New Release เหลียนฮวา : ใต้หล้านี้ไม่มีใครไม่รู้จักท่าน (มี 2 เล่มจบ)

อัพเดทข่าวบงกชบุ๊คส์ ความเคลื่อนไหว และกิจกรรมพิเศษ ตลอดจนร่วมสนุกชิงรางวัลพร้อมของรางวัลมากมาย

Moderator: P'Bly, Gals, พี่บี

ตอบกลับโพส
Gals
โพสต์: 1072
ลงทะเบียนเมื่อ: ศุกร์ 13 ก.พ. 2009 3:47 pm

New Release เหลียนฮวา : ใต้หล้านี้ไม่มีใครไม่รู้จักท่าน (มี 2 เล่มจบ)

โพสต์ โดย Gals »

บทที่หนึ่ง

เขาเคยเป็นแม่ทัพผู้งามสง่าเปี่ยมความรู้ที่ซื่อตรง สุขุม ปราดเปรียวและห้าวหาญอันดับหนึ่งในใต้หล้า
นับตั้งแต่เข้าสู่สนามรบตอนอายุสิบห้าปีเป็นต้นมา ก็ยกทัพจับศึกเป็นเวลานานหลายปีโดยไม่เคยพ่ายแพ้
เขาเคยนำกำลังทหารเพียงห้าร้อยนายรักษาด่านหลางยงต่อต้านทัพหลักของชนเผ่าเจี๋ยหนูจำนวนหนึ่งแสนนายอย่างเข้มแข็ง นำกองทหารม้าห้าพันนายบุกโจมตีราชสำนักเจี๋ยหนู ทำลายกระโจมอ๋อง เด็ดศีรษะอ๋องของเจี๋ยหนู ชิงสิบหกเขตกลับมาได้ในคราวเดียว...
เขาเป็นพระมาตุลา เป็นพระญาติที่ใกล้ชิดที่สุดของจักรพรรดิองค์ปัจจุบัน และเป็นน้องชายร่วมสายโลหิตเพียงคนเดียวของสวีไทเฮา
แต่กลับต้องเสียชีวิตด้วยพิษหงอนกระเรียนแดง จอกหนึ่งที่ฮ่องเต้ซึ่งเป็นหลานประทานให้ในคืนวันเทศกาลซ่างหยวน ปีที่สิบของราชวงศ์ฉู่
วิญญาณวีรชนผู้วายชนม์ โดดเดี่ยวเดียวดาย ไร้ซึ่งภรรยาบุตรธิดาอยู่ข้างหลัง...
ในบันทึกประวัติศาสตร์มีการบันทึกเกียรติประวัติและคร่ำครวญถึงวีรบุรุษผู้ยิ่งใหญ่นี้ไว้เพียงไม่กี่บรรทัด แต่ในบันทึกคำบอกเล่ากลับบรรยายตำนานความสามารถอันเป็นที่ประจักษ์และความภาคภูมิใจในตัวเขาไว้อย่างชัดเจน
เขาชื่อสวีหรงชิง ตอนที่เสียชีวิตเพิ่งจะอายุสามสิบเท่านั้น

