เครื่องปรับอากาศในร้านด้ายอิจิคาวะเป็นแอร์หน้าต่างรุ่นเก่าพอสมควร พอเปิดแรงๆ แล้วหน้าต่างมักสั่นกึกกัก
อิจิคาวะ ฮารุโตะ เจ้าของร้านมือใหม่กำลังยืนประจันหน้ากับเครื่องปรับอากาศ ปล่อยให้ลมเย็นเป่าเรือนผมนุ่มขณะครุ่นคิดว่า ที่จริงควรซื้อเครื่องใหม่มาเปลี่ยนใช่หรือเปล่า
สาเหตุที่เขาลังเลเรื่องซื้อเครื่องใหม่นั้น ส่วนหนึ่งเป็นเพราะเงินทุน แต่สาเหตุที่สำคัญกว่าคือความผูกพัน เขาอยากดูแลส่วนที่สำคัญของตัวร้านและทุกอย่างที่เกี่ยวข้องกับร้านไปพร้อมๆ กับรักษาบรรยากาศชวนคิดถึงอดีตที่ปู่ย่าหลงเหลือไว้เท่าที่จะทำได้
และสาเหตุที่สำคัญที่สุดคือ เขารู้สึกว่าลมเย็นของเครื่องปรับอากาศรุ่นเก่านี้ให้ความรู้สึกดีกว่าเครื่องรุ่นใหม่เป็นไหนๆ
ร้านด้ายอิจิคาวะที่สืบทอดมาตั้งแต่รุ่นทวดนี้เป็นร้านงานฝีมือสมัยเก่า รวบรวมของที่ใช้ในงานทำมืออย่างอุปกรณ์เย็บปักถักร้อยและอุปกรณ์งานฝีมือเอาไว้ครบครัน
ปัจจุบันร้านงานฝีมือของผู้ค้ารายย่อยที่ตั้งอยู่ในเมืองนั้นใกล้สูญพันธุ์เต็มที ยุคนี้แม้แต่ร้านงานฝีมือรายใหญ่ที่มีหลายสาขาตามห้างสรรพสินค้าหรือแหล่งชอปปิงก็ยังทยอยปิดตัวลง การมีงานอดิเรกให้เลือกหลากหลายมากขึ้นและการแก่ตัวลงของลูกค้าส่งผลให้ตลาดงานฝีมือหดตัวลงเรื่อยๆ
สมัยนี้หาซื้อของราคาถูกได้ทางอินเทอร์เน็ต ร้านร้อยเยนก็พอมีอุปกรณ์งานฝีมือให้ซื้อ อันที่จริงไม่ใช่แค่พอมีด้วยซ้ำ ขนาดอุปกรณ์เสริมที่ก้าวล้ำไปจากขั้นพื้นฐานอย่างเข็มแก้รอยถักหรือกระสวยแท็ตติ้งยังมีขายที่ร้านร้อยเยนใกล้ๆ ก่อนวางขายหน้าร้านด้ายอิจิคาวะเสียอีก
ในช่วงบั้นปลายชีวิตของปู่ย่า ร้านแทบไม่ได้กำไรเลย หลังจากพี่สาวรับช่วงต่อก็อยู่ในสภาพเดียวกัน
เมื่อนัตสึโนะผู้เป็นพี่สาวตั้งท้องลูกคนที่สองและมาปรึกษาว่าอยากจะปิดร้าน ฮารุโตะจึงลาออกจากบริษัทผู้ผลิตเสื้อผ้าที่ตนทำงานอยู่แล้วกลับมาเมืองนี้โดยไม่ลังเล
ฮารุโตะไม่ได้วาดฝันยิ่งใหญ่ว่าจะปรับปรุงหรือขยับขยายร้าน เขาเพียงไม่อยากสูญเสียสถานที่ที่มีความทรงจำอันอบอุ่นร่วมกับปู่ย่าไปเท่านั้นเอง
นัตสึโนะค้านหัวชนฝาเรื่องลาออกจากงานบริษัทอันมั่นคง กำไรจากการบริหารร้านงานฝีมือเล็กๆ นั้นมีแค่หยิบมือ ด้วยเหตุนั้นฮารุโตะจึงเหนื่อยยากตรากตรำกับการบริหารร้านมาตลอดครึ่งปีที่รับช่วงดูแลต่อ
ถึงอย่างนั้นเขากลับไม่เคยเสียใจเลยสักครั้งที่เลือกทางนี้ เขาได้ทำทุกอย่างที่อยากทำและสนุกกับงานมาก
ร้านเปิดตอนสิบเอ็ดโมง ช่วงแรกเขาเคยเปิดร้านสิบโมงเหมือนร้านอื่นๆ แต่เพราะช่วงเช้าแทบไม่มีลูกค้า ลูกค้าส่วนใหญ่มักแวะมาหลังเลิกงานในช่วงเย็นถึงค่ำมากกว่า ฮารุโตะจึงเลื่อนเวลาทำการออกไปหนึ่งชั่วโมง
เขาเปิดไฟในร้าน ก่อนเปิดประตูกระจกบานเลื่อนซึ่งเป็นทางเข้าออกร้านที่อยู่มาตั้งแต่สมัยปู่ย่า นำหุ่นตั้งโชว์มาวางหน้าร้าน หุ่นตั้งโชว์หน้าตาเก๋ไก๋อย่างที่ไม่ค่อยพบเห็นตามร้านงานฝีมือในเมืองตัวนี้เป็นของที่เพื่อนร่วมงานในที่ทำงานเก่ามอบให้เป็นของขวัญอำลา
วันนี้เขาจับหุ่นสวมเสื้อถักเชือกป่านสีฟ้าอ่อนเหมือนดอกฟอร์เก็ตมีน็อตคู่กับกระโปรงยาวพร้อมสายเอี๊ยมทำจากผ้าลินินแข็งไม่ฟอกสี ฮารุโตะคิดแพตเทิร์นและทำขึ้นมาเองทั้งสองชิ้น
ขณะที่คล้องป้ายเปิดทำการบนคอหุ่นตั้งโชว์ หญิงชราที่เดินเข็นจักรยานผ่านมาก็หยุดกึก
“อุ๊ย ฮารุจัง คาร์ดิแกนตัวนั้นสวยจังเลย แต่สงสัยจะเล็กไปสำหรับป้า”
หญิงชราร่างท้วมที่หัวเราะคิกคักรายนี้เป็นคนแถวบ้านที่ฮารุโตะรู้จักมาตั้งแต่เด็ก เธอแวะเวียนมาซื้อไหมพรมและอุปกรณ์งานฝีมือที่ร้านนี้อยู่เนืองๆ
“อรุณสวัสดิ์ครับ ผมเตรียมแพตเทิร์นที่ปรับขนาดแล้วให้ได้นะ”
“อุ๊ย ดีใจจัง เสื้อถักที่ฮารุจังสวมวันนี้ก็ทำเองเหรอจ๊ะ? สวยมากเลยนะ”
“ขอบคุณครับ”
ฮารุโตะยิ้มเขินๆ วันนี้เขาสวมเสื้อสวมหัวคอกลม ถักแบบง่ายๆ จากเชือกฝ้ายสีน้ำเงินเข้ม
“ฮารุจังผิวขาว หน้าตาดี สวมอะไรก็เหมาะไปหมด แถมยังผอมจนน่าอิจฉา ป้าเองก็อยากลองสวมแล้วให้ความรู้สึกเหมือนร่างกายแหวกว่ายอยู่ในเสื้อถักแบบนั้นดูบ้างจัง”
อีกฝ่ายพูดชื่นชม แต่ฮารุโตะกลับทดไว้ในใจว่านี่คือจุดที่ควรปรับปรุง เขามีปมว่าตัวเองผอมเกินไปเลยลองถักเสื้อโอเวอร์ไซซ์ที่ไม่พอดีตัวขึ้นมา ทว่าดูเหมือนจะส่งผลตรงกันข้าม เขายังมีเรื่องที่ต้องศึกษาอยู่อีกมาก
“ไว้ป้าจะแวะมาทีหลังนะจ๊ะ”
“ผมจะรอครับ”
หลังจากค้อมศีรษะให้ด้านหลังของหญิงชราแล้ว ฮารุโตะก็หันมาจัดหุ่นตั้งโชว์ต่อ ตามด้วยใช้บัวรดน้ำดีบุกรดน้ำในกระถางต้นไม้ข้างร้าน
เช้านี้มีดอกมอร์นิงกลอรีห้าดอก ร้านนี้หันหน้าไปทางทิศเหนือจึงไม่โดนแดดโดยตรง ทำให้ดอกไม้ไม่เหี่ยวเฉาแม้ในเวลาที่พระอาทิตย์ขึ้นสูงแล้วอย่างตอนนี้
ส่วนผลโคกกระออมสีเขียวที่อยู่ข้างกันนั้นแค่มองดูเฉยๆ ก็เพลินตาแล้ว ต้นไม้ทั้งสองชนิดนี้เป็นพืชฤดูร้อนที่เขาคุ้นเคยมาตั้งแต่เด็ก
เสียงร้องของจักจั่นสีน้ำตาลบนเสาไฟฟ้าดังสั่นสะเทือนอากาศ ฮารุโตะฟังอย่างเบิกบานใจพลางเช็ดประตูกระจก ทันใดนั้นรถบรรทุกเล็กคุ้นตาก็เข้ามาจอดหน้าร้าน
คนที่ยื่นใบหน้าเข้มออกมาทางหน้าต่างรถแคบๆ พลางทักทายว่า “ไง” นั้นคือนิโนมิยะ โคกิ เพื่อนสมัยเด็กของฮารุโตะนั่นเอง
ฮารุโตะเป็นคนตัวบาง เครื่องหน้ากระจุ๋มกระจิ๋ม แต่โคกิตรงกันข้าม ทั้งรูปร่างและส่วนประกอบบนใบหน้าของโคกิล้วนดูหนักแน่นราวกับวาดขึ้นมาด้วยปากกาเมจิกเส้นหนา
ดูผิวเผินแล้วรูปร่างหน้าตาของโคกิดูข่มขวัญ แต่ดวงตาเรียวยาวที่ตาดำเอ่อล้นไปด้วยพลังชีวิต ทอแสงแพรวพราวอย่างซุกซนนั้นไม่ได้เปลี่ยนไปจากสมัยเด็กๆ เลย
“ร้อนตั้งแต่ยังไม่เที่ยงเลยเนอะ”
ว่าแล้วก็โบกมือใหญ่ที่ข้อนิ้วปูดโปน ส่งลมเย็นๆ ใส่หน้าตัวเองต่างพัด ชายคนนี้ไม่ใช่แค่เพื่อนสมัยเด็กเท่านั้น นาโอกิ พี่ชายของโคกิเป็นสามีของนัตสึโนะ ฮารุโตะกับโคกิจึงเกี่ยวดองเป็นญาติกันผ่านการแต่งงาน
แม้จะเจอหน้ากันแทบทุกวันตั้งแต่ย้ายกลับมาเมืองนี้เมื่อครึ่งปีก่อน จนป่านนี้ในใจฮารุโตะก็ยังไม่ค่อยแน่ใจว่าควรทำหน้าอย่างไรเวลาอยู่ต่อหน้าโคกิ
ถึงอย่างนั้นฮารุโตะก็เป็นผู้ใหญ่ที่ทำงานมาเป็นปีที่แปดแล้ว เขาเลยซ่อนความในใจอันยุ่งเหยิงเอาไว้ พยายามตอบสนองด้วยรอยยิ้มและท่าทีที่เหมาะสมในฐานะเพื่อนสมัยเด็กและญาติ
“อรุณสวัสดิ์ กลับจากส่งของเหรอ?”
