หมู่บ้านดอกซิ่ง เป็นหมู่บ้านห่างไกลเล็กๆ ที่อยู่ใกล้กับตำบลผิง ที่นี่มีภูเขาและลำธารที่งดงาม เต็มไปด้วยต้นดอกซิ่ง หมู่บ้านจึงได้ชื่อเช่นนี้
มีครอบครัวหนึ่งร้อยกว่าครัวเรือนอาศัยอยู่ในหมู่บ้านดอกซิ่ง พวกชาวบ้านทำนา ล่าสัตว์ และเก็บสมุนไพรเลี้ยงชีพเป็นหลัก พออยู่พอกิน นานๆ ครั้งจึงจะเข้าเมืองไปแลกเงิน ซื้อสิ่งของต่างๆ กลับมา
หลิ่วฮุ่ยเหนียงเป็นสะใภ้ของตระกูลอู๋ นางมีฝีมือทำครัว ในแต่ละเดือนจะทำผักดองสูตรของนางเองนำไปขายให้โรงเตี๊ยมในเมือง ได้เงินมาก็จะซื้อเนื้อกลับมาให้แม่สามีกับลูกชายเป็นกับข้าว
ผักดองฝีมือนางมีชื่อเสียง รสชาติของผักดองจะเปลี่ยนไปตามแต่ละฤดูกาล กลายเป็นอาหารขึ้นชื่อของโรงเตี๊ยม
ผู้ดูแลโรงเตี๊ยมรู้ว่าหญิงผู้นี้ฝีมือดี เกรงว่านางจะเอาผักดองไปขายให้ที่อื่นจึงให้ราคาสูง เหมาผักดองของนาง ตกลงกันว่าแต่ละเดือนจะต้องส่งให้มากน้อยเท่าไร
วันนี้หลิ่วฮุ่ยเหนียงนั่งรถเทียมลามายังตำบลผิง เสี่ยวเอ้อร์ของโรงเตี๊ยมเห็นเป็นนางก็เดินเข้ามากล่าวทักทายอย่างกระตือรือร้น เชิญให้นางเข้าไปรอด้านใน ทั้งยังเทชาร้อนส่งให้นาง ก่อนจะบอกรถเทียมลาให้ขนผักดองไปไว้ด้านนอกห้องครัว
รถเทียมลานี้เช่ามาจากคนในหมู่บ้าน พาหลิ่วฮุ่ยเหนียงเข้าเมืองไปส่งของตามเวลาที่ตกลงกันไว้ทุกเดือน
นางปรนนิบัติแม่สามีและดูแลลูกชายในยามเช้าเสร็จจึงค่อยออกเดินทาง เมื่อมาถึงโรงเตี๊ยมก็เป็นเวลาครึ่งชั่วยาม ก่อนจะถึงเที่ยงวัน ยามนี้โรงเตี๊ยมมีแขกทยอยกันเข้ามาแล้ว
ในยามนี้เองที่ฉู่สยงมาถึงโรงเตี๊ยมเพื่อกินอาหาร
เสี่ยวเอ้อร์กระวีกระวาดไปต้อนรับ
“ท่านฉู่ วันนี้ท่านมาเร็วนะขอรับ นั่งที่นี่สิขอรับ!”
ชาวตำบลผิงต่างรู้จักฉู่สยง เห็นหน้าเขาจะต้องทักทาย ‘ท่านฉู่’
ฉู่สยงร่างกายสูงใหญ่ สวมเสื้อผ้าทะมัดทะแมง ที่เอวมีดาบเหน็บอยู่ หน้าตาดิบเถื่อนแต่ก็หล่อเหลาไม่เหมือนผู้ใด
“เหมือนเดิม กับข้าวสามอย่าง ข้าวหนึ่งถ้วย สุราหนึ่งกา” ฉู่สยงนั่งลง นำดาบที่เอววางไว้บนโต๊ะ
เขาเป็นขาประจำ เสี่ยวเอ้อร์รู้นิสัยการกินของเขา ที่ว่ากับข้าวสามอย่าง ข้าวหนึ่งถ้วย ก็คือเนื้อหนึ่งจาน ผักหนึ่งจาน อีกจานเป็นผักดองตามฤดูกาลที่ขึ้นชื่อของโรงเตี๊ยม
อาหารต้องรอ แต่สุราจะต้องขึ้นโต๊ะก่อน เสี่ยวเอ้อร์เชิญเขานั่ง จากนั้นก็ไปจัดเตรียมสุราและอาหาร
ฉู่สยงกวาดตาอย่างไม่ใส่ใจ ทันใดนั้นก็ชะงักงัน
โต๊ะมุมใกล้กับประตู มีหญิงสาวงดงามสงบเสงี่ยมนั่งอยู่ เขาไม่เคยเห็นใบหน้านี้มาก่อน
เสี่ยวเอ้อร์ยกสุรากับผักดองมาก่อน กำลังจะไปยกอาหารจานร้อนอีกสองจานกลับถูกฉู่สยงเรียกไว้
“หญิงผู้นั้นคือใคร”
เสี่ยวเอ้อร์มองไปทิศทางที่เขาชี้ ยิ้มตอบ “นางคือหลิ่วฮุ่ยเหนียงที่อยู่หมู่บ้านดอกซิ่ง ผักดองของที่โรงเตี๊ยมล้วนสั่งมาจากนาง วันนี้นางมาส่งของขอรับ”
