จากเพื่อนสนิทที่รู้จักกันมาเป็นสิบปี
“ฮัลโหล...เออ อืม ออกเดินทางพรุ่งนี้ ...มีอะไร ยังห่วงอยู่อีกเหรอ ก็บอกว่าไม่เป็นไรไงเล่า คนที่โดนจำหน้าได้อย่างนายทำไม่ได้อยู่แล้ว
ไม่เป็นไร นี่ไม่ใช่ปัญหาของนายคนเดียวแล้ว ฉันก็ยกโทษให้เจ้าพวกนั้นไม่ได้เหมือนกัน ถึงจะมีสำนวนว่าเวรย่อมระงับด้วยการไม่จองเวรก็เถอะ แต่นั่นมันแค่คำพูดชวนเชื่อแหละน่า ฉันก็แค้นเจ้าพวกนั้นพอกันแหละ
เออ อืม รู้แล้ว คิดว่าฉันพยายามมากี่ปีเพื่อทำให้เจ้าพวกนั้นรู้สำนึกกันล่ะ ฉันจะไม่ทำให้ความรู้สึกกับความพยายามที่ทำมาทั้งหมดของนายต้องสูญเปล่าเด็ดขาด
...เอ๊ะ? อ๋อ เรื่องนั้นน่ะเหรอ เซ็นสัญญามาเรียบร้อย เอาไว้จะส่งเบอร์โทรศัพท์ของทางนั้นให้ทีหลัง อืม อืม ไม่เป็นไร จะระวัง เออ งั้นช่วยอวยพรให้หน่อยล่ะ”
หลังจากตัดสาย อาคุสึ โชเฮเหม่อมองออกไปนอกหน้าต่าง
ช่วยอวยพรให้หน่อยล่ะ
ขอให้เป้าหมายสำเร็จด้วยดี ขอให้ความพยายามทั้งหมดของพวกเราสัมฤทธิผล ขอให้ประกาศิตแห่งความยุติธรรมลงทัณฑ์พวกมันด้วยเถิด
“ช่วยอวยพรให้ที”
อาคุสึพูดซ้ำในลำคอเบาๆ
<1>
เขาปิดจอมอนิเตอร์ที่มีอยู่หลายตัวจนหมด จัดเก็บข้าวของทั้งบนโต๊ะและข้างในลิ้นชักจนเป็นระเบียบ วางกระดาษโน้ตจดพาสเวิร์ดสำหรับใช้ในงานไว้บนสุดในลิ้นชักจะได้หาเจอง่ายๆ
จากนั้นลองกวาดตามองจนทั่วบูทของตัวเองอีกครั้ง ดีล่ะ เพอร์เฟกต์ ...มั้งนะ
ซางาระ มิซึกินึกกังวลจึงเปิดลิ้นชักออกมาอีกครั้ง เช็กว่ากระดาษโน้ตอยู่ในที่ที่สามารถสังเกตเห็นได้ทันที
“ดีล่ะ”
มิซึกิพยักหน้าแล้วเดินออกนอกโซนกั้นห้อง ก่อนจะส่งเสียงทักพนักงานรุ่นพี่ในบูทข้างเคียง
“ขอตัวก่อนนะครับ”
มิซึกิกล่าว
“อ๊ะ เหนื่อยหน่อยนะ”
รุ่นพี่อุตส่าห์หมุนเก้าอี้หันมาตอบ
“ซางาระคุงจะไปเที่ยวพรุ่งนี้ใช่ไหมนะ?”
“ครับ คงไม่อยู่สัปดาห์หนึ่ง รบกวนด้วยนะครับ”
“ได้ข่าวว่าถูกรางวัลจากการตอบแบบสอบถามเหรอ? ได้ไปรีสอร์ตหรูบนเกาะ สุดยอดเลยแฮะ”
พอได้ยินคำว่าสุดยอด มิซึกิก็รีบร้อนโบกมือข้างหน้าตัวเอง
“มะ ไม่สุดยอดอะไรหรอกครับ! เอ่อ คนที่ถูกรางวัลน่ะ...ไม่ใช่ผมแต่เป็นเพื่อนผมเอง เขาเชิญไปเป็นคู่ก็เลยชวนผม ทีแรกก็กะจะไปด้วยกัน แต่เพื่อนผมลางานไม่ได้จริงๆ เพราะงั้นเลย...”
เขาละล่ำละลักแก้ตัว
“เสียใจแทนด้วยนะ”
รุ่นพี่ขมวดคิ้วเหมือนรู้สึกเสียใจแทนจริงๆ
“เพื่อนนายอดไปมันก็น่าเสียดาย แต่นายจะไม่เบื่อแย่เหรอ อุตส่าห์ได้ไปรีสอร์ตทั้งทีแต่ต้องไปคนเดียว”
มิซึกิโบกมืออีกครั้ง ทั้งซาบซึ้งและรู้สึกเกรงใจที่รุ่นพี่เป็นห่วง
“อ๊ะ...ผะ ผมไม่เป็นไรหรอกครับ ชินกับการทำอะไรคนเดียวด้วย...อีกอย่าง ผมแทบไม่เคยไปเที่ยวแบบส่วนตัวเลย เพราะงั้นแค่รู้ว่าจะได้ไปรีสอร์ตชายทะเลหรือโรงแรมพวกนั้นก็ตั้งตารอจะแย่แล้วครับ”
“เอาเถอะ ถ้าโรงแรมดีอาหารคงอร่อย แค่ได้ไปนั่งเหม่ออยู่ริมทะเลก็สดชื่นแล้วด้วย ไปพักผ่อนให้หายเหนื่อยล่ะ”
“ครับ ขอบคุณครับ”
“ของฝากขอเป็นของกินนะ”
“ของฝาก...”
พอโดนระบุของฝากเสียชัดเจนแบบนี้เขาก็อึ้ง ความคิดที่จะซื้อของฝากกลับมานั้นแทบไม่เคยอยู่ในสมองของมิซึกิเลย
“เอ๊ะ อ๊ะ นั่นสินะครับ...ถ้ามีโอกาสได้ซื้อ...”
“ต้องมีสิ ร้านค้าในโรงแรมก็ได้”
“นั่น...สินะครับ...ถ้าไม่ลืม...”
