New Release BLY แปล : ไขปริศนาลับกับนายท่าน

อัพเดทข่าวบงกชบุ๊คส์ ความเคลื่อนไหว และกิจกรรมพิเศษ ตลอดจนร่วมสนุกชิงรางวัลพร้อมของรางวัลมากมาย

Moderator: P'Bly, Gals, พี่บี

ตอบกลับโพส
Gals
โพสต์: 1072
ลงทะเบียนเมื่อ: ศุกร์ 13 ก.พ. 2009 3:47 pm

New Release BLY แปล : ไขปริศนาลับกับนายท่าน

โพสต์ โดย Gals »

1

วันที่หนึ่งเดือนเมษายน พิธีปฐมนิเทศพนักงานใหม่ พิธีการที่กระตุ้นให้เริ่มก้าวเดินอย่างอาจหาญว่า เอาละ นับจากวันนี้ไปเราคือคนทำงานแล้ว ทว่าสิ่งที่รออายูมุอยู่ที่นั่นกลับเป็นคำสั่งย้ายประจำการแบบกะทันหัน
“ผมชื่อชิอิบะ อายูมุ พนักงานใหม่ตำแหน่งผู้รับผิดชอบงานทั่วไปครับ”
ทันทีที่แจ้งชื่อของตัวเองตรงจุดลงทะเบียนข้างๆ ทางเข้าห้องประชุมใหญ่ “อ๋อ เธอมาทางนี้” อายูมุก็ถูกพาตัวไปยังมุมล็อบบี้เพียงลำพัง แล้วพนักงานฝ่ายบุคคลก็ยื่นกระดาษหนาหนึ่งแผ่นมาให้ บนนั้นมีตัวอักษรคำว่า ‘แต่งตั้ง’ กับชื่อของอายูมุ พร้อมข้อความ ‘ขอแต่งตั้งบุคคลที่กล่าวถึงข้างต้นให้ย้ายประจำการไปยังตระกูลหลักริวโทคุจิ’
“ย้ายประจำการ...? ตระกูลหลักริวโทคุจิ...”
อายูมุงุนงงขณะเงยหน้ามองพนักงานฝ่ายบุคคล
“อ้าว ไม่รู้จักคำว่าย้ายประจำการเหรอ? ชิอิบะคุงเป็นพนักงานของ ‘ริวโทคุคอร์ปอเรชัน’ ก็จริง แต่เธอต้องไปทำงานที่ตระกูลหลักริวโทคุจิน่ะ อ้าว ไม่รู้จักคำว่าตระกูลหลักด้วยเหรอ? นั่นไง บริษัทเราเป็นบริษัทในเครือของริวโทคุจิกรุ๊ปใช่ไหม? ตระกูลหลักหมายถึงบ้านของคุณริวโทคุจิ มิตสึฮิสะ เจ้าของกรุ๊ปและประธานกรรมการบริหารของบริษัทเรา”
ตามที่อีกฝ่ายบอกนั่นแหละ บริษัทที่อายูมุเข้าทำงานมีชื่อว่า ‘ริวโทคุคอร์ปอเรชัน’ เป็นบริษัทการค้าซึ่งเติบโตกลายเป็นรากฐานของริวโทคุจิกรุ๊ป ปัจจุบันดำเนินธุรกิจหลากหลายแขนง ทั้งธนาคาร โรงแรม บริษัทก่อสร้าง บริษัทประกันภัย ธุรกิจขนส่ง และอื่นๆ อีกมากมาย
“เอ่อ...หมายความว่า ผมเป็นพนักงานริวโทคุคอร์ปอเรชันก็จริง แต่ต้องไปทำงานที่บ้านของท่านประธาน...อย่างนั้นเหรอครับ?”
“ใช่ๆ”
อายูมุก้มมองจดหมายแต่งตั้งอีกครั้ง ตอนนี้เข้าใจความหมายของคำว่าย้ายประจำการและรู้สถานที่ทำงานของตัวเองแล้ว แต่ยังไม่เข้าใจความหมายของบรรทัดที่อยู่ด้านล่างอยู่ดี
“เอ่อ...ตรงเนื้อหางานเขียนว่าบัตเลอร์...แล้วบัตเลอร์เนี่ย ต้องทำอะไรบ้างเหรอครับ...?”
ในโลกนี้มีอาชีพมากมายหลากหลาย เจ้าหน้าที่ธุรการ พนักงานร้าน พนักงานโรงงาน หมอ พยาบาล เจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัย คนขับรถ แต่อายูมุไม่เคยเจอใครพูดว่า ‘ทำงานเป็นบัตเลอร์’ มาก่อนเลย
อายูมุถามพลางเอียงศีรษะสงสัย แต่ดูเหมือนอีกฝ่ายที่ยื่นใบแต่งตั้งมาให้ก็ไม่รู้รายละเอียดเช่นกัน
“ไม่รู้สิ? ลองไปดูเดี๋ยวก็รู้เองแหละ”
อีกฝ่ายตอบกลับแบบขอไปที
“เอ้า นี่เป็นเอกสาร ข้างในมีแผนที่ด้วย ส่วนค่าเดินทางเบิกกับที่ประจำการใหม่ได้เลย แต่ให้ไปด้วยขนส่งสาธารณะนะ ไม่ใช่นั่งแท็กซี่ แล้วเธอไม่ต้องเข้าร่วมพิธีปฐมนิเทศพนักงานใหม่ที่นี่ด้วย ออกเดินทางไปที่โน่นตอนนี้เลย ต้องไปถึงก่อนสิบโมงล่ะ”
“สิบโมง”
อายูมุรีบร้อนมองนาฬิกาข้อมือ นาฬิการาคาถูกที่ซื้อจากร้านขายอุปกรณ์ในครัวเรือนกำลังชี้บอกเวลาแปดโมงสี่สิบห้านาที
อายูมุค้นและดึงแผนที่ออกมาจากแฟ้มใสใส่เอกสารที่อีกฝ่ายยื่นมาให้ จะไปสถานีรถไฟฟ้าที่ใกล้ ‘ริวโทคุจิ’ มากที่สุดได้อย่างไร...หลังตรวจสอบเส้นทางและดูนาฬิกาข้อมืออีกครั้ง น่าจะทันแหละ อายูมุรีบกลับหลังหัน เดินสวนกับเหล่าพนักงานใหม่ที่ทยอยกันเข้ามา และออกจากอาคารสถานที่จัดงาน
ย้ายประจำการ ตระกูลหลักริวโทคุจิ บัตเลอร์...สมองมึนงงไปกับเหตุการณ์ที่คาดไม่ถึง

ริวโทคุคอร์ปอเรชันจ้างอายูมุเข้าทำงานตำแหน่งผู้รับผิดชอบงานทั่วไป...มันควรจะเป็นเช่นนั้น อายูมุเคยได้ยินมาว่าช่วงปีแรกของการทำงาน บริษัทอาจส่งพนักงานใหม่ไปทำงานตำแหน่งอะไรไม่รู้โดยไม่ถามความสมัครใจ แต่ไม่นึกไม่ฝันว่าตัวเองจะโดนสั่งให้ย้ายประจำการไปที่อื่นตั้งแต่วันแรกที่เข้าบริษัท แถมยังเป็นตำแหน่งบัตเลอร์ในบ้านเจ้าของกรุ๊ปอีก เอาจริงๆ ไม่ว่าโดนสั่งให้ไปอยู่แผนกไหน อายูมุก็จะพยายามเต็มกำลังอยู่แล้ว ทว่า
(บัตเลอร์นี่มันต้องทำอะไร)
อายูมุลองตรวจสอบข้อมูลผ่านสมาร์ตโฟนขณะยืนโยกเยกอยู่บนรถไฟฟ้า เพิ่งรู้ว่าบัตเลอร์ นั้นมีหลายความหมาย เป็นหนึ่งในตำแหน่งของระบบริตสึเรียว ในคริสตศาสนาก็มีตำแหน่งชื่อนี้ด้วยเช่นกัน ส่วนความหมายที่ว่า ‘ผู้ทำหน้าที่กำกับดูแลงานบ้านในครอบครัวชนชั้นสูง’ น่าจะตรงกับ ‘ตำแหน่งบัตเลอร์’ ในจดหมายแต่งตั้งที่อายูมุได้รับมากที่สุด แต่อายูมุก็ยังนึกภาพเป็นรูปธรรมไม่ออกอยู่ดี
(เอาเถอะ)
อายูมุคิดในใจ นิสัยปรับมายเซตได้รวดเร็วนี้มีติดตัวมาตั้งแต่เกิด
(ไม่ว่าทำงานที่ไหนหรือทำอะไร ขอแค่ตั้งใจและพยายามให้เต็มที่ก็พอ)
นั่นสิ ต่อให้สถานที่ทำงานเปลี่ยนจากบริษัทการค้ามาเป็นบ้านพักส่วนตัวของประธานกรุ๊ป ต่อให้หน้าที่เปลี่ยนจากตำแหน่งผู้รับผิดชอบงานทั่วไปเป็นบัตเลอร์ ขอแค่ตั้งใจและทำหน้าที่ให้สุดความสามารถก็พอ
(พ่อครับ แม่ครับ ถ้าผมเก็บเงินได้ครบเมื่อไร จะเอาไปสร้างหลุมฝังศพให้ทันทีเลยนะ)
อายูมุมีเป้าหมาย นั่นคือเก็บเงินไปสร้างหลุมฝังศพให้พ่อซึ่งจากไปเมื่อสิบสองปีก่อน กับแม่ซึ่งจากไปเมื่อสามปีก่อน
(แค่ได้ทำงานในบริษัทใหญ่ๆ อย่างริวโทคุคอร์ปอเรชันก็ถือว่าโชคดีมากๆ แล้ว)
ถูกต้อง โชคดีมากจริงๆ ไม่ใช่ความพยายามอยู่ที่ไหนความสำเร็จอยู่ที่นั่น แต่เป็นความโชคดีแบบส้มหล่น ประหนึ่งเทพีแห่งความโชคดีอารมณ์แปรปรวน จู่ๆ ก็ส่งยิ้มให้อายูมุ
กิจกรรมหางานของอายูมุเต็มไปด้วยความยากลำบาก อายูมุจบการศึกษาจากภาควิชาวรรณคดีของมหาวิทยาลัยรัฐบาลซึ่งไม่ใช่มหาวิทยาลัยชั้นนำ การเข้าร่วมกิจกรรมหางานท่ามกลางเศรษฐกิจซบเซาโดยไม่มีทักษะหรือคุณวุฒิใดๆ เป็นพิเศษ มันคือศึกหนักดีๆ นี่เอง แม้ผ่านรอบคัดเลือกใบสมัคร รอบสอบข้อเขียน มาจนถึงรอบสอบสัมภาษณ์ ทว่าสิ่งที่อายูมุได้รับหลังจากนั้นมีแต่ ‘อีเมลปฏิเสธ’ เพื่อนๆ รอบตัวทยอยหางานกันได้คนแล้วคนเล่า ทำให้อายูมุยิ่งร้อนใจ อายูมุถูกไล่ต้อนจนมุมถึงขนาดจะตัดสินใจตอบรับข้อเสนอของบริษัทซึ่งมีข่าวลือว่าเป็นบริษัทกดขี่ใช้แรงงานพนักงานเกินควร
