โดย พิมพ์ชนก
ตอน 1 หนีจากกรงทอง
?เรียบร้อยแล้วใช่ไหม? เสียงทรงพลังถามคนงานที่กำลังง่วนอยู่กับการจัดแจงขนของมากมายที่ซื้อมาลำเลียงขึ้นรถเพื่อกลับไร่
?เรียบร้อยหมดแล้วครับพ่อเลี้ยง? ลูกน้องที่ตามมาทั้งสองนอบน้อมตอบชายหนุ่มตัวหนา สูงใหญ่ เข้มคม ดวงหน้ารกด้วยหนวดและเคราล้อมกรอบ
?งั้นก็กลับไร่ เสียเวลามามากแล้ว นี่ถ้าไม่ต้องเข้าเมืองเพื่อมาคุยกับลูกค้า ฉันคงไม่ออกจากไร่? พ่อเลี้ยงหนุ่มเข้มกล่าวเสียงนิ่งๆ
?เราแวะดื่มน้ำดื่มท่าที่ร้านโก ฝั่งตรงข้ามก่อนดีไหมครับพ่อเลี้ยง? คนงานอาวุโสเอ่ยขอ เพราะตลอดเวลาที่เร่งหาซื้อของแล้วขนขึ้นรถยังไม่ได้พักดื่มน้ำเลย รู้สึกคอแห้งผาก
?น้าพุฒหิวหรือครับ? ชายหนุ่มผู้รีบร้อนกลับไร่ไม่สนใจเรื่องการดื่มกิน แต่ถ้าลูกน้องหิวเขาก็ไม่ขัด ตามใจ ว่าอย่างไรก็ว่ากัน
?คอแห้งครับพ่อเลี้ยง แกล่ะเมฆ ไม่คอแห้งเหรอ? คนงานคนสนิทข้างกายพ่อเลี้ยงสิงขร พัฒนะกำจร รีบเร่งทำงานไม่ได้พักตั้งแต่มาถึงตัวเมือง พอทำงานเสร็จก็ยกของขึ้นหลังรถกระบะ เขาจึงเพิ่งรู้ตัวว่าคอแห้งผากแทบเป็นผง
?งั้นไป? พ่อเลี้ยงหนุ่มไม่ได้ใจไม้ไส้ระกำขนาดปล่อยให้ลูกน้องทำงานตรากตรำโดยไม่ปล่อยให้พัก เมื่อทำงานเสร็จเขาก็พร้อมให้พักตามที่ต้องการ ชายหนุ่มเดินนำสองหนุ่มคนงานไปยังฝั่งตรงข้ามของถนนที่รถกระบะคันแกร่งสีดำจอดอยู่ หลังจากคลุมข้าวของที่ซื้อมาด้วยผ้าใบจนเรียบร้อยเพื่อกันฝนกันลม
ของเหล่านั้นล้วนเป็นของใช้ ของกิน ที่จำเป็นต่อการเลี้ยงดูคนงานทั้งไร่ นานๆ จะเข้าเมืองสักที หัวหน้าคนงานอย่างน้าพุฒจึงรับฝากซื้อของจากคนงานทุกคนจนของเต็มคันรถ
สามหนุ่มข้ามฝั่งไปถึงร้านกาแฟเก่าแก่ประจำจังหวัด ถ้ามีโอกาสเข้าเมือง พวกเขามักแวะฝากท้องกับร้านโกเล้งซะทุกครั้ง
?ตายแล้ว...ตายแล้ว จะหนีไปไหนได้ละเนี่ย!!? ร่างหนึ่งวิ่งหลบลี้หนีภัยที่กำลังจะมาใกล้ตัว ชายฉกรรจ์สี่คนมุ่งหน้าตามหาตัวเธอกันให้จ้าละหวั่น
เป็นตายร้ายดีอย่างไรต้องไม่ให้พวกมันจับได้ แต่จะทำอย่างไร ตรงนี้ไม่มีที่หลบซ่อน อุตส่าห์หนีมาถึงภาคเหนือ คงรอดพ้นหูพ้นตาแล้ว ไม่คิดเลยว่าพวกนั้นจะตามเธอเจอ เอาล่ะวะ...หญิงสาวที่กำลังเจอเรื่องจวนตัว มองไปรอบๆ พบรถคันแกร่งที่จอดอยู่ข้างทาง เชื่อว่าคงเป็นเพียงสิ่งเดียวที่ใช้หลบภัยให้เธอได้ ร่างบอบบางพร้อมเป้บนหลังปีนป่ายขึ้นบนรถ พร้อมกับกระชากผ้าใบที่คลุมของไว้มาปกปิดร่างกายตัวเอง แทรกตัวปะปนกับของบนรถจนแนบเนียนเป็นสิ่งเดียวกัน
ต่อให้อึดอัดร้อนแค่ไหนก็ต้องอดทน เพราะไม่มีทางให้คนพวกนั้นจับตัวเธอกลับไปเป็นอันขาด
?หายไปไหนวะ ไวฉิบ...!? กลุ่มชายฉกรรจ์แต่งกายทะมึนด้วยชุดดำ สวมแจ็กเก็ตหนังบ้างยีนบ้าง วิ่งมาหยุดตรงที่หญิงสาวหายร่างไป
?นั่นสิพี่ เมื่อกี้ยังเห็นวิ่งไวๆ มาทางนี้?
