New Release BLY แปล : รักของคุณอุ่นหัวใจ

อัพเดทข่าวบงกชบุ๊คส์ ความเคลื่อนไหว และกิจกรรมพิเศษ ตลอดจนร่วมสนุกชิงรางวัลพร้อมของรางวัลมากมาย

Moderator: P'Bly, Gals, พี่บี

ตอบกลับโพส
Gals
โพสต์: 1101
ลงทะเบียนเมื่อ: ศุกร์ 13 ก.พ. 2009 3:47 pm

New Release BLY แปล : รักของคุณอุ่นหัวใจ

โพสต์ โดย Gals »

รักของคุณอุ่นหัวใจ

1

โยโกมุโระ ริทสึเป็นคนรักการทำงานมากๆ
ที่ทำงานของเขาคือร้านสาขาของแบรนด์แว่นตา ‘MEGANEYA’ ที่ตั้งอยู่ภายในห้างสรรพสินค้าซึ่งครอบครองที่ดินผืนใหญ่ย่านชานเมือง เขาเริ่มทำงานกับแบรนด์นี้หลังเรียนจบมัธยมปลาย ปีนี้เป็นปีที่สี่แล้ว และเป็นเวลาหนึ่งปีพอดีที่เขาได้รับมอบหมายให้มาประจำอยู่ที่ร้านสาขาในห้างสรรพสินค้าแห่งนี้
ก่อนหน้านั้นเขาเคยประจำอยู่ที่ร้านสาขาริมถนน ทว่านับตั้งแต่ย้ายมาทำงานในห้างสรรพสินค้าซึ่งเต็มไปด้วยความคึกคักมีชีวิตชีวา ก็รู้สึกว่าทุกวันสนุกกว่าที่เคย
“เป็นยังไงบ้างครับ ถ้ามีตรงไหนรู้สึกแปลกๆ แจ้งได้เลยนะครับ ไม่ต้องเกรงใจ”
เมื่อริทสึสอบถามความรู้สึกตอนลองสวมแว่นตา ลูกค้าหญิงสูงอายุที่กำลังจ้องมองกระจกก็ยิ้มออกมาอย่างพึงพอใจ
“ดีมากๆ เลยล่ะค่ะ ไม่คิดมาก่อนเลยว่ากรอบแว่นสีสว่างแบบนี้จะเหมาะกับฉันด้วย”
“ผู้มีเส้นผมสีออกเทาสวยอย่างคุณลูกค้า ใส่แว่นสีสันสดใสแบบนี้แล้วดูดีมากๆ เลยล่ะครับ”
“ตายจริง ปากหวานจังเลยนะคะ เหมือนได้รับการดูแลจากโฮสต์หนุ่มเลยค่ะ”
ลูกค้าหญิงสูงอายุเอ่ยแซวด้วยท่าทางมีความสุข
“ไม่มีข้อแก้ตัวเลยครับ มีลูกค้าบอกว่าเครื่องแบบของร้านเราดูเหมือนพนักงานในร้านนั่งดื่มอยู่บ่อยๆ เหมือนกันครับ”
เครื่องแบบอันประกอบด้วยเสื้อเชิ้ตสีขาว กางเกงสแล็ก และเนกไทสีเขียวอมเทานั้นถูกคนทักว่าเหมือนเครื่องแบบหนุ่มโฮสต์ หรือไม่ก็ให้บรรยากาศเหมือนคาเฟพ่อบ้านที่ทุกคนสวมแว่นตา
“บอกตามตรงนะคะ ทีแรกฉันไม่ค่อยกล้าเข้ามาเพราะรู้สึกว่าที่นี่น่าจะเป็นร้านสำหรับคนหนุ่มสาว แต่คุณก็ให้บริการอย่างดีแม้กระทั่งกับยายแก่อย่างฉัน ประทับใจมากเลยล่ะค่ะ”
“ทางเราก็ต้องขอขอบพระคุณคุณลูกค้าที่วางใจให้แบรนด์แว่นตาน้องใหม่อย่างร้านเราได้ดูแลด้วยครับ”
ลูกค้าหญิงสูงอายุคว้าไม้เท้า ตั้งท่าจะลุกขึ้นจากโซฟาสำหรับให้ลูกค้านั่งรอเพื่อไปชำระเงิน ริทสึจึงบอกกับเธอพร้อมรอยยิ้มว่า “คุณลูกค้านั่งรอตรงนี้ได้เลยครับ” แล้วนำแว่นตาไปบรรจุลงหีบห่อและจัดการชำระเงินแทน เขาเดินไปส่งลูกค้าหน้าประตูร้าน ยื่นถุงใส่สินค้าให้แล้วค้อมศีรษะลง
“ขอบพระคุณมากครับ หากมีปัญหาอะไรสามารถกลับมาที่ร้านได้เลยครับ ทางเรายินดีปรับเปลี่ยนให้เสมอครับ”
“ขอบคุณนะคะ” ลูกค้าหญิงสูงอายุตอบกลับด้วยสีหน้ายิ้มแย้มก่อนค่อยๆ เดินห่างออกไปในห้างสรรพสินค้าที่มีผู้คนเบาบางเนื่องจากเป็นวันธรรมดา
งานนี้สนุกมาก แม้จะเจอกับลูกค้าที่ไม่ค่อยมีเหตุผลบ้าง มีเรื่องที่ทำผิดพลาดจนรู้สึกเศร้าเสียใจบ้าง แต่โดยรวมแล้วเป็นงานที่สนุกมากจริงๆ
จริงอยู่ว่าริทสึกล่าวขอบคุณลูกค้าเพราะเป็นงาน แต่ก็มีหลายครั้งเหมือนกันที่เขาได้รับคำขอบคุณจากลูกค้า และทุกครั้งก็ทำให้ดีใจและรู้สึกว่าเป็นการทำงานที่คุ้มค่า
“โยโกมุโระคุงเนื้อหอมในหมู่ลูกค้าวัยรุ่น แต่ก็ได้รับความเอ็นดูจากเหล่าลูกค้าสูงอายุด้วยนะเนี่ย”
ยาชิโระ ยูโกะ ผู้จัดการสาขาเอ่ยขึ้นด้วยเสียงแผ่วเบา เพราะเครื่องแบบของร้านเป็นแบบเดียวกันหมดทั้งชายหญิง ดังนั้นเมื่อยาชิโระหวีผมซอยสั้นให้เรียบไปด้านหลังทั้งหมดจึงดูเหมือนนักแสดงที่รับบทผู้ชายในคณะละครทาคาระซึกะ ไม่ผิดเพี้ยน
“ขอบคุณครับ”
“คงเพราะเธอดูไม่มีพิษมีภัยทั้งต่อมนุษย์และสัตว์ละมั้ง”