***

ซ่งหน่วนไม่คาดคิดเลยว่า สวีหรงชิงผู้รอดมาจากการต่อสู้อย่างไม่คิดชีวิตท่ามกลางทะเลเลือดและกองซากศพมาตลอดชีวิต บุรุษที่วางแผนกลยุทธ์ในกระโจมค่ายและเฉลียวฉลาดกว่าใครมาโดยตลอด สุดท้ายกลับต้องตายอย่างสงบด้วยสุราพิษเพียงจอกเดียว
นางมองดูบุรุษร่างสูงเพรียวผู้โดดเดี่ยวด้วยความตื่นตระหนก เมื่อต้องเผชิญหน้าขันทีผู้ตรวจการและหัวหน้าราชองครักษ์ที่เต็มไปด้วยความระแวดระวัง บีบบังคับ และสีหน้าที่ไม่กล้าเผยความรู้สึกผิดกับความสงสารออกมาแม้แต่น้อย เขายังคงยกจอกสุราทองคำใบนั้นขึ้นอย่างใจเย็น แล้วค่อยๆ จ่อที่ปาก
“สวีโหว !” หัวหน้าราชองครักษ์ยื่นมือออกมาเล็กน้อย แต่แล้วก็ชักมือกลับอย่างแรง
ขันทีผู้ตรวจการมองหัวหน้าราชองครักษ์ด้วยสายตาเย็นชา แฝงไปด้วยการตักเตือน
...จำไว้ว่าเจ้านายของเจ้าคือฝ่าบาท ไม่ใช่อดีตจอมพลทหารม้าแห่งใต้หล้าที่อยู่ตรงหน้าเจ้าคนนี้อีกต่อไป!
บริเวณด้านในและด้านนอกห้องหนังสือเรือนรั่วเวิ่นของจวนโหวนี้เต็มไปด้วยองครักษ์ลับและกองทหารม้าที่แข็งแกร่งของฝ่าบาท ซึ่งโอบล้อมและควบคุมองครักษ์ส่วนตัวรวมถึงกำลังคนและม้าของสวีโหวไว้อย่างแน่นหนานานแล้ว
จวนโหวกินพื้นที่กว้างใหญ่ไพศาล ในมุมมืดที่แสงจันทร์ส่องไม่ถึงคือกลุ่มชายฉกรรจ์ผู้จงรักภักดี ที่คอมีมีดเหล็กแหลมคมเป็นเงาแวววาวจ่ออยู่
แม้พวกเขาทั้งหมดกำลังรอให้ท่านโหวของพวกเขาส่งสัญญาณลับยกเลิกคำสั่ง ‘ห้ามทำอะไรวู่วาม’ ที่พวกเขาได้รับมาก่อนหน้านี้ แม้เลือดในกายพวกเขาเดือดพล่าน ความแค้นต่อความไม่เป็นธรรมแน่นอกจนจับจ้องด้วยความเคียดแค้นดวงตาแทบระเบิด แต่ท่านโหวเป็นเจ้านายที่พวกเขาต้องปฏิบัติตามคำสั่งอย่างเคร่งครัด พวกเขาจะขัดขืนไม่ได้อย่างเด็ดขาด!
พวกเขากัดฟันจนเลือดออกตามไรฟัน น้ำตาคลอเบ้า ได้แต่ภาวนาขอให้ท่านโหวเปลี่ยนใจ...
ขันทีผู้ตรวจการรู้ดีว่าสถานการณ์เวลานี้ดูเหมือนไม่มีช่องโหว่ แม้มีปีกก็ยากจะบินหนี แต่สวีโหวก็คือสวีโหว พูดถึงความเชี่ยวชาญในการสู้รบด้วยกำลังทหารแล้วไม่มีใครสู้เขาได้ หรือจะพูดถึงวิทยายุทธ์ของเขาในโลกนี้ก็มีคู่ต่อสู้ที่มีฝีมือไล่เลี่ยกันน้อยมาก
หากเขาไม่ยอมดื่มพิษหงอนกระเรียนแดงจอกนี้ด้วยมือของเขาเอง...เหล่าทหารสรรพวุธหลายร้อยนายในที่นี้ก็ไม่สามารถต้านทานเขาฝ่าวงล้อมออกไปได้จริงๆ
ก่อนจะมาที่นี่ ฝ่าบาทมีรับสั่งสังหาร หากไม่สามารถ ‘ทำให้’ สวีโหวดื่มสุรานี้ได้ เช่นนั้นคนที่จะถูกสังหารก็คือเก้าชั่วโคตรของพวกเขาทั้งสองคน!
ไม่มีใครรู้ว่าฝ่าบาททรงแอบชิงชังสวีโหวผู้เป็นพระมาตุลามานานเท่าไรแล้ว?
แต่การกระทำในวันนี้ แม้ไทเฮาจะทรงยอมสละยศถาบรรดาศักดิ์คุกเข่าอ้อนวอนฝ่าบาทซึ่งเป็นพระโอรสแท้ๆ ก็ไม่สามารถยับยั้งได้
ยิ่งไปกว่านั้นในเวลานี้ไทเฮายังประชวรด้วยโรคหวัด ถูกห้อมล้อมด้วยฮองเฮา พระนัดดา และบรรดาหมอหลวงนางกำนัลอยู่ในพระตำหนักฉือเต๋อ
สวีหรงชิงกลับไม่มีเจตนาจะต่อต้านใดๆ ทั้งสิ้น ภายใต้คิ้วเข้มคู่นั้นคือสีหน้าเย็นชา แม้จะมีแววโศกเศร้าเล็กน้อย แต่เขาก็เงยหน้าดื่มสุราพิษลงไปจนหมดเกลี้ยง
แผ่นดินนี้เป็นแผ่นดินของกษัตริย์ ราษฎรทั้งแผ่นดินเป็นขุนนางและพสกนิกรของกษัตริย์...เป็นแผ่นดินของจักรพรรดิองค์ใหม่
ขุนนางที่มีคุณงามความดีสูงส่งจนทำให้กษัตริย์ต้องสั่นสะเทือน ถึงจะเป็นพระมาตุลาก็ไม่ควรกลายเป็นภัยคุกคามแฝงของพระองค์
หลังจากนั้นไม่กี่อึดใจสวีหรงชิงก็นั่งลงบนพื้นอย่างสงบ ดวงตาสีดำมองความมืดยามราตรีที่ทอดไปไกลแสนไกลอย่างไม่มีที่สิ้นสุดตรงหน้าประตู เมืองหลวงที่มีแสงไฟส่องสว่างรุ่งเรืองเป็นเมืองหลวงที่เขาเคยต่อสู้อย่างไม่คิดชีวิตเพื่อพิทักษ์รักษามันไว้
ท้องของเขาปวดรุนแรงราวกับโดนแมลงกัดและมีดกรีด แต่เขากลับไม่แสดงสีหน้าเจ็บปวดแม้แต่น้อย มุมปากมีเลือดพิษสีม่วงดำค่อยๆ ไหลซึมออกมา ในที่สุดเขาก็หลับตาทั้งสองข้าง ขาดใจตายทันที
“สวีโหว!”
“ท่านโหว!”
หลังจากนั้นองครักษ์ลับและกองทหารม้าที่ควบคุมทั้งภายนอกและภายในจวนโหวไว้อย่างแน่นหนาก็ถอนกำลังกลับไป ขันทีผู้ตรวจการก็แสร้งโศกเศร้ากลับไปถวายรายงานที่วัง
โดยในนาม ขันทีคือผู้แทนพระองค์มาแสดงความห่วงใยพระมาตุลาที่นอนป่วยอยู่บนเตียงมานานเนื่องจากอาการบาดเจ็บเก่ากำเริบ แต่ ‘ไม่คาดคิดเลยว่า’ กลับได้ยินข่าวการสิ้นชีวิตจากอาการบาดเจ็บสาหัสจนยากที่จะเยียวยาของพระมาตุลา...
ฝ่าบาทต้องการเป็นกษัตริย์ที่ปรีชาสามารถ ในด้านชื่อเสียงต้องห้ามมีมลทินแม้แต่น้อย
วันนี้สวีโหวโชคร้ายเสียชีวิตตั้งแต่อายุยังน้อย ฝ่าบาทในฐานะจักรพรรดิแล้วยังเป็นหลานชายของสวีโหวอีกด้วย เนื่องจากเสียใจกับการสูญเสียวีรบุรุษของราชวงศ์ฉู่ จึงควรทุ่มเทแรงกายเพื่อจัดพิธีศพหลังการเสียชีวิตให้กับสวีโหวอย่างสมเกียรติ...
เพียงแต่ไม่มีใครรู้ว่า หลังจากคืนนี้คนสนิทที่จงรักภักดีในจวนของสวีโหวจะถูกสังหารจนสิ้นซากโดยคำสั่งลับของฮ่องเต้ แม้แต่แม่ทัพเลื่องชื่อและกองทหารชั้นยอดที่นำโดยสวีโหวก็ต้องกระจัดกระจายถูกเนรเทศไปประจำการปกป้องบ้านเมืองตามดินแดนต่างๆ ที่ไกลแสนไกล
เรื่องใหญ่เช่นนี้ทำให้จวนสวีโหวซึ่งใหญ่โตน่าเกรงขาม หลังจากสูญเสียเจ้านายไปก็ตกต่ำลงในชั่วข้ามคืน วังเวงเสียจนน่าใจหาย