?หาให้ทั่ว ถ้าพวกเรากลับไปมือเปล่าเป็นได้ตายหมู่แน่?
ชายฉกรรจ์ทั้งสี่ยืนพูดคุยกันอยู่รอบๆ รถกระบะที่จอดอยู่ริมถนน ปรึกษากันนานสองนาน ไม่ยอมผละจากไปสักที คนที่อยู่ด้านในหายใจหอบล้า ด้วยอากาศภายใต้ผืนผ้าใบอบอ้าว ร้อนยิ่งกว่าขนมอยู่ในเตาอบ พร้อมจะสุกได้ทุกนาทีที่ตั้งเวลาอบอย่างพอประมาณไว้
?โอ๊ยยยย! เมื่อไหร่จะไปซะที ยืนคุยกันอยู่ได้?
หญิงสาวผู้หลบซ่อนอยู่แง้มผ้าใบออกดูคนพวกนั้น ร้องบอกตัวเองในใจขอให้พวกมันไปซะที ?ท่านพ่อนะท่านพ่อ ทำกับหญิงเกินได้ลงคอ? พร้อมกับต่อว่าบิดาของตัวเองอยู่ในใจ
?เอาไงดีลูกพี่?
?ตามสิวะ พวกมึงจะกลับไปมือเปล่าหรือไงวะ?
?คุณหญิงวิ่งไวยิ่งกว่าลิงอีกนะลูกพี่?
?ไวยังไง เราก็ต้องหาตัวคุณหญิงให้พบ แล้วเร่งพาตัวกลับไปส่งให้ท่านชายให้ได้?
?ครับๆ? ลูกน้องทุกคนน้อมรับคำสั่งหัวหน้า
จากนั้นจึงกระจายออกค้นหาหญิงสาว เมื่อได้รับคำสั่งจากเจ้านายเป็นมั่นเป็นเหมาะว่าต้องจับตัวคุณหญิงกลับไปให้ได้
หม่อมราชวงศ์ปานไพลิน พรหมพิริยะ ธิดาหม่อมเจ้าพลพจน์ บุตรีคนเล็กผู้ต้องเข้าพิธีหมั้นในวันพรุ่งนี้ ท่านชายพลพจน์มีบุตรชายสองคน และธิดาสองคน คุณหญิงที่หนีออกจากวังคือน้องนุชสุดท้อง ตอนนี้คุณหญิงหนีออกจากวังพรหมพิริยะเพื่อหนีการหมั้นหมายกับชายสูงศักดิ์ที่บิดาและมารดาเห็นพ้องต้องกันว่าเป็นบุคคลที่เหมาะสมกันทุกกระเบียดนิ้วในทางสังคม และเกียรติยศที่เสริมส่งกัน แต่เมื่อคุณหญิงปานไพลินไม่ปรารถนาในการสมรสจึงแอบหนีออกจากวัง กว่าทุกคนจะทราบเรื่องคุณหญิงก็หนีมาถึงทางเหนือแล้ว
บิดาร้อนใจจึงส่งคนออกตามหากันทั่วราชอาณาจักร แต่คุณหญิงก็ไวทายาด หลบหลีกหนีมาได้ถึงทางเหนือโดยไม่มีใครจับตัวได้
พาหนะกำลังเคลื่อนตัว ไม่รู้มุ่งตรงไปทางไหน ด้วยความเหนื่อยล้ากอปรกับความร้อนอบอ้าวทำให้หญิงสาวที่หลบซ่อนอยู่ใต้ผืนผ้าใบผล็อยหลับไป มารู้ตัวอีกทีไม่รู้เวลาผ่านไปกี่ชั่วโมง เมื่อผ้าใบผืนหนาถูกกระชากเปิดออก แสงสว่างแยงตาพร้อมกับเสียงผู้คนเซ็งแซ่ห้อมล้อม ร่างบอบบางขยับกาย เปลือกตากะพริบปริบๆ ปรับแสง
?พ่อเลี้ยงครับ มาดูนี่สิครับ!!!? น้าพุฒหัวหน้าคนงานตะโกนเรียกพ่อเลี้ยงผู้กำลังก้าวจากไป ปล่อยหน้าที่ขนข้าวของลงจากรถเป็นเรื่องของคนงานในไร่ต่อไป เขาอยากอาบน้ำ อยากเปลี่ยนเสื้อผ้าเพราะเหนียวตัวเต็มที
ปลายเท้าที่กำลังก้าวชะงัก ยกมือข้างหนึ่งขึ้นเท้าเอว หมุนกายกลับมาหาหัวหน้าคนงานผู้ร้องเรียกเขาอยู่ด้านหลังกระบะ
?อะไรอีกล่ะน้าพุฒ เรียกซะเสียงดัง ทำอย่างกับเห็นผี? คิ้วเหนือดวงตาสีเทาแกร่งกล้าขมวดปม มองไปยังคนงานคนสำคัญผู้อยู่เคียงข้างจงรักภักดีต่อเขาและมารดาเสมอมา
?ยิ่งกว่าผีอีกครับ? น้าพุฒคิ้วย่นไม่ต่างจากนายของตน
?อะไรไหนดูซิ สิ่งที่เรียกว่ามากกว่าผีน่ะ?