เขาตอบรับได้ไม่เต็มปาก
“เพิ่มของฝากเข้าลิสต์ไปเลยสิ”
อีกฝ่ายย้ำมาอีกครั้ง
ขืนบอกไปตามตรงว่าเขาไม่ได้ทำลิสต์แบบนั้นมาตั้งแต่แรกแล้วคงจะโดนมองว่าเป็นพวกไม่ดูบรรยากาศซะเปล่าๆ มิซึกิจึงได้แต่ปั้นยิ้มฝืนๆ “ครับ เข้าใจแล้ว” เขาไม่มีครอบครัวที่เฝ้ารอของฝากจากทริปอย่างใจจดใจจ่อ เพื่อนก็ไม่มีเช่นกัน
เมื่อทักทายบอกลาเสร็จมิซึกิก็เดินออกจากชั้น เซนเซอร์บนประตูตอบสนองชิปที่ฝังอยู่ในไอดีการ์ด ป้ายบนบูทของมิซึกิถูกเปลี่ยนเป็นคำว่า ‘ไม่อยู่’
เขาเดินผ่านโถงทางเข้าอันกว้างขวางของอาคารบริษัทออกไปด้านนอก แม้ฝนที่ตกตั้งแต่เช้าจะหยุดแล้ว แต่พื้นถนนยังคงเปียก สายลมอุ่นชื้นของเดือนมิถุนายนไล้ผ่านแก้ม
มิซึกิมุ่งหน้าไปยังสถานีรถไฟพลางคิดถึงวันพรุ่งนี้ เตรียมการพร้อมสรรพ ไม่น่าจะลืมอะไร แต่ว่า...ไว้กลับไปแล้วจะลองเช็กข้าวของทุกอย่างใหม่อีกที
อย่างที่บอกรุ่นพี่ มิซึกิแทบไม่เคยไปเที่ยวแบบส่วนตัวเลย ครอบครัวเคยพาไปทะเลหรือภูเขามาตั้งแต่สมัยเด็กก็จริง แต่ในช่วงฤดูใบไม้ผลิของปีที่มิซึกิขึ้นชั้น ม.ต้น ยังไม่ทันคุ้นเคยกับเครื่องแบบดี ครอบครัวก็โดนลูกหลงจากอุบัติเหตุบนทางด่วนจนจากไปทั้งคู่ หลังจากนั้นมาพี่สาวที่อายุห่างกันห้าปีก็พยายามอย่างหนักในฐานะผู้ปกครอง แต่พี่น้องเหลืออยู่กันสองคนแบบนี้จึงไม่ค่อยมีโอกาสชวนกันไปเที่ยวเล่นหรือเดินทางไกลสักเท่าไร
แม้แต่ตอนที่เรียนต่อมหาวิทยาลัยได้เพราะพี่สาว ก็สบายแค่ช่วงไม่กี่เดือนแรก หลังจากนั้นเช้ายันเย็นก็ง่วนอยู่แต่กับงานพิเศษหรือไม่ก็เรียนหนังสือ ต่อให้เรื่องเงินทองเข้าที่เข้าทางบ้างแล้วตั้งแต่เริ่มทำงาน เขาก็ยังไม่เคยเดินทางไกลแบบส่วนตัวอยู่ดี เดิมทีก็เป็นพวกติดบ้านอยู่แล้ว แค่ได้ออกไปสเกตช์ภาพเป็นงานอดิเรกใกล้ๆ บ้านก็เพียงพอ
(จะว่าไปแล้ว...)
ทริปครั้งสุดท้ายที่เขาสนุกได้อย่างไร้เดียงสาจริงๆ ก็คือทัศนศึกษาตอน ม.ปลาย ถ้าไม่นับตอนที่ไปเข้าร่วมการประกวดงานอดิเรกหรือตอนไปทำงานต่างจังหวัด พรุ่งนี้ก็เรียกได้ว่าเป็นทริปท่องเที่ยวในรอบเจ็ดปีเลยทีเดียว
โรงแรมหรู ‘เดอะริชซีซัน’ ซึ่งกระจายอยู่ทั่วโลกก่อตั้งกลุ่มบริษัท ‘เออร์เบินซีซัน’ ขึ้นมาใหม่โดยมุ่งเน้นไปที่รีสอร์ต และเออร์เบินซีซันที่ว่านั้นกำลังโปรโมต ‘เออร์เบินซีซันมิฮามะจิมะ’ ด้วยสโลแกน ‘สวรรค์ของเกาะทางใต้ที่นั่งเรือไปได้จากโตเกียว’
นั่งเรือจากโตเกียวลงใต้ใช้เวลาสิบสองชั่วโมง เกาะมิฮามะจิมะบนมหาสมุทรแปซิฟิกเป็นเกาะเล็กๆ ทรงพระจันทร์เสี้ยวที่มีความยาวเพียงสองกิโลเมตรครึ่ง เออร์เบินซีซันเข้าซื้อเกาะร้างนั้นไปพัฒนาเป็นพื้นที่รีสอร์ตที่สามารถเข้าพักเพื่อเพลิดเพลินไปกับบรรยากาศริมทะเล รอบนอกของจันทร์เสี้ยวเป็นสันเขาและผาสูง คลื่นลมแรง แต่รอบในจันทร์เสี้ยวมีเพียงคลื่นลมอ่อนๆ ว่ากันว่าจะลงไปเล่นน้ำ ตกปลา หรือลงไปดำน้ำชมวิวใต้ทะเลอันสวยงามในเขตร้อนก็ได้ทั้งนั้น
(รีสอร์ตริมทะเลเหรอ)
มิซึกิเป็นคนขี้อาย เข้ากับคนแปลกหน้าไม่ค่อยเก่ง ชอบใช้สมองมากกว่าใช้แรงมาตั้งแต่เด็ก พวกกีฬาทั้งหลายก็ชอบดูอยู่หรอก แต่ถ้าให้เล่นเองอย่างไรก็รู้สึกว่าไม่ถนัด กีฬาทางน้ำยิ่งแล้วใหญ่ แต่ก็อย่างที่บอกรุ่นพี่ไป แค่ได้พักในโรงแรมเครือเออร์เบินซีซันที่ขึ้นชื่อว่าเป็นโรงแรมหรูก็น่าสนุกพอแล้ว ถ้าได้สเกตช์ภาพหาดทรายสีขาวกับทะเลสีฟ้าใสที่เคยเห็นแต่ในรูปก็คงจะสนุกเหมือนกัน
เขาอ่านแผ่นพับมาแล้วไม่รู้กี่รอบ