ช่วงเวลานั้นเองริวโทคุคอร์ปอเรชันซึ่งปฏิเสธอายูมุตั้งแต่รอบแรกก็ติดต่อมา เนื้อหาในอีเมลเกริ่นนำว่า ‘หากคุณยังไม่ได้ตอบรับงานจากบริษัทอื่น’ ตามมาด้วยประโยคที่ว่า ‘หลังตรวจสอบใบรับสมัครของคุณอีกครั้ง ประธานกรรมการบริหารของเราตัดสินใจว่า คุณคือบุคลากรที่บริษัทเราต้องการให้มาร่วมงานด้วย ทางเราได้จัดเตรียมสถานที่สัมภาษณ์รอบสุดท้ายไว้แล้ว’
อายูมุไปสัมภาษณ์ด้วยความรู้สึกเชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่ง ต้องมีอะไรผิดพลาดแน่ๆ เป็นการสัมภาษณ์โดยคณะผู้บริหารระดับสูงซึ่งมีประธานกรุ๊ปเข้าร่วมด้วย แล้วสุดท้ายอายูมุก็ได้งานจริงๆ
ไม่อยากเชื่อ ริวโทคุคอร์ปอเรชันเป็นบริษัทหลักในเครือริวโทคุจิกรุ๊ป เป็นบริษัทยักษ์ใหญ่ที่หากพูดชื่อออกไปไม่มีใครไม่รู้จักแน่นอน ทั้งที่ส่งใบสมัครไปด้วยความคิดแค่ว่าลองเสี่ยงโชคดู ไม่นึกไม่ฝันว่าตัวเองที่พ่ายแพ้ไปตั้งแต่รอบแรกจะได้ฟื้นคืนชีพและคว้างานมาได้ในที่สุด
อายูมุคิดว่าที่ผ่านมาตัวเองใช้ชีวิตอย่างซื่อตรงมาโดยตลอด
พ่อเป็นจิตรกรไส้แห้ง เสียชีวิตด้วยโรคมะเร็งตอนอายูมุอายุสิบขวบ พ่อทำงานพาร์ตไทม์เป็นครั้งคราวพร้อมกับวาดรูปไปด้วย ยากจะเรียกได้ว่าเป็นเสาหลักหาเลี้ยงครอบครัว รายได้หลักของครอบครัวมาจากเงินเดือนของแม่ซึ่งเป็นครูเนิร์สเซอรี ถึงอย่างนั้นการที่คนหาเงินเข้าบ้านลดลงจากสองคนเหลือเพียงคนเดียวก็สร้างความลำบากไม่น้อย อีกทั้งเงินเก็บอันน้อยนิดยังร่อยหรอไปกับค่ารักษาพยาบาลของพ่ออีก นี่ก็สร้างความเจ็บปวดเช่นกัน
อายูมุเริ่มทำงานพิเศษทันทีที่ขึ้นชั้นมัธยมปลาย หวังแบ่งเบาภาระของแม่ที่ต้องพยายามเพียงลำพัง ทว่าตอนนั้นแม่กลับสั่งให้อายูมุเลิกทำงานด้วยประโยคว่า “ตั้งใจเรียนและสอบเข้ามหาวิทยาลัยให้ได้”
“เรื่องเงินน่ะ ลูกไม่ต้องเป็นห่วงหรอก”
ทว่าตอนอายูมุเพิ่งขึ้นมหาวิทยาลัยชั้นปีที่สอง แม่ที่พูดแบบนั้นและแนะนำให้อายูมุเรียนต่อมหาวิทยาลัยกลับจากโลกนี้ไปอย่างกะทันหันด้วยโรคหลอดเลือดในสมองแตก ที่ผ่านมาแม่ต้องเหน็ดเหนื่อยถึงขนาดนั้นทีเดียว
ตอนพ่อจากไป อายูมุก็เสียใจเหมือนกัน แต่ไม่ค่อยช็อกมากนัก เพราะนับตั้งแต่ตรวจเจอโรค เข้าโรงพยาบาล ผ่าตัด อาการแย่ลง ระหว่างขั้นตอนเหล่านี้ยังมีเวลาให้ทำใจ และแม้ยังเด็กอยู่ แต่อายูมุก็พอเข้าใจได้ว่าพ่อป่วยเป็นโรคร้ายแรง ในขณะที่แม่นั้น วันก่อนเกิดเหตุ ไม่ใช่สิ เช้าวันเกิดเหตุ อายูมุยังนั่งกินอาหารเช้ากับแม่ตามปกติอยู่เลย แม่ส่งอายูมุหน้าประตูบ้านว่า “เดินทางดีๆ ล่ะ” ทว่ากลับเจอกันอีกทีที่โรงพยาบาลในสภาพตัวเย็นเฉียบ ตอนนั้นอายูมุช็อกมาก รู้สึกหวิวๆ เหมือนถูกทอดทิ้งให้อยู่เพียงลำพัง รู้สึกเจ็บปวดรวดร้าวราวกับร่างกายโดนทำร้าย...จนป่านนี้แล้ว แค่นึกย้อนไปตอนนั้น มือและเท้ายังเย็นเฉียบอยู่เลย
หลังเสร็จสิ้นงานศพแบบเรียบง่าย อายูมุร้องไห้ทุกวัน ไม่ไปมหาวิทยาลัย ข้าวก็แทบไม่กิน อายูมุช็อกกับการจากไปของแม่มากถึงขนาดคิดว่า หากปล่อยให้ตัวเองอ่อนแอแบบนี้แล้วตายไป อาจได้เจอแม่อีกครั้ง
อายูมุพยายามฝืนตัวเองให้อาบน้ำสองวันครั้งและแปรงฟันทุกๆ วันเท่านั้น แล้ววันหนึ่งอายูมุก็ต้องตกใจเมื่อเห็นใบหน้าซูบผอมของตัวเองสะท้อนอยู่ในกระจกอ่างล้างหน้า อายูมุเคยหน้าตาคล้ายแม่มาก ดวงตากลมโตบ้องแบ๊ว จมูกเรียวเล็ก ปากกระจุ๋มกระจิ๋ม แม้นั่นทำให้ดูอ่อนกว่าวัย แต่เพราะดูหน้าเด็กเหมือนแม่จึงไม่ได้รังเกียจนัก
ทว่าตอนนั้นใบหน้าที่สะท้อนอยู่ในกระจกแทบไม่มีเค้าของแม่หลงเหลืออยู่เลย เป็นเพราะร้องไห้ไม่หยุด เปลือกตาจึงบวมเป่งบดบังดวงตากลมโตให้เรียวเล็กลง แก้มกลมๆ น่ารักซูบตอบ มุมปากตก อย่างกับกลายเป็นคนแปลกหน้าที่ไม่รู้จัก
(หน้าตาดูไม่ได้เลย...)
อายูมุวางมือนาบกระจก จดจ้องตัวเองที่สะท้อนอยู่ในนั้น ใบหน้าห่อเหี่ยวไม่คล้ายคลึงใบหน้ายิ้มแย้มของแม่แม้แต่น้อย
(ถ้าแม่เห็นหน้าฉันสภาพนี้ ต้องไม่ดีใจแน่)
นั่นคือจุดเปลี่ยน อายูมุตัดสินใจอย่างแน่วแน่ว่าจะใช้ชีวิตต่อไปเพียงลำพัง เขาได้รับทุนการศึกษาและย้ายไปอยู่อะพาร์ตเมนต์เล็กๆ ราคาถูก จะไม่ร้องไห้อีกต่อไป อายูมุตัดสินใจเช่นนั้น
และการได้งานทำครั้งนี้ก็เป็นจุดพลิกผันครั้งใหญ่ หรือพระเจ้าที่เฝ้าดูชีวิตของอายูมุมาโดยตลอดเกิดเห็นใจและคิดว่า ‘เอาละ นานๆ ทีให้เกิดเรื่องดีๆ บ้างแล้วกัน’ หรือพ่อที่จากโลกนี้ไปตั้งแต่อายุยังน้อยรู้สึกว่าต้องทำหน้าที่พ่อบ้างจึงส่งพลังมาให้ หรือแม่ผู้ขยันขันแข็งก็ยังพยายามเพื่อตนเสมอแม้จากไปอยู่โลกโน้นแล้ว ไม่ว่าอย่างไรก็ตาม นี่คือความโชคดีที่เปลี่ยนเรื่องลบๆ ทั้งหมดที่ผ่านมาให้กลายเป็นบวกทันที
ในโลกความเป็นจริง ผู้มอบความโชคดีให้อายูมุคือประธานริวโทคุจิ มิตสึฮิสะ เขาให้โอกาสอายูมุใหม่อีกครั้งทั้งที่เคยตกรอบไปแล้ว ในการสัมภาษณ์นั้นเป็นครั้งแรกที่อายูมุได้พบกับเจ้าของริวโทคุจิกรุ๊ป ชายผู้ดำรงตำแหน่งสูงสุด ทั้งที่อายุน่าจะเกือบเจ็ดสิบแล้ว แต่สมกับเป็นนักธุรกิจซึ่งบริหารจัดการบริษัทขนาดใหญ่หลายแห่ง ท่าทางดูภูมิฐาน สายตาดูทรงพลัง
ทำงานเป็นบัตเลอร์ในบ้านของคนที่มอบชีวิตใหม่ให้...แม้ตกใจกับคำสั่งย้ายประจำการกะทันหัน แต่อายูมุก็ไม่ได้ไม่พอใจอะไร เป้าหมายคือนำอัฐิของพ่อกับแม่ไปฝังโดยเร็วที่สุดและคืนเงินทุนการศึกษา ด้วยเหตุนี้ไม่ว่าเป็นงานอะไรหรือทำงานที่ไหน อายูมุก็พร้อมลุยและมุ่งมั่นกับงานนั้นๆ เต็มที่
โชคดีที่อายูมุคอยช่วยงานบ้านแบ่งเบาภาระแม่ที่ต้องออกไปทำงานข้างนอกตั้งแต่สมัยเด็กจึงทำงานบ้านได้ทุกอย่าง ตั้งแต่ทำอาหาร ทำความสะอาด ซักผ้า ไปจนถึงเย็บผ้า ดังนั้นหากงานของบัตเลอร์คือจัดการดูแลบ้านให้เป็นระเบียบเรียบร้อย อายูมุก็น่าจะพอเอาตัวรอดได้
“อืม!”