พ่อเลี้ยงสิงขรก้าวมารวมกับคนงานทั้งสอง เขามองตามสายตาน้าพุฒ เห็นชัดตากับสิ่งที่น้าพุฒร้องตะโกนเสียงดังเรียกตน คนชัดๆ ไม่ใช่ผี ซ้ำเป็นผู้หญิงหน้าตามอมแมม นอนขดกายรวมกับข้าวของที่ไปซื้อมาจากในเมือง เขารับคนคนนี้ขึ้นรถมาตั้งแต่เมื่อไหร่
ปกติไม่ชอบสุงสิงกับคนในเมืองจึงไม่ค่อยเข้าเมือง นานๆ ครั้งจะเข้า แล้วการเข้าเมืองครั้งนี้กลับทำให้เขารับสิ่งแปลกปลอมเข้ามาในไร่ด้วย บางทีอาจจะเป็นนางนกต่อ หรือไส้ศึกเข้ามาสืบกิจการในไร่ก็เป็นได้
?นี่เธอ...ตื่น...ตื่น ลุกขึ้นมาเดี๋ยวนี้? พ่อเลี้ยงตัวโตอย่างกับหมียักษ์แผดเสียงก้อง เขาไม่คิดว่าผู้หญิงคนนี้จะมาดี ถ้าคนมาดีย่อมไม่ลักลอบขึ้นรถมาแบบนี้ นี่คงหนีไม่ทันเพราะเผลอหลับ จึงทำให้คนงานเขาจับได้คาหนังคาเขา
ร่างคนที่งัวเงียรับรู้ได้ถึงเสียงที่ตะเบ็งอยู่ใกล้ๆ จึงรีบลืมตารับแสงมองผู้คนรอบกาย ชายฉกรรจ์สามคนยืนจ้องมองเธอราวกับสิ่งของแปลกประหลาด หรือว่าเธอถูกจับกลับมาส่งคืนบิดา ไม่จริง...ในเมื่อหนีมาได้ไกลถึงภาคเหนือ ที่ไม่เลือกหนีไปต่างประเทศเพราะเชื่อว่าบิดาของเธอต้องตามพบได้โดยไม่ยาก การนั่งรถทัวร์ปรับอากาศชั้นสองย่อมเป็นการหลบสายตาบิดาได้ดีกว่าการใช้บริการเครื่องบิน
แต่ครั้นมองรอบกาย ด้วยการเป็นคนช่างสังเกต จดจำอะไรรอบตัวได้ง่าย สมองหญิงสาวจึงเร่งประมวลทุกสถานการณ์เข้าด้วยกัน ก่อนที่ตัวเองจะหลับนั้น เธอหลบหลีกพวกชายฉกรรจ์ทั้งสี่กระโดดเข้ามาหลบในรถกระบะขนของคันหนึ่ง คงน่าจะใช่คันนี้ กระทั่งความอ่อนล้าฉุดให้เธอเผลอหลับ แต่คงหลับยาวไปหน่อย ตื่นอีกทีก็อยู่ในสถานการณ์ตรงหน้านี้แล้ว
?ลงมา? เสียงสั่งจากคนตัวใหญ่กังวานจนเจ้าของร่างบอบบางที่มีเป้ใบย่อมบนหลังสะดุ้ง รีบลุกพร้อมกับกระโดดลงจากรถ มายืนไม่มั่นคงอยู่ต่อหน้าคนที่เรียกเธอเสียงแข็ง เกิดมาจำความได้ก็ไม่เคยได้ยินใครเรียกเสียงแข็ง คอแข็ง สายตาเย็นยะเยือกดั่งภูเขาน้ำแข็งร้ายกาจขนาดนี้มาก่อน
เขาตัวสูง ผิวเข้ม หนวดรก ที่แน่ๆ ดวงตาไม่ได้สีน้ำตาลเข้มเหมือนเธอ หรือเหมือนคนพวกนี้ที่ห้อมล้อมตัวเธออยู่ เขาตาสีเทา ดูมีภาวะความเป็นผู้นำ มีความเข้มแข็งฉลาดแต่หากอ่อนโยน ไม่ใช่คนก้าวร้าว เป็นตัวของตัวเอง จริงจัง ระเบียบจัด คิดวิเคราะห์อย่างมีเหตุผลที่เหมาะเจาะเหมาะสม
หญิงสาววิเคราะห์คร่าวๆ ในใจ
รูปร่างสูงใหญ่ ดูแล้วท่าจะไม่ใช่คนไทยแท้ ผมเขาสีอ่อนกว่าสีผมปกติของคนเอเชีย จมูกโด่งเป็นสัน แล้วยิ่งหนวดนั้น คนไทยไม่สามารถไว้ได้สวยสะดุดตาเท่านี้ รูปร่างของเขาเท่าหมีมากกว่าคน หญิงสาวยิ้มแหยๆ พร้อมแล้วที่จะโดนเขาสอบสวน แต่ไม่ว่าจะมาไม้ไหนเธอพร้อมตั้งรับ เพื่อให้ตัวเองรอดพ้นจากการจับโยนออกไปจากสถานที่แห่งนี้ อย่างน้อยเชื่อว่าสถานที่ตรงนี้จะทำให้เธอรอดพ้นจากสายตาคนของบิดา เธอคิดเมื่อแน่ใจแล้วว่าตรงนี้ไม่ใช่วังพรหมพิริยะอย่างแน่นอน
?น้าพุฒเรียกคนงานมาขนของด้วย ส่วนน้าพุฒิพาแม่นี่ไปพบผมที่ห้องโถง?