***

ทุกคนในราชวงศ์ฉู่ไม่มีใครรู้ถึงแผนการที่เห็นแก่ตัวของจักรพรรดิหนุ่ม
แต่จักรพรรดิหนุ่มเองก็คิดไม่ถึงเลยว่า ในคืนนั้นหลังจากสวีหรงชิงดื่มพิษหงอนกระเรียนแดงจนเสียชีวิตไปแล้ว จะมีร่างเล็กๆ โผนลงมาเงียบๆ หยิบยาลูกกลอนออกมาแล้วใส่เข้าไปในปากเย็นเยือกของเขา
ค่ำคืนหนึ่งหลังจากผ่านพิธีฝังศพอย่างสมเกียรติของสวีโหวไปแล้วสามวัน ซ่งหน่วนแอบไปขุดหลุมฝังศพของเขา แบกร่างเขาออกจากโรงศพที่ตอกหมุดแน่นด้วยความยากลำบาก จากนั้นก็ปาดเหงื่อกลบดินอย่างระมัดระวัง พยายามให้เหมือนเดิมมากที่สุด
ม้าที่อยู่ไม่ไกลเริ่มหมดความอดทนเล็กน้อย มันพ่นลมออกมาทางจมูกเบาๆ
“ชู่!” ซ่งหน่วนฝืนปล่อยมือข้างหนึ่งแล้วทำสัญญาณมือเตือนม้าไม่ให้ส่งเสียง
ร่างบุรุษสูงใหญ่เย็นเฉียบที่นางแบกไว้บนหลังลื่นลงมาไม่หยุด ซ่งหน่วนต้องออกแรงเต็มที่ดันตัวเขาขึ้นมาดีๆ จากนั้นก็ใช้แรงสุดกำลังผลักสวีหรงชิงเข้าไปในรถม้าด้วยไม่กล้าหยุดพักบ่อยนัก
“ไป!” นางสะบัดสายบังเหียนอย่างระมัดระวัง กีบม้าที่พันด้วยผ้าฝ้ายวิ่งห้อไปอย่างลิงโลด รถม้าสีดำไม่สะดุดตาค่อยๆ หายไปในความมืดยามราตรี
สองเดือนต่อมา ในเมืองหลิ่ว เมืองริมน้ำทางเจียงหนานซึ่งอยู่ห่างจากเมืองหลวงหลายร้อยลี้ ในบ้านสองส่วนหลังเก่าสะอาดสะอ้าน ในที่สุดสวีหรงชิงซึ่งนอนหลับใหลมากว่าเจ็ดสิบวันแล้วก็ฟื้นขึ้นบนเตียงใหญ่ในเรือนหลัก
ใบหน้างามของบุรุษหนุ่มซีดตอบ ทำให้เห็นรูปหน้าชัดเจน ดูแข็งแกร่งซื่อตรง...ขณะลืมตาขึ้นเขาซึ่งต่อสู้ในสนามรบมานานไม่ได้รู้สึกสับสนเหมือนเพิ่งตื่นจากความฝันแม้แต่น้อย ทันทีที่รูม่านตาหดตัวก็เอื้อมมือไปดึงอาวุธใต้หมอนอย่างฉับไว...
เมื่อคว้าไปกลับคว้าได้เพียงความว่างเปล่า!
ทางด้านซ่งหน่วนที่ยกแป้งรากบัวร้อนกรุ่นก้าวเข้ามาในห้องกลับดีอกดีใจ ยิ้มแย้มแจ่มใสขึ้นมาทันทีที่เห็นบุรุษหนุ่มนั่งตัวแข็งทื่อ เต็มไปด้วยความตื่นตัว...
“ท่าน ท่านฟื้นแล้ว”
“ที่นี่ที่ไหน...?” เสียงของเขาทุ้มและแหบแห้ง เนื่องจากไม่ได้พูดมาเป็นเวลานานจึงยังมีความยากลำบากอยู่เล็กน้อย แต่กลับไม่สามารถปิดบั.ังภายในกายของเขาได้ “เจ้า เจ้าเป็นใคร?”
แต่นางกลับมองเขาด้วยความดีใจ ยกชามขึ้นอย่างเอียงอายเล็กน้อยแล้วพูดว่า “ท่าน ท่านดื่มแป้งรากบัวชามนี้ก่อน แล้วอยากรู้อะไรข้าจะเล่าให้ฟังทุกอย่าง”
เขาเงียบไปครู่หนึ่งแล้วจึงพยายามยกมือขึ้นช้าๆ รับแป้งรากบัวชามนั้นมา “...ขอบคุณ”
ซ่งหน่วนไม่กล้าแม้แต่จะหายใจแรง เพราะกลัวว่าหากหายใจแรงนิดหน่อยจะพัดใบหน้าซีดป่วยของสวีหรงชิงที่อยู่ตรงหน้าสลายไป
หลังจากดื่มแป้งรากบัวหมดภายในไม่กี่อึกเขาก็วางชามลง เหลือบตาขึ้นมองนาง
เมื่อถูกจ้องมองด้วยดวงตาเด็ดเดี่ยวล้ำลึก หัวใจของนางก็เต้นตูมตาม ใบหน้าค่อยๆ แดงขึ้น
“ข้ายังไม่ตาย?” เขาจ้องหน้านาง “...แม่นางเป็นคนช่วยข้า?”
“ใช่ ข้าเอง” เมื่อนางเห็นเขานั่งอยู่บนเตียงโดยดี ไม่มีวี่แววว่าจะลุกขึ้นเดินจากไปก็รู้สึกโล่งใจ ยิ้มอ่อนหวาน
“ทำไม?”
ซ่งหน่วนตะลึง รอยยิ้มหุบลงนิดหน่อย รู้สึกไม่เข้าใจเล็กน้อย “อะไรทำไม? ข้าช่วยท่าน...ไม่ดีหรือ?”
แววตาของเขามีแววหม่นหมองผ่านเข้ามาแวบหนึ่ง หลังจากนั้นไม่นานเขาก็ส่ายหัว
“ท่านอย่าคิดมากเลย มดยังมีชีวิตอยู่ไปวันๆ นับประสาอะไรกับคน? ยังมีชีวิตอยู่ก็นับว่าดีมากๆ แล้ว” นางพูดพร้อมกับยิ้มละไม
