เดิมอันจื่อเซวียนไม่ได้ชื่อนี้ แต่ชื่อว่าชีเม่ย
ชีเม่ยเกิดที่หมู่บ้านซีเถียน เป็นลูกคนที่เจ็ดของบ้านจึงถูกเรียกว่าชีเม่ย ก็เหมือนกับต้าพั่งเกอเอ๋อร์บ้านคนเลี้ยงหมู ซานหลีว์เอ๋อร์บ้านคนเลี้ยงลา หรืออู่จินเอ๋อร์ บ้านช่างตีเหล็ก ไม่ใช่ชื่อที่มีความหมายอะไร ก็แค่ชื่อเรียกเท่านั้น
หลังจากบิดามารดาตายไป พี่สาวน้องสาวทั้งเจ็ดคนต่างแยกย้ายไปกันหมด มีทั้งแต่งออก มีทั้งถูกขาย ส่วนนางถูกครอบครัวของลุงรองรับไปเลี้ยงดู
ครอบครัวของลุงรองปฏิบัติต่อนางใช้ได้ ให้นางกินอิ่ม นางรู้สึกมาตลอดว่าตนโชคดีกว่าพี่สาวคนอื่นๆ แต่พอนางเติบโตเป็นหญิงงาม ค่อยๆ รู้เรื่องรู้ราวจึงรู้แผนการของครอบครัวลุงรอง
ความดีของพวกเขามีเงื่อนไข
หมู่บ้านซีเถียนตั้งอยู่เนินเขาอาชา ใกล้ๆ มีลำธารไหลผ่าน ทั้งปีอากาศดีดุจวสันตฤดู ทิวทัศน์งดงามดุจภาพวาด
ที่นี่มีผู้คนอาศัยกว่าสามร้อยครอบครัว สืบทอดจากรุ่นสู่รุ่น ไม่แก่งแย่งชิงดีกับโลกภายนอก มีคำเล่าลือว่าบนภูเขาอาชามีเทพเจ้าภูเขาองค์หนึ่งสถิตอยู่ คอยคุ้มครองชาวบ้านในหมู่บ้านซีเถียน
ที่นี่ฟังดูสวยงาม แต่โฉมหน้าที่แท้จริงกลับโหดร้ายยิ่งนัก
ทุกปีหมู่บ้านซีเถียนจะต้องบูชายัญสัตว์มีชีวิตแด่เทพเจ้าภูเขา เพื่อขอให้เทพเจ้าขจัดภยันตรายและสิ่งชั่วร้าย แต่บางครั้งก็บูชายัญด้วยหญิงสาว
จะบูชายัญด้วยสัตว์หรือหญิงสาวขึ้นอยู่กับผู้ใหญ่บ้านถามทำนายที่วัดเทพเจ้าภูเขา
หญิงชาวนา หญิงชาวบ้านในหมู่บ้านซีเถียนไม่มีใครสวยเท่าชีเม่ย นางเป็นหญิงงดงามที่สุดในหมู่บ้าน ผิวขาวละเอียด สองมือเนียนนุ่ม ตามแผนการของครอบครัวลุงรองที่ตั้งใจเลี้ยงดูนางอย่างดี นางกลายเป็น ‘สิ่งของ’ ที่มีค่าที่สุด
เมื่อนางรู้โดยบังเอิญว่าหลังจากนางปักปิ่น ลุงรองเตรียมจะขายนางด้วยราคาสูง ให้นางไปเป็นอนุคนที่สิบสามของคหบดีจูของตำบลใกล้เคียง นางจึงหนีไป
ชีเม่ยไม่โง่ นางฉลาดกว่าหญิงอื่นในหมู่บ้านด้วยซ้ำ แต่หลังจากนางหนีไปได้สำเร็จ นางก็ถูกจับกลับมาอีก
นางถูกเลือกให้เป็นเครื่องสักการะบูชาแด่เทพเจ้าภูเขา เพียงเพราะคำทำนายของหญิงทรงเจ้าที่ผู้ใหญ่บ้านประกาศออกมา...ภัยพิบัติกำลังมาเยือนหมู่บ้านซีเถียน หากจะให้ปลอดภัยต้องระงับความโกรธของเทพเจ้าภูเขาโดยไวด้วยการบูชายัญหญิงงาม
ชีเม่ยถูกขังในกรงไม้ ต่อให้บนร่างกายของนางสวมเสื้อผ้างดงาม ผมมวยประดับดอกไม้ แต่งตัวราวกับนางเซียนก็มิอาจบดบังความสิ้นหวังบนใบหน้าของนางได้
หญิงในหมู่บ้านที่ถูกส่งขึ้นเขายังไม่เคยมีใครมีชีวิตรอดกลับมา ได้ยินว่ามีบางครอบครัวทำใจไม่ได้ แอบพวกชาวบ้านขึ้นเขาไปช่วยบุตรสาว แต่สิ่งที่พบก็คือ เศษเสื้อผ้าของบุตรสาวและเลือดบนพื้น ไม่เหลือแม้แต่โครงกระดูก
ชีเม่ยไม่รู้ว่ามีเทพเจ้าภูเขาอาศัยอยู่บนเขาอาชาจริงหรือไม่ แต่จากคำบอกเล่าอย่างชัดเจนจนเห็นภาพของชาวบ้าน นางบังอาจคาดเดาว่า หญิงสาวที่ถูกนำไปเป็นเครื่องสักการะถูกสัตว์ป่าทำร้าย ถูกกินทั้งเป็น
เหตุใดนางจึงคาดเดาเช่นนี้? บิดาของนางเป็นพรานป่า ก่อนนางอายุแปดขวบ บิดาของนางยังคงมีชีวิตอยู่เลยมักจะเล่าเรื่องบนเขาให้นางฟัง นางจึงรู้จักสภาพบนเขาดีกว่าคนอื่นในหมู่บ้าน
ชีเม่ยรู้ด้วยว่าคนที่ส่งนางเข้าสู่หนทางแห่งการเป็นเครื่องบูชายัญก็คือหลี่ว์หรง บุตรชายเพียงคนเดียวของผู้ใหญ่บ้าน
หลี่ว์หรงถูกคนใช้เกี้ยวหามมา เขาหน้าซีดเผือด ใต้เข่ารองด้วยผ้าห่มผืนหนึ่ง ดวงตาทั้งสองจ้องนางเขม็ง
ผู้ใหญ่บ้านบอกกับคนอื่นว่าหลี่ว์หรงบุตรชายของเขาบาดเจ็บที่ขา ไม่อาจเคลื่อนไหว แต่ความเป็นจริงคือ หลี่ว์หรงบาดเจ็บที่แก่นกาย นั่นเป็นผลงานชิ้นเอกของชีเม่ยเอง
วันที่นางหลบหนี หลี่ว์หรงที่ปรารถนาในความงามของนางมานานมาขวางทาง หวังจะทำลายความบริสุทธิ์ของนาง
เพื่อป้องกันตัว นางเตะโดยใช้เรี่ยวแรงทั้งหมด ไม่ออมแรงแม้แต่น้อย
นางทำร้ายบุตรชายเพียงคนเดียวของผู้ใหญ่บ้าน ผู้ใหญ่บ้านไม่ฆ่านางก็แปลกแล้ว! ชีเม่ยแค้นที่ตนเองโชคชะตาไม่ดี หนีรอดออกจากครอบครัวลุงรอง แต่หนีชะตากรรมของการถูกบูชายัญไม่พ้น
เมื่อหญิงทรงเจ้าบริกรรมคาถาเสร็จและประกาศว่าถึงเวลาแล้ว ชาวบ้านสองคนยกกรงไม้ขึ้น ออกเดินทางขึ้นเขา
ชีเม่ยหลังพิงกรงไม้ ดวงตาเอ่อน้ำจ้องมองไปยังร่างสูงใหญ่ที่อยู่ท่ามกลางผู้คน
เหลียงซงเป็นชายหนุ่มที่สูงใหญ่บึกบึนที่สุดในหมู่บ้าน เป็นพรานป่าเช่นเดียวกับบิดาของนาง นางรู้ว่าเหลียงซงชอบนาง เพราะเขาแอบมองนางบ่อยๆ บัดนี้ชีวิตใกล้จะสูญสิ้น นางมองเหลียงซงอย่างขอความช่วยเหลือ
นางเชื่อว่าสายตาร้องขออย่างยิ่งยวดของตนสื่อความนัยได้ชัดเจนแล้ว นางเองก็เห็นความร้อนรนในแววตาของเหลียงซง
หากเขายอมเสี่ยงอันตรายเพื่อนาง ขึ้นเขาไปช่วยนาง นางยินดีจะติดตามเขา ไม่ทอดทิ้งตลอดชีวิต
เส้นทางบนภูเขาลดเลี้ยวเคี้ยวคดและคับแคบ ด้านหนึ่งเป็นภูเขา อีกด้านเป็นหุบเขา
ชีเม่ยนั่งอยู่ในกรงไม้ สมองหมุนวนอย่างเร่งรีบ เรื่องนี้จะพึ่งแต่เหลียงซงไม่ได้ บนเขามีสัตว์ป่ามากมาย นางต้องคิดหาวิธีปกป้องตนเอง
นางสำรวจสภาพโดยรอบ สายตาปะทะเข้ากับชายที่อยู่ด้านหลังโดยไม่ตั้งใจ แววตานั้นแฝงเจตนาไม่ดี เหมือนดังหมาป่าจ้องมองแกะ
ชีเม่ยสะดุ้ง สองคนนี้เป็นคนของผู้ใหญ่บ้านและเป็นคนของหลี่ว์หรงด้วย หากพวกเขาคิดจะทำอะไรกับนาง นางคงไม่มีแม้แต่โอกาสจะหนีรอด
ชีเม่ยเบนสายตา กำหมัดแน่น ขณะที่นางกระวนกระวาย จู่ๆ ก็เห็นว่าพวกเขาเลี้ยวไปอีกทางหนึ่งเมื่อมาถึงทางแยก
นี่ไม่ใช่ทางขึ้นเขา!
ก่อนแปดขวบนางเคยตามบิดาขึ้นเขาจึงจำได้อย่างชัดเจน
“พวกเจ้าจะพาข้าไปที่ใด”
หลี่ว์ซานที่อยู่ข้างหน้าได้ยินก็หันมามอง เห็นนางสงสัยก็ยิ้มอย่างเจ้าเล่ห์ มาถึงเวลานี้แล้วไม่จำเป็นต้องปิดบังอีก นกในกรงจะหนีไปไหนได้
“เจ้าทำร้ายคุณชายของพวกข้า คุณชายจะปล่อยเจ้าไปได้อย่างไร”
ชีเม่ยเข้าใจแล้ว บูชายัญเป็นเรื่องโกหก แท้จริงจะจับนางกลับไปต่างหาก
“ข้าเป็นเครื่องสักการะ พวกเจ้าริอ่านพาตัวข้าไป ไม่กลัวเทพเจ้าภูเขาโกรธแล้วลงโทษหรือ!”
