New Release แปล : SUZUMIYA HARUHI เล่ม 13 ตอน โรงภาพยนตร์ของสึซึมิยะ ฮารุฮิ

อัพเดทข่าวบงกชบุ๊คส์ ความเคลื่อนไหว และกิจกรรมพิเศษ ตลอดจนร่วมสนุกชิงรางวัลพร้อมของรางวัลมากมาย

Moderator: P'Bly, Gals, พี่บี

ตอบกลับโพส
Gals
โพสต์: 1101
ลงทะเบียนเมื่อ: ศุกร์ 13 ก.พ. 2009 3:47 pm

New Release แปล : SUZUMIYA HARUHI เล่ม 13 ตอน โรงภาพยนตร์ของสึซึมิยะ ฮารุฮิ

โพสต์ โดย Gals »

act.1 ภาคแฟนตาซี

ผมตกตะลึงเป็นอย่างมากเพราะไม่เข้าใจสถานการณ์ที่อยู่ตรงหน้านี้เลย เชื่อว่าคนปกติทั่วไปคงจะเข้าใจสถานะและความรู้สึกหมดเรี่ยวแรงของผมในตอนนี้อย่างแน่นอน และคงพูดพร้อมกันว่า
“นี่มันอะไรกันเนี่ย!”
“นายว่าอะไรนะ?”
ฮารุฮิที่ยืนอยู่ข้างผมอมยิ้มอย่างไม่เข้ากับบรรยากาศเอาเสียเลย เป็นรอยยิ้มที่ดูมีความสุขจนน่ากลัว เหมือนกำลังจะพุ่งทะยานไปข้างหน้าโดยไม่สนใจสามัญสำนึกใดๆ ทั้งสิ้น แต่ในเมื่อเธอยิ้มแบบนี้ก็เป็นอันจบ เพราะพวกเราต้องตามผู้หญิงนอกลู่นอกทางคนนี้ไปจนสุดทางไม่ว่าจะไปไกลแค่ไหน ผมได้แต่ภาวนาว่าปลายทางของรถไฟที่ขึ้นอยู่นี้ไม่ใช่ห้องปกครองหรือห้องเรียนติวสอบเข้ามหาวิทยาลัยของพวกเด็กซิ่ว
แต่ตอนนี้คงไม่ใช่เวลาที่จะมาภาวนาอะไรแบบนั้น
“เปล่า ไม่ได้พูดอะไร หรือจะบอกว่าไม่อยากพูดอะไรไปสักพักเลยด้วยซ้ำ”
ความเห็นของผมมีแค่นั้นแหละ
“งั้นเหรอ ถ้างั้นก็เงียบไว้ ตรงนี้ปล่อยให้ฉันจัดการเอง ส่วนนายเป็นแค่ตัวประกอบไปก็พอ เพราะนายไม่เหมาะกับการเจรจาแบบนี้หรอก”
ผมไม่อยากให้เธอตัดสินว่าผมเหมาะหรือไม่เหมาะกับอะไร หรือกำหนดทางเดินตามใจชอบ แต่ตอนนี้ผมตัดสินใจเงียบปากเอาไว้ก่อน เพราะจริงๆ แล้วก็ไม่รู้ว่าควรพูดอะไรกับใครดี แล้วก็ไม่อยากพูดอะไรส่งเดชจนทำให้สถานการณ์แย่ลงไปกว่านี้ด้วย เชื่อว่าไม่ว่าใครก็ตามจู่ๆ ก็พบว่าตัวเองมายืนอยู่ในที่แบบนี้ ต้องรู้สึกเหมือนกันแน่นอน
ใช่แล้ว จู่ๆ ก็พบว่าตัวเองถูกอัญเชิญไปยังพระราชวังของปราสาทที่ไหนสักแห่ง และเห็นชายแก่ร่างท้วมที่ดูเหมือนพระราชานั่งอยู่บนบัลลังก์ตรงหน้า
“ผู้กล้าฮารุฮิเอ๋ย”
ชายแก่ที่หน้าตาเหมือนพระราชาบนไพ่ดอกจิกเปล่งเสียงทุ้มต่ำและหนักแน่น
“ผู้ที่จะช่วยโลกใบนี้ได้ได้มีเพียงเจ้าเท่านั้น ผู้กล้าโดยกำเนิดที่สืบสายเลือดวีรบุรุษผู้ยิ่งใหญ่ในตำนานมาแต่โบราณกาล ข้าอยากขอร้องให้เจ้าช่วยไปปราบจอมมารผู้ชั่วร้ายที่พยายามจะครองโลกอันงดงามนี้ด้วยความหวาดกลัวและความพินาศด้วยเถิด”
“นี่ ลุง”
