ช่วงต้นเดือนมกราคมหลังต้อนรับปีใหม่มาได้ไม่นาน เสียงโทรศัพท์ดังไปทั่วชั้นฝ่ายขายที่บรรยากาศช่วงปีใหม่ยังไม่หมดไป อากิฮิโตะละมือจากอีเมลที่พิมพ์ค้างไว้แล้วยกหูโทรศัพท์ขึ้นหลังดังเพียงครั้งเดียว
“ฝ่ายขาย ซีดส์ซิสเทม สวัสดีครับ คาโนรับสายครับ”
เสียงบอกฝ่ายที่ตนสังกัดนั้นคล่องแคล่วจนเกือบลืมไปแล้วว่าจนถึงฤดูใบไม้ผลิปีที่แล้วยังบอกว่าอยู่ฝ่ายวิศวกรรมอยู่เลย
พอโอนสายให้คนในฝ่ายผ่านสายภายในแล้ววางหู โทรศัพท์ก็ดังขึ้นอีกครั้งในเวลาเดียวกัน อากิฮิโตะรับสายนี้หลังดังเพียงครั้งเดียวเช่นกัน พนักงานฝ่ายขายคนอื่นไม่ตอบสนองเสียงโทรศัพท์เลย เสมือนบอกเป็นนัยว่าเรื่องการรับโทรศัพท์น่ะให้พวกทำงานนั่งโต๊ะจัดการไปก็พอ
แม้แต่ตอนนี้อากิฮิโตะก็ยังไม่คุ้นเคยกับข้อปฏิบัติที่รู้กันในฝ่ายขาย เขาอยากจะพูดว่าตอนอยู่ในบริษัท พวกนายหัดรับโทรศัพท์กันบ้างสิ แต่คงไม่ยอมฟังกันโดยดีหรอก ยังไงก็ทำเหมือนตนเป็นคนนอกจากฝ่ายวิศวกรรมอยู่ดี
ครั้นวางสายแล้วเริ่มพิมพ์อีเมลอีกครั้ง จู่ๆ ก็มีเงาทอดลงบนที่นั่งของอากิฮิโตะ
“คุณคาโน รบกวนเช็กนี่ให้หน่อยครับ”
เมื่อเงยหน้าขึ้นมองตามเสียงเรียบๆ ก็เห็นโทมิโอกะที่เข้ามาทำงานปีแรกยืนอยู่ด้านข้างและส่งเอกสารปึกหนามาให้ น่าจะเป็นเอกสารนำเสนอระบบควบคุมการผลิตที่บริษัทกำลังพัฒนาอยู่
ซีดส์ซิสเทมที่อากิฮิโตะทำงานอยู่นั้นเป็นบริษัทพัฒนาระบบ โดยให้บริการด้านการวางแผนระบบควบคุมการผลิตอย่างครบวงจรตั้งแต่พัฒนา ติดตั้งระบบ จนถึงบำรุงรักษา
หากอธิบายระบบควบคุมการผลิตอย่างคร่าวๆ ก็คือระบบจัดการงานคาบเกี่ยวหลายๆ ฝ่ายแบบเบ็ดเสร็จ ฝ่ายขายรับคำสั่งซื้อสินค้าด้วยกำหนดส่งแบบไหน ฝ่ายวัตถุดิบจะซื้ออะไร โรงงานจัดการชิ้นส่วนจำนวนเท่าใด พัฒนางานด้วยกระบวนการแบบใด
ขณะที่เปิดเอกสารเงียบๆ โทมิโอกะที่ยืนอยู่ข้างๆ ก็ห่อตัวเหมือนอึดอัดใจ ครั้นอากิฮิโตะที่ทำหน้ามุ่ยโดยไม่รู้ตัวได้สติก็คลายรอยยับย่นตรงหว่างคิ้ว
สมัยยังเป็นนักศึกษาถูกบอกมาซะเยอะว่า ‘คาโนทำหน้าจริงจังแล้วน่ากลัว’ ก็รู้ตัวอยู่หรอกว่าตัวเองเวลาทำหน้านิ่งๆ ดูไม่เป็นมิตร ถ้าเอาตามที่คนอื่นบอก ดูเหมือนตนมีใบหน้าได้รูปพอสมควร แต่ทั้งดวงตาเรียวยาว จมูกเป็นสัน ริมฝีปากบาง มันไร้ช่องโหว่เกินไปจนทำให้คนอื่นประหม่า
อากิฮิโตะพูดกับโทมิโอกะอย่างระมัดระวังเพื่อให้น้ำเสียงนุ่มนวลเท่าที่จะทำได้
“จะยกตัวอย่างการติดตั้งระบบ หรือพูดเกี่ยวกับระบบก็ควรใส่คำอธิบายให้ดูเป็นรูปธรรมกว่านี้อีกหน่อยรึเปล่า จะอธิบายว่าสามารถสั่งทำระบบควบคุมการผลิตก็ได้ หรือพูดถึงการเชื่อมต่อข้อมูลด้วยออปชันเครื่องมือแปลงข้อมูลก็ได้”
“ออปชันเครื่องมือแปลงข้อมูลคือ...”
“เครื่องมือที่ทำให้แลกเปลี่ยนข้อมูลระหว่างระบบได้จริงโดยไม่ต้องคอยเขียนโคดโปรแกรมทีละอันน่ะ”
“นั่นมันเครื่องมือที่พวกนักพัฒนาใช้ไม่ใช่เหรอครับ? ลูกค้าจะใช้งานเหรอ?”
“เรื่องใช้หรือไม่ใช้เอาไว้ก่อน ถ้ารู้ว่ามีของสะดวกแบบนั้นก็จะ...”
“ของแบบนั้นจะทำให้สับสนแทนรึเปล่าครับ? หัวหน้าฝ่ายก็พูดว่าเอกสารของคุณคาโนเฉพาะทางเกินไป ลูกค้าดูไปก็ไม่รู้เรื่องไม่ใช่เหรอ”
อากิฮิโตะปิดปากทันที เพราะหากเผลออ้าปากดูท่าเสียงดังโฮ่ ที่ส่อแววอันตรายจะออกมาจากในลำคอ
ถ้าเป็นหัวหน้าฝ่ายที่ไต่เต้าขึ้นมาในฝ่ายขาย ถึงพูดจาประมาณนั้นก็ไม่น่าแปลก แต่พูดต่อหน้าเด็กใหม่มันเหมาะสมเหรอ อยากให้ลองมาเป็นตนที่โดนมองว่าเป็นแบบนั้นโดยไม่ได้ไตร่ตรองดูบ้าง
โทมิโอกะสังเกตเห็นอากิฮิโตะหรี่ตาลงก็ปิดปากเงียบและเริ่มส่ายตาล่อกแล่กเหมือนจะบอกว่าแย่แล้ว
อากิฮิโตะเกลียดตรงนี้ของโทมิโอกะไม่ลง ถ้าโทมิโอกะหันมาทำหน้าตาไม่รู้ไม่ชี้แล้วเมินกันอย่างไม่เกรงกลัว เขาก็คงพูดจาถากถางได้สักคำ สิ่งที่ออกจากปากอากิฮิโตะจึงมีเพียงการถอนหายใจเท่านั้น
“อย่างน้อยลองเพิ่มคำอธิบายเกี่ยวกับฟังก์ชันมาตรฐานหน่อยเป็นไง ถ้าเป็นเอกสารนี่ คนที่เข้าใจก็มีแค่ฝ่ายวัตถุดิบนั่นแหละ”
ครับ โทมิโอกะตอบรับ แต่เพราะซ่อนสีหน้าไม่เก่งเลยเห็นว่าทำหน้า ‘ยุ่งยากจัง’ ได้อย่างชัดเจน อากิฮิโตะคิดจะพูดเสริมว่า ถ้าเป็นฝ่ายขาย อย่างน้อยก็พยายามปิดบังความในใจสักหน่อย ทว่าตัวอากิฮิโตะก็เพิ่งเป็นฝ่ายขายมาไม่ถึงหนึ่งปี เลยคืนเอกสารกลับไปเงียบๆ
(ถึงพูดไป สุดท้ายก็คิดว่าเราทำตัวกร่างเป็นรุ่นพี่อยู่ดีแหละนะ)
เขาคิดอย่างนั้นพลางชำเลืองมองโทมิโอกะที่กลับไปยังที่นั่งตัวเอง ฤดูร้อนเมื่อปีที่แล้วหลังผ่านการฝึกอบรมพนักงานใหม่ โทมิโอกะถูกส่งมาสังกัดอยู่ฝ่ายขาย หากเทียบแค่ระยะเวลาที่อยู่ในฝ่ายขายก็ต่างกับอากิฮิโตะเพียงไม่กี่เดือน จะไม่ปฏิบัติด้วยเหมือนเป็นรุ่นพี่ก็เป็นเรื่องธรรมดาสินะ
(อย่าว่าแต่เป็นรุ่นพี่เลย ได้รับการยอมรับว่าเป็นคนของฝ่ายขายรึเปล่าก็ยังน่าสงสัย)
เสียงโทรศัพท์ดังก้องไปทั่วชั้น อากิฮิโตะยกหูโทรศัพท์ขึ้นหลังเสียงดังเพียงครั้งเดียวอีกครั้ง