หลี่ว์เอ้อร์กับหลี่ว์ซานต่างหัวเราะ พวกเขาได้รับคำสั่งจากคุณชายให้แอบจับตัวหญิงผู้นี้กลับไป
“ผู้หญิงที่จะมอบให้เทพเจ้าภูเขา ซื้อตัวคนอื่นและส่งตัวไปนานแล้ว ส่วนเจ้านะหรือ คุณชายเพียงแต่ใช้ข้ออ้างนี้จับตัวเจ้ามาเท่านั้น”
หลี่ว์เอ้อร์ที่อยู่ด้านหลังพูดต่อ “ถ้าข้าเป็นเจ้า ตอนนี้จะรีบคิดว่าทำอย่างไรให้คุณชายให้อภัย”
ให้อภัย? หลี่ว์หรงไม่ทรมานนางจนตายก็แปลกแล้ว!
ชีเม่ยสิ้นหวัง ฝากความหวังให้เหลียงซงมาช่วยนางก็ไม่ทันการเสียแล้ว หากต้องตกอยู่ในเงื้อมมือของหลี่ว์หรง นางยอมฆ่าตัวตายเสียดีกว่า!
นางทำใจแข็งพุ่งชนกรงไม้ทันที
หลี่ว์เอ้อร์กับหลี่ว์ซานคาดไม่ถึงว่านางจะเด็ดขาดเพียงนี้ ทางเดินบนภูเขาคับแคบ ด้านข้างเป็นทางลาดชัน นางพุ่งชนเช่นนี้ทั้งสองคนต่างไม่ทันรับมือ
กรงไม้สูญเสียการทรงตัว พลิกคว่ำไปยังทางลาดชัน จากนั้นกลิ้งลงไปด้านล่าง...
ชีเม่ยคิดว่าตนเองจะต้องตายแน่แล้ว คิดไม่ถึงว่าหนนี้สวรรค์ดูท่าจะเมตตานาง...ต้นไม้ใหญ่ลำต้นแข็งแรงหนาทึบรับน้ำหนักของกรงไม้ไว้ได้ ไม่ปล่อยให้กรงไม้กระแทกแตกกระจาย
แม้จะเอาชีวิตรอดมาได้ แต่เมื่อนางหลุดจากกรงไม้ก็พบว่าเท้าซ้ายเจ็บเกินกว่าจะทนไหว เกรงว่าจะบาดเจ็บไม่เบา
ชีเม่ยอดทนต่อความเจ็บปวดที่เท้า ใช้ไม้ท่อนหนึ่งพยุงตัว เดินอย่างกะเผลก
แผลที่เท้าทำให้นางก้าวขาได้ช้าลง ไม่ถึงสิบเก้านางก็เหงื่อท่วมตัว เคราะห์ดีที่นางตกลงมาใกล้ธารน้ำ นางนั่งลงบนโขดหิน มือหนึ่งพยุงตัว อีกมือวักน้ำกินแก้กระหาย
ทันใดนั้นนางเห็นแสงสว่างบางอย่างที่ริมลำธาร
นางเก็บขึ้นมาด้วยความประหลาดใจ พบว่าเป็นวงแหวนเล็กๆ คล้ายกับแหวน
นางมองอย่างงุนงง นางโตมาป่านนี้ยังไม่เคยเห็นของที่เรียบเนียนแวววาว แทบจะหาตำหนิใดๆ ไม่ได้เช่นนี้มาก่อน
ของสิ่งนี้ไม่เหมือนเหล็กและไม่เหมือนทอง แต่นางดีใจยิ่งนัก เพราะมันดูมีค่ามาก เอาไปโรงรับจำนำในเมือง ไม่แน่อาจจะแลกเงินมาได้ไม่น้อย เช่นนั้นนางก็จะมีค่าใช้จ่ายสำหรับเดินทาง
นางถือเล่นอยู่ในมือก่อนสวมลงบนนิ้วกลางข้างซ้ายแล้วยกมือขึ้น อาศัยแสงสว่างพินิจดูอย่างละเอียด แสงอาทิตย์อาบลงบนพื้นผิวของวงแหวน นางมองดูอย่างหลงใหล
“สวยเหลือเกิน...” นางพึมพำ
ตอนที่นางตกลงมาจากเนินเขามือถลอกและเลือดออก เลือดไหลเปื้อนวงแหวน ขณะที่นางจะเช็ดออกเห็นว่าเลือดนั้นถูกวงแหวนดูดจนแห้งด้วยความเร็วที่สายตามองได้ทัน
ชีเม่ยตกใจ มันดูดเลือดได้! คงไม่ใช่ปีศาจกระมัง!
ชีเม่ยรีบถอดมันออก แต่ก็ต้องตกใจที่เห็นว่าวงแหวนหายไป เหลือเพียงรอยอยู่รอบนิ้วกลางของนาง เหมือนกับรอยประทับอย่างไรอย่างนั้น
ชีเม่ยตกใจจนตกจากโขดหิน บาดแผลที่เท้าโดนกระแทก นางตกใจจนร้องออกมา เจ็บเสียจนน้ำตาไหล แต่ไม่มีเวลาให้นางหายใจ เสียงด่าทอของบุรุษดังมาจากบริเวณไม่ห่างไกล
“ข้าได้ยินเสียงนางนั่นแล้ว นางยังไม่ตายแน่ๆ!”
ชีเม่ยไม่มีเวลาสนใจความเจ็บปวดที่เท้า ปีนไปหลบอยู่ด้านหลังหินก้อนใหญ่อย่างลนลาน
“นางนั่นคงหนีไปได้ไม่ไกล จะต้องอยู่แถวนี้ หาดูให้ทั่ว!”
ฝีเท้าของทั้งสองคนใกล้เข้ามาเรื่อยๆ ชีเม่ยร้อนรนราวกับมดในกระทะร้อน อุตส่าห์เอาชีวิตรอดมาได้ นึกว่าจะหนีพ้นเงื้อมมือปีศาจแล้ว คิดไม่ถึงว่าสุดท้ายก็หนีการกลั่นแกล้งของโชคชะตาไม่พ้น
นอกจากตาย ไม่มีหนทางอื่นอีกแล้วหรือ?
ชีเม่ยหน้าซีดเผือด เห็นพวกเขาเดินเข้ามาใกล้ก้อนหินใหญ่ที่ตนซ่อนตัวอยู่ นางรู้สึกสิ้นหวังอย่างบอกไม่ถูก
ถ้าหายตัวไปจากที่นี่ตอนนี้ได้ก็คงดี...นางคิดเช่นนี้ ทันใดนั้นภาพตรงหน้าก็เปลี่ยนไป เมื่อนางตั้งสติได้ก็มาปรากฏกายอยู่ในห้องที่ไม่เคยเห็นมาก่อน
เมื่อครู่ก่อนนางหมดหวังจนอยากตาย แต่ครู่ต่อมานางตะลึงงันไปทั้งร่าง
นางตะลึงอยู่ครู่ใหญ่แล้วพึมพำถามตัวเอง “ข้ากำลังฝันไปหรือ? ข้าจำได้ว่าข้าอยู่ที่ริมน้ำชัดๆ...”
ภาพตรงหน้าเปลี่ยนไปอีกครั้ง นางกลับมาอยู่ที่ริมน้ำ ประจันหน้ากับหลี่ว์เอ้อร์พอดิบพอดี
หลี่ว์เอ้อร์ตกตะลึงก่อนจะชี้และตะโกนใส่นางอย่างตื่นเต้น “อยู่ทางนั้น!”
หลี่ว์ซานได้ยินเขาตะโกนก็หันหน้ามาทันที แต่ด้านหลังมีคนอยู่เสียที่ไหนกัน
หลี่ว์เอ้อร์รีบพุ่งตัวมา “อยู่ทางนั้น ข้าเห็นนางแล้ว!”
สองคนวนรอบก้อนหินใหญ่ แต่ไม่เห็นแม้แต่เงา ทำเอาหลี่ว์ซานร้องด่า “เจ้าตาบอดหรือไร”
“ไม่ ข้าเห็นนางจริงๆ!”
“แล้วคนเล่า?”
“นี่มัน...นี่มัน...ไม่น่าจะเป็นเช่นนี้นี่นา!”
ชีเม่ยตกตะลึงเช่นกัน เพราะนางกลับมาที่ห้องแปลกตานี้อีกครั้ง
ครั้งแรกอาจจะเป็นภาพลวงตา แต่ครั้งที่สองเล่า?
นางหยิกใบหน้าของตนอย่างแรงแล้วร้องโอ๊ยออกมา เจ็บจะตาย!
ถ้าเจ็บก็ไม่ใช่ความฝัน!
เวลานี้นางนั่งอยู่บนเตียงใหญ่ที่สามารถนอนได้สามคน ผ้าห่มใต้สะโพกนุ่มมาก เนื้อผ้าสวยงามแบบที่นางไม่เคยเห็นมาก่อน นางไม่อาจหาคำพูดใดมาบอกเล่าสัมผัสที่อยู่ใต้ฝ่ามือได้ ผ้าห่มนี้มองไม่เห็นรอยตะเข็บสักนิดและไม่เห็นรอยต่อใดๆ อีกด้วย
มองไปรอบๆ ห้อง ทั้งสว่างไสวและสะอาดยิ่งนัก ทั้งยังอบอุ่น...
ชีเม่ยอดไม่ไหวแผ่ตัวลงบนเตียง ตอนนี้นางทั้งหิวทั้งเหนื่อย วันนี้หวาดวิตกมามากแล้ว ไม่อาจทนตกใจใดๆ ได้อีก
“ข้าอยากอยู่ที่นี่ ไม่ไปไหนทั้งนั้น ได้โปรดอย่าส่งข้ากลับไปอีก...” นางพึมพำเบาๆ
นางอายุเพียงสิบสี่ปีครึ่ง ยังไม่พ้นวัยปักปิ่น เผชิญเรื่องน่าหวาดหวั่นอันตรายต่อเนื่องกันทำให้นางตึงเครียดจนถึงขีดสุดตั้งนานแล้ว
นางห่อตัว สะอื้นเสียงเบาจนกระทั่งหลับลึก
นางไม่เคยนอนบนเตียงที่สบายเช่นนี้มาก่อน
เมื่อชีเม่ยตื่นนอนยังคงนอนบนเตียงใหญ่เตียงเดิม ครั้นรู้ว่านี่ไม่ใช่ความฝัน นางถอนหายใจและดีใจไปพร้อมๆ กัน
ขอแค่ได้อยู่ที่นี่ อย่าให้นางกลับไปริมน้ำก็พอ
ไม่รู้ว่าเป็นเพราะได้นอนหลับหรือไม่ นางรู้สึกระปรี้กระเปร่ายิ่งนัก
พอกระปรี้กระเปร่าก็มีแรงมาสำรวจห้องนี้
นางอดแปลกใจไม่ได้ นอนหลับบนเตียงของคนอื่น แต่ไม่เห็นมีใครมาไล่นาง
สิ่งที่ทำให้นางยิ่งประหลาดใจก็คือ ตอนที่นางลงจากเตียง พบว่าขาของตนเองไม่เจ็บแล้ว!