น้าพุฒน้อมรับคำสั่งพ่อเลี้ยง ผู้ทรงอำนาจที่สุดในไร่กาแฟพัฒนะกำจรแห่งนี้ ชายหนุ่มเจ้าของไร่เดินจากไปเพื่อไปรอยังห้องโถงใหญ่โตโอ่อ่าในเรือนไม้หลังงามชั้นเดียวยกสูงสีขาว ห้อมล้อมด้วยต้นไม้สีเขียว หญิงสาวเชื่อว่าคนชอบต้นไม้ดอกไม้ต้องมีจิตใจอ่อนไหวและอ่อนหวาน คงไม่ใจไม้ไส้ระกำมากนัก
หญิงสาวลอบคิดขณะเดินตามหลังผู้ชายตัวสูงผอมกว่าคนอื่นที่เดินจากไปก่อนหน้า เธอได้ยินเขาเรียกว่าน้าพุฒ คาดว่าคงเป็นผู้ใหญ่อยู่ในสถานที่นี้ ถึงได้ถูกเรียกว่าน้าพุฒ หญิงสาวเป็นคนช่างสังเกตมาตั้งแต่ไหนแต่ไร ลืมตาไม่กี่นาทีก็พยายามจดจำรายละเอียดเล็กๆ น้อยๆ ให้เร็วที่สุดเท่าที่พอจะทำได้
น้าพุฒก้าวขึ้นบันไดเรือนไม้สีขาวหลังงาม เดินย่ำเข้าไปในห้องห้องหนึ่ง มีคนคนนั้นนั่งขรึมวางมาดเท่รออยู่
?พามาแล้วครับพ่อเลี้ยง?
?นั่งสิ?
เขาสั่งแต่ไม่รู้สั่งใคร สายตาเขม็งหันไปทางหญิงสาวผู้มีหน้าตามอมแมม เส้นผมดำถูกรวบเป็นหางม้าไว้ด้านหลัง หญิงสาวรู้ตัวว่าต้องเป็นฝ่ายนั่งลง ส่วนน้าพุฒที่ว่าขยับถอยหลังไปยืนประสานมือไว้ข้างหน้าอยู่ข้างๆ ประตู ราวกับเกรงใจคนดวงตาสีเทาผู้นี้นักหนา
?มีอะไรจะพูดไหม? เขาถามห้วนๆ เฝ้าจ้องมอง ลอบสังเกตคนเบื้องหน้าด้วยความพินิจพิเคราะห์
?ไม่มีค่ะ?
?อะไรกัน แอบขึ้นรถคนอื่นมาแบบนี้ไม่มีอะไรพูดเลยได้ยังไง? เขาต้องการให้เธอสารภาพ แต่ทำไมคนตัวเล็กมอมแมมตรงหน้ากลับพูดประโยคสั้นๆ ว่า ?ไม่มี? เท่านี้
?งั้นก็ออกไปจากไร่ของฉัน?
?ดะ...เดี๋ยวค่ะ คือที่บอกว่าไม่มี ก็แค่อยากรู้ว่าที่นี่ที่ไหน?
?ฉันควรเป็นคนถามเธอไม่ใช่หรือ?
?ฉัน...คือ...?
?เอ้า...ว่าไง จะเล่าจะบอกหรือเปล่า หรือจะให้คนของฉันโยนเธอออกไป รีบๆ พูดซะก่อนจะหมดโอกาสพูด?
?ฉัน...?
เอาไงนะ ถ้าบอกไปตรงๆ รับรองได้ถูกโยนออกจากที่นี่แน่ ดูแล้วสถานที่แห่งนี้อาจช่วยคุ้มภัยเธอได้ดีจากพวกลูกน้องของบิดา สมองอันว่องไวชาญฉลาดควานหาเรื่องราวเพื่อตอบแก่คนเคร่งขรึมตรงหน้า เขาดูมีอำนาจ ดูปราศจากการล้อเล่น
แล้วถ้าเขาอยากโยนเธอออกจากสถานที่แห่งนี้จริงก็ย่อมทำได้ ไม่ต้องเอ่ยถามว่าเขาเป็นใคร ถ้าฟังจากคนนั้นคนนี้ หรือแม้กระทั่งที่น้าพุฒเรียกขาน เขาย่อมเป็นเจ้าของสถานที่แห่งนี้แน่นอน และนั่นเธอควรทำตัวเป็นกิ้งก่าเปลี่ยนสีเพื่อใช้ที่แห่งนี้พรางตัวจากคนของบิดา จากสายตากว้างขวางของท่าน
?ฉันมาจากต่างถิ่น เดินทางมาหางานทำทางเหนือ แต่ระหว่างที่เดินซื้อของเพื่อรอขึ้นรถโดยสารก็มีพวกวิ่งราว วิ่งราวกระเป๋าสตางค์ฉันไป? เธอเริ่มแต่งเรื่องเล่าให้คนที่ถูกเรียกว่าพ่อเลี้ยงฟัง
?เธอเลยคิดอาศัยรถฉันฟรีๆ?
