New Release BLY แปล : ท่านสามีคนสำคัญของโซระ

อัพเดทข่าวบงกชบุ๊คส์ ความเคลื่อนไหว และกิจกรรมพิเศษ ตลอดจนร่วมสนุกชิงรางวัลพร้อมของรางวัลมากมาย

Moderator: P'Bly, Gals, พี่บี

ตอบกลับโพส
Gals
โพสต์: 1072
ลงทะเบียนเมื่อ: ศุกร์ 13 ก.พ. 2009 3:47 pm

New Release BLY แปล : ท่านสามีคนสำคัญของโซระ

โพสต์ โดย Gals »

ท่านสามีคนสำคัญของโซระ


เสียงนกร้องดังแว่วมาจากบนฟ้าไกล
จิ๊บจิ๊บ วี้ดวี้ด กรู๊กรู๊ จิ๊บจิ๊บ...
วันนี้นกตัวนั้นก็ร้องเพลงอยู่บนยอดไม้สูงสุดในป่าลึกเช่นเคย
นกแสนสวยปีกสีน้ำเงินสดใส สุเตะชอบเสียงร้องเพลงที่งดงามเฉกเช่นรูปลักษณ์ของมันมาก
ทุกเช้ายามสุเตะเข้าป่า นกน้อยจะขับขานเสียงเพลงอันไพเราะให้ฟังราวกับรอคอยอยู่ บางครั้งมันก็ลงมาเกาะบนไหล่หรือศีรษะ หรือไม่ก็ช่วยนำทางเวลาสุเตะเข้าไปในภูเขา
ในวันที่งานไม่เสร็จจนโดนซ้อมอย่างรุนแรง หรือวันที่โดนไล่ตะเพิดออกจากโรงม้าว่า ‘วันนี้ห้ามมาให้เห็นหน้าอีก’ จนไม่รู้จะทำอย่างไร นกตัวนั้นจะคอยร้องเพลงปลอบโยนสุเตะทุกครั้งไป
สุเตะยื่นมือแตะม่านไม้ไผ่ในเกี้ยวมืดสลัว ค่อยๆ ชะเง้อมองข้างนอกเพราะคิดว่านกตัวนั้นมาส่งตนที่กำลังจะจากบ้านเกิดไปในวันนี้
“...ท่านหญิง โผล่หน้าออกมาไม่ได้นะขอรับ”
คนคุ้มกันที่เดินอยู่ข้างๆ เอ่ยกับสุเตะที่โผล่หน้าออกไปนอกเกี้ยว สุเตะยังไม่ชินกับการโดนเรียกว่าท่านหญิง แต่ชายหน้าตาน่ากลัวคนนั้นก็เรียกสุเตะอย่างนั้น แถมยังดุด้วยเสียงน่ากลัวอีกต่างหาก
“ไม่รู้มีใครมองดูอยู่ที่ไหนบ้าง นั่งอย่างสงบเสงี่ยมเถอะขอรับ”
พอโดนตำหนิเสียงเข้มงวด สุเตะจึงลดม่านไม้ไผ่ลงอย่างผิดหวัง
คนหามเกี้ยวของสุเตะล้วนเป็นคนแปลกหน้าที่โดนจ้างมา แม้จะถือเป็นคนคุ้มกัน แต่ความจริงแล้วก็เหมือนมาจับตาดูเพื่อไม่ให้สุเตะหนีไป ตัวสุเตะเองนั้นไม่แม้แต่จะคิดฝันเรื่องหลบหนี ถึงกระนั้นคนรอบข้างก็ยังทำหน้าเคร่งเครียด ห้อมล้อมเกี้ยวอย่างเกินความจำเป็นพลางเดินหน้าไปโดยไม่พูดไม่จา
สุเตะเก็บตัวอยู่ในเกี้ยวอย่างสงบเสงี่ยมตามคำบอก เอ่ยคำลากับบ้านเกิดของตนในใจขณะโดนแบกไปเงียบๆ เขาอยากเห็นนกแสนสวยตัวนั้นเป็นครั้งสุดท้าย แต่ดูเหมือนว่าจะต้องผิดหวัง
