะจ้องดูโทรศัพท์มือถือที่โดนตัดสายไปเมื่อสักครู่
?ยังไม่ถึงขนาดนั้นสักหน่อย?
ทัตสึยะบ่นพึมพำ ทันใดนั้นก็มีเสียงเจื้อยแจ้วดังขึ้นมาจากทางด้านข้าง
?เป็นอะไรไปหน้าใหม่ ทำหน้าซะอมทุกข์เชียว ท้องผูกเหรอ? รึว่าเป็นริดสีดวง??
?เธอนี่มัน....?
ทัตสึยะทำหน้าเครียดทันทีเมื่อได้ยินคำพูดที่ไม่ชวนรื่นหูขัดกับน้ำเสียงที่ใช้อย่างสิ้นเชิง เด็กสาวที่น่ารักเหมือนนางฟ้าเฉพาะรูปร่างภายนอกผู้เป็นเจ้าของเสียงดังกล่าวกำลังยิ้มแบบทะเล้นมาทางเขา
เธอผู้นี้คือคลาร่า เหมา ลูกสาวเพียงคนเดียวของเมลิสซ่า เหมา ประธานบริษัท D.O.M.S. คลาร่ากำลังนั่งเช็กสภาพปืนไรเฟิลสุดรักของเธอในชุดวอร์มที่ดูธรรมดา ซึ่งต่างจากปกติที่เธอมักจะอยู่ในชุดแฟชั่นแนวพั้งค์
?นี่ คลาร่า?
?มีอะไรรึ หน้าใหม่?
?เธอยังคิดจะมาที่นี่อยู่อีกเหรอ ประธานสั่งห้ามไม่ให้เธอเข้ามาที่ D.O.M.S. แล้วไม่ใช่รึไง?
?ก็เลยต้องแอบเข้ามาไง?
?อ้าวเฮ้ย?
?ที่นี่มันก็เหมือนสวนของบ้านฉัน ขอเพียงหม่าม้าไม่อยู่ซะอย่าง จะเข้าออกเมื่อไหร่ก็ได้ แมวไม่อยู่หนูร่าเริงไง?
?ถ้าเรื่องถึงหูประธานฉันไม่รู้ด้วยล่ะ?
ทัตสึยะบ่นพึมพำพลางมองลงไปยังสนามซ้อมรบที่อยู่เบื้องหน้า ตรงมุมหนึ่งในนั้นมี AS หลายตัวกำลังวิ่งขวักไขว่
หนึ่งในนั้นเป็น AS ยุคสาม อีกสามตัวเป็น AS ยุคสองกำลังทำการซ้อมรบแบบเสมือนจริงอยู่
AS ยุคสองเหล่านั้นเป็นหุ่นที่มีรูปร่างคล้ายกับเฮลิคอปเตอร์ที่เติมแขนกับขา ชื่อของมันคือ<ไซโคลน>หุ่นสัญชาติอังกฤษ
มันเป็นที่รู้จักในเรื่องของความคล่องแคล่ว รูปลักษณ์ภายนอกที่ดูเฉพาะตัวของมันเกิดจากความพยายามในการลดทอนผิวสัมผัสตรงส่วนหน้าให้มากที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้
ส่วนหุ่นยุคสามที่เป็นคู่ต่อสู้นั้น....
?ลีน่าเนี่ย แค่เวลาไม่นานก็บังคับ<เรเวน>ได้คล่องเลยแฮะ?