“ใช่ ส่งเก้าอี้น่ะ”
บ้านโคกิเป็นร้านเฟอร์นิเจอร์ นาโอกิผู้เป็นพี่ชายรับช่วงดูแลกิจการ ส่วนโคกิเป็นช่างทําเฟอร์นิเจอร์ผู้เชี่ยวชาญด้านเก้าอี้ ทำงานในโรงงานของตัวเองควบคู่ไปกับช่วยส่งของให้ร้านเฟอร์นิเจอร์นิโนมิยะ
โคกิลงมาจากที่นั่งคนขับ รูปร่างข่มขวัญตามเคยจนฮารุโตะเผลอก้าวถอยหลังหนึ่งก้าว พี่น้องนิโนมิยะตัวสูงและหุ่นกำยำล่ำสันทั้งคู่ เวลาโคกิที่ทำงานใช้แรงเป็นประจำมายืนข้างคนผอมบางอย่างฮารุโตะจะเห็นได้เลยว่าช่วงกว้างและความหนาของร่างกายแตกต่างกันโดยสิ้นเชิง ทั้งที่ส่วนสูงต่างกันแค่สิบเซ็นต์แท้ๆ แต่กลับรู้สึกเหมือนอีกฝ่ายตัวใหญ่กว่าเป็นเท่าตัว
“ยังไม่ได้กินมื้อเช้าละสิท่า? กินแซนด์วิชไหม?”
โคกิยื่นห่อกระดาษไขมาให้ลวกๆ
“โอ๊ะ แทงกิ้ว”
มีแค่เวลาแบบนี้ที่ฮารุโตะยิ้มได้จากใจจริงโดยไม่ต้องเสแสร้ง โคกิทำอาหารเก่งจนน่าจะทำงานเป็นพ่อครัวได้สบาย
ส่วนฮารุโตะนั้นทำอาหารไม่เก่งมาแต่ไหนแต่ไร นอกจากนั้นยังเคยบาดเจ็บที่ปลายนิ้วระหว่างทำอาหารจนส่งผลต่อการทำงานถักอย่างใหญ่หลวง เดี๋ยวนี้เลยได้แต่ทำอาหารง่ายๆ อย่างปิ้งขนมปังหรือนำผักหั่นสำเร็จมาผัดกิน ตอนกลับมาพบโคกิอีกครั้ง ฮารุโตะที่ไม่รู้จะคุยอะไรหลุดปากพูดเรื่องไม่เป็นเรื่องพรรค์นั้นให้ฟัง หลังจากนั้นโคกิจึงนำอาหารมาให้เป็นบางครั้งโดยแล้วแต่อารมณ์
“ข้างในมีชาข้าวบาร์เลย์ มาพักให้หายร้อนก่อนสิ”
ฮารุโตะเห็นเหงื่อบนหน้าผากของโคกิจึงชวนเข้ามาพักในร้านเย็นๆ แต่อีกฝ่ายปฏิเสธว่า “ไม่ล่ะ ไม่เป็นไร”
“ฉันมีของต้องไปส่งก่อนเที่ยงอีกที่หนึ่ง ไว้คืนนี้จะมาดื่มชา”
ไม่ใช่ของดีถึงขั้นต้องลงทุนถ่อมาดื่มซะหน่อย ฮารุโตะคิด แต่ระหว่างที่ทำอะไรไม่ถูกอยู่นั้น โคกิก็ถอยกลับขึ้นรถบรรทุกเล็กไปเสียแล้ว
จักจั่นที่ตกใจเสียงปิดประตูที่นั่งคนขับส่งเสียงหริ่งๆ ก่อนจะบินหายไปบนผืนฟ้าในฤดูร้อน
ฮารุโตะกลับเข้าร้าน นั่งลงบนเก้าอี้กลมด้านหลังเคาน์เตอร์แคชเชียร์แล้วแกะห่อกระดาษไข
“ว้าว น่าอร่อย”
แซนด์วิชมีทั้งไส้เนื้ออบกับผักสลัดน้ำและไส้แยมพีชกับครีมชีส ทั้งเนื้ออบและแยมน่าจะเป็นของที่โคกิทำเอง
เวลาแบบนี้ปกติน่าจะเริ่มจากกินแซนด์วิชเนื้ออบมากกว่า แต่ฮารุโตะกลับหยิบไส้หวานขึ้นมากัดก่อน
ความชุ่มฉ่ำของพีชซึ่งใกล้เคียงกับผลไม้แช่อิ่มมากกว่าแยมนั้นเข้ากันได้ดีกับรสเข้มข้นของครีมชีส กลายเป็นรสชาติอร่อยล้ำจนแทบลอยขึ้นสวรรค์
“มือใหญ่ขนาดนั้นยังอุตส่าห์ทำของน่ารักๆ แบบนี้ได้ด้วยแฮะ”
ขณะที่ฮารุโตะพึมพำกับตัวเองพลางแลบลิ้นเลียน้ำผลไม้ที่ไหลย้อยโดยไม่รักษากิริยา ประตูร้านก็เลื่อนเปิดออก ลูกค้ารายแรกของวันนี้ก้าวเข้ามาในร้าน
“ฮารุจัง ช่วยอะไรหน่อยสิ”
คนที่โผล่หน้ามาเป็นลูกค้าประจำ เธอเป็นหญิงวัยเจ็ดสิบกว่าที่อาศัยอยู่คนเดียว เคยเย็บปักถักร้อยสมัยสาวๆ แต่เพิ่งกลับมาเริ่มใหม่ไม่นานมานี้ ตอนนี้กำลังถักผ้าคลุมไหล่ลายโปร่งอยู่
ฮารุโตะรีบเคี้ยวแซนด์วิชแล้วจึงต้อนรับลูกค้าหญิง
“ยินดีต้อนรับครับ มีอะไรให้ผมช่วยเหรอ?”
“คือว่านะ พอถักไปเรื่อยๆ จำนวนห่วงมันก็ลดลงไปน่ะ ไม่รู้ว่าพลาดไปตรงไหน ต้องคลายออกหรือเปล่าถึงจะรู้”
“ผมขอดูหน่อยนะครับ”
ฮารุโตะนำเก้าอี้พับออกมากางหน้าโต๊ะทำงานฝีมือตัวใหญ่ เชิญลูกค้าหญิงให้นั่งลง จากนั้นคลี่ผ้าคลุมไหล่ถักด้วยไหมพรมไล่โทนสีที่อีกฝ่ายหยิบออกมาจากถุงผ้า
ครั้นไล่สายตามองจากขอบผ้าก็พบจุดที่ห่วงหายไปห่วงหนึ่งตรงหลายแถวก่อนหน้า
“อ๋อ แบบนี้แป๊บเดียวก็แก้ได้แล้วครับ”
ฮารุโตะหยิบเข็มแก้รอยถักออกมาเลาะไหมไม่กี่ห่วงแล้วถักใหม่อย่างรวดเร็ว
“เก่งสมเป็นฮารุจังนะ”
“ไม่ขนาดนั้นหรอกครับ คืบหน้าไปเยอะนะครับเนี่ย ถักออกมาสวยมากเลย”
“อุ๊ย ดีใจจัง พอฮารุจังชมแล้วมีไฟขึ้นมาเลย”
“ถ้ามีเวลา นั่งถักที่นี่สักครู่ดีไหมครับ?”