วันนี้สุเตะจะไปจากหมู่บ้านอิคุบิ บ้านเกิดที่เขาเติบโตมาตลอดสิบหกปี และคงจะไม่มีวันหวนกลับมาที่นี่อีก
ภายในเกี้ยวอันมืดสลัวสุเตะเหลียวมองไปด้านหลัง นึกภาพทิวทัศน์ไร่นาอันสงบสุขที่แผ่กว้างอยู่อีกฟากของแผ่นไม้ เขาเพ่งมองราวกับจะประทับภาพนั้นลงในดวงจิต
นกร้องจิ๊บๆ อยู่ไกลๆ
ดินแดนแถบนี้อบอุ่น อากาศแจ่มใสเป็นนิจ ผืนดินอุดมสมบูรณ์ พืชพรรณตามธรรมชาติจึงเติบโตเร็ว ผลัดกันออกผลดกเต็มกิ่งทุกฤดู เพราะเหตุนั้นสุเตะจึงไม่เคยอดอยากต่อให้ไม่มีข้าวกินหลายวัน ไม่เคยหนาวเหน็บแม้ในคืนที่โดนไล่ออกจากโรงม้า สาเหตุที่สุเตะอยู่รอดมาได้ด้วยดีถึงทุกวันนี้เป็นเพราะความอ่อนโยนของธรรมชาติในหมู่บ้านอิคุบิแท้ๆ
เกี้ยวที่สุเตะนั่งเคลื่อนไปตามทางช้าๆ เสียงนกน้อยที่มาส่งยังคงดังแว่วมา แต่ก็ค่อยๆ ห่างออกไปเรื่อยๆ
ดินแดนที่ตนกำลังมุ่งหน้าไปเป็นสถานที่เช่นไรหนอ สุเตะฟังเสียงนกเคลื่อนห่างออกไปพลางครุ่นคิดถึงแคว้นฮายาเสะอุระที่ตนกำลังโดนพาตัวไป
ได้ยินว่าแคว้นนั้นอยู่ห่างไกล ต้องข้ามภูเขาไปหลายลูก มีหิมะตกมาก ใช้เวลาเดินทางสิบกว่าวันจึงจะถึง สุเตะไม่เคยออกจากบ้านเกิด คนรอบข้างก็ไม่เคยมีใครไปที่นั่น เขาเลยไม่รู้รายละเอียดใดๆ ทั้งสิ้น
สุเตะกำลังจะไปแต่งงานที่แคว้นฮายาเสะอุระนั่น
เขาโดนหามเกี้ยวอยู่อย่างนี้ก็เพื่อไปเป็นภรรยาของ ‘มิคุโมะ ทาคาโทระ’ บุตรชายของผู้ครองแคว้นฮายาเสะอุระ
สุเตะนั่งทับส้นเท้าอยู่ในเกี้ยวอันอึดอัดคับแคบพลางลดสายตามองมือตนเอง พอดูให้ดีแล้ว มือที่ลงแป้งขาวนั้นตะปุ่มตะป่ำหยาบกร้านไม่น้อย ปลายนิ้วมีรอยบาด นอกจากนั้นยังมีรอยแผลเล็กๆ อีกนับไม่ถ้วน
นี่คือมือที่จูงม้า เลี้ยงวัว พรวนดิน และขุดพืชผลอยู่เสมอ ต่อให้จับสวมกิโมโนหรูหราอย่างที่ไม่เคยสวมมาก่อนและทาแป้งขาวปกปิดไปก็ใช่ว่าจะปิดบังได้ตลอดรอดฝั่ง
เขาโดนสั่งให้ถ่วงเวลา โดนสั่งให้สละตนเพื่อแคว้น โดนบอกว่า นั่นคือเหตุผลที่เจ้าเกิดมา คราวนี้เจ้าจะได้มีประโยชน์ต่อแคว้น ต่อพ่อของเจ้าคนนี้เป็นครั้งแรกเสียที
...ก็เจ้าหน้าตาเหมือนท่านหญิงมากนี่นะ
บิดาเอ่ยอย่างนั้นหลังเรียกสุเตะไปพบหน้าครั้งแรกที่คฤหาสน์ เขาพิศดูหน้าสุเตะเสร็จก็หรี่ตา บอกกลั้วหัวเราะว่า “ช่างเหมือนกับแม่ที่เจ้าฆ่าไปไม่มีผิดเพี้ยน”