ชื่อของมันคือ AS-1 <เบลซ เรเวน> เป็นหุ่นที่ปราดเปรียวและดูทนทาน รูปร่างภายนอกชวนให้นึกถึงนักรบสวมเกราะ มันเป็น AS ยุคสามที่ญี่ปุ่นพัฒนาและผลิตโดยใช้ทรัพยากรและความรู้ภายในประเทศของตนเองทั้งหมด
ด้วยเหตุบางประการทำให้มันถูกย้ายเข้ามาอยู่ที่ค่ายฝึกแห่งนี้เพื่อเข้ารับการทดสอบต่างๆ จากทางD.O.M.S. ซึ่ง ณ ตอนนี้เป็นขั้นตอนของการคัดเลือกคนขับที่จะมารับหน้าที่เป็นผู้ดำเนินการทดสอบตัวเครื่อง
<ไซโคลน>หันปืนไรเฟิลไปทาง<เรเวน>ที่กำลังเคลื่อนที่ด้วยความเร็วมากกว่า 100 กิโลเมตรต่อชั่วโมง ก่อนจะมีแสงสว่างวาบออกมาจากอุปกรณ์ที่ติดตั้งอยู่ตรงปากกระบอกปืน
มันคืออุปกรณ์สำหรับใช้ในการซ้อมรบแบบเสมือนจริงด้วยระบบที่ D.O.M.S. พัฒนาขึ้น ซึ่งชื่อว่า<ระบบมัวริตส์>
หลังจากที่เลเซอร์ถูกยิงออกไปจากอุปกรณ์ดังกล่าว และหุ่นฝั่งตรงข้ามตรวจพบว่าเลเซอร์นั้นตกกระทบลงบนตัว ระบบในหุ่นที่ถูกแสงจะทำการวิเคราะห์และตัดสินให้เกิดสภาวะต่างๆ เช่น ถูกยิง หมดสภาพที่จะสู้ต่อ วิธีการนี้ช่วยให้สามารถซ้อมรบได้ปลอดภัยมากยิ่งขึ้น โดยไม่ต้องใช้อุปกรณ์เช่นกระสุนสีเลย
<เรเวน>เบี่ยงตัวหลบจากวิถีปากกระบอกปืนของ<ไซโคลน>อย่างรวดเร็วก่อนจะหันปืนไรเฟิลไปทางพวกมัน
การยิงกดดันพร้อมกับหลบไปด้วยเมื่อสักครู่ทำให้รูปทัพของ<ไซโคลน>เสียไปเล็กน้อย <เรเวน>ไม่ยอมให้เสียโอกาสนี้ไป มันหยุดการเคลื่อนที่ชั่วขณะพร้อมกับยิงปืนไรเฟิลในมือออกไป
ทันทีที่เลเซอร์ถูกยิงออกไป ระบบมัวริตส์จะใช้ตัวแปรต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นระยะห่าง ตำแหน่งสัมพัทธ์ ทิศทางการเคลื่อนที่ และความเร็วของหุ่นทั้งสอง มาใช้ในการคำนวณ และสร้างเป็นวิถีกระสุนจำลอง
ผลการตัดสินว่าหมดสภาพเกิดขึ้นอย่างรวดเร็วแทบไม่มีหน่วงเวลาให้เห็นเลยแม้แต่น้อย ส่งผลให้<ไซโคลน>หยุดการเคลื่อนที่ ก่อนที่อีกไม่กี่ชั่วอึดใจต่อมา<เรเวน>จะกระโดดทะยานขึ้นสู่อากาศพร้อมกับยิงปืนออกไป
มีแสงกะพริบออกมาจากปืนไรเฟิลของ<เรเวน>อีกครั้ง แนวกระสุนจำลองที่สาดลงออกมาจากกลางอากาศส่งผลให้<ไซโคลน>ที่เหลืออีกสองตัวถูกตัดสินให้ ?หมดสภาพ? ภายในพริบตา
?สุดยอด?
มันเป็นการบังคับที่ยอดเยี่ยม ทัตสึยะกล่าวชื่นชมการเคลื่อนที่อันเฉียบขาดเมื่อสักครู่อย่างไม่ปิดบัง
แม้สัดส่วนด้านสมรรถนะในการสู้รบของหุ่นยุคสองต่อหุ่นยุคสามจะอยู่ที่ประมาณ 3 ต่อ 1 แต่ก็มีคนขับน้อยคนนักที่จะสามารถชนะได้อย่างท่วมท้นเช่นนี้ ซึ่งเรื่องนี้แม้แต่ทัตสึยะเองก็เข้าใจดี
ทางคลาร่าเอง พอได้เห็นภาพดังกล่าวก็พยักหน้าให้อย่างเต็มภาคภูมิ
?งวดนี้ดูเอาจริงเอาจังมากเลยนะ ลีน่า?
?OTHILA 3 เรียก ขณะนี้จบเฟสสองของโปรแกรมการฝึกแล้ว กำลังจะเข้าสู่เฟสสาม?
ในค็อกพิทที่คับแคบของ<เบลซ เรเวน> อเดลีน่ารายงานตามมารยาทด้วยน้ำเสียงที่สุขุมเช่นเดียวกับทุกครั้ง
แม้จะเป็นการขับหุ่นใหม่ที่ไม่มีประสบการณ์มาก่อน แต่สีหน้าของเธอกลับไม่มีความกังวลหรือความตื่นเต้นให้เห็นเลยแม้แต่น้อย
?OTHILA 1 รับทราบ?