“จะดีเหรอ? ไม่ใช่ชั่วโมงสอนถักแท้ๆ”
“ไม่เป็นไรครับ ผมมีของที่อยากถักพอดี มีคนถักเป็นเพื่อนสนุกกว่าถักคนเดียวเยอะ”
ฮารุโตะเก็บแซนด์วิชที่เหลือไว้กินเป็นมื้อกลางวัน จากนั้นรินชาข้าวบาร์เลย์อุ่นๆ ในกาใส่ลงถ้วยสองใบ ลูกค้าสูงวัยหลายคนชอบดื่มของอุ่นๆ แม้แต่กลางฤดูร้อน เขาเลยเตรียมกาน้ำชาไว้ทั้งแบบอุ่นและเย็นเสมอ
พอฮารุโตะยกตะกร้าใส่เสื้อสเวตเตอร์สำหรับผู้ชายที่ถักค้างไว้ออกมา ลูกค้าหญิงก็เบิกตาโต
“แหม ชิ้นใหญ่เบ้อเร่อ! แถมยังเป็นเสื้อสำหรับหน้าหนาวด้วย ถักล่วงหน้าเป็นฤดูเลยนะ”
“ชิ้นนี้จะใช้ลงหนังสือเย็บปักถักร้อยฉบับฤดูใบไม้ร่วงกับฤดูหนาวนี้ เพราะฉะนั้นไม่ใช่ล่วงหน้าหรอกครับ ใกล้เส้นตายหวุดหวิดเลยต่างหาก”
“อุ๊ย ชื่อฮารุจังจะได้ลงหนังสืออีกแล้วสินะ ฉันจะซื้อแน่นอนจ้ะ”
“ขอบคุณครับ”
นอกจากงานที่ร้านแล้ว คอนเนกชันกับเพื่อนสมัยโรงเรียนเฉพาะทางยังทำให้ฮารุโตะมีงานผลิตชิ้นงานสำหรับลงหนังสืองานฝีมืออีกด้วย แต่ว่ากันตามตรงแล้วรายได้ช่างเล็กน้อยเหลือเกิน อันที่จริงแม้แต่เพื่อนคนนั้นที่เป็นถึงศิลปินงานถัก ออกหนังสือในนามตัวเองตั้งหลายเล่มก็ยังไม่สามารถหาเลี้ยงชีพได้ด้วยงานถักเพียงอย่างเดียว นี่แหละวงการนี้
ถึงจะไม่ได้เงินมากมายอะไร ฮารุโตะก็รักงานถักมาก พอได้ขยับมือ เขาจะลืมความหดหู่ของโลกนี้ไปได้ครู่หนึ่ง
และสิ่งแรกที่ลอยขึ้นมาในหัวพร้อมกับคำว่าหดหู่ก็คือใบหน้าของโคกิ
ไม่ได้ๆ ใช้คำว่าหดหู่ได้ยังไงกัน อีกฝ่ายอุตส่าห์เอาแซนด์วิชอร่อยๆ มาให้ เป็นเพื่อนสมัยเด็กที่น่าซาบซึ้งใจเชียวนะ
ฮารุโตะเลื่อนสายตาขึ้นกวาดตามองทั่วร้าน คนที่ช่วยซ่อมประตูเลื่อนบานนั้นตอนมันฝืดและช่วยติดชั้นโชว์ผลงานตรงทางเข้าให้เหมือนตามร้านขายของก็คือโคกิอีกนั่นแหละ เพื่อนสมัยเด็กที่ใจดีอย่างนี้ ตนควรมีแต่ความรู้สึกขอบคุณสิ
แต่บอกตามตรงแล้ว ฮารุโตะอ่านใจจริงของโคกิไม่ออก หลังพบกันใหม่ก็ผ่านมาครึ่งปีแล้ว ทว่าจนป่านนี้ก็ยังไม่รู้วิธีวางตัวที่ถูกต้องเลย
ความรู้สึกขุ่นมัวผุดขึ้นมาในสมอง แต่ว่าลูกค้ารายใหม่ดันเข้ามาในร้านเสียก่อน ฮารุโตะจึงยัดมันลงไปที่ส่วนลึกในใจ
ลูกค้ารายหนึ่งถามหาด้ายเย็บกระดุม ลูกค้าประจำหิ้วชิ้นงานที่ถักค้างอยู่มานั่งถักต่อ ลูกค้าอีกรายมาหาผ้าสำหรับชุดวันพีซ
งานที่บริษัทผู้ผลิตเสื้อผ้าก็สนุกดีอยู่หรอก แต่งานนั้นมีเรื่องที่ไม่เป็นไปตามความคาดหมายมากมาย ทำให้ยุ่งหัวปั่นทุกวันจนแทบไม่มีเวลาส่วนตัว
ส่วนงานที่นี่มีเส้นแบ่งระหว่างยุ่งกับว่างไม่ชัดเจน สำหรับฮารุโตะแล้วงานนี้สนุกและสบายใจมากกว่า ทำให้เขาหวนคิดถึงวันวานที่เคยมาแช่อยู่ในร้านแทบทุกวันสมัยที่ปู่ย่าเป็นคนดูแลร้านแล้วดื่มชากับลูกค้าบ้าง เรียนวิชาเย็บปักถักร้อยจากย่าบ้าง
แม้เป็นธุรกิจเล็กๆ แต่ความหมายของมันก็สำคัญกว่ารายได้
ระหว่างที่คิดแบบนั้น จู่ๆ เก้าอี้ก็เอียงลง
“เหวอ”
ฮารุโตะแกว่งเข็มถัก รักษาสมดุลเอาไว้ได้จึงไม่ล้มกลิ้ง
“ฮารุจัง เป็นอะไรรึเปล่า?”
“เกิดอะไรขึ้น?”
ลูกค้าพากันไถ่ถามอย่างเป็นห่วง
“ผมไม่เป็นไร ขอโทษครับ”
ฮารุโตะย่อตัวลงดูขาเก้าอี้
เก้าอี้สตูลตัวนี้โยกเยกจนเขากังวลมาสักพักแล้ว ในที่สุดเดือยไม้ที่ขาเก้าอี้ก็หลุดจนได้
เก้าอี้ตัวนี้มีบรรยากาศเหมือนถูกใช้งานอย่างหนักหน่วงมาตั้งแต่สมัยฮารุโตะยังเล็ก แต่ฮารุโตะถูกใจสัมผัสของไม้เก่านี้มาก เขาจึงอดผิดหวังไม่ได้
เก้าอี้พับสำหรับให้ลูกค้านั่งเองก็เก่ามากจนฝืดแล้ว
เขาคิดจะซื้อมาเปลี่ยนใหม่เลยไปดูที่ร้านเฟอร์นิเจอร์นิโนมิยะกับค้นหาทางเน็ตมาแล้ว ถึงจะมีของถูกที่ซื้อได้สบายอยู่หลายชิ้น ทว่าของที่ฮารุโตะอยากได้กลับราคาสูงเอาเรื่อง
นี่ไม่ใช่เวลามัวพูดว่าความหมายสำคัญกว่ารายได้แล้วมั้ง
คงเพราะเป็นคนอ่อนหัดอย่างนี้ นัตสึโนะผู้เป็นพี่สาวถึงได้คัดค้านเรื่องกลับบ้านเกิดโดยให้เหตุผลว่าเขาไม่เหมาะกับการค้าขาย
อาศัยแค่ความคิดถึงอดีตกับความสนุกน่ะ ทำงานค้าขายไม่ได้หรอก นัตสึโนะว่าอย่างนั้น
เธอพูดได้ถูกต้องจริงๆ
แต่ในอีกด้านหนึ่ง ฮารุโตะกลับคิดว่า ถ้าต้องทำงานที่ไม่สนุกเพื่อเงินอย่างเดียวไปตลอดชีวิตละก็ ขอทำงานสนุกๆ แม้ชีวิตความเป็นอยู่ขัดสนยังดีซะกว่า แต่ความคิดนี้นี่แหละที่เรียกว่าอ่อนหัด
โคกิโผล่มาปุบปับอีกครั้งตอนกลางคืนตามที่บอกไว้
ฮารุโตะเพิ่งเสร็จจากเวิร์กช็อปและกำลังจะปิดร้านพอดี
ชั้นเรียนภาคค่ำที่จัดอย่างประปรายโดยมีเป้าหมายคือลูกค้าที่กลับจากเลิกงานนั้นได้รับความนิยมทุกครั้ง แต่ถึงจะบอกว่าได้รับความนิยม แค่มีสักห้าคนก็ถือว่าหรูแล้ว ในชั้นเรียนภาคค่ำนี้ ทุกคนจะนำของที่อยากถักมาพบปะพูดคุยกันเหมือนกับลูกค้าตอนกลางวัน สำหรับฮารุโตะแล้ว ช่วงเวลาที่ห้อมล้อมด้วยมิตรรักนักถักทุกช่วงวัยเป็นช่วงเวลาที่สนุกมาก
แต่เนื่องจากฮารุโตะทำทุกอย่างคนเดียวโดยไม่ได้จ้างคนช่วย ถึงเวลาปิดร้านทีไรจึงเหนื่อยสายตัวแทบขาดทุกที
ฮารุโตะกำลังปิดแคชเชียร์พลางเคี้ยวแซนด์วิชเนื้ออบอย่างตะกรุมตะกราม โคกินิ่วหน้าเมื่อเข้ามาเห็น
“เพิ่งกินเอาป่านนี้เรอะ”
“วันนี้ฉันยุ่งทั้งวันนี่นา อ๊ะ แอบคิดว่า ไม่มีเวลาว่างสำหรับคนจนอยู่ละสิท่า?”