ฮารุฮิพูดอย่างไม่เกรงใจกับพระราชาที่ถูกเรียกว่า ‘ฝ่าบาท’ โดยชายชราที่ดูเหมือนเป็นอัครมหาเสนาบดีที่ยืนอยู่ข้างๆ ดูเหมือนประเทศนี้จะปกครองด้วยระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์แบบยุคกลาง ว่าแต่ประเทศนี้ไม่มีกฎหมายหมิ่นพระบรมเดชานุภาพเลยหรืออย่างไร ทหารองครักษ์น่าจะออกมาจับฮารุฮิไปเข้าคุกได้แล้วนะ แต่ช่วยจับยัยนี่ไปคนเดียวเถอะ เพราะผมไม่อยากติดคุกด้วยหรอก
แถมอีกนิด ทั้งนางาโตะ คุณอาซาฮินะ แล้วก็โคอิซึมิ คงไม่ใครอยากเข้าไปในคุก ถึงพวกเราจะยืนเรียงแถวกันแบบนี้ แต่ก็ไม่อยากถูกจับในฐานะผู้ร่วมกระทำผิดหรอกนะ
“เรื่องช่วยโลกเนี่ย ก็ไม่ใช่ว่าไม่เข้าใจหรอกนะ การมาขอร้องให้ฉันช่วย ต้องถือว่าเป็นคำขอที่สมเหตุสมผลอย่างยิ่ง ต้องขอชื่นชมในจุดนี้ คุณเลือกคนได้เยี่ยมมาก เพราะฉันกับพรรคพวกจัดการงานทุกอย่างได้ภายในเสี้ยววินาที มีผลงานเยอะเลยนะ”
นั่นเป็นคำพูดโคมลอยที่อยากลบทิ้งให้เกลี้ยงในทันที
ฮารุฮิอยู่ด้านซ้ายมือของผม ยืนตัวตรงอย่างสง่างาม ท่าทางองอาจ เธอชี้นิ้วไปยังพระราชาซึ่งนั่งอยู่บนบัลลังก์อย่างรวดเร็ว
“แต่ว่านะ จะทำงานก็ต้องมีค่าตอบแทน ถ้าฉันเอาชนะจอมมารที่หลงใหลในอำนาจนั่นได้จะได้อะไร? ไม่รู้ทำไม แต่รู้สึกว่าไม่ว่าใครปกครอง มันก็แค่เปลี่ยนที่ที่ต้องจ่ายภาษีเท่านั้น”
ฝีปากกล้าดีจริงๆ ผมเบนสายตาจากใบหน้าที่เปี่ยมด้วยชีวิตชีวาของเธอ แล้วแอบสังเกตชุดของฮารุฮิแบบไม่ให้รู้ตัว
ผู้กล้าฮารุฮิเอ๋ย— ถ้ามีใครเรียกยัยนี่แบบนี้ในสถานการณ์ปกติ ผมคงแอบสงสาร แล้วโทรเรียกรถพยาบาลให้ หรือไม่ก็รีบหนีไปจากที่นั่นทันที แต่ในสถานการณ์ ณ ตอนนี้ บอกเลยว่าทำแบบนั้นไม่ได้ ทำไมน่ะเหรอ? เพราะฮารุฮิในตอนนี้ไม่ว่ามองยังไงก็เหมือน ‘ผู้กล้า‘ จริงๆ อยากให้ลองจินตนาการถึงชุดของตัวเอกในเกม RPG แนวแฟนตาซีตะวันตกยุคกลางดู คิดว่าน่าจะใกล้เคียงที่สุดแล้วล่ะ นั่นแหละชุดที่ฮารุฮิสวมอยู่ตอนนี้
“โอ้ ผู้กล้าฮารุฮิเอ๋ย”
แทนที่จะไล่ออกจากปราสาทไปซะเดี๋ยวนี้ ดูเหมือนพระราชายังอยากคุยกับฮารุฮิต่อ
“ถ้าเจ้าสามารถปราบจอมมารผู้ชั่วร้าย และนำสันติสุขมาสู่โลกได้ ชื่อเสียงของเจ้าจะกึกก้องไปทั่วทุกแห่งหน เกียรติยศนี้ยังไม่เพียงพออีกหรือ”
“ก็ไม่พอน่ะสิ”
ฮารุฮิโบกมือไปมาตรงหน้า
“เหรียญรางวัลเกียรติยศอะไรนั่นน่ะ เอาไปต้มหรือผัดกินก็ไม่ได้ อย่างมากก็แค่เอาไปประมูลขายทอดตลาดเท่านั้นแหละ”
“ผู้กล้าฮารุฮิเอ๋ย งั้นข้าจะรับเจ้าเข้าวัง ให้แต่งงานกับเจ้าหญิงลูกสาวของข้า......”