เข้าสู่ช่วงพักกลางวัน หลังจากอากิฮิโตะเก็บของบนโต๊ะอย่างเป็นระเบียบก็ลุกขึ้นจากที่นั่ง โดยพื้นฐานแล้วฝ่ายขายจะออกไปข้างนอกเสียเป็นส่วนใหญ่ แต่เวลาที่ไม่ได้ออกไปจะซื้อขนมปังหรือข้าวกล่องตามร้านสะดวกซื้อใกล้ๆ มากินเสมอ
อากิฮิโตะสวมเสื้อโคตแล้วออกไปข้างนอก สายลมเย็นในเดือนมกราคมพัดมากระทบแก้ม เขาหดคอแล้วรีบไปร้านสะดวกซื้อ
ร้านสะดวกซื้อที่อากิฮิโตะสาวเท้าเร็วๆ เดินเข้าไปต้อนรับเขาด้วยกลิ่นอันเป็นเอกลักษณ์ของช่วงเวลานี้ กลิ่นโอเด้งข้างเคาน์เตอร์คิดเงินหรือไม่ก็กลิ่นซาลาเปาไส้เนื้อ ร้านสะดวกซื้อในฤดูหนาวนั้นช่างเต็มไปด้วยบรรยากาศที่อบอุ่นและชุ่มชื้น
ขณะรีบตรงไปมุมขายข้าวปั้นก็ถูกทักจากข้างหลังว่า “คาโนคุง” อากิฮิโตะหันไปตามเสียงที่จดจำได้แล้วเบิกตากว้างเล็กน้อย
คนที่เข้าร้านถัดจากอากิฮิโตะก็คือโมริโอกะ เจ้านายสมัยอยู่ฝ่ายวิศวกรรม อายุสี่สิบปลายๆ ซึ่งยิ้มแย้มอย่างอัธยาศัยดีอยู่เสมอ เนื่องจากฝ่ายวิศวกรรมกับฝ่ายขายอยู่กันคนละชั้นจึงไม่ได้พบหน้ากันนานแล้ว แม้แต่อากิฮิโตะที่หน้าตาบูดบึ้งตลอดเวลาทำงานก็ยังแย้มยิ้มให้แล้วผงกศีรษะทักทายกลับว่า ไม่ได้เจอกันนานนะครับ
“คาโนคุงกำลังพักกลางวันเหรอ? ฉันก็เหมือนกัน งั้นมากินด้วยกันเถอะ”
โมริโอกะพูดอย่างนั้นแล้วชูแซนด์วิชขึ้น ก่อนจะชวนอากิฮิโตะไปห้องพักในบริษัท
ห้องพักที่อยู่ชั้นหนึ่งของอาคารถูกแบ่งออกเป็นบูทหลายบูท ทั้งใช้เจรจาธุรกิจอย่างง่ายๆ และใช้ประชุมภายในบริษัทเช่นกัน ทว่าในช่วงพักกลางวันมักจะมีคนมาแกะข้าวกล่องกินกันเยอะ โมริโอกะหย่อนสะโพกลงตรงโต๊ะสำหรับนั่งสี่คนแล้วมองอากิฮิโตะที่นั่งอยู่ตรงหน้าอีกครั้ง
“ไม่ได้เจอกันนานจริงๆ เนอะ ตั้งแต่ย้ายไปอยู่ฝ่ายขายผ่านไปจะปีหนึ่งแล้วสินะ? คุ้นเคยกับงานแล้วรึยัง?”
โมริโอกะถามไถ่ด้วยสีหน้าเหมือนกังวลเรื่องลูกหลานมากกว่าจะเรียกว่าลูกน้อง อากิฮิโตะแกะข้าวปั้นไส้บ๊วยคิชูพลางตอบด้วยเสียงทุ้มต่ำว่า “ก็พอได้ครับ”
บ่นกับอดีตเจ้านายไปก็ไม่ได้อะไร อากิฮิโตะจึงตั้งใจกล้ำกลืนความไม่พอใจลงไปพร้อมข้าวปั้น แต่พอโมริโอกะที่ทำหน้าอย่างกับคนในครอบครัวมาอยู่ตรงหน้า ความไม่พอใจก็หลุดออกมาจริงๆ
“พวกฝ่ายขายไม่เข้าใจเลยสักนิดว่าเครื่องมือแปลงข้อมูลที่เราพยายามสร้างกันแทบตายมันเป็นของดีขนาดไหน น่าโมโหจริงๆ ครับ”
“อ้อ ที่เธอลำบากตรากตรำทำเพื่อให้คนที่ไม่เข้าใจเรื่องโปรแกรมเข้าใจมันได้ด้วยสัญชาตญาณสินะ?”
“ครับ แต่เซลส์ที่แนะนำระบบนั้นให้ลูกค้าได้มีค่อนข้างน้อยเลย”
โมริโอกะลู่หางคิ้วลงเอ่ยว่า “ลำบากแย่เลยเนอะ” แล้วเบนสายตามองบัตรพนักงานที่อากิฮิโตะห้อยลงมาจากคอ
“แต่คงเพราะอย่างนี้แหละ ฝ่ายขายถึงให้เธอเป็น ‘วิศวกรฝ่ายขาย’ เนอะ”
อากิฮิโตะก้มหน้าลงมองบัตรพนักงานของตนเช่นกัน ด้านข้างรูปถ่ายใบหน้ามีตัวอักษรระบุชื่ออากิฮิโตะกับคำว่าฝ่ายขาย และข้างล่างที่พิมพ์ว่า ‘วิศวกรฝ่ายขาย’
อากิฮิโตะเป็นวิศวกรฝ่ายขายเพียงหนึ่งเดียวภายในซีดส์ซิสเทมแห่งนี้ เขาถูกคำที่เป็นชื่อตำแหน่งก็ไม่ใช่ บอกหน้าที่ก็ไม่เชิงนี้ปั่นหัวให้ต้องย้ายมาอยู่ฝ่ายขาย
‘วิศวกรฝ่ายขาย’ มองแค่ชื่อก็ไม่รู้ว่าอยู่ฝ่ายขายหรือฝ่ายวิศวกรรมกันแน่ หน้าที่นั้นยังหลากหลายแตกต่างไปตามแต่ละบริษัท มีทั้งคนที่ได้ชื่อว่าเป็นฝ่ายขายซึ่งมีความรู้ทางวิศวกรรม คนที่ทำหน้าที่สนับสนุนซึ่งคอยอธิบายเกี่ยวกับเรื่องเฉพาะทางและเดินทางไปกับฝ่ายขาย แล้วยังมีคนที่หางานมาในฐานะฝ่ายขาย แต่ก็ทำงานด้านวิศวกรรมอย่างการสร้างโปรแกรมด้วย
สำหรับบริษัทของอากิฮิโตะ ดูเหมือนต้องการให้อากิฮิโตะทำหน้าที่ฝ่ายขายที่มีความรู้ทางด้านวิศวกรรม
คนในฝ่ายขายเองก็จำข้อมูลทางด้านวิศวกรรมเอาไว้ระดับหนึ่ง แต่ไม่ได้พัฒนาระบบจริงๆ ดังนั้นจึงมีบางส่วนที่รู้อย่างคลุมเครือ บางครั้งลูกค้าถามว่า ‘ทำสเปกแบบนี้ได้ไหม’ ก็ไม่สามารถตอบได้ทันที เลยมักตอบอยู่เรื่อยว่า ‘จะนำกลับไปพิจารณาครับ’ เรื่องถึงไม่คืบหน้าเสียที บางครั้งก็รับงานตามน้ำโดยไม่ทันคิดให้ดีจนทำเสร็จไม่ทันกำหนดส่งแล้วโยนความผิดให้ฝ่ายวิศวกรรม
ถ้ามีวิศวกรฝ่ายขายก็จะตอบคำถามเชิงเทคนิคได้ทันที และยับยั้งการขายที่ไม่รอบคอบได้อีกด้วย ตนเองก็เข้าใจว่าหน้าที่อย่างนั้นจำเป็นต่อบริษัท
“แต่คำสั่งย้ายนั่น กระทั่งตอนนี้ผมก็ยังยอมรับไม่ได้ครับ”
“มันเหมือนจู่โจมไม่ให้ตั้งตัวเนอะ ระหว่างที่เธอหยุดเพราะเป็นไข้หวัดใหญ่ก็ตัดสินอะไรๆ กันไปหมดแล้ว”
“พอผมมาบริษัทหลังหายดี จู่ๆ ก็มีคนมาบอกว่า ‘กำหนดให้ย้ายไปอยู่ฝ่ายขายแล้ว’ บอกว่าระหว่างที่ผมหยุดไป งานในฝ่ายวิศวกรรมก็ยังเดินได้ คงไม่มีปัญหาหรอก ไม่หยาบคายเกินไปหน่อยเหรอครับ พวกหัวหน้าฝ่ายเราก็ไม่ค้านเลยเหรอครับ?”
แม้จะรู้ว่ามาพูดป่านนี้ก็สายเกินไปแล้ว อากิฮิโตะก็ยังส่งสายตาคับแค้นให้อดีตเจ้านาย โมริโอกะยืดตัวขึ้นอย่างลนลานแล้วตะเบ็งเสียงว่า “ค้านแล้วนะ”
“บ่นแล้วด้วย พวกเด็กๆ ก็ต่อต้านอย่างเต็มที่ว่า ‘ถ้าไม่มีคุณคาโนก็ลำบาก!’ ด้วยนะ!”
แต่ว่า พูดแล้วโมริโอกะก็กัดแซนด์วิชด้วยสีหน้าละอาย
“ไม่มีทางที่ฝีปากของพวกเราจะเอาชนะพวกฝ่ายขายได้ไม่ใช่เหรอ...”