‘ซีซันอินมิฮามะจิมะ’ ของเออร์เบินซีซันมิฮามะจิมะ เป็นโรงแรมที่ตกแต่งอย่างมีสไตล์ ให้อิมเมจคล้ายกระท่อม ตั้งอยู่บนเนินสูงมองลงมาเห็นชายทะเล ด้านหลังเป็นป่าสีเขียว นอกจากอาคารหลักสี่ชั้นก็มีกระท่อมแยกออกไปอีก แน่นอนว่ามีสระว่ายน้ำ เครื่องเล่น ซาวน่า และยังมีห้องรีแลกซ์ที่สามารถเข้าไปนวดอโรมาหรือมินิเทียเตอร์อีก ว่ากันว่าสามารถสัมผัสประสบการณ์การพักผ่อนในโรงแรมอย่างมีคลาสได้อย่างแท้จริง อาหารฝีมือชาวฝรั่งเศสที่เคยเป็นหัวหน้าเชฟในโรงแรมสามดาวก็เป็นหนึ่งในจุดขาย มีเอเซียไดนิงที่สามารถเพลิดเพลินกับอาหารไทย เวียดนาม และมีภัตตาคารจีน อาหารญี่ปุ่นร้านดังอยู่ในนั้นด้วย
ที่มิซึกิเข้าร่วมคือมอนิเตอร์ทัวร์ ที่จัดขึ้นก่อนเปิดเออร์เบินซีซันมิฮามะจิมะอย่างเป็นทางการ ดังนั้นอาจจะเข้ารับบริการภายในโรงแรมทุกอย่างไม่ได้ แต่แค่นั้นก็เพียงพอแล้วสำหรับมิซึกิ
(พกดินสอสีกับสมุดสเกตช์เล่มสำรองไปด้วยดีไหมนะ)
พอได้กำดินสอ จิตใจถึงค่อยสงบลง อุปกรณ์สีน้ำกับสมุดสเกตช์ถูกใส่เอาไว้ในกระเป๋าเดินทางแล้วก็จริง แต่เตรียมดินสอสีกับสมุดสเกตช์เล่มใหม่เผื่อไว้อีกเล่มก็อาจจะดีเหมือนกัน
มิซึกิเดินเร็วๆ ไปตามทางเดินในบ้านพลางจินตนาการถึงทริปในวันพรุ่งนี้
วันรุ่งขึ้น ขณะที่ดวงอาทิตย์จะตกดิน มิซึกิลากกระเป๋าเดินทางมาถึงเทอร์มินัลเรือสำราญที่อยู่ริมอ่าวโตเกียว
หากใช้เรือสำราญที่ตรงไปเกาะมิฮามะจิมะจากท่าเรือนี้จะใช้เวลาสิบสองชั่วโมง มิซึกิเข้าไปในห้องพักผู้โดยสาร
เพราะเป็นช่วงอาทิตย์ตกดินจึงไม่ค่อยเห็นผู้โดยสารที่มานั่งเรือข้ามฟากชมวิวแล้ว ทว่าข้างหน้าต่างที่เป็นลานรวมตัวของผู้เข้าร่วมโอเพนนิงแคมเปญก็มีนักท่องเที่ยวสิบกว่าคนยืนด้วยกัน มองเห็นชายในชุดสีดำทางการ พนักงานยกกระเป๋าในเครื่องแบบที่เข็นรถเข็นคันโตบรรทุกกระเป๋าเดินทางข้างในจนแน่นเอี้ยด บนรถเข็นนั้นยังมีกระเป๋าเดินทางกองโตวางซ้อนอยู่อีกชั้น
เมื่อมิซึกิเดินไปข้างๆ ที่ขายตั๋วเรือข้ามฟาก ชายสวมชุดสุภาพคนนั้นก็เดินมาหาด้วยรอยยิ้มอย่างมีมารยาท ถุงมือสีขาวสะอาดจนแสบตา
“ขอประทานอภัยครับ ท่านผู้โดยสารเป็นผู้ให้เกียรติเข้าร่วมโอเพนนิงแคมเปญของเออร์เบินซีซันมิฮามะจิมะ ถูกต้องหรือเปล่าครับ”
มิซึกินิ่งงันเล็กน้อยเมื่อเจอคำพูดที่สุภาพอลังการก่อนจะพยักหน้า “ใช่ครับ”
“ผมได้รับแจ้งว่าถูกรางวัล”
“ขออนุญาตตรวจสอบได้หรือเปล่าครับ”
ในใบแจ้งรายละเอียดการเดินทางเขียนไว้อย่างชัดเจนว่าให้นำใบแจ้งถูกรางวัลติดตัวไปด้วยเพื่อยืนยันตัวตน
มิซึกิหยิบซองจดหมายที่มีความหนาประมาณหนึ่งออกจากกระเป๋าเป้ จ่าหน้าซองเขียนว่า ‘คาเสะ มิจิยะ’ ในข้อกำหนดเขียนว่าผู้ถูกรางวัลไม่สามารถมอบสิทธิ์ให้กับผู้อื่นได้ เขาจึงยื่นให้ด้วยความหวั่นใจเพราะไม่รู้จะได้หรือเปล่า
“ขออภัยที่เสียมารยาทครับ...คุณคาเสะ มิจิยะเข้าร่วมคนเดียวสินะครับ ขออภัยที่ให้รอนาน”
คาเสะ มิจิยะ คือชื่อของเขาในทริปนี้ มิซึกิทวนชื่อนั้นอีกครั้งในใจและพยักหน้าอย่างระมัดระวังเพื่อไม่ให้ทำตัวผิดปกติ
“กระผมรับหน้าที่เป็นผู้ดูแลซีซันอินมิฮามะจิมะ นามว่าฮานาอิครับ จะเป็นผู้นำเที่ยวในแคมเปญทัวร์ครั้งนี้ หากมีเหตุขัดข้องหรือต้องการอะไรเพิ่มเติมสามารถแจ้งมาได้เลยนะครับ”
“ขอบคุณครับ...ขอฝากตัวด้วยนะครับ”
ฮานาอิค้อมศีรษะลงต่ำถึงสะโพกจนมิซึกิพลอยก้มหัวตอบอย่างไปไม่เป็น
ตอนนี้รู้แล้วว่าขอแค่มีใบแจ้งถูกรางวัลก็ไม่จำเป็นต้องแสดงเอกสารพิสูจน์ตัวตนอย่างอื่น แต่ไม่เคยคิดมาก่อนว่าการปกปิดชื่อจริงของตัวเองเป็นเรื่องที่ทำให้ประหม่าได้ถึงขนาดนี้ เอาเป็นว่าโล่งใจไปหนึ่งเปลาะที่ผ่านการต้อนรับมาได้ด้วยดี
“สัมภาระอยู่ทางนี้ใช่หรือเปล่าครับ? ทางเราจะดูแลเอง”
พนักงานยกกระเป๋ายิ้มแย้มชี้ไปทางกระเป๋าลากของมิซึกิ
“ทางเราจะยกไปที่ห้องโดยสารให้ก่อน ระหว่างนั้นรออยู่ทางนี้สักพักจนกว่าจะถึงเวลาขึ้นเรือนะครับ”
รบกวนด้วยครับ ขณะที่มิซึกิกำลังฝากกระเป๋าลาก ทันใดนั้น
“สวัสดีครับ!”