“ไม่เอาหรอก เจ้าหญิงน่ะ”
“—ไม่ใช่สิ แต่งงานกับเจ้าชายของข้า แล้วมีอำนาจในการปกครองประเทศนี้ร่วมกัน แบบนี้เจ้าว่ายังไง เพียงแต่ตอนนี้ลูกๆ ของข้าทั้งเจ้าชายและเจ้าหญิงถูกจอมมารลักพาตัวไป และถูกขังไว้ในปราสาทของมัน เจ้าต้องไปช่วยพวกเขาออกมาก่อน”
“ก็เพิ่งบอกไปว่าไม่เอาไง”
เสียงของเธอเริ่มแฝงความโกรธมากขึ้นเรื่อยๆ
“ถ้าคิดว่าฉันจะดีใจที่ถูกบังคับให้แต่งงานกับคนที่ไม่รู้จักล่ะก็ ขอบอกไว้เลยว่านายคิดผิดแล้ว! ผิดขนาดไหนน่ะเหรอ ก็เหมือนกับที่ฝนคำตอบในกระดาษคำตอบผิดแถวทั้งหมดแล้วส่งไปนั่นแหละ! แถมไม่ใช่ข้อสอบซ้อมนะ เป็นข้อสอบจริงด้วย!”
หลังจากตะโกนอย่างเกรี้ยวกราด ฮารุฮิก็เข้ามากระซิบที่หูผม
“นี่ เคียวน์ เราก่อกบฏแล้วปฏิวัติซะเลยดีไหม? ถ้าเอาดาบจี้และขู่ตาลุงคนนี้ เขาน่าจะยอมสละราชสมบัติแบบง่ายๆ เลยนะ แล้วถ้านายอยากได้ ฉันยกตำแหน่งพระราชาให้เลยเอ้า”
ถ้าจะทำก็ทำไปคนเดียวเถอะ ผมไม่สนใจทั้งการก่อกบฏ การปฏิวัติ หรืออำนาจพระราชาอะไรนั่นหรอก ผมอยากใช้ชีวิตที่เหลืออย่างสงบในมุมเล็กๆ ของโลกนี้มากกว่า คนอื่นๆ ยกเว้นเธอก็คงคิดเหมือนกันแน่นอน
ด้วยเหตุนี้ผมจึงหันไปทางอื่นเพื่อหลบสายตาฮารุฮิ แล้วสิ่งที่เห็นก็คือใบหน้างุนงงที่แสนจะน่ารักของคุณอาซาฮินะ น่ารักมากจนผมยอมทนเจ็บตาสักหนึ่งสัปดาห์เลยก็ได้ ถ้าสามารถบันทึกภาพนี้ไว้ในดวงตาของผมได้
“อ๊ะ”
พอคุณอาซาฮินะสังเกตเห็นสายตาของผม เธอก็เปลี่ยนจากสีหน้างุนงงมาเป็นรอยยิ้มอันแสนอ่อนโยน แล้วกางแขนออกอย่างเขินอาย แต่ไม่ใช่ภาษากายที่บอกว่ามากอดก็ได้นะ แต่เป็น
“ชุดนี้เหมาะกับฉันไหมคะ?”
อย่าถามว่าเหมาะหรือไม่เหมาะเลย เพราะถ้าคุณอาซาฮินะใส่แล้วไม่เหมาะ นั่นก็เป็นความผิดของชุด ไม่ใช่ความผิดของนางแบบ เสื้อผ้าแบบนั้นสมควรเอาไปเผาในเตาผิงของกระท่อมกลางคืนหนาวๆ ซะ
“เป็นนักเวทที่สมบูรณ์แบบเลยครับ เห็นเป็นอย่างอื่นไม่ได้เลย”
ช่วงนี้ผมรู้สึกว่าคำชมควรจะกระชับและตรงประเด็น เลยรวบรวมความรู้สึกทั้งหมดเอาไว้ในประโยคเดียว ต้องสื่อความหมายออกไปได้อย่างแน่นอน คุณอาซาฮินะยิ้มกว้างขึ้น
“ชุดของเคียวน์คุงก็เหมาะดีนะคะ”
ผมพยายามยิ้มตอบ แต่จริงๆ แล้วก็ไม่แน่ใจว่าควรรู้สึกขอบคุณดีหรือไม่ มันจะน่าดีใจตรงไหน ถ้าชุดคอสเพลย์ที่ไม่ใช่รสนิยมของตัวเองดันดูเข้ากับเราพอดี ในขณะที่ผมกำลังคิดหาทางแก้ไขสถานการณ์อยู่นั้น พระราชาไพ่ดอกจิกคงเริ่มเหนื่อยกับการโต้เถียงกับฮารุฮิ แล้วจึงหันมาพูดกับผม
“นักรบเคียวน์เอ๋ย”
ในที่สุดก็หันมาพูดกับผมเสียที
“แล้วเจ้าล่ะ จะช่วยกอบกู้โลกแล้วรับเจ้าหญิงของข้าเป็นพระชายาไหม ข้ารับประกันตำแหน่งพระราชาคนต่อไปให้ก็ได้”