พอนางมองดูใกล้ๆ เดิมทีขาบวมจนทรมาน บัดนี้กลับไม่เห็นร่องรอยบาดเจ็บใดๆ ไม่เพียงแต่ไม่เจ็บ ยังเดินได้แล้ว
นางลองย่ำเท้าไปข้างหน้า รู้สึกราวกับไม่เคยบาดเจ็บมาก่อน
นางประหลาดใจไม่กล้าเชื่อเรื่องมหัศจรรย์เช่นนี้ นางยังพบอีกว่า แผลที่ถูกกิ่งไม้เกี่ยวจนบนตัวถลอกมากมาย หายเองโดยไม่ได้ทายา
หรือว่ามีเทพเซียนช่วยนางไว้ ที่นี่คือแดนเซียนหรือ?
ชีเม่ยคิดว่าทั้งหมดนี้เป็นเพราะได้เจอกับเทพเซียน หากไม่ใช่เทพเซียน จู่ๆ นางจะมาถึงที่นี่ได้อย่างไร จู่ๆ บาดแผลบนตัวจะหายไปได้อย่างไร
ทว่าหลังจากนางค้นหาไปรอบๆ ห้อง พบว่าไม่มีแม้แต่เงาคน ไม่เห็นแม้แต่ร่องรอยว่ามีคนเคยอยู่
ชีเม่ยออกจากห้อง นางต้องตกตะลึงกับทิวทัศน์ภายนอกอีกครั้ง
ทะเลสาบและภูเขา ภูเขาเขียวขจีล้อมรอบ ผิวน้ำของทะเลสาบใสราวกับกระจก น้ำตก กลิ่นหอมของบุปผา ต้นไม้ชอุ่ม อีกทั้งท้องฟ้ากระจ่าง นางไม่อาจบรรยายด้วยคำพูด แม้หมู่บ้านซีเถียนมีภูเขาและแม่น้ำเช่นกัน แต่เทียบกับที่นี่แล้วต่างกันราวฟ้ากับเหว
“แดนเซียน...ข้าต้องอยู่ที่แดนเซียนแน่ๆ...”
ชีเม่ยแน่ใจว่าเป็นเทพเซียนที่ช่วยนางเอาไว้ นางจึงเดินวนรอบๆ บ้าน ตั้งใจว่าพอพบกับเทพเซียนแล้วนางจะคุกเข่าคำนับเทพเซียน ขอให้เทพเซียนรับนางไว้ นางยินดีรับใช้เป็นวัวเป็นม้าอยู่ที่นี่
นางพบว่าบ้านนี้ไม่ได้สร้างจากดิน แต่เป็นบ้านที่สร้างจากไม้ ในบ้านอบอวลไปด้วยกลิ่นหอมเฉพาะของต้นไม้
ในบ้านมีสามห้อง แต่ละห้องมีหน้าต่างอยู่หนึ่งบาน สว่างและอบอุ่น
หน้าบ้านมีแม่น้ำไหลผ่าน แม่น้ำสายนี้ไหลมาจากทะเลสาบ น้ำในแม่น้ำใสสะอาด
ชีเม่ยเดินเลียบแม่น้ำขึ้นไป ไม่นานนางก็ประหลาดใจเมื่อเห็นสระน้ำเล็กๆ ซึ่งมีไอร้อนผุดขึ้นมา
นางเอื้อมมือไปแตะอย่างใคร่รู้ พบว่าแม้น้ำจะร้อนแต่ไม่ลวกมือ
ชีเม่ยไม่เคยเห็นน้ำพุร้อนมาก่อน แต่นางเคยได้ยินบิดาพูดถึง ลึกไปในเขาอาชามีหุบเขาแห่งหนึ่ง ภายในหุบเขามีสระน้ำอยู่หลายแห่ง น้ำที่อยู่ในสระร้อนราวกับเป็นสระสำหรับอาบน้ำตามธรรมชาติ ฤดูหนาวจะมีลิงมากมายมาแช่น้ำ
สระน้ำนี้ไม่ใหญ่และไม่ลึก มองเห็นถึงก้นสระ นางหนีมาตลอดทาง เสื้อผ้าบนตัวทั้งขาดทั้งสกปรกตั้งนานแล้ว
สระน้ำผุดไอร้อน ด้านข้างเป็นภูเขา รอบบริเวณไม่มีคนอยู่...
ชีเม่ยจิตใจอยู่ไม่สุข อยากจะอาบน้ำให้สะอาด สุดท้ายนางอดใจไม่ไหวถอดเสื้อผ้าที่ขาดเสียหาย เหลือเพียงเอี๊ยมบังทรงและกางเกงตัวใน ทันทีที่แช่อยู่ในน้ำร้อน นางก็ไม่อยากลุกขึ้นอีก เป็นเพราะสบายตัวเหลือเกิน
สระน้ำร้อนอยู่บนที่สูง นางพาดแขนบนก้อนหินที่อยู่ตรงขอบสระ คางหนุนลงบนแขน มองทิวทัศน์งดงามนี้พลางถอนหายใจ
แช่อยู่ครึ่งชั่วยาม ระหว่างนี้ไม่มีใครสักคน เทพเซียนที่นางอยากพบก็ไม่ปรากฏ หากไม่กลัวว่าหลับไปในสระตนเองจะจมน้ำตายโดยไม่ทันระวัง นางไม่อยากจะลุกขึ้นจริงๆ
เนื่องจากไม่มีเสื้อผ้าสำหรับผลัดเปลี่ยน ชีเม่ยจึงซักเสื้อผ้าชุดเดิมที่สกปรกจนสะอาด ตากบนก้อนหินใหญ่ให้แห้ง จากนั้นจึงสวมใส่อีกครั้ง
ขณะที่นางสวมเสื้อผ้า สายตามองเห็นนิ้วกลางมือซ้ายจึงอดไม่ได้ที่จะชะงัก
รอยประทับรอบนิ้วเหมือนกับวงแหวนที่สวมอยู่ด้านบน
นางนึกออกแล้ว เรื่องไม่น่าเชื่อทั้งหมดเริ่มต้นตั้งแต่ตอนที่นางเก็บวงแหวนสีเงินมาสวมไว้บนนิ้ว
หรือจะเป็นวงแหวนสีเงินนี่ที่พานางมายังที่แห่งนี้?
การคาดเดาที่บ้าบิ่นนี้ทำให้ชีเม่ยทั้งประหลาดใจและดีใจ นางยังจำได้ว่าตนเองไปๆ มาๆ จากริมน้ำมายังบ้านหลังนี้สองหน หากนี่เป็นอำนาจของวงแหวนสีเงิน ก็อธิบายได้ว่าไยนับแต่นางมาถึงที่นี่จึงไม่มีแม้แต่เงาคน
เป็นไปได้หรือไม่ว่าในหัวนางคิดถึงที่ใด วงแหวนสีเงินนี้ก็จะพานางไปถึงสถานที่เป้าหมาย
นางแค่คิดเท่านั้นภาพตรงหน้าก็เปลี่ยนไป นางกลับมายังริมน้ำ
ชีเม่ยตกตะลึง ริมน้ำยังคงเป็นริมน้ำที่คุ้นเคย แต่มีบุรุษเปลือยอกเพิ่มขึ้นมาหนึ่งคน
ท่อนบนของชายหนุ่มไร้ซึ่งอาภรณ์ รูปร่างกำยำ กล้ามเนื้อทุกมัดแฝงไปด้วยพลัง
หน้าตาของเขาหล่อเหลาเย็นชา ผมเปียกชื้นปรกไหล่ ดวงตาดำล้ำลึก สายตาคู่นั้นจ้องมองราวกับจะดึงดูดเข้าไป
เหมือนกับเสือดาว
นางนิ่งอึ้ง ชายหนุ่มตกตะลึงยิ่งกว่า
แววตาของชายหนุ่มแหลมคมดุจใบมีด ฉายแสงอันตราย สีหน้าเย็นเยียบ แต่ภายในใจแอบตระหนก
หญิงผู้นี้โผล่มาจากที่ใด แม้แต่เขายังไม่ทันสังเกต?
“อี้เฟย!”
เสียงเรียกที่ดังขึ้นอย่างกะทันหันทำลายความตึงเครียดที่เงียบงันนี้ลง
อี้เฟยเหลือบมองสหายที่อยู่ไกลออกไป เพียงพริบตาเดียวเท่านั้น พอหันกลับมาหญิงสาวก็หายตัวไปแล้ว
อี้เฟยพุ่งตัวจากน้ำขึ้นฝั่งอย่างรวดเร็ว สำรวจรอบๆ ด้วยความตกใจยิ่งนัก
เป็นไปได้อย่างไร? แค่ครู่เดียวแต่หายตัวไปภายใต้สายตาของเขาได้
รวดเร็วเช่นนี้ ไร้สุ้มเสียงเช่นนี้ ทำให้คนหาร่องรอยไม่ได้
แววตาอันตรายปรากฏขึ้นในสายตาของอี้เฟย เป็นยอดฝีมือ!”
“อี้เฟย ไปได้แล้ว!” สหายที่อยู่ห่างออกไปร้องเรียก
อี้เฟยใส่ชุดทะมัดทะแมงสีดำที่ตากจนแห้งสนิทแล้วอย่างว่องไว จากนั้นเดินตรงไปหาสหาย
เฉียวซางเห็นสีหน้าเขาแปลกไปจึงถามเสียงเบา “มีอะไร?”
อี้เฟยพูดเสียงเย็น “มีสิ่งผิดปกติ”
เฉียวซางสีหน้าเคร่งขรึม
พวกเขาคุ้มครองเจ้านายหนีมาตลอดทาง ไม่ง่ายเลยกว่าจะหลุดพ้นจากการตามฆ่าของอีกฝ่ายได้ หรืออีกฝ่ายจะไล่ตามมาอีกแล้ว?