เขาหันขวับไปข้างหลังที่มีน้ำเสียงร่าเริงดังขึ้นมา
เห็นชายหนุ่มท่าทางกระฉับกระเฉงถือกระเป๋ายิมก้าวเร็วๆ มาทางนี้
มองปราดเดียวก็รู้ว่าเป็นคนประเภทที่ตัวเองไม่ชอบ ถ้าบอกว่าไม่ชอบก็อาจจะพูดเกินไป แต่เป็นขั้วตรงข้ามกับเขา
แจ็กเกตมีกระเป๋าสไตล์ทหาร กางเกงยีน คงจะอายุมากกว่ามิซึกิสักสี่ห้าปี เป็นชายรูปร่างเพรียว ผิวสีเข้มเกรียมแดด หางตาชี้ขึ้น ดวงตามีประกายเจิดจ้าจนสะดุดตาตั้งแต่ครั้งแรกที่เห็น
ภาพลักษณ์ดูเป็นคนช่างเจรจา สดใสแอ็กทิฟ ตัวสูงกว่ามิซึกิที่สูงเพียงหนึ่งร้อยหกสิบห้าเซนติเมตรหนึ่งช่วงศีรษะ เขารู้ตัวดีว่าตัวเองค่อนข้างผอมบางร่างน้อยเมื่อเทียบกับผู้ชาย แค่นั้นก็ทำให้เสียความมั่นใจแล้ว
“คุณฮานาอิใช่ไหมครับ ผมเป็นนักเขียนชื่ออาคุสึ มาจาก ‘รารุบุ’ ครับ”
ชายที่แนะนำตัวว่าชื่ออาคุสึเดินตรงเข้าไปทักทายฮานาอิเล็กน้อยพร้อมกับยื่นนามบัตร
“อ้อ เพิ่งพบกันครั้งแรกสินะครับ ครั้งนี้ต้องขอฝากตัวด้วยครับ หากขาดเหลืออะไรที่ต้องใช้เก็บข้อมูล สามารถเรียกกระผมได้เลยครับ”
ฮานาอิหยิบนามบัตรออกมาจากกระเป๋าด้านในตอบอีกฝ่าย
“ทางนี้ต่างหากที่ต้องขอรบกวน ฝากตัวด้วยนะครับ”
ดูเหมือนอาคุสึมาทัวร์นี้เพื่อเก็บข้อมูล จะให้อยู่ตรงที่ที่คนอื่นคุยธุระกันอยู่มันก็แปลกๆ มิซึกิจึงถอยออกมาก้าวหนึ่งเพื่อปลีกตัวออกไปเงียบๆ แต่อาคุสึสังเกตเห็นด้วยความว่องไว
“อ๊ะ ผู้เข้าร่วมแคมเปญนี้เหรอครับ?”
อีกฝ่ายทัก
“เอ๊ะ เอ่อ ครับ...”
“ผมมาเก็บข้อมูลให้กับนิตยสารการท่องเที่ยวรารุบุ แล้วก็มาเข้าร่วมโอเพนนิงแคมเปญนี้ด้วย ชื่ออาคุสึครับ ฝากตัวด้วยนะครับ”
อาคุสึคลี่ยิ้มสดใสและยื่นนามบัตรอีกใบให้มิซึกิ บนนามบัตรที่รับมานั้นมีคำว่านักเขียนกำกับอยู่ข้างชื่อ ‘อาคุสึ โชเฮ’
หากได้รับการแนะนำตัวพร้อมกับนามบัตรก็ควรจะทักทายตอบ มิซึกิเริ่มลน
“อะ...เอ่อ ผมไม่ได้พกนามบัตรมา...ชื่อคาเสะ มิจิยะครับ เป็นพนักงานบริษัท ขอฝากตัวด้วยนะครับ”
เมื่อมิซึกิบอกชื่อ อาคุสึก็พูดขึ้นมาสั้นๆ “เอ๊ะ คาเสะ...”
เขาใจหายไปแวบหนึ่ง ถ้าตัวเองเคยเจอคนหล่ออย่างอาคุสึมาก่อนคงไม่มีทางลืมได้อยู่แล้ว...
“คาเสะ...มิจิยะครับ”
มิซึกิใจเต้นตุ้มๆ ต่อมๆ กลัวว่าถ้าโดนทักว่า เอ๊ะ ไม่ใช่ซางาระคุงหรอกเหรอ จะทำไงดี เขาจึงทวนชื่อไปอีกครั้ง ทีแรกว่าจะใช้ชื่อปลอมเพื่อหลีกเลี่ยงปัญหาวุ่นวาย แต่เขาคิดผิดงั้นหรือ
ความกังวลเริ่มเข้าครอบงำ แต่ทันใดนั้น
“อ๋อ ขอโทษครับ พอดีมีคนรู้จักที่ชื่อกับนามสกุลเหมือนกันเป๊ะเลยตกใจ ทางนี้ก็ขอฝากตัวด้วยนะครับ”
อาคุสึพูดพร้อมกับส่งยิ้มให้
โล่งอกไปทีที่ความไม่แตกว่าเขาไม่ใช่ผู้ถูกรางวัล
“ตั้งใจว่าหลังจากนี้จะแนะนำให้ทุกท่านรู้จักกันอยู่พอดีครับ ท่านนี้มาาร่วมทัวร์ด้วยกันเพื่อเก็บข้อมูลแคมเปญในครั้งนี้ จะคอยถ่ายรูปอาหารหรือเครื่องนันทนาการ หากท่านใดไม่สมัครใจก็จะไม่เผยแพร่ภาพเป็นอันขาด ดังนั้นขอให้วางใจได้เลยครับ”
ฮานาอิแนะนำอาคุสึที่ยืนอยู่ข้างกายเช่นนั้น “ครับ” อาคุสึพยักหน้า
“ถ้าไม่รังเกียจจะขอสัมภาษณ์ด้วยได้ไหมครับ ผมอยากใส่ความคิดเห็นจากผู้ที่ได้สัมผัสประสบการณ์จริงลงไปในบทความด้วย”
ได้ยินดังนั้นมิซึกิก็ลนลานอีกรอบ รีบโบกมือพั่บๆ อยู่หน้าตัวเอง
“ไม่หรอกครับ! คนอย่างผม...! ผมไม่ค่อยได้ไปเที่ยวไหน คงไม่มีความเห็นที่เป็นประโยชน์ขนาดนั้นหรอกครับ! ไปถามเอาจากคนอื่นดีกว่า...”