“ก็พอกันนั่นแหละ”
ว่าแล้วโคกิก็หัวเราะ สีหน้าเป็นมิตรไม่ต่างจากสมัยเด็กๆ
สายตาฮารุโตะถูกดึงไปหาฟันขาวที่โผล่ให้เห็นผ่านช่องตรงมุมปากที่ยกขึ้น ส่วนสายตาของโคกิหยุดลงที่เก้าอี้สตูลซึ่งถูกจับวางนอนอยู่หน้าเคาน์เตอร์แคชเชียร์
“เก้าอี้นี่มีปัญหาอะไร”
“ดูเหมือนจะหมดอายุขัยจนได้ อุตส่าห์ผูกพันกับเก้าอี้ตัวนี้แท้ๆ เชียว”
โคกิจับเก้าอี้พลิกด้าน
“ซ่อมได้นะ ฉันขอเอาไปซ่อมได้ไหม?”
“เอ๊ะ จริงเหรอ? ช่วยได้มากเลย แต่ค่าซ่อมจะแพงหูฉี่รึเปล่า?”
“อืม ไม่รู้สิ”
โคกิยิ้มเผล่เหมือนอยากหลอกให้สับสน จากนั้นจึงชูถุงผ้าที่ถืออยู่ในมือข้างหนึ่งให้ดู
“กินโซเม็งไหม?”
“กินสิๆ”
“ยืมครัวหน่อยนะ”
โคกิเดินเข้าไปด้านหลังร้านด้วยท่าทางคุ้นเคยเหมือนทุกที ฮารุโตะเคี้ยวแซนด์วิชพลางตามหลังไป
หลังร้านประกอบด้วยครัวเล็กๆ ห้องน้ำพร้อมอ่างอาบน้ำ และห้องญี่ปุ่นหกเสื่อ กับสี่เสื่อครึ่งเชื่อมถึงกัน
ห้องสี่เสื่อใช้เป็นที่เก็บสินค้าในสต๊อกของร้านและข้าวของต่างๆ ส่วนห้องหกเสื่อคือพื้นที่ใช้ชีวิตทั้งหมดของฮารุโตะ
โคกิเทน้ำใส่หม้ออะลูมิเนียมเคลือบผิว ตั้งลงบนเตา ตามด้วยหยิบมะเขือม่วงกับพริกหวานออกมาจากถุงผ้า
“ระหว่างผัดมิโสะกับเท็มปุระ อยากกินแบบไหน?”
“เท็มปุระ!”
“OK”
หลังจากวางกระทะบนอีกเตาหนึ่ง โคกิก็ราดน้ำมันสลัดลงไปบางๆ แล้วเปิดเตา
จากนั้นหยิบแป้งเท็มปุระที่ตัวเองเป็นคนซื้อมาก่อนหน้านี้ออกมาจากตู้เย็น เอามาละลายน้ำโดยกะปริมาณด้วยตา นำผักหั่นสำเร็จลงไปคลุก ก่อนจะนำไปหย่อนลงในน้ำมันทีละชิ้น
“สุดยอดเลยแฮะ”
ฮารุโตะพึมพำอย่างดื่มด่ำอยู่ตรงทางเข้าครัวอันคับแคบ โคกิขูดขิงพลางหันมาถามว่า “หมายถึงอะไร?”
“เท็มปุระเนี่ยเป็นเมนูยากสุดๆ เลยไม่ใช่เหรอ”
คิ้วหนาของโคกิขมวดเข้าหากันด้วยความสงสัย
“มันยากตรงไหน? แค่หั่นแล้วโยนลงในน้ำมัน ไม่ต้องปรุงรสด้วย ง่ายสุดๆ เลยต่างหาก”
แม่ฮารุโตะเสียไปตั้งแต่ก่อนเขาจำความได้ ครอบครัวจึงมีแค่พ่อลูกอยู่นาน พ่องานยุ่งมากเลยทำงานบ้านไม่ค่อยเก่ง โดยเฉพาะอาหารยิ่งไม่เอาอ่าว แค่หุงหาอาหารในขั้นน้อยที่สุดก็เหนื่อยแล้ว ภาระนั้นจึงตกไปยังพี่สาวของฮารุโตะโดยปริยาย แต่พี่สาวก็ทำหน้าที่นั้นอย่างอิดออดเช่นกัน
ในที่สุดฮารุโตะก็เริ่มช่วยทำอาหารบ้าง แต่ความคิดที่ว่าอาหารคือหน้าที่อันน่ารำคาญดันฝังรากลึกไปเสียแล้ว
ดังนั้นโคกิที่ทำอาหารคล่องปรื๋อพลางฮัมเพลงไปด้วยจึงสุดยอดจริงๆ
ระหว่างที่ฮารุโตะเฝ้ามองด้วยสายตาเคารพนับถือ จู่ๆ โคกิก็หันหน้ามาเอ่ยถามเรื่องที่ไม่เกี่ยวข้องกันแบบไม่มีปี่มีขลุ่ย
“เย็บปักถักร้อยเนี่ยสนุกไหม?”
“เอ๊ะ...”
ฮารุโตะพลันระแวง นึกขึ้นได้ว่าสมัยเด็กๆ เคยโดนโคกิแซวว่า “ของพรรค์นั้นมันงานอดิเรกคุณป้าชัดๆ” เมื่อดูจากความสัมพันธ์ในอดีตแล้ว ฮารุโตะสังหรณ์ใจว่าโคกิต้องคิดอะไรสักอย่างเกี่ยวกับรสนิยมของตนโดยไม่ใช่แค่เรื่องเย็บปักถักร้อยแน่ๆ
ดูถูกงานกับงานอดิเรกของฉันอยู่หรือไง ความคิดนั้นทำให้ฮารุโตะเสียงห้วนขึ้นเล็กน้อย
“...สนุกสิ ผิดรึไง?”
“เปล่า แค่คิดว่ามันก็เหมือนกันนั่นแหละ”
“เหมือนกัน?”
“ฉันไม่เคยเย็บปักถักร้อย ไม่คิดจะทำด้วย เพราะงั้นเวลาเห็นนายใช้นิ้วถักอะไรสักอย่างเหมือนใช้เวทมนตร์ทีไร ฉันจะคิดว่าเก่งชะมัดที่ทำงานที่ละเอียดและยุ่งยากขนาดนั้นได้ แต่นายสนุกกับมันใช่ไหมล่ะ?”
“...ทำนองนั้น”
“ฉันเองก็สนุกกับการทำอาหารและงานไม้ ไม่คิดว่ายากเลยสักนิด ช่วยเปลี่ยนบรรยากาศได้ดีด้วย”
โคกิหยิบตะแกรงย่างปลาออกมา ทยอยคีบเท็มปุระที่ทอดจนกรอบลงไปวางบนนั้น
ฮารุโตะคลายคิ้วที่ขมวดแน่น อย่างนี้นี่เอง ถ้าอย่างนั้นก็พอเข้าใจ
เย็บปักถักร้อยเป็นเรื่องสนุก ต่อให้เป็นงานถักที่ยากแค่ไหน เขาก็ไม่เคยคิดว่ายุ่งยากเลย สมัยทำงานเป็นนักออกแบบแพตเทิร์นเสื้อผ้าก็เหมือนกัน การตอบสนองรีเควสต์ยากๆ ของดีไซเนอร์เป็นเรื่องที่น่าสนใจ งานออกแบบและทำตัวอย่างเสื้อถักของแบรนด์โดยใช้ลวดลายโครเชต์แบบต่างๆ ก็สนุกจนลืมกินลืมนอน
นึกว่าทุกคนฝืนใจทำงานบ้านเหมือนกันหมดเสียอีก แต่ความจริงแล้วยังมีคนที่สนุกกับงานบ้านพอๆ กับที่ตนสนุกกับงานถักอยู่ด้วย รสนิยมของคนเรานั้นช่างแตกต่างหลากหลายจริงๆ
ระหว่างที่ฮารุโตะประทับใจอยู่นั้น น้ำในหม้อก็เดือดปุดๆ โคกิแกะกระดาษห่อเส้นโซเม็ง หย่อนเส้นลงในหม้อ แล้วคีบมะเขือม่วงชิ้นสุดท้ายขึ้นจากน้ำมัน
“มีอะไรให้ช่วยไหม?”
