วิธีการรับรู้ถึงความเปลี่ยนแปลงของฤดูกาล ผมคิดว่าต่างคนก็ต่างมีวิธีการที่แตกต่างกันไป กรณีของผมในช่วงครึ่งปีมานี้ แนวโน้มการเปลี่ยนแปลงของชามิเซน แมวสามสีที่บ้านผมเลี้ยงคือสิ่งที่เข้าใจง่ายที่สุด
เพราะตอนกลางคืนชามิเซนไม่ได้มุดเข้ามาในเตียงที่ผมนอนอีก จึงทำให้รู้ว่าฤดูกาลที่ผมชื่นชอบมากที่สุดใน 4 ฤดูกาลได้มาถึงถิ่นฐานที่ผมอยู่แล้ว แต่ผมคิดว่าสิ่งที่ความรู้สึกไวต่อฤดูกาลยิ่งกว่าเจ้าเหมียวก็คือเหล่านานาพืชที่ปรับตัวตามสภาพแวดล้อมได้อย่างตรงเวลาจนน่าทึ่ง และนี่ก็เป็นต้นเดือนเมษายนที่ต้นซากุระหลากหลายต้นที่บานสะพรั่งไปทั่วถนนหนทางกำลังจะเริ่มโปรยกลีบลงมาประหนึ่งว่าทำตามแผนที่มีการนัดประชุมไว้ล่วงหน้า ท้องฟ้าของฤดูกาลนี้เองก็ฟ้าสดใสราวกับเอาสีเทียนระบายไว้ทั่ว ส่วนพระอาทิตย์ไม่รู้จะเตรียมวอร์มอัพล่วงหน้าเพื่อเผาผลาญพลังงานในฤดูร้อนที่อยู่ถัดไปรึยังไง ถึงได้สาดแสงเจิดจ้ามายังผิวโลก แต่ถึงกระนั้นลมที่พัดลงมาจากภูเขาก็ยังคงเย็นอยู่ ตำแหน่งที่ผมอยู่ในตอนนี้เองก็บอกให้รู้ถึงพิกัดความสูงที่มากในระดับหนึ่ง
ผมแหงนหน้ามองท้องฟ้าด้วยความที่ไม่มีอะไรทำ คำพูดที่เปล่งออกจากปากก็เป็นคำที่ไม่มีความสำคัญใดๆ จะพูดก็ได้ ไม่พูดก็ไม่มีปัญหาอะไร แต่สรุปเพราะว่างจัดถึงได้พูดออกมา
?ฤดูใบไม้ผลิสินะ......?
ความจริงก็ไม่ได้อยากให้ใครแสดงรีแอ็คชั่นออกมาหรอก แต่ทั้งที่เพื่อนนั่งคุยเฉพาะกิจเข้าใจสภาพการณ์อย่างถ่องแท้อยู่แล้วก็ยังอุตส่าห์เน้นย้ำขึ้นมา
?เป็นฤดูใบไม้ผลิอย่างไม่ต้องสงสัยเลยสินะครับ และสำหรับนักเรียนก็เป็นการเริ่มต้นปีการศึกษาใหม่ด้วย ไม่ว่าจะตามปฏิทิน หรือตามปีการศึกษา และในใจของผมก็เช่นกัน?
ด้วยน้ำเสียงสดใสอย่างมาก เอาเถอะ จะคิดว่าฤดูใบไม้ผลิกับฤดูใบไม้ร่วงมันเข้ากันได้ดีก็ได้ เพราะถ้าเป็นฤดูร้อนก็มีแต่ทำให้ร้อนอึดอัด หรือต่อให้เป็นฤดูหนาวบุคคลนัมเบอร์วันที่อยากให้อยู่ใกล้ชิดที่สุดขนาดฟังเสียงกระซิบได้ก็มีแค่คุณอาซาฮินะคนเดียว
ผมเขยื้อนใบหน้าไปมองท้องฟ้าอย่างรวดเร็วพร้อมกับสับเปลี่ยนเป็นโหมดฟังหูทวนลม แต่หมอนี่ก็พูดต่ออย่างไม่สนใจ
?ฤดูใบไม้ผลิหนที่สองในชีวิต ม.ปลาย มาเยือนแล้ว แต่ถ้าพูดแซมความเห็นส่วนตัวเข้าไปด้วยก็ควรจะบอกว่า ?ในที่สุด? หรือ ?แล้ว? ดีนะ ตัดสินใจลำบากเล็กน้อยเหมือนกันนะครับ?