?ไม่เชิงค่ะ?
?แล้วยังไง?
?ฉันร้องให้คนช่วย แต่ไม่มีใครสนใจจะช่วยเหลือ คงเห็นว่าธุระไม่ใช่ ช่วยไปคงเดือดร้อน ฉันก็เลยออกวิ่งไล่กวดมันเอง แต่...? หญิงสาวชะงักการเล่าพร้อมก้มหน้า ตัวสั่นงันงกคล้ายกับกลัวอะไรสักอย่าง บีบน้ำตาคล้ายจะร้องห่มร้องไห้
?ยังไงต่อ? ชายหนุ่มตัวใหญ่เจ้าของสถานที่อยากฟังต่อ ดูเหมือนเรื่องจะโศกเศร้าพอควร
?พอวิ่งไปทันคนที่กระชากกระเป๋าฉันไป มันไม่ใช่มีแค่คนเดียวสิคะ พวกมันมีกันถึงสี่คน หน้าตาน่ากลัว? หญิงสาวแสร้งทำเสียงกระซิกๆ เค้นหาเรื่องราวมาปะติดปะต่อกันให้เป็นเรื่องเป็นราว
?พวกมันไม่ได้หวังแค่เงินแล้วค่ะ พวกมันจะข่มขืนฉัน จากที่ฉันไล่กวดมัน คราวนี้มันสี่คนต่างหันมาหาฉัน พูดจาน่ากลัว?
?พูดอะไร?
?พวกมันทั้งสี่จะยัดเยียดความเป็นผัวให้กับฉันสิคะ?
เธอไม่เคยถูกอนุญาตให้พูดประโยคพวกนี้ แต่เพราะจดจำมาจากบรรดาสาวใช้ในบ้านที่มักคะนอง พูดคุยกันสนุกปากในเวลาดูหนังดูละคร ชีวิตพวกเขาอิสระกว่าเธอทั้งในการพูด การใช้ชีวิต แม้แต่การเลือกคู่ พวกเขาได้ออกจากวังไปเดินเล่นในตลาด ได้กินอาหารข้างถนน ได้หยอกล้อชวนหัวกันสนุกสนาน
?ฉันวิ่งหนีพวกมันอย่างไม่คิดชีวิต ตายเป็นตาย ยังไงจะไม่ยอมเป็นเหยื่อพวกมัน เงินทองที่เสียไปช่างมัน ขอให้รอดเป็นพอ คราวนี้จวนตัวก็ต้องหาที่ซ่อน พอดีวิ่งมาเจอรถคุณเข้าจึงรีบกระโดดขึ้นไปซ่อน? ต้องขอบคุณสมองอัจฉริยะของเธอที่คิดเรื่องราวได้เป็นฉากๆ
?งั้นหรือ เรื่องที่เล่ามาไม่ได้โกหกใช่ไหม? แม้หน้าดุดัน ดูเป็นโจรห้าร้อย แต่เบื้องลึกพ่อเลี้ยงตัวใหญ่จิตใจดียิ่งกว่าพระเวสสันดรซะอีก
?ถ้าโกหก ก็ลองรื้อค้นเป้ฉันได้ค่ะ กระเป๋าสตางค์ฉันหายไป ไม่มีเงินเหลือติดตัวแม้แต่บาทเดียว เอกสารต่างๆ บัตรประชาชนก็หายไปด้วย?
การจะทำให้อีกฝ่ายเชื่อใจ คงต้องยอมให้รื้อค้นของส่วนตัวได้ เป้ที่เพิ่งปลดมาวางข้างตัวคือของส่วนตัว สามารถแสดงความบริสุทธิ์ได้ แต่ถ้าถูกรื้อค้นจริงๆ เขาต้องพบหลักฐานทุกอย่างแน่ๆ คำนำหน้าเธอไม่ใช่นางสาวซะด้วย ดังนั้นภาวนาอย่าให้เขาค้นจริงๆ ตามคำเชิญของเธอก็แล้วกัน
?อืม...ไม่ต้องก็ได้? ถ้าเธอยอมให้รื้อค้นกระเป๋าก็แสดงว่าไม่ได้โกหก ?แล้วนี่เธอจะเอายังไง? เขาอาทรคนตกยากขึ้นมา ถามไถ่เพราะเป็นห่วง เห็นเป็นผู้หญิงคนเดียว ?อ้อ...ว่าแต่มาจากไหน? ก่อนอื่นคงต้องรู้ที่มาที่ไปเสียก่อน
?คุณ...ไว้ใจได้ไหมคะ จะไม่บอกเรื่องของฉันออกไปให้คนภายนอกได้รู้ใช่ไหม ฉันกลัวคนพวกนั้นค่ะ มันได้เอกสารฉันไป เกรงว่ามันจะหาทางมาทำร้ายฉันอีก?