สถานการณ์มิอาจรอช้า ทั้งสองรีบรายงานเจ้านายทันที
คนอื่นได้ยินต่างมีสีหน้าตึงเครียด เพราะพวกเขารู้ความสามารถของอี้เฟย สามารถหายตัวภายใต้สายตาของอี้เฟย วรยุทธ์ต้องไม่ด้อยกว่าอี้เฟยแน่ ไม่ บางทีอาจจะเก่งกว่าอี้เฟยเสียอีก
กุนซือไฉจื่อทงสีหน้าเคร่งเครียดมองไปทางอี้เฟย “อี้เฟย เจ้าเล่าเหตุการณ์เมื่อครู่อย่างละเอียดอีกครั้งได้หรือไม่ หญิงผู้นี้ปรากฏตัวได้อย่างไร”
อี้เฟยตอบ “ข้ากำลังอาบน้ำอยู่ริมน้ำ จู่ๆ นางก็ปรากฏตัวข้างๆ ข้า”
เมื่อจบประโยครอบข้างเงียบกริบในทันที สายตาของทุกคนไปรวมอยู่บนใบหน้าของอี้เฟย
อี้เฟยเคยเป็นองครักษ์เสื้อแพร ขุนนางขั้นห้า ตำแหน่งนายกองพัน ราชสำนักควบคุมโดยขุนนางทุจริต เขาจึงแปรพักตร์เข้าร่วมกับจิ้งอ๋อง จิ้งอ๋องรอดพ้นจากการลอบสังหารของราชสำนักมาได้ จะขาดความดีความชอบของอี้เฟยไปไม่ได้
นอกจากเขาจะวรยุทธ์เก่งกล้ายังมีอีกสิ่งที่พิเศษ ก็คือใบหน้าที่เป็นภัย สร้างความเดือดร้อนให้เขาไม่น้อย เขาไปเข้าตาของใต้เท้าผู้ช่วยผู้ว่าการเมืองที่มีรสนิยมตัดแขนเสื้อ ด้วยไม่ยอมโอนอ่อนจึงออกจากองครักษ์เสื้อแพร เข้าร่วมกับจิ้งอ๋องแทน
เดิมทีพวกเขาสงสัยว่าหญิงสาวเป็นคนที่อีกฝ่ายส่งตัวมา แต่ตอนนี้นะหรือ...
หน่วยกล้าตายของจิ้งอ๋องค้นหาไปทั่วบริเวณ ไม่เจอร่องรอยน่าสงสัย
หากไม่ใช่นักฆ่าที่อีกฝ่ายส่งตัวมา เช่นนั้นก็เหลือข้อสงสัยที่บ้าบิ่นเพียงข้อเดียว
หญิงผู้นั้นคงไม่ได้มาแอบดูอี้เฟยอาบน้ำกระมัง?
อย่าว่าแต่ใบหน้าของอี้เฟยสามารถทำให้คนหลงใหลจริงๆ เลย ยังไม่จำกัดว่าเป็นหญิงหรือชาย...
อี้เฟยมองดูสายตาของทุกคนพลางขมวดคิ้ว “มองข้าทำไม?”
มองความดูดีของเจ้านะสิ
ใต้เท้าไฉกระแอมก่อนพูดขึ้น “เพื่อความรอบคอบ พวกเรารีบเปลี่ยนที่ซ่อนตัว อีกอย่างองค์ชายถูกพิษมิอาจรอได้ จะต้องหายาแก้พิษให้ได้โดยเร็วที่สุด”
พูดถึงอาการบาดเจ็บจากยาพิษของจิ้งอ๋อง คนอื่นสีหน้าเคร่งเครียดอีกครั้ง แม้จะหนีรอดจากการตามฆ่า แต่จิ้งอ๋องถูกพิษ จะต้องรักษาโดยเร็ว
ทุกคนปรึกษากัน ตกลงว่าพักผ่อนเสร็จแล้วก็ออกเดินทางทันที
อีกด้าน ชีเม่ยกลับมาที่บ้านอีกครั้ง ยังไม่รู้ว่าตนกลายเป็นหญิงลามกที่แอบดูบุรุษอาบน้ำไปเสียแล้ว
นางตบอก สีหน้าหวาดกลัว เมื่อครู่นางตกใจแทบแย่!
นางยังคงหวาดผวากลัวถูกคนของหลี่ว์หรงตามจับ ดังนั้นเมื่อเห็นบุรุษแปลกหน้าในน้ำ นางก็คิดไปว่าอีกฝ่ายไม่ใช่คนดี จะต้องมาจับนางอย่างแน่นอน
โชคดีๆ นางกลับมาได้อย่างราบรื่น
นี่เป็นครั้งที่สามที่นางกลับมายังบ้านนี้จากริมน้ำ สองครั้งแรกตื่นตระหนก ในที่สุดครั้งนี้นางพอจะเข้าใจแล้ว
แหวนเงินลึกลับวงนี้ทำให้นางไปมาได้ดังใจจริงๆ ด้วย ขอเพียงนางควบคุมความคิดในหัวให้ดี
ในเมื่อออกไปได้และกลับมาได้อีก นางก็ไม่กลัวเท่าใดแล้ว หลังสูดลมหายใจเข้าออกลึกๆ หลายครั้งจนสงบสติลงได้แล้ว นางตัดสินใจว่าจะลองดูอีกครั้ง
นางหลับตา นึกถึงห้องนอนที่บ้านลุงรอง แต่ก็ต้องพบว่าตนเองยังอยู่ในบ้าน ไม่ได้ไปที่ใดเลย
นางนึกถึงอีกหลายที่ แต่ก็เหมือนเดิม
หรือเพราะนางมาจากริมน้ำจึงทำได้แค่กลับไปที่ริมน้ำ
นางไม่อยากเห็นบุรุษแปลกหน้าที่อยู่ในน้ำผู้นั้นอีก แววตาของเขาน่ากลัวยิ่งนัก แต่ไม่ลองกลับไปริมน้ำก็มิอาจพิสูจน์การคาดเดาของตน
ชีเม่ยขัดแย้งอยู่ในใจ จู่ๆ ก็นึกอะไรขึ้นได้จึงหลับตา ในใจนึกถึงสถานที่หนึ่ง เมื่อลืมตาขึ้นก็พบว่าทำสำเร็จแล้ว!
นางยังคงอยู่ริมน้ำ แต่อยู่ ‘ใกล้’ โดยห่างจากริมน้ำประมาณยี่สิบก้าว
ชีเม่ยดีใจเหลือเกิน นางทดลองต่อไป ไปๆ มาๆ สิบกว่าครั้ง แล้วนางก็ได้ข้อสรุปอย่างหนึ่ง
นางมาที่บ้านเซียนจากริมน้ำ ดังนั้นกลับออกไปจะปรากฏตัวที่ริมน้ำเท่านั้น ไม่อาจไปที่อื่น แต่นางสามารถเลือกบริเวณใกล้เคียงได้ รัศมีที่นางควบคุมได้ในตอนนี้จำกัดที่ไม่เกินหนึ่งร้อยก้าวจากตำแหน่งเดิม
เช่นเดียวกัน เมื่อนางกลับมาที่บ้านเซียน ขอเพียงอยู่ในอาณาเขตของบ้านเซียน ไม่ว่าเป็นบนเตียง บนเก้าอี้ หรือเป็นห้องใดก็ได้ทั้งนั้น
ชีเม่ยตื่นเต้นยิ่งนัก เพราะนี่หมายความว่าต่อไปนางจะไปๆ มาๆ ได้ดังใจ ราวกับสำเร็จวิชาเซียน!
นางนึกถึงอาการบาดเจ็บที่ขาของตน ดังนั้นจึงทดลองอีกครั้ง นางกลับไปบริเวณริมน้ำ แน่ใจว่าบุรุษผู้นั้นไม่อยู่แล้ว รอบด้านไม่มีคน นางหยิบก้อนหินแหลมคมขึ้นมาก้อนหนึ่ง หายใจเข้าลึกแล้วใช้หินนั้นกรีดลงบนแขนของตน
จากนั้นนางหลับตาตั้งสมาธิ กลับมาอยู่บนเตียงในบ้านเซียนอีกครั้ง
นางจ้องมองแขนของตน ไม่นานเรื่องมหัศจรรย์ก็เกิดขึ้น บาดแผลที่แขนนั้นกำลังสมานตัวด้วยความเร็วที่มองเห็นได้ด้วยตาเปล่าจนกระทั่งหายสนิท ไม่เห็นร่องรอยการบาดเจ็บ
ชีเม่ยกระโดดลงจากเตียงอย่างตื่นเต้น คนที่รักษาบาดแผลที่ขาของนางไม่ใช่เซียนที่ไหน แต่เป็นบ้านหลังนี้เอง!
ตั้งแต่บิดามารดาตายจากไป นางถูกลุงรองและป้าสะใภ้รับไปเลี้ยงดู ยิ่งนางโตขึ้น นางก็ยิ่งรู้สึกกระวนกระวาย
เมื่อรับรู้แผนการของครอบครัวลุงรอง ไม่มีสักวันที่นางนอนหลับสนิท
สตรีบนโลกนี้มีชีวิตที่ยากลำบาก ทำได้เพียงอาศัยบุรุษกินข้าว นางฝันว่าสักวันจะได้ออกจากหมู่บ้าน แต่ติดตรงที่ไม่มีทุนรอน ต่อให้จากไปนางก็ไม่มีที่ให้ไป
ยามรู้ว่าตนกำลังจะถูกขายไปเป็นอนุให้ชายแก่ นางรวบรวมความกล้าหนีไป ทว่ายังไม่ทันออกจากหมู่บ้านก็ถูกหลี่ว์หรงตามตื๊อจนเกือบจะเสียพรหมจรรย์
นางโหยหาที่จะมีบ้าน บ้านที่เป็นของตน แต่ต่อให้แต่งงานไปแล้วบ้านนั้นก็เป็น ‘บ้านสามี’
พี่ชุ่ยเอ๋อร์ข้างบ้านที่แต่งงานกับคนขายเนื้อถูกตบตีทุกวัน เพราะบ้านเดิมยากจน บุตรสาวที่แต่งงานแล้วดุจน้ำที่สาดออกไป ไม่เกี่ยวข้องกับบ้านเดิมอีก มีบ้านแต่ไม่อาจกลับไป สุดท้ายพี่ชุ่ยเอ๋อร์กระโดดน้ำฆ่าตัวตาย
ด้วยเหตุนี้ชีเม่ยไม่อยากแต่งงานสักนิด ยิ่งไม่อยากเป็นอนุ ความปรารถนาเพียงอย่างเดียวของนางก็คือออกจากหมู่บ้าน ไปหาหลักแหล่งที่เป็นของตน
คิดไม่ถึงเลยว่าสวรรค์จะมอบบ้านให้นางจริงๆ ไม่ต้องแต่งงาน ไม่ต้องเก็บเงินซื้อบ้าน เพราะนางได้รับบ้านเซียน!
มีบ้านเซียน พื้นดินแผ่นฟ้ากว้างใหญ่ มีที่ใดที่นางไปไม่ได้กัน
ชีเม่ยดวงตาเป็นประกาย กำหมัดแน่น อนาคตเต็มเปี่ยมไปด้วยความหวัง
โครกครากกก...
นางลูบท้องที่กำลังร้อง บ้านหลังนี้แม้จะสวยงามแต่ไม่มีของกิน หลังบ้านมีห้องครัว ทว่าไม่มีวัตถุดิบสำหรับทำอาหาร
โชคดีที่รอบบ้านมีไม้ผลไม่น้อย ผลไม้ดกเต็มต้น นางเด็ดผลไม้สองสามลูกมากินประทังความหิว ในใจเริ่มวางแผนว่าจะจัดการบ้านหลังนี้อย่างไร
นางสามารถปลูกผักรอบๆ บ้านและล้อมพื้นที่เลี้ยงเป็ดเลี้ยงไก่ พอดำรงชีวิตด้วยตนเองได้ ต่อไปไม่ต้องพึ่งใครอีก!