“นั่นเป็นคำชมเหรอครับ? หรือว่าล้อเลียนอยู่?”
ริทสึถามกลับพร้อมเสียงหัวเราะแกนๆ แต่มันก็เป็นอย่างที่เธอพูดจริงๆ
เงาของริทสึที่สะท้อนอยู่ในกระจกเงาเต็มตัวตรงหน้าเป็นชายหนุ่มที่ดูดีไม่หยอกด้วยเครื่องแบบที่ดีไซน์มาอย่างดีกับแว่นตา ทว่าหน้าตานั้นจัดอยู่ในระดับธรรมดา ถ้าเดินสวนกันไปสักสามก้าวก็คงลืมแล้วว่าหน้าตาเป็นอย่างไร โดยเฉพาะดวงตาที่ดูสงบเสงี่ยมเจียมตัว รวมถึงจมูกและปาก ความสูงอยู่ในระดับค่าเฉลี่ย รูปร่างค่อนไปทางผอมเพรียว หากต้องหาสักจุดที่เป็นเสน่ห์จริงๆ ก็คงเป็นสีหน้าที่ยิ้มแย้มอยู่เสมอกระมัง
“วันนี้ไม่ค่อยมีลูกค้า โยโกมุโระคุงไปพักกลางวันเร็วหน่อยก็ได้นะ”
“รับทราบครับ”
ริทสึเข้าไปที่หลังร้านเพื่อหยิบเสื้อคลุมมาสวมทับเครื่องแบบ คว้ากระเป๋าผ้าเก็บความเย็นแล้วออกจากร้านไป
เขาแวะร้านหนังสือก่อนจะไปกินมื้อกลางวัน ริทสึอ่านหนังสือเป็นงานอดิเรก แต่เนื่องจากได้เงินเดือนไม่มาก แถมยังต้องแบ่งส่งให้แม่อีก เขาจึงไม่มีเงินเหลือพอจะใช้จ่ายส่วนตัว ปกติเขาเลยไปยืมหนังสือที่หอสมุดมาอ่าน มีเพียงผลงานเล่มใหม่ของนักเขียนที่ชื่นชอบมากๆ สองสามคนเท่านั้นที่เขาตั้งหน้าตั้งตารอซื้อจากร้านหนังสือ
สัปดาห์นี้เล่มที่สามของเรื่อง ‘ผู้คนในเมืองยาโอโตเมะ’ โดยนิชิ รินทาโร่ นักเขียนคนโปรดอันดับหนึ่งของริทสึจะวางแผง
ปัจจุบันนิชิ รินทาโร่อาศัยอยู่ในเมือง แต่ได้ยินว่าภูมิลำเนาเดิมคือแถบชานเมืองแห่งนี้ ริทสึเริ่มสนใจซีรีส์นี้หลังจากย้ายมาประจำร้านสาขาในห้างสรรพสินค้าแล้ว
เนื้อหาของ ‘ผู้คนในเมืองยาโอโตเมะ’ ก็ตรงตามชื่อเรื่อง เป็นหนังสือชุดที่รวบรวมเรื่องสั้น เขียนเกี่ยวกับชีวิตประจำวันของผู้คนในเมืองแห่งหนึ่งที่ชื่อเมืองยาโอโตเมะ หากถามว่าจัดอยู่ในหมวดหมู่ไหนก็น่าจะเป็นเรื่องขบขันและความเป็นมนุษย์ ไม่ใช่เรื่องราวร้อนแรงในชีวิตวัยรุ่นที่มีฉากดรามาเรียกน้ำตา แต่เป็นนวนิยายที่สดใหม่ ทันต่อยุคสมัยซึ่งอ่านแล้วให้ความรู้สึกผ่อนคลาย
ริทสึที่เดินตัวลอยมาหยุดยืนอยู่หน้าร้านหนังสือมุ่งหน้าตรงไปยังมุมหนังสือออกใหม่ ทว่ากลับไม่พบหนังสือที่ตามหา เมื่อลองใช้เครื่องค้นหารายชื่อหนังสือภายในร้านจึงพบว่าหนังสือเล่มนั้นไม่มีอยู่ในสต๊อกเสียแล้ว
คงเพราะที่นี่เป็นบ้านเกิดของนักเขียน หนังสือถึงขายดีขนาดนี้ ริทสึนึกเสียใจที่มาช้าไปหน่อยขณะเดินไปยังศูนย์อาหาร
เขาเดินผ่านศูนย์อาหารที่มีโต๊ะว่างอยู่กว่าครึ่งไปยังประตูข้างห้องสูบบุหรี่ แล้วออกไปที่ระเบียงรอบนอกของห้าง เพราะที่นั่งแถวๆ นี้มีคนไม่มากนักในวันธรรมดา จึงอนุญาตให้พนักงานมานั่งรับประทานอาหารได้
ริทสึวางกระเป๋าผ้าเก็บความเย็นลงบนโต๊ะตัวหนึ่ง หยิบสมาร์ตโฟนออกมาแล้วเปิดเว็บไซต์ร้านหนังสือออนไลน์
ทั้งที่เพิ่งจะวางแผง แต่ ‘ผู้คนในเมืองยาโอโตเมะ’ เล่มสามก็มีคนเข้ามารีวิวแล้วเกือบร้อยรีวิว ริทสึไม่อยากโดนสปอยล์เนื้อหา ปกติเลยไม่เข้าไปดูรีวิวของหนังสือที่ตัวเองยังไม่ได้อ่าน แต่สายตาดันเหลือบไปเห็นว่าในบรรดารีวิวคะแนนสูงลิ่วจำนวนมากนั้นมีอยู่หนึ่งรีวิวที่ให้ ☆ แค่ดวงเดียว ริทสึจึงเผลอกดเข้าไปอ่านดู
‘ผมเป็นแฟนตัวยงของเรื่อง ‘ยามบ่ายที่ไม่มีวันหวนคืน’ ผลงานซึ่งได้รับรางวัลโยชิคาวะของอาจารย์นิชิครับ รู้สึกว่าระยะหลังๆ มานี้อาจารย์เปลี่ยนแนวการเขียนไป คงจะยอมแพ้ในวรรณกรรมคลาสสิกที่ทำเงินไม่ค่อยได้ แล้วเบนหางเสือไปทางวรรณกรรมกระแสหลักอย่างไม่ลังเลเลยสินะครับ ผมยังไม่ได้อ่านซีรีส์ที่เลียนแบบพวกไลต์โนเวลนี่หรอกครับ แต่อยากจะเตือนสติอาจารย์ให้นึกถึงสิ่งที่ควรเขียนด้วยการติเพื่อก่อ ดังนั้นขออนุญาตให้ ☆ แค่ดวงเดียวนะครับ’