ร่างกายที่ขาดสารอาหารเจริญเติบโตไม่สมวัย ดูไม่เหมือนชายวัยสิบหกเอาเสียเลย ถึงกระนั้นเมื่อผิวที่สกปรกเพราะงานในไร่นาโดนขัดถูอย่างบรรจงและแต่งแต้มเครื่องสำอางแล้ว สุเตะก็ดูมีอายุคลุมเครือ แยกไม่ออกว่าเป็นชายหรือหญิง บิดาจึงดีใจว่า แบบนี้ไม่มีใครดูออกในทันทีแน่
ดวงตาเหนือแก้มซูบตอบเบิกกว้างด้วยความตกใจ ริมฝีปากอวบอิ่มทาด้วยชาดซึ่งช่วยขับเน้นความไร้เดียงสา เรือนผมยาวที่ได้รับการบำรุงด้วยน้ำมัน บัดนี้ปล่อยสยายเหมือนอิสตรี
ผู้คนที่ฮายาเสะอุระจะคิดอย่างไรเมื่อเห็นรูปลักษณ์นี้ของสุเตะ คนชื่อมิคุโมะ ทาคาโทระที่ตนแต่งงานด้วยจะทำเช่นไรหนอ
ยุคสมัยนี้มีแคว้นน้อยใหญ่มากมาย มีการต่อสู้ไม่ขาดสาย บ้างแย่งชิงดินแดน บ้างสู้ตายเพื่อปกป้องดินแดนของตน
สุเตะถือกำเนิดในฐานะบุตรของผู้ครองแคว้นเล็กๆ อย่างแคว้น ‘อิคุบิ’
ได้ยินว่าหลังจากพี่สาวฝาแฝดส่งเสียงร้องแรกเกิดแล้ว ผ่านมาอีกหนึ่งวันเต็มสุเตะก็ยังไม่ออกมาดูโลก เขารั้งรออยู่ในท้อง สร้างความเจ็บปวดทรมานให้มารดาอยู่นานกว่าจะส่งเสียงร้องแรกเกิดในที่สุด ฝ่ายมารดาที่หมดแรงกายไปกับการคลอดสุเตะก็สิ้นลมหายใจไปไม่นานหลังจากนั้น
ลำพังแค่เป็นฝาแฝดก็ถูกมองว่าเป็นลางร้ายพออยู่แล้ว สุเตะยังจะพรากชีวิตมารดาไปอีก เขากลายเป็นเด็กกาลกิณีที่เกือบถูกกำจัดในทันที แต่สุดท้ายก็รอดมาได้เพราะมารดาผู้ให้กำเนิดสุเตะปฏิเสธให้ทำเช่นนั้นจนกระทั่งลมหายใจสุดท้าย สามีภรรยาคนเลี้ยงม้าที่ช่วยเลี้ยงดูสุเตะเล่าให้ฟังว่าอย่างนั้น
สุเตะโชคดี
ตอนที่เริ่มจำความได้ เขาก็ตื่นนอนที่โรงม้าด้านนอกคฤหาสน์เป็นประจำแล้ว
สามีภรรยาคนเลี้ยงม้าบอกว่า บิดาของเขาคงทรมานใจเกินกว่าจะทนเห็นเด็กทารกที่พรากชีวิตภรรยาสุดที่รักไปค่อยๆ เติบโตขึ้นทุกวันได้
สุเตะจำไม่ได้เลยว่าตนเริ่มใช้ชีวิตที่โรงม้าตั้งแต่เมื่อไร รู้ตัวอีกทีก็อาศัยอยู่ที่โรงม้า ช่วยเหลืองานของคนเลี้ยงม้าและขอแบ่งปันอาหารจากพวกเขา
“เห็นว่าเป็นลูกท่านผู้ครองแคว้นเลยช่วยดูแลเผื่อว่าจะได้เจออะไรดีๆ บ้าง สุดท้ายก็ต้องผิดหวังจนได้” สามีภรรยาคนเลี้ยงม้าเคยบอก ทำให้สุเตะรู้สึกผิด แต่ในเมื่อเก็บมาเลี้ยงแล้ว ขืนทิ้งขว้างให้ไปตายข้างทางเดี๋ยวจะฝันร้ายเสียเปล่าๆ ทั้งสองจึงไม่เคยไล่ตะเพิดสุเตะออกไป