อากิฮิโตะลดคิ้วที่เลิกขึ้นข้างหนึ่งลงพร้อมถอนหายใจ เท่าที่จำได้ ไม่มีคนพูดจาโน้มน้าวเก่งอยู่ในฝ่ายวิศวกรรมของซีดส์ซิสเทมเลย อากิฮิโตะเองพอเข้ามาในฝ่ายขาย บางครั้งก็ท้อแท้ที่ตัวเองพูดน้อย แต่ถ้าเทียบกับในฝ่ายวิศวกรรม ระดับเขานับว่าดีแล้ว
โมริโอกะใช้น้ำเสียงร่าเริงเสี่ยงถามอากิฮิโตะที่กดหัวตาโดยไม่พูดอะไร
“คาโนคุง ตอนนี้ทำงานอะไร? ออกไปตระเวนขายเหรอ?”
“ก็...นั่นสินะครับ ส่วนใหญ่ก็สนับสนุนงานขายมากกว่าออกไปหาลูกค้าใหม่ ไปร่วมประชุมแล้วทำเอกสารนำเสนอบ้าง เสนอราคาคร่าวๆ บ้าง ช่วยงานติดตั้งระบบก็บ่อยครับ ที่เหลือก็พยายามตอบคำถามตอนมีคำถามเชิงเทคนิคมาจากลูกค้าน่ะครับ”
“อย่างนี้นี่เอง ถ้างั้นฝ่ายขายก็มองว่าสำคัญใช่ไหม?”
อากิฮิโตะไม่ตอบคำของโมริโอกะที่หัวเราะอย่างไร้กังวล แล้วเปิดกระป๋องกาแฟที่ซื้อมาจากร้านสะดวกซื้อ อย่าว่าแต่มองว่าสำคัญเลย ถ้าบอกว่าแสร้งทำตัวสุภาพด้วย แต่คอยหลบเลี่ยง หัวหน้าผู้แสนดีจะทำหน้าแบบไหนกันนะ
อาจเพราะมีภูมิหลังที่ชื่อว่าอดีตฝ่ายวิศวกรรม ไม่ว่าอย่างไรวิธีการของตนก็ไม่เข้ากับฝ่ายขาย
ตัวอย่างเช่น ความคาดหวังว่า ‘หากใช้ระบบของบริษัทคุณจะสามารถทำเรื่องแบบนี้ได้เหรอครับ?’ ของผู้รับผิดชอบฝั่งลูกค้าที่เข้าใจระบบการจัดการธุรกิจผิดไปว่าเป็นเสมือนเครื่องมือที่ทำได้ทุกอย่าง เขาจะปฏิเสธทันที
อากิฮิโตะคิดว่ายังดีกว่าเบี่ยงประเด็นอย่างคลุมเครือว่า ‘จะนำไปพิจารณาครับ’ หรือ ‘จะปรึกษากับฝ่ายวิศวกรรมให้ครับ’ แล้วถูกยัดเยียดข้อกำหนดความต้องการแสนยุ่งยากมาให้ แต่พวกฝ่ายขายไม่ชอบทำอย่างนั้น
การรับปากแบบง่ายๆ คนที่ต้องมารับกรรมแทนก็คือฝ่ายวิศวกรรม ดังนั้นเขาจึงพยายามอธิบายให้ถูกต้องเท่าที่จะทำได้ แต่ดูเหมือนในมุมมองของฝ่ายขายจะเห็นว่าเขากำลังเข้าข้างฝ่ายวิศวกรรม
(โดนหมอนั่นว่าเอาอยู่เรื่อยว่าจะทำตัวเป็นวิศวกรไปถึงเมื่อไรด้วยแหละนะ)
พอนึกถึงเสียงทุ้มต่ำที่พูดใส่อากิฮิโตะอย่างไม่สนใจคำตอบว่า ‘ทำตัวดีๆ ได้แล้ว’ จู่ๆ โมริโอกะก็พูดเสียงดัง
“จะว่าไปแล้ว โอคามิคุงเป็นยังไงบ้างล่ะ? สนิทกันดีไหม?”
นิ้วอากิฮิโตะกระตุก เมื่อเหลือบตาขึ้นทั้งที่ปากยังวางอยู่บนกระป๋อง โมริโอกะก็ทำหน้าตากังวล
“ก่อนหน้านี้เห็นเถียงกันตรงล็อบบี้บริษัทใหญ่เลย หรือว่าไม่ค่อยสนิทกัน?”
อย่าว่าแต่ไม่ค่อยเลย อากิฮิโตะเกือบพูดไปแล้วแต่เปลี่ยนหัวข้ออย่างลื่นไหล
“ไม่ใช่โอคามิ แต่เป็นโองามิครับ”
“อ้อ งั้นเหรอ? อายุเท่ากับเธอใช่ไหม? ดูเหมือนตั้งแต่เข้าบริษัทมาก็อยู่ฝ่ายขายตลอด แถมได้ยินข่าวลือว่าทำผลงานดีด้วยนะ ลองปรึกษาเรื่องงานในฝ่ายขายดูเป็นไง?”
“ไม่เอาดีกว่าครับ เดี๋ยวหมอนั่นมาแก้ใบเสนอราคาของคนอื่นตามอำเภอใจ”
เขากำลังจะพูดคำว่า นอกจากนี้ แต่ก็หยุดพูดอีก
(ไม่อยากถามคำถามไร้สาระและรบกวนหมอนั่น)
อากิฮิโตะดื่มกาแฟเงียบๆ จนดูเหมือนโกรธ โมริโอกะจึงหัวเราะด้วยใบหน้าเจื่อนๆ
“เธอก็หัวแข็งไม่เปลี่ยนเลยนะ ทั้งที่ยอมรับฝีมือการขายของโองามิคุงแท้ๆ”
“...ทำไมถึงคิดอย่างนั้นล่ะครับ”
“เธอจะหาเรื่องแต่คนที่เก่งจริงๆ เท่านั้นแหละ”
อากิฮิโตะกะพริบตาครั้งหนึ่งแล้ววางกระป๋องกลับลงบนโต๊ะโดยไม่พูดอะไร
เขาไม่ปฏิเสธในทันที เพราะรู้สึกเจ็บใจที่ตัวเองเป็นแบบนั้น
โมริโอกะขยำถุงแซนด์วิชที่ว่างเปล่าแล้วมองกาแฟของอากิฮิโตะก่อนจะยักไหล่
“ต้องดื่มกาแฟตอนกินข้าวนี่ก็เหมือนเดิมเลยนะ กาแฟเข้ากับข้าวปั้นเหรอ?”
ไม่เข้าเลยครับ เขาเกือบจะพูดออกไปแต่ก็เม้มปาก หากเป็นเวลาส่วนตัวจะซื้อชาข้าวบาร์เลย์หรือชาเขียว แต่ที่นี่คือบริษัท ไม่รู้ว่าจะมีอะไรเกิดขึ้นเมื่อไร
“สำหรับผมแล้ว ถ้าไม่ใช่เจ้านี่ก็ไม่ได้น่ะครับ”
โมริโอกะหัวเราะร่าว่า “หัวแข็งจริงๆ เนอะ” ใส่อากิฮิโตะที่ตอบสั้นๆ
หลังกินข้าวกลางวันกับโมริโอกะเสร็จ อากิฮิโตะกลับที่นั่งตัวเองทันที เพราะมีแผนออกไปข้างนอกตั้งแต่ช่วงบ่าย ขณะเตรียมตัวอย่างรีบร้อนก็มีเสียงหนักๆ ทุ้มต่ำเขย่าบรรยากาศผ่อนคลายหลังพักกลางวัน
“กลับมาแล้วครับ”
เสียงดังขึ้นตรงทางเข้าชั้น พนักงานที่ออกไปทำงานข้างนอกเสร็จแล้วกลับเข้ามาบริษัทจะต้องเอ่ยเช่นนี้ก่อนเข้าห้องก็เป็นข้อปฏิบัติที่รู้กันในฝ่ายขาย พริบตาที่ได้ยินเสียงซึ่งสะเทือนไปทั้งร่าง อากิฮิโตะลุกพรวดพร้อมหยิบใบเสนอราคาที่วางไว้บนโต๊ะขึ้นมา
คนที่ก้าวยาวๆ เข้ามาในชั้นก็คือโองามิ เซจิที่โผล่มาในหัวข้อสนทนากับโมริโอกะเมื่อกี้
อากิฮิโตะวิ่งเหยาะๆ ตามโองามิไป ทว่าแทนที่ระยะห่างจะลดลง มันกลับเพิ่มขึ้นไปอีก เพราะก้าวเดินของโองามิยาวมาก อากิฮิโตะจึงตามโองามิที่เดินธรรมดาไม่ทัน
ครั้นมองแผ่นหลังใหญ่ที่อยู่ข้างหน้า ก็รู้สึกราวกับเห็นภาพลวงตาว่าร่างกายของตัวเองหดเล็กลง ทั้งที่อากิฮิโตะก็มีส่วนสูงหนึ่งร้อยเจ็ดสิบกลางๆ ตามค่าเฉลี่ย แต่โองามิร่างสูงใหญ่กว่าประมาณหนึ่งช่วงศีรษะ ไหล่ก็กว้างและลำคอหนา บริเวณคอเสื้อเชิ้ตจึงดูอึดอัดอย่างบอกไม่ถูก
สุดท้ายก็มาจนถึงที่นั่งของโองามิ อากิฮิโตะยืนอยู่ข้างโต๊ะของโองามิด้วยใบหน้าไม่สบอารมณ์
“โองามิ ใบเสนอราคานี้ที่ส่งอีเมลมาเมื่อเช้าคืออะไร”
โองามิหยุดมือที่กำลังจะวางบนพนักเก้าอี้ ร่างใหญ่หันมาทางนี้ช้าๆ สีหน้าไร้ซึ่งอารมณ์มองลงมาจากที่ที่สูงกว่าระดับสายตา ทั้งที่เป็นใบหน้าที่เห็นจนคุ้นชินแล้ว แต่ก็เกือบจะถอยหลัง
หากร่างกายใหญ่โตอย่างเดียวยังว่าไปอย่าง ทว่าโองามิมีใบหน้าน่ากลัว คิ้วหนากับตาสองชั้น จัดเป็นประเภทผู้ชายหล่อเหลาด้วยซ้ำ น่าเสียดายที่ริมฝีปากเม้มแน่นทำให้หน้าตาดูไม่เป็นมิตรจนเกินไป ดวงตาดุดันนั้นถึงขนาดทำให้ประทับใจเลยว่าอย่างนี้ก็ยังอุตส่าห์ทำงานฝ่ายขายได้ ถ้าปลดกระดุมคอเสื้อให้หลวมแล้วใส่สร้อยทองเส้นหนาๆ คงไม่คิดกันว่าเป็นคนสุจริตแน่ แทบจะเป็นยากูซ่าแล้ว
อากิฮิโตะเก็บอาการแขนขาเกือบอ่อนแรงแล้วชี้ใบเสนอราคาโดยไม่เอ่ยคำใด นี่เป็นงานที่ออกไปประชุมที่บริษัทลูกค้าร่วมกับโองามิเมื่อวันก่อน
โองามิเหลือบตามองใบเสนอราคาแวบหนึ่งก่อนถอนหายใจอย่างรำคาญแล้วนั่งลงบนเก้าอี้
“เพราะนายไม่เสนอราคาสักที ฉันเลยประเมินออกมาคร่าวๆ”
“ถ้าเป็นใบเสนอราคาที่จะส่ง ฉันใส่ไว้ในแชร์โฟลเดอร์แล้วนะ”
งั้นหรอกเหรอ? โองามิตอบรับอย่างเย็นชา พอมองใบหน้าด้านข้างนั้นแล้วมั่นใจเลยว่าจงใจแน่ๆ ในใจจริงๆ คงไม่ถูกใจราคาที่อากิฮิโตะเสนอ ถึงได้ส่งใบเสนอราคาของตัวเองมาทางอีเมล
ต่อให้ขึ้นเสียงใส่ก็คงปัดทิ้งไปง่ายๆ อากิฮิโตะถอนหายใจยาวๆ ไม่ให้อารมณ์ขึ้นก่อนจะเอ่ยถามอีกครั้ง
“ใช้มาตรฐานแบบไหนคิดตัวเลขนี้ออกมา?”