—นักรบ ดูเหมือนนั่นจะเป็นบทบาทของผม ก็คงจะเป็นนักรบแหละ ในเมื่อสวมชุดเกราะและมีดาบยาวเหน็บอยู่ที่เอว อย่างน้อยก็ในแง่ของการแต่งกาย ส่วนทักษะการใช้ดาบนั้น ผมแค่เคยแกว่งดาบไม้ไผ่ไปมาในคาบพละสมัยมัธยมต้นเท่านั้น ประสบการณ์แค่นั้นจะไหวเรอะ
“อาจจะฟังดูเข้าข้างตัวเองไปหน่อย แต่เจ้าหญิงของข้ารูปโฉมงดงาม” ฝ่าบาทเริ่มแสดงความรักลูกสาวแบบออกนอกหน้าในฐานะพ่อ “นางได้ที่หนึ่งในการจัดอันดับหนึ่งร้อยสาวงามแห่งปีเมื่อปีที่แล้ว ถ้าไม่ถูกจอมมารจับตัวไปเสียก่อน ปีนี้ก็คงชนะอีกอย่างแน่นอน”
“งั้นเหรอครับ”
ผมตอบอย่างเย็นชา เจ้าหญิงองค์นั้นอาจจะสวยขนาดที่ว่าคุ้มค่าแก่การได้พบเห็นสักครั้งก็เป็นได้ แต่สิ่งที่ผมสามารถพูดได้อย่างมั่นใจก็คือ ยังไงก็คงไม่น่ารักเท่าคุณอาซาฮินะ ไม่มีพลังในการกระทำเหนือไปกว่าฮารุฮิ และสารพัดประโยชน์เท่านางาโตะแน่นอน ตอนนี้เรื่องเล็กๆ น้อยๆ แค่นี้ทำให้หัวใจผมหวั่นไหวไม่ได้อีกแล้ว
อีกอย่าง ถ้าผมพยักหน้าตอบรับตรงนี้ คงถูกฮารุฮิฆ่าก่อนที่จะได้เจอจอมมารอะไรนั่นด้วยซ้ำ ภาพอนาคตแบบนั้นผุดขึ้นมาห่างจากใบหน้าผมประมาณ 10 เซนติเมตร แล้วก็หายไปเหมือนฟองสบู่
“พระราชาองค์นี้ตื๊อจริงๆ”
พอผมคิดว่าฮารุฮิกำลังบ่นอะไรก็
“ค่าใช้ง่ายในการเดินทางแค่นี้มันไม่พอหรอกนะ อย่ามาขี้เหนียวเอาแต่พูดเรื่องค่าตอบแทนหลังเสร็จภารกิจเลย ตอนนี้มีเท่าไหร่จ่ายมาให้หมดเลยดีกว่ามั้ง เท่าไหร่ดีล่ะ ประมาณ 99,999 เหรียญทองน่าจะดี”
ถ้ายุคนี้มีธนบัตรใช้แล้วก็ดีไป แต่ถ้ามีแต่เหรียญล่ะก็ น้ำหนักคงมหาศาลน่าดู แล้วใครจะเป็นคนแบกหีบสมบัติเดินไปด้วยล่ะ? ผมคิดว่าพูดแทรกไปแบบนั้นคงดูไม่ฉลาดเท่าไหร่ เอามงกุฎของพระราชาไปแทนดีกว่าไหม คงมีที่ไหนสักแห่งรับแลกเป็นเงินได้
ฮารุฮิยังคงถามคำถามเกี่ยวกับความผันผวนของอัตราแลกเปลี่ยนเงินตราและมีหรือไม่มีมาตราทองคำ เท่านั้นไม่พอ ยังเรียกร้องให้จัดกองทัพทหารม้า 10,000 นาย และทหารราบอีก 50,000 นายมาเป็นองครักษ์ด้วย ยัยนี่พูดแต่เรื่องที่ไม่น่าจะเป็นไปได้จนสีหน้าของพระราชาและอัครมหาเสนาบดีเต็มไปด้วยความลำบากใจ
ดูเหมือนว่าผมพอจะมีเวลาว่างสักพัก ดังนั้นจึงขอใช้โอกาสนี้อธิบายลักษณะการแต่งกายของสองคนที่เหลืออย่างคร่าวๆ ละกัน
นางาโตะเป็นโจร ส่วนโคอิซึมิเป็นนักดนตรีพเนจรที่พกพิณติดตัว จบ ไม่มีอะไรต้องอธิบายไปมากกว่านี้ เพราะมันก็เป็นอย่างที่เห็น
นางาโตะยังคงจ้องมองกำแพงหินตรงหน้าด้วยสายตาที่นิ่งสนิท ส่วนโคอิซึมิกำลังเฝ้าดูการพูดจาของฮารุฮิด้วยรอยยิ้มสดชื่นจนดูเสแสร้ง ผมโล่งอกที่ไม่ต้องใส่ชุดของหมอนี่ ถึงมันจะเข้ากับโคอิซึมิมากซะจนน่ารำคาญ