เสียงทุ้มใหญ่ดังออกมาจากเครื่องส่งสัญญาณ เป็นเสียงของหัวหน้าหน่วย 3 แผนกฝึกสอนขับ AS ของบริษัท D.O.M.S.ดักลาส แบ็กซ์เตอร์ ซึ่งถือเป็นผู้บัญชาการโดยตรงของอเดลีน่า
?รอบนี้ทำสถิติได้ดีนี่ OTHILA 3 ตั้งเป้าจะทำลายสถิติหรือยังไง?
?ใช่แล้ว?
สิ้นเสียงพูด เสียงเตือนของ AI ก็ดังขึ้น
<พบหุ่นศัตรู ทิศทาง 1-8-0 ระยะ 700 เป็น AS สองตัว กับที่ระยะ 2000 เป็น AS หนึ่งตัว จากนี้ไปจะเรียกแทนเป้าหมายว่า M4 5 และ 6 ตามลำดับ>
(มาแล้วรึ)
อเดลีน่าบังคับหุ่นให้หันกลับไป เพื่อเช็กดูหุ่นของศัตรูตัวใหม่ที่เข้ามาด้วยตาเปล่า
ที่ใกล้เข้ามาเป็นหุ่น AS สองตัวพร้อมกับปืนไรเฟิล พวกมันคือรุ่นทั่วไปของ M9<เกิร์นส์แบ็ก>หุ่นยุคสามของกองทัพอเมริกานามว่า<ออริจินัล เกิร์นส์>
นอกจากนี้บนเนินที่อยู่ด้านหลังยังมี M9 รุ่นเสริมอำนาจการยิงที่ติดตั้งอาวุธหนักหลายชนิดเต็มทั่วร่าง มันคือ M9A1E1<อาร์เซนอล เกิร์นส์>
ซึ่งฝ่ายตรงข้ามของการซ้อมรบในวันนี้รับบทบาทโดยกลุ่มสมาชิกหน่วย 4 แผนกฝึกสอนขับ AS ของ D.O.M.S. ที่นำทีมโดยลักซ์
<เรเวน>กระโดดกลับหลังอย่างรวดเร็ว ซึ่งเป็นจังหวะเดียวกันกับที่ปืนใหญ่สนามของ<อาร์เซนอล>สว่างวาบขึ้นมาพอดี เป็นการยิงสนับสนุนที่เล็งตรงไปยังจุดที่เป้าหมายเคยยืนอยู่ ซึ่งวิถีการยิงทั้งหมดถูกคำนวณผ่านระบบมัวริตส์
<ยังไม่เข้าเป้า ให้ดำเนินการซ้อมรบต่อไปได้>
เสียงของ AI ดังขึ้น พร้อมๆ กันกับที่อเดลีน่าพา<เรเวน>ร่นถอยเข้าไปหลบซ่อนตัวในเขตเมืองจำลอง
แม้การทำเช่นนี้จะช่วยให้รอดพ้นจากการคุกคามของปืนใหญ่สนามไปได้สักพัก แต่ในจังหวะนี้ M9 ที่ประกบอยู่ทางซ้ายและขวาก็คงจะรุกคืบเข้ามาเพื่อตีกระหนาบ เช่นเดียวกับ<อาร์เซนอล>ที่ในไม่ช้ามันเองก็คงย้ายจุดยิง พร้อมกับเปิดฉากโจมตีต่อแน่นอน
คู่ต่อสู้เป็น AS ยุคสาม อีกทั้งยังสามต่อหนึ่ง เรียกได้ว่ากำลังรบแตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง ในสถานการณ์แบบนี้เป็นใครคงคิดว่าอย่างมากก็ ?ยื้อให้นานมากที่สุด?
แต่อเดลีน่ากลับไม่คิดเช่นนั้น....