“เอาค่าแรงคูณชั่วโมงแรงงานที่จำเป็น”
“ไม่ใช่กำหนดตัวเงินอย่างเป็นเครื่องจักรแบบนั้นสิ มันแพงเกินไป”
“จะแพงหรือถูก ลูกค้าเป็นคนตัดสิน ไม่ใช่นาย ฝั่งนั้นขอให้ลดราคาลงแล้วถึงจะเริ่มเจรจาต่อรองไม่ใช่รึไง”
“ทำใบเสนอราคาแบบเผื่อว่าลูกค้าจะขอลดราคางั้นเหรอ ภาพลักษณ์แย่ลงไม่รู้ด้วยนะ”
“งานคือการต่อบทสนทนาให้ดี เพื่อไม่ให้กลายเป็นอย่างนั้นไม่ใช่รึไง แต่นายคงทำไม่ไหวสินะ”
“ก็นั่นสิ วิธีขายแบบไม่มีหัวคิดอย่างวางเดิมพันกับเซลส์ทอล์กที่ไม่รู้ว่าผลลัพธ์จะออกมาเป็นยังไง ฉันทำไม่ได้หรอก”
ทั้งที่ตั้งใจไม่ให้อารมณ์ขึ้น แต่ไม่ทันไรเสียงก็เดือดแล้ว พออีกฝ่ายเป็นโองามิแล้วเป็นอย่างนี้เสมอ ฉุนจนทนสงบเยือกเย็นไม่ได้สักที
ทุกคนในฝ่ายขายชินกับบทสนทนาตึงเครียดแบบนี้แล้วเลยไม่มีใครหันมามองทางนี้ทั้งนั้น
ครั้นโองามิเปิดคอมพิวเตอร์ก็ยกขาที่ยาวอย่างเปล่าประโยชน์ขึ้นไขว่ห้างแล้วเชิดคางมาทางใบเสนอราคา
“จู่ๆ เสนอจำนวนเงินที่ได้กำไรฉิวเฉียด ถ้าอีกฝ่ายบอกให้ลดราคาลงหน่อยจะทำยังไง? จำนวนเงินนั่นฉันก็ไม่ได้ตั้งสูงมากมาย ถ้ารับไม่ได้ลองดีดลูกคิดหากำไรขาดทุนดูอีกครั้งสิ ฉันคิดว่าเป็นราคาที่เหมาะสมแล้ว”
อากิฮิโตะเม้มปาก โองามิเป็นฝ่ายขายที่เข้าบริษัทมาก็เติบโตอยู่ที่นี่เลย แตกต่างจากอากิฮิโตะที่เพิ่งย้ายมาฝ่ายขายเกือบจะครบปี ด้านหลักการทั่วไปเขาเทียบไม่ติด จึงไม่อาจเถียงหัวชนฝาไปมากกว่านี้ได้
คุยจบรึยัง? โองามิถามด้วยสายตา อากิฮิโตะชักสีหน้าไม่พอใจ
“ยังไม่จบ นายรับทราบการเปลี่ยนแปลงในเอกสารข้อกำหนด โดยพลการใช่ไหม ฉันน่าจะบอกไปแล้วนะว่าให้รอคำตอบก่อน”
“มันไม่ใช่คำตอบอย่างเป็นทางการไม่ใช่เรอะ”
“ถึงเป็นสัญญาปากเปล่า ลูกค้าก็คาดหวัง อย่าตอบกลับทันทีอย่างชุ่ยๆ สิ มันเปลี่ยนยากนะ”
“ต่อให้ยากก็ควรช่วยลูกค้าด้วยความจริงใจเพื่อทำความต้องการให้สำเร็จไม่ใช่เหรอ”
“แต่ภาระของฝ่ายวิศวกรรมจะ”
ทันทีที่คำว่าฝ่ายวิศวกรรมออกจากปากอากิฮิโตะ สายตาของโองามิก็เปลี่ยนเป็นสายตาอันตรายทันใด
ลำคอตีบตันจนเสียงขาดห้วงไป อากิฮิโตะหงุดหงิดที่เพียงแค่ถูกจ้องก็เก็บคำพูดกลับคืนแล้ว แต่โองามิในเวลาแบบนี้หน้าตาดูร้ายกาจขึ้นมาขนาดคิดว่าเป็นคนสุจริตไม่ได้เลย
โองามิขยับเก้าอี้จนเสียงดังเอี๊ยดอ๊าดแล้วโน้มตัวมาข้างหน้า ค่อยๆ ช้อนตาขึ้นจ้องอากิฮิโตะเขม็ง
“ฉันไม่เชื่อคำว่า ‘ทำไม่ได้ครับ’ ของฝ่ายวิศวกรรมหรอก ‘ทำไม่ได้ครับ’ ของเจ้าพวกนั้นคือ ‘ทำไม่ได้ครับ เพราะเปลืองแรง’ ไม่ใช่เรอะ นายเลิกเข้าข้างสักทีเถอะ”
อากิฮิโตะฝืนกลืนน้ำลายลงไป จากนั้นตอบสนองด้วยการขึ้นเสียงใส่เพื่อไม่ให้ล่วงรู้ว่าตัวเองใจฝ่อไปแล้ว
“ไม่ได้เข้าข้าง แค่รู้สถานการณ์ภายใน เพราะพวกนายเอาแต่รับออร์เดอร์มาแบบไม่ยั้งคิด ไม่คำนึงถึงความสะดวกของฝ่ายวิศวกรรมแบบนั้น ฉันถึงต้องย้ายมาอยู่ตรงนี้ไงเล่า”
“นั่นสินะ ถูกดึงตัวจากฝ่ายวิศวกรรมมาอยู่ฝ่ายขาย ตัวนายก็เป็นฝ่ายขายแล้ว เปลี่ยนวิธีคิดซะ”
โองามิพูดจาเย็นชาอย่างไม่สนใจคำตอบแล้วเบนสายตามามองบัตรพนักงานที่ห้อยอยู่ตรงอกอากิฮิโตะ
อากิฮิโตะเข้าใจทันทีว่ากำลังมองอะไรอยู่ มองคำว่า ‘วิศวกรฝ่ายขาย’ ที่ถูกพิมพ์ไว้ข้างรูปใบหน้าของอากิฮิโตะนั่นเอง
ตัวอักษรที่ไม่ใช่ทั้งฝ่ายขายหรือฝ่ายวิศวกรรม ก็เหมือนกับสภาพของตนที่ถูกจัดให้สังกัดอยู่ฝ่ายขาย อากิฮิโตะขมวดคิ้วเงียบๆ
ฤดูใบไม้ผลิปีที่แล้ว ดอกซากุระกำลังบานละมั้ง
น่าจะกำลังบาน แต่เขาจำไม่ค่อยได้
ในวันแรกที่ปีงบประมาณใหม่เริ่มต้น อากิฮิโตะอุ้มลังกระดาษที่ใส่แฟ้มเอกสารและอุปกรณ์เครื่องเขียนกระจุกกระจิกเช่นปากกา มายืนอยู่ที่หน้าทางเข้าฝ่ายขายอย่างเหม่อลอย
อากิฮิโตะผู้ไม่ค่อยเข้าใจว่าตนถูกสั่งย้ายฝ่ายด้วยที่มาที่ไปอย่างไรมองไปทั่วชั้นฝ่ายขายซึ่งมีคนนั่งกันอยู่หร็อมแหร็มด้วยความรู้สึกกึ่งๆ เหมือนถูกลดตำแหน่ง เนื่องจากฝ่ายวิศวกรรมนั่งอยู่ที่โต๊ะกันค่อนชั้นเสมอ เขาเลยตื่นตระหนกที่มีคนน้อย แต่นั่นเพราะส่วนใหญ่ฝ่ายขายออกไปทำงานข้างนอกจึงเป็นเรื่องธรรมดาที่ไม่มีคน เขาตระหนักว่าดันมาอยู่ในฝ่ายที่แตกต่างกับฝ่ายวิศวกรรมอย่างสิ้นเชิงเสียแล้วจริงๆ
คนของฝ่ายขายซึ่งนั่งอยู่ที่โต๊ะอย่างกระจัดกระจายนั้นดูยุ่งทุกคน ไม่มีใครหันมามองอากิฮิโตะที่อุ้มลังกระดาษยืนนิ่งอยู่เลย พอเขาป้วนเปี้ยนอยู่ตรงมุมห้องด้วยไม่รู้จะทำอย่างไร พนักงานชายร่างสูงใหญ่ก็เข้ามาหา ชายคนนั้นก็คือโองามิ