ทั้งที่ยังไม่ได้อ่านแต่ให้คะแนนรีวิวต่ำอย่างนั้นทำให้ริทสึแอบโกรธอยู่พอสมควร แต่ผู้คนก็มีความคิดเห็นที่แตกต่างกันไป
สำหรับริทสึที่กลายเป็นแฟนหนังสือของนิชิ รินทาโร่จากการอ่านเรื่อง ‘ผู้คนในเมืองยาโอโตเมะ’ นั้นตามไปอ่านเรื่อง ‘ยามบ่ายที่ไม่มีวันหวนคืน’ แล้ว มันไม่ได้เป็นเพียงผลงานที่ได้รับรางวัลโยชิคาวะซึ่งถือได้ว่าเป็นรางวัลที่เปรียบเสมือนประตูแห่งความสำเร็จในโลกวรรณกรรม มันยังเป็นผลงานยอดเยี่ยมที่ทำให้ผู้อ่านน้ำตาไหลไม่หยุด แต่ถ้าให้พูดกันตามตรง ริทสึไม่สามารถกลับไปอ่านซ้ำได้อีก ผลงานที่เล่าถึงการตายของคุณพ่อเป็นเรื่องราวที่ซาบซึ้งกินใจจริงๆ นับเป็นเสน่ห์ของงานเขียนชิ้นนี้ แต่อีกด้านหนึ่งมันก็แสดงถึงสัจธรรมแห่งชีวิตมากเกินไปจนทำให้รู้สึกปวดใจที่จะอ่านซ้ำ ความสนใจและรสนิยมก็คงขึ้นอยู่กับแต่ละบุคคลจริงๆ
หลังจากสั่งซื้อหนังสือเสร็จแล้ว ริทสึวางข้าวกล่องลงบนโต๊ะไม้และเปิดฝา
วันนี้เป็นข้าวหุงพร้อมขิงสดและไข่หวาน เนื้อห่อซูกินี ขนมจีบ และสาหร่ายฮิจิกิต้มผักรวม
ทุกเมนูล้วนเป็นฝีมือของริทสึเอง ไม่เว้นแม้กระทั่งบ๊วยดองที่วางอยู่บนข้าวด้วย
ในช่วงแรกของการใช้ชีวิตอยู่คนเดียวนั้น อย่าว่าแต่ทำอาหารเลย แค่จะหุงข้าวด้วยหม้อหุงข้าวกินเองยังทำไม่เป็นด้วยซ้ำ ริทสึคิดว่าถ้าเป็นแบบนี้ต่อไปต้องแย่แน่ๆ จึงค้นคว้าจากอินเทอร์เน็ตจนเจอเว็บไซต์ของแม่บ้านคนหนึ่งซึ่งแนะนำวิธีทำอาหารง่ายๆ แบบที่เก็บไว้กินได้หลายวัน เขาฝึกทำตามมาเรื่อยๆ จนการทำกับข้าวใส่กล่องเตรียมไว้ล่วงหน้าสำหรับหนึ่งสัปดาห์กลายเป็นหนึ่งในงานอดิเรกที่ทำทุกสุดสัปดาห์ไปแล้ว
ริทสึไม่เพียงทำกับข้าว แม้แต่ผ้าที่ใช้ห่อข้าวกล่องก็ยังตัดเย็บขึ้นมาเองจากผ้าปูอเนกประสงค์ที่มีคนมอบให้เป็นของขวัญ รวมถึงกระเป๋าสตางค์ทำจากหนังที่ใช้อยู่เป็นประจำ เขาก็ยังเย็บด้วยตัวเองจากชุดประดิษฐ์ DIY ที่ซื้อมา ริทสึใช้ชีวิตแบบนี้มาตลอดจนอาจเรียกว่าเป็นผู้คลั่งไคล้งานฝีมือเลยก็ว่าได้
หลังจัดการกับข้าวกล่องรสชาติคุ้นเคยจนหมดเกลี้ยงแล้ว เขาก็ห่อผ้ากลับคืนให้เรียบร้อยและลุกขึ้นจากโต๊ะ
แม้จะมีงานอดิเรกมากมาย ไม่ว่าอ่านหนังสือ ทำอาหาร และงานฝีมือ แต่ก็ยังสามารถทำงานประจำได้อย่างไม่บกพร่อง ทำไมช่างเป็นชีวิตที่มีความสุขอย่างนี้นะ ริทสึคิดกับตัวเองขณะแวะที่ตู้ ATM
เขาตรวจสอบว่าเงินเดือนเข้าเรียบร้อยดีแล้วจึงโอนเงินจำนวนห้าหมื่นเยนไปยังบัญชีธนาคารของแม่
‘ส่งมาแค่เดือนละห้าหมื่นเยนเนี่ย มันไม่มากพอจะซ่อมแซมห้องโกโรโกโสนี่หรอกนะ’
ก่อนหน้านี้แม่เคยพูดอย่างไม่พอใจแบบนั้น แม้ริทสึไม่กล้าหาญพอจะตอบกลับไปอย่างขุ่นเคือง เช่น ถ้ายังบ่นละก็จะไม่ส่งเงินให้อีกแล้วนะ แต่ก็ไม่มีเงินมากพอจะส่งให้มากกว่านี้เช่นกัน เขาจึงได้แต่บอกไปว่า “ขอโทษด้วยครับ” และส่งเงินจำนวนเท่าเดิมให้อย่างสม่ำเสมอ ทั้งที่อยากจะตอบแทนบุญคุณที่แม่ให้กำเนิดและเลี้ยงดูมาจนเติบโตแท้ๆ ทว่าด้วยเงินจำนวนเล็กน้อยแค่นี้คงยังเรียกว่าเป็นลูกกตัญญูไม่ได้กระมัง
ริทสึเก็บบัตร ATM เข้ากระเป๋าสตางค์แล้วเดินกลับไปยังที่ทำงาน
แม้จะส่งเงินให้ทุกเดือนแต่แม่ไม่เคยเอ่ยคำขอบคุณให้ได้ยินสักครั้ง แต่ลูกค้าที่แวะเวียนมายังร้านนั้น นอกจากจ่ายเงินให้การบริการของริทสึแล้วยังกล่าวคำขอบคุณเขาเสมอ
ดังนั้นการทำงานจึงเป็นเรื่องสนุก
ถึงใครหลายคนจะพูดกันบ่อยๆ ว่าช่วงชีวิตสมัยเรียนเนี่ยสบายที่สุดแล้วเนอะ แต่สำหรับริทสึแล้ว การเติบโตเป็นผู้ใหญ่เนี่ยแหละที่สนุกและสุขสบายยิ่งกว่า
ชีวิตของเราช่างมีความสุขจริงๆ เขาคิดกับตัวเองอยู่หลายครั้งระหว่างที่กลับไปทำงานต่อในช่วงบ่าย


