New Release BLY แปล : สัมผัสใจ - สื่อวิญญาณ -

อัพเดทข่าวบงกชบุ๊คส์ ความเคลื่อนไหว และกิจกรรมพิเศษ ตลอดจนร่วมสนุกชิงรางวัลพร้อมของรางวัลมากมาย

Moderator: P'Bly, Gals, พี่บี

ตอบกลับโพส
Gals
โพสต์: 1101
ลงทะเบียนเมื่อ: ศุกร์ 13 ก.พ. 2009 3:47 pm

New Release BLY แปล : สัมผัสใจ - สื่อวิญญาณ -

โพสต์ โดย Gals »

หลงคิดว่าเขาเป็นคนใจเย็น ต่อให้เกิดอะไรขึ้นคงสงบสติอารมณ์ได้ และไม่มีวันร้อนขึ้นแน่นอน
แต่...นี่มันอะไรกัน?
“...มองไปไหนน่ะ มิโคโตะ”
“...อ๊ะ ...อึก...!”
น้ำเสียงเย็นชาเฉกเช่นทุกทีมีพลังดูดยึดดุจกาวร้อน ดวงตาเฉียบคมที่เคยคิดว่าดุดันเหมือนทหารกำลังแผ่รัศมีความร้อนจับจ้องมิโคโตะเขม็ง มือซึ่งเคยพลิกหน้าหนังสือรวมภาพ ชี้ภาพวาดใหม่ทีละภาพพร้อมอธิบายให้เข้าใจง่ายๆ ตอนนี้กำลังวนเวียนลูบไล้ร่างกายเปลือยเปล่าของมิโคโตะ
และ...ดอกตูมที่เคยปิดแน่นกำลังแย้มบาน ลิ่มเนื้อเต้นกระตุกตามจังหวะหัวใจแทงลึกเข้ามาในช่องท้อง...
“...ใช่ แบบนั้นแหละ”
เมื่อสะโพกถูกโยกเบาๆ ภายในช่องท้องก็ปั่นป่วน ความรู้สึกนั้นทำเอามิโคโตะถึงกับน้ำตาคลอ พอชายหนุ่มที่กำลังเจาะทะลวงเห็นดังนั้นก็ยกริมฝีปากขึ้น รอยยิ้มแสนเย้ายวนดูไม่สมกับเป็นเขากระตุ้นให้สันหลังสั่นสะท้าน ผู้ชายที่เอาจริงเอาจังกับทุกเรื่อง ไม่เคยเรื่องพูดตลกแม้แต่คำเดียวทำสีหน้าแบบนี้ได้ด้วยเหรอ...
“...ไม่...อึก หยุด...เถอะครับ...”
น่องขาทั้งสองข้างถูกจับพาดบนไหล่ของชายหนุ่มที่เปลี่ยนมาอยู่ในท่าคุกเข่าแล้วสวนเสียดกายเข้ามาในช่องแคบๆ มือทั้งคู่ของมิโคโตะถูกรวบขึ้น ร่างกายตรึงติดกับที่นอน มิโคโตะร้องวิงวอนพลางส่ายศีรษะซึ่งเป็นอวัยวะเพียงส่วนเดียวที่ยังเป็นอิสระอยู่อย่างเอาเป็นเอาตาย ทว่าแทนที่จะยอมหยุด กลิ่นตัณหาอันแรงกล้ากลับโชยออกมาจากทั่วเรือนร่างของอีกฝ่าย
เม็ดเหงื่อของทั้งสองผสมปนเป หลอมละลายเป็นหนึ่งเดียวตรงช่องว่างที่ผิวเนื้อซ้อนทับกัน
“...จะหยุดได้ยังไงล่ะ”
“อ๊ะ อ้า...”
“เธอเป็นคนพูดเองนะ ว่าจะกินเธอแทนอาหารก็ได้ ...เพราะงั้น...ฉันเลย...”
“อ๊า... อื้อ อย่า...!”
ส่วนสำคัญของมิโคโตะที่ปลดปล่อยจนห่อเหี่ยวไปก่อนหน้านี้แล้วถูกฝ่ามือใหญ่กุมเอาไว้ ส่วนลึกของช่องท้องบีบรัดตามปฏิกิริยาตอบสนอง จังหวะนั้นเองธารร้อนจากชายหนุ่มก็พุ่งเข้ามาด้านใน ถ้าจำไม่ผิด อีกฝ่ายปลดปล่อยในตัวเขาสองครั้งแล้ว ทว่าส่วนนั้นที่ยังคาอยู่ในช่องท้องกลับไม่มีทีท่าว่าจะห่อเหี่ยวเลย
...นี่มัน แปลกมาก
มิโคโตะพ่นลมหายใจหอบถี่ ส่วนอ่อนไหวที่มือชายหนุ่มกุมอยู่สั่นกระตุก แม้ไม่เคยมีประสบการณ์ประสานกายกับใครมาก่อน แต่มิโคโตะมั่นใจเหลือเกินว่าการโอบรัดท่อนลำ ต้องรองรับธารอุ่นที่ไหลทะลักอย่างต่อเนื่องจนท้องน้อยบวมเป่งหน่อยๆ ตั้งแต่ครั้งแรกแบบนี้ ต้องไม่ใช่เรื่องปกติแน่
“...ยังไม่พอ”
“อ๊ะ... อึก...!”
ชายหนุ่มขมวดคิ้วเล็กน้อย อิ่มเอมกับความกระชับของก้อนเนื้อ จากนั้นก็ดึงขาท่อนล่างอันอ่อนระทวยของมิโคโตะเข้าหาตัว ความร้อนและชีพจรของชายหนุ่มถ่ายทอดผ่านส่วนที่แนบชิดกันจนไม่เหลือช่องว่าง ซ้อนทับและประสานเป็นหนึ่งเดียวกับความร้อนและชีพจรของมิโคโตะ
“...ยังไม่พอ ...ฉันยังไม่หนำใจเลย เธอต้องอยู่กับฉันจนกว่า...ความหื่นกระหายนี้จะได้รับการเยียวยา มิโคโตะ...”
ดวงตาทั้งสองข้างของชายหนุ่มหยาดเยิ้ม สะท้อนแสงแห่งราคะ
“อย่า...”
แม้รู้ว่าไม่ได้ผลแต่มิโคโตะก็พยายามร้องขอสุดกำลัง เขาไม่ใช่คนแบบนี้สักหน่อย...เขาเป็นคนใจดี ไม่เคยดูถูกเด็กบ้านนอกไม่รู้ประสาอย่างตน แถมยังคอยดูแลเป็นอย่างดีอีกต่างหาก อยากให้เขากลับไปเป็นคนเดิมคนนั้น
“...หยุดเถอะครับ...โอคุสึกิซัง... อึก...!”