ขณะถูกคนตัวสูงถึงขนาดต้องเงยหน้ามองกดดัน ลังกระดาษก็ถูกแย่งไปอย่างง่ายดาย ในหัวผุดคำว่า ‘ปล้น’ แต่ก็คิดได้ทันทีว่าคงช่วยถือของให้ โองามิถือลังที่คว้าไปจากอากิฮิโตะแล้ววางบนโต๊ะที่อยู่ใกล้ทางเข้าของชั้น เหมือนบอกว่าตรงนี้เป็นที่นั่งของนาย
พอเขาจะเอ่ยคำขอบคุณ โองามิก็หันมา ล้วงมือเข้าไปในกระเป๋าตรงอกเสื้อเชิ้ต
บรรยากาศเหมือนต่อให้มีสิ่งต้องห้ามตามกฎหมายออกมาก็ไม่แปลกเลย แต่สิ่งที่อีกฝ่ายหยิบออกมาเป็นบัตรพนักงานที่เก็บไว้ในกระเป๋า
“โองามิครับ”
ภายในหัวอากิฮิโตะนึกถึงคำที่เขียนด้วยตัวคันจิ ‘ใหญ่กับเทพเจ้า’ และ ‘ใหญ่กับข้างบน’ อย่างไม่รู้ตัว เขามองชื่อที่พิมพ์บนบัตรพนักงานว่า ‘โองามิ เซจิ’ แล้วตะลึงงัน
ครั้นเงยหน้าก็พบว่าอีกฝ่ายยกมุมปากขึ้นด้วยสีหน้าเหมือนอยากพูดว่าเป็นไปตามคาด
“แปลกนิดหน่อยใช่ไหมล่ะ?”
อาจเพราะถูกมองลงมาด้วยหน้าตาบูดบึ้ง รอยยิ้มบางๆ ที่ปรากฏตรงริมฝีปากนั้นจึงประทับลงในใจอย่างแจ่มชัดเหลือเกิน พออากิฮิโตะพยักหน้ารับอย่างว่าง่าย ดวงตาคมปลาบก็ค่อยๆ วาดเป็นเส้นโค้ง
โองามิเอ่ยว่า “หลังจากนี้ก็ฝากตัวด้วยนะ” โดยที่ดวงตายังคงเจือรอยยิ้ม เขาจำได้ว่าเสียงที่ทุ้มต่ำนั้นสงบมั่นคง ช่วยปลอบโยนหัวใจของอากิฮิโตะที่ตื่นตระหนกได้บ้างเล็กน้อย
นั่นเป็นเรื่องราวในวันแรกที่ถูกส่งมาสังกัดอยู่ฝ่ายขายเมื่อประมาณหนึ่งปีก่อน หลังจากนั้นหัวหน้าฝ่ายขายก็มาหาทันที แล้วช่วยอธิบายความเป็นมาที่อากิฮิโตะต้องโยกย้ายตำแหน่ง แต่รอยยิ้มของโองามิตราตรึงใจมากกว่าคำอธิบายที่คลุมเครือ
รอยยิ้มอ่อนโยนบนใบหน้าน่ากลัว อากิฮิโตะไม่ได้เห็นอีกฝ่ายทำหน้าแบบนั้นมานานแล้ว
หลังจากทะเลาะกับโองามิเล็กน้อยเรื่องใบเสนอราคา อากิฮิโตะที่กลับจากบริษัทลูกค้าก็ตรงไปยังชั้นฝ่ายขายด้วยฝีเท้าหนักอึ้ง
คนจากฝ่ายขายที่ออกไปด้วยกันนั้นไปหาลูกค้าเจ้าอื่นแล้ว ส่วนอากิฮิโตะที่กลับบริษัทมาคนเดียวเดินตรงไปยังฝ่ายขายด้วยสีหน้าเหนื่อยจนหมดแรง แม้จะผ่านไปหนึ่งปีเขาก็ยังไม่ถนัดเรื่องการขายเช่นเดิม
เมื่อเดินผ่านหน้าห้องชงกาแฟ กลิ่นหอมของกาแฟก็ลอยเตะจมูก ดูเหมือนใครบางคนกำลังชงกาแฟด้วยเหยือกเสิร์ฟกาแฟ ครั้นตั้งใจว่าตนก็จะชงกาแฟสักถ้วยก่อนกลับที่นั่งด้วยดีกว่า ก็ได้ยินเสียงคุ้นหูดังมาจากด้านใน
“แต่ใจร้ายไหมล่ะครับ นี่ผมเป็นฝ่ายขายนะ จะไปรู้เรื่องวิศวกรรมได้ยังไง”
เสียงสูงที่ยังหลงเหลือความเยาว์วัยอยู่เล็กน้อยนั่นคือโทมิโอกะเหรอ ทั้งที่ตอนอยู่ต่อหน้าอากิฮิโตะปากหนักแท้ๆ แต่เสียงที่ได้ยินจากห้องชงกาแฟกลับฟังดูมีชีวิตชีวาสมวัย ขณะคิดว่าโทมิโอกะคุยกับใครอยู่นั้นก็มีเสียงหัวเราะต่ำๆ ดังแทรกเสียงโทมิโอกะขึ้นมา
“นายเลยโดนพวกฝ่ายวิศวกรรมด่าเอาสินะ เรื่องนั้นนายนั่นแหละที่ผิด”
เสียงพูดกลั้วหัวเราะทำให้อากิฮิโตะสะดุ้ง โองามินั่นเอง
พักอยู่งั้นเหรอ ดูเหมือนกำลังคุยเล่นกันสองคนในห้องชงกาแฟ โทมิโอกะพูดอยู่ฝ่ายเดียวแต่ไม่รู้ทำไมมีเพียงเสียงโองามิที่ดังติดหู คำตอบรับสบายๆ กับเสียงหัวเราะปนลมหายใจที่ดังลอดออกมานั้นทำให้อากิฮิโตะขยับตัวไม่ได้
ลักษณะภายนอกของโองามิดูเข้าหายาก ทว่านิสัยจริงๆ เป็นคนง่ายๆ จึงเห็นภาพยืนคุยกับพนักงานคนอื่นอย่างสบายๆ บ่อยๆ มีเพียงตนเท่านั้นที่ไม่สามารถเปิดใจสนิทสนมกับโองามิได้ อากิฮิโตะไม่ได้ยินเสียงโองามิพูดคุยอย่างอารมณ์ดีมานานจนไม่อาจขยับขาก้าวออกไปจากตรงนั้นได้
“จะว่าไป ผมกำลังทำเอกสารสำหรับประชุมฝ่ายขายอยู่ครับ ยอดขายคุณโองามิสุดยอดไปเลยนะครับ?”
“หือ ฉันชงกาแฟให้นายอีกถ้วยเอาไหม?”
“ไม่ต้องครับ แต่จริงๆ นะครับ ทำงานขายด้วยหน้าตาอย่างกับยากูซ่าแบบนั้นได้ยังไงครับเนี่ย?”
สิ่งที่ทุกคนคิดแต่ไม่พูดออกมา โทมิโอกะกลับพูดออกมาอย่างง่ายดาย อากิฮิโตะรู้สึกหายใจไม่ทั่วท้อง แต่โองามิหัวเราะอย่างตลกขบขันเท่านั้น
“ฉันไม่ได้ไปข่มขู่อะไรเขาหรอกนะ”
“แต่ดูท่าจะขายแนวบังคับให้ซื้อ”
เข้าใจเลย อากิฮิโตะพยักหน้า บอกตามตรงว่าภายนอกโองามิน่ะดูน่ากลัว แต่ที่ผลงานยอดขายรั้งอันดับต้นๆ เสมอนั้นเป็นเพราะสร้างมนุษยสัมพันธ์เก่งกว่าคนอื่นมากนั่นเอง
แม้กระทั่งรูปลักษณ์ภายนอกที่น่าเกรงขาม โองามิก็นำมาใช้เป็นอาวุธของตัวเอง เหมือนที่ให้อากิฮิโตะดูบัตรพนักงานตอนพบกันครั้งแรก พอคิดว่าเข้ามาใกล้ด้วยสีหน้าจริงจังอย่างกับจะข่มขวัญ ทันใดนั้นก็ลดการ์ดลงแล้วเผยรอยยิ้มให้เห็น การกระทำง่ายๆ แบบนั้นทำให้แม้แต่อากิฮิโตะยังลดความระแวดระวังลงอย่างง่ายดาย
“จะว่าไปคุณคาโนเนี่ย เดิมทีอยู่ฝ่ายวิศวกรรมสินะครับ? ทำไมถึงมาอยู่ฝ่ายขายได้ล่ะครับ?”