เขามองนาง “แม่นางเป็นหมอเทวดา?”
“ไม่ใช่นะ” ดวงตาของนางเป็นประกายสดใส เวลายิ้มราวกับดอกหอมหมื่นลี้ที่งดงาม ร่างกายก็มีกลิ่นหอมอ่อนๆ เหมือนกลิ่นดอกหอมหมื่นลี้หอมกรุ่นกำจาย “แต่บังเอิญข้ามียาถอนพิษหงอนกระเรียนแดง รอจนคนชั่วเหล่านั้นกลับไปแล้วถึงแอบใส่เข้าไปในปากท่าน ยานั้นยังมีสรรพคุณทำให้อวัยวะในร่างกายหยุดทำงานชั่วคราวด้วย พวกเขาทั้งหมดจึงคิดว่าท่านตายแล้ว”
เขาพยักหน้า แล้วก็เงียบไปอีกครั้ง
นางรู้ดีว่าตอนนี้เขาคงจะรู้สึกสับสนทรมานใจมากอย่างแน่นอน จึงไม่อยากรบกวนเขาอีก “ท่านพักผ่อนอีกสักครู่ หากนอนจนเบื่อแล้วก็ออกไปเดินเล่นได้ ถึงบ้านของเราจะมีแค่สองส่วนสู้จวนโหวของท่านไม่ได้ แต่บ้านส่วนหน้าของข้าเลี้ยงปลาไว้ ส่วนหลังปลูกดอกไม้ แล้วยังมัดเป้าธนูไว้ให้ท่านด้วย ท่านชอบหรือไม่”
เมื่อสวีหรงชิงเห็นหญิงสาวอ่อนหวานผู้นี้มองเขาด้วยสีหน้าเอาใจ มือใหญ่จึงกุมข้อนิ้วมืออย่างทำตัวไม่ถูก ในใจมีข้อกังขามากมาย
นางเป็นใครกันแน่ ทำไมจึงเสี่ยงชีวิตเพื่อช่วยเขา? แล้วทำไมจึงมีท่าทางสนิทสนมผูกพันชื่นชอบเขา
เมื่อตอนเขายังเด็กต้องเผชิญกับอั.ี่ไม่ตายก็ต้องบาดเจ็บ ต่อมาเมื่อเขาค่อยๆ เติบโตขึ้นก็ยังต้องเผชิญกับความผันผวนของราชสำนักจากความเปลี่ยนแปลงทางการเมืองและกลอุบาย...นอกจากสหายร่วมรบและคนสนิทที่ไว้ใจที่สุดซึ่งสามารถตายแทนกันได้แล้ว คนอื่นๆ ล้วนมีความเป็นไปได้ที่จะเข้าหาเขาด้วยจุดประสงค์ที่ไม่อาจคาดเดาได้
ดังนั้นเขาจึงต้องซ่อนมีดไว้ใต้หมอน และคอยตื่นตัวยามหลับเวลากลางคืน
“แม่นางเป็นใคร?” เขาเอ่ยปากถาม
ดวงตานางหยีโค้ง “ข้าชื่อซ่งหน่วน”
“แม่นางซ่ง” เขาพยักหน้า ขมวดคิ้วเข้ม
ซ่งหน่วนดูออกว่าเขาต้องการจะถามอะไรจึงรีบขัดจังหวะเขา พูดอย่างกระตือรือร้นและร้อนรนว่า “ข้าจะไม่ทำร้ายท่าน ขอให้ท่านเชื่อข้า...ถ้า ถ้าข้าต้องการทำร้ายท่าน ตอนนั้นข้าคงไม่ช่วยท่านแล้ว”
“...ทำไมต้องช่วยข้า?” เขาถามซ้ำ
“พวกเรามีวาสนาต่อกัน” นางยิ้มเผยฟันขาวราวกับเปลือกหอยเล็กๆ อีกครั้ง
เมื่อเผชิญหน้ากับหญิงสาวงดงามอ่อนโยนเช่นนี้ สวีหรงชิงก็ทำตัวไม่ถูกและพูดไม่ออกอย่างไม่เคยเป็นมาก่อน
นางช่วยเขาไว้ แม้สถานการณ์จะซับซ้อนเขาก็ควรจะขอบคุณนางสำหรับน้ำใจครั้งนี้ แต่ก่อนจะรู้สถานะและจุดประสงค์ที่แท้จริงของนาง เขาก็ไม่อาจหย่อนยานการป้องกันตัวได้
ซ่งหน่วนมองบุรุษหนุ่มที่เหมือนนกอินทรีและหมาป่าโดดเดี่ยวตรงหน้าด้วยแววตาอ่อนโยนรักใคร่ เขาผู้มีรูปร่างสูงใหญ่ยังคงนั่งตัวตรงเช่นเดิม เป็นมนุษย์เหล็กชายชาติทหารผู้ทะนงองอาจที่ผ่านการสู้รบมาอย่างโชกโชน
แต่แววตาของเขาเหมือนสุนัขจนตรอกที่เต็มไปด้วยรอยแผลและคราบเลือด
อันตราย ระวังตัว เย็นชา และโศกเศร้า...
นางเศร้าใจ ในใจรู้สึกเสียใจขึ้นมาอีกครั้ง
“ข้าต้มน้ำแกงไก่ไว้ให้ท่านที่เตา เดี๋ยวจะไหม้เอา” ซ่งหน่วนรีบกะพริบตาไล่ความเปียกชื้นใต้ขนตายาว พูดเบาๆ ว่า “ข้าขอไปดูก่อน อีกอย่าง ในเมื่อท่านฟื้นแล้ววันหลังก็บอกข้าได้เลยว่าท่านชอบอะไร ไม่ชอบอะไร ไม่ต้องกลัวว่าข้าจะเอาอะไรที่ท่านไม่เต็มใจกินกรอกใส่ปากท่านอีกแล้ว”
สวีหรงชิงอยากจะถามนางว่าทำไมจึงต้องดูแลเอาใจใส่เขาเช่นนี้?
...แต่จนแล้วจนรอดก็ไม่ได้เอ่ยปากอีก