สมาชิกในกลุ่มมีห้าคน พูดง่ายๆ ก็คือสมาชิกชุดเดิมนั่นแหละ แต่ตอนนี้ฮารุฮิไม่ใช่หัวหน้ากองกำลัง ทว่าเป็นผู้กล้า ผมเป็นนักรบผู้ติดตาม คุณอาซาฮินะเป็นนักเวท นางาโตะเป็นโจร ส่วนโคอิซึมิเป็นนักดนตรีพเนจร อย่างกับในขั้นตอนวางแผนสร้างตัวละครเกิดความผิดพลาด นำตัวละครจากเรื่องอื่นมาใส่ในเรื่องนี้โดยไม่ตั้งใจ เป็นการคัดเลือกตัวละครที่ผิดพลาดอย่างแรง
แต่ดูเหมือนเราจะต้องหาทางจัดการกับสถานการณ์นี้ให้ได้ไม่ว่าจะยังไงก็ตาม
ขณะที่ฮารุฮิกับพระราชายังคงโต้เถียงกันอย่างไร้สาระอยู่นั้น ผมก็เริ่มเข้าใจสถานการณ์ของโลกนี้ สรุปง่ายๆ คือ มีจอมมารผู้ชั่วร้ายโผล่มาจากที่ไหนสักแห่ง เป็นตัวปัญหาใหญ่สำหรับชนชั้นปกครองของประเทศนี้ แถมยังเป็นโจรลักพาตัวอีกด้วย ก็เลยอยากให้พวกเราไปผจญภัยและจัดการเจ้าจอมมารนั่นซะ พูดง่ายๆ คือเกม RPG นั่นเอง แถมทำออกมาซะห่วย
“เอาล่ะ”
ผมพึมพำพลางลองยกดาบที่เอวขึ้นมาดู ถึงจะไม่รู้ว่าต้องต่อสู้กับอะไร แต่ไม่ค่อยอยากให้มีสถานการณ์ที่ต้องใช้มันเท่าไหร่ แบบว่าผมไม่ถนัดเรื่องราวแนวจริงจังและรุนแรง
ในที่สุดการเจรจาที่แสนยืดเยื้อก็จบลง แล้วก็เป็นไปตามคาด ภาพผม นางาโตะ และโคอิซึมิเดินแบกหีบสมบัติที่มีเหรียญทองอัดแน่นบนหลังมันดูหนักมากจนไม่มีแม้แต่แรงจะสงสัยว่าในสายตาคนอื่น พวกเราไม่ได้เหมือนกลุ่มผู้กล้าเลยสักนิด แต่เป็นพวกหัวขโมยหน้าด้าน ถึงผมจะคุ้นเคยกับการทำหน้าที่เป็นคนขนสัมภาระ แต่หีบไม้ที่เต็มไปด้วยเหรียญทองพวกนี้หนักกว่าของใดๆ ที่ผมเคยแบกมาในช่วงเร็วๆ นี้ มันดูท่าจะหนักกว่าตัวฮารุฮิเสียอีก ถ้าตัดสินคุณค่าของมันด้วยน้ำหนัก ผมว่าหีบสมบัตินี้คงชนะขาดลอยอย่างไม่ต้องสงสัย
“เริ่มต้นได้ไม่เลวนะ เราจะไปกันแบบนี้จนถึงตอนจบเลย”
พวกเราเดินหอบแฮกๆ ตามหลังฮารุฮิที่เดินนำหน้าไปอย่างรวดเร็ว จริงๆ แล้วคนที่หอบมีเพียงผมคนเดียว ส่วนนางาโตะและโคอิซึมิดูเหมือนจะแบกได้สบายๆ นางาโตะน่ะไม่เท่าไหร่หรอก แต่โคอิซึมิที่มีแรงเหลือเฟือขนาดนั้น ช่างเป็นปรากฏการณ์ที่ทำให้ผมรู้สึกขัดใจอย่างบอกไม่ถูก หมอนี่แอบไปฟิตอย่างลับๆ รึเปล่าเนี่ย คราวหน้าชวนฉันไปด้วยสิเฟ้ย
และไม่ต้องบอกก็รู้ คุณอาซาฮินะไม่ได้แบกอะไรหนักๆ เลย สิ่งที่เธอถืออยู่คือไม้เท้าเก่าๆ ที่มีรูปร่างบิดเบี้ยว ซึ่งดูเหมือนจะเป็นไอเทมเวทมนตร์ จริงๆ ผมก็ไม่รู้หรอกว่าคุณอาซาฮินะคนนี้ใช้เวทมนตร์อะไรได้บ้าง มันเป็นปริศนามากกว่าที่จะเป็นคำถาม หวังว่าคงไม่ใช่แค่เกร็ดเล็กเกร็ดน้อยอย่างเช่นวิธีชงน้ำชาให้อร่อยๆ อะไรแบบนั้นนะ......