แต่เสียงร่ำร้องกลับไปไม่ถึง ก้อนเนื้อดุดันกวนช่องท้องของมิโคโตะอย่างไร้ความปรานี เสียงของเหลวเหนียวเหนอะหนะภายในดังแทรกออกมา
“อ้า... มิโคโตะ...มิโคโตะ...อึก...!”
ท่ามกลางอากาศที่ชื้นขึ้นกะทันหัน สัตว์ร้ายในคราบมนุษย์กำลังส่งเสียงคำราม และเริ่มกลืนกินเหยื่อที่น่าสงสารอีกครั้ง

“มิโคโตะ มีแขกมาหา บอกว่าอยากเจอแกน่ะ...”
ต้นเดือนตุลาคมช่วงเวลาที่ฤดูใบไม้ร่วงคืบคลานเข้ามา คุรุมิซาวะ มิโคโตะกำลังวาดภาพอยู่ริมฝั่งแม่น้ำ แล้วทัตสึโกโร่ผู้เป็นปู่ก็เดินเข้ามาหาด้วยท่าทีกระอักกระอ่วน
“...มีแขก มาหาผมเหรอ...?”
มิโคโตะหยุดมือที่จับดินสอ เอียงศีรษะเล็กน้อยด้วยความสงสัย
มิโคโตะอาศัยอยู่กับปู่ในหมู่บ้านคิริงาชิมะซึ่งตั้งอยู่บนพื้นที่ชายขอบจังหวัด S เป็นหมู่บ้านบนภูเขาในชนบทอันห่างไกล ที่กระทั่งในยุคปัจจุบันยังถูกล้อว่าเป็น ‘ดินแดนลึกลับ’ ความเจริญที่อยู่ใกล้ที่สุดคือเมืองน้ำพุร้อนแถวๆ สถานีรถไฟฟ้า ซึ่งต้องขับรถไปประมาณหนึ่งชั่วโมงทีเดียว หากพายุไต้ฝุ่นลูกใหญ่พัดผ่าน ถนนตรงตีนเขาจะถูกตัดขาดทันที ส่วนชาวบ้านที่อาศัยอยู่ในหมู่บ้านโดดเดี่ยวและห่างไกลความเจริญแห่งนี้ รวมปู่กับมิโคโตะด้วยแล้วมีเพียงไม่กี่สิบคนเท่านั้น นอกจากมิโคโตะ ส่วนใหญ่เป็นผู้สูงวัย
มีคนอุตส่าห์ดั้นด้นเดินทางมายังหมู่บ้านที่แทบไม่มีแขกมาเยือนเพื่อพบตนด้วยเหรอ มิโคโตะไม่อยากเชื่อ นับตั้งแต่มิโคโตะย้ายมาอยู่หมู่บ้านคิริงาชิมะทันทีหลังเรียนจบชั้นประถมศึกษา ก็ไม่เคยออกไปจากหมู่บ้านเลยแม้แต่ครั้งเดียว ทั้งยังไม่ได้ติดต่อกับใครด้วย...กระทั่งพ่อแม่ และเขาก็ไม่มีใครที่เรียกว่าเป็นเพื่อนเลยสักคน
ทัตสึโกโร่ยื่นนามบัตรใบหนึ่งให้มิโคโตะที่ทำหน้าสงสัย
“...นี่คืออะไร”
“เขาขอให้เอาอันนี้มาให้แกดู ...แสดงว่าไม่น่าใช่คนที่แกรู้จักนะ”
มิโคโตะพยักหน้ารับ บนกระดาษญี่ปุ่นคุณภาพสูงมีเพียงโลโก ‘แกลเลอรีกลิซินา’ กับตัวอักษร ‘โอคุสึกิ เซนริ กรรมการผู้จัดการ’ พิมพ์อยู่ ทว่ามิโคโตะไม่คุ้นกับทั้งสองอย่างเลย
พอพลิกดูอีกด้าน ข้างหลังพิมพ์ที่อยู่ย่านกินซ่ากับแผนที่แบบเรียบง่ายไว้ ในที่สุดมิโคโตะจึงเข้าใจแล้วว่าทำไมสีหน้าของปู่ถึงดูเป็นกังวลนัก
มิโคโตะเคยอาศัยอยู่ในโตเกียวกับพ่อและแม่จนกระทั่งเรียนจบชั้นประถมศึกษา ทว่าเขาเข้ากับชีวิตในเมืองไม่ได้เลย จึงตัดสินใจย้ายมาอยู่คิริงาชิมะกึ่งๆ ต้องการหลบหนี ทัตสึโกโร่เป็นกังวลว่า หากหลานชายเจอแขกจากโตเกียว ความทรงจำอันเลวร้ายในอดีตอาจหวนกลับมาอีกครั้ง ด้วยเหตุนี้จึงมาถามหยั่งเชิงก่อน
“งั้นหรือ ถ้าอย่างนั้นไม่ต้องฝืนออกไปพบเขาก็ได้ เดี๋ยวฉันจะบอกเขาว่าแกไปหมู่บ้านตรงเชิงเขา และไล่กลับไปแล้วกัน”
“...เดี๋ยวก่อน!”
มิโคโตะรีบห้ามทัตสึโกโร่ที่กำลังจะกลับหลังหัน
“มิโคโตะ ...มีอะไรรึ?”
มิโคโตะเป็นคนเงียบๆ ปกติไม่ค่อยส่งเสียงดัง ทัตสึโกโร่จึงมีท่าทีประหลาดใจ แต่คนที่ตกใจยิ่งกว่าคือตัวมิโคโตะเอง ทั้งที่ตั้งใจจะมองปู่เดินจากไปอย่างเงียบๆ พอรู้ตัวอีกที ตัวเองกลับรั้งเอาไว้เสียแล้ว
“คือ...ผม จะลองไปเจอแขกดู”
“...เอาจริงหรือ?”
“...อืม ...ผมก็ไม่รู้หรอกว่าเขามีธุระอะไร แต่เขาอุตส่าห์เดินทางไกลจากโตเกียวมาหาถึงที่นี่ ผมรู้สึกผิดนิดหน่อยที่จะอ้างว่าไม่อยู่บ้าน ...คิดแบบนี้ได้ไหมนะ?”
จริงอยู่ว่ามิโคโตะผ่านประสบการณ์เลวร้ายมาจนต้องย้ายมาอยู่ที่คิริงาชิมะ แต่ทัตสึโกโร่มักปกป้องมิโคโตะมากเกินไป เขาอายุสิบแปดปีแล้ว...ทั้งที่โตพอออกไปทำงานร่วมกับคนในสังคมได้แล้ว ทว่าทัตสึโกโร่ก็ยังไม่วายประคบประหงมราวกับยังเป็นเด็กตัวเล็กๆ จนโดนเพื่อนๆ ในหมู่บ้านหยอกเป็นประจำ
“...คิดแบบนั้นได้อยู่แล้ว ถ้าแกอยากเจอ ฉันก็ไม่ห้ามหรอก”
“ปู่ครับ...”