มันจำเป็นต้องลังเลด้วยเรอะ ถ้าเป็นภาษาอังกฤษมันก็ yet ทั้งคู่นั่นแหละ เพราะปกติไม่มาคอยจำทุกเรื่องที่เกิดขึ้นในเวลาที่ผ่านไป พอหันกลับไปมองก็รู้สึกว่าเรื่องราวส่วนใหญ่มักจบไปอย่างรวดเร็วด้วย ในเมื่อไม่มีทางรู้ได้ว่าจากนี้ไปจะมีเรื่องราวอะไรเกิดขึ้น การมาคิดว่าเวลาผ่านไปเร็วหรือช้าเลยไม่ใช่เรื่องสำคัญ สิ่งสำคัญอยู่ที่ว่าเนื้อหาของสิ่งที่จะทำต่อจากนี้มันสนุกหรือไม่สนุกต่างหาก จากนั้นค่อยมารู้สึกในแบบตัวเองว่ามันผ่านไปเร็วหรือช้าก็ได้ อย่างน้อยก็หัดนึกถึงใจของนาฬิกาบ้างสิ พวกมันเดินเข็มเวลาดังติ๊กๆ ในจังหวะเดียวกันทุกวินาทีอย่างไม่มีบ่นสักแอะเลยนา แต่เวลาที่ระบบปลุกนอนไม่ทำงานทั้งที่จำไม่ได้เลยว่ากดปิดมันด้วยก็ทำเอาอยากจับมันขว้างใส่กำแพงอยู่เหมือนกัน โดยเฉพาะเช้าวันจันทร์
?จริงอย่างที่พูดเลยครับ เข็มของนาฬิกาคือหนึ่งในบางสิ่งอันน้อยนิดที่บอกบางอย่างแก่ผู้สังเกตการณ์เช่นพวกเรา แต่สำหรับมนุษย์ที่ทำได้เพียงรับรู้เวลาจากมุมมองของตนเอง นั่นก็เป็นแค่เข็มชี้บอกเวลาอย่างหนึ่งเท่านั้น สิ่งสำคัญยิ่งกว่าก็คือตัวเองคิดอะไรในเวลานั้นและทำอะไรลงไปครับ?
?น่าหน่ายจิตหน่ายใจจริง?
ผมหยุดทำกิจกรรมสังเกตการณ์ก้อนเมฆที่กำลังเปลี่ยนรูปร่างอย่างช้าๆ หันไปมองข้างๆ แทน
ใบหน้านั้นยังคงยิ้มแย้มอยู่เช่นเคย และใบหน้านั้นก็เป็นเอกลักษณ์ที่บ่งบอกถึงตัวตนของโคอิซึมิ อิซึกิซึ่งเป็นเจ้าของมัน แต่ต่อให้ไม่จับไปเทียบกับการมองเมฆหางเครื่องบิน มันก็ยังเป็นภาพปกติธรรมดาที่ดูแล้วไม่ได้จรรโลงใจเป็นพิเศษหรือเป็นพิษต่อสายตาอะไรนัก เพราะคิดแล้วว่าถึงดูไปก็ไม่มีได้มีเสีย ผมจึงหันไปมองหน้าตรงๆ
เพียงแต่
?ถ้าเอาความเห็นส่วนตัวของฉันนะ?
ผมบอกแก่โคอิซึมิที่รู้สึกได้ว่ากำลังตั้งใจฟังในขณะที่หันเยื่อเรตินาไปรับภาพที่อยู่ตรงสวนระหว่างอาคารอย่างเต็มที่
?ยังไงก็รู้สึกว่าในที่สุดเวลานี้ก็มาถึงแล้วจริงๆ?