2

การพบกันโดยบังเอิญเกิดขึ้นในสองวันให้หลัง ซึ่งเป็นวันเสาร์ที่มีฝนพรำ
โดยปกติห้างสรรพสินค้าในช่วงสุดสัปดาห์ก็คลาคล่ำไปด้วยผู้คนอยู่แล้ว ในวันฝนตกแบบนี้จึงยิ่งแน่นขนัดกว่าเดิม เพราะหลายคนต้องยอมแพ้ที่จะทำกิจกรรมพักผ่อนกลางแจ้งและเข้ามาใช้เวลาอยู่ใต้ร่มของห้างสรรพสินค้าไปทั้งวันแทน
ร้านแว่นตา ‘MEGANEYA’ ก็มีลูกค้าแน่นตั้งแต่เช้าจนแทบไม่มีเวลาพักหายใจหายคอ
ในช่วงเย็น ขณะที่ริทสึกำลังยืนส่งลูกค้าหญิงที่ตนดูแลให้บริการอยู่หน้าร้าน มีชายหนุ่มเดินเข้ามาด้วยฝีเท้าเร่งรีบและส่งเสียงทักมาทางริทสึ
เขาเป็นผู้ชายรูปร่างดีและสูงโปร่ง ใบหน้าอ่อนโยนแต่เฉียบคมสมชายชาตรี ริทสึรู้สึกคุ้นหน้าเขาแปลกๆ มีพนักงานที่ทำงานในห้างสรรพสินค้าแห่งนี้แวะเวียนมาตัดแว่นที่ร้านอยู่บ่อยๆ เหมือนกัน ชายคนนี้อาจจะเป็นพนักงานขายจากร้านใดร้านหนึ่งก็เป็นได้
“ขอโทษครับ พอดีผมได้ยินมาว่าที่ร้านนี้ตัดแว่นด่วนได้ภายในสามสิบนาที”
เขาพูดพลางหยิบบันทึกผลการตรวจทางจักษุวิทยาออกมา
“นี่เป็นผลจากการไปตรวจก่อนหน้านี้ คิดว่าน่าจะช่วยลดระยะเวลาในการวัดค่าสายตาได้ เอ่อ แต่ทางร้านรับตัดตามใบตรวจหรือเปล่าครับ?”
ริทสึรับบันทึกผลการตรวจมาแล้วหันมองภายในร้านที่มีลูกค้าแน่นจนน่ากลัว
“ทางร้านตัดแว่นตามใบตรวจได้ครับ แต่วันนี้มีลูกค้าเข้ามาใช้บริการค่อนข้างเยอะ ถ้ารับคิวตัดตอนนี้อาจต้องรบกวนคุณลูกค้ารอประมาณสองชั่วโมงนะครับ”
“งั้นเหรอครับ”
ชายคนนั้นทำคิ้วตกอย่างเสียดาย แล้วหยิบแว่นตากรอบสีฟ้าอ่อนออกมาจากกระเป๋าตรงอกเสื้อแจ็กเกต เลนส์ข้างหนึ่งมีรอยร้าว
“ผมทำแว่นแตกตอนจะออกจากบ้านน่ะครับ ปกติไม่ค่อยได้ใส่ แต่หลังจากนี้มีธุระด่วนทำให้ต้องขับรถทางไกล ขับรถตอนกลางคืนแถมยังฝนตกแบบนี้ ถ้าไม่ใส่แว่นคงมองไม่ค่อยถนัด”
“ผมเข้าใจครับ”
แม้ในใบขับขี่จะไม่ได้ระบุว่าเป็นผู้ขับขี่สวมใส่แว่นตา แต่ก็มีลูกค้าอยู่หลายคนที่รู้สึกว่ามองทางตอนกลางคืนไม่ค่อยถนัด ริทสึเองก็มีค่าสายตาที่ใช้ชีวิตประจำวันได้โดยไม่ต้องสวมแว่นตา แต่เพราะค่าสายตาของตาซ้ายและตาขวาไม่เท่ากัน แถมยังเอียงมาก ดังนั้นถ้าตอนกลางคืนไม่ได้สวมแว่นตาจะรู้สึกไม่สบายใจเหมือนกัน
“ถ้าขนาดร้านนี้ยังตัดแว่นให้ผมไม่ทันมันก็ช่วยไม่ได้ครับ ผมจะตั้งสติขับขี่อย่างปลอดภัยที่สุดเท่าที่จะทำได้”
“รอสักครู่ได้ไหมครับ?”
ริทสึลอบมองข้อมูลบนใบตรวจที่ชายคนนั้นจะรับคืนไป บังเอิญว่าค่าสายตาของเขาใกล้เคียงกับค่าสายตาของริทสึทีเดียว
ริทสึรีบหยิบแว่นของตัวเองออกมา ใช้ผ้าเช็ดทำความสะอาดแล้วยื่นให้ชายหนุ่ม
“ลองสวมดูครับ”
“...อันนี้เหรอครับ?”
ชายหนุ่มมีท่าทีลังเลแต่ก็ลองสวมแว่นของริทสึ แล้วทำตาโตอย่างประหลาดใจ
“พอดีเลย”
“บางทีก็มีเรื่องบังเอิญแบบนี้เหมือนกันนะครับ ถ้าเห็นว่าแว่นอันนั้นมีประโยชน์ผมก็ดีใจครับ กรุณารอสักครู่นะครับ”
ริทสึดัดขาแว่นเล็กน้อย เปลี่ยนแป้นรองจมูกใหม่แล้วจึงส่งแว่นให้ชายหนุ่ม
“ต้องขออภัยด้วยนะครับที่ไม่สามารถตัดแว่นใหม่ให้ได้ทัน ถ้าไม่รังเกียจ รับแว่นอันนี้ไปใช้ก่อนนะครับ”