(ในตอนนั้นทัตสึยะใช้หุ่นตัวนี้เอาชนะเซปเตอร์ได้ 2 ตัว)
อเดลีน่าย่ำคันบังคับที่เท้าอย่างรวดเร็ว <เรเวน>ปฏิบัติตามการเคลื่อนไหวของเธอด้วยการออกวิ่งไปอย่างรวดเร็ว
หลังหลุดออกจากเขตเมืองจำลอง ภาพของ M9 ก็ถูกแสดงขึ้นบนจอ อเดลีน่ากดปุ่มสั่งการปุ่มหนึ่งจากปุ่มที่เรียงรายอยู่บนคันบังคับ
พริบตานั้น แรง G อันมหาศาลก็ถาโถมเข้าใส่ทั้ง AS และตัวคนขับ
อาไจล์ ทรัสเตอร์ จรวดขับเคลื่อนอาร์คเจ็ทแบบคลัสเตอร์สำหรับ AS ที่ติดตั้งอยู่ตรงไหล่และเอวทั้ง 4 ตัวเริ่มทำงาน เปลี่ยนเชื้อเพลิงให้กลายเป็นพลาสมาพร้อมกับพ่นออกมา
?อึก?
สติของอเดลีน่าแทบหลุดจากการเพิ่มความเร็วอันบ้าคลั่งของมัน ความเร็ว ณ ตอนนี้มากกว่า 300 กิโลเมตรต่อชั่วโมง และยังค่อยๆ เพิ่มสูงขึ้นอีก
ตัวเลขในมิเตอร์วัดความเร็วที่พุ่งสูงขึ้นอย่างบ้าคลั่ง ซึ่งกลับกับปริมาณกระแสไฟฟ้าในคอนเดนเซอร์ที่ค่อยๆ ลดลง ตามด้วยวิวทิวทัศน์รอบๆ ที่ไหลไปอย่างรวดเร็วราวกับกำลังเหาะอยู่ แม้สิ่งเหล่านี้จะสร้างให้เกิดความกลัวโดยสัญชาตญาณ แต่อเดลีน่าก็กัดฟันทน
<เรเวน>ใช้การเพิ่มและลดความเร็วสลับกับการเคลื่อนที่ซิกแซ็กซ้ายขวาไปมา เพื่อพุ่งเข้าประชิดตัว M9 หนึ่งตัวอย่างรวดเร็ว ด้วยความเร็วแบบสายฟ้าแลบทำให้ปืนไรเฟิลและปืนใหญ่สนามไม่สามารถทำอันตรายมันได้เลย
<เรเวน>เก็บปืนไรเฟิลที่อยู่บนมือขวาไว้ ก่อนจะใช้มือซ้ายชักคัตเตอร์โมเลกุลเดี่ยวไทป์-10 ออกมา มันเป็นดาบขนาดใหญ่สำหรับ AS ที่ทำเลียนแบบดาบซามูไรของญี่ปุ่น โดยในครั้งนี้ผิวนอกของตัวดาบถูกหุ้มไว้อีกชั้นเพื่อใช้สำหรับการฝึกซ้อม
ในที่สุดก็รุกคืบเข้าใกล้ศัตรูได้ อเดลีน่าสั่งใช้บูสต์รอบสุดท้ายเพื่อพุ่งไปเฉียงขวาออกทางด้านหน้า ก่อนเฉียงกลับทางซ้ายเข้าด้านหลังของ M9 อย่างรวดเร็ว
ดาบถูกฟันออกไปในชั่วพริบตาที่เคลื่อนผ่าน เพื่อหลีกเลี่ยงไม่ให้เกิดอุบัติเหตุในการซ้อมจึงไม่ให้มีการฟันจริงๆ แต่ใช้วิธีการฟันเฉี่ยวๆ แทน และแล้วระบบก็ตัดสินให้ M9 หมดสภาพจากการต่อสู้ ส่งผลให้มันเคลื่อนที่ต่อไปไม่ได้อีก
<ศัตรูเข้าประชิดที่ 7 นาฬิกา ระยะห่าง 4>
อเดลีน่ามีปฏิกิริยาตอบสนองแทบจะทันทีที่ได้ยินเสียงเตือนของ AI
(ด้านหลังมี M9 อีกตัว)
(กระแสไฟฟ้าในคอนเดนเซอร์เหลือน้อย)
(ใช้อาไจล์ ทรัสเตอร์ไม่ได้)
(ต้องใช้การหลบแบบธรรมดา)
การคิดคำนวณทั้งหมดเกิดขึ้นในช่วงเวลาเพียงสั้นๆ เธอเหยียบคันบังคับให้<เรเวน>กระโดดหลบการยิงจากทางด้านหลัง ก่อนจะม้วนตัวกลางอากาศด้วยท่าแจ็คสัน อาร์คเพื่อหวังจะอ้อมเข้าไปทางด้านหลังของ M9 คืนบ้าง