ผมมองชุดนักเรียนใหม่ไฉไลของเหล่านักเรียนใหม่ที่เกาะกลุ่มกันตรงบริเวณนั้นตามหมอนั่น พลางดึงภาพในอดีตที่ชวนโหยหาซึ่งบันทึกอยู่ในสมองขึ้นฉายใหม่บนเบ้าตา
และคิดอย่างนี้
เหล่านักเรียนปี 2 เมื่อ 1 ปีก่อนก็คงจะมองพวกเราเมื่อ 1 ปีก่อนด้วยความรู้สึกอย่างนี้สินะ
ผมเข้ามาเรียนที่นี่จากระบบการแบ่งโรงเรียนตามเขตใกล้บ้าน แต่แล้วก็ได้มาเจอกับวัตถุเคลื่อนที่ไม่ยืนยันสัญชาตินามว่าสึซึมิยะ ฮารุฮิจากการแนะนำตัวที่สุดแสนจะพิลึกหลุดโลก จากนั้นก็เจอพฤติกรรมแปลกๆ ที่ทำเอาอดคิดไม่ได้ว่าอะไรของยัยนี่เนี่ย แล้วก็โดนลากเข้ามิติเวลาฮารุฮิ ถูกจับยัดเข้าเป็นหนึ่งในสมาชิกองค์กรปริศนาที่ใช้ชื่อว่ากองกำลัง SOS ต่อมาก็เลยเถิดไปถึงขนาดได้พบกับมนุษย์ต่างดาว คนจากโลกอนาคต ผู้มีพลังจิตตัวเป็นๆ ถ้าแค่นั้นยังพอทำเนา แต่กลายเป็นว่าต้องโดนลากเข้าไปเอี่ยวกับเหตุการณ์เหนือธรรมชาติของพวกมนุษย์ต่างดาว คนจากโลกอนาคต ผู้มีพลังจิต รวมไปถึงเรื่องแผลงๆ ที่อยู่ดีๆ ฮารุฮิก็ฉุกคิดขึ้นได้ ตลอด 1 ปีที่ผ่านมานี้เลยทำให้ค่าประสบการณ์ของผมขึ้นสูงปรี๊ดอย่างไม่มีเพดานขวางกั้น นี่ถ้าเจอบอสกลางอ่อนๆ อาจใช้แค่มือข้างเดียวตบกลิ้งได้สบายเลยด้วยซ้ำ
?สิ่งที่เป็นความเคยชินนี่มันช่างไม่ธรรมดาเลยนะ?
อย่างทางลาดชันยาวเหยียดบั่นทอนพลังขาที่เจอระหว่างมาโรงเรียนก็ชินกับมันไปแล้ว แต่ยิ่งชินเวลาตื่นนอนก็ยิ่งช้าขึ้น ตอนนี้เลยวางแผนว่าจะรวมร่างเป็นหนึ่งเดียวกับเตียงไปให้นานที่สุดจนถึงเวลาจวนเจียนจะสาย แต่ถ้าเอาความหมายอย่างเป็นจริงเป็นจังว่าคุ้นเคยกับโรงเรียนก็ไม่ใช่แค่ผมคนเดียว ฮารุฮิเองก็เปลี่ยนไปมากเหมือนปลาคาร์พว่ายทวนกระแสน้ำตกได้สำเร็จและกลายร่างเป็นมังกรไป
เป็นไปได้ก็อยากถ่ายรูปของฮารุฮิตอนนี้แล้วเอาไปให้ฮารุฮิเมื่อ 1 ปีก่อนดูจริงๆ พร้อมกับทำน้ำเสียงขรึมๆ แบบนักพยากรณ์บอกไปว่า ปีหน้าเธอจะกลายเป็นแบบนี้
เอาเถอะ ต่อให้มีโอกาสผมก็ไม่ทำหรอก
?ผมก็เห็นด้วยครับ?