สามวันต่อมาชีเม่ยอยู่แต่ในบ้านเซียน ในเมื่อถือเอาที่นี่เป็นบ้าน นางต้องเข้าใจสภาพและพื้นที่โดยรอบบ้านเซียน
สามวันมานี้นางกินผลไม้ให้อิ่มท้อง ดื่มน้ำจากแม่น้ำที่ใสกระจ่าง ไปแช่น้ำในสระน้ำพุร้อนทุกวัน ง่วงแล้วก็นอนบนเตียงใหญ่แสนสบายเตียงนั้น
ชีเม่ยมีเพียงเสื้อผ้าที่อยู่บนตัวเพียงชุดเดียวเท่านั้น เพื่อตกแต่งบ้านเซียนของตน นางจำเป็นต้องหาซื้อข้าวของส่วนหนึ่ง ก่อนอื่นจะต้องขนของของนางที่อยู่ในบ้านลุงรองมาก่อน
ทันทีที่ชีเม่ยคิดอยู่ในหัว นางก็กลับมาที่ริมน้ำอีกครั้ง มองซ้ายมองขวาไม่มีใครทำให้นางโล่งอก เพราะนางไม่อยากพบกับคนประหลาด หรือถูกคนอื่นหาว่านางเป็นปีศาจ
นางชะงัก จู่ๆ ก็คิดขึ้นได้ ถ้าเป็นรัศมีห่างจากลำธารไปไม่เกินหนึ่งร้อยก้าว เช่นนั้นข้างบนและข้างล่างเล่า
นางมองไปยังภูเขา ยามนั้นนางนั่งอยู่ในกรงไม้ กลิ้งลงมาจากด้านบน นางตัดสินใจจะทดสอบอีกครั้ง นางนึกอยู่ในใจ กลับมาที่บ้านเซียนก่อน จากนั้นนึกถึงเส้นทางบนภูเขาเส้นนั้น
ภาพเปลี่ยนไป นางอยู่บนเส้นทางบนภูเขาแล้ว ที่นี่เป็นที่ที่ตอนนั้นนางกลิ้งตกลงไป
ชีเม่ยร้องอย่างตื่นเต้นยินดี แม้ว่านางจะไม่อาจเลือกสถานที่ได้ตามใจ แต่นางสามารถเคลื่อนที่ระยะสั้นได้ ขอแค่เคลื่อนที่มากครั้งหน่อยก็ได้แล้ว!
หลังจากค้นพบเช่นนี้ชีเม่ยยิ่งมั่นใจขึ้น นางตัดสินใจจะกลับไปย้ายบ้าน!
บทที่สอง
สำหรับคนในหมู่บ้านซีเถียน ชีเม่ยตายแล้ว แต่สำหรับชีเม่ย นางเกิดใหม่อีกครั้ง
สตรีที่ถวายแด่เทพเจ้าภูเขาไม่อาจกลับมาได้อีก ดังนั้นชีเม่ยทำได้เพียงต้องหลีกเลี่ยงคนในหมู่บ้าน แอบกลับมาเพื่อไม่ให้คนอื่นคิดว่านางเป็นภูตผี
หากให้พูดว่าหมู่บ้านซีเถียนมีอะไรควรค่าให้นางอาลัยอาวรณ์ นั่นก็คือมรดกตกทอดของบิดาและมารดา
นางกลับมาอยู่ที่ลานบ้านลุงรองโดยไม่มีใครสังเกตเห็น เวลานี้ลุงรองและลูกชายทั้งสองอยู่ในทุ่งนา ป้าสะใภ้อยู่ในห้องครัว นางอดถอนหายใจไม่ได้ นางจากไปเพียงสามวัน กลับมาสถานที่เดิมจิตใจกลับไม่เหมือนเดิมอีกแล้ว
นางยิ้ม เดินเข้าไปในบ้านอย่างใจเย็น ตั้งใจว่าจะขนเสื้อผ้าในห้องของนางไปทั้งหมด
ในมือถือเสื้อผ้า นางชะงักกึก ความคิดหนึ่งแล่นขึ้นมา นางตัดสินใจลองดู
ฟึ่บเดียวเสื้อผ้าในมือก็หายไป
ฮ่า! เช่นนี้ก็ได้!
ที่แท้ตัวนางไม่จำเป็นต้องกลับไปบ้านเซียน ส่งสิ่งของกลับไปก็ได้แล้ว! เช่นนี้สะดวกยิ่งนัก ทุกครั้งที่ชีเม่ยเก็บของแต่ละชิ้น เพียงใช้มือแตะของชิ้นนั้นก็จะหายไป โยนเข้าไปในบ้านเซียน
เก็บของในห้องของตนเสร็จแล้วนางเข้าไปในห้องนอนของป้าสะใภ้ หลังจากรื้อหีบค้นตู้ก็เจอเครื่องประดับของมารดานางจริงๆ ด้วย ทั้งหมดถูกป้ารองยึดเป็นของตน
นางใช้มือแตะเช่นเดิม ขนเครื่องประดับทั้งหมดกลับไปบ้านเซียน ราวกับวิชาเซียนอย่างไรอย่างนั้น เช่นนั้นนางก็เป็นนางเซียนนะสิ?
ชีเม่ยแอบดีใจ อาจเพราะอารมณ์ดี นางจึงใช้วิชาเซียนได้อย่างคล่องแคล่ว ทั้งยังจับเคล็ดได้ ยิ่งทำยิ่งราบรื่น ยิ่งย้ายยิ่งเร็ว
ที่จริงหากนางชั่วร้ายสักหน่อยก็คงขนของมีค่าของบ้านลุงรองไปทั้งหมด ใครใช้ให้พวกเขาใจร้าย แต่สุดท้ายนางก็อดทนไว้ได้ ต่อให้พวกเขามีเจตนาแอบแฝง อย่างไรก็รับเลี้ยงนาง ให้ข้าวนางกิน เลี้ยงนางมาหกปี บัญชีนี้ล้มเลิกแล้วกัน ถือเสียว่าเป็นการตอบแทน
ตอนที่นางเก็บเสร็จกำลังจะจากไป เพียงหันหน้ากลับมาก็บังเอิญประจันหน้ากับป้าสะใภ้ที่จะเข้าประตูมาพอดี
ป้าสะใภ้มีสีหน้าราวกับเห็นผี “เจ้า เจ้ากลับมาได้อย่างไร”
ชีเม่ยจ้องมองป้าสะใภ้ ทันใดนั้นก็เข้าใจกระจ่าง
ป้าสะใภ้ต้องรู้แผนการของหลี่ว์หรงแน่ๆ ที่แท้พวกเขาขายนางให้หลี่ว์หรง ไม่สนความเป็นความตายของนางสักนิด
ชีเม่ยนึกถึงแผนการอย่างหนึ่งขึ้นมาได้ จึงพูดด้วยน้ำเสียงที่ฟังดูน่ากลัว “พวกเจ้าขายข้า ขโมยเครื่องประดับของท่านแม่ข้า ข้าตายตาไม่หลับ...” พูดถึงตรงนี้คนก็หายตัวไป
เคร้ง! ป้าสะใภ้ตกใจจนหม้อในมือหล่นพื้น กรีดร้องพุ่งตัวออกไปนอกประตู “ผี...”
ชีเม่ยนั่งอยู่บนกระเบื้องมุงหลังคา มองดูป้าสะใภ้วิ่งหนีไปอย่างตื่นกลัวพลางยิ้มอย่างเยาะเย้ย
ชาตินี้ชีวิตนี้นางจะไม่กลับมาอีกแล้ว
ที่จริงในใจชีเม่ยเคียดแค้น แต่นางไม่อยากแค้น ความแค้นทำให้นางไม่สบายใจ คิดอีกแง่หนึ่งหากไม่ใช่คนเห็นแก่ตัวอย่างพวกเขาที่ส่งนางไปเป็นเครื่องบูชายัญ นางจะได้บ้านเซียนมาได้อย่างไร ฉะนั้นนางจึงไม่คิดแค้นอีก
นางลูบรอยวงแหวนสีเงินบนนิ้วมือของนางเบาๆ มุมปากยกขึ้น
ร่างอรชรหายไปจากบนกระเบื้องมุงหลังคา ยามปรากฏตัวขึ้นมาอีกครั้งนางยืนอยู่ระหว่างคันนาแล้ว
ชีเม่ยอยากจะทำสวนผักรอบๆ บ้านเซียน ดังนั้นนางจะต้องถอนผักกลับไปลองปลูก ผลไม้รอบๆ บ้านเซียนหวานชุ่มฉ่ำ นางมีลางสังหรณ์ว่าหากทำสวนผัก ผักจะต้องโตและอุดมสมบูรณ์แน่ๆ
ระหว่างที่นางกำลังเดินไปตามคันนา คิดจะถอนผักไปสักหน่อย จู่ๆ ก็มีคนเรียกนาง
“ชีเม่ย?”
นางชะงัก หันกลับมามองอีกฝ่าย เป็นเหลียงซง
ย้อนคิดถึงสีหน้าร้อนใจเจ็บปวดของเหลียงซงในยามนั้น ชีเม่ยรู้สึกว่าเหลียงซงคงเป็นเพียงคนเดียวในหมู่บ้านซีเถียนที่จริงใจต่อนางกระมัง
ชีเม่ยยิ้มพยักหน้าให้เขา “พี่เหลียง”
“เป็นเจ้าจริงๆ! เจ้า...เจ้าหนีกลับมาหรือ?”
เรื่องนี้ยากที่จะอธิบาย บ้านเซียนเป็นความลับของนาง นางไม่เล่าเรื่องมหัศจรรย์ที่นางพบเจอให้เขาฟังแน่ๆ จึงได้แต่กุเรื่องขึ้นมา
“ใช่ ข้าหนีกลับมา พี่เหลียงจะต้องช่วยข้ารักษาความลับ”
“แน่นอนอยู่แล้ว ข้า ข้าเป็นห่วงเจ้ามาก เคยขึ้นเขาไปตามหาเจ้าด้วย”
ชีเม่ยได้ยินก็ซาบซึ้งใจ ที่แท้เหลียงซงไปช่วยนางจริงๆ เมื่อก่อนนางมีความคิดที่จะติดตามเหลียงซง แต่นางไม่อยากอยู่ที่หมู่บ้านซีเถียน ไม่รู้ว่าเหลียงซงยินดีจะจากไปพร้อมกับนางหรือไม่
บ้านของเหลียงซงมีมารดาชราที่กำลังป่วย ให้เขาจากไปกับนาง จะทำให้เขาลำบากใจเกินไปหรือไม่
หลี่ว์หรงไม่ปล่อยนางไว้แน่ นางจะต้องออกจากหมู่บ้านซีเถียน
ขณะที่ชีเม่ยขัดแย้งอยู่ในใจ เหลียงซงเอ่ยปากขึ้น
“ชีเม่ย เจ้าดูแปลกไปไม่เหมือนเดิม”
นางเงยหน้าอย่างสงสัย “ตรงไหนที่ไม่เหมือนเดิม?”