อากิฮิโตะกำลังนึกถึงวันที่พบกับโองามิครั้งแรก พอจู่ๆ ชื่อตัวเองดังออกมาเลยเกือบจะสะดุ้งโหยง อีกด้านหนึ่ง โองามิตอบคำถามด้วยน้ำเสียงสบายๆ
“ผู้จัดการฝ่ายเราดันทุรังน่ะ เห็นว่าเพราะอยากให้มีวิศวกรฝ่ายขาย”
“คำว่าวิศวกรฝ่ายขาย ผมไม่รู้จักเลยครับ”
“พวกหัวหน้าฝ่ายก็ไม่ค่อยเข้าใจมั้ง? อารมณ์เหมือนต้องตัดสินใจไปก่อนทั้งที่ยังไม่มีวิสัยทัศน์ชัดเจนด้วยแหละ”
แผ่นหลังของอากิฮิโตะสั่นสะท้าน พริบตาต่อมาปลายนิ้วก็ไร้เรี่ยวแรง เขากำมืออย่างลนลาน ปลายนิ้วที่สัมผัสฝ่ามือสูญเสียความร้อนในพริบตา
อากิฮิโตะรู้สึกว่าจะฟังมากไปกว่านี้ไม่ได้ คนในฝ่ายขายรวมทั้งโองามิต้องไม่รู้จะจัดการอย่างไรเรื่องอากิฮิโตะอยู่แน่ๆ เรื่องแค่นั้นตนเองก็สัมผัสได้ มาถึงขั้นนี้แล้ว ไม่อยากให้พูดออกมาเป็นคำพูดเลย
โทมิโอกะตอบรับอย่างคลุมเครือ ก่อนพูดตรงๆ อย่างไร้เดียงสาเข้าขั้นโหดร้าย
“วิศวกรรมฝ่ายขายเนี่ย ตำแหน่งดูสบายดีจังนะครับ ไม่มียอดให้ทำเป้าด้วย”
อากิฮิโตะก้าวยาวๆ ผละไปจากตรงนั้นโดยไม่รอให้โทมิโอกะพูดจบ
ปลายเล็บเท้าแข็งเหมือนเป็นน้ำแข็งอยู่ในรองเท้า ทั้งที่เดินอยู่บนทางเดินปูพรมแต่รู้สึกเหมือนถูกบังคับให้เดินบนถนนที่มีหิมะทับถม นิ้วมือทั้งสองข้างก็เย็นยะเยือกพอๆ กัน เขากำนิ้วเข้าหากันและคลายออกหลายครั้งเพื่อไม่ให้นิ้วแข็ง
ตัวเลขเป้าหมายที่ต้องทำให้สำเร็จซึ่งถูกกำหนดมาให้พนักงานฝ่ายขายปกตินั้น เรียกอีกอย่างว่ายอดขั้นต่ำ...อากิฮิโตะไม่ได้ถูกกำหนดยอดมาอย่างที่โทมิโอกะพูด งานที่เขาเคลื่อนไหวเพียงลำพังนั้นมีอยู่น้อย เพราะส่วนใหญ่เป็นการสนับสนุนสมาชิกคนอื่นตั้งแต่ต้นจนจบ มีแค่อากิฮิโตะที่ได้รับการปฏิบัติอย่างแตกต่าง ดังนั้นหากมองในมุมของโทมิโอกะแล้วก็คงดูเป็นงานสบาย
โทมิโอกะยังว่าไปอย่าง แต่อากิฮิโตะไม่อยากเห็นภาพโองามิหัวเราะเห็นด้วยกับเรื่องนั้น
อากิฮิโตะพูดว่า “กลับมาแล้วครับ” ตรงทางเข้าชั้นฝ่ายขายแล้วตรงไปที่นั่งของตัวเอง เขาถูปลายนิ้วเย็นเยียบอยู่หน้าคอมพิวเตอร์ด้วยความรู้สึกว่าเวลานี้แหละที่อยากดื่มกาแฟอุ่นๆ ทว่าในห้องชงกาแฟยังมีพวกโองามิอยู่ ทั้งที่กาเฟอีนช่วยตนได้แท้ๆ
อากิฮิโตะหยิบช็อกโกแลตขนาดพอดีคำออกมาจากลิ้นชักแล้วโยนใส่ปากอย่างจนหนทาง ถ้าเติมน้ำตาลเข้าไปความอบอุ่นคงกลับคืนสู่ร่างกายบ้าง
เขารอคอมพิวเตอร์ทำงานพลางถูปลายนิ้วที่เย็นเยียบจนซีดขาวเข้าด้วยกันอย่างไม่คิดอะไร
ถึงเป็นสภาพร่างกายที่ยุ่งยากแต่ก็ชินแล้ว แค่วันนี้ไม่ง่วงก็ดีแล้ว
อากิฮิโตะเป่าลมหายใจรดปลายนิ้วแล้วนึกถึงคำพูดของโทมิโอกะ มันเป็นการออกความเห็นที่รุนแรง แต่นั่นคงเป็นความเห็นของทุกคนในฝ่ายขาย เพราะนอกจากไม่มียอดขั้นต่ำที่ต้องทำแล้วเขายังเข้าข้างฝ่ายวิศวกรรมอีก เอาแต่ทำตัวขัดขวางสมาชิกในฝ่ายขายที่พยายามจะคว้างานมาให้ได้อย่างแข็งขัน
(จะผ่านไปนานแค่ไหน เราก็เป็นเซลส์ไม่ได้แฮะ)
อากิฮิโตะไถลนิ้วที่แข็งจนขยับไม่ได้ตามใจนึกบนแป้นพิมพ์แล้วเหลือบมองไปยังทางเข้าชั้น
คงคุยกันสนุกน่าดู โองามิกับโทมิโอกะถึงไม่กลับมาจากห้องชงกาแฟเสียที
วันสุดท้ายของเดือนมกราคม ทันทีที่บรรยากาศช่วงปีใหม่หมดลงและงานเริ่มดำเนินอย่างจริงจังก็มีงานเคลมแรกหลังปีใหม่เข้ามา ทั้งไม่น่ายินดีและไม่น่าขอบคุณเลย แต่แน่นอนว่าก็ไม่สามารถปล่อยทิ้งไว้ได้
เขาใช้เวลาค่อนวันจัดการปัญหางานเคลม พอเงยหน้าขึ้นอย่างไม่คิดอะไรหลังตั้งใจจัดการงานเอกสารที่ค้างอยู่ ก็พบว่าในชั้นไม่มีใครนอกจากตนอยู่แล้ว เวลาสี่ทุ่มกว่า ระยะหลังมานี้หากทำงานล่วงเวลาจะถูกหัวหน้าเขม่นด้วยเหตุผลจำพวกต้องปรับปรุงวิธีทำงาน แต่สมัยยังอยู่ฝ่ายวิศวกรรม มัวพูดถึงเรื่องแบบนั้นไม่ได้หรอก
อากิฮิโตะถอนหายใจเบาๆ แล้วเอนกายพิงพนักเก้าอี้ ยังไม่ได้ปิดเครื่องทำความร้อนแต่ภายในห้องที่มีความหนาแน่นลดลงอย่างเห็นได้ชัดนั้นดูโหวงเหวงและหนาวอย่างบอกไม่ถูก พอหลับตาลงเพื่อพักสายตาที่ใช้งานมาอย่างหนัก เหตุการณ์ตอนกลางวันก็ย้อนกลับมาปรากฏขึ้นหลังเปลือกตาจนคิ้วขมวดเข้าหากัน
มีงานเคลมเข้ามานั้นไม่ใช่เรื่องแปลก แต่การรับโทรศัพท์ที่อีกฝ่ายโกรธเป็นฟืนเป็นไฟทำให้ปวดกระเพาะทุกครั้ง พอหมดพักกลางวันยังมีโทรศัพท์เข้ามาทันที เขาจัดการโดยอดทนต่ออาการอาหารไหลย้อน ทว่าก็ถูกตวาดใส่ว่าข้อกำหนดที่น่าจะปรับเปลี่ยนไปไม่ได้ถูกนำไปจัดทำระบบ
โองามิกับอากิฮิโตะรับผิดชอบดูแลเรื่องนี้ ตอนไปหาอีกฝ่ายกับโองามิสองคนในการประชุมครั้งแรกสุด ช่วงที่พูดคุยเกี่ยวกับเนื้อหาเชิงเทคนิค อากิฮิโตะจัดการคนเดียวตลอด
ผู้รับผิดชอบฝั่งลูกค้าโกรธจัด บอกให้มาอธิบายเดี๋ยวนี้ อากิฮิโตะลองอธิบายทางโทรศัพท์ดูแล้วแต่ก็หาข้อสรุปไม่ได้ พอแจ้งสถานการณ์กับโองามิที่ไปทำงานนอกสถานที่ที่โอซากะตั้งแต่เมื่อวานทางอีเมล ก็ได้รับคำตอบกลับมาว่า ‘ฉันจะไปด้วย’ แต่ขืนรอโองามิกลับมาจะไปหาผู้รับผิดชอบภายในวันนี้ไม่ได้
ถ้าเป็นเรื่องการเปลี่ยนแปลงข้อกำหนด อากิฮิโตะเข้าใจเป็นอย่างดี เขาอธิบายในการประชุมครั้งที่แล้วว่า จากกำหนดส่งปัจจุบัน การนำข้อกำหนดใหม่เข้ามาใส่นั้นเป็นเรื่องยาก ผู้รับผิดชอบก็น่าจะยอมเข้าใจแล้ว และเขาส่งแผนสำรองให้แล้วอย่างไม่ตกหล่น อากิฮิโตะเห็นว่าปล่อยให้รอคำอธิบายไม่ใช่แผนที่ดีจึงตรงไปหาผู้รับผิดชอบเพียงลำพัง