“งั้นเดี๋ยวฉันเชิญแขกเข้าไปรอในบ้านนะ ฉันจะกลับไปก่อน เก็บของเสร็จเมื่อไรค่อยตามมาล่ะ"
ทัตสึโกโร่ลูบศีรษะของมิโคโตะก่อนค่อยๆ เดินกลับขึ้นไปบนตลิ่ง ย่างก้าวของปู่แข็งแรงจนยากจะเชื่อว่าอายุแปดสิบปีแล้ว แต่บางครั้งก็เดินลากขาซ้ายหน่อยๆ เพราะเมื่อฤดูร้อนปีที่แล้วทัตสึโกโร่ลื่นล้มระหว่างทำนาทำให้กระดูกข้อเท้าแตก
โชคดีที่อาการบาดเจ็บหายเป็นปลิดทิ้ง แต่เหตุการณ์ครั้งนั้นทำให้ก็ทัตสึโกโร่ซึ่งภาคภูมิใจในพละกำลังและสุขภาพของตัวเองมาตลอดรู้สึกช็อกเป็นอย่างมาก แน่นอนว่ารวมถึงตัวมิโคโตะด้วย อุบัติเหตุครั้งนั้นทำให้ทั้งคู่ตระหนักว่า ปู่ที่แข็งแรงและมีกำลังวังชามากกว่าหลานชายเป็นไหนๆ กำลังแก่ตัวลง และสักวันก็ต้องไปอยู่ฝั่งเดียวกับพวกเขา...นั่นไม่ใช่อนาคตอันห่างไกลเลย
“...อ้า จริงเหรอเนี่ย”
มิโคโตะหันกลับมา ปลายสายตาคือหญิงสาวสวมชุดกิโมโนสีขาวยืนอยู่กลางแม่น้ำซึ่งไหลอยู่ด้านหลังต้นกกหนาทึบ
เธอเป็นนางแบบให้มิโคโตะตั้งแต่ช่วงที่เพิ่งย้ายมา เธอเสียชีวิตตั้งแต่อายุยังน้อยหลังคลอดลูกได้ไม่นาน วันนี้มิโคโตะก็วาดรูปเธออีกเช่นเคย คงเพราะได้รับอิทธิพลความเหงาจากเธอละมั้ง มิโคโตะจึงรู้สึกอยากพูดคุยกับใครสักคนขึ้นมา ถึงขนาดยอมพบคนแปลกหน้า...จากโตเกียว มหานครที่มีแต่ความทรงจำอันเลวร้าย
...สรุปว่า ต้องไปเจอจริงๆ เหรอเนี่ย...
มารู้สึกเสียใจภายหลังเอาป่านนี้ แต่จะปล่อยให้แขกรอแล้วอ้างว่าไม่อยู่บ้านก็เสียมารยาทเกินไปจริงๆ มิโคโตะปิดสมุดสเกตช์ภาพ สอดดินสอไม้ที่มีฝาปิดเข้ากระเป๋ากางเกงและเดินตามปู่ไป
“อ้าว มิโคโตะจัง วาดภาพเสร็จแล้วหรือ?”
“วันนี้เร็วจังเนอะ”
มิโคโตะขึ้นมาบนตลิ่ง พอเดินมาถึงบริเวณที่พักอาศัยซึ่งมีบ้านกระจุกอยู่ใกล้ๆ กันเพียงไม่กี่หลัง กลุ่มหญิงชราที่ชอบพูดคุยระหว่างทำนาก็หันหน้าเปื้อนรอยยิ้มมาทางมิโคโตะ มานี่สิๆ พอโดนกวักมือเรียก มิโคโตะก็เดินเข้าไปหาอย่างว่าง่าย
“เอ้า นี่จ้ะ ฉันตั้งใจทำให้มิโคโตะจังโดยเฉพาะเลยนะ ขนมปังนึ่ง เธอชอบใช่ไหมล่ะ?”
“มิโคโตะจังยังหนุ่มยังแน่น แค่ขนมปังจะไปอิ่มท้องได้อย่างไร เอ้า เอาไปกินเพิ่มตอนมื้อเย็นนะ”
หญิงชรายื่นห่อขนมปังนึ่งกับกล่องถนอมอาหารให้มิโคโตะราวกับกำลังแข่งขันกัน มิโคโตะรับทั้งสองอย่างไว้ด้วยความซาบซึ้งใจ กลิ่นคล้ายน้ำซุปลอยฟุ้งออกมาจากกล่องถนอมอาหาร ข้างในน่าจะบรรจุอาหารประเภทต้ม
แม้ใช้ชีวิตเป็นพ่อม่ายมานาน แต่ปู่กลับทำอาหารไม่เป็นเลยสักอย่าง มิโคโตะจึงรับหน้าที่เข้าครัวทำอาหารแทนทุกวัน ทว่าแม้ผ่านมานานหลายปีฝีมือทำอาหารของเขาก็ยังห่างไกลบรรดาหญิงชราในหมู่บ้านอยู่หลายขุม ปู่ชอบอาหารประเภทต้ม จะต้องดีใจมากแน่ๆ ที่วันนี้ได้กับแกล้มรสเด็ด
“อ้าว มิโคโตะ วันนี้กลับแล้วเหรอ?”
“เมื่อกี้เห็นทัตสึโกโร่เดินกลับบ้านไปคนเดียว หรือว่าทะเลาะกัน?”