อายูมุปรับความคิดให้ฮึกเหิมขณะลงรถไฟฟ้าที่สถานีริวโทคุจิ และเริ่มออกเดินพลางดูแผนที่ไปด้วย
(ว่าแต่ กว้างจัง)
ดูจากแผนที่ก็ว่าบ้านริวโทคุจินั้นกว้างขวางแล้ว แต่พอลองเดินดูจริงๆ ความใหญ่โตนี้ไม่ได้อยู่ในระดับที่เรียกว่าบ้านส่วนตัวเลย ฝั่งตรงข้ามถนนมีร้านอาหาร บ้านเรือน และแมนชันตั้งเรียงรายมากมาย ทว่าฝั่งนี้มีแค่อิฐกับรั้วเหล็กทอดยาวเหยียดไม่มีที่สิ้นสุด ข้างบนอิฐซึ่งก่อสูงประมาณเอวมีรั้วเหล็กงดงามเหมือนแบบที่ใช้ในปราสาท ข้างหลังแนวรั้วเหล็กเป็นพุ่มกุหลาบทอดยาวสุดลูกหูลูกตา หากถึงฤดูกาลของมัน สีสันต้องงดงามตระการตาเป็นแน่
ในที่สุดก็ถึงประตูหน้า
เสาหินซึ่งน่าจะสูงถึงสามเมตรกับประตูเหล็กบานคู่ ประตูกว้างขนาดรถน่าจะผ่านเข้าไปได้พร้อมกันถึงสองคัน ด้านข้างมีประตูบานเล็กสำหรับคนเดินเข้าออกด้วย ถัดไปด้านในเป็นป้อมยาม ไม่ว่าดูอย่างไรก็ไม่เหมือนบ้านส่วนตัวสักนิด
อายูมุมองนาฬิกา อีกสิบนาทีจะสิบโมง ดีที่มาทันเวลา
อายูมุชะเง้อมองเข้าไปข้างในหน้าต่างด้านหน้าป้อมยามซึ่งเป็นเหมือนแผนกต้อนรับ
“ขอโทษครับ ผมมาจากริวโทคุคอร์ปอเรชัน ได้รับคำสั่งให้มาประจำการที่นี่ครับ”
ชายสูงวัยสวมเครื่องแบบคล้ายพนักงานรักษาความปลอดภัยจ้องมองอายูมุผ่านแว่นตาที่เลื่อนลงมายังปลายจมูก
“อ๋อ...คุ้นๆ ว่ามีคนแจ้งไว้แล้ว ชิอิบะซังใช่ไหม? บัตเลอร์ฝึกหัด”
บัตเลอร์ฝึกหัด การทำงานเป็นบัตเลอร์ต้องเริ่มจากฝึกหัดก่อนอย่างนั้นเหรอ อายูมุพยักหน้าเออออ “ใช่ครับ” แล้วชายชราก็ทำท่าอวดเบ่งไม่สุภาพ
“งั้นก็ไปประตูด้านหลังสิ”
“เอ๋ ประดูด้านหลัง...”
“ทางโน้น”
อีกฝ่ายชี้ไปทางที่อายูมุเพิ่งเดินมา
เมื่อครู่น่าจะเดินเลียบกำแพงมาประมาณห้านาทีได้ แต่ไม่เห็นมีประตูทางเข้าเลย หมายความว่าต้องเลี้ยวตรงหัวมุมโน้นอย่างนั้นเหรอ อายูมุเพิ่งเคยมาที่นี่เป็นครั้งแรก เสียเวลางุนงงตอนเปลี่ยนสายรถไฟฟ้าไปพักใหญ่ และเวลานัดหมายก็กระชั้นชิดเข้ามาทุกที ถ้าเดินย้อนกลับไปจากตรงนี้จะทันไหมนะ
อายูมุก้มมองนาฬิกาข้อมือและเงยหน้ามองถนนที่เพิ่งเดินผ่านมา ขณะสับสนไม่รู้ควรทำอย่างไรดีอยู่นั้นรถอัลฟาโรเมโอสีแดงเข้มก็แล่นผ่านด้านข้างของอายูมุแล้วเลี้ยวไปทางประตูใหญ่
“ท่านมาซามุเนะ!”
ยามที่วางก้ามใส่อายูมุรีบวิ่งปรี่ออกมา ประตูใหญ่เปิดออกกว้างทั้งซ้ายและขวา
(มาซามุเนะ? เอ๊ะ หรือว่า...)
“ท่านมาซามุเนะ อรุณสวัสดิ์ครับ!”
ยามถอดหมวกออกและโค้งคำนับให้รถที่กำลังแล่นเข้ามาใกล้ ตอนแรกคิดว่ารถคงแล่นผ่านยามคนนั้นเข้าไปข้างในประตูเลย ทว่าจู่ๆ รถก็เบรกเอี๊ยดหยุดอยู่ตรงหน้าอายูมุ
ประตูรถเปิดออก หนุ่มหล่อในชุดสูทคุณภาพดีราวกับหลุดมาจากนิตยสารแฟชั่นไม่ก็นิตยสารสูทโดยเฉพาะก้าวขาลงมา
วินาทีที่เห็นใบหน้านั้น อายูมุตกตะลึงราวกับถูกสายฟ้าฟาด
(อะไรเนี่ย...โคตรหล่อ...!)
อาจเพราะอายูมุหน้าเด็กกว่าวัยจึงอ่อนไหวต่อคนที่มีใบหน้าดูมีวุฒิภาวะและบรรยากาศสงบนิ่งแบบ ‘ชายวัยผู้ใหญ่’ เป็นพิเศษมาแต่ไหนแต่ไรแล้ว ทว่าไม่เคยมีใครทำให้อายูมุตื่นตะลึงได้มากมายเท่าชายคนนี้
ใบหน้างดงามฉายแววเฉลียวฉลาด...ตาสองชั้นกับหางตาที่ชี้ขึ้นเล็กน้อย จมูกโด่งคมสัน ริมฝีปากบาง ทุกองค์ประกอบสมบูรณ์แบบเกินจนให้ความรู้สึกเย็นชา และความเย็นชานั้นยิ่งทวีมากขึ้นเมื่อถูกเสริมด้วยทรงผมจัดแต่งเนี้ยบกริบกับแว่นตาไร้กรอบทรงสี่เหลี่ยม ดวงตาทอประกายแสดงถึงความมุ่งมั่นอันแรงกล้าก็ยากจะต้านทานเช่นกัน
ไม่ใช่แค่ใบหน้า ชุดสูทสีเทาเข้ม เสื้อเชิ้ตลายทางเส้นเล็กสีกรมท่าและขาว เนกไทสีเลือดหมูลายเส้นสีเงิน รองเท้าหนังสีน้ำตาลมันวาว สีเสื้อผ้าดูจับคู่ยากแต่สวมใส่แล้วกลับลงตัวพอดี ส่วนสูงที่น่าจะเกินร้อยแปดสิบกับท่วงท่างามสง่า ไหล่และอกยืดผึ่งผายเป็นธรรมชาติ ทุกอย่างล้วนดึงดูดสายตาของอายูมุ
“ว้าว...”
อายูมุเผลอร้องครางชื่นชมโดยไม่ได้ตั้งใจ ทว่าพอโดนหนุ่มหล่อเท่เขม้นมองกลับด้วยสายตาเฉียบคม อายูมุก็รีบยกมือขึ้นปิดปากตัวเอง ชายที่ชื่อมาซามุเนะมองตรงมายังอายูมุ ก่อนเดินเข้ามาใกล้พร้อมเสียงฝีเท้าแหลมสูง สายตาของเขาดุดันราวกับกำลังโมโหอะไรบางอย่าง
อีกฝ่ายหล่อเหลาเกินจนเผลอมองอย่างตื่นตะลึง หรือนั่นถือเป็นเรื่องเสียมารยาท ไม่สิ แค่ไม่กี่วินาทีเอง หรือตนเผลอทำเรื่องไม่สมควรอย่างอื่นด้วย อายูมุร้อนรนในใจ อายูมุลงทุนถอยชุดสูทใหม่เอี่ยมเพื่อพิธีปฐมนิเทศพนักงานใหม่วันนี้โดยเฉพาะ แม้เป็นเสื้อผ้าราคาถูก แต่ก็ไม่น่ามีปัญหา...
“ท่านมาซามุเนะ? เอ่อ ไม่ทราบว่ามีอะไรหรือเปล่าครับ”
เหมือนยามก็งุนงงเช่นกัน เขาเดินตามหลังมาซามุเนะด้วยท่าทีเลิ่กลั่ก
“ฉันบอกตั้งหลายครั้งแล้วว่าไม่ต้องเรียกท่าน เรียกลงท้ายด้วยซังก็พอ”
มาซามุเนะเอ่ยพลางเหลือบมองด้านข้าง ก่อนเบนสายตากลับมายังอายูมุอีกครั้งทันที เลนส์ของแว่นตาไร้กรอบสะท้อนแสงแดดระยิบระยับ
“เธอเป็นใคร มาบ้านนี้มีธุระอะไร”
อีกฝ่ายถามเสียงก้องกังวานทุ้มต่ำ ทว่าในน้ำเสียงนั้นมีความดุดันเจืออยู่เฉกเช่นเดียวกับสายตา
“อ๊ะ คะ คนคนนี้ เริ่มทำงานที่คฤหาสน์หลังนี้เป็นวันแรก ในฐานะบัตเลอร์ฝึกหัดครับ...”