“เช่นนั้นหรือ” ฉู่สยงชวนคุยท่าทางเหมือนไม่ใส่ใจ “สะใภ้ตระกูลใด”
“ตระกูลอู๋ที่หมู่บ้านดอกซิ่งขอรับ”
“ทำนาหรือ”
“เดิมทีใช่ขอรับ แต่ตั้งแต่สองปีก่อนที่สิ้นนายท่านผู้เฒ่าตระกูลอู๋ ฮูหยินผู้เฒ่าก็ขายที่นาจนหมดขอรับ”
ฉู่สยงฟังด้วยสีหน้าเรียบเฉยเสมือนถามไปเล่นๆ เห็นเสี่ยวเอ้อร์มองด้วยสายตาสงสัย เขาจึงพูดว่า “ข้าคิดว่าผู้ดูแลโรงเตี๊ยมแต่งสะใภ้เสียอีก”
เสี่ยวเอ้อร์ได้ยินก็ชะงัก ฉับพลันก็นึกขึ้นได้ ยิ้มไปพูดไป “ผู้ดูแลไหนเลยจะมีวาสนาเช่นนั้น พวกข้ามันคนหยาบ แม่นางหลิ่วผู้นั้นรูปโฉมงดงาม ฝีมือทำอาหารเป็นเลิศ ทั้งยังเป็นกุลสตรี คนที่นางแต่งด้วยเป็นบัณฑิตเชียวนะขอรับ! ท่านมาถึงตำบลผิงไม่กี่เดือนจึงไม่รู้ สามีนางสอบผ่านเป็นซิ่วไฉ ตั้งแต่อายุสิบห้า อายุสิบแปดได้เป็นจวี่เหริน ฮูหยินผู้เฒ่าขายที่ทั้งหมด ให้ลูกชายเป็นเงินทุนไปสอบที่เมืองหลวง แสวงหาความก้าวหน้า”
ฉู่สยงเพียงแต่ยิ้ม ไม่ได้ถามอะไรอีก ท่าทางราวกับไม่ได้สนใจอะไรมากมาย เร่งให้เสี่ยวเอ้อร์รีบยกอาหารมาไวๆ
ผู้ดูแลคิดเงินเสร็จก็มอบให้หลิ่วฮุ่ยเหนียง หลิ่วฮุ่ยเหนียงขอบคุณเขา ยิ้มเล็กน้อยแล้วจากไป ไม่ได้สังเกตว่าข้างหลังนางมีสายตาคู่หนึ่งจ้องมองแผ่นหลังของนางอยู่ตลอด
ส่งของเสร็จได้เงินมาแล้ว หลิ่วฮุ่ยเหนียงขึ้นรถเทียมลาอย่างดีใจ สั่งให้คนขับรถเทียมลาไปที่ตลาดเพื่อซื้อของ จะได้ขนกลับหมู่บ้านดอกซิ่งได้สะดวก
หลิ่วฮุ่ยเหนียงไม่รู้เลยว่า นางออกมาหนนี้จะเข้าตาใครบางคนอย่างไม่ได้ตั้งใจ
สำหรับคนผู้นั้น ถ้าไม่ถูกใจก็ไม่เป็นไร แต่ถูกใจเข้าแล้วละก็...
ยุ่งยากไม่น้อยเลย
ฉู่สยงกวาดอาหารหมดในไม่กี่คำ ซดสุราหนึ่งกาจนหมด ทิ้งเงินไว้บนโต๊ะแล้วเรียกให้เสี่ยวเอ้อร์คิดเงิน เสี่ยวเอ้อร์ตะลึงจนตาค้าง
เขาแค่ไปเติมน้ำชากลับมาอาหารก็หมดแล้ว หิวถึงขนาดนี้เชียว
ฉู่สยงไม่สนใจเขา ก้าวยาวๆ ออกจากโรงเตี๊ยมเดินไปทางตลาด เพราะเมื่อครู่ก่อนหญิงผู้นั้นจากไปเอ่ยกับผู้ดูแลโรงเตี๊ยมว่าจะไปซื้อของที่ตลาด
หลิ่วฮุ่ยเหนียงคิดไว้แล้วว่าจะซื้ออะไร นางเป็นลูกค้าประจำ พ่อค้าเห็นเป็นนางก็นำของดีออกมา
หลิ่วฮุ่ยเหนียงมีใบหน้างดงาม ปากหวาน และวางตัวดี นอกจากจะทำผักดองแล้วนางยังทำของกินเล่นด้วย ใช้ใบบัวห่อเป็นห่อเล็กๆ มอบให้พ่อค้า พ่อค้าดีใจ เพื่อตอบแทนก็จะลดราคาให้นาง หรือไม่คิดเศษเงิน
หลายครั้งเข้าสองฝ่ายสนิทกัน หนหน้านางมาอีก หากพ่อค้าเพิ่งขึ้นของดีสดใหม่ก็จะเก็บของดีที่สุดให้นางโดยที่นางไม่ต้องร้องขอ
หลิ่วฮุ่ยเหนียงอาศัยความสนิทสนมเก็บเล็กผสมน้อยเช่นนี้ จากน้อยเป็นมาก นานเข้าก็กลายเป็นเงินไม่น้อย
ครั้นซื้อของเสร็จก็ซื้อเนื้อหมูที่แผงขายเนื้อ รุ่นเกอเอ๋อร์ ห้าขวบกำลังโต จะต้องบำรุงเสียหน่อย จะได้เติบโตสูงใหญ่
ยามเดินผ่านแผงขายเครื่องประดับ หลิ่วฮุ่ยเหนียงเห็นหวีไม้เล่มหนึ่งแกะสลักอย่างประณีต ถามราคาแล้วรู้สึกว่าแพงเกินไป