“ก่อนอื่นมาหาอะไรกินกันดีกว่า อยากกินอะไรสั่งได้เลย เรามีเงินทุนเยอะแยะ มาฉลองกันให้เปรี้ยงปร้างไปเลย!”
ฮารุฮิหยุดอยู่หน้าอาคารไม้สองชั้นที่มีป้ายไม้แกะสลักว่า ‘ร้านอะไรสักอย่าง’ แขวนอยู่หน้าร้าน มีม้าหลายตัวผูกเชือกไว้ข้างทาง พวกมันกำลังมองมาทางพวกเราทั้งห้าคนด้วยสายตาเหนื่อยล้า ดูเหมือนความโหดร้ายและการเอารัดเอาเปรียบกันจะเป็นมาตรฐานของที่นี่
“แต่บรรยากาศของเมืองนี้ดูจะไม่ค่อยคำนึงถึงความถูกต้องของยุคสมัยเลยนะ”
ผมพูดพลางมองไปรอบๆ ทำให้เกราะที่สวมอยู่ส่งเสียงดังเคร้ง
บ้านเมืองที่อยู่รอบๆ ปราสาทนั้น ถ้าพูดถึงระดับอารยธรรมแล้ว บรรยากาศดูคล้ายกับทวีปยุโรปในช่วงสงครามร้อยปี แน่นอนว่าผมไม่ได้รู้ขนบธรรมเนียมประเพณีสมัยนั้นอย่างละเอียด ดังนั้นสุดท้ายเลยบอกได้แค่ว่าไม่ค่อยเข้าใจ เสื้อผ้าของผู้คนที่เดินผ่านไปมาก็เหมือนเคยเห็นแค่ในเกม RPG แฟนตาซี พูดง่ายๆ ก็คือ เป็นโลกแห่ง ‘ดาบและเวทมนตร์’ นั่นเอง ถ้าช่วยเข้าใจแบบนั้นก็จะช่วยประหยัดเวลาในการอธิบายเรื่องที่ไม่จำเป็นได้เยอะเลย
ในขณะที่ผมพยายามอธิบายทัศนียภาพอย่างสุดความสามารถ ฮารุฮิก็เปิดประตูเข้าไปในอาคารที่ดูเหมือนจะเป็นบาร์เหล้า
“ไฮ!”
เธอทักทายอย่างอารมณ์ดี ทำให้ลูกค้าในร้านหันมามองกันหมดฐานลูกค้าไม่ค่อยดีนัก มีแต่พวกลุงๆ ชนชั้นแรงงานกลิ่นอายนักเลงที่ชอบก๊งเหล้ากันแต่หัววัน สะท้อนให้เห็นสภาพการจ้างงานของประเทศนี้ได้เลย สายตาที่พากันจ้องมาที่หีบสมบัติบนหลังผมทำให้รู้สึกไม่สบายใจจนอยากไปซ่อนอยู่ข้างหลังนางาโตะ
แต่ทั้งอย่างนั้น
“ลูกค้าวันนี้เจอลาภลอยแล้ว! ค่ากินดื่มทั้งหมดฉันจะจ่ายให้เอง ฉันเลี้ยงๆ ไม่ต้องห่วงเรื่องเงินเลย พระราชาออกเงินให้หมด!”
เสียงโห่ร้องด้วยความดีใจดังสนั่นจนผนังไม้คุณภาพต่ำของร้านสั่นสะเทือน และบรรยากาศในร้านก็เปลี่ยนไปเป็นโหมดงานเลี้ยงทันที
“เจ้าของร้านอยู่ไหน? เอาอาหารกับเครื่องดื่มทุกอย่างที่มีในเมนูมาให้หมด ทำตามลำดับมาได้เลย! ขอห้าที่นะ!”
ฮารุฮิเดินตรงไปที่โต๊ะด้านในแล้วสั่งอาหารอย่างใจป้ำกับเจ้าของร้านที่มีหนวดเครารุงรัง จากนั้นก็หันมาพูดกับพวกเรา
“ทำอะไรอยู่ เคียวน์! ทุกคนด้วย! รีบมานั่งนี่เร็ว มาฉลองล่วงหน้ากันดีกว่า! ฉลองล่วงหน้า!”
ผมสงสัยว่าเราจะฉลองอะไรกันล่วงหน้า แต่ก็ไม่มีใครตอบคำถามของผม แล้วคำถามนั้นก็แตกสลายจางหายไปท่ามกลางความวุ่นวาย
“......”