***

แม้ยาลูกกลอนนั่นจะถอนพิษหงอนกระเรียนแดงได้แล้ว แต่ถึงอย่างไรก็ทำให้ร่างกายของสวีหรงชิงเสียหายไปมาก โชคดีที่เขาฝึกวิทยายุทธ์มาตั้งแต่เด็กทำให้ร่างกายแข็งแรง พลัง ลมปราณ และจิตใจล้วนแข็งแกร่งกว่าผู้ชายทั่วไปมาก
ซ่งหน่วนใช้พัดใบธูปฤาษีพัด ระมัดระวังหม้อดินบนเตาไฟเป็นพิเศษ
ในน้ำแกงไก่ใส่สมุนไพรที่ช่วยบำรุงลมปราณและบำรุงเลือด ล้ำค่ามากทีเดียว ราคาเทียบละหนึ่งตำลึงเงิน จะทำให้เสียของไม่ได้
แต่ในขณะที่ซ่งหน่วนกำลังสนใจน้ำแกงไก่อยู่นั้น นางก็กลุ้มใจเล็กน้อย
เขาฟื้นแล้ว ย่อมป้อนน้ำแกงให้เขาทุกวันไม่ได้อีก นางได้ยินมาว่าคนที่ฝึกวิทยายุทธ์นั้นกินจุ มีความอยากอาหารมาก มื้อหนึ่งอย่างน้อยต้องกินข้าวสามชามใหญ่กระมัง?
แต่ว่านางทำเป็นแค่ชงผงแป้งรากบัว ต้มข้าวต้ม ต้มน้ำแกง...
หากเขารู้ว่านางไม่เก่งเรื่องงานครัว จะรู้สึกว่านางไม่เป็นกุลสตรีและน่าเชื่อถืออย่างที่นางแสดงออกมาหรือเปล่า?
เขาจะรังเกียจนางหรือไม่
“ระวังด้วย” เสียงทุ้มดังขึ้นข้างตัวนาง จับพัดในมือของนางที่เข้าใกล้เตาไฟโดยไม่รู้ตัวจนเกือบจะไหม้
ซ่งหน่วนรู้สึกตัว ใบหน้าแดงก่ำอีกครั้ง นางลุกขึ้นด้วยความเขินอาย “สวีโหว”
“ข้าไม่ใช่ท่านโหวแล้ว” ร่างสูงใหญ่ของเขาย่อเข่าลง พัดเตาไฟอย่างสงบ “ถ้าแม่นางซ่งไม่รังเกียจ เรียกข้าว่าฉางเซิงก็ได้ นั่นเป็นชื่อรองที่ท่านแม่ตั้งให้ข้า”
“ฉางเซิง” นางทวนชื่อเบาๆ “ชื่อรองที่ท่านแม่ท่านตั้งให้ดีจริงๆ นางคงอยากให้ท่านมีชีวิตยืนยาวและปลอดภัยกระมัง?”
มือของสวีหรงชิงชะงักนิดหนึ่งโดยไม่ทันสังเกต จากนั้นก็พัดต่อเบาๆ “อืม”
“พี่ฉางเซิง ข้าได้ยินคนพูดว่าท่านเข้าสู่สนามรบตั้งแต่อายุสิบห้าปีเท่านั้น ตอนนั้น...กลัวหรือไม่” นางถามเสียงเบา ดวงตาอ่อนโยน
“กลัว แต่ต่อมาก็ไม่กลัวแล้ว”
ในสนามรบ หากไม่อยากตายก็ต้องทำให้ศัตรูตาย
ครั้งแรกที่ตัดศีรษะชายหนุ่มเจี๋ยหนูคนหนึ่ง เลือดที่ข้นและคาวกระเซ็นใส่เต็มหน้าของเขา เขาระงับความกลัว มือสั่นเทา ขอบตาแดงเปียกชื้น ดาบยาวในมือพลิกกลับไปฟันท้องของศัตรูที่จู่โจมมาทางด้านหลัง...
อดกลั้นจนทัพหลักของเจี๋ยหนูชุดแรกพ่ายหนีไปในที่สุด เมื่อกลับถึงกระโจมเขาก็อาเจียนออกมาอย่างหนัก
ลูกเสือตระกูลแม่ทัพ เด็กหนุ่มวีรบุรุษที่ทุกคนต่างยกย่องสรรเสริญมาตั้งแต่วัยเด็ก ปกติไม่ว่าวิทยายุทธ์จะสูงส่งเพียงใด แต่ยามเข้าสู่สนามรบ เปรียบเทียบกับการกวัดแกว่งดาบฆ่าคนจริงๆ ย่อมแตกต่างกัน
แต่ทหารทุกคนรู้ดีว่า สิ่งที่อันตรายที่สุดไม่ใช่ศัตรูที่บุกโจมตีเข้ามาทางด้านหน้า ดาบที่อันตรายถึงชีวิตย่อมมาจากคนที่เคยคิดว่าไว้ใจมากที่สุดเสมอ
“หากเป็นข้า คงตัดใจให้เด็กอายุเพียงสิบห้าปีเข้าสู่สนามรบไม่ได้อย่างแน่นอน” ขอบตาของนางแดงเล็กน้อย บ่นพึมพำ
“ลูกหลานตระกูลสวีออกรบสังหารศัตรู ปกป้องบ้านเมืองคุ้มครองราษฎรถือเป็นภารกิจ” เขาพูดเสียงขรึม
“แต่ท่านปกป้องพวกเขา แล้วมีใครมาปกป้องท่าน” ใบหน้าซ่งหน่วนโกรธขึ้ง “แล้วยังมีคนต้องการจะฆ่าท่านอีกด้วย!”
สวีหรงชิงคิดว่าตัวเองเห็นความเป็นความตายมาจนชินแล้ว และเคยชินกับการทรยศแล้ว ทันทีที่ดื่มพิษหงอนกระเรียนแดงลงไป เขาก็สงบเหมือนน้ำนิ่ง
แต่ในขณะนี้เมื่อเผชิญกับดวงตาใสบริสุทธิ์ของหญิงสาวที่ยังคงเหมือนคนแปลกหน้า น้ำเสียงแค้นเคืองและเสียใจเพราะรู้สึกไม่ได้รับความเป็นธรรมแทนเขา...เขาจึงพบว่า ที่แท้ส่วนลึกในใจของตัวเองก็ไม่ได้ปราศจากความขุ่นเคือง
สวีหรงชิงสูดลมหายใจเข้าลึกๆ ทำจิตใจให้สงบ ไม่อยากอธิบายอะไรเพิ่มเติม “แม่นางซ่ง ขอบคุณที่เจ้าช่วยชีวิตข้า อีกสองวันข้าจะขออำลาจากไป”
“ท่านจะไปแล้วหรือ?” นางร้อนใจขึ้นมาทันที “ทำไม เป็นเพราะเมื่อกี้ข้า...ถามมากเกินไปหรือ ท่านอย่าไปนะ วันหลังข้าจะไม่ถามเรื่องเศร้าของท่านอีกแล้ว ข้ารับรอง”
“ไม่ใช่เป็นเพราะแม่นางซ่ง” เขาส่ายหน้า “เรื่องที่ข้ายังมีชีวิตอยู่ปิดบังได้อีกไม่นาน แม่นางซ่งไม่จำเป็นต้องพลอยเดือดร้อนไปด้วย จะเป็นภัยถึงตัว”
“ข้าไม่กลัวว่าจะเดือดร้อนไปด้วย” นางพูดอย่างกระตือรือร้น “และท่านก็ไม่ทำให้ข้าเดือดร้อนแน่นอน ท่านเชื่อข้า ข้าแอบขโมยตัวท่านออกมาจากเมืองหลวง แล้วยังซ่อนไว้ได้สองเดือนอย่างปลอดภัย ต่อไปจะไม่ปล่อยให้คนเหล่านั้นพบตัวท่าน มาเป็นภัยกับท่าน”
“แม่นางซ่ง ตัวข้าคิดหาคำตอบอยู่หลายครั้ง คิดว่าตัวข้าไม่เคยมีบุญคุณใดๆ ต่อแม่นางซ่งเลย แม่นางกลับยอมเสี่ยงอันตรายทำในสิ่งที่ทุกคนคิดว่าไม่ถูกต้องโดยไม่เกรงกลัว เจ้าเป็นคนมีคุณธรรมสูงส่ง แต่ตัวข้าไม่อาจรับบุญคุณไว้ได้ คงไม่มีกำลังจะตอบแทนบุญคุณ” เสียงของเขาแหบพร่าเด็ดเดี่ยว “แม่นางซ่ง เจ้ากับข้าเดินคนละเส้นทาง”
นางน้ำตารื้นขอบตาทันที ใบหน้าแดงก่ำ ผ่านไปนานกว่าจะพูดออกมาว่า “ไม่ได้!”
“น้ำแกงไก่น่าจะเสร็จแล้ว” สวีหรงชิงวางพัดในมือลง มองนางด้วยสีหน้าสงบ “หลายวันมานี้แม่นางซ่งช่วยดูแลรักษาข้า ต้องเหนื่อยยากมาก น้ำแกงไก่นี้เจ้าก็ควรดื่มมากๆ หน่อย”
ห่างกันเพียงหม้อดินน้ำแกงไก่สมุนไพรที่มีไอลอยกรุ่นกั้น ซ่งหน่วนกับเขาจ้องตากัน ในที่สุดนางก็ใช้ไม้ตายเสียเลย...
“ท่านจะทิ้งข้าไปไม่ได้ ท่านเป็นคนของข้าแล้ว”
สวีหรงชิงที่สีหน้าไม่ยินดียินร้ายชะงักไปทันที ดวงตาเฉียบคมราวกับคมมีด...
“แม่นางซ่งโปรดให้เกียรติตัวเองด้วย”
“ท่านนอนไม่รู้สึกตัวมาสองเดือนแล้ว ข้าเป็นคนปรนนิบัติใกล้ชิดถอดเสื้อผ้าเช็ดตัวให้ท่านทุกวัน กรอกน้ำแกงป้อนข้าวต้ม หรือว่าท่านคิดจะไม่ยอมรับเรื่องนี้” ใบหน้าของนางแดงเหมือนดอกทับทิม แต่ยังไม่ยอมแพ้ ทำใจกล้าพูดไม่หยุด
ร่างสูงใหญ่ของชายหนุ่มแข็งทื่อทันที ตอบสนองไม่ได้อยู่นาน
นางกัดริมฝีปากล่างไม่กล้าสบตาเขา ร่ำร้องด้วยความกระวนกระวายอยู่ภายในใจระรัว...
...แย่แล้ว แย่แล้ว คราวนี้เขาคงเกลียดข้าจริงๆ แล้ว
หลังจากผ่านไปพักใหญ่ในที่สุดสวีหรงชิงก็เปิดปาก แต่ไม่อาจพูดได้อย่างชัดเจนในทันที น้ำเสียงแหบพร่าอึกอัก หลังจากกระแอมแล้วจึงพูดออกมาอย่างยากลำบากว่า “...ข้าจะรับผิดชอบ”
เวลานี้ซ่งหน่วนไม่สนใจเรื่องความเขินอาย ดวงตาและมุมปากของนางแย้มยิ้มราวดอกไม้บาน “ข้ารู้ว่าพี่ฉางเซิงเป็นบุรุษที่ดีและสามีที่ยิ่งใหญ่จิตใจเด็ดเดี่ยว มีความรับผิดชอบ ฮิๆ”
เขาไม่ได้หัวเราะ ที่ยิ่งกว่านั้นคือจนใจอย่างยิ่ง