ชายหนุ่มทำหน้าตกใจ
“แต่ว่าเธอจะไม่ลำบากเอาเหรอ?”
“ถ้าอยู่ในร้านที่สว่างแบบนี้ผมมองด้วยตาเปล่าได้ สบายมากครับ”
ชายหนุ่มทำท่าจะพูดอะไรสักอย่าง แต่เมื่อเห็นความหนาแน่นของลูกค้าภายในร้านก็ได้แต่ยิ้มแกนๆ ออกมา
“ถ้าผมดึงดันปฏิเสธด้วยความเกรงใจคงเป็นการรบกวนเวลาทำงานด้วยสินะ”
“คุณลูกค้าก็กำลังรีบไม่ใช่เหรอครับ?”
ชายหนุ่มก้มลงมองนาฬิกาข้อมือ หลังจากลังเลอยู่ครู่หนึ่งก็ยอมสวมแว่นตาของริทสึ กรอบแว่นตากลมที่เหมาะกับใบหน้าสุภาพอ่อนโยนของริทสึดูไม่ค่อยรับกับหน้าตาเฉี่ยวคมเท่าไร แต่สีหน้าของอีกฝ่ายก็เต็มไปด้วยความรู้สึกขอบคุณ เขาคว้ามือของริทสึมากุมไว้
“ผมขอยืมไปใช้ตามที่บอกนะครับ ขอบคุณมากเลย!”
“ขับรถตอนกลางคืนระมัดระวังด้วยนะครับ”
ริทสึค้อมศีรษะส่งชายหนุ่มแล้วรีบเดินกลับเข้าไปหลังร้าน แว่นตาเป็นส่วนหนึ่งในชุดเครื่องแบบ เวลาต้อนรับลูกค้าพนักงานทุกคนต้องสวมแว่นตาตามหน้าที่ไม่ว่าจะมีค่าสายตาเท่าไร ริทสึหยิบแว่นเก่าอันสำรองมาสวมและจะกลับไปหน้าร้าน ก็พบยาชิโระยืนทำหน้าตาน่ากลัวอยู่เสียก่อน
“ฉันเห็นนะ เธอให้บริการเกินหน้าที่”
“ขอโทษครับ”
“ได้ขอชื่อกับที่อยู่ของลูกค้าไว้หรือเปล่า?”
“เปล่าครับ ท่าทางเขากำลังรีบน่ะครับ”
“เขาอาจหนีไปพร้อมกับแว่นของเธอเลยก็ได้นะ?”
“แว่นนั่นเป็นของส่วนตัวของผมเอง ไม่เดือดร้อนถึงทางร้านแน่นอน อีกอย่าง ผมไม่คิดว่าเขาเป็นคนแบบนั้นนะครับ”
ริทสึรู้ตัวดีว่ากำลังพูดอะไรที่ฟังไม่ขึ้นสักเท่าไร แต่หลังจากยาชิโระถอนหายใจ รอยยิ้มเจ้าเล่ห์ก็ผุดขึ้นบนในหน้า
“นั่นสินะ ท่าทางไม่ใช่คนที่เดือดร้อนเรื่องเงินด้วย เธอเห็นหรือเปล่า? นาฬิกาข้อมือรุ่นลิมิเต็ดของแบรนด์ไฮเอนด์เรือนนั้นน่ะ”
“ผมไม่รู้เลยว่าเป็นรุ่นลิมิเต็ดด้วย”
“เอาจริงๆ นะ เขาดูไม่เดือดร้อนเรื่องเงินจนไม่น่ามาเป็นลูกค้าร้านเราด้วยซ้ำ”
จริงอย่างที่เธอว่า แว่นตาของชายหนุ่มคนนั้นไม่ใช่ของจากร้านราคาถูกเลย ที่มา ‘MEGANEYA’ เพราะได้ยินว่าเป็นร้านที่สามารถตัดแว่นด่วนได้เท่านั้น เดี๋ยวเขาก็คงกลับไปตัดแว่นใหม่ที่ร้านประจำตามเดิม
“แต่ก็เอาเถอะ ถือว่าแก้ปัญหาเฉพาะหน้าได้สมเป็นเธอดี แล้วอีกอย่าง คติของร้านเราคืออะไรนะ?”
“ ‘บริการเต็มที่เพื่อรอยยิ้มของลูกค้า’ ครับ”
“ถูกต้อง ถึงจะเกินขอบเขตการให้บริการไปหน่อย แต่มันก็เป็นเรื่องจริงที่มีลูกค้าหลายคนกลับมาตัดแว่นซ้ำเพราะการบริการของเธอ ฉันยอมรับข้อนั้นเลย”
ยาชิโระว่าพลางตบไหล่ของริทสึดังปุๆ แล้วดันหลังเขาให้กลับไปที่หน้าร้าน
“ฝากเธอคอยให้บริการชั้นยอดกับลูกค้าคนอื่นๆ ด้วยนะ”
“ครับ!”
ริทสึกลับมาที่หน้าร้านและเริ่มให้บริการลูกค้าอย่างสุภาพและจริงใจอีกครั้ง
แน่นอน ไม่ว่าใครก็อยากเป็นคนที่มีประโยชน์ทั้งนั้น แต่บางทีริทสึอาจมีความรู้สึกนั้นมากกว่าคนอื่นเป็นเท่าตัว
ทั้งสัมผัสจากฝ่ามือของยาชิโระที่ดันหลังออกมาพร้อมคำพูดเสริมกำลังใจ ทั้งความอบอุ่นจากมือของลูกค้าหนุ่มที่กุมมือเขาไว้เมื่อครู่ ทำให้หัวใจของริทสึพองโต