ยามอธิบายอย่างลุกลี้ลุกลนก่อนอายูมุจะทันได้ตอบ
“บัตเลอร์ฝึกหัด?”
รอยย่นปรากฏบนหว่างคิ้วของมาซามุเนะ
เคยได้ยินว่าเวลาผู้หญิงสวยโกรธแล้วน่ากลัว แต่ผู้ชายหล่อโมโหก็น่ากลัวเช่นกัน อายูมุยืดแผ่นหลังตรง
“ฉัน ไม่ใช่สิ ผมชื่อชิอิบะ อายูมุครับ! เข้าทำงานที่ริวโทคุคอร์ปอเรชันวันนี้เป็นวันแรก ได้รับคำสั่งให้ย้ายมาประจำการเป็นบัตเลอร์ที่นี่ครับ!”
อายูมุพยายามแนะนำตัวเองด้วยท่าทีเอาการเอางานอย่างที่สุด
“ชิอิบะ? ขอถามชื่อพ่อกับแม่เธอหน่อยได้ไหม”
ในชีวิตประจำวันอายูมุไม่เคยโดนใครถามชื่อพ่อชื่อแม่ตั้งแต่เจอหน้ากันครั้งแรก แม้ไม่เข้าใจว่าอีกฝ่ายจะถามไปทำไม แต่
“ครับ พ่อชื่อชิอิบะ มาโมรุ ส่วนแม่ชื่อมิตสึครับ พ่อเสียไปเมื่อสิบสองปีก่อน ส่วนแม่เสียไปเมื่อสามปีก่อนครับ”
อายูมุตอบฉะฉานเหมือนเดิม
มาซามุเนะหรี่ตาจดจ้องมาทางนี้ รอยย่นตรงหว่างคิ้วยังคงอยู่
“งั้นเรื่องที่ว่าจะมีคนจากริวโทคุคอร์ปอเรชันย้ายมาประจำการ เป็นความจริงเหรอเนี่ย”
“ครับ! ผมได้รับคำสั่งให้ย้ายมาประจำการที่นี่ก่อนเข้าร่วมพิธีปฐมนิเทศพนักงานใหม่ ฝ่ายบุคคลบอกให้ผมมาถึงที่นี่ก่อนสิบโมง แต่เหมือนจวนเจียนจะไม่ทันแล้ว”
“ผมกำลังบอกให้เขาอ้อมไปประตูด้านหลังครับ! เด็กหนุ่มสมัยนี้ไม่รู้จักมารยาทเอาเสียเลย”
ยามกล่าวแทรกมาจากด้านข้าง
มาซามุเนะจ้องอายูมุเขม็งด้วยสายตาดุดัน ไม่รู้ว่าเพราะอะไร หรือเขาโมโหที่อายูมุพยายามเข้าจากประตูหน้า
“ตรงนี้ก็มีประตูด้านข้างสำหรับคนเดินเข้าออก ไม่จำเป็นต้องอ้อมไปข้างหลังหรอก”
มาซามุเนะเอ่ยพร้อมถอนหายใจ เมื่อพิจารณาจากคำพูดของเขา ดูเหมือนเรื่องนี้ไม่ใช่ปัญหา
จากนั้นมาซามุเนะก็ก้มมองนาฬิกาข้อมือของตัวเอง ดูเป็นของราคาแพงแตกต่างจากของที่อายูมุสวม
“ไม่มีเวลาแล้ว”
มาซามุเนะพึมพำก่อนเงยขึ้นมองอายูมุอีกครั้ง สายตานั้นดูอ่อนโยนลงเล็กน้อย นั่นทำให้อายูมุโล่งใจ
“ขึ้นรถสิ เดี๋ยวฉันไปส่งถึงหน้าประตู ขอโทษด้วยที่รั้งตัวเธอเอาไว้”
ข้อเสนอที่คาดไม่ถึงทำเอาอายูมุเบิกตาโต
“แบบนั้น...ผมไม่กล้าหรอกครับ”
“จากที่นี่ไปตัวคฤหาสน์ต้องเดินอีกพอสมควร นั่งรถไปเร็วกว่า”
ยามทำปากพะงาบๆ เหมือนอยากพูดอะไรสักอย่าง ทว่ามาซามุเนะกลับไม่สนใจและกลับหลังหัน
เวลากระชั้นชิดเข้ามาแล้วจริงๆ อายูมุไม่อยากมาสายตั้งแต่วันแรก และถ้าให้พูดตามตรง ตนอยากอยู่ใกล้ชิดมาซามุเนะหนุ่มหล่อให้นานกว่านี้อีกสักหน่อย ไม่รู้เหมือนกันว่าอีกฝ่ายโมโหอะไร แต่การที่เขาใจดีแบบนี้ทำให้อายูมุแอบดีใจไม่น้อย
“อ้า ถ้างั้น...ขอรบกวนด้วยครับ! แล้วก็ขอบคุณมากครับ!”
อายูมุก้มศีรษะต่ำ ก่อนวิ่งเหยาะๆ อ้อมไปยังที่นั่งฝั่งข้างคนขับ
(อย่างกับเรื่องโกหกแน่ะ)
ได้นั่งอยู่บนเบาะหน้าของรถอัลฟาโรเมโอที่ขับโดยหนุ่มหล่อรูปงามตรงสเป็กอย่างจัง นี่ไม่ใช่ความฝันใช่ไหม อายูมุคิดในใจ
รถยนต์ต่างชาติสีแดงเข้มออกตัวอย่างนิ่มนวล ผ่านประตูเปิดกว้างเข้าไปข้างใน ถนนยางมะตอยวาดยาวเป็นเส้นโค้งหน้ากว้างมุ่งสู่ป่าเขียวชอุ่มสดใส มาซามุเนะหมุนพวงมาลัย รถเข้าไปในป่า แต่ไม่ว่ามองไปทางไหนก็ยังไร้เงาตัวอาคาร
“...เอ่อ”
อายูมุรวบรวมความกล้าหันไปคุยกับมาซามุเนะซึ่งกำลังจับพวงมาลัยมองตรงไปข้างหน้า
“ขอโทษนะครับ มาซามุเนะซัง ชื่อเต็มคือริวโทคุจิ มาซามุเนะใช่ไหมครับ?”
อายูมุถามใจเต้นตุ้มๆ ต่อมๆ มาซามุเนะชำเลืองมองมาทางนี้ลอดใต้แว่นตา
“รู้จักฉันจริงๆ ด้วยสินะ”
“ครับ! แน่นอนอยู่แล้ว...!”
ไม่ผิดแน่นอน! ตัวจริงเสียงจริง!
ริวโทคุจิ มาซามุเนะมีชื่อเสียงในฐานะนักธุรกิจรุ่นใหม่ที่ประสบความสำเร็จ เขาเป็นลูกชายคนรองของประธานริวโทคุจิกรุ๊ป เริ่มต้นทำงานในบริษัทก่อสร้างซึ่งอยู่ในเครือ สี่ปีต่อมาเขาเลื่อนขั้นเป็นผู้จัดการแผนกดิจิทัลของบริษัทนั้น ที่เขาเติบโตในสายงานได้รวดเร็วขนาดนี้อาจเพราะบารมีพ่อแม่ นี่อาจเป็นเส้นทางที่ถูกกำหนดไว้แล้วในฐานะทายาทผู้บริหารกรุ๊ป ทว่าพัฒนาการของเขาหลังจากนั้นเรียกได้ว่าน่าทึ่งมาก มาซามุเนะสร้างผลงานยอดเยี่ยมให้กับแผนกดิจิทัลที่เขาดำรงตำแหน่งผู้จัดการ และเปิดเป็นบริษัทลูกในระยะเวลาเพียงสองปี หลังแยกตัวออกมาแล้วบริษัทของเขาไม่ได้รับผิดชอบเฉพาะงานดิจิทัลของบริษัทแม่เท่านั้น แต่ยังขยายไปทำธุรกิจชอปปิงออนไลน์ด้วย
ออนไลน์มาร์เกตเพลสที่มาซามุเนะออกแบบประสบความสำเร็จและเติบโตอย่างรวดเร็ว ห้าปีหลังแยกตัวเป็นอิสระปัจจุบันบริษัทวายอาร์เน็ตของเขาเติบโตจนกลายเป็นบริษัทที่มีส่วนแบ่งการตลาดสูงสุดในธุรกิจชอปปิงออนไลน์ภายในประเทศ ทั้งยังจดทะเบียนในกระดานที่หนึ่งของตลาดหลักทรัพย์โตเกียว ‘นักธุรกิจหนุ่มตัวท็อป’ ‘หัวการค้าและความใจเด็ดแซงหน้าพ่อ’ ‘อายุน้อยร้อยล้าน’...เมื่อเอ่ยชื่อมาซามุเนะต้องมีฉายาเหล่านี้้ห้อยท้ายเสมอ เจ้าตัวขึ้นชื่อเรื่องไม่ชอบออกสื่อ ปฏิเสธให้สัมภาษณ์และถ่ายรูปตลอด ทว่าการเติบโตของวายอาร์มักถูกหนังสือพิมพ์และรายการโทรทัศน์ต่างๆ หยิบยกขึ้นมาเป็นตัวอย่างของผู้ประสบความสำเร็จในยุคอินเทอร์เน็ตเป็นประจำ มาซามุเนะสร้างชื่อให้ตัวเองในฐานะนักธุรกิจชั้นน้ำด้วยวัยเพียงสามสิบสามปีเท่านั้น
‘ริวโทคุจิ มาซามุเนะ’ เป็นนักธุรกิจที่อายูมุปลาบปลื้ม ยิ่งได้รู้ว่าตัวจริงรูปร่างหน้าตางดงามระดับเดียวกับนายแบบ หล่อเหลากว่าที่จินตนาการเอาไว้มาก ความตื่นเต้นของอายูมุก็ยิ่งเพิ่มเป็นทวี
“ความสำเร็จของวายอาร์สุดยอดมากเลยครับ! กระโดดออกจากกรอบของริวโทคุจิ ปั้นบริษัทจนใหญ่โต! ทำงานแค่หกปีก็แยกตัวออกมาเป็นอิสระแล้ว ถ้าเป็นผมละก็ ไม่มีทางทำได้แน่!”