หลังกล่าวขอบคุณกลุ่มหญิงชราอยู่หลายครั้ง มิโคโตะก็เดินต่อไปตามทางกลับบ้าน ชาวบ้านที่เดินผ่านจะทักทายเขาอย่างเป็นมิตรเสมอ ในหมู่บ้านเล็กๆ อันเป็นเอกเทศ ทุกคนต่างรู้จักกันหมดและยังสนิทสนมเหมือนเป็นเครือญาติ มิโคโตะเป็นผู้เยาว์เพียงคนเดียวในหมู่บ้าน ทุกคนจึงเอ็นดูประหนึ่งเป็นหลานแท้ๆ ของตัวเอง
...เป็นสถานที่ที่ดีมากจริงๆ
ตอนปู่รับมิโคโตะมาเลี้ยงใหม่ๆ มิโคโตะเป็นเด็กมืดมน แทบไม่ปริปากพูดจากับใคร ถึงอย่างนั้นคนในหมู่บ้านก็ยังใจดีกับเขา ยอมรับเขาเป็นส่วนหนึ่งโดยไม่ซักไซ้ว่าเกิดอะไรขึ้นในเมืองใหญ่ กระทั่งตอนนี้แม้มิโคโตะเดินเตร็ดเตร่วาดรูปตั้งแต่หัววัน ก็ไม่มีใครมาจ้ำจี้จ้ำไชสักคน
ด้วยเหตุนี้มิโคโตะถึงเข้ากับที่นี่ได้ และอาจเพราะชาวบ้านที่นี่มีนิสัยสบายๆ ด้วยละมั้ง พวกเขาในคิริงาชิมะจึงดูสงบเช่นกัน
ระหว่างทางมิโคโตะเดินลัดไปตามถนนแคบๆ ที่ตัดผ่านทุ่งนาอันกว้างใหญ่และทอดยาวไปยังบ้านของปู่ซึ่งตั้งห่างจากตัวหมู่บ้านไปเล็กน้อย
บ้านส่วนใหญ่ที่สร้างขึ้นในหมู่บ้านมีขนาดใหญ่กว่าห้องเล็กๆ ในโตเกียวจนไม่อาจเทียบกันได้ ทว่าบ้านคุรุมิซาวะ ตระกูลที่สืบทอดตำแหน่งผู้ใหญ่บ้านมาตั้งแต่โบราณมีขนาดใหญ่โตและกว้างขวางเป็นพิเศษ ทั้งยังมีอายุเก่าแก่มากที่สุดอีกด้วย ตัวบ้านสร้างขึ้นในยุคบาคุมัตสึ ต้องคอยบูรณะทั้งที่ยังอาศัยอยู่ แม้แต่ในคิริงาชิมะ ก็มีแค่บ้านหลังนี้ที่ยังเป็นหลังคามุงจาก
ในสวนหน้าบ้านซึ่งปลูกต้นสน รถสีเงินไม่คุ้นตาคันหนึ่งจอดอยู่ข้างๆ รถคันเก่งของปู่ น่าจะเป็นรถของแขกจากโตเกียว มิโคโตะมองบอดีรถยนต์ที่ถูกขัดเงาวับด้วยความตะลึง จากนั้นก็เดินขึ้นชิคิได ตรงบริเวณทางเข้าบ้าน
“กลับมาแล้วครับ ...ปู่ แล้วแขกล่ะ?”
มิโคโตะส่งเสียงเรียก ทางนี้ เสียงตอบกลับดังมาจากห้องรับแขกด้านใน มิโคโตะเดินวนไปตามเฉลียงกว้างปูไม้สีน้ำตาลเหลืองพลางรู้สึกประหลาดใจเล็กน้อย
เวลามีแขกมาเยี่ยมบ้านนานๆ ที ปู่มักจะพาไปยังห้องรับแขกอีกห้องซึ่งอยู่ติดกับทางเข้าบ้าน ในอดีตใครจะเข้ามาในห้องรับแขกด้านในต้องได้รับอนุญาตจากเจ้าของบ้านก่อน และมักเป็นเพื่อนสนิทหรือญาติใกล้ชิดเท่านั้น
พูดอีกอย่างคือ ปู่ค่อนข้างถูกใจแขกคนนี้ทั้งที่เพิ่งเจอหน้ากันเป็นครั้งแรก คนที่ทลายกำแพงของปู่ที่มีนิสัยระแวดระวังได้ในเวลาอันสั้นแค่นี้ เป็นคนแบบไหนกันนะ
“...สวัสดีครับ”
มิโคโตะเปิดประตูเลื่อนข้างเฉลียงทางเดิน ชายซึ่งนั่งทับส้นเท้าอยู่ตรงตำแหน่งใกล้กับประตูค่อยๆ หันมาทางนี้
...คุณทหาร
นั่นคือความรู้สึกแรกที่ลอยแวบเข้ามาในสมอง อาจเพราะแขกผู้มาเยือนสวมชุดสูทสามชิ้นพอดีตัวไร้ที่ติ ท่านั่งทับส้นเท้าแผ่นหลังเหยียดตรงดูสงบเสงี่ยม อบอวลไปด้วยบรรยากาศสดชื่นเย็นสบาย ชวนให้นึกถึงยอดเขาสูงปกคลุมไปด้วยหิมะที่มนุษย์ไม่อาจพิชิต ดูคล้ายนักแสดงชื่อดังสมัยก่อนสงครามในภาพยนตร์เรื่องโปรดของปู่ บทบาทเป็นนายทหารที่คอยช่วยเหลือทหารใต้บังคับบัญชาและพลเรือนให้หนีออกจากเขตแดนของศัตรู และใช้ดาบปลายปืนต่อสู้จวบจนวาระสุดท้ายของชีวิต
ใบหน้างดงามแลดูเย็นเยือกจนอดเป็นกังวลไม่ได้ว่าเลือดกำลังไหลเวียนอยู่หรือเปล่า ดวงตาฉายแววชาญฉลาดดูทรงพลังจนผู้ที่เผชิญหน้ากับเขาต้องตัวสั่นอย่างช่วยไม่ได้ หากดวงตาของเขาไม่เบิกกว้างด้วยความตกใจ มิโคโตะผู้ไม่มีปฏิสัมพันธ์กับใครมานานยกเว้นปู่กับคนในหมู่บ้านคงวิ่งแจ้นหนีไปแล้ว
...ข้างหลังชายคนนี้มีเงาเลือนรางเกาะติด เงานั้นส่ายไหวดุจไอร้อนวูบวาบ...
“...อ๊ะ ...เอ่อ...”
มิโคโตะไม่อาจต้านทานสายตาแรงกล้าที่จับจ้องมาได้ จึงเปล่งเสียงอย่างกระอักกระอ่วน ทว่าชายหนุ่มกลับยิ่งจ้องมองเขาด้วยสายตาแรงกล้ากว่าเดิม แถมยังนิ่งเงียบไม่ตอบกลับอีกต่างหาก ขณะมิโคโตะใจฝ่ออยู่นั้น ทัตสึโกโร่ก็หันมาเอ่ย
“มัวยืนทำอะไรอยู่ตรงนั้น มิโคโตะ รีบเข้ามาข้างในสิ”
“อ๊ะ ...ครับ”
มิโคโตะรีบปิดประตูบานเลื่อนและนั่งบนหมอนรองนั่งข้างๆ แขก สายตาเร่าร้อนยังคงมองตามและจับจ้องมิโคโตะเขม็ง ทัตสึโกโร่ซึ่งนั่งอยู่หน้าโทโกะโนะมะ ยิ้มเฝื่อนก่อนเรียกชื่อชายหนุ่ม
“...โอคุสึกิซัง นี่คือหลานชายของฉันเอง ชื่อมิโคโตะ”
“...อึก อ๊ะ อ้อ...”