เขาถอยไปอีกสองสามก้าวอย่างเกรงใจ
“ไม่หรอกครับๆ ยิ่งเป็นความเห็นจากคนแบบนั้นยิ่งดูสดใหม่กว่าเดิมด้วยซ้ำ”
อาคุสึพยักหน้าบอกว่าไม่เป็นไร
“แต่แน่นอนว่าขอความร่วมมือแค่ในขอบเขตที่ไม่ทำให้คุณลำบากใจก็พอแล้วครับ”
และกล่าวเสริมเช่นนั้น
ดูเหมือนอาคุสึจะเป็นคนกระฉับกระเฉงร่าเริงไม่ผิดไปจากภาพลักษณ์แรกเห็น พูดคุยกับทุกคนได้อย่างไม่เกรงกลัว แถมยังมีความใส่ใจเล็กๆ พยายามไม่ทำให้อีกฝ่ายเดือดร้อน พูดอีกอย่างก็คือเป็นคนช่างเจรจาที่ ‘ดูบรรยากาศเป็น’
เมื่ออยู่ต่อหน้าคนแบบนั้นทีไร มิซึกิมักจะเกิดความรู้สึกด้อยค่าว่าตัวเองเป็นคนไม่ได้เรื่อง ทำอะไรไม่เป็น มืดมน เหมือนที่กำลังก้มหน้าด้วยความรู้สึกปั่นป่วนอยู่ตอนนี้
วันนี้มิซึกิเลือกใส่เสื้อเชิ้ตลายสกอตสีสดใสประมาณหนึ่งสำหรับตัวเอง คลุมทับด้วยแจ็กเกต แต่แจ็กเกตมีกระเป๋ากับยีนของอาคุสึที่เข้ากับลุกส์นั้นให้บรรยากาศสบายๆ และเท่กว่าเยอะ ทำเอาเขาเริ่มอับอายเพราะรู้สึกว่าตัวเองเชยเหลือเกิน
“ถ้าอย่างนั้นคุณอาคุสึ ทางนี้จะดูแลสัมภาระให้เองครับ...มีเท่านี้ใช่ไหมครับ?”
สัมภาระของอาคุสึ นอกจากกระเป๋าสะพายไหล่ก็มีแค่กระเป๋ายิมใบเดียว ไม่มีล้อลาก
“ครับ มีเท่านี้ครับ ฝากด้วยนะครับ”
อาคุสึส่งกระเป๋ายิมให้และหันกลับมาหามิซึกิ
“ไปนั่งรอทางโน้นกันไหมครับ”
เมื่อโดนชวนอย่างนั้นก็หนีไม่ได้ มิซึกิจึงเดินคู่กับอาคุสึย้ายไปยังริมหน้าต่างที่เป็นจุดรอของผู้โดยสารคนอื่น
ผู้เข้าร่วมโอเพนนิงแคมเปญบ้างก็นั่งรอบนม้านั่ง บ้างก็ชมรูปปั้นโลมาที่ประดับในสวนกลาง ทำโน่นทำนี่กันตามอัธยาศัยระหว่างรอประกาศขึ้นเรือ ได้ยินว่ามากันสิบคู่ รวมยี่สิบคน แต่ดูเหมือนจะมีบางคู่ที่ยังไม่มา มีคู่หญิงสาวที่น่าจะเป็นเพื่อนกันอยู่สองคู่ คู่แม่กับลูกสาวที่หน้าตาคล้ายกันหนึ่งคู่ ที่เหลือเป็นคู่สามีภรรยา คนรัก มีแต่คู่ชายหญิงทั้งนั้น
มิซึกินั่งบนม้านั่งตัวแรกสุดกับอาคุสึ
“นายมาเข้าร่วมคนเดียวเหรอ?”
อาคุสึหยิบกล้องตัวโตออกจากกระเป๋าสะพายไหล่มาคล้องคอก่อนจะถาม
เปลี่ยนจากคำสุภาพมาใช้คำเป็นกันเองได้อย่างเป็นธรรมชาติและไม่ขัดหูเลย
“อ๊ะ ครับ ตั้งใจจะมากับเพื่อน แต่เขาลางานไม่ได้จริงๆ น่ะ...”
“เหรอ ฉันก็เหมือนมาคนเดียวกลายๆ เพราะงั้นถ้าไม่รบกวน เวลากินข้าวหรืออะไรพวกนี้ขอแจมด้วยคนได้หรือเปล่า”
“เอ๋? เอ่อ...”
มิซึกิเบิกตางุนงงกับคำขอที่คาดไม่ถึง เพราะตั้งใจมาตลอดว่าจะใช้เวลาในทริปนี้คนเดียว
“ขอโทษนะที่ขออะไรกะทันหัน คือ...ไหนๆ ก็ได้มาเที่ยวแล้ว ถ้าได้กินข้าวหรือร่วมอีเวนต์กับใครสักคนมันน่าจะสนุกกว่าน่ะ”
ดูเหมือนอาคุสึจะจับสังเกตได้ว่ามิซึกินิ่งอึ้งไป
“แน่นอนว่าถ้านายอยากอยู่คนเดียว ฉันก็ไม่รบกวน...”
ยังไม่ทันปฏิเสธเลยแท้ๆ อาคุสึทำหน้าจ๋อยไปก่อนเสียแล้ว
“มะ ไม่หรอกครับ รบกวนอะไรกัน...”