***

ภายในวังหลวง พระตำหนักฉางเล่อ

หลังจากสวีไทเฮาผู้มีอายุเกือบสี่สิบปีผ่านการเจ็บป่วยอย่างหนักแล้ว รูปโฉมที่เดิมทีงามสง่าเหมือนอายุยี่สิบไม่เพียงมีการเปลี่ยนแปลงจากหน้ามือเป็นหลังมือ พลัง ลมปราณ และจิตใจก็ยังเสียหายไปสามสี่ส่วนด้วย
นางอยู่ท่ามกลางการห้อมล้อมปรนนิบัติรับใช้จากเหล่านางกำนัลทุกวัน ไม่เพียงแต่รู้สึกไม่สบายใจเท่านั้น กลับวุ่นวายใจยิ่งกว่าเดิม...
“ไทเฮาเพคะ นี่คือลิ้นจี่แช่น้ำแข็งก้อนจากทางใต้ที่ใช้ม้าเร็วส่งมาถวายยังเมืองหลวง ฝ่าบาททรงทราบว่าพระองค์โปรด จึงทรงเลือกสายพันธุ์ชั้นหนึ่งที่สวยและหวานที่สุดส่งมาเพคะ” แม่นมเก่อเป็นคนเก่าคนแก่ที่คอยรับใช้ไทเฮา เมื่อเห็นไทเฮามีแววตาไม่สบายใจจึงยกลิ้นจี่สีแดงที่มีถ้วยหยกเขียวใบเล็กหนุนให้ดูเด่นมาด้วยตัวเอง แล้วพูดด้วยรอยยิ้มว่า “นี่เป็นความกตัญญูจากฝ่าบาทของพวกเราเพคะ!”
สายตาของสวีไทเฮามองไปที่ลิ้นจี่ แววตาอ่อนโยนลง ถอนหายใจแล้วพูดว่า “ญาติของข้าเหลือเพียงลูกคนนี้เท่านั้น”
แม่นมเก่อรู้สึกสะเทือนใจ รีบขยิบตาให้เหล่านางกำนัลออกไปก่อนจะกล่าวเตือนด้วยน้ำเสียงอ่อนโยนว่า “ไทเฮาเพคะ ไม่ใช่แค่ฝ่าบาท แต่ยังทรงมีฮองเฮาและพระนัดดาด้วย...ไทเฮา ครอบครัวใหญ่นี้ครึกครื้น ต่อไปภายหน้าจะต้องดีขึ้นเรื่อยๆ เพคะ”
สวีไทเฮาย่อมรู้ดีอยู่แล้วว่าแม่นมเก่อกำลังห้ามนางทำอะไร ความอ่อนโยนในแววตาหายไปทันที นางถอนหายใจอย่างเย็นชา “เจ้าเองก็ระวังตัวให้มาก ตำหนักฉางเล่อของข้าไม่ใช่ตำหนักเจียวฝาง ทำไม ข้าพูดเพียงไม่กี่ประโยคก็ต้องระวังว่าจะได้ยินไปถึงหูลูกสะใภ้ ทำให้นางไม่พอใจอย่างนั้นหรือ”
“หม่อมฉันสมควรตายเพคะ” แม่นมเก่อรีบยิ้มปลอบใจพร้อมกับตบหน้าตัวเอง “หม่อมฉันแก่จนสมองเลอะเลือน...”
“อาหลัน เจ้าก็เปลี่ยนไปด้วย” สวีไทเฮาเอ่ยเบาๆ
แม่นมเก่อตกใจ
“เจ้าเป็นสินเดิมของข้า ติดตามข้าเดินทางจากจวนจิ้งอ๋องเข้ามาอยู่ในวัง แล้วติดตามข้าจากตำหนักเจียวฝางมายังตำหนักฉางเล่อในปัจจุบัน” สวีไทเฮาปิดบังความโศกเศร้าไว้ไม่มิด “วันเวลาที่ยากลำบากมากมายก็ผ่านมาแล้ว ไฟสงครามทั่วทุกแห่งก็นับว่าสงบลงแล้ว พวกเราชนะแล้ว ในที่สุดฮ่องเต้ก็กลายเป็นผู้ปกครองใต้หล้านี้แล้ว ไทเฮาเช่นข้านับแต่นี้ไปก็ควรจะนอนสบายไม่มีห่วง มีความสุขกับเกียรติยศและลูกหลาน...แต่ทำไมข้าถึงรู้สึกว่า มองไปรอบๆ ตัวแล้วมันหนาวเหน็บกว่าเมื่อก่อน”
“ไทเฮา...” แม่นมเก่อตัวสั่น
“ท่านพ่อเสียชีวิตในสมรภูมิฉางผิงเมื่อสิบปีก่อน ท่านพี่เสียชีวิตในการก่อกบฏของเฉิงอ๋องเมื่อแปดปีที่แล้ว เวลานี้...แม้แต่น้องชายที่สู้รบด้วยกำลังทหาร คาดการณ์แม่นยำดุจเทพไร้พ่ายก็ไม่อยู่แล้ว” สวีไทเฮาน้ำตาไหลรินเงียบๆ “พวกเขาบอกว่าน้องชายข้าเสียชีวิตจากอาการบาดเจ็บและล้มป่วยมานานหลายปี...เจ้าเชื่อหรือไม่”
“ไทเฮา...” แม่นมเก่อรู้สึกสะเทือนใจ แต่ก็ลดเสียงลงกล่าวเตือนสะอึกสะอื้นว่า “ไทเฮา อย่าทรงทรมานตัวเองอีกเลย วิญญาณสวีโหวที่อยู่บนสวรรค์คงไม่อยากให้พระองค์ทรงทรมานและเสียพระทัยเช่นนี้”
ขอบตาของสวีไทเฮาแดงชื้น นางแย้มยิ้มประชดประชัน “ไม่ใช่เพราะว่าตระกูลของฮองเฮาต้องการผงาดขึ้นมา และแม่ทัพใหญ่เว่ยต้องการเป็นจอมพลทหารม้าแห่งใต้หล้าคนใหม่นำกองทัพของราชวงศ์ฉู่แทนตระกูลสวีของข้าเช่นนั้นหรือ”
แม่นมเก่อจับมือที่สั่นเทาด้วยความโกรธของสวีไทเฮา “ไทเฮา...”
“พวกเขากล้าแม้กระทั่งวางแผนฆ่าน้องชายแท้ๆ ของข้า น้าชายที่ลูกข้าเชื่อใจมากที่สุด แล้วยังมีอะไรที่คนของตระกูลเว่ยไม่กล้าทำอีก” สวีไทเฮาเกิดในตระกูลแม่ทัพ เป็นสตรีมากความสามารถ ทั้งด้านการเมืองและการวางแผน
อำนาจและอิทธิพลจากตระกูลเดิมของพระชายาองค์รัชทายาทกับตระกูลเดิมของฮองเฮาจะเหมือนกันได้อย่างไร?
พวกเขาเกลียดชังลูกหลานตระกูลสวีของนางที่สู้รบอย่างห้าวหาญปกป้องดินแดนเพื่อบ้านเมืองและราษฎรมาหลายสิบปี จนสุดท้ายเหลือเพียงน้องชายเท่านั้น แต่ตอนนี้พวกเขาไม่เว้นแม้แต่น้องชาย...
แล้วก้าวต่อไปเล่า?
จะดึงฮ่องเต้ของนางลงจากบัลลังก์จักรพรรดิใช่หรือไม่...
สวีไทเฮาลุกขึ้นยืนทันที ดวงตาเฉียบคมเย็นชาดุจลูกธนู “อาหลัน ข้าจะนั่งรอความตายไม่ได้ และจะปล่อยให้ลูกข้าถูกตระกูลเว่ยหน่วงเหนี่ยวไว้ไม่ได้!”