ชายหนุ่มเรียกสติตัวเองกลับคืนมาและเบนสายตาไปทางอื่น ในที่สุดมิโคโตะก็คลายความตึงเครียดลงได้ ส่วนเงาที่ส่ายไหวอยู่นั้นค่อยๆ จางลงแล้วละลายไปกับอากาศ
มิโคโตะถอนหายใจด้วยความโล่งอก ชายหนุ่มหันมาทางมิโคโตะอีกครั้งพร้อมก้มศีรษะให้
“...ขอโทษที่เสียมารยาทครับ ผมชื่อโอคุสึกิ เซนริ”
“...อ๊ะ เมื่อกี้...”
มิโคโตะหยิบนามบัตรที่เก็บไว้ในกระเป๋ากางเกงออกมา ริมฝีปากของชายหนุ่ม...เซนริผุดยิ้มเล็กน้อย เพียงเท่านี้บรรยากาศตึงเครียดก็ผ่อนคลายลงอย่างรวดเร็ว มิโคโตะเผลอจ้องมองรอยยิ้มนั้นโดยไม่ได้ตั้งใจ
“อย่างที่เห็นในนามบัตรเลยครับ ผมมาจากแกลเลอรี ‘กลิซินา’ ในย่านกินซ่า ต้องขอโทษที่มารบกวนกะทันหันโดยไม่ได้นัดหมายล่วงหน้าครับ”
“...มะ...ไม่เป็นไรครับ... แค่ตกใจนิดหน่อย...”
“อ้อ... ต้องขอโทษด้วยที่เมื่อครู่ทำตัวเสียมารยาท ทั้งที่คนประกอบอาชีพอย่างผมน่าจะคุ้นชินกับการเห็นสิ่งสวยงามแล้วแท้ๆ...แต่ตอนมิโคโตะซังเข้ามา ผมตกใจมาก นึกว่าหญิงงามคนนั้นหลุดออกมาในโลกความเป็นจริง”
เซนริค่อยๆ เลื่อนสายตามองไปข้างหลังปู่
ตรงโทโกะโนะมะที่ทัตสึโกโร่หมั่นดูแลอยู่เสมอ ก่อนหน้านี้ตกแต่งด้วยภาพม้วนดวงจันทร์ยามค่ำคืนเข้ากับฤดูใบไม้ร่วง ทว่าเมื่อเช้านี้ปู่เพิ่งเปลี่ยนเป็นภาพวาดภาพโปรด เป็นภาพหญิงงามเกล้าผมแบบญี่ปุ่น สวมชุดกิโมโนสีขาวอมฟ้า แหงนมองพระจันทร์อยู่ข้างหน้าต่างอย่างสงบ สีหน้าเหมือนยิ้มแต่ก็เหมือนกำลังจะร้องไห้ ดูแล้วชวนอัศจรรย์ใจ ผสมผสานกับความงามเปล่งประกาย เวลามองภาพนี้จะรู้สึกทั้งหวานทั้งเศร้าเคล้ากัน
...เขากำลังบอกว่า เราเหมือนผู้หญิงในภาพงั้นเหรอ?
สำหรับมิโคโตะ เขาไม่รู้สึกดีใจเท่าไร แน่นอนว่าอีกฝ่ายอาจจะชม แต่ถึงตัวเตี้ยกว่าค่าเฉลี่ยเขาก็เป็นผู้ชายที่ดูภูมิฐาน ตัดผมสั้นเรียบร้อย ส่วนเหตุผลที่คนชราในหมู่บ้านยังเรียกว่ามิโคโตะจัง มิโคโตะจัง แม้อายุสิบแปดปีแล้ว ก็เพราะอายุน้อยที่สุดในหมู่บ้าน...ละมั้ง รวมถึงเรื่องที่กระซิบกระซิบกันอย่างเสียดายว่า ถ้ามิโคโตะจังเป็นผู้หญิงละก็ ไม่ว่าข้าวสารถังไหนก็ตกได้ทั้งนั้นด้วย
คงมีแต่มิโคโตะคนเดียวที่ไม่เห็นด้วยและแอบโต้แย้งในใจ
“โอ้ สมกับเป็นโอคุสึกิซัง ช่างสังเกตดีจริงๆ”
ทัตสึโกโร่ซึ่งโดนทลายกำแพงไปแล้วเขยิบตัวมานั่งหน้าชั้นวางของเพื่อให้เซนริเห็นภาพวาดได้ถนัดยิ่งขึ้น
“นี่คือภาพวาดย่าของฉัน...ย่าเทียดของมิโคโตะ สมัยก่อนสงครามปู่ให้จิตรกรมาวาดภาพให้ ย่าฉันน่ะขึ้นชื่อว่าเป็นหญิงงาม ถึงขนาดมีคนจากฟากโน้นของภูเขาดั้นด้นมาเยี่ยมเพื่อยลโฉมเลยทีเดียว มิโคโตะหน้าเหมือนย่ามากจริงๆ”
“...จิตรกรท่านนั้นคือมิยาจิ เคเก็ตสึใช่ไหมครับ?”
เซนริโน้มตัวไปข้างหน้าขณะเอ่ยถาม ทัตสึโกโร่ถึงกับอ้าปากค้าง
“ใช่แล้ว ...ว่าแต่ไม่มีลายเซ็นเสียหน่อย รู้ได้อย่างไร”
“ลายเส้นพู่กันผสมผสานความมีชีวิตชีวาและความงดงามลุ่มลึก เป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัวของมิยาจิครับ ประกอบกับข้อมูลที่ว่าท่านปู่ของคุรุมิซาวะซังมีชีวิตอยู่ช่วงเวลาไหน ไม่ผิดพลาดแน่นอนครับ ไม่อยากเชื่อเลยว่าผมจะมีโอกาสได้ชื่นชมผลงานของมิยาจิที่ยังไม่ได้เปิดเผยต่อสาธารณชน...”
“...อะ เอ่อ...”
ทั้งสองคนพูดคุยกันครื้นเครงจนลืมมิโคโตะไปเสียสนิท มิโคโตะจึงรวบรวมความกล้าเอ่ยแทรก
“เป็นอะไรไปครับ? มิโคโตะซัง”
“คือ...จิตรกรที่ชื่อมิยาจิ เคเก็ตสึเป็นคนที่สุดยอดมากเลยเหรอครับ?”
หลังเอ่ยปากถามออกไป มิโคโตะก็ฉุกคิดขึ้นได้ว่าตัวเองถามอะไรอย่างกับเด็กๆ น่าขายหน้าจริงๆ ทว่าเซนริกลับอธิบายให้ฟังอย่างเอาจริงเอาจัง ไม่มีท่าทีเย้ยหยันหรือรอยยิ้มดูแคลนแม้แต่น้อย
“ครับ เป็นคนที่สุดยอดมาก ขนาดเสียชีวิตไปเกือบร้อยปีแล้ว ชื่อเสียงยังมีแต่เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ทั้งในประเทศและต่างประเทศ นักสะสมผลงานศิลปะหลายคนชอบเก็บสะสมผลงานของเขา แต่เขาเป็นศิลปินที่มีผลงานน้อยสวนทางกับความนิยม เพราะงั้นราคาซื้อขายภาพเลยพุ่งทะยานขึ้นไม่หยุดเลยครับ”
“...หมายความว่า ภาพม้วนภาพนี้ก็ราคาแพงเหมือนกันเหรอครับ?”