นางซื้อไหว แต่อดที่จะเสียดายเงินไม่ได้ พ่อค้าเห็นนางสนใจก็โน้มน้าวอย่างกระตือรือร้น หว่านล้อมอยู่นานก็ไม่อาจทำให้นางหยิบเงินออกมาได้
พ่อค้าใจดี แม้นางไม่ซื้อก็ไม่ชักสีหน้าให้นางเห็น หลิ่วฮุ่ยเหนียงเห็นเขาเป็นมิตร ตนเองยืนดูอยู่นานไม่ซื้อจึงรู้สึกไม่สบายใจ แต่นางทำใจไม่ได้ที่จะจ่ายเงินจำนวนนี้เลยหาเหตุผลมาอ้าง
“ไว้ข้าให้สามีมาซื้อให้ข้า” นางยิ้มหวาน พูดตามมารยาทสองสามประโยคแล้วก็เดินจากไป
หลังจากนางไปแล้ว พ่อค้ากำลังจะเก็บหวีไม้ลงกล่อง หน้าแผงก็มีลูกค้าเข้ามา
“เอามาให้ข้าดูซิ”
พ่อค้าชะงัก เห็นลูกค้าคนหนึ่งยืนอยู่ตรงหน้าแผง
เขาเพิ่งมาตั้งแผงได้ไม่นานจึงไม่รู้จักฉู่สยง เห็นเขาจะดูจึงส่งหวีไม้ให้เขา
“เมื่อครู่แม่นางผู้นั้นชอบหวีไม้เล่มนี้หรือ”
พ่อค้าได้ยินจึงมองสำรวจเขา ฉับพลันก็นึกขึ้นได้
“ท่านคือสามีของแม่นางผู้นั้นหรือ?”
ฉู่สยงเงยหน้าไม่ตอบ เพียงแต่ยิ้ม พ่อค้าคิดว่าเขายอมรับ เขายังนึกว่าแม่นางผู้นั้นหาข้ออ้างเสียอีก! นึกไม่ถึงว่ารอให้สามีซื้อให้จริงๆ
“หวีไม้เล่มนี้ใช้ไม้สนอย่างดี ช่างไม้ที่ทำขึ้นมาเป็นช่างแกะสลักให้กับตระกูลใหญ่โต เพราะมีไม้เหลือจึงทำหวีขึ้นมา ท่านดูดอกไม้ที่สลักบนด้ามหวีสิขอรับ ช่างไม้ธรรมดาไม่อาจเทียบได้ ข้าน้อยขายราคานี้ไม่แพงเลย! ท่านไปถามราคาได้เลย ถ้าไปร้านอื่นแพงกว่าอย่างน้อยๆ ก็สิบเท่า”
ฉู่สยงพยักหน้า “ไม่เลวเลย”
พ่อค้าตาลุกวาวขึ้นมาทันที รู้ว่าตนเจอลูกค้าที่รู้คุณค่า มีโอกาสขายออก
“ท่านซื้อหวีไม้นี้มอบให้กับภรรยา นางจะต้องยินดี มีเล่มนี้เพียงเล่มเดียว มากกว่านี้ไม่มีแล้ว”
ฉู่สยงเก็บหวีไม้ ควักก้อนเงินก้อนหนึ่งโยนให้พ่อค้า “ไม่ต้องทอน”
พ่อค้าดีใจ รีบคำนับขอบคุณ
หลิ่วฮุ่ยเหนียงนั่งอยู่บนรถเทียมลา ตรวจนับของที่ได้มาวันนี้ ในใจคิดไปว่าเย็นนี้จะเพิ่มกับข้าวฉลองกับแม่สามีและลูกชาย
รถเทียมลาเคลื่อนไปได้ครึ่งทางก็สะเทือน ทำเอาหลิ่วฮุ่ยเหนียงตกใจ พอตั้งสติได้ก็รีบถามคนขับรถเทียมลาว่าเกิดอะไรขึ้น
คนขับรถเทียมลาลงจากรถมาสำรวจก่อนพูดพร้อมคิ้วขมวด “ล้อพังเสียแล้ว”
หลิ่วฮุ่ยเหนียงได้ยินก็ตื่นตระหนกขึ้นมา ข้าวของของนางทั้งคันรถไม่น้อยเลย ให้นางถือแล้วเดินกลับย่อมเป็นไปไม่ได้ ยิ่งไปกว่านั้นเดินทางมาถึงครึ่งทางแล้ว จะกลับไปในตำบลหารถเทียมลาคันใหม่ก็ไม่ได้เช่นกัน
“ไยจึงพังเล่า”
หลิ่วฮุ่ยเหนียงตามลงมาดู
คนขับรถเทียมลาชื่อหลีว์เอ้อร์ เป็นคนซื่อที่อยู่ในหมู่บ้านเดียวกัน ทำมาหากินด้วยการบรรทุกสิ่งของให้คนในหมู่บ้าน ไม่เคยหลอกลวงใคร เมื่อวานนางยังกำชับเขาให้ตรวจดูรถให้ดี อย่าให้เสียกลางทาง หลีว์เอ้อร์ทำตามคำพูดนางทุกครั้ง ไม่เคยหลอกนาง หนนี้คงเป็นเพราะโชคไม่ดี