แม่นมเก่ออยากจะพูดแต่ไม่ได้พูดออกมา ทว่าสุดท้ายก็พูดด้วยน้ำเสียงแผ่วเบาว่า “ไทเฮา ฝ่าบาท...ฝ่าบาททรงโตจนเป็นกษัตริย์แล้ว ความคิดและแผนการไม่ด้อยไปกว่าฮ่องเต้พระองค์ก่อน พระองค์ก็ตรัสเองว่าฝ่าบาทเสด็จขึ้นครองราชย์สองปีมานี้ทรงเป็นคนหนักแน่น และทรงจัดการราชกิจได้อย่างราบรื่น อีกทั้งเวลานี้กำจัดภัยรุกรานจากเจี๋ยหนูได้แล้ว วันเวลาดีๆ ของต้าฉู่ยังรออยู่ข้างหน้า...”
สวีไทเฮาจ้องมองนางด้วยความแปลกใจ “อาหลัน เจ้าปิดบังอะไรข้าหรือเปล่า”
สีหน้าของแม่นมเก่อซีดเผือด รีบฝืนยิ้มแล้วพูดว่า “ชาตินี้หม่อมฉันเป็นคนของไทเฮาตลอดไป ไทเฮาคือชีวิตของหม่อมฉัน จะกล้ามีเรื่องปิดบังได้อย่างไรเพคะ”
“เมื่อก่อนเจ้าไม่ได้มีนิสัยรักสงบเช่นนี้” สวีไทเฮาชะงักไปครู่หนึ่ง หรี่ตาลง “...หรือว่าแม้แต่เจ้าก็อยู่ข้างฮองเฮาด้วย?”
“ไทเฮา!” แม่นมเก่อหน้าซีดด้วยความตกใจ รีบคุกเข่าลงโขกศีรษะกับพื้นเสียงดังหลายครั้ง เมื่อเงยศีรษะขึ้น หน้าผากของนางก็แดงและบวมช้ำเป็นวงกว้าง “หากหม่อมฉันมีความคิดทรยศพระองค์แม้แต่น้อย ขอให้สวรรค์ลงทัณฑ์ ลูกธนูหมื่นดอกแทงทะลุหัวใจไม่ตายดีเพคะ...”
“พอแล้ว พอแล้ว” สวีไทเฮาฟังจนใจสั่นสะท้าน แล้วประคองนางลุกขึ้นด้วยตนเอง “ข้าก็แค่ว้าวุ่นใจจึงพูดไปอย่างนั้น ช่างเถอะ อาจเป็นเพราะสองเดือนกว่ามานี้ข้าเสียใจมากเกินไปจึงคิดฟุ้งซ่าน...เฮ้อ ฝ่าบาทไม่ใช่เด็กน้อยที่ต้องการให้ข้าและน้าชายคอยปกป้องดูแลทุกเรื่องเหมือนตอนยังเด็กอีกแล้ว หลายปีมานี้เขาเรียนรู้จากปราชญ์ผู้ยิ่งใหญ่ ศึกษาตำราและศาสตร์ของจักรพรรดิมากมาย แล้วยังมีน้องชายของข้าคอยช่วยเหลืออย่างตั้งใจ...แล้วไยต้องกลัวว่าจะควบคุมจิ้งจอกเฒ่าในราชสำนักเหล่านี้ไม่ได้”
แม่นมเก่อกลับมาคุกเข่าข้างกายสวีไทเฮาด้วยความหวาดกลัว พูดเตือนด้วยท่าทีสนิทสนมอย่างวิงวอนว่า “ดังนั้นไทเฮาจะต้องทรงมั่นใจในฝ่าบาท นับแต่นี้ต่อไปที่พึ่งของพระองค์ก็คือฝ่าบาท...ไม่ว่าอย่างไร ความกตัญญูที่ฝ่าบาททรงมีต่อพระองค์นั้นฟ้าดินเป็นพยานได้ พระองค์ก็ควรทรงทำให้ฝ่าบาทสบายพระทัยด้วยใช่หรือไม่เพคะ”
สวีไทเฮาทุ่มเทแรงกายแรงใจจนเหน็ดเหนื่อยมาหลายปีแล้ว แล้วยังถูกการล้มป่วยจนเสียชีวิตของน้องชายกระทบกระเทือนจิตใจ ร่างกายและกำลังเลยไม่เหมือนเมื่อก่อน เมื่อรู้สึกโกรธจิตใจจึงเหนื่อยล้า หลังจากแม่นมเก่อกระซิบกระซาบปลอบโยนและปรนนิบัติให้กินยาแล้วจึงหลับไปอย่างอ่อนเพลีย
แม่นมเก่อจุดธูปหอมสงบใจ แล้วมองควันธูปหอมลอยขึ้นไปในอากาศอย่างเหม่อลอย...
“แม่นมเจ้าคะ” นางกำนัลรูปงามเข้ามาเงียบๆ กระซิบบางอย่างข้างหูของแม่นมเก่อ
“รู้แล้ว” เสียงของแม่นมเก่อแผ่วเบา “เจ้าคอยเฝ้าไทเฮาให้ดี”
“เจ้าค่ะ”
แม่นมเก่อเดินอ้อมไปตามระเบียงเงียบๆ ไม่นานก็มาถึงเรือนอี้ซือในพระตำหนักเว่ยยาง ภายใต้การจับตามองของกององครักษ์วังที่รูปร่างสูงใหญ่ นางก้มตัวเดินเข้าไปด้วยความนอบน้อมและระมัดระวัง ทันทีที่เห็นชายเสื้อสีเหลืองเบื้องหน้าก็คุกเข่าถวายความเคารพทันที
“หม่อมฉันถวายบังคมฝ่าบาท”
ฮ่องเต้ฉู่เซวียนผู้ยังอายุน้อยและรูปงามแย้มยิ้มเล็กน้อย “แม่นมเก่อลุกขึ้นเถิด”
“เป็นพระมหากรุณาธิคุณเพคะ” แม่นมเก่อลุกขึ้นช้าๆ ยังคงระมัดระวังและนอบน้อมเช่นเดิม
“เสด็จแม่สบายดีหรือไม่”
“กราบทูลฝ่าบาท พระวรกายของไทเฮาเพิ่งฟื้นตัว แม้กำลังวังชาจะยังไม่เต็มเปี่ยม แต่หมอหลวงมาตรวจชีพจรทุกวัน ต่างพูดว่าไทเฮาทรงพักฟื้นอีกหนึ่งถึงสองเดือนก็จะทรงหายดีเหมือนเดิมแน่นอนเพคะ”
ฮ่องเต้ฉู่เซวียนถอนหายใจอย่างโล่งอก หน้าผากคลายออก “ดีแล้ว ดีแล้ว พวกเจ้าปรนนิบัติได้ดีมาก ข้าจะปฏิบัติต่อพวกเจ้าอย่างดีแน่นอน”
“หม่อมฉันมิบังอาจ นี่คือสิ่งที่พวกหม่อมฉันควรทำเพคะ” แม่นมเก่อก้มหน้าก้มตาตอบ
ดวงตาของฮ่องเต้ฉู่เซวียนวาววาบขึ้นแวบหนึ่ง “แม่นม...วันนี้กล่าวเตือนได้ดีมาก”
แม่นมเก่อใจสั่น โค้งเอวลงต่ำกว่าเดิม “ขอบพระทัยฝ่าบาท ช่วยคลายกังวลให้ไทเฮาเป็นหน้าที่อย่างหนึ่งของหม่อมฉันเพคะ...”
“แม่นมมองดูข้าเติบโตมาตลอด ข้าไว้ใจแม่นม” ฮ่องเต้ฉู่เซวียนหัวเราะเบาๆ มีความหมายแฝงลึกซึ้ง
แม่นมเก่อเหงื่อกาฬไหลพราก เสื้อเปียกโชกในพริบตา...
“ไปได้!”
“หม่อมฉันกราบทูลลา”
หลังจากแม่นมเก่อกลับไปไม่นาน ปลายนิ้วมือของฮ่องเต้ฉู่เซวียนค่อยๆ ลูบแผนที่ดินแดนกว้างใหญ่ซึ่งกางอยู่บนโต๊ะ ริมฝีปากค่อยๆ กระตุกขึ้น
...แผ่นดินนี้เป็นของเรา