เขาได้รับการสั่งสอนว่า แค่มีชีวิตอยู่ก็เป็นเรื่องน่าขอบคุณแล้ว
ผู้ครองแคว้นอิคุบิไม่ตำหนิสุเตะที่ใช้ชีวิตในโรงม้า ไม่เคยแม้แต่เข้ามาข้องแวะด้วยซ้ำ ไม่มีใครหน้าไหนกล้าเข้าใกล้เด็กกาลกิณีที่คร่าชีวิตภรรยาของผู้ครองแคว้น
สุเตะโดนเลี่ยงแม้แต่ที่หมู่บ้าน เขาไม่เคยโดนข่มเหงรังแก แต่ก็ไม่มีใครคุยด้วยอย่างมีไมตรี ความเป็นอยู่เช่นนั้นทำให้เขาเรียนรู้ภาษาได้ล่าช้า แม้ชีวิตที่ไม่ข้องเกี่ยวกับใครจะทำให้รู้สึกเหงา แต่ธรรมชาติในบ้านเกิดก็ใจดีกับสุเตะ
ยามที่ร่างกายเหนื่อยล้าเพราะงานหนัก เหล่านกน้อยจะช่วยปลอบโยนด้วยเสียงร้องเสนาะหู หรือในยามที่ขาดแคลนอาหาร ภูเขาและแม่น้ำก็มีของกินให้เก็บมากมาย นอกจากนั้นสายลมและหมู่เมฆยังช่วยบอกความแปรปรวนของอากาศ ช่วยให้เขาพ้นภัยมาหลายครั้งหลายครา
เขามีชีวิตเรื่อยมาโดยได้รับการปกป้องและปลอบประโลมจากธรรมชาติ
บัดนี้เขาโดนเรียกขานว่า ‘ท่านหญิง’ และกำลังนั่งขดตัวอยู่ในเกี้ยวส่งตัวเจ้าสาว
สุเตะทอดสายตามองหลังมือขาวผิดธรรมชาติของตนพลางหวนนึกถึงคราวแรกพบหน้าบิดา
วันหนึ่งปลายฤดูใบไม้ผลิที่สุเตะเพิ่งอายุสิบหกหมาดๆ ขณะทำงานอยู่ในทุ่งนาสุเตะโดนคนเลี้ยงม้าเรียก ก่อนจะได้ไปเยือนคฤหาสน์ของผู้ครองแคว้นเป็นครั้งแรกนับตั้งแต่เกิด
การโดนเรียกตัวไปคฤหาสน์ทำให้สุเตะเกิดความคาดหวังเล็กๆ
เขาเข้าใจความโศกเศร้าและความชิงชังของบิดาที่สูญเสียภรรยาไปเพราะตน สุเตะรู้สึกผิดอย่างมาก ทั้งยังซาบซึ้งใจที่บิดายอมให้อาศัยอยู่ในหมู่บ้านโดยไม่สังหารตนทิ้ง เขานึกว่าความรู้สึกนั้นของตนสื่อไปถึง นึกว่าความเศร้าและความชังของบิดาคลายลงแล้วหลังผ่านมาสิบหกปี
ทว่าความคาดหวังบางเบานั้นกลับเหี่ยวเฉาทันทีที่พบหน้าบิดา แววตาของบิดาที่จ้องมองสุเตะไม่มีวี่แววความรักและความเมตตาแม้แต่เศษเสี้ยว บิดาปรากฏกายเบื้องหน้าสุเตะในฐานะ ‘ท่านเจ้าบ้าน’ ผู้ปกครองแคว้นอิคุบิแห่งนี้ หาใช่ในฐานะบิดาไม่
“จากวันนั้นผ่านมาสิบหกปีแล้วรึ ยังอุตส่าห์เติบโตมาได้นะ”
นั่นคือคำพูดแรกที่บิดาโยนใส่สุเตะ เมื่อสุเตะก้มศีรษะอย่างกริ่งเกรง บิดาก็จ้องเขม็งก่อนจะเอ่ยว่า อืม พร้อมกับพยักหน้าหนึ่งที