โคอิซึมิหรี่ตาลงเหมือนปิดไปครึ่งหนึ่ง ปลายริมฝีปากชี้ขึ้นเล็กน้อย จบด้วยยกแขนขึ้นกอดอกกับยกขาขึ้นไขว่ห้าง
?อ้อ เกี่ยวกับความเคยชินนะครับ เราสามารถรู้ได้จากผู้คนทั่วโลกที่ใช้ชีวิตอยู่ว่าแต่เดิมทีมนุษย์ก็เป็นสิ่งมีชีวิตที่มีความสามารถในการปรับตัวอยู่แล้ว จึงสามารถปรับตัวเข้ากับสภาพแวดล้อมส่วนใหญ่ได้ แต่ระยะนี้ผมเพิ่งคิดครับว่านั่นเป็นเรื่องดีหรือเรื่องร้าย เมื่อปรับตัวเข้ากับสถานการณ์หนึ่งได้ก็จะทำให้รับกับสถานการณ์ที่เกิดขึ้นอย่างไม่คาดคิดไม่ได้นั่นเอง?
พูดอะไร อย่างฮารุฮิ เรื่องธรรมดาที่เกิดแบบคาดการณ์ได้มันมีน้อยกว่าอีกนะ
?อื้อ นั่นก็จริงครับ......?
โคอิซึมิพูดไม่ออกซึ่งผิดกับวิสัยของหมอนี่ แต่ถ้ามันมีอะไรอยากพูด ต่อให้ไม่ถามก็จะบอกมาเอง งั้นสู้ไม่ถามดีกว่า เพราะถามแล้วถ้าตอบเรื่องยากๆ กลับมาคงน่าปวดหัวไม่ใช่น้อย
ผมหันหน้าไปทางฝั่งตรงข้ามกับโคอิซึมิอย่างเงียบๆ เพื่อเบนหนีจากสายตาของหมอนั่นที่เหมือนอยากพูดอะไร
?......?
พูดถึงเรื่องเงียบ สาวน้อยเอวบางร่างเล็กในชุดปกกะลาสีก็มหาเงียบขั้นเทพยิ่งกว่าใครๆ ทั้งหมด นอกจากเงียบแล้วก็นิ่งเฉยปล่อยให้สายลมเอื่อยๆ พัดผมให้สั่นไหวเล็กน้อยเท่านั้น
ไม่ต้องบอกก็คงรู้กันว่าสาวน้อยนางนั้นคือนางาโตะ ยูกิ อาวุธลับแห่งจักรวาลอันลี้ลับที่กองกำลัง SOS แสนจะภาคภูมิใจ???แต่เวลานี้ยศประธานชมรมวรรณกรรมคงจะเหมาะสมกับสถานที่มากกว่า นางาโตะเองก็ช่วยแบกโต๊ะเรียนกับเก้าอี้ลงมาที่สวนระหว่างอาคารเหมือนผมกับโคอิซึมิ เพียงแต่ตอนนี้เธอนั่งอ่านหนังสือเงียบๆ โดยเว้นช่วงห่างระหว่างพวกเราไปหลายเมตร ชื่อหนังสือคล้ายกับการรวมตัวกันของนักปรัชญากับจิตรกรและนักดนตรี ส่วนความหนาก็ยังหนาเหมือนอิฐบล็อกเช่นเคย
ผมแหงนหน้ามองอาคารชมรมจากตรงสวนนั้น ฮารุฮิที่วิ่งเข้าไปห้องชมรมเมื่อกี้กับคุณอาซาฮินะที่โดนฮารุฮิลากเข้าไปยังไม่กลับมา ใจจริงก็รู้สึกว่าจะไม่กลับมาเลยทั้งวันก็ได้ เชื่อว่านั่นคงเป็นเรื่องที่ดีสำหรับทุกคน แต่ก็คงหวังอะไรไม่ได้หรอก