+++++++++++++++++++++++++++++++++++++++
เขาคือแม่ทัพผู้ยิ่งใหญ่อันดับหนึ่งในใต้หล้า นับตั้งแต่อายุสิบห้าก็สู้รบเพื่อปกป้องบ้านเมืองมาตลอด ทั้งอาจหาญ ชาญศึก และไร้พ่ายจนใครต่างก็เกรงขาม ทว่าสวีหรงชิงจอมพลผู้จงรักภักดีคนนี้กลับต้องเงยหน้าดื่มยาพิษที่ฮ่องเต้ผู้เป็นหลานชายพระราชทานเพราะคุณงามความดีสูงส่งเกินไปจนทำให้กษัตริย์ต้องสั่นสะเทือน

โชคดีที่นางบังเอิญมาพบเข้าจึงแอบช่วยชีวิตเขาและพาหนีมาได้ แม้ไม่รู้ว่านางมีที่มาที่ไปอย่างไร ทว่าสตรีแสนดีที่ชื่อซ่งหน่วนไม่เพียงพูดว่าจะคอยปกป้องเขา นางยังทำให้เขาอบอุ่นหัวใจเสมอ เดิมทีพวกเขาคิดจะใช้ชีวิตด้วยกันอย่างเงียบสงบเป็นเพียงชาวบ้านธรรมดา แต่ไม่คาดคิดว่าฮ่องเต้สังหารเขาคนเดียวไม่พอ ยังจะกำจัดกองทัพตระกูลสวีของเขาทิ้งทั้งหมด...เขาจึงต้องขัดขวางหลานชายเสียสติผู้นี้และช่วยเหลือเหล่าพี่น้องในกองทัพให้จงได้!


รูปภาพ รูปภาพ

ตอบกลับโพส

ย้อนกลับไปยัง “Bongkoch Books News & Activities”