แต่ศัตรูเองก็ไม่ใช่ย่อยๆ M9 อ่านการเคลื่อนที่ของอเดลีน่าออก พร้อมกับหันหลังกลับอย่างรวดเร็ว การตัดสินใจที่เฉียบขาดเช่นนี้ บางทีคนขับอาจจะเป็นอเล็ก เบเกอร์ หรือ <ลักซ์ 1>หัวหน้าของหน่วย 4 ก็ได้ ณ ตอนนี้อาวุธในมือของ M9 ถูกเปลี่ยนไปเป็นมีดแด็กเกอร์ซ้อมรบแบบใช้ขว้างแล้ว
อเดลีน่าเหลือบดูจอมอนิเตอร์อย่างรวดเร็ว เป็นไปตามที่คิดไว้ แม้จะเป็นเพียงชั่วเวลาสั้นๆ ที่ลอยค้างอยู่กลางอากาศ แต่ปริมาณไฟฟ้าที่อยู่ในคอนเดนเซอร์ก็ถูกชาร์จกลับคืนมาอีกครั้ง หากจะใช้ทรัสเตอร์ในระยะสั้นๆ ก็สามารถทำได้อย่างไม่มีปัญหา
M9 ขว้างแด็กเกอร์เข้ามาในจังหวะที่<เรเวน>เกือบจะแตะถึงพื้น แต่ในขณะเดียวกันนั่นเอง อเดลีน่าก็กดสวิตช์สั่งให้บูสต์ทำงาน แรง G อันหนักหน่วงพุ่งเข้าปะทะอีกครั้ง พร้อมกับแด็กเกอร์ที่พุ่งเฉี่ยวตัวหุ่นไป
การใช้บูสต์พุ่งไถลออกทางด้านขวาเมื่อสักครู่ช่วยกลบช่องโหว่อันตรายตอนตกถึงพื้นของ AS ไปได้ อเดลีน่าเหนี่ยวไกปืนไรเฟิล ทว่า M9 ก็กระโดดขึ้นจากพื้นในจังหวะที่แทบจะพร้อมกัน
เซ็นเซอร์ของ M9 ตรวจพบเลเซอร์ที่ยิงออกมา การคำนวณด้วยขั้นตอนวิธีที่ซับซ้อนของระบบมัวริตส์เริ่มต้นขึ้น และผลที่ออกมาก็คือ....
<M4 หมดสภาพ>
สิ้นเสียง AI M9 ของเบเกอร์ก็ถูกบังคับให้หยุดการเคลื่อนไหว
ในเวลาเดียวกันนั่นเอง <เรเวน>ก็กลับตัวอย่างรวดเร็ว พร้อมกับหลบแนวยิงของ<อาร์เซนอล> เวลานี้เหลือศัตรูอีกเพียงตัวเดียวเท่านั้น อเดลีน่าจ้องค้างไปทาง<อาร์เซนอล>ผ่านจอภาพ
(นี่ฉันกำลังทำอะไรอยู่)
ทันใดนั้นอเดลีน่าก็กลับมารู้สึกตัวอีกครั้ง
แม้จะรู้ว่าในเวลานี้ตนกำลังทำภารกิจ กำลังทำการซ้อมรบ และกำลังทดสอบหุ่น แต่เธอไม่เข้าใจว่าทำไมภาพของ<เรเวน>ที่บังคับด้วยทัตสึยะในการรบจริงครั้งนั้นถึงวาบผุดขึ้นมาในหัวของเธอ
?ชิ?
อเดลีน่าสบถสั้นๆ พร้อมกับสั่งให้<เรเวน>พุ่งตัวออกไป
ความรู้สึกประหลาดที่ไม่อาจบรรยายเป็นคำพูดได้ยังคงค้างในใจของเธอ
ขณะเดียวกันนั้น ภาพบนจอโปรเจ็กเตอร์ในศูนย์สารสนเทศและการสื่อสารของ D.O.M.S. ก็แสดงภาพการเคลื่อนที่ของ<เบลซ เรเวน>ที่วิ่งไปมาในสนามซ้อมรบจากหลายหลายๆ มุมมอง
แบ็กซ์เตอร์ ชายร่างยักษ์ผิวดำที่มีผ้าสามเหลี่ยมพันแขนกำลังจ้องมองภาพในจออย่างไม่กะพริบตา
?พอเริ่มเข้าสู่เฟสการฝึกที่ 3 ก็จัดการกับ M9 สองตัวได้ใน 2 นาทีครึ่ง ครั้งนี้ลีน่าดูเอาจริงเอาจังมากเลยนะครับ?