มิซึกิเลิ่กลั่กกลัวอีกฝ่ายจะนึกว่าตัวเองรังเกียจ เขาไม่มีทางรังเกียจอยู่แล้ว แต่เขาเป็นพวกไม่กระตือรือร้น ขี้อายมาตั้งแต่สมัยก่อนเท่านั้นเอง ได้แต่หลบอยู่หลังเงาของพี่สาวที่สดใสและกระฉับกระเฉงตลอด ถึงจะมาเก็บข้อมูลก็เถอะ ไม่รู้ว่ามาอยู่กับตัวเขาที่เป็นแบบนี้มันจะสนุกตรงไหน
“เอ่อ...ผม...พูดไม่ค่อยเก่ง...เอ่อ คิดว่าอยู่กับผมไปก็ คือ ไม่น่าจะสนุกหรอกนะครับ...”
อาคุสึเบิกตากว้างกับคำพูดนั้นของมิซึกิ จากนั้นไม่นานก็เปลี่ยนเป็นสายตาฉงน
“...เอ่อ ขอคอนเฟิร์มหน่อยนะ คือนายไม่ได้รังเกียจฉันเลยปฏิเสธอ้อมๆ อยู่ใช่ไหม?”
“อ๊ะ ครับ! ไม่ใช่ว่ารังเกียจคุณอาคุสึ...แค่กลัวว่าอยู่กับคนอย่างผมไปก็ไม่ทำให้สนุกอะไรขึ้นมา...”
“เอาน่า มันก็แล้วแต่คนว่าจะเข้ากันได้หรือเปล่า แต่แค่ไปกินข้าวหรือร่วมอีเวนต์ด้วยกันนิดหน่อยในช่วงที่มาเที่ยวแค่นี้ไม่เห็นต้องสนใจอะไรมากเลย อีกอย่าง การพูดคุยน่ะไม่ใช่เรื่องที่ทำคนเดียวสักหน่อย ถ้าบทสนทนามันติดขัดก็เป็นความรับผิดชอบของเราทั้งคู่สิ ไม่ต้องคิดอะไรให้หนักหัวก็ได้น่า”
อาคุสึที่พูดเรื่องแบบนั้นได้อย่างชัดถ้อยชัดคำดูเท่เสียจนมิซึกิได้แต่อ้าปากค้าง ส่งสายตากลับไป
อาคุสึหัวเราะ
“เอาเป็นว่า แค่มีคนนั่งกินข้าวด้วยกันก็ดีกว่านั่งเหงาคนเดียวที่โต๊ะแล้ว นายล่ะว่าไง”
“อ๊ะ...”
ใบหน้าของมิซึกิเริ่มเห่อร้อน เขาก้มหน้าอย่างลนลาน
...คนที่มาเป็นเพื่อนกินข้าวด้วยกันหรือ ตั้งแต่พี่สาวไม่อยู่ เขาก็กินข้าวคนเดียวตลอดจนเป็นเรื่องปกติ ไม่ใช่แค่ในบ้าน จะในโรงอาหารของมหาวิทยาลัยหรือที่ทำงานก็กินคนเดียวแทบทุกครั้ง
แค่มีคนบอกว่าดีใจที่จะได้กินด้วยกันก็ทำเอาหน้าแดง นี่มันเข้าขั้นอาการหนักแล้วนะ พอรู้อย่างนั้นมิซึกิก็ยิ่งหน้าร้อนขึ้นไปอีก ไม่รู้อีกฝ่ายจะสงสัยหรือเปล่าว่าตัวเองคิดอะไรอยู่ถึงได้หน้าแดงเพราะบทสนทนาแค่นี้ ยิ่งนึกได้หน้าก็ยิ่งร้อนฉ่า
“เอ๊ะ อะ เอ่อ! ทะ ที่หน้าแดงก็คือว่า ไม่ได้มีความหมายแปลกๆ หรอกนะครับ...ความหมายแปลกๆ ที่ว่า อ๊ะ ไม่ใช่ ไม่ได้มีความหมายแปลกๆ จริงๆ นะครับ...!”
พอจะแก้ตัวก็นึกได้ว่ามันแปลกตั้งแต่พยายามจะแก้ตัวกับเรื่องแค่นั้นแล้ว
คราวนี้เขาร้อนไปทั้งตัวจนเหงื่อเย็นๆ เริ่มไหล
“อ๋อ ขอโทษที ทางนี้ก็ด้วยแหละ ทำเหมือนมาจีบเลยใช่ไหมล่ะ”
แต่อาคุสึเพียงยิ้มบางๆ ขอโทษเขาแทน
อาคุสึที่พูดว่า ‘เหมือนมาจีบ’ หน้าตาเฉยนั้นดูเจิดจ้าในสายตามิซึกิจริงๆ
“ไม่ได้มีเจตนาแปลกๆ หรอก แค่คิดจริงๆ ว่าถ้านายไม่รังเกียจก็อยากกินข้าวด้วยกันเฉยๆ ...อ้อ เหมือนมาจีบจริงๆ ด้วยแฮะ”
“มะ ไม่ได้คิดว่ามาจีบ...หรอกครับ! ไม่เลยสักนิด!”
นอกจากจะเป็นผู้ชายเหมือนกัน เขาก็รู้ดีว่าผู้ชายมาดเท่อย่างอาคุสึไม่มีทางมาสนใจคนอย่างตัวเองอยู่แล้ว
มิซึกิเงยหน้าพึ่บ พยักหน้าบอก “ไม่เป็นไรครับ!” อาคุสึทำตาโตราวกับตกใจ
“เอ่อ...ถ้า ถ้าไม่รังเกียจผม...ผมก็ไม่ติดเลยครับ ฝะ ฝากตัวด้วยนะครับ”
เขาก้มหัวเงอะๆ งะๆ “ค่อยยังชั่ว” อาคุสึยิ้ม
“งั้นขอฝากตัวอีกทีนะ”
มือของอีกฝ่ายยื่นเข้ามาในสายตาของมิซึกิที่กำลังก้มหน้าลง ดูเหมือนจะอยากจับมือด้วย
“...ทะ ทางนี้ก็...ขอฝากตัวด้วยนะครับ”
หลังจากลังเลอยู่แวบหนึ่ง มิซึกิก็จับมือของอาคุสึ มือที่หยาบกร้านและใหญ่กว่ามือของตัวเองประมาณหนึ่งนั้นอบอุ่นมากจริงๆ
“คิก ฮ่าฮ่าฮ่า”
ตอนนั้นเองที่เสียงหัวเราะแหลมสูงดังขึ้น
เขาสะดุ้งเพราะนึกว่ามีคนหัวเราะที่พวกเขากำลังจับมือกัน จึงรีบดึงมือกลับมาแล้วมองไปยังต้นเสียง
หญิงสาวในชุดกางเกงขาบานพลิ้วกับเสื้อไหมพรมเปิดไหล่กำลังชี้นิ้วไปยังรูปปั้นโลมานอกหน้าต่างพลางหัวเราะคิกคัก ตบไหล่ชายหนุ่มที่มาด้วยกันเสียงดังป้าบๆ
มิซึกิโล่งอกที่ทางนั้นไม่ได้หัวเราะพวกเขา ทว่าไม่ทันไร
“หนวกหู!”