จะทำเช่นไรดี ข้างหน้าไม่ใกล้หมู่บ้าน ข้างหลังก็ไม่ใกล้ตำบล ล้อรถดันมาพังในที่เช่นนี้ เสียเวลาไม่เท่าไร แต่ของดีเต็มคันรถของนางจะต้องขนกลับไปให้ได้
หลีว์เอ้อร์เกาหัว รู้สึกผิดยิ่งนัก
หลิ่วฮุ่ยเหนียงคิด ยามนี้โทษเขาไม่อาจแก้ไขอะไรได้ จะต้องรักษาเวลา ฟ้ามืดขึ้นมาจะแย่ จึงนำเหรียญอีแปะหนึ่งพวงให้หลีว์เอ้อร์ ให้เขาเดินกลับไปที่ตำบล เรียกรถม้ามาคันหนึ่ง
หลีว์เอ้อร์รับเงินมาแล้วสาวเท้าวิ่งกลับไปที่ตำบล หลิ่วฮุ่ยเหนียงนั่งรออยู่บนรถเทียมลา
นางคาดว่าหลีว์เอ้อร์ไปกลับจะต้องใช้เวลาครึ่งชั่วยาม คิดไม่ถึงว่าผ่านไปหนึ่งเค่อ ก็ได้ยินเสียงฝีเท้าม้ามาจากที่ไกลๆ
หลิ่วฮุ่ยเหนียงหันไปมอง เห็นชายผู้หนึ่งควบรถม้าตรงมา สุดท้ายหยุดอยู่ข้างรถเทียมลา
ชายหนุ่มนั่งอยู่บนหลังม้า ก้มหน้ามองลงมาที่นาง
“เจ้าคือหลิ่วฮุ่ยเหนียงใช่หรือไม่”
หลิ่วฮุ่ยเหนียงมองเขาอย่างระแวง ไม่ตอบ
“คนขับของเจ้าบอกว่า เจ้าต้องการรถม้าบรรทุกของ”
“.....” หลิ่วฮุ่ยเหนียงพินิจมองเขาอย่างเงียบๆ ชายหนุ่มรูปร่างสูงกำยำ สวมเสื้อผ้าทะมัดทะแมงสีดำ แผ่นหลังเหยียดตรง โครงหน้าเด่นชัด แม้แต่ม้าที่อยู่ข้างใต้ยังเหมือนกับเจ้าของ ขาทั้งสี่เรียวยาว สีขนเป็นประกาย บึกบึนแข็งแกร่ง ท่าทางไม่ธรรมดา
“เจ้าทักคนผิดแล้ว ข้าไม่ใช่หลิ่วฮุ่ยเหนียง”
“.....” เมื่อเห็นสายตาหวาดระแวงคู่นั้นฉู่สยงไม่เข้าใจว่าตนเองทำพลาดที่ใด ไยนางพบเขาครั้งแรกก็โกหก ทำให้เขาไม่มีโอกาสแสดงตามบทที่คิดไว้
แท้จริงแล้วล้อของรถเทียมลาเขาเป็นคนทำพัง เขาคำนวณไว้แล้ว ล้อรถมาได้แค่ครึ่งทางก็จะหยุดลง ทั้งยังคาดไว้ว่าคนขับรถเทียมลาจะกลับไปในตำบลหารถคันใหม่
เห็นคนขับรถเทียมลาจากไปแล้วเขาจึงควบรถม้าที่เตรียมไว้ ใส่ชุดขี่ม้าที่สง่างามและดุดัน ปรากฏตัวอย่างวีรบุรุษช่วยสาวงาม
ยามปกติที่เขาแต่งตัวเช่นนี้เดินในตำบลก็มักจะดึงดูดสายตาของหญิงสาวมากมาย ต่างพากันมองเขาด้วยสายตาปลาบปลื้ม แต่สายตาที่หญิงผู้นี้มองเขากลับไม่เห็นความเขินอายสักนิด
“ตอนที่คนขับรถเทียมลาของเจ้าเดินผ่านมา บอกว่าจะเช่ารถม้าของข้ามาบรรทุกของ ของบนรถนี้หรือ”
ในเมื่อนางโกหกหน้าตาย เขาทำเป็นไม่รู้ไม่เห็นก็สิ้นเรื่อง จากนั้นก็โกหกหน้าตายเช่นเดียวกับนาง
หลิ่วฮุ่ยเหนียงนิ่งคิดแล้วถามขึ้นมาว่า “เขาเช่ารถของเจ้า จ่ายไปเท่าไร”
“สิบอีแปะ”
ก่อนหน้านี้นางให้หลีว์เอ้อร์ไปสิบอีแปะจริงๆ
“เขาอยู่ที่ใดเล่า”
“เขาไปที่ตำบลหาคนมาลากรถของเขา ให้ข้ามาหาเจ้าก่อน”
“นำสิบอีแปะนั้นออกมาให้ข้าดูหน่อย”
ฉู่สยงหยิบสิบอีแปะออกจากถุงเงิน แบมือให้นางดู เหรียญอีแปะหน้าตาเหมือนกันหมด เขาไม่เชื่อหรอกว่านางจะแยกออกว่าเหรียญอีแปะพวกนี้เป็นเหรียญที่นางเป็นคนให้หรือไม่
หลิ่วฮุ่ยเหนียงยื่นมือหยิบเหรียญอีแปะทั้งหมดใส่ในถุงเงินของตน
“ไม่เช่าแล้ว เชิญท่านกลับไปเถิด”
“.....”