ช่วงบ่ายของวันจันทร์สัปดาห์ถัดมา ระหว่างเวลาพักก่อนเข้างานกะบ่าย ริทสึไปนั่งกินข้าวกล่องที่โต๊ะตรงระเบียงรอบนอกของห้างข้างศูนย์อาหารอย่างเคย
ข้าวกล่องวันนี้ประกอบด้วย ข้าวปั้นไส้บ๊วยดองหนึ่งชิ้น ไก่ทอด ผัดรากโกโบแบบหั่นหนา และไข่หวาน ริทสึรู้สึกว่าข้าวปั้นชิ้นเดียวอาจจะไม่อิ่มจึงนำคุกกี้ที่อบเมื่อช่วงสุดสัปดาห์มาด้วย แต่สุดท้ายก็อิ่มจนกินคุกกี้ไม่ไหว
แม้รู้ว่าเป็นมารยาทบนโต๊ะอาหารที่ไม่ค่อยดีนัก แต่ริทสึกำลังจดจ่อกับการอ่านหนังสือไปด้วยระหว่างมื้ออาหาร
‘ผู้คนในเมืองยาโอโตเมะ’ เล่มที่สามส่งมาถึงเมื่อคืนนี้ อันที่จริงริทสึอยากจะรีบอ่านทีเดียวให้จบเดี๋ยวนั้นเลย แต่จะอดนอนจนส่งผลกระทบต่อการทำงานก็คงไม่ได้ ด้วยเหตุผลทั้งมวลเขาจึงปิดหนังสือลงแล้วตัดสินใจเก็บไว้อ่านในช่วงพักวันถัดไป ดังนั้นเมนูในข้าวกล่องวันนี้จึงไม่มีซุปที่หกเลอะเทอะได้ง่าย แต่เป็นเมนูที่รับประทานได้สบายๆ ด้วยมือข้างเดียวทั้งหมด
ขณะที่ริทสึจดจ่ออยู่กับการอ่านแต่ละหน้า จู่ๆ ก็มีเงาพาดผ่านมือของเขา
เมื่อเงยหน้ามองก็พบว่าเป็นเงาของชายคนหนึ่งยืนถือถ้วยกาแฟแบบเทกเอาต์ของคาเฟอยู่ในมือทั้งสองข้าง เป็นลูกค้าหนุ่มที่ริทสึให้ยืมแว่นตาไปเมื่อวันก่อนนั่นเอง
“สวัสดีครับ เมื่อวันก่อนต้องขอบคุณมากๆ เลยนะครับ”
“ไม่เป็นไรเลยครับ”
ริทสึผุดลุกขึ้นจากที่นั่งด้วยความตกใจ
ไม่คิดเลยว่าจะบังเอิญมาเจอกันตรงนี้ซึ่งเป็นจุดที่ไม่สามารถมองเห็นได้จากร้านแว่นตา
ชายหนุ่มเผยรอยยิ้มเล็กน้อย คงเพราะเห็นว่าริทสึกำลังตกใจ พอใบหน้าที่สุขุมสมชายชาตรีประดับด้วยรอยยิ้มแล้วดูอ่อนโยนลงทันตา
“ผมจะเอาแว่นไปคืนที่ร้านแต่ไม่เจอ เลยถามพนักงานโดยบอกลักษณะพิเศษของเธอไป แล้วเขาก็รู้ทันทีเลย เขาบอกว่าโยโกมุโระไปพัก น่าจะอยู่ที่ระเบียงชั้นสามน่ะ”
ลักษณะพิเศษที่ทำให้รู้ทันทีว่าเป็นตัวเองคืออะไรกันนะ ริทสึสงสัย ชายหนุ่มก็พูดขึ้นอีกครั้งราวกับอ่านใจออก
“ผมบอกไปว่าเป็นหนุ่มหน้าตาดี สุภาพเรียบร้อย ผมสีน้ำตาลเข้มเหมือนนกเค้าหูยาวเล็ก พนักงานคนนั้นก็นึกออกแล้ว”
ริทสึรู้สึกหน้าร้อนผ่าว เพิ่งเคยมีคนพูดถึงเส้นผมที่เล็กบางเหมือนขนแมวของตนแบบนั้นเป็นครั้งแรก ยิ่งไปกว่านั้นคำว่าหนุ่มหน้าตาดี สุภาพเรียบร้อยนั่นก็เป็นคำอธิบายที่ห่างไกลจากตัวเขามากเกินรับไหว
เมื่อไม่รู้ว่าจะตอบกลับอย่างไร ริทสึจึงได้แต่พึมพำในคอว่า “ชมเกินไปแล้วครับ”
“มีกาเฟลัตเตแบบเย็นกับแบบร้อน ชอบแบบไหน?”
ชายหนุ่มยื่นถ้วยกาแฟที่ถือไว้ออกมาให้ดู
“เอ่อ...”
“เลือกที่ชอบได้เลยครับ ไม่ต้องเกรงใจ แบบนั้นผมจะดีใจมากเลย”
“ถ้าอย่างนั้นก็แบบร้อนครับ”
“เชิญครับ”
เขาวางถ้วยกาแฟไว้ตรงหน้าริทสึแล้วหยิบน้ำตาลแบบซองออกมาวางไว้ข้างๆ ด้วย
“ขอบคุณครับ”
“ขอนั่งด้วยได้ไหม”
“แน่นอนครับ! ขออภัยด้วยครับ ผมนี่เสียมารยาทจริง”
ริทสึว่าอย่างนั้นแล้วปิดหนังสือที่เอาออกมาอ่านระหว่างกินข้าวลงเพราะนึกได้ว่ามันเป็นการเสียมารยาทเช่นกัน