?อืม?
แบ็กซ์เตอร์พยักหน้าเห็นด้วยกับคำพูดของเจ้าหน้าที่แผนกวิเคราะห์เบอร์นาร์ด เบอร์ทรันด์ ที่กล่าวชมผลงานของอเดลีน่า
?โฮ่ เห็นภายนอกอย่างนั้นแต่ที่จริงร็อคไม่ใช่เล่นเลยนะเนี่ย แม่สาวคนนั้น?
ผู้ชายสวมเสื้อคลุมสีขาวที่นั่งเอนบนเก้าอี้พับจนเอียงเอ่ยชมพร้อมกับผิวปากในลักษณะที่เหมือนกับทำไม่ค่อยเป็น บนใบหน้าที่ผอมและประดับไปด้วยตุ้มหูของเขาปรากฏรอยยิ้มให้เห็นอยู่รางๆ
เขาผู้นี้คือมิโซโรงิ คัตสึโร่ หัวหน้าทีมพัฒนา อดีตเจ้าหน้าที่ของอุตสาหกรรมหนักเอบิสึสถานที่สร้าง<เบลซ เรเวน> เขาถูกย้ายเข้ามาประจำที่นี่ชั่วคราว แม้รูปร่างภายนอกจะดูเหมือนพวกจิ๊กโก๋ แต่เขาคนนี้เป็นถึงช่างเทคนิคผู้เก่งกาจที่เรียนจบระดับปริญญาเอกแล้ว
?นึกว่าจะได้พาเจ้านั่นกลับก่อนที่จะกลายเป็นเศษเหล็กแล้วซะอีก ก็ที่ผ่านมาคนของพวกนายที่ขึ้นไปขับเจ้านั่นมีแต่พวกอ่อนๆ ทั้งนั้นล่ะนะ?
เบอร์ทรันด์หรี่ตาที่อยู่ใต้แว่นลงพร้อมกับทำหน้าเจื่อนๆ ให้กับคำพูดที่ฟังดูยั่วยุของมิโซโรงิ
?ต้องขอโทษด้วยครับ ดอกเตอร์ กำหนดการที่ทางเราเสนอไปอาจจะเร็วไปหน่อย แต่ขอให้คุณเข้าใจ เมื่อการทดสอบ AS ที่จะช่วยให้เราเรียนรู้ลักษณะของหุ่นแนวใหม่และวิธีการบังคับรูปแบบใหม่นี้เสร็จสิ้น เราก็จะใช้งานมันได้อย่างระมัดระวังมากยิ่งขึ้นน่ะครับ....?
?เฮ้อ พูดปุ๊บก็เถียงเลยนะ เอาแต่แก้ตัวแบบนี้ไม่ร็อคเลยนะนาย?
?คือผมเองก็ไม่ค่อยถูกกับเพลงแนวที่ฟังแล้วรู้สึกไม่สงบใจแบบนั้นอยู่แล้วน่ะครับ?
?ว่าไงนะ เสียชาติเกิดหมดนะนาย ดีล่ะ งั้นปล่อยให้เป็นหน้าที่ฉันเอง?
พูดจบมิโซโรงิก็ควักมือถือออกมาจากกระเป๋าเสื้อ
?เดี๋ยวฉันคนนี้จะแนะนำเพลงที่เจ๋งๆ ให้เอง เอ้า ฟังซะ รีบฟังซะตอนนี้เลย?
?เรากำลังทำงานอยู่นะครับ?
ดูเหมือนเบอร์ทรันด์จะรู้สึกลำบากใจกับการรบกวนของมิโซโรงิอย่างจริงจัง
?หนวกหูน่า ไม่ต้องพูดอะไรทั้งสิ้นแล้วรีบๆ ฟังไปซะ ไอ้เจ้าพวกไม่มีร็อคในหัวใจ?
?นั่นไม่ใช่ประเด็นครับ นี่มันเวลางาน ต้องทำงานสิครับ!?