ผู้รับผิดชอบเป็นชายที่ชื่อว่าอิบุชิ อายุประมาณห้าสิบปี เป็นหัวหน้าฝ่ายวัตถุดิบ
อากิฮิโตะอธิบายเนื้อหาในการประชุมครั้งก่อนอย่างละเอียดรอบหนึ่ง ทว่าอิบุชิยืนกรานท่าเดียวว่า ‘ไม่เคยได้ยินเรื่องแบบนั้นมาก่อน’ อากิฮิโตะลองให้ดูจุดที่เกี่ยวข้องในเอกสารว่ามีเขียนไว้ แต่อีกฝ่ายไม่ยอมฟังและกล่าวว่า ‘ไม่คิดว่ามันจะเป็นแบบนี้ พวกคุณอธิบายไม่ดี’
พออากิฮิโตะหลุดปากออกไปว่า ‘ผมน่าจะอธิบายครบถ้วนแล้วนะครับ’ อีกฝ่ายก็ขึ้นเสียงใส่ว่า ‘จะบอกว่าทางเราไม่ได้ฟังเองรึไง!’ สุดท้ายยังตัดบทสนทนากับอากิฮิโตะด้วยคำพูดสั้นๆ ว่า ‘ไม่ต้องมาแล้ว’
ที่ผ่านมาจนถึงปัจจุบันก็เกิดปัญหาใหญ่บ้างเล็กบ้าง แต่เป็นครั้งแรกที่เรื่องราวดำเนินไปในทิศทางเดียวถึงขนาดนี้
บริษัทของอิบุชิเป็นผู้ผลิตอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ขนาดเล็กมาก พวกอากิฮิโตะรับคำขอให้ช่วยติดตั้งระบบควบคุมการผลิตใหม่ ทั้งที่ประชุมกันหลายครั้งอย่างถี่ถ้วนและมาถึงจุดที่เปลี่ยนแปลงอะไรไม่ได้แล้ว ทำไมปัญหาแบบนี้ถึงเกิดขึ้นกัน
เมื่อออกจากบริษัทของอิบุชิอย่างเหม่อลอย ทั้งร่างก็สั่นเบาๆ ความเย็นจากพื้นคอนกรีตคืบคลานขึ้นมาจากใต้ฝ่าเท้า ความรู้สึกตรงปลายเล็บเท้าเริ่มเลือนราง ความง่วงงุนจู่โจมเข้ามาอย่างรวดเร็วจนเข่าแทบทรุดลงตรงนั้น
อากิฮิโตะพิจารณาแล้วว่าไม่สามารถขึ้นรถไฟทั้งอย่างนี้ได้จึงกระโจนเข้าไปในสวนสาธารณะใกล้ๆ แล้วดื่มเครื่องดื่มชูกำลังที่พกติดตัวอยู่เสมอจนเกลี้ยง ถึงอย่างนั้นก็ยังไม่ยอมหายง่วง เขาโซเซนั่งลงบนม้านั่งแล้วหยิบปากกาลูกลื่นออกมาแทงปลายของมันลงบนหลังมืออย่างไม่ลังเล
(...ดีนะที่ไม่มีเด็กๆ อยู่ในสวนสาธารณะ)
เขานึกย้อนและตริตรองการกระทำของตนเอง โชคดีที่ไม่ต้องมาเห็นภาพที่เป็นเหมือนฝันร้ายอย่างมนุษย์เงินเดือนใช้ปากกาลูกลื่นแทงหลังมือซ้ำๆ แถมถ้ามีผู้ปกครองอยู่ด้วย จะถูกแจ้งตำรวจก็ไม่แปลก
อากิฮิโตะจ้องรอยแทงจากปากกาลูกลื่นที่ตอนนี้ยังหลงเหลืออยู่บนหลังมือแล้วยิ่งรู้สึกว่าช่างเป็นสภาพร่างกายที่ทำให้เดือดร้อนจริงๆ
จะเรียกว่าสภาพร่างกายหรือโรคดี ถ้าเครียดหรือกังวลสุดขีด อุณหภูมิร่างกายของอากิฮิโตะจะลดลงฮวบฮาบ เคลื่อนไหวร่างกายได้ช้าลง หัวใจเต้นเร็วขึ้นทั้งที่ไม่ได้วิ่ง เหงื่อที่ทำให้ไม่สบายตัวซึมแผ่นหลัง และมีหลายครั้งที่ความง่วงจู่โจมกะทันหันอย่างกับเป็นหมีก่อนจำศีลในฤดูหนาว
อาการคล้ายภาวะน้ำตาลในเลือดต่ำ แต่ไม่รู้สึกหิวและระดับน้ำตาลในเลือดก็ไม่ได้ตกลง สมัยเรียนยังแค่ระดับร่างกายสั่นหรือเมื่อยล้า แต่หลังจากทำงานอาการก็หนักขึ้นอย่างรวดเร็ว หมอวินิจฉัยว่าเป็น ‘ความเครียดจากการทำงาน’ เขาขอให้หมอสั่งยาให้แต่ก็รู้สึกว่าไม่ค่อยได้ผล เพราะอย่างนั้นจึงต้องพกเครื่องดื่มชูกำลังและกาเฟอีนอัดเม็ดเต็มกระเป๋าอยู่เสมอ
แม้จะทำให้สภาพร่างกายกลับมาเป็นปกติในสวนสาธารณะแล้วค่อยกลับบริษัท แต่สิ่งที่รออากิฮิโตะอยู่ก็คือเจ้านายหน้าตาบูดบึ้ง พออธิบายสิ่งที่พูดคุยโต้ตอบกับอิบุชิ หัวหน้าก็ถอนหายใจใส่
“เธออธิบายไม่ดีเองรึเปล่า? เพราะพวกวิศวกรชอบใช้ศัพท์เฉพาะทางอยู่เรื่อย” คำพูดแบบนี้ของเจ้านาย เขาเจ็บใจแต่ก็ปฏิเสธไม่ได้อย่างสิ้นเชิง ในความเป็นจริง คำพูดที่สื่อสารกันเข้าใจเหมือนเป็นเรื่องปกติสมัยอยู่ฝ่ายวิศวกรรมนั้นใช้สื่อสารกับบริษัทลูกค้าแล้วไม่เข้าใจก็ไม่ใช่เรื่องแปลก
อากิฮิโตะฟังคำอบรมสั่งสอนวกไปวนมาของเจ้านาย ช่วงกลับที่นั่งของตัวเองก็เลยเวลาเลิกงานไปแล้ว ไม่ทันไรโทมิโอกะก็เอาเอกสารมาวางไว้บนโต๊ะของอากิฮิโตะแล้วเอ่ยก่อนจากไปว่า “รบกวนเช็กนี่ด้วยครับ” อากิฮิโตะแทบจะร้องครวญออกมาจริงๆ
เอกสารของโทมิโอกะเขียนอธิบายเกี่ยวกับระบบเพิ่มขึ้นจากครั้งก่อน แต่ยังพบจุดผิดในเนื้อหาอยู่ทั่ว เป็นหลักฐานว่าตัวโทมิโอกะเองยังไม่เข้าใจระบบดีนัก อากิฮิโตะไม่เหลือเรี่ยวแรงจะตรวจและอธิบายด้วยดินสอในแต่ละจุดให้แล้ว จึงนำเอกสารไปวางไว้ด้านข้างก่อนแล้วเริ่มจัดการงานเอกสาร กว่าจะรู้ตัวอีกทีทั้งชั้นก็เหลือแต่ตนแล้ว
ความเหนื่อยล้าจู่โจมทันใด ตอนที่วางมือบนหน้าผากแล้วถอนหายใจนั้นเอง
“กลับมาแล้วครับ”
เสียงทุ้มต่ำดังก้องไปทั่วชั้นซึ่งไร้วี่แววผู้คน อากิฮิโตะเบิกตากว้างใต้ฝ่ามือ
พอลุกพรวดขึ้นยืนก็เห็นโองามิยืนอยู่ตรงทางเข้าชั้น
อากิฮิโตะทำหน้าเหม่อมองโองามิที่ถือกระเป๋าทำงานพองแน่น คงเพราะกลับจากทำงานนอกสถานที่ วันนี้โองามิน่าจะมีแผนเลิกงานแล้วกลับบ้านเลย อากิฮิโตะไม่เข้าใจที่โองามิกลับเข้าบริษัทในเวลาที่เลยเวลาเลิกงานไปนานแล้ว แม้แต่หัวหน้ายังกลับไปหมดแล้ว
โองามิมองไปทั่วชั้น เมื่อเห็นอากิฮิโตะเหลืออยู่คนเดียวก็หรี่ตามอง
“ทำอะไรอยู่น่ะ คาโน หัวหน้าฝ่ายบอกให้ลดโอทีลงซะขนาดนั้นแล้วแท้ๆ”
“...ให้ทำไงได้ล่ะ งานยังไม่เสร็จนี่”
โองามิเดินมาถึงโต๊ะอากิฮิโตะ ก้มมองเอกสารบนโต๊ะแล้วเลิกคิ้ว
“นั่นเอกสารที่โทมิโอกะทำนี่ แก้ให้โดยไม่บอกอะไรเจ้าตัวอีกแล้วเหรอ นิสัยไม่ดีเลยนะ”
อากิฮิโตะฉุนคำพูดที่คล้ายเอือมระอาจึงหมุนเก้าอี้มาถลึงตาขึ้นมองโองามิ
“เอกสารนี่เอาไปใช้ที่บริษัทลูกค้านะ จะบอกให้ปล่อยไป ทั้งที่เขียนสิ่งที่ต่างจากความเป็นจริงงั้นเรอะ?”