“ถึงภาพวาดนี้ไม่ได้พิมพ์อยู่ในแค็ตตาล็อกเรซนเน...เอ่อ หมายถึงแค็ตตาล็อกผลงานของจิตรกรน่ะครับ แต่เก็บรักษาไว้สภาพดีแบบนี้ คิดว่ามูลค่าคงไม่ต่ำกว่าสามสิบล้านเยน”
“...สะ...สามสิบล้านเยน...!?”
มิโคโตะแค่ลองถามกึ่งอยากรู้อยากเห็น แต่กลับได้คำตอบเป็นตัวเลขที่สูงเกินคาด ไม่อยากจะเชื่อเลยว่าแค่กระดาษม้วนธรรมดาๆ มีมูลค่าขนาดซื้อบ้านได้ทั้งหลังเลยทีเดียว
...อ๊ะ ถ้าอย่างนั้น...
“หมายความว่าโอคุสึกิซังมาที่นี่เพื่อขอซื้อภาพม้วนนี้สินะครับ? แกลเลอรีน่าจะเป็นร้านรับซื้อพวกภาพวาดหรือประติมากรรม แล้วนำไปขายต่อในราคาสูงมากๆ ใช่ไหมครับ?”
“นะ นี่ มิโคโตะ!”
ทัตสึโกโร่ทำหน้าเลิ่กลั่กก่อนจะหันมาตำหนิมิโคโตะ ทว่าเซนริกลับไม่แสดงท่าทีโกรธเคืองแม้แต่น้อย...ตรงกันข้าม คำพูดตรงไปตรงมาเกินของมิโคโตะทำให้เขาทึ่งจนต้องยิ้มกว้างออกมา
“นั่นก็เป็นงานของผมจริงๆ แหละครับ แต่วันนี้ไม่ได้มารบกวนเพื่อซื้อภาพวาด...มิโคโตะซัง ผมมาเพราะอยากเจอคุณ”
“...อยากเจอผม?”
“คุณเป็นคนวาดภาพนี้ใช่ไหมครับ?”
เซนริหยิบแท็บเล็ตที่วางอยู่ข้างๆ มาไถหน้าจอและยื่นให้มิโคโตะดู สิ่งที่ปรากฏบนจอสี่เหลี่ยมผืนผ้าคือภาพสเกตช์ดินสอรูปเด็กผู้หญิงคนหนึ่ง เด็กผู้หญิงสวมชุดยูกาตะลายปลาทอง ในมือถือดอกลิลีภูเขา ใบหน้ากำลังยิ้มร่าอย่างไร้เดียงสา
“...คุณมีภาพนี้ได้ยังไง...?”
มิโคโตะกะพริบตาปริบๆ ด้วยความประหลาดใจ จริงอยู่ว่าเขาเป็นคนวาดภาพนี้ แต่คนที่เขาเคยโชว์ผลงานให้ดูมีแค่ปู่ แถมหลังวาดเสร็จก็เก็บผลงานของตัวเองไว้ในชั้นหนังสือเสมอ
ภาพนี้ไปอยู่ในแท็บเล็ตของเซนริได้อย่างไร...?
“เมื่อวันก่อนสามีภรรยาคู่นี้โพสต์ภาพวาดนี้ลงโซเชียลมีเดียครับ”
เซนริเลื่อนนิ้วควบคุมจอแท็บเล็ต แล้วภาพวาดเด็กหญิงก็เปลี่ยนเป็นรูปถ่ายคู่สามีภรรยาวัยหนุ่มสาวคู่หนึ่ง ทั้งสองคนกำลังคล้องแขนยิ้มแย้มท่าทีสนิทสนม มิโคโตะเห็นดังนั้นก็ร้องอ๊ะออกมา เขาจำหน้าทั้งคู่ได้
“สองคนนี้...มาเที่ยวที่หมู่บ้านเมื่อวันก่อน...!”
“โอ้ จริงด้วย...”
ทัตสึโกโร่ซึ่งชะโงกมองแท็บเล็ตจากด้านข้างก็ปรบมือดังป้าบเช่นกัน คิริงาชิมะเป็นหมู่บ้านไกลปืนเที่ยงที่แม้แต่คนอยู่อาศัยยังเอือมระอา ทว่าในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมาเริ่มมีนักท่องเที่ยวนิยมของแปลก ชื่นชอบความบ้านนอกคอกนามากขึ้น หลังเที่ยวที่หมู่บ้านออนเซ็นจนอิ่มหนำแล้ว บางคนจะเดินทางมาสำรวจหมู่บ้านแห่งนี้ต่อ
สามีภรรยาหนุ่มสาวคู่นี้ก็คงมีรสนิยมเช่นนั้น ขณะเดินเล่นอยู่ในหมู่บ้านพวกเขาเจอมิโคโตะกำลังวาดภาพอยู่บนทางเดินเล็กๆ ระหว่างผืนนา จึงเข้ามาชวนคุยและขอดูสมุดสเกตช์ภาพ
เนื่องจากสองสามีภรรยาไม่มีเงาน่ากลัว มิโคโตะจึงยื่นให้ดูแต่โดยดี หลังพลิกดูสมุดสเกตช์ภาพอย่างตั้งอกตั้งใจอยู่นาน ทั้งคู่ก็ถามว่าขอถ่ายรูปภาพสเกตช์เด็กผู้หญิงในชุดยูกาตะได้ไหม
ความกระตือรือร้นของทั้งคู่ถาโถมจนมิโคโตะเผลอพยักหน้าตอบตกลง...
“...สองคนนี้เป็นเพื่อนของโอคุสึกิซังสินะครับ”
“หา...?”
“ก็พวกเขาเอารูปนี้ให้โอคุสึกิซังดู แสดงว่าเป็นเพื่อนกันใช่ไหมครับ?”
มิโคโตะคิดว่าตนก็พูดเรื่องปกติทั่วไปนี่นา ทำไมสีหน้าของเซนริแลดูสับสน
“...หรือว่า ไม่รู้จักโซเชียลมีเดีย?”