ขณะที่ผมยืนนิ่งอยู่นั้น นางาโตะซึ่งแต่งตัวเป็นโจรก็เดินผ่านไปอย่างเงียบๆ พร้อมกับหีบสมบัติบนหลัง
“ว้าว...... กลิ่นหอมจังเลยนะคะ”
คุณอาซาฮินะพูดพลางสูดดมด้วยจมูกรูปทรงงดงาม แต่แล้ว
“ว้าย”
เธอสะดุดชายเสื้อคลุมของตัวเองล้มลง
“ว่าแต่คุณสึซึมิยะใจกว้างนะครับ จริงๆ แล้วเงินพวกนี้มาจากคลังหลวง การนำมาแจกจ่ายเหมือนคืนกำไรให้กับประชาชนแบบนี้อาจจะเป็นวิธีที่ดีที่สุดก็ได้นะครับ”
โคอิซึมิพูดขณะช่วยพยุงคุณอาซาฮินะลุกขึ้นแล้วยิ้มให้ผม เป็นรอยยิ้มเจ้าเล่ห์แบบที่หมอนี่ทำประจำ สีหน้าไร้อารมณ์ของนางาโตะและท่าทางแกล้งซื่อของคุณอาซาฮินะก็ไม่ต่างจากที่เห็นในห้องชมรม ส่วนฮารุฮิดูมีพลังงานเพิ่มขึ้นแบบไร้เหตุผล ราวกับมีผมคนเดียวที่รู้สึกถูกทิ้งไว้ข้างหลัง ทุกคนเหมือนจะปรับตัวเข้ากับสถานการณ์ที่นี่ได้อย่างสบาย
“ว้าว อันนี้อร่อยจัง! เนื้ออะไรเนี่ย? แมมมอธเหรอ? รสชาติแปลกใหม่ไม่เคยกินมาก่อนเลย เดี๋ยวขอสูตรกับวัตถุดิบที่ใช้ด้วยนะ”
ฮารุฮิพูดพลางชิมอาหารที่ถูกนำมาเสิร์ฟบนโต๊ะอย่างไม่ขาดสาย
“นี่มันเหมือนผู้กล้าตรงไหนเนี่ย?”
ผมบ่นพึมพำแล้ววางหีบสมบัติลงบนพื้น
มีผู้กล้าที่ไหนรับคำขอให้ไปปราบจอมมาร พอออกจากปราสาทก็ตรงดิ่งเข้าบาร์เหล้าทันที แถมยังใช้เงินที่ได้มาอย่างสูญเปล่า แทนที่จะเอาไปซื้ออุปกรณ์หรืออาวุธที่จำเป็น
“เคียวน์ มาเร็วๆ! เบียร์นี่แรงไปนิด แต่อร่อยมาก! ถ้าไม่รีบมา เดี๋ยวฉันดื่มคนเดียวหมดหรอก!”
ฮารุฮิเรียกผมพลางโบกถ้วยเบียร์ดินเผาไปมา ช่วยไม่ได้ ถึงจะเป็นผู้กล้าแบบนั้น แต่ยัยนี่ก็เป็นหัวหน้าของพวกเรา คงเหมือนกับเหตุผลที่ว่าตราบใดไม่มีคำสั่งให้ก่อการปฏิวัติ ในฐานะทหารรับใช้ธรรมดาคนหนึ่ง ผมก็ไม่อาจทรยศหนีออกไปจากที่นี่ได้ อีกอย่างคือถ้าอยู่คนเดียวผมก็ไม่รู้จะไปไหนเหมือนกัน
ผมเริ่มเดินไปยังโต๊ะที่กลุ่มผู้กล้านั่งอยู่

หลังจากนั้นไม่รู้ว่าเวลาผ่านไปนานแค่ไหน เพราะไม่มีนาฬิกา แต่งานเลี้ยงอันแสนรื่นเริงที่ดึงทุกคนในร้านเข้ามาร่วมนี้ยังคงดำเนินต่อไป
ฮารุฮิติดใจเบียร์ที่มีรสชาติคล้ายเหล้าข้าวจนเติมเรื่อยๆ ทุกครั้งที่ถ้วยว่าง แล้วตอนนี้ก็กำลังโอบไหล่ลุงที่นั่งอยู่โต๊ะข้างๆ พร้อมร้องเพลงประหลาดๆ ไปด้วยกัน
ข้างๆ นั้นนางาโตะกำลังกินอาหารที่ไม่รู้ชื่อที่ถูกนำมาเสิร์ฟอย่างต่อเนื่องแบบเงียบๆ และเรียบร้อย วัตถุดิบของบาร์แห่งนี้ราวกับไม่มีวันหมด แต่สิ่งที่น่าสงสัยว่าไม่มีที่สิ้นสุดมากกว่าก็คือกระเพาะของนางาโตะ อาหารปริมาณมากมายขนาดนั้นมันไปอยู่ที่ไหนในตัวเธอกันแน่เนี่ย?