“หนังสือเล่มนี้สนุกมากเลยครับ”
ชายคนนั้นมองปกหนังสือ รอยยิ้มเขินอายผุดขึ้นบนใบหน้า
“ขอบคุณนะ”
“เอ๋?”
“เล่มนั้นผมเป็นคนเขียนน่ะ”
เมื่อได้ยินอีกฝ่ายว่าอย่างนั้น ริทสึก็หัวเราะฮ่าๆ เพราะคิดว่าการเล่นมุกแป้กๆ แบบนี้ช่างไม่เหมาะกับคนดูดีมีสไตล์อย่างนี้เลย ทว่าระหว่างที่หัวเราะอยู่นั้น เสียงระฆังแห่งความทรงจำก็เริ่มดังขึ้นในหัว
ตอนที่พบกันครั้งแรก ริทสึรู้สึกว่าคุ้นหน้าเขาอยู่เหมือนกัน แต่ก็ด่วนสรุปไปว่าคงเป็นพนักงานจากร้านใดร้านหนึ่งในห้างสรรพสินค้า อย่าบอกนะว่าที่จริงแล้วเขาคือ...?
นิชิ รินทาโร่ไม่ค่อยจะโผล่หน้าออกมาในสื่อนัก แต่ริทสึเคยเห็นหน้าของเขาจากภาพถ่ายในงานรับรางวัลโยชิคาวะบนอินเทอร์เน็ตมาก่อน
แม้ตอนนี้จะผมสั้นกว่าในภาพถ่าย แต่ริทสึมั่นใจว่าหน้าตาแบบนี้ไม่ผิดแน่
สีหน้าของริทสึกลับมาจริงจังอีกครั้ง เขานั่งตัวแข็งทื่ออยู่บนเก้าอี้
มันเกิดเรื่องแบบนี้ขึ้นได้จริงๆ น่ะเหรอ
เคยได้ยินว่าถ้ารู้สึกตกใจมากเกินไป คนเราจะตัวแข็งทื่อไร้การตอบสนอง ทว่าสองสามวินาทีหลังจากนั้นปากของเขาก็เริ่มขยับโดยอัตโนมัติ ราวกับเป็นกิริยาต่อต้านทฤษฎีที่ว่ามา
“อะ...เอ่อ ผมตั้งตารอคอยเล่มที่สามมาตลอดเลยครับ แต่วันแรกที่วางแผง ผมแวะไปร้านหนังสือก็พบว่ามันขายหมดไปแล้ว เลยต้องสั่งซื้อจากอินเทอร์เน็ต เพิ่งส่งมาถึงเมื่อวานนี้เองครับ และผมก็ตื่นเต้นที่จะได้อ่านต่อในช่วงพักมากๆ วันนี้เลยทำเมนูที่กินได้ด้วยมือเดียวเพื่อที่จะกินข้าวกล่องไปด้วย อ่านหนังสือไปด้วย... อ๊ะ ขอโทษครับ ผมพูดอะไรออกไปเนี่ย”
จนถึงตอนนี้ริทสึก็ยังไม่อยากเชื่อเลยว่าคนที่ตั้งใจฟังตัวเองพูดน้ำไหลไฟดับอยู่นี้เป็นนิชิ รินทาโร่ รู้สึกเหมือนไม่ใช่เรื่องจริงเลยสักนิด
“ข้าวกล่องนั่น ทำเองเหรอ?”
เพราะอีกฝ่ายเป็นนักเขียนที่ชื่นชอบ ริทสึเลยตอบสนองได้อย่างล่าช้า
“...ครับ”
“สุดยอดเลยนะ ผมไม่เก่งเรื่องทำอาหาร การที่เธอทำข้าวกล่องหน้าตาน่าอร่อยแบบนี้ออกมาได้เนี่ยน่าอิจฉามากเลย เอ่อ ขอโทษที่มาขัดจังหวะตอนกินข้าวนะ เชิญกินต่อตามสบายเลย”
รินทาโร่บอกแล้วใช้นิ้วเรียวยาวที่น่าจะหยิบจับอะไรคล่องแคล่วจนดูไม่เหมือนคนทำอาหารไม่เก่งเลยสักนิด ฉีกฝาถ้วยน้ำเชื่อมแล้วเทลงในถ้วยลัตเตเย็นของตัวเองก่อนจะคนให้เข้ากันด้วยหลอด
เมื่ออยู่ต่อหน้าอีกฝ่ายที่เป็นนักเขียนคนนั้น ริทสึรู้สึกว่ากลืนอาหารลงคอได้อย่างยากลำบากเหลือเกิน เขาเลื่อนข้าวกล่องไปข้างๆ แล้วยกกาแฟลัตเตที่ได้รับจากรินทาโร่ขึ้นดื่มอย่างเคอะเขิน
“ขอบคุณสำหรับเรื่องคราวก่อนอีกครั้งนะ เธอช่วยผมไว้จริงๆ”
รินทาโร่ว่าพลางค่อยๆ วางถุงกระดาษลงเบื้องหน้าริทสึ
“ผมดีใจที่ได้ช่วยครับ”
ริทสีรู้สึกว่าถุงใบนี้มีขนาดใหญ่เกินไปหน่อยสำหรับใส่แว่นตา เมื่อลอบมองเข้าไปข้างในก็เห็นกล่องคริสตัลที่มีแว่นตาของตัวเองใส่เอาไว้ วางอยู่บนกล่องขนมอบจากร้านขนมสุดหรู