“เหมือนกับว่าเจ้า...สวยขึ้น”
นางฟังแล้วใบหน้าร้อนผ่าว ลูบใบหน้าของตนอย่างเขินอาย “จริงหรือ”
นางเองไม่รู้ตัว แค่อยู่ในบ้านเซียนสามวัน อยู่ดีนอนดี สีหน้าจะไม่ดีได้อย่างไร
นางก้มหน้าเพราะรู้สึกเขินอายที่ถูกเหลียงซงจ้องมอง จึงไม่ได้เห็นความลังเลและขัดแย้งที่ปรากฏบนใบหน้าของเขา
นางคิดในใจ เหลียงซงชอบนางถึงเพียงนี้ หากนางเสนอ ไม่แน่เขาอาจตกลงก็ได้
“พี่เหลียง...”
“ไปกับข้า” จู่ๆ เหลียงซงก็คว้าข้อมือของนาง “ให้ใครเห็นเจ้าไม่ได้ รีบซ่อนเร็วเข้า”
ชีเม่ยถูกเขาดึงตัวไป มองดูแผ่นหลังสูงใหญ่ของเขา ชีเม่ยคิดในใจ นี่คือบุรุษที่พึ่งพาได้ หากเขายินดีออกจากหมู่บ้านซีเถียนกับนาง นางก็จะบอกเรื่องบ้านเซียนกับเขา บ้านเซียนมีตั้งหลายห้อง ยังสามารถรักษามารดาที่ป่วยของเขา ทุกคนออกจากหมู่บ้านซีเถียน ใช้ชีวิตด้วยกันคงจะดีไม่น้อย
“พี่เหลียง...รอก่อน เดินช้าหน่อย เจ้าจะพาข้าไปที่ใด?”
เหลียงซงไม่ตอบ เขาแรงเยอะ ดึงนางเดินไปข้างหน้า
ชีเม่ยรู้สึกถึงความตึงเครียดของเขา คิดไปว่าเขากลัวคนอื่นเห็นนาง กระทั่งเชือกหนามัดข้อมือทั้งสองของนาง นางถึงเงยหน้ามองเขาอย่างตกใจ
“พี่เหลียง?”
“ชีเม่ย ขอโทษด้วย”
ชีเม่ยตกตะลึง เบิกตามองเขาอย่างไม่เชื่อสายตา ทันใดนั้นก็รู้ตัว “เจ้าจะมอบข้าให้กับหลี่ว์หรงหรือ”
เหลียงซงมีสีหน้าละอายใจ ไม่กล้าสบตากับนาง ก้มหน้าเอ่ย “ข้าก็ไม่อยากทำเช่นนี้ แต่แม่ของข้าต้องการเงินไปหาหมอ”
ชีเม่ยมองเขา ฉับพลันนั้นก็เข้าใจอะไรขึ้นมา
“เจ้าขึ้นเขาไปหาข้าเพราะได้ยินว่าข้าหนีไปใช่หรือไม่ ไม่ใช่เพราะจะช่วยข้า”
เหลียงซงรู้สึกเห็นใจ แต่คิดถึงข้อเสนอที่ตระกูลหลี่ว์ยื่นให้ เขาก็ใจแข็งขึ้นมา
“ขอโทษด้วย ชีเม่ย เจ้าขอโทษตระกูลหลี่ว์ดีๆ ข้าเชื่อว่าหลี่ว์หรงจะ...ดีต่อเจ้า”
ดี? ชายผู้นั้นอยากทรมานนางจะแย่!
คิดไม่ถึงว่าชายที่นางเพิ่งตัดสินใจว่าจะฝากฝังชีวิตไว้กับเขากลับคิดจะขายนางแลกเงิน
หึ นางช่างโง่เสียจริง จนถึงวันนี้นางเพิ่งจะเห็นโฉมหน้าที่แท้จริงของเหลียงซง เขาเป็นคนสารเลว!
เหลียงซงคิดว่านางจะดิ้นรนจึงออกแรงเพิ่มป้องกันนางหลบหนี แต่กลับพบว่านางปล่อยให้เขามัด ไม่ร้องไห้ไม่โวยวาย
เขาเงยหน้ามองนาง เมื่อสบเข้ากับสายตาเยียบเย็นคู่นั้นก็หลบสายตาทันที
เหลียงซงคิดไปว่านางคงยอมรับชะตากรรมแล้ว เขามัดนางอย่างแน่นหนา แม้แต่ปากก็ยังอุดไว้ ขังนางไว้ในบ้านร้างแห่งหนึ่ง
หลี่ว์หรงต้องการจับชีเม่ย เรื่องนี้จะกระโตกกระตากไม่ได้ ฉะนั้นเมื่อได้ยินว่าเหลียงซงจับตัวนางได้แล้ว จึงรีบสั่งให้คนใช้เกี้ยวหามเขาไป
เหลียงซงยืนรออยู่ที่สถานที่นัดพบ เห็นหลี่ว์หรงจึงเดินตรงไปค้อมเอวให้ “คุณชายหลีjว์”
หลี่ว์หรงถามด้วยอารมณ์ขุ่นมัว “นางอยู่ที่ใด”
เหลียงซงถามอย่างร้อนรน “เงินเล่า?”
หลี่ว์หรงแค่นหัวเราะ ส่งสายตาให้ลูกน้อง ลูกน้องที่อยู่ข้างๆ โยนเงินให้เขาหนึ่งถุง
เหลียงซงกะน้ำหนักถุงเงิน ปิดบังความยินดีบนใบหน้าไว้ไม่มิด “ตามข้ามา”
เขาพาคนมาในป่า ในป่ามีบ้านร้างแห่งหนึ่ง บ้านหลังนี้ให้พวกพรานป่าใช้ ชายในหมู่บ้านส่วนใหญ่ทำนา มีเพียงเขาที่ใช้ ยามปกติไม่มีคนมา เป็นสถานที่ที่ดีที่สุดที่จะซ่อนคน
เขาพาคนมาถึงหน้าบ้านแล้วชี้นิ้ว “นางอยู่ข้างใน”
หลี่ว์หรงอดรนทนไม่ไหวที่จะเห็นสีหน้าหวาดกลัวสิ้นหวังของหญิงผู้นั้น เขาจะขังนางไว้ กลั่นแกล้งทรมานทั้งวันทั้งคืน พอนึกถึงว่าตนเองไม่สามารถทำเรื่องที่มนุษย์ทั่วไปทำได้อีกต่อไป สีหน้าเขาก็.ันอย่างเคียดแค้น
ลูกน้องสองคนเดินเข้าไปในบ้านร้าง ไม่นานก็ออกมารายงาน “คุณชาย ข้างในไม่มีคน”
เหลียงซงตกตะลึง “เป็นไปได้อย่างไร”
เขารีบเดินเข้าไปในบ้าน พบว่าด้านในว่างเปล่าไม่มีใครสักคนจริงๆ แม้แต่เงาก็ไม่มี
คนหายไป แย่แน่แล้ว!
เหลียงซงคิดว่าแย่แล้ว พอหันหน้ากลับมาก็เห็นแววตาทมิฬของหลี่ว์หรงจริงๆ ด้วย
“เจ้ากล้าล้อข้าเล่นหรือ”
“ไม่ๆๆ คุณชายหลีjว์ ข้าจับตัวนางได้จริงๆ นางจะต้องยังอยู่ใกล้ๆ แน่...”
หลี่ว์หรงรีบสั่งให้คนไปค้นหา ไม่นานพวกเขาจับตัวเด็กได้หนึ่งคน ได้ยินเด็กคนนี้พูดเสียงดัง “มีพี่สาวคนหนึ่งให้ข้ามอบผ้าเช็ดหน้าผืนนี้แก่พี่เหลียงซง นางบอกว่าขอบคุณพี่เหลียงซงที่ปล่อยนางไป นางฟังที่พี่เหลียงซงเตือน จะหนีไปให้ไกล ไม่กลับมาอีกแล้ว”
เหลียงซงได้ฟังก็หน้าเปลี่ยนสี ตะโกนขึ้นมาอย่างร้อนรน “เขาพูดส่งเดช ข้าจะปล่อยนางไปได้อย่างไร!”
แต่ความจริงอยู่ตรงหน้า คนหายไป มีคำพูดยืนยันของเด็ก
หลี่ว์หรงไม่เห็นชีเม่ยก็โกรธจัด
“จับเขาไว้!”