เอาล่ะ
ลืมอธิบายสถานการณ์ตอนนี้ไปเลยสินะ งั้นจะสรุปสั้นๆ ก็แล้วกัน ตอนนี้คือเวลาหลังเลิกเรียนของเทอมใหม่ ใช่ เทอมใหม่ที่เปิดเรียนมาได้หลายวันแล้ว วันนี้พวกเราแบกโต๊ะกับเก้าอี้ลงมาที่สวนระหว่างอาคารเพื่อยึดพื้นที่มุมหนึ่ง ปี 2 กับ 3 คนอื่นๆ เองก็ทำแบบเดียวกัน แต่ก็ไม่ได้ทำกันทุกคนหรอก
ท่ามกลางฝูงชนมากมายนี้ก็เห็นพวกชุมนุมวิจัยคอมฯ ด้วย พวกนั้นวางเครื่องคอมฯ บนโต๊ะตัวยาวไว้หลายเครื่อง ภาพที่ปรากฏบนจอเองก็ดูเหมือนจะเป็นภาพ CG ของอะไรสักอย่าง ไม่ใช่เกมวางแผนรบทำสงครามอวกาศอันเก่า ดูเหมือนจะเป็นเกมจำพวกทายดวงที่ใช้ดีไซน์ภาพแบบสีเทียน ว่าแต่ประธานชุมนุมวิจัยคอมฯ แค่ดูอยู่เฉยๆ เรอะ ถึงตอนนี้จะยังเห็นคุณประธานที่ขึ้นเรียนชั้นปี 3 ได้โดยสวัสดิภาพอยู่ตรงนั้นแต่ก็ไม่รู้ว่ายังดำรงตำแหน่งประธานชุมนุมอยู่รึเปล่า แต่ก็ไม่ใช่เรื่องสำคัญที่จำเป็นต้องรู้ ไว้ค่อยถามนางาโตะทีหลังก็แล้วกัน
พอหันไปดูทางอื่นก็เห็นกลุ่มคนที่ไม่รู้ว่าเป็นก๊กเหล่าไหนมั่งเบียดเสียดกันเต็มไปหมด ในบรรดานั้นก็มีกลุ่มกิจกรรมไม่ก็พวกชุมนุมวิจัยแปลกๆ ที่ไม่เคยได้ยินมาก่อน แต่การได้ค้นพบพวกนั้นก็ทำให้ผมยิ่งหมดความสนใจเข้าไปใหญ่ เดิมทีกิจกรรมแบบนี้ก็ไม่น่าจะมีความเกี่ยวข้องใดๆ กับพวกเราอยู่แล้ว
ถ้าจะมีจริงๆ ก็แค่นางาโตะคนเดียว
ผมหันไปมองสาวน้อยรักการอ่านที่ปากปิดสนิทเหมือนเครื่องปั้นดินเผาอีกครั้ง
หน้าโต๊ะที่นางาโตะนั่งในตำแหน่งที่อยู่ห่างจากทุกสิ่งมีกระดาษที่ใช้เขียนคัดพู่กันติดสก็อตเทปไว้ตรงนั้น บนกระดาษมีตัวอักษรสีดำเขียนเป็นฟ้อนท์พิมพ์สดใสว่า ?ชมรมวรรณกรรม? ทุกครั้งที่ลมฤดูใบไม้ผลิพัดมากระทบกระดาษสั่นไหว ผมสั้นเต่อที่ไม่มีความจำเป็นต้องแวะเข้าร้านเสริมสวยของนางาโตะก็สั่นไหวเล็กน้อยไปด้วยเช่นกัน แต่เธอก็ยังไม่ถอนสายตาขึ้นจากหน้าหนังสือ ยังคงอ่านเงียบๆ ราวกับประสงค์ที่จะถูกตัดขาดจากโลกภายนอก