ตอนนั่งบนรถไฟฟ้าอายูมุยังนึกเพ้อฝันว่า ถ้าทำงานที่ตระกูลหลักริวโทคุจิ อาจมีโอกาสได้เห็นหน้าของริวโทคุจิ มาซามุเนะแห่งวายอาร์ก็เป็นได้ ไม่นึกไม่ฝันเลยว่าจะได้เจอกันเร็วขนาดนี้...
“ผะ ผมรู้สึกเป็นเกียรติมากที่ได้เจอ! อุตส่าห์เอื้อเฟื้อให้ผมโดยสารรถมาด้วย...เอ่อ ขอโทษนะครับ ขอจับมือหน่อยได้ไหมครับ...”
อยากดูดซับความยิ่งใหญ่ในฐานะนักธุรกิจของมาซามุเนะเข้ามาในตัวสักหน่อย อายูมุร้องขอจับมือ แต่พอตระหนักได้ว่าอีกฝ่ายกำลังขับรถอยู่ ก็รีบเรียกสติและหดมือกลับ
“อ๊ะ ขอโทษครับ! กำลังขับรถอยู่สินะครับ...”
ถึงอย่างนั้นก็อดอาลัยอาวรณ์ไม่ได้ สายตาของอายูมุจดจ้องมือใหญ่ของอีกฝ่าย นิ้วเรียวยาว แม้แต่เล็บยังรูปร่างสวยแลดูสุขภาพดี
(เท่กระทั่งมือ)
หากมือของตนได้จับมือนั้นแน่นๆ จะรู้สึกดีขนาดไหนนะ...อายูมุเผลอจินตนาการไปถึงสัมผัสของผิวพรรณนั้น
(อ๊ะ ไม่ใช่ๆ! นี่เป็นความรู้สึกปลาบปลื้มคนที่ตรงข้ามกับตัวเองอย่างสิ้นเชิงต่างหาก...!)
ใช่แล้ว สาเหตุที่ตนอ่อนไหวต่อผู้ชายหล่อเท่มีความเป็นผู้ใหญ่ นั่นเพราะตนหน้าเด็ก เลยใฝ่ฝันถึงสิ่งที่ตัวเองไม่มี อายูมุรีบร้อนแก้ตัวในใจ
มาซามุเนะใช้หางตาชำเลืองมองอายูมุอีกครั้ง
“เมื่อกี้เธอบอกว่ามาที่นี่เพราะคำสั่งย้ายประจำการใช่ไหม? ไม่ใช่ว่ามาที่นี่เพราะแม่เธอเล่าเรื่องของฉันให้ฟังหรอกเหรอ”
“เอ๋?”
คำพูดที่คาดไม่ถึงทำเอาดวงตาเบิกโต อายูมุกะพริบตาปริบๆ
“แม่ผมเหรอครับ? เอ่อ...แม่เป็นแฟนคลับไอดอลเกาหลีก็จริง...แต่กับประธานบริษัทวายอาร์ก็ไม่ได้ขนาดนั้น...ถ้าแม่ผมรู้จักหน้าคุณ ก็น่าจะเป็นแฟนคลับของคุณด้วยนะ แต่คงไม่ถึงขั้นสั่งให้ผมมาเจอ...”
สเป็กของแม่น่าจะเป็นสายหวาน ใบหน้าอ่อนโยนกว่านี้หน่อย
อายูมุตอบเช่นนั้นพลางเอียงศีรษะ มาซามุเนะพ่นลมหายใจเบาๆ
“ไม่ได้หมายความแบบนั้น”
แล้วหมายความแบบไหน หรือแม่ของอายูมุรู้จักกับมาซามุเนะ
“เอ่อ หรือว่า...”
ขณะจะเอ่ยปากถามรถยนต์ก็แล่นออกจากป่าเขียว ทัศนวิสัยเบื้องหน้าพลันสว่างจ้า
คฤหาสน์หลังใหญ่ตั้งตระหง่านอยู่เบื้องหน้า เป็นอาคารสามชั้นสร้างด้วยหิน คล้ายปราสาทโบราณในประเทศอังกฤษ แม้แต่สวนรอบๆ ยังถูกตกแต่งเป็นสไตล์อังกฤษด้วยเช่นกัน บรรยากาศดูแตกต่างจากเมื่อครู่อย่างสิ้นเชิง
“ว้าว! คฤหาสน์อลังการมากเลยครับ!”
อายูมุส่งเสียงชื่นชมโดยไม่ได้ตั้งใจ
(แม่ไม่มีทางรู้จักกับสุดยอดมหาเศรษฐีแบบนี้หรอก)
แล้วอายูมุก็เปลี่ยนใจเลิกถามคำถามบ้าๆ นั่น
มาซามุเนะหมุนพวงมาลัยวนรอบสวนโดยไม่พูดอะไร รถยนต์แล่นเข้าไปในฟาซาด ซึ่งสร้างด้วยอิฐก่อตัวเป็นลวดลายทรงเรขาคณิต มาซามุเนะจอดรถตรงหน้าบันไดหินซึ่งเชื่อมต่อไปยังประตูเหล็กบานหนา
เมื่อทั้งสองคนลงจากรถ ประตูด้านหน้าก็ค่อยๆ เปิดออกทั้งซ้ายและขวา
“ท่านมาซามุเนะ! อรุณสวัสดิ์ครับ!”
ชายอายุเลยวัยกลางคนสวมชุดพิธีการเต็มยศแบบที่เคยเห็นแต่ในโทรทัศน์เดินออกมา เขาก้มศีรษะด้วยความเคารพนอบน้อมพร้อมรอยยิ้ม หนวดเป็นสีขาว เส้นผมบางๆ บนศีรษะเป็นสีดำขาวผสมกัน ทว่าทั้งบุคลิกท่าทางและความเปล่งปลั่งของผิวพรรณไม่ได้ดูแย่นัก มีหญิงสาวเดินตามหลังมาอีกหนึ่งคน เธอก็ก้มศีรษะให้อย่างสุภาพเช่นกัน ดูเหมือนนี่คือสิ่งที่เรียกว่า ‘ออกมาต้อนรับ’ ซึ่งอายูมุเคยเห็นแต่ในละครหรือมังงะ
“อรุณสวัสดิ์”
“อ๊ะ สะ สวัสดีครับ...”
อายูมุเลิ่กลั่กพลางเดินขึ้นบันไดหินตามหลังมาซามุเนะไป
“ท่านนี้คือ...”
ชายวัยเริ่มชรามองมาทางนี้ด้วยสายตาราวกับกำลังสแกนตรวจสอบ
“อะ อรุณสวัสดิ์ครับ ผมชื่อชิอิบะ อายูมุ มาจากริวโทคุคอร์ปอเรชัน ได้รับคำสั่งให้มาประจำการเป็นบัตเลอร์ที่...”
“ตอนนี้สิบโมงสองนาทีแล้ว”
อีกฝ่ายกล่าวขัดคำทักทายอย่างเย็นชา
“ฉันว่าฉันแจ้งทางบริษัทไปแล้วนะ ว่าต้องมาถึงก่อนสิบโมง”
“อ๊ะ ขะ ขอโทษครับ...”
อายูมุรีบร้อนกล่าวขอโทษ
“เขามาถึงประตูหน้าก่อนสิบโมง ฉันชวนคุยโน่นนี่รั้งเขาไว้เองแหละ”
มาซามุเนะที่อยู่ข้างๆ พูดแก้ตัวให้
“ทำไมถึงมากับรถของท่านมาซามุเนะ...”
ชายผู้นั้นมองมาซามุเนะกับอายูมุสลับกันไปมา สายตายังเต็มไปด้วยความเคลือบแคลง
“ฉันเป็นคนชวนเอง”
“อย่างนั้นเหรอครับ...แต่ต่อให้ได้รับคำเชิญอย่างไร การที่คนรับใช้ตอบตกลงขึ้นรถเจ้านายก็ไม่ใช่เรื่องน่าชื่นชม”
(คนรับใช้)
อายูมุรู้สึกแปลกๆ กับคำศัพท์ที่ออกจะล้าสมัย แต่คิดไปคิดมาก็ยังดีกว่าโดนเรียกว่า ‘ทาสรับใช้’
“ขอโทษครับ”
อายูมุไม่อยากก่อปัญหาตั้งแต่วันแรกจึงก้มศีรษะขอโทษอย่างสงบเสงี่ยม
“ทาจิบานะซัง”
มาซามุเนะเรียกชายวัยเริ่มชราด้วยน้ำเสียงแข็งกร้าว
“ยุคสมัยมันต่างไปแล้ว เขามาทำงานที่บ้านหลังนี้ไม่ได้หมายความว่าสถานะของเขาต่างจากคนในตระกูลริวโทคุจิเสียหน่อย”
น้ำเสียงนั้นเด็ดขาด
อายูมุเงยหน้ามองมาซามุเนะโดยอัตโนมัติ...ไม่ใช่แค่รูปลักษณ์ภายนอก กระทั่งคำพูดและการกระทำยังเท่ด้วย...
“ท่านมาซามุเนะพูดเช่นนี้อีกแล้ว...”