เสียงตวาดราวกับจะตำหนิเสียงหัวเราะนั่นดังมาจากชายร่างกายกำยำ ใบหน้าแข็งกร้าว นับว่าอายุมากในหมู่ผู้เข้าร่วม ชายคนนั้นกำลังกระดิกขาอย่างไม่สบอารมณ์
“เอ๊ะ ตายแล้ว โดนดุแล้วสิเนี่ย?”
หญิงสาวห่อไหล่ เงยหน้ามองชายหนุ่มที่มาด้วยกัน แขกที่อยู่รอบๆ ลอบมองชายคนนั้นและส่งสายตาหาคนที่มาด้วยกันเหมือนจะสื่อว่า ‘น่ากลัวเนอะ’
ไม่รู้ว่าเจ้าตัวสัมผัสบรรยากาศนั้นได้หรือเปล่า
“เฮ้ย ยังไม่ถึงเวลาขึ้นเรืออีกรึไง”
ชายสูงวัยคนนั้นส่งสายตาคมกริบใส่ฮานาอิที่ยืนห่างออกไปเล็กน้อย
“คุณคุซุมิ ขออภัยด้วยครับ หากได้เวลาแล้วทางเราจะนำทางไป ตอนนี้กรุณารอสักครู่นะครับ”
ฮานาอิเดินเข้ามาค้อมศีรษะทักทายอย่างนอบน้อม คุซุมิแค่นเสียงออกจมูกดังหึตอบ
บรรยากาศเริ่มแย่ตั้งแต่ก่อนออกเดินทาง ในตอนนั้นเองมีคู่ใหม่มาเพิ่มอีกสองคู่รวมสี่คน ฮานาอิต้อนรับอย่างสุภาพและรับสัมภาระมาดูแล ดูเหมือนว่าคนจะครบแล้ว
ฮานาอิเหลือบมองเวลาบนนาฬิกาข้อมือ
“เอาละ ทุกท่าน ขออภัยที่ให้รอครับ”
ชายหนุ่มส่งเสียงสดใสราวกับจะปัดเป่าบรรยากาศเลวร้ายให้หายไป
“ขณะนี้ทุกท่านมาครบแล้ว ดังนั้นทางเราจะนำทางไปยังเรือ ‘เออร์เบินซันไรส์’ เลยนะครับ”
แขกที่นั่งกันอยู่จนถึงเมื่อครู่เริ่มลุกขึ้นยืน
หลายคนเดินผ่านหน้ามิซึกิกับอาคุสึที่นั่งอยู่ตรงม้านั่งตัวแรกสุดไป
คุซุมิยืดอกวางก้ามเดินตามหลังฮานาอิ ข้างกันมีผู้หญิงที่น่าจะเป็นภรรยาเดินเชิดจมูก คล้องกระเป๋าแบรนด์เนมไว้กับแขน
“เพิ่งเคยขึ้นเรือสำราญครั้งแรกเลย!”
หญิงสาวในชุดเปิดไหล่ที่โดนคุซุมิตำหนิว่าเสียงดังกำลังเดินคล้องแขนชายหนุ่มที่มาด้วยกันอย่างลิงโลด บนไหล่มีกระเป๋าสีน้ำตาลไหม้ซึ่งสกรีนโลโกแบรนด์เต็มใบเป็นเอกลักษณ์คล้องไว้หลวมๆ
ต่อจากชายมีอายุผอมกะหร่องที่เดินมาตัวเปล่ามีหญิงวัยเดียวกันสะพายกระเป๋าไว้บนหลัง สองมือถือกระเป๋าผู้ชายใบใหญ่ก้าวเล็กๆ ตามไป
คู่ผู้ชายสองคนเป็นชายวัยกลางคนร่างท้วมกับชายหนุ่มท่าทางขาดความมั่นใจ ชายคนนั้นเอาสัมภาระทั้งหมดของตัวเองให้ชายหนุ่มถือแล้วเดินตัวปลิวตามคาด ตามหลังมาด้วยชายหนุ่มตัวสูงใบหน้าเกลี้ยงเกลากับหญิงสาวน่ารักที่คาดว่าเป็นคนรัก เดินโอบไหล่ท่าทางสนิทสนม ทางนี้ฝ่ายชายเป็นคนถือกระเป๋าให้ฝ่ายหญิงด้วย
มิซึกิลุกไปเป็นคนสุดท้าย
“เรือสินะ...”
อาคุสึเองก็ลุกตาม
“ไม่ได้ขึ้นมาตั้งนาน แต่กินยาแก้เมาเรือมาแล้วคงไม่เป็นไรมั้ง”
เมื่อได้ยินคำพูดที่คาดไม่ถึง มิซึกิมองขึ้นไปหาอาคุสึ
“คุณอาคุสึเมายานพาหนะด้วยเหรอครับ?”
“เมาสิ เมา ถ้าเรือลำเล็กหรือรถน่ะไม่เป็นไรหรอก แต่พวกชินคันเซ็น เครื่องบิน หรือเรือลำใหญ่นี่ไม่ได้เลย”
“งั้นเหรอครับ”
“ผิดคาดเหรอ?”
“ครับ เพราะคุณอาคุสึดูเป็นคนแอ็กทิฟ น่าจะไม่มีปัญหากับการเดินทาง”
“ฉันเดินทางบ่อยเพราะเรื่องงาน ปกติเลยพยายามเดินทางด้วยรถนั่นแหละ แต่งานคราวนี้นั่งรถไปไม่ได้ใช่ไหมล่ะ?”