ภาพการต่อปากต่อคำของทั้งสองทำให้แบ็กซ์เตอร์รู้สึกปวดหัวตงิดๆ ในขณะนั้นเองสายตาของเขาก็หยุดอยู่ ณ ข้อมูลชุดหนึ่ง มันเป็นข้อมูลที่ถูกส่งมาจากเครื่องถ่ายทอดสัญญาณที่ถูกติดตั้งอยู่ใน<เรเวน>
ข้อมูลที่ได้จากการเฝ้าสังเกตการณ์นั้น นอกจากข้อมูลสภาพของตัวหุ่นและสภาพแวดล้อมโดยรอบแล้วยังมีข้อมูลอื่นอย่างเช่นอัตราการเต้นหัวใจของคนขับด้วย
ทว่าใบหน้าที่หยาบกระด้างของแบ็กซ์เตอร์ที่จ้องดูข้อมูลดังกล่าวกลับดูตึงเครียดเล็กน้อย
?กำลังร้อนใจอยู่รึ....??
?เป็นอะไรรึเปล่าครับ?
?อ้อเปล่า ไม่มีอะไร?
ด้วยคำพูดพึมพำที่หลุดออกมาอย่างไม่ตั้งใจไปเข้าหูของเบอร์ทรันด์เข้า แบ็กซ์เตอร์จึงพยายามปฏิเสธเพื่อกลบเกลื่อน ก่อนที่เขาจะหันกลับไปจ้องดูภาพของ<เรเวน>ที่ฉายบนจออีกครั้ง
(การเคลื่อนไหวของเธอไม่เหมือนกับที่เคยเป็น)
โดยธรรมชาติการเคลื่อนไหวของ AS จะสะท้อนให้เห็นเอกลักษณ์เฉพาะของคนขับ ที่เป็นเช่นนี้เพราะในระบบมาสเตอร์สเลฟหุ่นจะเคลื่อนไหวในแบบเดียวกับตัวคนขับนั่นเอง
เอกลักษณ์เฉพาะของอเดลีน่าที่แบ็กซ์เตอร์เคยรู้จักมานั้นคือ ความแน่นอน
เป็นการเคลื่อนไหวที่เฉียบขาดไร้ซึ่งความสูญเปล่าและเคารพยึดมั่นในหลักการอย่างเคร่งครัด แม้ในบางครั้งจะดูน่าหวาดเสียวจนแม้แต่ผู้ใหญ่เองยังรู้สึกใจหาย แต่ทั้งหมดทั้งมวลก็ยังคงไว้ซึ่งความรอบคอบ มั่นคง แสดงให้เห็นว่ามีการฝึกซ้อมมาเป็นอย่างดี
ทว่าภาพของ<เรเวน>ณ ตอนนี้กลับฉายแววของภาพลักษณ์เหล่านั้นที่กำลังสั่นคลอน
(เป็นอะไรไป)
ทีแรกแบ็กซ์เตอร์คิดว่าคงเพราะเธอแค่ยังไม่ชินกับ<เรเวน> แต่พอดูไปสักพักจึงได้รู้ว่าไม่ใช่ เพราะทุกท่วงท่าที่ออกมาแสดงให้เห็นถึงความร้อนรนทั้งสิ้น
คงเป็นเพราะหมอนั่นสินะ.... แบ็กซ์เตอร์ครุ่นคิดในใจ
ย้อนกลับที่ภาพในจอโปรเจ็กเตอร์ <เรเวน>พุ่งเข้าจู่โจม<อาร์เซนอล>อย่างไม่ปรานี ก่อนจะโค่นมันลงได้อย่างง่ายได้
?เป็นไงบ้าง??
?เจ๋งเป้ง ได้สถิติใหม่เลยล่ะ?
มิโซโรงิพูดตอบให้กับเสียงของอเดลีน่าที่ดังผ่านเครื่องวิทยุ
?เริ่มเข้าใจคำว่าร็อคแอนด์โรลขึ้นมาบ้างแล้วสินะ แม่สาวน้อย?
?อืม ที่จริงก็ยังไม่ค่อยเข้าใจคำว่าร็อคอะไรนั่นหรอกนะ แต่ช่างเถอะ....ที่สำคัญ ต่อให้ผลงานคราวนี้ดีแค่ไหน แต่ที่สุดมันก็แค่การฝึกซ้อมอยู่ดี?
?ดอกเตอร์ครับ ถ้าดูตามกำหนดการนี่ยังไม่ใช่เวลาแจ้งผลกับคนขับนะครับ?
?ให้ตายสิ ไอ้ผอมโย่ง นายนี่มันคิดเล็กคิดน้อยไปได้ กำหนดการอะไรนั่นมันก็แค่ของประดับเท่านั้นแหละน่า!!?