ฉู่สยงหลับตา นวดหัวคิ้ว หัวเราะเสียงต่ำ ยามที่ลืมตาหางตามีรอยยิ้ม แววตาเฉียบคมและกดดัน
เขาโน้มตัวลง มองตรงเข้าไปที่ดวงตาของนาง
“เจ้ารู้ได้อย่างไรว่าข้าเป็นตัวปลอม”
หลิ่วฮุ่ยเหนียงมองเขาอย่างเย็นชา “ค่าเช่ารถม้าในตำบลนั้นมีราคาที่แน่นอน รถเทียมวัวห้าอีแปะ รถเทียมลาสิบอีแปะ รถม้าสิบห้าอีแปะ”
“ข้าคิดราคาถูกไม่ได้หรือ”
“ไม่เคยได้ยินว่าคนคุ้มกันขบวนสินค้าของตระกูลฉู่รับงานควบเป็นคนขับรถม้าด้วย”
เขาเลิกคิ้วอย่างประหลาดใจ “เจ้ารู้จักข้า?”
“ไม่รู้จัก ข้าดูจากชุด”
ที่แท้ชุดขี่ม้าของเขานี่เองที่เผยพิรุธ
“ข้าชื่อฉู่สยง”
สีหน้านางราบเรียบ เหลือเพียงดวงตาระแวดระวัง ฉู่สยงกลับมองว่าน่าสนใจเหลือเกิน เขาเห็นนางครั้งแรกก็ถูกใจเข้าแล้ว
ถ้าเป็นเมื่อก่อน ถูกใจก็ชิงตัวกลับไป แต่ตอนนี้ไม่ได้ เขากลับตัวแล้ว
เดิมทีคิดไว้ว่าวางแผนสร้างสถานการณ์ล่อลวงสาวงาม ให้นางตกหลุมเอง ตอนนี้กลับค้นพบว่านางไม่ได้เหมือนรูปลักษณ์ภายนอกที่ไร้เดียงสา
นางฉลาดยิ่งนัก
ไหนๆ เขาก็มาแล้ว ให้กลับไปเฉยๆ คงไม่ได้
ฉู่สยงลงจากม้าอย่างคล่องแคล่ว ตรงเข้าไปขนย้ายของภายใต้สายตาหวาดระแวงของนาง
“เจ้าทำอะไร”
“ขนของ”
“เจ้าคิดจะขโมยหรือ”
“พูดตามจริง ข้าคิดจะขโมยคนมากกว่า” ใบหน้าเขากำลังยิ้ม แต่สายตาเฉียบคมกดดันมองตรงมาจนหลิ่วฮุ่ยเหนียงตื่นตระหนก
“เจ้า เจ้ากล้า!”
“เจ้าคิดว่าอย่างไรเล่า”
เขายิ้มอย่างเจ้าเล่ห์ เพลานี้ไม่มีผู้คน หากเขาคิดจะทำอะไรนางจริงๆ เกรงว่านางคงหนีไม่พ้น
ชายผู้นี้อันตรายยิ่งนัก สายตาที่เขาจ้องมองมาเหมือนกับหมาป่า ทำเอาหลิ่วฮุ่ยเหนียงขนลุกไปทั้งตัว
หลิ่วฮุ่ยเหนียงนึกเสียใจ ไม่น่าให้หลีว์เอ้อร์ไปก่อน ครานี้นางจะทำเช่นไรดี หนีคงหนีไปได้ไม่ไกล คงต้องใช้สติปัญญา อาวุธชิ้นเดียวที่นางมีก็คือเข็มที่ซ่อนอยู่ในผมมวย บนเข็มอาบยาชาเอาไว้ นางพกติดตัวไว้ตลอดเพื่อป้องกันตัว
ฉู่สยงขนของทั้งหมดวางไว้บนรถม้าแล้วจึงขึ้นหลังม้า สั่งนางอย่างยิ้มแย้ม “ขึ้นรถ”
นางไม่ขยับ เพียงแต่เม้มปากมองเขา
“ไม่เอาของแล้วหรือ หรือเจ้าไม่อยากนั่งในรถม้า อยากจะขี่ม้าตัวเดียวกับข้า?” คำพูดสุดท้ายพูดออกมาอย่างมีเลศนัย
หลิ่วฮุ่ยเหนียงกำหมัดแน่น ลังเลอยู่นานกว่าจะขึ้นรถม้า “รบกวนท่านแล้ว แม่สามีและลูกชายยังรอข้ากลับไปกินข้าวที่บ้าน”
ในเมื่อหนีไม่พ้น ซ้ำไม่อยากทิ้งของทั้งหมดนี่ ไม่สู้รอดูสถานการณ์แล้วค่อยหาทางรับมือ
ฉู่สยงยิ้ม สะบัดแส้แล้วบังคับม้าออกเดิน พานางไปยังหมู่บ้านดอกซิ่ง
ตลอดทางฉู่สยงไม่ได้ทำอะไรเกินเลยกับนาง แต่ช่วยนางขนของกลับหมู่บ้านจริงๆ
เมื่อใกล้ถึงหมู่บ้านดอกซิ่ง ระหว่างทางพบกับคนในหมู่บ้าน
หลิ่วฮุ่ยเหนียงแหวกม่าน โบกมือและตะโกนเสียงดัง
“ท่านอาหวัง...”