“อ๊ะ...ครับ”
มิโคโตะพยักหน้ารับ ใบหน้างดงามเย็นชาของเซนริบิดเบี้ยวเล็กน้อยด้วยความประหลาดใจ ปู่เองก็ถอนหายใจคร่ำครวญด้วยความเอือมระอา หรือนี่คือความรู้ทั่วไปที่จำเป็นต้องรู้ มิโคโตะเริ่มกังวล สีหน้าของเซนริกลับมาสงบนิ่งดังเดิมแล้วช่วยอธิบายให้ฟังโดยละเอียด
“ถ้าพูดให้เข้าใจง่ายๆ โซเชียลมีเดียคือบริการที่ช่วยให้คนที่รู้จักกัน หรือกลุ่มคนที่มีความสนใจแบบเดียวกันติดต่อสื่อสารผ่านอินเทอร์เน็ตได้...อ๊ะ เข้าใจคำว่าอินเทอร์เน็ตใช่ไหมครับ?”
“...คำนั้นต้องรู้อยู่แล้วครับ”
แม้รูปลักษณ์ภายนอกของบ้านหลังนี้เป็นสไตล์ย้อนยุคก็จริง แต่ภายในเพิ่มเติมความทันสมัยเข้ามาหลายจุด รวมถึงเดินสายอินเทอร์เน็ตด้วย คนใช้งานคอมพิวเตอร์คือปู่เป็นส่วนใหญ่ ทว่านานๆ ทีมิโคโตะก็ขอใช้คอมพิวเตอร์ของปู่บ้าง ทั้งยังเคยซื้อของผ่านซูเปอร์มาร์เกตออนไลน์ เนื่องจากแถวนี้มีแต่ร้านค้าเล็กๆ เวลาซื้อของใช้ในบ้าน ซูเปอร์มาร์เกตออนไลน์จึงสะดวกสบายกว่า
ถึงอย่างนั้นมิโคโตะจะใช้งานอินเทอร์เน็ตเฉพาะเวลาต้องการซื้อของใช้จำเป็นเท่านั้น เขาไม่มีสมาร์ตโฟนที่แม้แต่ปู่ยังมีใช้ โดยปกติแล้วสิ่งที่เขาพกติดตัวไปไหนมาไหนในหมู่บ้านคือสมุดสเกตช์ภาพ
“โซเชียลมีเดียมีอยู่หลายประเภทเลยครับ อย่างอันนี้หลักๆ เลยคือใช้แบ่งปันรูปภาพบนอินเทอร์เน็ต...และคนที่ใช้งานบริการเดียวกันจะสามารถดูรูปภาพที่เราแบ่งปันได้ครับ”
“เอ่อ... หมายความว่าสองคนนี้แบ่งปันรูปสเกตช์ของผมบนโซเชียลมีเดีย อย่างนั้นเหรอครับ?”
“ใช่ครับ ตามนั้นเลย และยังมีฟังก์ชันนี้ด้วยครับ คนที่เห็นภาพนี้แล้วรู้สึกชื่นชอบสามารถกดถูกใจได้ ซึ่งจะทำให้รูปภาพยิ่งกระจายให้คนอื่นๆ เห็นมากขึ้น”
แบบนี้นี่เอง มิโคโตะตบเข่าฉาด ก็คือภาพที่สามีภรรยาโพสต์แพร่กระจายเป็นวงกว้างจนไปถึงเซนรินี่เอง
“สามารถดูรูปถ่ายของคนที่ไม่รู้จักได้ด้วย เป็นระบบที่สุดยอดมากเลยครับ”
มิโคโตะประทับใจจากใจจริง เซนริยิ้มเฝื่อนหน่อยๆ
“การเผยแพร่ผลงานคนอื่นบนอินเทอร์เน็ตโดยไม่ขออนุญาตเจ้าตัวก่อนถือว่าผิดกฎหมาย จริงๆ แล้วไม่ใช่เรื่องน่ายกย่องเลย...แต่นั่นก็ทำให้ผู้คนมากมายเห็นพรสวรรค์อันยอดเยี่ยมของคุณ รวมถึงตัวผมด้วย เพราะงั้นผมเลยบ่นพวกเขาไม่ได้เต็มปาก”
“...ผู้คนมากมาย?”
มิโคโตะเอียงศีรษะสงสัย เซนริชี้สัญลักษณ์รูปหัวใจเล็กๆ ข้างล่างรูปภาพ น่าจะเป็นสัญลักษณ์ให้คนที่ชื่นชอบภาพนั้นๆ กดถูกใจ ตัวเลขยิ่งสูงก็หมายความว่ามีคนชอบรูปภาพนี้จำนวนมาก
“หน่วย สิบ ร้อย พัน หมื่น...ละ ล้าน...?”
มิโคโตะลองนับตัวเลขที่แสดงอยู่ข้างๆ เครื่องหมายนั้นดู แล้วเขาก็ต้องตกตะลึง เนื่องจากรูปภาพนี้ถูกโพสต์เมื่อสามวันก่อน หมายความว่าภาพวาดของเขาผ่านสายตามากกว่าหนึ่งล้านคนภายในเวลาเพียงสามวัน หากรวมคนที่ไม่ได้กดถูกใจก็ต้องมากกว่านั้นอีก
“มีคนดูโซเชียลมีเดียเยอะขนาดนี้เลยเหรอครับ?”
“ใช่แล้วครับ แต่ปกติแล้วโพสต์ของคนธรรมดาไม่ใช่ดาราหรือคนดัง ยากมากที่จะมีคนกดถูกใจให้มากมายขนาดนี้ในเวลาอันสั้น”
“...งะ งั้นทำไม...?”
“...เพราะภาพที่คุณวาดยอดเยี่ยมขนาดนั้นเลยยังไงละครับ”
น้ำเสียงเซนริเปลี่ยนเป็นกระตือรือร้นขึ้นทันที เปลวไฟแห่งความคลั่งไคล้ลุกโชนบนใบหน้าที่เคลือบความเย็นชาเอาไว้ มิโคโตะอดจ้องมองไม่ได้จริงๆ
“ภาพวาด...ของผม...? คนมากมายขนาดนั้น...? อะไรกัน ไม่อยากเชื่อ...”
“พูดอะไรอยู่น่ะครับ”
เซนริปฏิเสธเสียงแข็งขณะเพ็งสายตาจับจ้องมิโคโตะตรงๆ มิโคโตะรู้สึกเหมือนกำลังถูกดึงดูดเข้าไปในดวงตาไฟลุกโชน ซึ่งแตกต่างจากเมื่อครู่ราวกับเป็นคนละคน
“ภาพนี้...แม้ยังไม่ได้เก็บรายละเอียดแต่ประณีตและงดงามมาก ทั้งยังให้ความรู้สึกโปร่งใส ราวกับกำลังละลายอยู่ในน้ำลึก ความรู้สึกคิดถึงบ้านเกิดผุดขึ้นมาอย่างน่าอัศจรรย์ใจ ชวนให้อยากมองไปตลอด...”
“โอคุสึกิซัง...”