“ช้าก่อน ข้าไม่ได้โกหก ข้าจับนางได้จริงๆ”
ครั้นลูกน้องได้รับคำสั่งก็เดินขึ้นหน้าจะจับตัวเขา เหลียงซงแข็งแรงบึกบึน ไหนเลยจะยอมให้จับง่ายๆ ด้วยความร้อนรนจึงผลักคนล้มลงแล้วหมุนตัววิ่งหนีไป
ชีเม่ยที่นั่งอยู่บนต้นไม้เห็นฉากนี้ทั้งหมด เห็นเหลียงซงถูกลูกน้องของหลี่ว์หรงล้อมรอบ เห็นเขาต่อสู้เยี่ยงสัตว์ที่ถูกล้อมจับ ทว่าหนึ่งหมัดไม่อาจต้านทานสี่ขา
เหลียงซงได้รับผลกรรมชั่วของตน นางกลับไม่รู้สึกดีใจ รู้สึกเพียงความผิดหวัง
การหักหลังของเหลียงซงทำให้ชีเม่ยเกลียดชังบุรุษ
ในความทรงจำของนาง นอกจากบิดาของนาง หมู่บ้านซีเถียนไม่มีบุรุษที่ดี
ลุงรองที่รับเลี้ยงนางคิดแต่จะขายนางให้ได้ราคาดี
หลี่ว์หรงคิดล่วงเกินนาง ทำให้นางเกิดความหวาดระแวงบุรุษ แต่การหักหลังของเหลียงซงทำลายความเชื่อใจบุรุษของนางไปจนสิ้น
วันนี้หากไม่ใช่เพราะนางมีวิธีเอาตัวรอด นางคงถูกบุรุษเหล่านี้ทำร้ายไปแล้ว
ยามนี้ชีเม่ยเกลียดชังบุรุษจนถึงที่สุด มองว่าเป็นดั่งสัตว์ร้ายและเภทภัย การหักหลังของเหลียงซงทำให้นางตกลงใจได้ว่าจะต้องดูแลบ้านเซียนของนางให้ดี
ชีเม่ยมองดูอยู่บนต้นไม้ชั่วครู่ จากนั้นก็หายตัวไป
เพื่อเยียวยาความเศร้าในจิตใจ นางทุ่มเทแรงใจทั้งหมดไปกับการรวบรวมผักและผลไม้ต่างๆ
นางทำสวนผักในบ้านเซียน ปลูกผักผลไม้ที่รวบรวมมาได้ทั้งหมด
หนที่แล้วนางกินผลไม้ลูกเดียวก็อิ่มไปทั้งวัน ดังนั้นนางจึงตั้งใจว่าจะปลูกไม้ผลเพิ่มขึ้น การเดินทางในภายหลังก็ไม่ต้องกังวลเรื่องการกินอยู่อีกต่อไป
สองสามวันมานี้ชีเม่ยขลุกอยู่บนภูเขาตามหาพืชผลที่กินได้
คนเมื่อมีเป้าหมายมีเรื่องให้ทำก็จะไม่ตกอยู่ในความทุกข์ กลางวันนางหาอาหาร กลางคืนกลับมาพักผ่อนที่บ้านเซียน ไปๆ มาๆ เช่นนี้ สนุกจนไม่รู้เหนื่อย
ระหว่างที่หาผักป่านางพบสมุนไพรไม่น้อย เมื่อก่อนบิดาขึ้นเขาล่าสัตว์มักจะขุดสมุนไพรกลับมา นำไปขายในตำบล ได้เงินมาใช้จ่ายในบ้าน
นางคิด ปลูกสมุนไพรเหล่านี้ไว้ในแดนเซียน ปลูกได้จำนวนมาก จากนั้นนำสมุนไพรไปขายนางก็จะเลี้ยงดูตนเองได้
เมื่อคิดว่าต่อไปสามารถอาศัยการปลูกสมุนไพรหาเงิน ความโศกเศร้าจากการโดนเหลียงซงทำร้ายจิตใจก็ถูกปลอบโยนไปไม่น้อย นางรู้สึกว่าชีวิตในภายภาคหน้าเต็มเปี่ยมไปด้วยความหวัง
เพื่อขุดสมุนไพรนางจึงต้องเดินลึกเข้าไปในภูเขา ฉะนั้นสองสามวันมานี้นางวนเวียนอยู่แต่ในป่าลึก ขุดผักป่า ขุดสมุนไพร
วันนี้นางพบดอกไม้สีแดงบนหน้าผาข้างน้ำตก
ชีเม่ยยินดีเป็นอย่างยิ่ง เพราะนางรู้จักดอกไม้ดอกนี้
ตอนเด็ก บิดามักจะขุดดอกไม้ดอกนี้พร้อมรากกลับมา บอกว่าดอกไม้นี้เป็นสมุนไพรหายากชนิดหนึ่ง มีราคามาก
ยามนั้นบิดานำดอกไม้สีแดงนี้ไปขายในเมือง สุดท้ายแลกเป็นเสบียงอาหาร ผ้าและเนื้อกลับมาไม่น้อย ทั้งครอบครัวดีใจราวกับฉลองปีใหม่
ชีเม่ยเก็บดอกไม้สีแดงนี้กลับบ้านเซียนอย่างระมัดระวัง ปลูกไว้ริมทะเลสาบ ในเมื่อดอกไม้สีแดงนี้โตอยู่ใกล้น้ำตก คงจะต้องการน้ำมากกระมัง
ชีเม่ยรู้สึกว่าดอกเดียวไม่พอ หากได้อีกสองสามต้นเพื่อทดลองปลูกจะดีที่สุด ดังนั้นนางจึงไม่ขุดผักแล้ว เปลี่ยนเป็นหาดอกไม้สีแดงแทน
นางพบว่าดอกไม้สีแดงเหล่านี้มักจะเติบโตอยู่บนหน้าผา เดาว่าคงเป็นเพราะอยู่ที่สูงชัน ยากที่จะเข้าถึงจึงยังเติบโตอยู่ถึงทุกวันนี้ มิเช่นนั้นคงถูกชาวหมู่บ้านเด็ดไปจนหมดแล้ว
บัดนี้นางมีบ้านเซียน จะเข้าถึงสถานที่อันตรายเช่นนี้ไม่ใช่ปัญหา
นางหาดอกไม้สีแดงอย่างไม่รู้เหนื่อย ไม่ทันสังเกตว่าบนขอบหน้าผามีคน เมื่อจู่ๆ ได้ยินเสียงคนพูดคุยกันจึงทำให้นางสะดุ้งโหยง
ที่นี่เป็นป่าลึก น้อยคนที่จะมา ชีเม่ยกลัวเล็กน้อย แต่ก็ใคร่รู้ นางมองตามเสียงอย่างเงียบๆ เห็นคนชุดดำกลุ่มหนึ่ง
ชีเม่ยตกใจ คนชุดดำพวกนี้ล้วนพกดาบติดตัว แค่ดูก็รู้ว่าเป็นคนอันตราย
นางไม่อยากหาเรื่องใส่ตัว คิดเพียงว่าจะลอบเด็ดดอกไม้สีแดงแล้วจากไป แต่นางไม่รู้ว่าคนที่ฝึกวรยุทธ์หูดีกว่าคนอื่น ต่อให้นางซ่อนตัวโดยไม่ขยับ เสียงหายใจและเสียงเต้นของหัวใจนางก็เปิดเผยร่องรอยของนางไปแล้ว
ชายชุดดำกลุ่มนี้ใช้สายตาสื่อสารกัน ทันใดนั้นหนึ่งในชายชุดดำลงมือรวดเร็วดุจสายฟ้า ดาบเย็นเยียบแหลมคมด้ามหนึ่งชี้ตรงมาที่นางอย่างแม่นยำ
ชีเม่ยไม่ทันตั้งตัว สบตากับดวงตาสีดำเย็นชาแล้วทำได้เพียงมองอีกฝ่ายอย่างนิ่งงัน
บังเอิญเหลือเกิน นางจำคนผู้นี้ได้ หลายวันก่อนเพิ่งจะเจอ...บุรุษเปลือยตรงลำธาร
อี้เฟยจ้องนางอย่างดุดัน
หญิงผู้นี้อีกแล้ว นางน่าสงสัยจริงๆ ตามพวกเขามาตลอดทาง
“ใครส่งเจ้ามา”
ชีเม่ยถูกเขาถามใส่ในที่สุดก็ตั้งสติได้ ในใจกระวนกระวาย ไม่รู้ว่าจะตอบอะไรขึ้นมาชั่วขณะ
เวลาเดียวกันชายชุดดำคนอื่นรายล้อมเข้ามา
“พูด! ใครส่งเจ้ามา ถ้าไม่พูดจะฆ่าเจ้า!”
ชีเม่ยตัวสั่น คนพวกนี้เอ่ยปากก็จะฆ่าคน จะต้องเป็นโจรแน่ๆ คิดได้ดังนี้นางยิ่งตัวลีบ เขยิบถอยหลังแล้วตอบอย่างอ่อนแรง “ข้ามาเก็บสมุนไพร”
ปีนสูงขนาดนี้ ทั้งยังเป็นสถานที่อันตรายเช่นนี้ ทำลับๆ ล่อๆ ใครจะเชื่อ?
ตอนนี้นางอยู่บนต้นไม้ริมหน้าผา ทุกครั้งที่นางขยับ ต้นไม้จะส่งเสียงเอี๊ยดอ๊าด
เฉียวซางขยับมาอยู่ข้างอี้เฟยแล้วถามเสียงเบา “คนที่แอบดูเจ้าอาบน้ำก็คือแม่นางน้อยผู้นี้หรือ?”
เรียกว่าแม่นางน้อยก็ไม่ผิด นางยังรวบผมเป็นมวยสองข้าง ดูอ่อนแอและไร้เดียงสา อายุน่าจะเพิ่งสิบสามสิบสี่ปี ไม่เหมือนชาวยุทธ์สักนิด เหมือนเด็กข้างบ้านเสียมากกว่า
เฉียวซางพูดเสียงเบา แต่ทุกคนหูไวกว่าคนทั่วไปจึงได้ยินกันทั้งหมด ต่างมองมาที่อี้เฟยพร้อมกัน
อี้เฟยเหลือบตามองเฉียวซางอย่างเย็นชา น้ำเสียงเรียบเฉย “พวกเราอยู่ที่นี่มาหลายวันแล้ว นางกลับหลุดลอดหูตาของทุกคนมาแอบอยู่ที่นี่โดยไร้สุ้มเสียง”
คำพูดนี้เตือนสติทุกคน ที่นี่คือหน้าผา ไม่มีเส้นทางให้เดิน เส้นทางเดียวที่มีถูกพวกเขาขวางไว้ หญิงผู้นี้ทำอย่างไรถึงผ่านพวกเขามาอยู่ที่ริมหน้าผา
ทุกคนสีหน้าเคร่งขรึม สายตาที่มองชีเม่ยระแวดระวังเพิ่มขึ้น หญิงผู้นี้ต้องเป็นจอมยุทธ์ยอดฝีมือที่เชี่ยวชาญการปลอมตัวและซ่อนตัวแน่ๆ
ยิ่งดูไม่อันตรายยิ่งอันตราย
เฉียวซางเก็บรอยยิ้ม .ึ้นมา “ไม่ยาก จับนางมาสอบสวนดูก็จะรู้ว่าใครส่งมา”
พวกเขาเชื่อว่าหญิงผู้นี้จะเก่งสักเพียงใดก็ไม่สามารถหนีไปจากที่นี่ได้ ด้านล่างเป็นเหวลึก ตกลงไปเป็นไปไม่ได้ที่จะไม่บาดเจ็บ นอกจากนางไม่คิดถึงชีวิตแล้ว
ชีเม่ยไม่คิดถึงชีวิตจริงๆ นางกอดกิ่งไม้แน่น ให้ตายก็ไม่ยอมขยับ นางโง่สิถึงจะยอมมอบตัว อีกอย่างนางมีบ้านเซียน นางไม่กลัวหรอก เชอะ!
หนึ่งในชายชุดดำทนไม่ไหว เสนอขึ้นมา “ตัดต้นไม้ซะ!”
ตัดต้นไม้แล้วหญิงผู้นี้จะต้องตกลงไปเป็นแน่ เพื่อเอาชีวิตรอดนางจะต้องเผยโฉมหน้าที่แท้จริง ถึงเวลานั้นพวกเขาจะดูซิว่านางสักเพียงใดกันแน่
อี้เฟยก็อยากรู้ทักษะวิชาของหญิงผู้นี้เช่นกัน สายตาเขาจ้องมองนางตลอดเวลา จากนั้นพยักหน้าส่งสัญญาณให้เฉียวซาง
เฉียวซางแสยะยิ้ม ชักดาบเล่มใหญ่ออกมา หลังจากกวัดแกว่งไปมาก็ฟันเข้าที่กิ่งไม้ เขาใช้เรี่ยวแรงพอเหมาะ ไม่ได้ฟันกิ่งไม้จนขาดในครั้งเดียว เพียงกดดันอีกฝ่าย ดูว่านางจะใช้ลูกไม้อะไร
ไหนเลยจะรู้ว่าหญิงผู้นี้ยังคงไม่ยอมแพ้ นางไม่ร้อง เพียงแต่สีหน้าซีดเซียว ตัวสั่นเล็กน้อย ยังกอดต้นไม้ไม่ยอมขยับตัว ท่าทางนั้นเหมือนกับลิงน้อยน่าสงสาร
เฉียวซางเลิกคิ้ว “โอ้ ดื้อขนาดนี้เชียว เช่นนั้นอย่าหาว่าข้าไม่รู้จักทะนุถนอมสตรีก็แล้วกัน!” ดาบฟันลงมา กิ่งไม้ขาดทันที
“กรี๊ด...” ชีเม่ยกรีดร้องออกมา
ทุกคนมองดูหญิงสาวตกลงไปตาปริบๆ นางไม่ได้หนี ไม่ได้ใช้วิชาตัวเบา มีเพียงสีหน้าตื่นตระหนกและเสียงร้องที่ดังก้องไปทั่วหุบเขา
ทุกคนนิ่งเงียบ หลังจากนั้นอีกนานมีคนเอ่ยปากขึ้นมาอย่างลังเล “...หรือนางจะมาเก็บสมุนไพรจริงๆ?”