“ครึ่งเดือนข้างหน้าเจ้าจะออกจากแคว้นไปเป็นเจ้าสาว จงเตรียมตัวซะ”
ถ้อยคำไม่คาดฝันนั้นทำให้สุเตะเงยหน้าอย่างไม่เข้าใจความหมาย พอแหงนมองเป็นเชิงถาม บิดาก็จ้องตอบด้วยแววตาไร้ความอบอุ่นตามเคย
“โออุจิงาวะ แคว้นเพื่อนบ้านที่เป็นผู้คุ้มครองแคว้นของเราทำสัญญาเป็นพันธมิตรกับฮายาเสะอุระ เป็นแค่แคว้นเล็กที่เป่าเบาๆ ก็ปลิวแท้ๆ ฮายาเสะอุระยังมีหน้ามาบอกให้ส่งตัวประกันไปเป็นเครื่องหมายแสดงความเป็นพันธมิตรอีก”
สุเตะฟังคำบิดาโดยไม่ปริปาก บิดาผุดยิ้มเย็นชาใส่
“พวกมันบอกให้ส่งลูกคนเล็กของแคว้นเราไปให้”
ว่าแล้วบิดาก็แสยะยิ้มอวดแนวฟัน ก่อนจะเอ่ยอย่างรังเกียจว่า “จองหองสิ้นดี”
อุเมะโนะฮิเมะ ท่านหญิงคนสุดท้องผู้เป็นพี่สาวฝาแฝดของสุเตะและเป็นของดูต่างหน้าของมารดานั้นขึ้นชื่อว่ารูปโฉมงดงามยิ่ง แคว้นเล็กเกิดใหม่อย่างฮายาเสะอุระที่ได้ยินเสียงเลื่องลือจึงออกปากว่าอยากรับไปเป็นเจ้าสาวเพื่อเป็นเครื่องหมายของพันธมิตร ถึงจะเป็นแคว้นเล็กแต่ก็มีพลังอำนาจโดดเด่น ทางโออุจิงาวะที่เป็นผู้คุ้มครองจึงจำต้องยอมรับและสั่งให้ทางนี้ส่งตัวท่านหญิงไป
“อุเมะโนะฮิเมะน่ะกำหนดคู่แต่งงานไว้แล้ว ข้าจะยกท่านหญิงของเราให้แคว้นเกิดใหม่ไม่รู้หัวนอนปลายเท้าได้อย่างไรกัน แต่ถึงอย่างนั้นก็จะขัดคำสั่งผู้คุ้มครองไม่ได้ หลังจากตรองอยู่นานข้าก็นึกได้ว่า จริงสิ หลังจากท่านหญิงเกิดแล้วยังมีเด็กทารกอยู่อีกคนหนึ่ง ข้าทอดทิ้งไปแล้วแท้ๆ แต่ไม่รู้ทำไมถึงยังมีชีวิตอยู่”
บิดาหัวเราะพลางเข้ามาใกล้ ชะโงกมองหน้าสุเตะ
“เพราะฉะนั้นเจ้าจงไปแทนท่านหญิงซะ”
“...ไปแทนท่านหญิง ข้านะหรือขอรับ...?”
สุเตะทวนคำ แต่บิดากลับปรบมือเรียกคนเข้ามาโดยไม่แยแสคำถามของบุตรชาย
“พาเจ้านี่ไป อ้อ จะว่าไปแล้ว เจ้า...”
บิดาเอ่ยกับคนรับใช้ที่เข้ามาหา ก่อนจะหยุดชะงักไปกลางคันแล้วหันมาหาสุเตะ เพ่งมองอย่างใช้ความคิดครู่หนึ่ง จากนั้นก็ผุดยิ้ม “ช่างเถอะ” บิดาเอ่ยพึมพำ
“เด็กกาลกิณีไม่จำเป็นต้องมีชื่อ ถึงอย่างไรก็เป็นระยะเวลาสั้นๆ จนกว่าจะไปถึงที่นั่นเท่านั้น ใครจะเรียกว่าสุเอะ สุเตะ หรืออะไรก็ช่าง”
พูดจบก็หันไปออกคำสั่งกับคนรับใช้
“จัดแจงให้สารรูปเจ้านี่พอดูได้ภายในวันออกเดินทางซะ”
“เอ่อ...ท่านเจ้าบ้าน ข้า...”