ฮารุโตะเพิ่งถามเอาป่านนี้ ฝ่ายโคกิที่ดูออกว่าฮารุโตะไม่มีทักษะช่วยเหลือใดๆ จึงยิ้มแห้งๆ
“งั้นช่วยละลายเมนซึยุ ให้เจือจางทีสิ”
“เอ๋ ยากขนาดนั้นจะทำได้ไหมนะ”
ตอบด้วยสีหน้าจริงจังเสร็จแล้วฮารุโตะก็รี่เข้าหาตู้เย็นเพื่อหยิบซอสเมนซึยุ
ครัวคับแคบจนแผ่นหลังสัมผัสกัน
อยู่ใกล้ขนาดนี้ อาการใจเต้นเร็วอาจสื่อไปถึงอีกฝ่ายก็ได้ ฮารุโตะที่กลัวอย่างนั้นรีบคว้าขวดเมนซึยุกับน้ำแร่แล้วเผ่นหนีมาที่ห้องนั่งเล่น
ขณะที่ฮารุโตะกำลังเจือจางเมนซึยุในน้ำแร่ด้วยท่าทางเหมือนกับทำการทดลองวิทยาศาสตร์ โคกิที่ถือโซเม็งเข้ามาก็ขำพรืด
“ไม่ได้ต้องการความเป๊ะขนาดนั้นซะหน่อย”
“ความแตกต่างแค่หยดเดียวอาจส่งผลต่อรสชาติก็ได้นี่”
“ไม่หรอกน่า”
โคกินั่งลงพลางวางจานใบใหญ่ใส่โซเม็งกับเท็มปุระทอดเสร็จหมาดๆ ลงบนโต๊ะกลมตัวเตี้ย ฮารุโตะหลีกเลี่ยงการนั่งประจันหน้ากับโคกิอย่างแนบเนียน นั่งลงในตำแหน่งเยื้องกันโดยไม่ให้อยู่ใกล้จนถึงกับอยู่ติดกัน นั่งเสร็จก็เปิดทีวี เขาโล่งอกเมื่อเสียงอ่านข่าวอันเรียบเฉยของผู้ประกาศข่าวลอยมาในห้องที่อยู่กันแค่สองคน
“กินละนะครับ”
ฮารุโตะพนมมือแล้วยื่นตะเกียบไปหามะเขือม่วงเท็มปุระ แค่ดูจากสัมผัสกรุบๆ ยามตะเกียบแตะโดนเท็มปุระที่เพิ่งขึ้นจากเตาก็น่าอร่อยแล้ว ครั้นกัดเข้าปากไปคำหนึ่ง สัมผัสกรุบกรอบของแป้งด้านนอกและมะเขือม่วงนุ่มๆ ด้านในก็ทำให้มุมปากยกยิ้มโดยไม่รู้ตัว
“อร่อย”
“งั้นก็ดีแล้ว”
โคกิกัดพริกหวานจิ้มเมนซึยุคำหนึ่งแล้วพยักหน้าอย่างพึงพอใจ
“ที่จริงถ้ามีเวลาก็อยากทอดกุ้งด้วยอยู่หรอก”
“กุ้ง! หวังว่าคราวหน้าจะได้กินนะ”
“อืม”
ทั้งสองสูบเส้นโซเม็งเข้าปากเงียบๆ โดยมีเพียงเสียงข่าวเป็นเสียงประกอบฉากอยู่ครู่หนึ่ง
แมนชันที่ฮารุโตะอยู่คนเดียวจนถึงครึ่งปีก่อนนั้น เวลากลับจากทำงานมาเปิดไฟทีไร ห้องจะสว่างจนน่าตกใจทุกที ไฟสว่างจ้านั้นรบกวนจิตใจอันเหนื่อยล้าจนกลายเป็นความเครียดในบางครั้ง เขาจึงเปิดเฉพาะไฟหลืบ ยกเว้นเวลาทำงานฝีมือที่ต้องใช้ความละเอียด
ทว่าบ้านของปู่ย่ากลับไฟสลัวจนน่าหวั่นใจ ตอนแรกฮารุโตะนึกว่าหลอดไฟสว่างไม่พอจึงไปซื้อมาเปลี่ยน แต่ดูเหมือนต้นเหตุจะมาจากการตกแต่งภายในห้องต่างหาก เพดานและวอลเปเปอร์ที่แมนชันเป็นสีขาว ต่างจากบ้านเก่าหลังนี้ที่เพดานไม้เป็นคราบดำ ผนังก็เป็นดินอัดสีน้ำตาล
พออยู่ตามลำพังกับโคกิอย่างนี้ ความมืดสลัวนี้กลับช่วยให้สบายใจ ขืนเห็นหน้าอีกฝ่ายชัดกว่านี้ก็คงแย่ และถ้าสว่างกว่านี้ก็คงหวั่นใจเพราะรู้สึกเหมือนโดนส่องสว่างไปถึงภายในใจ
“หุ้นตกอีกแล้วเนอะ”
ฮารุโตะแสร้งทำเป็นสนใจข่าวที่ความจริงแล้วจะเป็นอย่างไรก็ช่าง ขณะที่หางตาตรึงความสนใจไว้ที่โคกิตลอดเวลา
โคกิเป็นชายร่างใหญ่ ทว่าไม่ให้ความรู้สึกเทอะทะสักนิด ชายคนนี้มีบรรยากาศสดชื่น เหมือนไม้ท่อนหนาที่ผ่านการตากแห้งอย่างดี ผมสั้นสีดำที่ดูแข็งและคิ้วหนาเข้มนั้น ถ้าพลาดไปหน่อยเดียวคงดูเฉิ่มไปแล้ว แต่ไม่รู้ทำไมมันกลับทำให้โคกิดูหล่อเหลามีสไตล์มาก
ไม่สิ บางทีนั่นอาจเป็นผลมาจากฟิลเตอร์ของฮารุโตะเองก็ได้
ทั้งที่เป็นใบหน้าที่เห็นจนชินมาตั้งแต่ยังเด็ก แต่ในช่วงเวลาที่ห่างกันไปหลายปี ใบหน้านั้นกลับทวีความสมชายมากยิ่งขึ้นจนฮารุโตะไม่กล้ามองตรงๆ
ที่สำคัญ ทำไมชายคนนี้ถึงแวะเวียนมาหาตนบ่อยขนาดนี้ล่ะ
ทันใดนั้นโคกิที่สูบโซเม็งเส้นสุดท้ายเข้าปากเสร็จก็ตวัดสายตามาหา ราวกับจะตอบคำถามในใจของฮารุโตะ
“นัตจังเป็นห่วงอยู่นะว่านายกินอาหารครบถ้วนรึเปล่า”
นัตจังหมายถึงนัตสึโนะ พี่สาวของฮารุโตะ ผู้เป็นพี่สะใภ้ของโคกิ
แม้พี่น้องจะทะเลาะกันเรื่องการสืบทอดร้านด้ายอิจิคาวะ นัตสึโนะก็ยังเป็นห่วงน้องชายในแบบของเธอ เพราะอย่างนั้นถึงได้ไหว้วานโคกิซึ่งเป็นเพื่อนสมัยเด็กของทั้งพี่ทั้งน้องให้มาดูสถานการณ์สินะ
ไม่สิ ถึงจะทะเลาะกับนัตสึโนะ แต่ก็ไม่ได้ตัดญาติขาดมิตรกันเสียหน่อย ปกติก็ติดต่อกันบ่อยๆ อยู่แล้ว ไม่เห็นต้องใช้โคกิมาสังเกตการณ์ก็ได้
“ขอบโต๊ะเตี้ยนี่ ไว้ฉันจะซ่อมให้ทีหลังด้วยก็แล้วกัน”
โคกิโน้มตัวสำรวจสภาพโต๊ะที่ใช้งานมานานปีจนขอบแหว่งบ้าง หลุดลอกบ้าง ฮารุโตะแอบมองพลางรู้สึกแปลกๆ อีกครั้งว่า ทำไมพวกตนถึงมาใช้เวลาร่วมกันอย่างกับคนสนิทชิดเชื้ออย่างนี้ได้นะ
ทั้งที่ความจริงแล้ว ตั้งแต่ทะเลาะกันสมัยมัธยมต้นก็แทบไม่ได้คุยกันอีกมาเป็นสิบกว่าปีแท้ๆ
ปัจจุบันนี้ร้านเฟอร์นิเจอร์นิโนมิยะตั้งอยู่ริมทางหลวง มีที่จอดรถใหญ่โต แต่ว่าสมัยก่อนเคยตั้งอยู่ในย่านการค้าแห่งเดียวกับร้านด้ายอิจิคาวะนี่เอง
ถนนสายนี้เริ่มซบเซามาตั้งแต่สมัยนั้น ทว่าอย่างน้อยก็ยังมีร้านค้าเปิดทำการมากกว่าปัจจุบัน เพื่อนร่วมชั้นของฮารุโตะเองก็อาศัยอยู่แถวนี้กันหลายคน ถึงฮารุโตะจะสนุกกับการมาแช่ในบ้านปู่ย่าและเล่นไหมพรมยิ่งกว่าอะไร แต่บางครั้งเขาก็ไปร่วมก๊วนเล่นเกมกับเพื่อนๆ วัยเดียวกันอยู่บ้างเหมือนกัน
ความที่บ้านอยู่ใกล้ แถมพี่น้องแต่ละคนยังเรียนอยู่ชั้นปีเดียวกัน บ้านฮารุโตะกับพี่น้องนิโนมิยะจึงสนิทสนมกันมาก