?เธออยู่ที่นี่ไม่ต้องกลัวอันตราย ไร่พัฒนะกำจรอยู่ห่างจากตัวเมืองมาก ไม่มีใครกล้าลองดีกับอำนาจของพ่อเลี้ยงสิงขรแน่?
น้าพุฒเป็นคนตอบแทนเจ้านายของตน เขารู้สึกเอ็นดูสาวหน้ามอมคนนี้ขึ้นมาเงียบๆ เชื่อว่าอยากให้อยู่ด้วยกันในไร่นี้ จะได้พ้นมือคนไม่ดี สาวน้อยหน้าแฉล้มแบบนี้ ถ้าผลักไสออกไปเผชิญอันตรายข้างนอกคนเดียวก็น่าสงสารแย่
?ค่ะน้า...? เธอไม่กล้าเรียกชื่อหนุ่มใหญ่ผู้ยืนประสานมืออยู่ตรงข้างประตูเรือนไม้อันบ่งบอกความเป็นล้านนาไว้อย่างแท้จริง
?เรียกน้าพุฒเถอะ หรือถ้าให้ดีเรียกพี่พุฒจะเหมาะกว่า?
?น้าพุฒ!? เสียงทุ้มของพ่อเลี้ยงขัดคอคนข้างตัวเก่าแก่
?ฉันมาจากกรุงเทพฯ เคยทำงานเป็นแม่บ้านในบ้านเศรษฐีจ้ะ?
?อ้าว กรุงเทพฯ ก็ดีสิ ค่าแรงสูง เมืองเจริญ แถมยังทำงานในบ้านใหญ่ ไม่ดีเหรอ มาทางเหนือทำไม?
?ไม่ใช่อย่างนั้นสิคะ?
?แล้วยังไง?
?คุณผู้ชายของบ้านจ้องแต่จะปล้ำคนใช้สาวๆ คนใช้สาวหลายคนหนีหน้าหายจากกันไปหลายคน ฉันเองไม่รู้เรื่องราวพวกนี้ พอเห็นติดประกาศรับสาวใช้ก็ไปสมัคร อยู่ได้ไม่ถึงเดือน คุณผู้ชายก็ย่องเข้าห้อง ฉันหนีออกมาทั้งๆ ที่ไม่ได้เงินเดือน?
เธอแต่งเรื่องเป็นฉากๆ ทั้งหมดจำมาจากละครที่สาวใช้ติดกันงอมแงม
แสดงว่าถ้าล้างคราบไคลออก ผู้หญิงตรงหน้าคงสวยผุดผ่อง คุณผู้ชายถึงย่องเข้าหา
?แล้วพ่อแม่เธอล่ะ?
?เอ่อ...พ่อแม่ฉันไม่มีหรอกจ้ะ?
?อ้าว...!?
?ฉันเป็นลูกกำพร้า พ่อแม่ตายตั้งแต่ยังเด็ก ฉันอยู่ในสถานเลี้ยงเด็กมาตั้งแต่จำความได้?
น่าจะเป็นชีวิตตัวละครในละครหลายๆ เรื่อง นางเอกยากจนข้นแค้น เป็นเด็กกำพร้า เพราะความฉลาดล้วนๆ ที่มักแอบไปสุงสิงกับพวกสาวใช้ ได้ดูละครน้ำเน่าเคล้ากลิ่นตุๆ
?โถ...แม่หนู? น้าพุฒครวญในชะตากรรมหญิงสาวตัวนิดเดียว
?จะให้ฉันเรียกเธอว่ายังไง? พ่อเลี้ยงหนุ่มเคราดกถาม
?หนูชื่ออะไร พ่อเลี้ยงถามแน่ะ? น้าพุฒสำทับ
?ชื่อ...คือ...ชื่อ?
?เอ้า จำชื่อตัวเองไม่ได้แล้วหรือ?
?จำได้ค่ะ จำได้? ในจังหวะนั้นเอง หันไปเห็นคนงานนั่งอยู่บนแคร่ด้านล่าง กำลังป้อนข้าวลูกอยู่พอดิบพอดี หญิงสาวจึงเกิดประกายเจิดจ้าเกี่ยวกับชื่อตนขึ้นมาทันควัน
?ชื่อป้อนข้าวค่ะ? ตอบพ่อเลี้ยงออกไปด้วยความฉลาดเฉียบแหลม
?ป้อนข้าว ชื่อน่ารักดีนี่? น้าพุฒกล่าวชม
?ขอบคุณค่ะน้า?
?น้าเหรอ...พี่ไม่ได้เหรอ? น้าพุฒหน้าหมองนิดๆ เมื่อสาวน้อยเรียกน้า ความจริงคนทั้งไร่ก็เรียกเขาแบบนี้ แต่พอสาวน้อยเรียกน้าเท่านั้น เขากลับหมดแรงราวกับตรากตรำงานมาทั้งวันอย่างนั้น
?น้าพุฒ? พ่อเลี้ยงเอ่ยเสียงปราม
?ครับพ่อเลี้ยง?