เห็นอีกฝ่ายตอบกลับมาด้วยความลำบากใจ มิซึกิก็หัวเราะเบาๆ
“อยู่อีกฟากทะเลแบบนั้นก็คงนั่งรถไม่ได้จริงๆ นั่นแหละครับ”
“นายล่ะ เมายานพาหนะง่ายหรือเปล่า?”
“นั่นสิครับ...ที่ผ่านมาไม่เคยเมาเลยสักครั้ง”
“ดีจังแฮะ”
แม้อาคุสึบอกว่าบทสนทนาเป็นความรับผิดชอบร่วมกัน แต่พอรู้ตัวอีกทีมิซึกิก็หายประหม่า เริ่มโต้ตอบอย่างเป็นธรรมชาติตามจังหวะสบายๆ ของอาคุสึไปแล้ว
เขาเดินออกจากห้องรอโดยสารไปยังทางเชื่อมสู่ทะเล เมื่อเดินจนสุดเส้นทางที่ขนาบด้วยแนวต้นไม้ก็ออกมาเจอท่าเทียบเรือ ด้านหน้ามีเรือสำราญสุดอลังการสูงขนาดตึกสี่ชั้นจากระดับน้ำทะเลจอดเทียบอยู่ นั่นคือเรือเออร์เบินซันไรส์ ถูกสร้างขึ้นสำหรับใช้เดินทางไปเกาะมิฮามะจิมะโดยเฉพาะ เป็นเรือสำราญที่มีสิ่งอำนวยความสะดวกครบครันเทียบเคียงกับโรงแรมเลยทีเดียว
ท้องฟ้าทิศตะวันตกยังหลงเหลือสีสว่างของท้องฟ้าอยู่จางๆ โดยมีสนธยาเป็นพื้นหลัง หน้าต่างที่เรียงเป็นแนวเดียวสะท้อนแสงสีส้มเป็นประกาย โดยเฉพาะชั้นดาดฟ้าที่ยื่นมาทางหัวเรือนั้นส่องแสงสีทองสว่างไสว งดงามราวกับราชินี เรือเออร์เบินซันไรส์ตั้งตระหง่านอยู่ตรงนั้น
แม้จะได้ยินมาว่าหากเทียบกับเรือสำราญชั้นหรูยังนับว่าเล็ก แต่ในสายตาของมิซึกิ เรือลำนั้นดูสง่างามมากแล้วจริงๆ ด้านอาคุสึเดินถอยออกมาถ่ายรูปอย่างว่องไว
เหล่าผู้โดยสารก้าวขึ้นบันไดไปตามลำดับ ในตอนนั้นเองที่บรรดาลูกเรือสวมชุดเครื่องแบบสีดำเดินลายแดงสลับทองเข้ามาต้อนรับด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม
มิซึกิที่ต่อท้ายแถวอยู่กับอาคุสึเงยหน้าขึ้นไปมอง
ถ้าไม่นับที่เคยไปเที่ยวสมัยเด็กก็เคยแค่ขึ้นเรือชมวิวในต่างจังหวัดที่ไปทำงาน เป็นครั้งแรกที่จะได้ขึ้นมาใช้เวลาบนเรือหรูหราขนาดนี้
ใจหนึ่งเขาตั้งตารอทัวร์ครั้งนี้มาก แต่อีกใจก็กังวลมากเหมือนกัน เมื่อวานเปิดกระเป๋าเดินทางมาเช็กของไม่รู้กี่ครั้งให้แน่ใจว่าไม่ลืมอะไร ไหนจะทวนใบแจ้งรายละเอียดกับแผ่นพับซ้ำไปซ้ำมา จะสนุกจริงไหมนะ โรงแรมเป็นแบบไหนกันนะ จะได้ไปกับคนแบบไหนกันนะ จินตนาการวนเวียนในหัวอยู่อย่างนั้น พยายามจะหลับก็หลับไม่ลง
ระหว่างทางที่มาในวันนี้ก็กังวัลมากกว่าจะตั้งตารอซะอีก ถ้าให้พูดตามตรง เขาคิดจะกลับบ้านไปหลายรอบแล้ว
แต่พอได้มาแหงนหน้ามองเรือที่ส่องแสงระยิบระยับเข้าจริงๆ หัวใจก็โลดเต้นที่กำลังจะได้นั่งสิ่งนั้น มิหนำซ้ำยังอยากเข้าไปดูเร็วๆ ด้วยว่าด้านในเป็นอย่างไร
‘ไม่ลองก็ไม่รู้หรอกน่า’
มิซึกิพลันนึกถึงคำพูดติดปากของพี่สาวขึ้นมา
ไม่ลองก็ไม่รู้
แทนที่จะนั่งสั่นกลัวด้วยความกังวล สู้ก้าวออกไปสักก้าวจะดีกว่า เป็นคำพูดที่มองโลกแง่บวกสมเป็นพี่สาวดี
“ตั้งตารอเลยเนอะ”
ไม่รู้ว่าออกนอกหน้าเกินไปหรือเปล่า อาคุสึเลยยิ้มให้
“ครับ เพิ่งเคยขึ้นเรือลำใหญ่ขนาดนี้เป็นครั้งแรกเลย”
มิซึกิตอบอย่างว่าง่ายพร้อมพยักหน้า
+++++++++++++++++++++++++++
เชิญสัมผัสประสบการณ์พักร้อนในฝัน ณ รีสอร์ตหรูบนเกาะร้าง...ผู้ที่ถูกรางวัลได้ไปสัมผัสประสบการณ์นั้นคือมิซึกิที่เป็นเพียงพนักงานบริษัท แต่ในตอนที่เขามาร่วมทัวร์คนเดียวอย่างเหงาๆ นักเขียนอิสระที่มาร่วมทัวร์ครั้งนี้เพื่อเก็บข้อมูลอย่างอาคุสึก็คอยเข้ามาคุยด้วยบ่อยๆ แขกคนอื่นมีแต่พวกอดีตข้าราชการ ทายาทธนาคารใหญ่ เซเลบนิสัยหยิ่ง ตรงข้ามกับคนเฟรนด์ลีอย่างอาคุสึกันทั้งนั้น เมื่อมาถึงเกาะในวันที่สองพร้อมกับความเหนื่อยหน่ายในใจ ลูกทัวร์ก็เกิดจมน้ำในสระเสียชีวิต!! ว่ากันว่ามีฆาตกรอยู่ในนี้!?