โคกิเป็นเด็กมีชีวิตชีวา ชอบจับแมลงและทำงานช่าง ตรงข้ามกับฮารุโตะที่เอาแต่เย็บปักถักร้อยที่เคาน์เตอร์ในร้านของปู่ย่า
ถึงจะคิดแบบเด็กๆ ว่าเข้ากันไม่ได้ แต่อีกฝ่ายก็รวบรวมกิ่งไม้เล็กๆ มาทำกล่องใส่เข็มถักหน้าตาเหมือนกล่องใส่ปากกาให้บ้างละ ทำกรงนกกระจอกชวาที่เลี้ยงอยู่ตอนนั้นให้บ้างละ ฝีมือดีเยี่ยมจนไม่น่าเชื่อว่าเป็นเด็กนั้นสร้างความประทับใจให้ฮารุโตะ แถมการที่อีกฝ่ายมอบของขวัญเพียงชิ้นเดียวในโลกให้ตนยังทำให้ใจเต้นตึกตักด้วย
ถึงอย่างนั้นโคกิก็มีมุมขี้แกล้ง เคยจับผีเสื้อตัวใหญ่ที่ฮารุโตะกลัวมาวิ่งไล่ไปทั่ว ทำให้ฮารุโตะร้องไห้ไม่รู้กี่หน เวลาฮารุโตะทำงานถักก็ชอบมาถามว่า ‘ทำอะไรอยู่?’ แล้วดึงด้ายที่ถักค้างอยู่จนเสีย หรือไม่ก็พูดแซวว่า ‘นั่นมันงานอดิเรกผู้หญิงชัดๆ’
ฮารุโตะชอบโคกิผู้ใจดีที่มอบของขวัญเหนือความคาดหมายให้ แต่ก็เกลียดโคกิจอมกลั่นแกล้งเป็นที่สุด
อันที่จริงโคกิเป็นจอมนิสัยเสียผู้น่าชังเป็นปกติด้วยซ้ำ อาจเพราะเป็นอย่างนั้น พอนานๆ ครั้งทำใจดีด้วยเข้าหน่อยก็ทำให้ฮารุโตะเต็มตื้นในอกได้แล้ว
คนที่ช่วยปกป้องฮารุโตะจากการกลั่นแกล้งของโคกิก็คือนาโอกิผู้เป็นพี่ชาย ทั้งที่อายุห่างกันแค่สองปี ทว่านาโอกิกลับเป็นผู้ใหญ่ มีความสุภาพบุรุษ ถึงจะอยู่ในวัยที่รู้สึกกระดากอายกับการปกป้องเด็กผู้หญิงหรือเด็กอายุน้อยกว่า นาโอกิก็ยังใจดีกับฮารุโตะโดยไม่เกรงสายตาคนอื่น แม้แต่งานเย็บปักถักร้อยที่โคกิแซวว่า ‘เหมือนผู้หญิง’ นาโอกิยังชื่นชมมากและยกยอว่า ‘จะเป็นผู้ชายหรือผู้หญิงก็ไม่เกี่ยวหรอก ฮารุโตะมีพรสวรรค์มากนะ’
ช่วงที่กำลังจะขึ้นชั้นประถมปลาย ฮารุโตะเริ่มรู้ตัวว่าเป้าหมายความรักของตนอาจเป็นผู้ชายมากกว่าผู้หญิงก็ได้ สำหรับเด็กผู้ชายคนอื่นๆ แล้ว เด็กผู้หญิงคือเป้าหมายสำหรับเย้าแหย่หรือดึงความสนใจ แต่ฮารุโตะมีงานอดิเรกตรงกับพวกผู้หญิง เด็กผู้หญิงจึงเป็นเพื่อนที่อยู่ด้วยแล้วสบายใจ ในขณะเดียวกันพออยู่ต่อหน้าเด็กผู้ชายคนหนึ่งทีไร เขาเป็นต้องรู้สึกว้าวุ่นใจทุกที
ฮารุโตะแอบยึดนาโอกิเป็นเป้าหมายของรักข้างเดียว แต่ก็เป็นความรู้สึกคล้ายกับการติดตามไอดอลคนโปรดมากกว่า
นั่นไม่ใช่ความรักจริงจังอะไร เขาแค่ทึกทักว่าเป็นเป้าหมายขึ้นมา แล้วสนุกไปกับประสบการณ์ใจเต้นแบบจำลองเท่านั้นเอง
วันนี้โดนชวนคุย วันนี้นาโอกิช่วยปกป้องจากการกลั่นแกล้งของโคกิ อีเวนต์เล็กๆ น้อยๆ ในแต่ละวันเหล่านั้นกลายมาเป็นกำลังใจให้ตน
เวลานาโอกิปกป้อง โคกิจะยิ่งฉุนเฉียวจนเข้ามาแกล้งหนักขึ้น การต่อสู้ระหว่างพี่น้องนั่นก็เร้าใจดี
ครั้นอยู่มัธยมหนึ่ง ฮารุโตะเกิดไอเดียว่าน่าจะมอบสเวตเตอร์ถักเองเป็นของขวัญวันคริสต์มาสให้นาโอกิ ตอนนั้นฝีมือถักนิตติ้งของฮารุโตะพัฒนาถึงขั้นรับผิดชอบตัวอย่างชิ้นงานส่วนใหญ่ในร้านของปู่ย่าได้แล้ว พ่อกับนัตสึโนะที่ได้รับเป็นของขวัญก็ปลาบปลื้มเช่นกัน
คนบางคนอาจไม่ชอบของถักด้วยมือที่แฝงความรู้สึกเพราะมองว่าจริงจังเกินไป แต่ฮารุโตะสังหรณ์ใจว่านาโอกิน่าจะช่วยรับไว้ง่ายๆ โดยไม่ถือสา
เพราะเป็นงานถักชิ้นแรกที่มอบเป็นของขวัญให้คนอื่นนอกเหนือจากครอบครัว ฮารุโตะจึงตื่นเต้นและสนุกกับการถักมาก เขาถักเสื้อสเวตเตอร์คอเต่าโดยพยายามใช้ลายเรียบง่ายที่สุดพลางระวังเพื่อไม่ให้ดูมีความเป็นของทำเองมากเกินไป
เสื้อที่ถักเสร็จดูสวยทีเดียว เขาห่อด้วยกระดาษห่อของขวัญของร้านด้ายอิจิคาวะแล้วนำไปมอบให้ตอนเย็นวันคริสต์มาสอีฟ
นาโอกิที่อยู่ชั้นมัธยมสามไปเรียนกวดวิชาคลาสฤดูหนาวจึงไม่อยู่บ้าน จังหวะที่คิดว่าไว้ค่อยมาใหม่ ฮารุโตะก็โดนโคกิจับตัวไว้เสียก่อน
“มีธุระอะไรกับพี่เหรอ? นั่นอะไร” อีกฝ่ายถาม “ไม่มีอะไร” ฮารุโตะตอบแล้วรีบทำท่าจะจากมา แต่โคกิขวางทางไว้แล้วเซ้าซี้ถามถึงของข้างในไม่เลิก ระหว่างที่ยื้อแย่งกันอยู่นั้น ถุงก็ฉีกขาดจนสเวตเตอร์สีฟ้าอมเทาร่วงลงพื้น
ยังไงซะก็คงไม่พ้นโดนแซวหรือล้อเลียนอีกแน่ๆ
ไม่สิ โดนหัวเราะเยาะหรือล้อเลียนยังดีเสียกว่า เพราะสีหน้าของโคกิในตอนนั้นคือสีหน้าตกตะลึงเหมือนกับผงะจากก้นบึ้งของหัวใจเลยทีเดียว
โคกิมองสเวตเตอร์สลับกับหน้าฮารุโตะแล้วเอ่ยขึ้น
“...ให้ของขวัญเป็นเสื้อถักเองเนี่ย สยองขวัญชะมัด นายเป็นผู้ชายแต่ชอบพี่ชายฉันเรอะ?”
ฮารุโตะรู้สึกช็อกในแบบที่แม้แต่ตัวเองยังคาดไม่ถึง
เขาตื่นตระหนกที่รสนิยมทางเพศของตนโดนโคกิจับได้ ยิ่งกว่าที่โดนทายถูกเรื่องความหลงใหลได้ปลื้มในตัวนาโอกิเสียอีก
ถึงที่ผ่านมาจะโดนล้อเลียนและแหย่เล่นอยู่บ่อยๆ แต่อีกฝ่ายก็ใจดีกับตนอยู่บ้าง เขาจึงนึกว่าถึงจะโดนดูถูก ก็คงไม่ได้โดนรังเกียจอะไร
แต่ตอนที่รู้ว่าตนชอบผู้ชาย เขารู้สึกเหมือนอีกฝ่ายแสดงความเกลียดชังออกมาชัดเจน
พอคิดว่าโดนโคกิเกลียด ฮารุโตะก็ทนไม่ไหวจนเป็นฝ่ายแหวใส่เสียเอง
“ถ้าชอบแล้วจะทำไม? นาโอจังใจดีมีเสน่ห์กว่าคนอย่างนายเป็นล้านเท่า ใครๆ ก็ต้องชอบอยู่แล้ว! นายไม่ต้องมาคุยกับฉันอีกไปตลอดชีวิตเลยนะ! ฉันเกลียดคนอย่างนายที่สุด!”