+++++++++++++++++++++++++++++++++
เธอชอบผมสักนิดหรือเปล่า

ริทสึผู้ทำงานอยู่ที่ร้านขายแว่นตาในห้างสรรพสินค้าเห็นความสัมพันธ์ที่ระหองระแหงของพ่อแม่มาตั้งแต่เด็ก จึงเคยชินกับการอยู่ตัวคนเดียวโดยเว้นระยะห่างจากผู้คน ทว่าวันหนึ่งกลับเกิดเรื่องไม่คาดฝันขึ้น เขาได้รู้จักกับนิชิ รินทาโร่ นักเขียนชื่อดัง ผู้อาศัยอยู่กับน้องชายวัยมัธยมปลายเพียงสองคน และถูกรินทาโร่ขอร้องให้ไปสอนทำอาหารที่บ้าน ริทสึใช้ชีวิตโดยหวาดกลัวที่จะสนิทสนมกับคนอื่นจนไม่เคยตกหลุมรักใคร และไม่เคยได้รับสัมผัสทางกายจากใครมาก่อน แต่เมื่ออยู่กับรินทาโร่ เขาก็ได้รู้จักความอ่อนโยนและความสุขมากขึ้นทีละน้อย!?


รูปภาพ

ตอบกลับโพส

ย้อนกลับไปยัง “Bongkoch Books News & Activities”