ผมได้ยินเสียงดีดพิณ พอมองไปทางเสียงนั้นก็เห็นโคอิซึมิย้ายเก้าอี้ไปนั่งอยู่ริมผนัง เขากำลังดีดพิณอยู่ท่ามกลางสาวๆ ในเมืองที่ยืนล้อมรอบตัว สายตาของพวกเธอที่จ้องมองโคอิซึมินั้นเหมือนกับสาวบริสุทธิ์ที่จ้องมองเทพอะโพลโลนที่ลงมาจากสรวงสวรรค์ เห็นแล้วทำให้รู้สึกขัดใจ
แต่ช่างเถอะ เพราะยังไงผมก็ยังมีคุณอาซาฮินะอยู่ ผมพยายามปลอบใจตัวเอง ทว่าคุณอาซาฮินะก็ไม่ได้อยู่ข้างๆ ผมเช่นกัน เธอไปอยู่ไหนะ
“ขอโทษที่ให้รอนะคะ นี่อาหารที่สั่งใช่ไหมคะ? ค่ะ กำลังจะไปรับออเดอร์เดี๋ยวนี้ค่ะ”
ไม่รู้ทำไมเธอถึงกลายเป็นพนักงานเสิร์ฟของร้านไปแล้ว วิ่งวุ่นอยู่ระหว่างโต๊ะ ดูเหมือนสาเหตุจะมาจากการโดนฮารุฮิบังคับดื่มไปหนึ่งแก้ว เธอวิ่งไปมาระหว่างครัวกับโต๊ะอย่างมีความสุข ใบหน้าเริ่มแดงเล็กน้อย
“เฮ้ย โคอิซึมิ”
ในที่สุดผมก็ทนนั่งกินเงียบๆ คนเดียวไม่ไหว อิ่มนานแล้วด้วย เลยเรียกนักดนตรีพเนจรมือใหม่ที่กำลังดีดพิณร้องเพลงราวกับนักดนตรีข้างถนนให้เข้ามาหา
โคอิซึมิเดินมาหาผม สายตาเคลิบเคลิ้มของสาวๆ ในเมืองนี้ยังคงจับจ้องอยู่ที่แผ่นหลังของเขา
“มีอะไรเหรอครับ นักรบเคียวน์ ไม่พอใจอะไรกับสถานการณ์ของพวกเราในตอนนี้รึเปล่า?”
มันก็แหงอยู่แล้ว นี่ไม่ใช่เวลาจะมานั่งพอใจกับสถานการณ์อะไรแบบนี้นะ
“อ้อ จริงด้วย พวกเราต้องรีบไปปราบจอมมารให้ได้โดยเร็วที่สุด แต่ผมว่าช้าไปแค่วันสองวันคงไม่เป็นไรหรอกครับ”
ไม่ใช่แบบนั้น มันมีปัญหาที่ต้องแก้ก่อนจะไปปราบจอมมารอยู่
“นี่มันที่ไหน” ผมถาม “โลกที่เหมือนเกม RPG นี่มันอะไรกัน ทำไมพวกเราถึงมาอยู่ที่นี่ได้ แล้วใครพาพวกเรามา?”
โคอิซึมิยิ้มเห็นฟันขาวราวกับผงซักฟอก



++++++++++++++++++++++++++
‘ผู้กล้าฮารุฮิ’ พอรู้ตัวอีกทีพวกเราก็อยู่ในพระราชวังกันแล้ว และได้รับคำขอจากพระราชาให้ไปปราบจอมมารผู้ชั่วร้าย—เดี๋ยวก่อน ‘โลก’ นี้มันอะไรกันเนี่ย? ในขณะที่ยังงงๆ ไม่รู้ว่าอะไรเป็นอะไร เวทมนตร์ของคุณอาซาฮินะก็ระเบิดออกมา นึกว่าทำภารกิจสำเร็จแล้ว แต่ปรากฏว่าโดนเด้งไปอยู่ในอวกาศพร้อมกับเสียงกระซิบของนางาโตะที่บอกว่า “มิสชันอินคอมพลีต “ แล้วฉากก็เปลี่ยนไปเป็นหนังคาวบอย และไปจบที่โลกแห่งเทพปกรณัม— ใครกันที่อยู่เบื้องหลังเหตุการณ์พวกนี้ แล้วฮารุฮิ ครั้งนี้เธอคิดอะไรอยู่? เรื่องราวเหนือจินตนาการเล่ม 13!

รูปภาพ

ดูวิดีโอแนะนำนิยาย คลิกที่นี่
https://www.youtube.com/shorts/cnJniz0- ... ture=share

ตอบกลับโพส

ย้อนกลับไปยัง “Bongkoch Books News & Activities”