คำว่าหมาจนตรอกอาจหมายถึงอย่างนี้ก็ได้
ในเมื่ออีกฝ่ายคือโคกิ ฮารุโตะจึงนึกว่าจะโดนย้อนกลับมาแรงเป็นเท่าตัว แต่โคกิกลับยืนนิ่งเงียบผิดคาด
เขาไม่เคยลืมสีหน้าอึ้งงันของโคกิในตอนนั้น
ฮารุโตะวิ่งหนีมาจากตรงนั้น ความหวั่นไหวทำให้ลืมเก็บสเวตเตอร์มาด้วย ถึงอย่างนั้นก็ไม่กล้าพอจะย้อนกลับไปเอา
นับตั้งแต่เรื่องนั้นโคกิก็ไม่เคยเข้าใกล้ฮารุโตะอีก ไม่รู้เป็นเพราะถือคำพูดรุนแรงของฮารุโตะเป็นจริงเป็นจัง หรือเป็นเพราะรู้รสนิยมทางเพศเลยผงะกันแน่
การเป็นอิสระจากเพื่อนสมัยเด็กนิสัยเสียกะทันหันนั้น แทนที่จะทำให้โล่งใจ มันกลับทำให้ฮารุโตะนึกเสียใจภายหลังว่าตนได้ทำเรื่องที่ไม่อาจแก้ไขลงไปเสียแล้วมากกว่า
คำว่าเกลียดที่สุดนั่นก็แค่โกหกคำโต การโดนแกล้งอยู่เนืองๆ นั้นทั้งน่าโมโหและน่าเศร้าก็จริง แต่ความจริงแล้วตนชอบโคกิที่เข้ามายุ่งด้วยไปหมดทุกเรื่องมากที่สุด รวมถึงส่วนที่ชอบแกล้งนั่นด้วย ฮารุโตะเพิ่งรู้ตัวเอาตอนนั้นเอง
ความรู้สึกนั้นแตกต่างไปจากความหลงใหลได้ปลื้มที่มีต่อนาโอกิ ถึงจะถักเสื้อเป็นของขวัญให้นาโอกิเหมือนเป็นคนในครอบครัวได้ ตนก็ไม่มีทางถักให้โคกิเด็ดขาด ไม่มีทางทำได้แน่
ก็แบบนั้นมันดูไม่จืดเลยนี่นา ความในใจคงได้รั่วไหลออกมาหมดแน่ น่ากลัวจะตาย
กว่าจะตระหนักว่ารักแรกตัวจริงคือโคกิก็สายไปเสียแล้ว
หลังจากเรียนจบชั้นมัธยมต้นโดยไม่ได้คุยกันอีกแม้แต่คำเดียว ฮารุโตะก็ไปเรียนต่อมัธยมปลายคนละโรงเรียนกับโคกิ
พอถึงวัยนั้นเขาก็เลิกสุงสิงกับพวกเพื่อนสมัยเด็กแถวบ้านไปหมดแล้ว ไม่ใช่แค่กับโคกิคนเดียว
ฮารุโตะยังคงไปแช่อยู่ที่บ้านปู่ย่าตามเคย นานๆ ครั้งโคกิที่สวมชุดนักเรียนต่างจากตัวเองก็จะเดินพูดคุยอย่างสนุกสนานกับเพื่อนคนอื่นๆ ผ่านหน้าร้านไป ฮารุโตะได้แต่มองภาพนั้นด้วยความรู้สึกปวดร้าว
หลังจบชั้นมัธยมปลายฮารุโตะเข้าเรียนต่อที่โรงเรียนเฉพาะทางด้านเสื้อผ้าและเครื่องประดับในโตเกียว เมื่อเรียนจบก็เข้าทำงานในบริษัทผู้ผลิตเสื้อผ้าในโตเกียว
หากเป็นเพียงเพื่อนสมัยเด็กธรรมดา แค่เก็บเรื่องโคกิไว้ในซอกหลืบความทรงจำก็คงจบแล้ว แต่ว่าความสัมพันธ์ของพี่สาวกับนาโอกิทำให้ความเป็นไปของโคกิโผล่มาในบทสนทนาโดยไม่อาจปฏิเสธได้อยู่เนืองๆ ทั้งเรื่องที่หลังจบมัธยมปลายก็ไปเรียนงานไม้ในโรงเรียนเฉพาะทางแล้วเข้าทำงานที่โรงงานที่ไหนสักแห่ง เรื่องที่เก้าอี้ที่โคกิประดิษฐ์ได้รับรางวัลในการประกวดระดับนานาชาติจนราคาขายพุ่งกระฉูด รวมถึงเรื่องที่โคกิออกไปอยู่คนเดียวแล้วตั้งโรงงานของตัวเองตั้งแต่หลายปีก่อน ทว่าก็ยังช่วยงานร้านเฟอร์นิเจอร์ของที่บ้านอยู่บ้าง
งานศพของปู่ย่ากับพ่อที่ทยอยเสียไป และงานแต่งงานของพี่สาว ทำให้มีโอกาสเจอหน้าโคกิอยู่หลายหน ฮารุโตะแอบมองเพื่อนสมัยเด็กที่หล่อขึ้นเรื่อยๆ ทุกครั้งที่เจออยู่ไกลๆ พลางหลีกเลี่ยงการข้องแวะสุดชีวิต ฝ่ายโคกิเองก็รักษาระยะห่างโดยแสร้งทำหน้าไม่รู้ไม่ชี้ ฮารุโตะจึงอดซาบซึ้งใจไม่ได้
สำหรับฮารุโตะที่กลับมาเมืองนี้เพื่อสืบทอดกิจการ สิ่งที่เขาหนักใจที่สุดก็คือวิธีวางตัวกับโคกินี่แหละ ต่อให้หลบหน้าในพิธีที่จัดขึ้นแค่วันเดียวได้ แต่ถ้าเป็นญาติที่อาศัยอยู่ในเมืองเดียวกัน จะให้อยู่โดยไม่ข้องแวะกันเลยก็คงเป็นไปไม่ได้
‘นายเป็นผู้ชายแต่ชอบพี่ชายฉันเรอะ?’
ถ้อยคำที่โคกิโยนใส่พร้อมสายตาดูถูกในวันนั้นฝังตรึงลึกลงในสมองของฮารุโตะ
เพื่อนที่โรงเรียนเฉพาะทางและเพื่อนร่วมงานในที่ทำงานเก่ามีคนที่มีรสนิยมทางเพศแบบเดียวกับตนอยู่ ฮารุโตะจึงคิดว่าสมัยนี้ไม่จำเป็นต้องคิดมากขนาดนั้นซะหน่อย
ถึงอย่างนั้นเขาก็ยังขจัดความกระอักกระอ่วนใจที่มีต่อโคกิออกไปไม่หมด ไม่ว่าอย่างไรการโดนคนที่แอบชอบดูถูกรสนิยมทางเพศก็เป็นเหตุการณ์น่าช็อกอยู่วันยังค่ำ
ขืนโดนขุดเรื่องวันนั้นขึ้นมาใหม่คงอยากแทรกแผ่นดินหนี ดูเหมือนว่าเรื่องจะยังไปไม่ถึงหูพี่สาวกับสามี แต่ถ้าโดนเปิดโปงแบบแปลกๆ จนกระอักกระอ่วนใจกับนาโอกิหรือนัตสึโนะไปด้วยก็คงแย่
แต่แล้วเหตุการณ์กลับดำเนินไปในทิศทางที่คาดไม่ถึง เหตุเกิดในวันรุ่งขึ้นหลังกลับบ้านเกิด ตอนที่ฮารุโตะทำงานอยู่ในร้านเพื่อเตรียมเปิดร้านซึ่งปิดทำการมาพักใหญ่
ระหว่างที่กำลังปลุกปล้ำกับชั้นวางของเก่าด้านหลังร้านซึ่งแทบจะกลายสภาพเป็นที่เก็บของเพื่อลากออกไปข้างหน้านั้นเอง
“ฉันช่วยไหม?”
เสียงเอ่ยทักดังขึ้นด้านหลังปุบปับ ทำเอาฮารุโตะสะดุ้งโหยงปล่อยมือจากชั้นจนชั้นเอนลงมาหา
ถ้าไม่มีมือที่ยื่นมาจากด้านหลังช่วยยันไว้ สงสัยคงโดนชั้นล้มทับไปแล้ว
ครั้นฮารุโตะที่ถูกขนาบด้วยชั้นกับแขนอยู่ในที่แคบๆ หันไปด้านหลังอย่างกล้าๆ กลัวๆ ก็พบใบหน้าของโคกิอยู่ตรงนั้น
ถึงจะเจอหน้ากันตามพิธีต่างๆ อยู่บ้าง แต่ก็ไม่ได้เห็นหน้าโคกิในระยะใกล้ขนาดนี้มานานแล้ว... อันที่จริงเรียกได้ว่าเป็นครั้งแรกในชีวิตเลยทีเดียว ทั้งรูปร่างที่ใหญ่โตกว่าภาพในสมองเป็นเท่าตัว สายตาที่มองตรงมาจากที่สูงกว่า และกลิ่นหอมเหมือนในป่าที่โชยมาจากร่างกายอันใกล้ชิดล้วนทำให้ฮารุโตะใจเต้นรัวเร็วขึ้นมาด้วยความประหม่าและความรู้สึกบางอย่างที่นอกเหนือจากนั้น
“ฉันได้ยินมาจากนัตจังว่าฮารุโตะกำลังลำบากกับการเตรียมเปิดร้านน่ะ ชั้นนี่จะย้ายไปไหนล่ะ?”
โคกิพูดเหมือนมาเพราะโดนนัตสึโนะไหว้วาน ก่อนจะยกชั้นขึ้นอย่างง่ายดายและช่วยย้ายไปวางข้างเคาน์เตอร์ให้
“วางไว้เฉยๆ แบบนี้มันอันตราย ตรึงไว้กับที่น่าจะดีกว่า แต่ทาสีใหม่ก่อนดีไหม อยากเปลี่ยนสีรึเปล่า? หรืออยากได้แบบเดิม?”
“เอ๊ะ เอ่อ...”