“ฉันกำลังบอกให้นายบอกเจ้าตัวดีๆ ไม่ต้องมาแก้เองต่างหาก เดี๋ยวก็ทำผิดมาแบบเดิมอีกหรอก”
“ถ้าต้องแก้ซ้ำซาก ฉันแก้เองเร็วกว่า”
พอพูดอย่างไม่แยแสคำตอบแล้วหันกลับเข้าหาคอมพิวเตอร์อีกครั้งก็ได้ยินเสียงลากเก้าอี้ล้อเลื่อนดังจากข้างหลัง โองามิจงใจทำเสียงดังแล้วนั่งลงบนเก้าอี้
“แบกงานไว้คนเดียวแบบนั้นไม่ใช่วิธีที่ฉลาดเลยนะ”
“ไม่มีเวลา”
“บางครั้งนำไปก่อนก็ล้มแรง เรื่องคุณอิบุชิเป็นยังไงบ้าง? ไปคนเดียวมาใช่ไหม?”
แทงใจดำเข้าอย่างจัง
ท่าทางอึกอักนั้นไม่ต่างจากเล่าเรื่องราวตั้งแต่ต้นจนจบ อากิฮิโตะเตรียมใจแล้วหันไปมองโองามิ ทว่าพออ้าปากจะเอ่ยขอโทษที่จัดการงานเคลมผิดพลาด โองามิก็พูดแทรกขึ้นมาราวกับจะห้ามไว้
“อย่าคิดว่าพอจะทำอะไรได้เอง นายยังเป็นเด็กใหม่สำหรับฝ่ายขายใช่ไหมล่ะ มีเวลาว่างขนาดไปทำงานแทนโทมิโอกะเลยรึไง?”
เสียงที่ขึ้นมาจนถึงคอถูกบดขยี้ ความนับถือตัวเองโดนทุบทำลายอย่างง่ายดายด้วยคำพูดเพียงไม่กี่คำ
มองจากมุมโองามิ ไม่ว่าตนหรือโทมิโอกะก็เป็นเด็กใหม่ใช้การไม่ได้เหมือนกัน ถึงจะรู้ตัวดี แต่พอคนอื่นชี้ให้เห็นก็เกือบปฏิเสธโดยไม่สนใจภาพลักษณ์ ความภาคภูมิใจที่ทำงานในฝ่ายวิศวกรรมมาห้าปีกับความไม่พอใจที่ถูกบังคับให้ย้ายมาอยู่ฝ่ายขายดั่งน้ำขุ่นคลั่กไหลบ่าเข้ามาในอกอากิฮิโตะจนขจัดออกไปไม่ได้
ถึงอย่างนั้นโองามิก็พูดไม่ผิด อากิฮิโตะกล้ำกลืนสิ่งที่ค่อยๆ ล้นปรี่ขึ้นมาจากอกลงไปจนภายในคอแสบร้อน เขายอมรับความขี้ขลาดของตัวเอง คราวนี้จึงพยายามขอโทษ แต่กลับถูกโองามิถอนหายใจขัดขึ้นอีกครั้ง
“เดี๋ยวพรุ่งนี้ฉันจะไปหาคุณอิบุชิด้วย ส่วนเรื่องแก้เอกสารเอาให้โทมิโอกะจัดการซะ”
อากิฮิโตะอ้าปากค้างครึ่งหนึ่ง ทว่าสุดท้ายก็ปิดลงอย่างพูดอะไรไม่ออก เขาจับจังหวะขอโทษไม่ได้ ตอนนี้จึงยิ่งรู้ซึ้งเลยว่าตัวเองไม่เหมาะกับงานขาย
อากิฮิโตะยกยิ้มคล้ายดูถูกตัวเองตรงมุมปากโดยไม่คิดจะตอบโต้
“ถึงฉันบอก ก็ไม่คิดว่าเขาจะยอมแก้แต่โดยดี”
“โทมิโอกะไม่ใช่คนดื้อด้านขนาดนั้นหรอก”
“กับนายคงเป็นแบบนั้น สุดท้ายฉันก็เป็นวิศวกรฝ่ายขาย เซลส์ที่ไม่ต้องทำยอดจะถูกปั้นปึ่ง ถูกหัวเราะเยาะว่าทำงานสบายไม่ใช่เหรอ?”
อากิฮิโตะตั้งใจจะหัวเราะอย่างไม่ถือสา ทว่ามีเพียงลมหายใจขาดห้วงออกมาจากริมฝีปากเท่านั้น พอยิ้มขื่นว่านี่นับเป็นมุกทำร้ายตัวเองไม่ได้เลยด้วยซ้ำ ก็ได้ยินเสียงเก้าอี้ดังเอี๊ยดอ๊าดจากข้างหลัง
“...หมอนั่นพูดอย่างนั้นเรอะ?”
เสียงทุ้มต่ำคล้ายเสียงคำรามของสัตว์ร้ายดังก้องทั่วชั้นที่เงียบสงัด
ครั้นอกสั่นขวัญหายกับเสียงกรุ่นโกรธแล้วหันกลับไป ก็เห็นโองามิกำลังมองมาทางนี้โดยมีเงาทะมึนทอดอยู่รอบดวงตา
มีแค่ภาพแวบแรกเท่านั้นที่ดูอันตรายเป็นอย่างยิ่ง โดยพื้นฐานแล้วโองามิเป็นคนสบายๆ แม้พูดจาเข้มงวดบ้าง แต่นั่นก็เป็นข้อเท็จจริงอย่างเป็นกลาง ไม่ตวาดหรือข่มขวัญอีกฝ่ายอย่างไร้เหตุผล ดูเหมือนชายคนนั้นกำลังโกรธจริงๆ อย่างไม่ค่อยได้เห็น อากิฮิโตะจึงส่ายศีรษะอย่างลนลาน
“ไม่ได้ถูกโทมิโอกะคุงว่าเอาโดยตรงหรอก แค่ก่อนหน้านี้ได้ยินพวกนายคุยกันที่ห้องชงกาแฟ”
“ตอนนั้นฉันด่าโทมิโอกะยับไปแล้วนะ”
“...ฉันไม่ได้ฟัง”
“ไม่ได้ถูกโทมิโอกะว่ามาตรงๆ จริงๆ นะ?”
อากิฮิโตะพยักหน้าโดยไม่พูดอะไร ปกติเสียงของโองามิทุ้มต่ำ แต่ตอนนี้รวมกับความทะมึนเลยเหมือนแผ่นดินสะเทือนเลื่อนลั่น เผลอๆ จะตอบกลับไปเสียงสั่น โองามิจ้องมองใบหน้าอากิฮิโตะสักพักก่อนจะถอนหายใจหนักๆ คล้ายตัดสินแล้วว่าไม่ได้โกหก
“โทมิโอกะปากไว ลำบากชะมัด...”
มือใหญ่ขยี้ผมด้านหน้าจนเสียทรง โองามิทำสีหน้าไม่สบอารมณ์ อากิฮิโตะรู้สึกประทับใจอย่างไม่เข้ากับสถานการณ์ หมอนี่ตั้งใจอบรมเด็กใหม่ดีจัง
เขาว่ากันว่าปากพาซวย บ่อยครั้งที่เรื่องเลวร้ายลงอย่างคาดไม่ถึงเพราะคำพูดที่ไม่จำเป็นต้องพูด ถ้าเป็นงานขายที่ต้องพูดคุยกับลูกค้าโดยตรงก็ยิ่งต้องระวังคำพูด โองามิคงพยายามสอนโทมิโอกะเรื่องนั้น
“...เอาเถอะ ฉันที่ทำให้โทมิโอกะคุงพูดแบบนั้นก็มีปัญหาแหละนะ”
พอหลุบตาลงแล้วหัวเราะขื่นๆ จู่ๆ ของหนักๆ ก็ชนเข้าตรงหัวไหล่ เขาหันกลับไปมองก็เห็นโองามิที่ทำหน้าตาจริงจังใช้หมัดดันไหล่
++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++
อากิฮิโตะที่มีความรู้เฉพาะทางแต่พูดไม่เก่งและยิ้มแย้มไม่เป็น... ย้ายจากฝ่ายวิศวกรรมมาอยู่ฝ่ายขายและเข้ากับคนในฝ่ายไม่ได้ แม้เขาจะแอบปลื้มโองามิที่เป็นเพื่อนร่วมงาน แต่ก็โต้เถียงกันเล็กๆ น้อยๆ ประจำ... ทว่าวันหนึ่งที่จิตใจห่อเหี่ยว อากิฮิโตะบังเอิญก้าวพลาดจนตกบันไดศาลเจ้าที่ไปเยี่ยมเยือน!! สิ่งที่รอเขาซึ่งลืมตาขึ้นมามีทั้งเพื่อนร่วมงานที่เป็นกันเองและโองามิที่ส่งสายตาเร่าร้อนมาให้... สำหรับอากิฮิโตะ นี่เป็นโลกที่อยู่แล้วสบายใจต่างจากที่ผ่านมาโดยสิ้นเชิง หรือเขาควรจะทิ้งโลกเดิมและอยู่โลกนี้ต่อไปในเมื่อไม่มีอะไรให้อาลัยอาวรณ์!?