ทาจิบานะส่ายศีรษะด้วยท่าทีเอือมระอา
“การทำงานในคฤหาสน์หลังนี้มีหลายเรื่องที่ต้องแยกแยะให้ได้ว่าอะไรควรไม่ควร เอาเป็นว่าเชิญท่านมาซามุเนะเข้ามาข้างในก่อน เช้านี้นายท่านใหญ่อาการดีมากครับ...ส่วนเธอ”
ทาจิบานะเบนสายตากลับมาหาอายูมุ
“ช่วยอ้อมไปเข้าประตูเล็กด้วย”
“ครับ รับทราบครับ”
อายูมุไม่อยากรบกวนมาซามุเนะไปมากกว่านี้ จึงรีบพยักหน้าและตอบตกลงอย่างรวดเร็วก่อนมาซามุเนะจะทันได้พูดอะไร
“ประตูเล็กอยู่ไหนเหรอครับ”
“เดินตรงไปทางนี้ เลี้ยวตรงหัวมุม และกดออดเครื่องอินเทอร์คอมก่อนถึงหัวมุมถัดไป”
ทาจิบานะสะบัดมือบอกทิศทาง ดูเหมือนว่าอันดับแรกต้องเดินไปสุดทางด้านหน้าคฤหาสน์ก่อน
“รับทราบครับ เอ่อ ท่านมาซามุเนะ ขอบคุณที่ช่วยเหลือนะครับ ตั้งแต่วันนี้ไปผมจะพยายามเต็มที่ ขอฝากเนื้อฝากตัวด้วยครับ”
อายูมุก้มศีรษะให้มาซามุเนะอย่างเป็นการเป็นงานก่อนเดินลงบันไดหินไป
“เอาละ ท่านมาซามุเนะ เชิญด้านในครับ”
อายูมุได้ยินเสียงทาจิบานะกระตุ้นมาซามุเนะอีกครั้งอยู่ข้างหลัง ตามมาด้วยเสียงปิดประตูหนักๆ
อายูมุเดินไปตามทางเล็กๆ เลียบคฤหาสน์ตามคำสั่ง หลังผ่านด้านหน้าและเลี้ยวไปด้านข้างอายูมุก็มองเห็นบ้านชั้นเดียวทรงบ้านไม้โบราณเรียงทอดยาวลึกเข้าไปในแมกไม้ ดูเป็นสไตล์ญี่ปุ่นแท้ๆ แตกต่างจากตัวคฤหาสน์หลัก สงสัยคงเป็นเรือนแยกละมั้ง
และก่อนถึงหัวมุมถัดไปของคฤหาสน์หลัก อายูมุก็เจอประตูเล็กที่ทาจิบานะเอ่ยถึง ถึงเรียกว่าประตูเล็กก็เถอะ แต่แค่ขนาดเล็กกว่าประตูด้านหน้าคฤหาสน์เท่านั้น หากเทียบกับประตูทางเข้าบ้านทั่วไป ถือว่าใหญ่โตโอ่อ่าทีเดียว
อายูมุกดออดเครื่องอินเทอร์คอม ประตูเปิดออกจากด้านในทันที ทาจิบานะกำลังยืนทำหน้าบูดบึ้งอยู่
“เมื่อสักครู่ขอโทษที่เสียมารยาทครับ ผมชิอิบะ อายูมุจากริวโทคุคอร์ปอเรชัน ได้รับคำสั่งให้มาประจำการที่นี่ ขอฝากเนื้อฝากตัวด้วยครับ”
“ฉันชื่อทาจิบานะ ทำงานเป็นบัตเลอร์ของคฤหาสน์หลังนี้ เรื่องที่วันนี้มาสาย ในเมื่อท่านมาซามุเนะบอกอย่างนั้นก็ช่วยไม่ได้ แต่ครั้งหน้าขอให้เผื่อเวลาเอาไว้ด้วย อย่าให้เกิดเรื่องแบบนี้ขึ้นอีก”
“ครับ ต้องขอโทษด้วยครับ”
อายูมุก้มศีรษะขอโทษอย่างสุภาพอีกครั้ง เฮ้อ ทาจิบานะถอนหายใจอย่างหงุดหงิดอยู่เหนือศีรษะ
“ย้ายมาประจำการหรืออะไรก็ช่างเถอะ...แต่มาด้วยความรู้สึกเหมือนทำงานบริษัทแบบนี้ก็แย่สิ จริงๆ เลย”
จู่ๆ ความมุ่งมั่นอยากทำงานบริษัทก็โดนปฏิเสธ อายูมุกะพริบตาปริบๆ
“นายท่านใหญ่กำลังรออยู่ รีบเข้ามาข้างในได้แล้ว อ๊ะ เช็ดโคลนติดรองเท้ากับพรมก่อนล่ะ”
มีเพียงคำพูดเท่านั้นที่เร่งเร้าอย่างสุภาพ
“ขอโทษครับ...”
ตนคิดถูกจริงๆ ใช่ไหมที่ตัดสินใจมาที่นี่ อายูมุกังวลกับท่าทีของทาจิบานะ
อายูมุก้าวเท้าเข้าไปในคฤหาสน์หนึ่งก้าว ก่อนมองซ้ายมองขวาว่าควรถอดรองเท้าตรงไหนดี
“บ้านนี้เป็นสไตล์ตะวันตก เพราะฉะนั้นใส่รองเท้าเข้ามาได้”
ทาจิบานะกล่าว อายูมุรู้สึกตะขิดตะขวงใจที่ต้องใส่รองเท้าเข้าบ้านคนอื่น แต่ในเมื่ออีกฝ่ายบอกแบบนั้น งั้นก็ช่วยไม่ได้ อายูมุจึงก้าวขาอีกข้างเข้ามาข้างใน
หลังเดินตรงเข้ามาจากประตูเล็กก็เจอทางเดินมืดสลัว มีประตูเรียงรายขนาบสองข้าง
“จากนี้ไปฉันจะพาเธอไปห้องของนายท่านใหญ่ พร้อมแนะนำคฤหาสน์หลังนี้ไปด้วย นายท่านใหญ่กำลังนอนพักฟื้นอยู่บนเตียง เพราะฉะนั้นทักทายแค่สั้นๆ ก็พอ”
เมื่อครู่ทาจิบานะก็รายงานมาซามุเนะว่าอาการของนายท่านใหญ่เป็นอย่างไร...
“เอ่อ...นายท่านใหญ่ที่ว่าหมายถึงท่านประธานมิตสึฮิสะใช่ไหมครับ? แล้วที่บอกว่ากำลังนอนพักฟื้นอยู่ ท่านประธานไม่สบายเหรอครับ?”
“ในคฤหาสน์หลังนี้เวลาเรียกสมาชิกตระกูลริวโทคุจิ เราจะไม่เรียกตำแหน่ง แต่จะเรียกนำหน้าด้วยคำว่าท่าน”
อีกฝ่ายตักเตือนด้วยน้ำเสียงแข็งกร้าว ทว่าไม่ยอมตอบคำตามซึ่งเป็นใจความสำคัญ ทาจิบานะเริ่มเดินพลางพูดต่อ
“จริงๆ เลย อุตส่าห์บอกแล้วว่าไม่ต้องการผู้ช่วย...”
ทาจิบานะบ่นพึมพำให้ได้ยิน
“ฉันทำงานเป็นบัตเลอร์ในคฤหาสน์หลังนี้มาห้าสิบปีแล้ว ไม่ใช่ว่าไม่เข้าใจความรู้สึกของนายท่านใหญ่ที่ต้องการให้เธอมาอยู่ใกล้ๆ หรอก แต่ป่านนี้แล้วเนี่ยนะ จริงๆ เชียว...”
ทาจิบานะยังบ่นอุบอิบในปากไม่หยุด ช่วงครึ่งหลังอายูมุแทบไม่ได้ยินอะไรแล้ว แม้ฟังไม่เข้าใจนัก แต่พอจับความได้ว่าการแต่งตั้งครั้งนี้เป็นความตั้งใจของท่านประธานเอง
“ท่านประธาน...อ๊ะ ไม่ใช่สิ ท่านมิตสึฮิสะเลือกฉัน ไม่ใช่สิ เลือกให้ผมมาทำงานในคฤหาสน์หลังนี้เหรอครับ?”
ผู้มอบโอกาสให้อายูมุซึ่งตกรอบไปแล้วครั้งหนึ่งให้มาสัมภาษณ์กับผู้บริหารระดับสูงโดยตรงคือคุณมิตสึฮิสะประธานกรุ๊ป แต่การที่อายูมุได้มาประจำการที่คฤหาสน์หลังนี้ก็เป็นความตั้งใจของคุณมิตสึฮิสะด้วยอย่างนั้นเหรอ
ทาจิบานะหยุดเดินก่อนหันมาแสดงสีหน้าไม่พอใจ
“ใช่ เพราะเป็นความปรารถนาของนายท่านใหญ่จึงช่วยไม่ได้ เอาเป็นว่าฉันจะให้เธอเริ่มทำงานในฐานะพนักงานฝึกหัดไปก่อน ช่วยทำความคุ้นเคยกับที่นี่โดยเร็วจะได้ทำงานได้ด้วยตัวเอง คนที่ต้องรอคำสั่งน่ะไม่สมควรทำงานในคฤหาสน์หลังนี้”
ทาจิบานะกล่าวด้วยน้ำเสียงไม่สบอารมณ์ รับรู้ได้อย่างแจ่มแจ้งว่าไม่ยินดีต้อนรับตนเลย
(คนคนนี้จะมาเป็นหัวหน้าของฉันเหรอ)
ความกระตือรือร้นตกฮวบ ไม่สิ นี่เพิ่งจะวันแรกเอง อายูมุดุตัวเองให้ปรับความคิดใหม่
“ผมจะพยายามครับ ขอฝากเนื้อฝากตัวด้วยนะครับ”
อายูมุจ้องตาทาจิบานะเขม็ง ก่อนกล่าวด้วยเสียงหนักแน่นและก้มศีรษะต่ำ
ทาจิบานะแสดงท่าทีเย็นชาก็จริง แต่ดูเหมือนเต็มใจสอนงานให้อายูมุอยู่เหมือนกัน นี่คือห้องเก็บของ ฝั่งตรงข้ามคือห้องครัว ฝั่งโน้นคือห้องซักรีด ที่นี่คือสำนักงาน ห้องน้ำและบันไดของคนรับใช้อยู่ตรงนี้ ห้ามใช้ห้องน้ำกับบันไดของ ‘ด้านหน้า’ เป็นอันขาด นั่นสงวนไว้เฉพาะนายท่านใหญ่กับสมาชิกในตระกูล...ทาจิบานะชี้ประตูแต่ละบานพลางป้อนข้อมูลระรัว
สำนักงานเป็นห้องสไตล์ตะวันตกขนาดประมาณสิบเสื่อ โต๊ะทำงานสองตัวหันหน้าเข้าหากัน รอบๆ มีตู้ เครื่องทำน้ำอุ่น และอุปกรณ์อื่นๆ วางอยู่ ดูไม่ต่างจากสำนักงานของบริษัททั่วไป คอมพิวเตอร์และพรินเตอร์เหมือนไม่ใช่รุ่นเก่าขนาดนั้น ส่วนเครื่องตอกบัตรตั้งอยู่ข้างๆ ทางเข้า
“อย่าลืมตอกบัตรลงเวลาตอนเช้าก่อนเข้างานและตอนเย็นหลังเลิกงานด้วยล่ะ...จริงๆ เลย สมัยก่อนคนรับใช้ต้องอาศัยอยู่บ้านเจ้านายเป็นเรื่องปกติ ไม่มีคำว่ามาสาย ขอเลิกงานก่อนเวลา หรือทำงานล่วงเวลาหรอก”
“นั่นสินะครับ...”