คงรู้กันแล้วสินะ
งานตั้งโต๊ะชักชวนคนเข้าชมรมชั่วคราวซึ่งพ่วงกับการอธิบายเนื้อหากิจกรรมไปด้วยโดย???ชมรมวิชาการ??? โดยเฉพาะชมรมเล็กๆ
สิ่งที่จัดอยู่ในสวนระหว่างอาคารขณะนี้ก็คือกิจกรรมอย่างที่ว่า พวกชมรมกีฬาเองก็ตั้งโต๊ะชักชวนคนอย่างนี้ที่โรงพละหรือสนามกีฬาเช่นกัน ส่วนชมรมที่ถึงไม่ต้องทำกิจกรรมชักชวนก็มีคนมารวมกันเองอยู่แล้วอย่างชมรมเครื่องเป่าหรือชมรมศิลปะก็แค่เตรียมแหไว้หว่านเด็กใหม่ตรงหน้าห้องชมรมของตัวเองที่เป็นห้องเรียนอยู่แล้วก็พอ สรุปคือพวกที่อยู่ที่นี่หลักๆ ก็มีแค่พวกที่ต่ำชั้นกว่าชุมนุมวิจัยหรือสูงกว่ากลุ่มกิจกรรมที่ถ้าไม่โฆษณาก็จะไม่มีใครรู้เนื้อหากิจกรรมหรือแม้แต่การมีอยู่
อ้อ เพราะคิดว่าไม่จำเป็นต้องบอกเลยลืมไป คือสมาชิกกองกำลัง SOS หรือผู้มีความเกี่ยวข้องต่างก็ขึ้นชั้นปีใหม่โดยสวัสดิภาพกันถ้วนหน้า ทั้งผม ฮารุฮิ นางาโตะ โคอิซึมิต่างก็เป็นนักเรียนปี 2 กันแล้ว ส่วนคุณอาซาฮินะก็เป็นนักเรียนปี 3 การต้องบอกลาห้องเรียนปี 1 ห้อง 5 ก็พูดได้ไม่เต็มปากหรอกว่าจะไม่เหลือความอาลัยอาวรณ์ต่อห้องนั้นเลย แต่เอาน่า ถึงขึ้นปี 2 แล้วก็ไม่ได้มีอะไรเปลี่ยนไปเท่าไหร่ ผมกับฮารุฮิก็ยังเรียนอยู่ห้องเดียวกันเหมือนเดิม ตอนเจอหน้ากันในฐานะนักเรียนปี 2 ใหม่ๆ สดๆ ซิงๆ เมื่อวันพิธีเปิดภาคเรียน คนที่นั่งทำปากเป็นตุ่นปากเป็ดซึ่งชำนาญในการหาเรื่องวุ่นวายใส่ตัวอยู่ตรงที่นั่งเรียนข้างหลังผมด้วยกิริยาท่าทางยิ่งใหญ่คับห้องก็เป็นสึซึมิยะ ฮารุฮิไม่ผิดแน่นอน
?นี่มันอะไรกันเนี่ย?
ฮารุฮิจ้องเหล่าเพื่อนร่วมชั้นใหม่เหมือนจะจับกิน
?หน้าตาพวกที่เรียนในห้องนี้ไม่ได้ต่างจากตอนปี 1 เท่าไหร่เลยไม่ใช่เหรอ นึกว่าจะมีสลับสับเปลี่ยนมากกว่านี้ซะอีก?