“เอ๋? หลิ่วฮุ่ยเหนียงหรือ”
“ท่านอาเก็บฟืนกลับบ้านหรือ พอดีเลย ข้าเช่ารถม้ามา แค่สิบอีแปะ ถูกยิ่งนัก! ขึ้นรถม้าสิ ข้าพาท่านไปด้วย”
คนที่หลิ่วฮุ่ยเหนียงเรียกว่าท่านอาหวังได้ยินก็ดีใจ ไม้ฟืนที่แบกไว้บนหลังหนักไม่ใช่น้อย ได้นั่งรถม้าย่อมถือเป็นเรื่องดี
“ถูกเช่นนี้เชียวหรือ! พอดีเลย ข้าไปด้วย!”
“.....” คนขับรถม้าฉู่สยงหมดคำพูด
เขาคิดว่าสาวงามจะหลบอยู่ในรถม้าไม่ออกมา หลบหูหลบตาผู้คน ไหนเลยจะรู้ว่าเขาคิดผิดอีกแล้ว
“อ้าว แม่ของหมาจื่อไม่ใช่หรือ ท่านขาแข้งไม่ดี อย่าเดินอีกเลย ขึ้นรถเถิด วันนี้ข้าเช่ารถม้ามา!”
“ไอ้หยา เช่นนี้จะดีหรือ”
อาหวังโผล่หน้ามาเสริม “ไม่ต้องคิดมาก แค่สิบอีแปะเท่านั้น!”
ต่อมาลูกบ้านช่างเหล็กที่บ้านอยู่ตรงปากทางหมู่บ้าน ป้าที่ขึ้นไปเก็บผักบนภูเขา พี่สาวน้องชายที่อยู่ข้างบ้าน...หลิ่วฮุ่ยเหนียงคว้าคนมาตลอดทาง สุดท้ายบนรถม้าเบียดกันถึงเจ็ดคน
“.....” คนขับรถม้าฉู่สยงยังคงพูดไม่ออก เขาคิดอะไรไม่รู้ จู่ๆ ก็หัวเราะในลำคอ ต่อมาก็เงยหน้าหัวเราะเสียงดัง
แม่ของหมาจื่อแง้มม่านอย่างประหลาดใจ ถามขึ้น “พี่ชายท่านนี้ ท่านหัวเราะอะไรหรือ”
ฉู่สยงหันหน้ายิ้มให้ “ท่านป้านั่งดีๆ ระวังจะล้ม”
ครั้นแม่ของหมาจื่อเห็นหน้าของเขาชัดๆ ก็อุทานขึ้นมา “ไอ้หยา! พี่ชายคนนี้หน้าตาดีจริงๆ!”