อายูมุไม่รู้จะตอบกลับอย่างไรดี จึงได้แต่พยักหน้าเออออตาม
หนึ่งในโต๊ะทำงานเป็นโต๊ะของอายูมุ อายูมุวางกระเป๋าลง เนื่องจากห้องนี้มีคนนอกเข้าออกเป็นครั้งคราว ของมีค่าจึงเก็บไว้ในล็อกเกอร์มีกุญแจล็อก แม้วิธีคิดของทาจิบานะอาจล้าสมัยไปบ้าง แต่อายูมุก็โล่งใจที่อย่างน้อยสภาพแวดล้อมดูทำงานง่ายเป็นปกติดี
“ข้างหลังประตูบานนี้คือ ‘ด้านหน้า’ ”
ทาจิบานะหยุดอยู่หน้าประตูบานคู่ ยืดแผ่นหลังตรง
“เจ้านายที่อาศัยคฤหาสน์หลังนี้ได้แก่ ท่านมิตสึฮิสะหัวหน้าตระกูล ท่านโทโยฮิสะลูกชายคนโตของท่านมิตสึฮิสะ ท่านเรกะภรรยาของท่านโทโยฮิสะ ท่านซากิลูกสาวของท่านทั้งสองซึ่งเรียนอยู่ชั้นอนุบาล เราเรียกท่านมิตสึฮิสะว่านายท่านใหญ่ เรียกภรรยาของท่านมิตสึฮิสะซึ่งเสียชีวิตไปแล้วว่านายหญิงใหญ่ เรียกท่านโทโยฮิสะว่านายท่าน เรียกท่านเรกะว่านายหญิง และเรียกท่านซากิว่าคุณหนู นอกจากผู้สืบทอดตระกูลสายหลักแล้ว ยังมีท่านมาซามุเนะที่เพิ่งเจอเมื่อครู่ และท่านฮิเดฮิสะน้องชายของท่านมาซามุเนะ”
อายูมุหยิบสมุดโน้ตออกมาจากกระเป๋าเสื้อ แต่ยังไม่ทันจดเสร็จ
“จะไปแล้วนะ”
ทาจิบานะเปิดประตู
อายูมุก้าวเท้าออกไปยัง ‘ด้านหน้า’ ด้วยใจเต้นตุ้มๆ ต่อมๆ มันคือห้องโถงกว้างเปิดโล่งมีชั้นลอย รอบด้านทั้งสดใสและหรูหรา แตกต่างจาก ‘ด้านหลัง’ อย่างสิ้นเชิง
สิ่งแรกที่สะดุดตาอายูมุคือ โคมระย้าขนาดใหญ่เส้นผ่านศูนย์กลางประมาณสองเมตรได้ กำลังห้อยลงมาจากเพดานบนชั้นสอง สิ่งต่อมาที่สะดุดสายตาคือ แจกันดอกไม้ใบใหญ่ประมาณส่วนสูงเด็กซึ่งวางอยู่ข้างประตูด้านหน้า รูปปั้นสไตล์กรีกโบราณหลายชิ้นที่ประดับประดาอยู่ข้างผนังก็ดูทรงพลังเช่นกัน ทั้งพื้นหินอ่อนและประตูไม้โอ๊กแกะสลักลายนูนเรียงรายอยู่ทั่วห้องโถง ทุกอย่างล้วนดูหรูหราและชวนตื่นตาตื่นใจเป็นอย่างมาก
อายูมุเบนสายตากลับไปอีกทาง มีบันไดกว้างปูพรมสีแดงเข้ม บันไดสีเหลืองอำพันมันวาวฟู่ฟ่าทอดยาวนำไปสู่หน้าต่างกระจกหลากสี แยกขวาซ้ายตรงชานพักบันไดเชื่อมขึ้นไปยังชั้นสอง
ห้องโถงทางเข้ากว้างขวาง ขนาดจับห้องอะพาร์ตเมนต์ที่อายูมุเช่าอยู่ใส่เข้าไปทั้งห้องแล้วยังเหลือพื้นที่อีกมากโข
(แค่ราคาแจกันใบนั้นก็เอาไปสร้างหลุมฝังศพให้พ่อกับแม่ได้แล้ว)
อายูมุเผลอจินตนาการถึงราคาโดยไม่ได้ตั้งใจ ก่อนดุตัวเองว่าคิดอะไรแบบนั้นไม่ได้
“ทางนี้คือห้องรับประทานอาหารซึ่งเชื่อมต่อกับห้องครัว”
ทาจิบานะชี้ไปยังประตูบานคู่ทางขวามือของประตูทางเข้า ต่อมาชี้ไปยังประตูบานคู่ซึ่งหน้าตาคล้ายกันแต่อยู่อีกฟากของห้องโถง “ทางนี้คือห้องรับแขก”
“สมัยก่อนที่นี่เคยเป็นห้องเลี้ยงรับรอง ต้อนรับแขกจากวงการการเมืองและวงการธุรกิจอยู่บ่อยครั้ง ด้านในห้องรับแขกมีห้องหนังสือ ส่วนห้องของนายท่านใหญ่ไปทางนี้”
อายูมุเดินตามหลังทาจิบานะไปบนทางเดินด้านหลังห้องรับแขกพลางเพลิดเพลินกับสวนระหว่างอาคารซึ่งมีดอกไม้น่ารักๆ บานสะพรั่ง ให้บรรยากาศแตกต่างจากสวนหน้าคฤหาสน์ และเมื่อเดินมาจนสุดทางก็เจอกับประตูบานคู่อีกครั้ง
ประตูเปิดออกจากด้านในก่อนทาจิบานะจะทันยกมือขึ้นเคาะ
มาซามุเนะ
ทาจิบานะรีบเดินหลบไปข้างประตูและก้มศีรษะลง อายูมุรีบร้อนทำตาม
“ฉันจะกลับบริษัท ไม่ต้องไปส่งหรอก แล้วพรุ่งนี้จะมาอีก”
“ครับ ขอให้เดินทางโดยสวัสดิภาพนะครับ”
จังหวะที่มาซามุเนะจะเดินจากไป เขาหันมามองอายูมุ
(สบตากัน!)
แค่ก็นี้ดีใจแล้ว
อายูมุเหม่อมองตามแผ่นหลังของมาซามุเนะที่กำลังจากไป
(รู้งี้น่าจะขอจับมือสักหน่อย)
“มัวยืนบื้ออะไรอยู่ จะเข้าไปแล้วนะ”
เสียงทุ้มต่ำตำหนิ ปลุกอายูมุให้ตื่นจากภวังค์
“อ๊ะ ครับ ขอโทษครับ”
อายูมุปั้นหน้าขึงขังและเดินตามทาจิบานะเข้าไป
ห้องน่าจะกว้างประมาณสามสิบเสื่อได้ ด้านหน้าจัดวางชุดรับแขก โต๊ะเขียนหนังสือ และชั้นหนังสือ ให้อารมณ์เหมือนเป็นห้องนั่งเล่นสบายๆ ทว่าพอมองไปยังเตียงซึ่งอยู่ลึกเข้าไปด้านใน บรรยากาศรอบๆ กลับแตกต่างไปอย่างสิ้นเชิง มีเครื่องติดตามสัญญาณชีพ เสาน้ำเกลือ และรถเข็นวางอุปกรณ์ทางการแพทย์อยู่ พยาบาลในชุดเครื่องแบบสีขาวกำลังปรับปริมาณหยดน้ำเกลือ ส่วนหมอกำลังชะโงกมองอุปกรณ์ที่อายูมุไม่รู้ว่าคืออะไร เมื่อเข้าไปใกล้ กลิ่นสารเคมีพลันโชยเข้าจมูก
รอบๆ เต็มไปด้วยอุปกรณ์ไม่ต่างจากในโรงพยาบาล คุณมิตสึฮิสะสวมเสื้อคลุม นอนอยู่บนเตียงซึ่งปรับระดับหัวเตียงให้เอนขึ้นเล็กน้อย
เมื่อเห็นใบหน้าชายชราสวมหน้ากากออกซิเจน อายูมุตกใจเป็นอย่างมาก เพราะเมื่อเทียบกับตอนเจอกันวันสัมภาษณ์งานเมื่อครึ่งปีก่อน เขาดูเหมือนแก่ขึ้นรวดเดียวเป็นสิบปี
(วันสัมภาษณ์ยังดูแข็งแรงดีอยู่เลย...)