อยากบ่นว่าให้เลือกเอาสักอย่างว่าจะดีใจหรือไม่พอใจ แต่เฉพาะเวลานี้ที่ผมเห็นด้วยกับฮารุฮิอย่างไม่ตั้งใจ นั่นเพราะผมกับฮารุฮิถูกจับให้มาอยู่ปี 2 ห้อง 5 แล้วก็ไม่รู้ทำไมทานิงุจิกับคุนิคิดะถึงโดนจับมาอยู่ห้องนี้ด้วย กระทั่งอาจารย์ประจำชั้นก็ยังเป็นอาจารย์โอคาเบะที่เป็นที่รู้จักกันดีว่าห่วงลูกศิษย์ลูกหา แต่ถึงจะมีหน้าเดิมๆ โผล่สลอนมาให้เห็นเยอะก็ยังมีคนที่ไม่รู้จักกระทั่งชื่อแซมอยู่บ้าง แต่องค์ประกอบหลักก็เหมือนยกปี 1 ห้อง 5 เก่ามาทั้งห้อง ต้นเหตุมันมาจากว่าหากจับพวกที่เพิ่งจะตัดสินใจอย่างเร่งด่วนได้ว่าอยากเน้นสายวิทย์มารวมกันก็จะได้เต็มหนึ่งห้องพอดี ห้อง 8 เลยเป็นจานรองรับพวกนั้นไป ส่วนห้อง 8 ในอดีตก็ถูกแบ่งออกไปกระจายอยู่อีก 7 ห้องที่เหลือ ดังนั้นพวกชนกลุ่มน้อยนิดที่ดูแล้วไร้ซึ่งความหมายก็เลยย้ายออกไปจากที่นี่บ้าง แล้วก็มีพวกที่ระหกระเหินจากที่อื่นมาลงที่นี่บ้าง การที่อาจารย์โอคาเบะให้ทุกคนแนะนำตัวกันตามมารยาท บางทีอาจเป็นการทำเพื่อชนกลุ่มน้อยนิดเหล่านั้นก็เป็นได้
แน่นอน ผมเองก็มีข้อข้องใจเกี่ยวกับการย้ายห้องอยู่เล็กน้อย ถึงจะเป็นความช่างสงสัยที่ไร้ประโยชน์แต่ก็ลองยิงคำถามใส่บุคคลที่น่าจะอยู่เบื้องหลังเหตุการณ์นี้
?นี่เป็นแผนการของพวกนายรึไง??
และหนึ่งในคำตอบที่ผมได้มาคือ
?ไม่ใช่? นางาโตะตอบด้วยน้ำเสียงเรียบๆ ก่อนย้ำต่อว่า ?แค่บังเอิญ?
?ผมไม่ได้ทำอะไรหรอกนะ นี่เป็นความประสงค์ของทางโรงเรียน อย่างน้อยที่สุดทาง ?องค์กร? ก็ตัดสินใจแล้วว่าจะไม่แทรกแซงใดๆ กับเรื่องนี้? โคอิซึมิยืนยันปนยิ้มฝืนๆ ?คงจะเป็นความบังเอิญสินะ?
ดูเหมือนจะเป็นเรื่องจริง
แต่ผมรู้จักชื่อของผู้หญิงอยู่คนที่เปลี่ยนความบังเอิญให้กลายเป็นเรื่องตายตัวได้ คงไม่จำเป็นต้องบอกหรอกนะว่าใคร
จะว่าไปคุณอาซาฮินะกับคุณซึรุยะก็ได้อยู่ห้องเดียวกันอีกแล้วสินะ? ถ้าเป็นกรณีนี้ อาจมีการแทรกแซงจากตระกูลซึรุยะก็ได้ แต่นั่นก็ไม่ใช่เรื่องที่ผมต้องแย้งออกไปอยู่ดี เพราะถึงจะเรียนคนละห้องหรืออยู่กันคนละชั้นปี ยังไงซะหลังเลิกเรียนทุกคนก็มารวมตัวในที่เดียวกันอยู่แล้ว
สิ่งที่ผมใส่ใจ???และควรจะใส่ใจคงจะเป็นอย่างอื่น บางทีอาจอยู่ในกลุ่มนักเรียนใหม่ที่อยู่ตรงหน้าผมก็ได้
ได้เป็นเพื่อนกับมนุษย์ต่างดาวไปแล้ว ได้คนจากโลกอนาคตเป็นรุ่นพี่ไปแล้ว ส่วนเรื่องผู้ชายที่ผมคุยด้วยมากที่สุดใน 1 ปีที่ผ่านมาเป็นผู้มีพลังจิต ถึงไม่อยากยอมรับแต่ก็ต้องยอมรับ
แต่
การแนะนำตัวของฮารุฮิในวันนั้น เวลานั้น ที่ทำเอานักเรียนในห้อง 5 ที่ไม่ได้จบจากมัธยมตะวันออกตะลึงตาค้างปากค้างในคำพูดที่กลายเป็นเรื่องเล่าขานนั้นยังมีอีกหนึ่งจำพวกที่ยังไม่ปรากฏตัว ผมไม่ลืมหรอก
คนจากต่างมิติ
อืม ก็ไม่ได้อยากให้ของแบบนั้นมันมีอยู่เท่าไหร่หรอก แต่ก็มีแค่พวกนั้นที่ยังขาดไป และตอนนี้พวกเราก็ขึ้นชั้นปีใหม่อย่างไม่มีปัญหาติดขัด ที่นั่งของปี 1 ก็เลยว่างอยู่......