ฉู่สยงยิ้มกว้าง เริ่มคุยสัพเพเหระกับแม่ของหมาจื่อ
หลิ่วฮุ่ยเหนียงเบะปากอยู่บนรถ นางเรียกคนให้ขึ้นรถม้ามากมายเพียงนี้ ตั้งใจที่จะแกล้งเขา ให้เขารู้ว่ายากและถอดใจ อย่าคิดอะไรกับนาง
มีคนเต็มรถม้าเป็นเพื่อน ยามเข้าหมู่บ้านถึงไม่มีใครเคลือบแคลง มิเช่นนั้นแล้วหญิงมีสามีเช่นนางนั่งรถม้าของชายหนุ่มกลับมา หากมีคนคิดไม่ดีแพร่งพรายข่าวลืออะไร ย่อมทำให้เกิดเรื่องได้โดยง่าย
คนในหมู่บ้านติดรถมา เมื่อถึงหน้าบ้านตระกูลหลิ่ว ทุกคนต่างช่วยกันขนของเข้าบ้าน ถือเป็นการตอบแทน
ยามที่ฉู่สยงจะกลับ เขาเหลือบมองหลิ่วฮุ่ยเหนียง นางกำลังคุยกับเพื่อนบ้าน ไม่มองเขาสักนิด
ฉู่สยงหัวเราะ บังคับม้าจากไป หลิ่วฮุ่ยเหนียงจึงหันหน้ากลับมามอง เห็นรถม้าจากไปไกลก็ถอนหายใจด้วยความโล่งอก
หลังจากนั้นหลายวันหลิ่วฮุ่ยเหนียงก็ลืมเรื่องนี้ นางคิดว่านางคงไม่ต้องเจอกับฉู่สยงอีก เพราะวันนั้นคนอยู่กันมากมาย ในเมื่อเขาเป็นคนคุ้มกันขบวนสินค้าของตระกูลฉู่ที่อยู่ในตำบลผิง คงไม่ถึงกับถ่อมาหมู่บ้านดอกซิ่งที่อยู่ห่างไกลกระมัง
เช่นเดียวกับที่ฉู่สยงประเมินนางผิด นางก็ประเมินฉู่สยงผิดเช่นกัน และยิ่งประเมินตำแหน่งของนางในใจเขาผิดไป
หลังมื้อกลางวันสตรีแต่งงานแล้วหรือหญิงสาวในหมู่บ้านจะไปซักผ้าที่ริมน้ำ หลิ่วฮุ่ยเหนียงก็เช่นกัน
วันนี้นางกับหญิงในหมู่บ้านคนอื่นๆ ไปซักผ้าที่ริมน้ำ จู่ๆ ได้ยินคนพูดถึงฉู่สยงขึ้นมา
บุรุษชอบหญิงงาม สตรีก็ชอบบุรุษที่หล่อเหลาเช่นกัน ไม่รู้ว่าใครเป็นคนเริ่ม หัวข้อเปลี่ยนเป็นเรื่องเกี่ยวกับฉู่สยง พูดว่าเขารูปร่างสูงใหญ่ หน้าตาก็ใช้ได้ หนก่อนหัวหน้าหมู่บ้านพาลูกสาวเข้าตำบลเจอกับอันธพาล ฉู่สยงก็ช่วยต่อสู้จนพวกอันธพาลหนีไป
ลูกสาวของหัวหน้าหมู่บ้านเป็นคนช่างพูด เมื่อเจอเรื่องวีรบุรุษช่วยสาวงามเช่นนี้ กลับถึงหมู่บ้านก็บอกชาวบ้านคนอื่น เรื่องนี้จึงรู้กันไปทั่ว
หลิ่วฮุ่ยเหนียงฟังแต่ไม่พูดอะไร ในใจไม่เห็นคุณค่า
วีรบุรุษช่วยสาวงาม? คนผู้นั้นเป็นคนลามก นางสงสัยว่าเรื่องนี้จะเป็นแผนการที่เขาวางเอาไว้
หลิ่วฮุ่ยเหนียงชอบคนสง่างาม ส่วนหยาบกระด้างเช่นฉู่สยงนางไม่สนใจ ไม่ว่าทุกคนจะพูดเช่นไร นางเพียงแต่ฟังอยู่เงียบๆ ตอบบ้างเป็นบางครา ให้รู้ว่านางฟังอยู่
พูดกันมาก จริงเท็จก็ยิ่งมาก หลิ่วฮุ่ยเหนียงเชื่อเช่นนี้ ในหมู่บ้านมีหญิงสองสามคนที่ค่อนข้างเป็นใหญ่และชอบเป็นผู้นำเช่นป้าหวง
ป้าหวงไม่ใช่คนไม่ดี แต่มีนิสัยชอบเอาชนะ พูดจาเสียงดัง ยามปกติหลิ่วฮุ่ยเหนียงไปมาหาสู่ ผูกมิตรไมตรีกับบ้านป้าหวงอยู่บ้าง
“ป้าหวง อาชิวบ้านเจ้าจะอายุสิบห้าแล้ว ได้ยินว่าเจ้ากำลังหาสามีให้นางหรือ” ป้าหวังคนเลี้ยงหมูล้อป้าหวง
ชายในหมู่บ้านส่วนใหญ่ทำนาหรือล่าสัตว์ ต่างรู้ไส้รู้พุงกันดี บ้านใครเป็นเช่นไรไหนเลยจะสู้ฉู่สยงได้ ฉู่สยงเป็นถึงคนคุ้มกันของตระกูลฉู่ พูดให้ชัดคือ ได้รับความไว้วางใจจากนายท่านตระกูลฉู่ เป็นคนคุ้มกันที่ให้ใช้แซ่ฉู่ มีอนาคตไกล
ป้าหวงได้ยินก็หัวเราะ “เขามีดีขนาดนี้ ไหนเลยจะสนใจอาชิวบ้านข้า ถ้าจะแต่ง ก็คงหาแม่นางในตำบล”