ใบหน้าและร่างกายซูบเซียว แค่มองก็รู้ว่าป่วยหนัก
“นายท่านใหญ่ครับ อาการเป็นอย่างไรบ้างครับ”
ทาจิบานะถามเสียงอ่อนโยน คุณมิตสึฮิสะพยักหน้าโดยไม่พูดอะไร
“ไม่มีไข้ ความดันนิ่งดีครับ อาการหายใจติดขัดก็แทบไม่มีแล้ว”
หมอรายงานอาการจากด้านข้าง “แบบนั้นค่อยยังชั่วหน่อย” ทาจิบานะเอ่ยอย่างมีความสุข
สีหน้าและน้ำเสียงของทาจิบานะเวลาแสดงออกต่อมาซามุเนะก็เป็นแบบนี้เช่นกัน รับรู้ได้เลยว่าทาจิบานะรับใช้เจ้านายและลูกชายของเขาด้วยความจริงใจและความเคารพรัก
“นายท่านใหญ่ครับ ผมพาชิอิบะ อายูมุซังมาแล้วครับ ตั้งแต่วันนี้ไปเขาจะมาทำงานใต้บังคับบัญชาผมครับ”
ทาจิบานะเร่งเร้าให้อายูมุขยับตัวจากด้านหลังมาข้างๆ เตียง
“ยะ ยินดีที่ได้รู้จักครับ...ชิอิบะ อายูมุครับ”
อายูมุก้มศีรษะ รอยยิ้มปรากฏบนใบหน้าของคุณมิตสึฮิสะ แล้วชายชราก็ยกมือแข็งทื่อถอดหน้ากากออกซิเจนออก
“ยินดีที่ได้รู้จัก เสียที่ไหนเล่า...เรารู้จักกันแล้ว ตอนสัมภาษณ์ไง”
แม้คำพูดขาดเป็นห้วงๆ แต่น้ำเสียงยังหนักแน่นมั่นคง อายูมุเบิกตาโต
“ท่านจำผมได้ด้วยเหรอครับ?!”
ชายชราพยักหน้าราวกับจะบอกว่าแน่นอนอยู่แล้ว ริวโทคุคอร์ปอเรชันเป็นบริษัทยักษ์ใหญ่ แค่สัมภาษณ์รอบสุดท้ายก็น่าจะมีหลายร้อยคน
“ชิอิบะ อายูมุ...แม่ชื่อชิอิบะ มิตสึ...นามสกุลเก่าคือมิซึฮาระ สินะ?”
อายูมุเบิกตาโตตกใจอีกครั้งด้วยเหตุผลที่ต่างออกไป
“ท่านรู้จักแม่ของผมด้วยเหรอครับ?”
“...เขาเป็นแม่แบบไหนหรือ?”
เป็นคำถามที่คาดไม่ถึง สายตาของคุณมิตสึฮิสะสงบนิ่งก็จริง แต่ดูมีความอยากรู้อยากเห็นแฝงอยู่
เมื่อครู่มาซามุเนะก็ถามชื่อพ่อกับแม่ของอายูมุเช่นกัน อายูมุตกตะลึงที่เจอแต่คำถามแปลกประหลาด นี่มันหมายความว่าอย่างไร
“แม่เธอใจดีไหม?”
อีกฝ่ายถามซ้ำ “ครับ” อายูมุพยักหน้าตอบ
“แม่ผมทำงานเป็นครูเนิร์สเซอรี...ทั้งที่น่าจะยุ่งมากๆ แต่ก็ให้ความสำคัญผม มีเวลาให้ผมเสมอ อย่างเวลาผมทำอาหารพลาด แม้ปากบอกว่ารสชาติแย่ ไม่อร่อย แต่แม่ก็กินจนหมดเกลี้ยงไม่เคยเหลือเลยสักครั้ง...”
พอเริ่มพูด ความทรงจำเกี่ยวกับแม่ก็ย้อนกลับมาดุจคลื่นซัดกระหน่ำ
“สามปีก่อนแม่ผมจากไปกะทันหันเพราะหลอดเลือดในสมองแตก ทั้งที่ก่อนหน้านั้นยังดูแข็งแรงมากๆ และแทบไม่เคยเป็นหวัดเลย แม่เป็นคนร่าเริง ชอบดาราเกาหลี แม่พูดอยู่เสมอว่าไว้เกษียณเมื่อไร จะตามไปดูคอนเสิร์ตถึงประเทศเขา...แม่เป็นคนยิ้มเก่ง กินเก่ง...ตั้งใจฟังเรื่องที่ผมเล่าเสมอ...เป็นแม่ที่ดีมากๆ ครับ”
ข้างในจมูกเริ่มแสบ เสียงเริ่มสั่นเครือ
“...ขอโทษด้วยครับ ผมพูดมากเกินไป”
อายูมุพยายามควบคุมอารมณ์ตัวเองและกล่าวขอโทษ คุณมิตสึฮิสะค่อยๆ ส่ายศีรษะราวกับจะบอกว่า ‘ไม่เป็นไร’ ดวงตาของเขาก็ชุ่มชื้นขึ้นเล็กน้อยเช่นกัน
“เป็นแม่ที่ดีมากสินะ?”
“ครับ!”
“...แล้วแม่เธอ...มีความสุขไหม?”
เป็นคำถามชวนให้ฉงน อายูมุครุ่นคิดครู่หนึ่งก่อนพยักหน้าตอบ
“ครับ ที่จริงผมก็ไม่เคยถามแม่หรอกว่ามีความสุขหรือเปล่า...ตอนพ่อจากไป แม่ร้องไห้หนักมาก...ร้องไห้ไม่หยุดจนนึกว่าดวงตาจะละลายไปเสียแล้ว...แต่ผมคิดว่าแม่มีความสุขครับ แม่รักพ่อกับผมมากๆ...แถมยังมีเพื่อนเยอะ...”
ไม่ได้ ขืนเล่ามากกว่านี้มีหวังได้ร้องไห้แน่
อายูมุก้มหน้าลงและสูดหายใจเข้าลึกๆ ที่นี่เป็นที่ทำงาน จะแสดงกิริยาไม่น่าดูไม่ได้
“งั้นหรือ...แม่เธอ มีความสุขสินะ...”
เสียงพึมพำฟังดูมีความสุข ทว่าความเหงากลับอยู่เหนือกว่า
“เอ่อ ไม่ทราบว่าท่านกับแม่ของผม...”
ทำไมเจ้าของเครือบริษัทยักษ์ใหญ่ถึงอยากรู้เรื่องแม่ของตนด้วย อายูมุอยากรู้เหตุผล ทว่าจังหวะนั้นเอง “อะแฮ่ม!” ทาจิบานะที่อยู่ข้างๆ จงใจส่งเสียงกระแอมขัดจังหวะ สายตาจดจ้องอายูมุเขม็ง หมอก็เข้ามาขัดจังหวะเช่นกัน
“ท่านมิตสึฮิสะ ออกซิเจนในเลือดกำลังตกแล้วครับ...”
หมอกล่าวขณะสวมหน้ากากออกซิเจนที่คุณมิตสึฮิสะถอดออกกลับไปครอบปากเหมือนเดิม
“ถ้าอย่างนั้น นายท่านใหญ่ครับ พวกเราขอตัวก่อน หากมีอะไรสามารถเรียกพวกผมได้ตลอดครับ”
ทาจิบานะโค้งคำนับอย่างสุภาพ อายูมุก็ก้มศีรษะอยู่ข้างๆ เช่นกัน จำต้องปล่อยให้ความสงสัยหมุนวนอยู่ในอกเช่นนั้น
นี่มันเรื่องอะไรกัน อายูมุเดินออกมานอกประตูพร้อมความรู้สึกคับข้องใจ
“ไม่ว่าเคยเกิดอะไรขึ้นระหว่างนายท่านใหญ่กับแม่ของเธอ นั่นก็ไม่เกี่ยวอะไรกับการที่เธอทำงานเป็นบัตเลอร์ฝึกหัดที่นี่ อย่าทึกทักเอาเอง ช่วยรู้จักประมาณตนและตั้งใจทำงานให้เต็มที่ด้วย”
ทาจิบานะตอกย้ำน้ำเสียงแข็งกร้าว
“เอ๋ หมายความว่าทาจิบานะซังก็รู้อะไรเหรอครับ? แม่ของผมกับตระกูลนี้เกี่ยวข้อง...”
“จะไปเกี่ยวข้องกันได้อย่างไร!”
ทาจินาบะปฏิเสธเด็ดขาด ไม่สิ เมื่อกี้ยังพูดอยู่เลยว่า “ไม่ว่าเคยเกิดอะไรขึ้นระหว่างนายท่านใหญ่กับแม่ของเธอ” อายูมุอยากโต้กลับใจจะขาด แต่บรรยากาศไม่ค่อยเป็นใจนัก
“เอาเป็นว่าสำนึกบุญคุณซะที่เขาให้โอกาสเธอได้มาทำงานในคฤหาสน์หลังนี้ ตั้งใจทำงานให้เต็มที่ก็พอ!”
เรื่องสำนึกบุญคุณน่ะ ตนสำนึกมากๆ อยู่แล้ว
“ครับ...”
อายูมุไม่มีแรงต่อล้อต่อเถียง ได้แต่พยักหน้ารับอย่างเงียบๆ




+++++++++++++++++++++++++++++++++++++++
อายูมุเริ่มทำงานบริษัทครั้งแรกในชีวิต แต่ไม่รู้ทำไมในวันปฐมนิเทศพนักงานใหม่กลับได้รับคำสั่งย้ายให้ไปเป็นบัตเลอร์ฝึกหัดในคฤหาสน์ของประธานกรุ๊ป อายูมุมุ่งหน้าไปยังคฤหาสน์ด้วยความรู้สึกสับสนและได้พบกับมาซามุเนะ นักธุรกิจและลูกชายคนรองของท่านประธาน มาซามุเนะเป็นชายที่เป็นผู้ใหญ่ตรงข้ามกับอายูมุทุกอย่าง อายูมุจึงแอบปลื้มมานานแล้ว แม้ต้องทำงานเป็นบัตเลอร์ที่ไม่คุ้นเคย แต่ก็ถือเป็นโอกาสให้ได้ใกล้ชิดกันมากขึ้น แต่แล้วความสัมพันธ์ของคนรุ่นพ่อแม่กลับทำให้อายูมุถูกลากเข้าไปพัวพันกับปัญหามรดกของประธานกรุ๊ป ทั้งยังเกิดคดีฆาตกรรมขึ้นในคฤหาสน์อีก หลังอายูมุตกเป็นผู้ต้องสงสัย เหตุการณ์มหัศจรรย์ก็เกิดขึ้น!?

นายท่านที่แอบปลื้มมานาน x บัตเลอร์มือใหม่ กับเรื่องราวโรแมนติกคอเมดีแนวสืบสวนสอบสวน


รูปภาพ

ตอบกลับโพส

ย้อนกลับไปยัง “Bongkoch Books News & Activities”