?น่าหน่ายจิตหน่ายใจจริง?
ผมขยับคอไปมาเหมือนแก้เมื่อยไหล่และเริ่มภารกิจสังเกตการณ์ปี 1 น้องใหม่
เพราะท่านผู้นำสั่งเอาไว้นี่นะว่า???ถ้าเจอคนที่ท่าทางมีแววก็ให้จับตัวไว้ทันที ว่าแต่คนมีแววอย่างที่ฮารุฮิต้องการมันมีรูปร่างหน้าตายังไงนะ
เล่าแถมอีกนิด ตอนแนะนำตัวในคาบแรกของชั้นปี 2 ห้อง 5 สึซึมิยะ ฮารุฮิไม่ได้แนะนำตัวแบบปีที่แล้ว แต่แนะนำตัวอย่างสั้นกระชับด้วยน้ำเสียงสดใสว่า
?ผู้นำกองกำลัง SOS สึซึมิยะ ฮารุฮิ แค่นี้แหละ!?
จนผมด้านหลังของผมถึงกับพัดปลิวขึ้นพร้อมกับพลังเสียงและรอยยิ้มไร้เทียมทามนั้น หลังแนะนำตัวสั้นๆ เสร็จก็นั่งลงไป
เธอทำหน้าเหมือนจะบอกว่าแค่นี้ก็พอแล้วนี่
แล้วก็นะ สำหรับเพื่อนร่วมชั้นทั้งหมดเองก็รู้สึกว่าแค่นั้นก็พอแล้วเหมือนกัน เพราะที่นั่นไม่มีใครไม่รู้จักชื่อเสียงเรียงนามของสึซึมิยะ ฮารุฮิกับกองกำลัง SOS อีก
ถ้าจะมี?
ผมนั่งคิดขณะมองเท้าทั้งหลายที่ใส่รองเท้าสำหรับเดินในอาคารที่แถบข้างเป็นสีของโรงเรียนซึ่งเคยเป็นของนักเรียนปี 3 จนถึงเมื่อปีการศึกษาก่อน
ก็คงมีแต่พวกที่อยู่ในกลุ่มนี้เท่านั้น
***********************************************************************************
นับเป็นเรื่องน่ายินดีอย่างยิ่งเมื่อยามฤดูกาลซากุระผลิบานมาเยือน สมาชิกกองกำลัง SOS ที่นำโดยฮารุฮิ ทุกคนต่างก็ขึ้นชั้นปีใหม่โดยสวัสดิภาพ แต่ทั้งที่เป็นช่วงที่ชื่นมื่นแล้วทำไมผมถึงต้องอยู่ในวงล้อมของเจ้าพวกนี้ด้วย คนหนึ่งเป็นคนที่เคยคุ้นหน้ากันดีก็เลยไม่มีปัญหา แต่ที่เหลือกลับเป็นสาวน้อยที่เคยก่อคดีลักพาตัว กับเจ้าคนจากโลกอนาคตที่เผยความเป็นศัตรูออกมาให้เห็นชัดๆ และสาวน้อยที่สุดแสนจะเป็นปริศนา ยิ่งไปกว่านั้น ปัญหาที่พวกนั้นยัดเยียดมาให้ก็ เอาเถอะ สรุปแล้วผมก็โดนต้อนเข้าไปเจอสถานการณ์ที่ไม่มีทางให้ถอยได้อยู่ดี เรื่องราวของซีรี่ส์ยอดนิยมเล่ม 9 ที่ทุกท่านรอคอย!