?ป้อนข้าวก็ป้อนข้าว มีนามสกุลไหมล่ะ?
?ต้องบอกนามสกุลด้วยหรือคะ?
?แล้วแต่นะ ถ้าอยากได้งานในไร่ก็สมควรบอก ถ้าไม่อยากบอกเธอก็ไม่ต้องบอก เรื่องง่ายๆ แบบนี้ไม่น่ายาก?
?ป้อนข้าว เทพธิดาค่ะ? ว่าแต่นามสกุลใครกันหรือที่เธอนึกได้ จนต้องอุปโลกน์ขึ้นมาเป็นนามสกุลของตน
?น้าพุฒช่วยไปเรียกแม่อุ๊ยเมิงมาหาผมหน่อย?
?ตกลงพ่อเลี้ยงรับป้อนข้าวเข้าทำงานแล้วใช่ไหมคะ? หญิงสาวมีใบหน้าเบิกบาน เมื่อฟังเขาสั่งความกับน้าพุฒแบบนั้น
?ถ้าเธอยังไม่มีที่ไป ทำงานอยู่ที่นี่ก่อนก็ได้ รอฝากเนื้อฝากตัวกับแม่อุ๊ยก่อนเถอะ?
เขาไม่ใช่คนใจดำนี่นา ซ้ำยังหล่อมากด้วย แม้หนวดจะรกบนหน้า เธอไม่เคยพบเขาไม่เคยรู้จัก แต่เชื่อว่าเขาเป็นคนดีในระดับหนึ่ง หากไม่แล้วคงไม่รับคนแปลกหน้าเข้ามาในบ้าน เขาสามารถไล่เธอไปให้พ้นจากที่นี่ได้ ซ้ำเรื่องทั้งหมดที่เธอเล่าล้วนไม่ใช่ความจริงทั้งเพ
?ให้คนไปตามแม่อุ๊ยมีหรืออะไรหรือเปล่าคะพ่อเลี้ยง? หญิงชรารูปร่างบาง นุ่งผ้าพื้นเมือง รวบผมสีดำแซมขาวเป็นมวย ก้าวขึ้นมาบนเรือนไม้สีขาวอันมีกลิ่นอายความเป็นล้านนาครบครัน
?งานครัวเสร็จแล้วหรือแม่อุ๊ยเมิง? พ่อเลี้ยงเอ่ยถามคนงานหญิงสูงวัย
?ฝากให้แม่อุ๊ยเฟื่อง กับแม่อุ๊ยเอิบทำแทนอีกนิดหน่อยก็เสร็จค่ะพ่อเลี้ยง? แม่อุ๊ยเมิงพูดกับผู้เป็นนาย
?ไหว้แม่อุ๊ยเมิงซะสิ? เจ้าของไร่หันไปสั่งสาวน้อยที่นั่งสงบกับพื้นไม้เรือนหลังสวย แวดล้อมด้วยบรรยากาศล้านนาเต็มเปี่ยม ทรงหน้าจั่วระเบียงกว้าง หลังคาติดกาแล และธงรูปช้าง ด้านล่างปักจ้อง (ร่ม) ขนาดใหญ่ตรงสวนหย่อมที่ใช้สำหรับพักผ่อนหย่อนใจ
?สวัสดีค่ะแม่อุ๊ย?
หญิงสาวพุ่มมือไหว้ชดช้อยผู้สูงวัยหุ่นบอบบางเบื้องหน้า คนเหนือโดยรวมไม่อ้วน ไม่อวบเจ้าเนื้อมากนัก คงเพราะชอบกินผักหญ้าอยู่ทุกมื้ออาหาร ชาวเหนือเรียกผู้หญิงอาวุโสว่าแม่อุ๊ย หากในวังของเธอคงเรียกแม่นม หรือป้านั่นป้านี่ เธอมีแม่นมมีพี่เลี้ยงรายล้อม เนื่องด้วยเป็นธิดาสุดท้องของบิดา ผู้เป็นหม่อมราชวงศ์ผู้สูงศักดิ์ เพราะคำว่าสูงศักดิ์ หม่อมราชวงศ์ปานไพลินเช่นเธอจึงถูกวางให้อยู่ในกรงทอง รอคอยการสมรสกับบุรุษผู้เหมาะสม
แม้ถูกส่งไปเรียนต่างแดน แต่บิดายังตามไปเยี่ยมเยียนสามเดือนครั้ง ราวกับว่าหกปีที่เธออยู่เมืองผู้ดี ได้ร่ำเรียนจนจบปริญญาโท ไม่ได้ทำให้เธอหลุดพ้นจากกรอบของบิดาแต่อย่างใด ครั้นเมื่อขอเรียนต่อปริญญาเอก บิดากลับไม่ยินยอม การได้อยู่ต่างแดนลับสายตาทำให้ช่วงเวลานั้นเธอได้รับอิสระทางความคิดบ้าง จึงไปแอบเรียนวิชาหมอดู ทีแรกไม่ได้คิดอะไร แต่เรียนเพื่อความสนุกเท่านั้น
คุณหญิงผู้อยากหนีออกจากกรงทองไม่อาจทนได้ จำเป็นต้องดิ้นทุรนทุรายเพื่อให้ตัวเองหลุดออกจากกรงขัง หากเธอไม่หัวไวป่านนี้คงได้ถูกจับแต่งงาน ย้ายจากวังหนึ่งไปสู่อีกวังหนึ่งในฐานะภรรยาท่านชายระวีโอรสเสด็จในกรมพระองค์หนึ่ง หนักหนาสาหัสกว่าการอยู่วังของเธอร้อยพันเท่า
ผู้ใหญ่ต่างเห็นชอบว่าสองตระกูลเหมาะสมจะเป็นทองแผ่นเดียวกัน แต่ไม่มีใครสนใจสอบถามความสมัครใจของเธอเลยสักคน บิดาดื้อรั้นยืนยันเรื่องความเหมาะสม แต่ไม่ได้สนเรื่องหัวใจ การแต่งงานไม่ใช่เรื่องของคนสองคนอย่างที่ใครๆ ว่าไว้ ที่จริงแล้วเป็นเรื่องคนทั้งสังคมมากกว่า
?ใครหรือเจ้า พ่อเลี้ยง? แม่อุ๊ยเมิงมองไปยังสาวหน้ามอมที่นั่งอยู่ตรงม้านั่งหวาย
?คนงานใหม่? พ่อเลี้ยงกล่าว
?พ่อเลี้ยงรับคนงานใหม่หรือเจ้า จะให้ทำอะไรเจ้า?