เฉียวซางหลุดหัวเราะ “เจ้าโง่ สถานที่เช่นนี้มีสมุนไพรที่ไหนกัน อย่าว่าแต่ข้า พวกเจ้ามีใครที่มาหลบซ่อนตัวที่นี่ภายใต้สายตาพวกเราโดยไม่มีใครรู้ได้บ้าง” ที่นี่เป็นริมหน้าผา ด้านล่างลึกไม่เห็นก้น จะบอกว่าปีนขึ้นมาจากด้านล่างของหน้าผา นั่นยิ่งเป็นไปไม่ได้!
“แต่...นางดูเหมือนตกลงไปจริงๆ”
คนตกลงไปจริงหรือไม่ คำตอบไม่สำคัญอีก พวกเขามีหน้าที่ปกป้องจิ้งอ๋อง สังหารผิดคนย่อมดีกว่าปล่อยคนน่าสงสัยไป
เมื่อเกิดเรื่องนี้ขึ้น เพื่อป้องกันเหตุร้ายที่อาจจะเกิดขึ้น ทุกคนตัดสินใจออกเดินทาง
กุนซือไฉจื่อทงมาถึงข้างกายจิ้งอ๋อง รายงานเสียงเบา
“องค์ชาย ที่นี่ไม่เหมาะจะอยู่นาน พวกเราตัดสินใจว่าจะออกเดินทางโดยเร็วพ่ะย่ะค่ะ”
ใบหน้าสุภาพหล่อเหลาของจิ้งอ๋องตวนมู่หลีที่ซีดเซียวพยักเบาๆ “ในเมื่อเป็นเช่นนี้พวกเราก็ออกเดินทางทันที”
“พระวรกายของพระองค์...”
“ไม่เป็นไร หากอีกฝ่ายตามมาข้าก็คงตาย มิสู้อดทนเดินทางต่อ”
อาจารย์ไฉรีบพูด “ขอพระองค์อย่าตรัสเช่นนี้ แม้กระหม่อมสละชีวิตก็ต้องหายาแก้พิษให้ได้ พระองค์มีบุญวาสนาเทียมฟ้า จะต้องปลอดภัย”
จิ้งอ๋องแย้มยิ้มอย่างอ่อนแรง “ทำให้เจ้าลำบากแล้ว”
อาจารย์ไฉรีบกุมหมัดคำนับ “มิบังอาจ ขอพระองค์อย่าทรงถอดใจเป็นอันขาด”
ทุกคนเก็บข้าวของเสร็จก็ออกเดินทาง ลืมหนึ่งชีวิตบริสุทธิ์นั้นไปจนสิ้น
อี้เฟยยืนอยู่ริมหน้าผา มองลงไปเบื้องล่างพลางขมวดคิ้วตรึกตรอง ผ่านไปครู่หนึ่งก็หันหลังจากไป
ตอนที่ชีเม่ยตกลงมาบนเตียง นางยังคงกรีดร้อง ช่วงเวลาคับขันนั้นนางกลับมาบ้านเซียนทันเวลาจึงไม่ได้ตกลงไปจนร่างแหลกเหลว
นางนอนอยู่บนเตียง ยังคงอยู่ในสภาพตกใจ ใครก็ตามตกลงไปจากที่สูงเพียงนั้นก็คงตกใจจนทรุด
เมื่อครู่อันตรายยิ่งนัก นางคิด เช่นนี้ไม่ได้การ นางจะต้องฝึกฝนมากขึ้น จะต้องฝึกฝนให้สามารถกลับมาที่บ้านเซียนได้ทันทีทุกสถานการณ์
เวลานั้นนางตกใจแทบแย่ โชคดีที่หน้าผานั้นสูงพอ มีเวลาพอให้นางตั้งสติ ช่วยชีวิตน้อยๆ ของตนมาได้
ชีเม่ยพิจารณาตนเองอย่างลึกซึ้ง คิดว่าตนจำเป็นต้องฝึกฝนให้เชี่ยวชาญและรวดเร็วยิ่งขึ้น จะได้ไม่ตกใจจนตัวแข็งทื่อเมื่อเจอสถานการณ์อันตรายเช่นนี้อีกในภายหลัง
เพื่อปลอบใจตนเอง ชีเม่ยหมกตัวอยู่แต่ในบ้านเซียน ตั้งใจดูแลสวนผักแห่งใหม่ของตน
ที่หมู่บ้านซีเถียนทำนาปลูกข้าวเป็นงานลำบาก แต่สำหรับชีเม่ยในตอนนี้ปลูกผักเป็นเรื่องที่นางมีความสุขที่สุด
ปลูกผัก ปลูกไม้ผล ปลูกสมุนไพร ทำเช่นนี้ทั้งวันก็ไม่เหนื่อย น่าเสียดายที่นางไม่รู้หนังสือ มิเช่นนั้นนางยังอยากอ่านหนังสืออีกด้วย
นางตัดสินใจว่าวันไหนหาเงินได้นางจะไปเรียนหนังสือ
นอกจากปลูกผัก นางยังต้อง ‘ฝึกวรยุทธ์’ ที่ว่าฝึกวรยุทธ์ก็คือฝึกเข้าออกบ้านเซียนให้เร็วขึ้น
พอมีเป้าหมายในการดำรงชีวิตก็จะมีความหวัง เริ่มแรกนางปีนขึ้นสถานที่ที่ไม่ค่อยสูงนักจากนั้นกระโดดลงมา ก่อนจะถึงพื้นก็กลับบ้านเซียน
นางค่อยๆ เพิ่มความสูง แต่ถ้าสูงเกินไปนางยังคงกลัว แม้บ้านเซียนจะสามารถรักษานางได้ แต่ไม่บาดเจ็บเป็นการดีที่สุด ดังนั้นนางจึงหาสระน้ำที่เหมาะสม
หลังจากแน่ใจว่าหนนี้จะไม่เจอกับคนอันตรายอะไร นางก็ฝึกฝนวรยุทธ์อยู่ที่นี่อย่างกล้าหาญ
นางกระโดดลงสระน้ำจากที่สูง ก่อนจะตกน้ำก็หายตัว เมื่อคุ้นชินกับความเร็วของการตกแล้ว จากที่รู้สึกกลัวในตอนแรกชีเม่ยค่อยๆ จับทางได้ ความเฉียบไวของนางเพิ่มมากขึ้น การตอบสนองก็เร็วขึ้น
นางเริ่มสนุกกับการตกจากที่สูงเสียด้วยซ้ำ แม้นางจะบินไม่ได้ แต่ในชั่วขณะนั้นสามารถลิ้มรสความเบิกบานใจของนกที่บินอยู่บนท้องฟ้า
ความใจกล้าของคนเกิดจากการฝึกฝน จากเริ่มต้นที่กลัวความสูง หนังศีรษะชา ชีเม่ยฝึกฝนจนกระทั่งนางสามารถกางแขนขาและชื่นชมทิวทัศน์ระหว่างที่กระโดดลงเหวลึก
ขณะที่จะตกลงสระน้ำ ร่างลอยละล่องนั้นก็หายไป
เมื่อชีเม่ยหายตัวจากบ้านเซียนกลับมาบริเวณใกล้ๆ สระน้ำ นางอดตะลึงไม่ได้ บริเวณที่นางกระโดดก่อนหน้านี้ไม่รู้ว่าเหตุใดจู่ๆ ก็มีคนกลุ่มหนึ่งมารวมตัว
ไม่รู้ว่าคนพวกนี้มองลงไปดูอะไร ไม่มีใครสังเกตการปรากฏตัวของนาง นางเงียบไม่ส่งเสียง ตั้งใจฟังว่าพวกเขากำลังพูดอะไร
“เป็นเรื่องจริง เมื่อครู่ข้าเห็นหญิงนางหนึ่งกระโดดน้ำฆ่าตัวตายที่นี่”
“แล้วคนเล่า?”
“ยังไม่ลอยขึ้นมา”
เวลานั้นเองชายคนหนึ่งโผล่ขึ้นจากน้ำ ตะโกนเสียงดัง “หาไม่เจอ ไม่เห็นคน!”
“เฮ้อ จะต้องถูกผีในแม่น้ำจับตัวไปแล้วแน่ๆ พวกเจ้าก็รู้นี่ จับตัวตายตัวแทนน่ะ”
“.....” หญิงที่กระโดดน้ำฆ่าตัวตายหันหลังจากไปเงียบๆ
แม้จะไม่เก่งเท่าชาวยุทธ์ แต่วิชาหายตัวนี้เพียงพอให้ชีเม่ยเดินทางไปทั่วแล้ว
สุดท้ายนางล่ำลาหมู่บ้านซีเถียนที่นางกำเนิดและเติบโต จากไปด้วยความมั่นใจเต็มเปี่ยม เริ่มออกเดินทางท่องไปทั่วหล้าด้วยตัวคนเดียว
+++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++
อันจื่อเซวียนถูกคนในหมู่บ้านส่งไปบูชายัญแก่เทพเจ้าภูเขา แต่นางหนีมาได้และบังเอิญเก็บแหวนวิเศษที่ทำให้เข้าออกบ้านเซียนกับโลกจริงได้ บ้านเซียนอยู่ในหุบเขาที่อากาศอบอุ่น มีผลไม้ให้กินไม่หมด ทั้งยังรักษาบาดแผลได้ ทว่าพอนางคิดจะลองอิทธิฤทธิ์เคลื่อนย้ายตำแหน่งในโลกจริงเสียหน่อย นางกลับไปโผล่ต่อหน้าเขาที่กำลังเปลือยอกล้างตัวอยู่ริมแม่น้ำจนถูกเข้าใจผิดว่าเป็นหญิงน่าสงสัย
หลังจากนั้นก็เหมือนคราวเคราะห์มาเยือน นางปีนหน้าผาไปเก็บสมุนไพรก็เจอเขาอีก ถูกเขาเข้าใจผิดว่าสะกดรอยตามไม่พอ เขาถึงขนาดฟันกิ่งไม้ที่นางเกาะอยู่จนตกเหว แม้กระทั่งเข้าเมืองนางก็ยังเจอเขา แถมถูกเขาจับตัวมาขังเพราะสงสัยว่านางคือมือสังหารที่ฮองเฮาส่งมากำจัดองค์ชายที่เขาอารักขา แต่นางไม่กลัวเขาหรอก นางมีบ้านเซียนเสียอย่างจะหนีไปเมื่อไรก็ได้!