“ไหนๆ ก็ไหนๆ แล้ว ถ้ามีอย่างอื่นที่อยากย้าย ฉันจะช่วยย้ายให้ด้วย”
อีกฝ่ายเสนออย่างเป็นธรรมชาติเสียจนฮารุโตะเผลอไหว้วานให้ช่วยอีกหลายอย่าง
ในช่วงหลายวันต่อมาโคกิโผล่หน้ามาแทบทุกวัน ช่วยจัดร้านใหม่บ้าง ซ่อมแซมข้าวของบ้าง แก้ประตูฝืดให้บ้าง
บทสนทนาระหว่างทำงานมีแต่เรื่องสัพเพเหระไร้พิษภัยอย่างเรื่องดินฟ้าอากาศ เรื่องงาน หรือไม่ก็เรื่องลูกของพี่สาวกับสามีซึ่งเป็นหลานสาวของทั้งสองฝ่าย นิสัยขี้แกล้งของโคกิในอดีตหายไปไม่เหลือวี่แวว ตอนนี้อีกฝ่ายกลายเป็นชายหนุ่มแสนดีนิสัยเป็นมิตรไปแล้ว
พอนึกดู การทะเลาะกันครั้งนั้นเป็นอดีตที่ผ่านมาเกินสิบปีแล้ว สำหรับฮารุโตะ นั่นคือความทรงจำอันขมขื่นร่วมกับคนที่เป็นรักแรก เขาจึงยังจดจำได้แจ่มชัดไม่ว่าผ่านมานานเท่าไร แต่สำหรับโคกิแล้ว ต่อให้ตกใจและนึกรังเกียจรสนิยมทางเพศของเพื่อนสมัยเด็กในตอนนั้น ไม่ทันไรก็คงรู้สึกว่าจะเป็นยังไงก็ช่างและลืมเลือนไปได้ง่ายๆ ละมั้ง
ไม่ใช่แค่โคกิเท่านั้น เพื่อนสมัยเด็กคนอื่นๆ เองก็กลายเป็นผู้ใหญ่เต็มตัว เติบโตจนเหมือนเป็นคนละคนกับสมัยเยาว์วัย เด็กหญิงขี้แยกลายเป็นคุณแม่ลูกสองผู้หนักแน่น เด็กชายขี้อายผู้แทบไม่เคยปริปากกลายเป็นสมาชิกสภาเมือง
ความเปลี่ยนแปลงของโคกิก็คงเป็นเพราะเติบโตเป็นผู้ใหญ่แล้วนั่นเอง
แม้แต่ฮารุโตะเองก็ต่างจากวันวานที่โดนโคกิวิ่งไล่จนร้องไห้จ้า
ตลอดแปดปีที่เป็นพนักงานบริษัท ฮารุโตะได้สัมผัสทั้งความทรมานและความสำเร็จตามสมควร แล้วเขาก็กลับมาโดยตัดสินใจว่าจะยึดการสืบทอดร้านของปู่ย่าเป็นงานไปตลอดชีวิต
อดีตที่เคยกังวลกลายเป็นเหมือนเรื่องที่ไม่เคยเกิดขึ้น ช่างน่าซาบซึ้งใจแท้ๆ
แต่ถึงภายนอกจะทำเป็นเออออไปกับโคกิ ฮารุโตะก็ยังพูดได้ไม่เต็มปากอยู่ดีว่าทุกอย่างเป็นแค่อดีต
เพราะแม้แต่ตอนนี้ฮารุโตะก็ยังชอบโคกิอยู่
ความเสียใจเคยทำให้เขาโกรธและพยายามลืมมันไปอยู่ช่วงหนึ่ง แต่ว่าสุดท้ายความรู้สึกที่สิ้นสุดลงโดยไม่ทันได้สมหวังนั้นก็ยังค้างคาในใจเรื่อยมา
นอกจากนั้นพอได้เจอกันอีกครั้ง อีกฝ่ายยังกลายมาเป็นผู้ชายดีๆ ที่ใจดีกับตนมาก การเบรกหัวใจรักไม่ให้ลุกโชนขึ้นมาอีกครั้งจึงยากเย็นไม่ใช่เล่น แม้จะสับสนว่าควรทำอย่างไรดี ฮารุโตะก็ได้แต่แสร้งทำหน้าเหมือนไม่มีอะไรทั้งนั้นอยู่ทุกวัน
“มาฟุจัง เมื่อยมือไหม?”
ฮารุโตะเช็กใบสั่งซื้อสินค้าอยู่ที่เคาน์เตอร์พลางเอ่ยทักมาฟุยุผู้เป็นหลานสาวที่กำลังถักโครเชต์อย่างขะมักเขม้น
มาฟุยุส่ายแก้มที่ดูเหมือนไดฟูกุสตรอว์เบอร์รีไปมา
“ไม่เมื่อย สนุกดี”
เวลามาที่นี่ทีไรมาฟุยุที่เข้าใจความสนุกของงานเย็บปักถักร้อยทั้งที่เพิ่งห้าขวบเป็นต้องอ้อนขอไหมพรมจากฮารุโตะมานั่งถักโซ่โครเชต์อยู่นานสองนานทุกที
ภาพนั้นซ้อนทับกับวัยเยาว์ของตัวเอง ทำให้ฮารุโตะเอ็นดูหลานสาวตัวน้อยเป็นที่สุด มือป้อมๆ ที่มีรอยบุ๋มกำเข็มพลางถักไหมพรมด้วยความคล่องแคล่ว ฝีมือเหนือกว่าฮารุโตะตอนเด็กเสียอีก
“มาฟุ กินน้ำแข็งไสไหม?”
โคกิร้องถามจากหลังร้าน
มาฟุยุจ้องมือตัวเอง แสดงอาการลังเลแวบหนึ่ง สุดท้ายก็ต้านทานความยั่วยวนของน้ำแข็งไสไม่ได้
“กิน!”
เด็กหญิงวางไหมพรมที่ถักค้างอยู่ลงบนโต๊ะ กระโดดถอยหลังลงจากเก้าอี้ ก่อนจะวิ่งตื๋อไปหลังร้านพร้อมเสียงฝีเท้าน่ารัก
“ฮารุโตะก็มาสิ”
“ร้านเปิดอยู่”
“ตอนนี้ว่างจะตาย ไว้ลูกค้าเข้าแล้วค่อยกลับไปก็ได้”
อันที่จริงลูกค้าที่เข้าร้านในหนึ่งชั่วโมงที่ผ่านมามีแค่หญิงชราแถวบ้านที่มาซื้อซิปคนเดียวเท่านั้น
“เออสิ ฉันมันว่างอยู่แล้วนี่”
พอฮารุโตะเดินหน้าบูดมาหลังร้าน มาฟุยุก็พูดเลียนแบบว่า “ว่างอยู่แล้นนี่”
“เฮ้ แบบนั้นเป็นตัวอย่างที่ไม่ดีนะ อย่าพูดจาแง่ลบสิ”
“โคกิพูดก่อนนี่นา”
“ฉันพูดในแง่บวกต่างหากล่ะ”
“แง่บวกตรงไหนกัน”
โคกิหมุนเครื่องทำน้ำแข็งไสที่หิ้วมาจากบ้านตัวเองด้วยความเร็วชนิดที่ไม่น่าเชื่อว่าใช้มือหมุน ครั้นไสน้ำแข็งเสร็จแล้วก็วางชิราทามะ ทำเสร็จใหม่ๆ ลงไป ตามด้วยราดน้ำเชื่อมใส
ทั้งสามพนมมือ เอ่ยประสานเสียงว่า กินละนะครับ/ค่า
น้ำแข็งไสเรียบง่ายมีรสชาติชวนผ่อนคลาย
“ดังโงะอันนี้ พี่โคทำเองเหรอ?”
“ใช่แล้ว”
“มาฟุยุอยากทำบ้าง”
“ได้สิ คราวหน้ามาทำด้วยกันนะ มาฟุยุนวดแป้งขนมปังเก่งซะด้วย”
“จะทำขนมปังกระต่ายอีกไหม?”
“ก็ดีนะ ไว้ทำกันเถอะ”
ฮารุโตะเคี้ยวชิราทามะหนึบหนับพลางเฝ้ามองการสนทนาของทั้งสอง
มาฟุยุมีตาสองชั้นคมชัดและนิสัยชอบเย็บปักถักร้อยเหมือนฮารุโตะ แต่ในขณะเดียวกันก็มีปากอวบอิ่มและชอบทำอาหารเหมือนโคกิด้วย
ทั้งที่เป็นคนละคนกันโดยสิ้นเชิง ทว่าฮารุโตะกับโคกิกลับมีความเชื่อมโยงทางสายเลือดผ่านมาฟุยุ ช่างน่าอัศจรรย์ใจอะไรอย่างนี้
ถ้าแต่งงานมีลูกจะรู้สึกแบบนี้ไหมนะ โคกิเป็นปะป๊า เราเป็นหม่าม้า? ฮารุโตะฝันเฟื่องอย่างใจลอย ก่อนจะสะดุ้งได้สติและตกใจจนเผลอกลืนชิราทามะลงไปทั้งลูก
+++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++
ถ้าอีกฝ่ายเป็นใครก็ได้ งั้นเป็นฉันก็ได้ไม่ใช่รึไง?
อิจิคาวะ ฮารุโตะย้ายจากเมืองหลวงกลับบ้านเกิดมารับช่วงต่อร้านด้ายอิจิคาวะของปู่ย่าได้ครึ่งปีแล้ว และคนที่เขาชอบก็คือนิโนมิยะ โคกิ เพื่อนสมัยเด็กผู้กลายเป็นศิลปินงานไม้ยอดนิยม ณ ขณะนี้ ตั้งแต่โดนโคกิพูดจาเหมือนดูถูกว่า “นายเป็นผู้ชายแต่ชอบพี่ชายฉันเรอะ?” ตอนอยู่มัธยมต้น ทั้งสองคนก็ห่างเหินกันไป แต่เพราะพี่สาวของฮารุโตะดันแต่งงานกับพี่ชายของโคกิ เมื่อกลับมาบ้านเกิดทั้งสองคนจึงกลับมาสนิทสนมกันอีกครั้ง โดยที่ฮารุโตะยังคงปิดบังความรู้สึกชอบเอาไว้ ทว่ายิ่งอีกฝ่ายใจดีด้วยเท่าไร ความรักก็ยิ่งเพิ่มพูนขึ้นเรื่อยๆ...
นี่คือเรื่องราวความรักที่เข้าใจผิดกันของเพื่อนสมัยเด็ก!