?นั่นสิ น้าพุฒว่ายังไง? พ่อเลี้ยงหนุ่มหันไปถามผู้รอบรู้อย่างน้าพุฒ
?ทำงานครัวกับสามแม่อุ๊ยดีกว่าครับ เห็นว่าเคยทำงานที่บ้านเศรษฐี ให้ทำงานในไร่คงไม่เหมาะ?
?งั้นทดลองงานในครัวไปก่อนแล้วกัน อย่างอื่นค่อยว่ากันอีกที?
?ขอบคุณค่ะพ่อเลี้ยง? หญิงสาวยิ้มละไม พุ่มมือไหว้คนขนดกเครางาม
?แม่อุ๊ยเมิงฝากด้วยนะ หาที่หลับที่นอน สอนงานในครัวให้ด้วย เชื่อว่าคงสอนไม่ยาก เห็นว่าเคยทำงานมาบ้างแล้ว?
เท่าที่ชายหนุ่มลอบสังเกต คนตัวเล็กนั่งเรียบร้อยตรงหน้า รูปร่างแน่งน้อย มือบางขาวสะอาด กิริยาเรียบร้อยราวกับไม่เคยผ่านงานที่เธอเป็นฝ่ายเล่าเป็นฉากๆ มาเมื่อกี้เลยสักนิด แต่อย่างว่า สาวชาวกรุงย่อมดูผุดผ่องกว่าสาวชาวบ้าน แต่ถ้าต้องปากกัดตีบถีบมาตั้งแต่ยังเล็ก คงไม่น่ามีปัญหาในการทำงานบ้านหรืองานไร่
พอสั่งงานคนงานชายหญิงเสร็จ พ่อเลี้ยงผู้มีบุคลิกภายนอกดุดัน แข็งกร้าว แต่กลับใจดีราวเทวดาจึงก้าวออกจากห้องโถงที่จัดตกแต่งแบบล้านนาเพื่อเข้าห้องตัวเอง
สายตาสาวแอบมองเขาอยู่เงียบๆ พร้อมกับเอ่ยประโยคขอโทษอยู่ในใจ แต่ก็ช่วยไม่ได้ เธอต้องการที่พึ่งพาสักแห่ง ขืนดุ่มๆ ดั้นด้นหนีไปคงได้ถูกจับตัวโยนเข้าไปในกรงทองตามเดิม
++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++
เพียงผืนผ้าใบหลังรถเปิดออกก็เผยให้เห็นร่างเล็กมอมแมมของ ป้อนข้าว หรือ หม่อมราชวงศ์ปานไพลิน ที่กำลังหลบหนีจากการถูกจับคลุมถุงชน เธอสร้างเรื่องว่าเป็นเด็กกำพร้าไม่มีที่ไปด้วยต้องการซ่อนกายให้พ้นจากคนของท่านพ่อ เพราะความสงสารหญิงสาวตกยาก พ่อเลี้ยงสิงขร จึงรับเธอเข้าทำงานในไร่กาแฟพัฒนะกำจรแห่งนี้ หากทว่าหญิงสาวกลับทำอะไรไม่เป็นสักอย่างนอกจากสร้างเรื่องวุ่นวายให้ปวดหัว สิงห์หนุ่มอย่างเขาจึงต้องลงไปสอนงานแม่กระต่ายน้อยอย่างใกล้ชิด ชนิดที่ว่าลมหายใจเป่ารดให้รุ่มร้อนจนร่างบอบบางต้องตัวอ่อนอยู่ในวงแขน ขณะที่พ่อเลี้ยงเองก็ยอมจำนนฝากรักฝากหัวใจไว้ที่เธอเช่นกัน