“แต่พอมองไปนานๆ จู่ๆ ความกลัวเสมือนจะถูกลากลงสู่ก้นแม่น้ำก็ถาโถม ทั้งที่อยากละสายตาไปจากรอยยิ้มของเด็กหญิง แต่ก็ไม่อาจละสายไปได้...ไม่สิ ไม่อยากละสายตาไปต่างหาก...”
“อ๊ะ...เอ่อ โอคุสึกิซัง...”
คำพูดพรั่งพรูออกจากปากราวเขื่อนแตก มิโคโตะกระอักกระอ่วนจนต้องเอ่ยขัด เซนริสะดุ้งเล็กน้อยก่อนก้มศีรษะขอโทษ
“...ขอโทษด้วยครับ ติดนิสัยมาจากการทำงาน พอเจอคนมีพรสวรรค์ไม่ธรรมดา ผมมักลืมตัวเสมอเลย...”
“พรสวรรค์...ไม่ธรรมดา?”
นี่เป็นครั้งแรกในชีวิตที่มิโคโตะได้รับคำชมเช่นนี้ มิโคโตะชอบวาดสิ่งที่ดึงดูดใจมาตั้งแต่สมัยเด็กแล้ว ทว่าคนรอบข้างเห็นเขาวาดทีไร จะเอาแต่เบนหน้าหนีและเดินจากไปด้วยท่าทีรังเกียจเสมอ
‘...พอเสียที! อย่าเอาของแบบนี้มาให้ดูได้ไหม!’
แม้แต่แม่แท้ๆ ยังไม่ยอมรับโลกที่ลูกชายวาดออกมาจนขับไล่ไสส่งทั้งภาพวาดและตัวมิโคโตะ นั่นคือสาเหตุว่าทำไมมิโคโตะถึงห่างจากครอบครัว และย้ายมาอาศัยอยู่กับปู่ มนุษย์เพียงคนเดียวที่เข้าใจเขา
ถึงอย่างนั้นมิโคโตะก็ไม่สามารถหยุดวาดได้ หรือตัวเขามีอะไรบางอย่างผิดปกติ มิโคโตะคิดเช่นนี้มาตลอด...ทว่าเซนริกลับเรียกภาพวาดนี้ว่าพรสวรรค์?
“คุณมีพรสวรรค์ที่คนอื่นไม่มี ผมกล้ารับประกันเลย”
เซนริกล่าวชี้ชัดด้วยน้ำเสียงหนักแน่น ประหนึ่งมองออกทะลุปรุโปร่งว่ามิโคโตะกำลังสับสนอยู่
“เมื่อสองวันก่อนตอนเห็นภาพวาดของคุณเป็นครั้งแรก...บรรยากาศแสนเศร้าแต่อบอวลไปด้วยความน่ารักนี้ทำเอาผมอึ้งจนพูดอะไรไม่ออก รู้ตัวอีกทีก็มองภาพนี้อยู่นานกว่าหนึ่งชั่วโมง ที่ผ่านมาผมมีโอกาสพบกับจิตรกรนับไม่ถ้วน แต่เพิ่งเคยเป็นแบบนั้นครั้งแรก”
“มะ...มองภาพนี้นานกว่าหนึ่งชั่วโมง...?”
“ใช่ วินาทีที่รู้สึกตัว ผมก็บอกตัวเองอย่างมุ่งมั่นว่าต้องมาเจอจิตรกรที่วาดภาพนี้ให้ได้...”
จากนั้นเซนริก็ติดต่อหาคู่สามีภรรยาหนุ่มสาวคู่นั้นเพื่อสอบถามตัวตนของจิตรกร ...มิโคโตะที่วาดภาพนี้ เมื่อพิจารณารูปภาพอื่นๆ ที่สองสามีภรรยาอัปโหลดประกอบด้วย ก็คาดเดาได้ไม่ยากว่าสถานที่ที่ทั้งคู่มาท่องเที่ยวคือคิริงาชิมะ
หากได้ข้อมูลมาถึงขนาดนี้ การหาบ้านของมิโคโตะก็ไม่ใช่เรื่องยาก นั่นเพราะชายหนุ่มวัยไม่ถึงยี่สิบปีที่ชอบเดินป้วนเปี้ยนวาดรูปไปทั่วหมู่บ้านแม้แต่ตอนกลางวัน มีเพียงมิโคโตะคนเดียว ถ้าสอบถามใครสักคนในหมู่บ้านจะได้รับคำตอบทันทีว่า อ๋อ เด็กคนนั้นเป็นหลานชายของทัตสึโกโร่
...คนคนนี้ สุดยอดเลย
เบาะแสจากรูปถ่ายเพียงใบเดียว เซนริใช้เวลาแค่สองวันก็สืบหาตัวตนมิโคโตะเจอแล้ว แถมยังดั้นด้นมาหาถึงที่ทันทีอีกต่างหาก ความช่างสังเกตและความคล่องแคล่วว่องไวของเซนริทำเอามิโคโตะอึ้งจนถึงกับพูดอะไรไม่ออก นักธุรกิจค้างานศิลปะในโตเกียวกระตือรือร้นแบบนี้กันทุกคนเลยเหรอ ตรงข้ามกับตัวมิโคโตะซึ่งหวังแค่ได้ใช้ชีวิตสงบสุขกับปู่เพียงสองคนเช่นนี้ไปเรื่อยๆ
“...ดูเหมือนว่า...คุณจะถูกใจภาพวาดของหลานชายฉันมากทีเดียว...”



++++++++++++++++++++++++++++
มิโคโตะ เด็กหนุ่มวัย 18 ปีที่ถูกแม่รังเกียจจนต้องย้ายมาอยู่กับปู่ในหมู่บ้านเล็กๆ ของชนบท สเกตช์ภาพวิญญาณที่ยืนอยู่เงียบๆ พร้อมสัมผัสความรู้สึกของพวกเขาอย่างกระตือรือร้น ทั้งที่วาดทิวทัศน์ได้ แต่ทำไมถึงวาดมนุษย์ที่มีชีวิตไม่ได้นะ... มิโคโตะเก็บงำความลับนี้เอาไว้ แล้ววันหนึ่งพรสวรรค์ของเขาก็ไปเข้าตาโอคุสึกิ เซนริ นักธุรกิจค้างานศิลปะจากย่านกินซ่า เซนริมองมิโคโตะด้วยความคลั่งไคล้และเริ่มมาเยี่ยมเยือนบ่อยๆ พร้อมเดินหน้าจีบ ทว่าสิ่งที่ดึงดูดสายตาของมิโคโตะกลับเป็นวิญญาณที่ตามติดอยู่ด้านหลังของเซนริ!?

รูปภาพ

ตอบกลับโพส

ย้อนกลับไปยัง “Bongkoch Books News & Activities”