หญิงสาวในหมู่บ้านดอกซิ่งล้วนเป็นสาวชาวบ้าน แต่งก็แต่งกับชาวนา น้อยนักที่มีวาสนาได้แต่งเข้าไปในตำบล
พูดถึงส่วนน้อย ในหมู่พวกนางมีอยู่หนึ่งคน
“หากอาชิวบ้านข้าสวยเหมือนฮุ่ยเหนียง ไม่แน่อาจมีโอกาส”
หลิ่วฮุ่ยเหนียงสะดุ้ง รักษาสีหน้าให้เป็นธรรมชาติ หัวเราะพลางผลักป้าหวงเบาๆ “ป้าหวงละก็ ล้อข้าเล่นเช่นนี้ จะว่าไปข้าโชคดีที่ได้แต่งกับสามีข้า ข้าชอบคนสง่างามเช่นนี้เอง”
นางสีหน้ายิ้มแย้ม แต่ในใจคิดจะเบี่ยงเบนหัวข้อนี้ให้พ้นไปจากตน อาศัยโอกาสนี้บอกทุกคน นางชอบคนสง่างามเท่านั้น ดุดันบึกบึนเช่นฉู่สยงนางขอเคารพอยู่ห่างๆ
พูดถึงคนที่สง่างาม สามีของหลิ่วฮุ่ยเหนียงสง่างามจริงๆ พูดจามีมารยาท กิริยาท่าทางราวกับมาจากในเมือง ไม่เหมือนใคร
หมู่บ้านดอกซิ่งของพวกเขามีบัณฑิตเช่นอู๋จื่อชิงก็แค่คนเดียว ยามที่อายุสิบห้าเขาสอบผ่านเป็นซิ่วไฉ ยามนั้นคนทั้งหมู่บ้านมาร่วมแสดงความยินดี จุดประทัดกันตลอดถนนทั้งเส้น
ทุกคนต่างอิจฉาหลิ่วฮุ่ยเหนียงที่ไม่ต้องแต่งกับชาวนา ไม่ต้องทำนา ส่วนมากทำแค่งานบ้าน ออกมาซักผ้ากับพวกนาง เช่นนี้จึงยังรักษาผิวขาวเอาไว้ได้
หัวข้อสนทนากลับไปที่ฉู่สยงอย่างรวดเร็ว หลิ่วฮุ่ยเหนียงไม่สนใจชายผู้นั้น อีกทั้งเสื้อผ้าไม่มาก หลังจากซักเสร็จอย่างว่องไวจึงยกถังไม้แล้วลุกขึ้น บอกลาทุกคน และเดินกลับไปยังบ้านของตน
ระหว่างทางจากริมน้ำถึงบ้านของนาง เดินบนเส้นทางเล็กๆ บนคันนา ทางเดินนี้นางเดินผ่านหลายครั้งแล้ว ปลอดภัยยิ่งนัก ระหว่างทางนางทักทายกับชาวบ้านที่อยู่ในท้องนา
นางอุ้มถังไม้ ปากร้องเพลงเบาๆ ทันใดนั้นนางก็ชะงักเมื่อเหลือบไปเห็นเงาร่างเบื้องหน้า
ร่างกายสูงใหญ่ของฉู่สยงเดินมาจากทิศทางตรงหน้า ทำเอานางตกใจจนหนังศีรษะชา
เขามาได้อย่างไรกัน?
หลิ่วฮุ่ยเหนียงมองซ้ายมองขวา เห็นในท้องนามีชาวบ้านกำลังยุ่งอยู่ นางถอนหายใจด้วยความโล่งอก กลางวันแสกๆ นางไม่เชื่อว่าเขาจะกล้าทำอะไรนาง
ไม่ช้าหลิ่วฮุ่ยเหนียงก็ต้องเสียใจกับความคิดไร้เดียงสาของตนเอง นางทำใจกล้าเดินตรงไปข้างหน้า ยามที่เดินผ่านเขา จู่ๆ ขาก็สะดุดอะไรบางอย่าง นางซวนเซล้มลงไปในอ้อมแขนของเขา ฉู่สยงได้ทีกอดนางก่อนทั้งคู่จะกลิ้งหล่นไปในกองฟางบนคันนาด้วยกัน
++++++++++++++++++++++++++++
สามีจากบ้านไปสอบเป็นขุนนางสามปีไม่กลับมา หลิ่วฮุ่ยเหนียงทำได้เพียงดูแลลูกชายกับแม่สามีที่ป่วยโดยอาศัยฝีมือการทำผักดองส่งขายโรงเตี๊ยม ทว่าฤกษ์ส่งผักดองหนนี้คงไม่ดีเป็นแน่ถึงทำให้นางพบกับฉู่สยงคนคุ้มกันขบวนสินค้าของตระกูลฉู่เข้า
แค่เขาแสดงท่าทีสนใจนาง นางก็รีบปิดประตูไมตรีใส่เขาทันที แต่กลับหนีไม่พ้นเพราะต้องอาศัยขบวนสินค้าตระกูลฉู่พาบุตรชายเข้าเมืองหลวงตามหาสามีหลังแม่สามีจากไป ฉู่สยงคอยตามดูแลปกป้องนาง เมื่อได้ทีก็ฉวยโอกาสเล็กๆ น้อยๆ กับนาง ครั้นนางดุร้ายกัดเขา เขาไม่เพียงไม่ร้องแต่ยังเสพสุข บุรุษร่างสูงใหญ่หน้าด้านหยาบช้าผู้นี้ไม่รู้เป็นเพราะอะไรจึงไม่ยอมถอดใจ มิหนำซ้ำยังส่งลูกน้องปลอมตัวมาดูแลนางสารพัด ขนาดตัวเขาเองก็ยังปลอมตัวมาเพื่อให้ได้ใกล้ชิดกับนาง แถมนับวันรอนางหย่ากับสามีทรยศอีกต่างหาก…