?ผมล่ะสงสัยจริงๆ ว่าคุณสร้าง AS-1 นั่นขึ้นมาได้ยังไง แถมยังออกมาครบชิ้นครบอันด้วยอีกต่างหาก?
แบ็กซ์เตอร์ไม่สนใจมิโซโรงิและเบอร์ทรันด์ที่ชักเริ่มมีน้ำโหใส่กันบ้างแล้ว เขาหันไปชมอเดลีน่าให้กับผลงานของเธอ
?ทำได้ดีมาก เอ้า นี่ก็ใกล้จะเที่ยงแล้ว ไปพักกินข้าวเถอะ?
?ตอนนี้คงยังไม่ล่ะค่ะ หัวหน้า?
อเดลีน่าตอบอย่างมั่นเหมาะ ทั้งๆ ที่น้ำเสียงของเธอแสดงให้เห็นถึงความเหนื่อย
?ต่อไปเป็นรอบของทัตสึยะ ฉันคงพักไม่ได้จนกว่าจะได้ดูจนจบ?
?เข้าใจล่ะ อย่าหักโหมจนไม่สบายซะก่อนล่ะ?
แบ็กซ์เตอร์พูดพร้อมกับถอนหายใจเฮือกใหญ่ในใจ
(เพราะไอ้หนุ่มคนนั้นจริงๆ ด้วย)
?ลีน่านี่สุดยอดจริงๆ?
ทัตสึยะกล่าวชมด้วยความตื่นเต้น ในหอสังเกตการณ์ การเคลื่อนไหวของ<เบลซ เรเวน>ที่เขาได้เห็นเมื่อสักครู่ พูดได้คำเดียวว่าสุดยอด
?งี่เง่า เพิ่งจะรู้ตัวรึไง?
คลาร่าพูดพร้อมกับทำเสียงหึ ท่าทางของเธอเหมือนต้องการเย้ยทัตสึยะ
?ชั่วโมงบินต่างกันตั้งขนาดนั้นมันก็ต้องแน่อยู่แล้วสิ ไม่รู้อะไรเลยนะนายเนี่ย?
?ก็ถูกของเธอ?
ทัตสึยะรู้สึกฉุนนิดหน่อยกับคำพูดเมื่อสักครู่ ในจังหวะเดียวกันนั้นคลาร่าที่นั่งอยู่ตรงหน้าเขาก็ลุกขึ้นมาด้วยความคล่องแคล่ว
?ต่อไปก็ตานายแล้ว หน้าใหม่ ก็ขอให้โชคดีละกันนะ?
?อื้ม ฉันไปล่ะ?
ทัตสึยะลุกขึ้น แต่ทันใดนั้นเขาก็หันกลับไปหาคลาร่า
?นี่ คลาร่า?
?มีอะไรอีกล่ะ?
?เธอไม่รู้สึกกลัวเลยเหรอ?
?........?
คำพูดดังกล่าวทำให้สีหน้าของคลาร่าเปลี่ยนไป
++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++
อิจิโนเสะ ทัตสึยะสามารถใช้ "เบลซ เรเวน" AS ยุคสามตัวสีฟ้า จัดการกับพวกผู้ก่อการร้ายได้สำเร็จ ทั้งๆ ที่เขายังเป็นเพียงแค่มือสมัครเล่น พรสวรรค์ของการเป็นคนขับ AS นี้เองทำให้อเดลีน่าผู้ซึ่งสละทุกสิ่งอย่าง และอุทิศชีวิตให้กับ AS เกิดความรู้สึกต่างๆ นานาขึ้นมาในจิตใจ ซึ่งนั่นถึงขั้นสั่นคลอนจุดยืนของเธอ ท่ามกลางบรรยากาศตึงเครียดระหว่างทั้งคู่ ทันใดนั้น องค์ชายแห่งอาหรับยูซุฟก็ปรากฏตัวต่อหน้าพวกเขาอย่างไม่ทันให้ได้ตั้งตัว! พร้อมกับคำท้าดวล! นอกจากนี้ยังมีการสอบเพื่อคัดเลือกคนขับ AS-1 "เบลซ เรเวน" อีกด้วย ซึ่งผลสุดท้ายกลายเป็นว่า.... นวนิยายแอ็คชั่นไซไฟแนวกองทัพที่อะไรก็เกิดขึ้นได้ เริ่มเดินหน้าลุยเต็มพิกัดแล้ว!!