“ถึงจะผอมแห้ง แต่ขัดสีฉวีวรรณแล้วน่าจะดูดีกว่าตอนนี้อยู่บ้าง ก็เจ้าหน้าตาเหมือนท่านหญิงมากนี่นะ”
ว่าแล้วก็หรี่ตา “ช่างเหมือนกับแม่...ที่เจ้าฆ่าไปไม่มีผิดเพี้ยนจริงๆ” บิดาเอ่ย
“พาตัวมันไปแล้วรีบเตรียมการซะ”
พูดอยู่ฝ่ายเดียวเสร็จแล้วบิดาก็ทำท่าจะออกไป สุเตะจึงรีบไล่ตาม
“ท่านเจ้าบ้าน รอก่อนขอรับ ถึงจะบอกให้ไปเป็นเจ้าสาวก็เถอะ ข้าควรทำอย่างไร...ข้าเป็นผู้ชายนะขอรับ”
“ทางนั้นบอกให้ส่ง ‘คนสุดท้อง’ ไป จะเป็นหญิงหรือชายไม่เห็นเกี่ยว คนสุดท้องคือเจ้ามิใช่หรือไร”
“เรื่องนั้น...”
คิดจะฝืนกลบเกลื่อน หลอกลวงทางนั้นหรือไรนะ ทำอย่างนั้นไปสถานะของอิคุบิไม่ยิ่งย่ำแย่ลงหรือ แต่บิดาของเขากลับดูไม่ยี่หระเลย
“ฮายาเสะอุระไม่น่ากลัวหรอก ทางเราจะสละหนทางง่ายๆ อย่างการเป็นพันธมิตร แล้วขยี้ฮายาเสะอุระให้พินาศไปก็ยังได้ ไม่คิดรึว่าหากเรื่องนี้กลายเป็นชนวนก็คงดี?”
บิดาส่งสายตาอำมหิตมาทางสุเตะที่ตะลึงจนพูดไม่ออก
“เจ้าฉีกท้องเมียข้าออกมา ขนาดทิ้งขว้างไปแล้วยังเติบใหญ่ขึ้นตามใจชอบ ดังนั้นเจ้าน่ะไม่ธรรมดา ในเมื่อมีพลังชีวิตเข้มแข็งเสียปานนั้น หลังแต่งงานไปที่นั่นเจ้าคงเอาตัวรอดได้อยู่แล้ว หรือถ้าทางนั้นเป็นพวกชอบของแปลกก็ดีเหมือนกัน หากเจ้าบ่าวถูกใจและเอ็นดูเจ้า เจ้าก็จะได้อยู่อย่างสุขสบายใช่หรือไม่เล่า จงใช้ไหวพริบของเจ้าถ่วงเวลาให้เต็มที่เสียเถอะ”
สุเตะที่เข้าใจคำพูดของบิดาไม่ถึงครึ่งได้แต่หวั่นไหว เป็นไปไม่ได้ที่ผู้ชายอย่างตนจะไปเป็นเจ้าสาวแทนท่านหญิง คำว่าชอบของแปลกหรือเอ็นดูนั่นก็ไม่เห็นเข้าใจความหมายเลยสักนิด
หากไปแต่งงานแทนท่านหญิงแล้วเกิดความแตกว่าเป็นชายขึ้นมา เขามิโดนฆ่าตายในทันทีหรือ
แต่บิดาก็ยังสั่งให้สุเตะทำเรื่องเหลวไหลพรรค์นั้น
“...เจ้าเกิดมาเพื่ออะไร?”
เสียงทุ้มต่ำเรียกให้สะดุ้งเงยหน้า บิดากำลังมองลงมา
“เจ้าควรจะโดนกำจัดทันทีที่เกิดมา ใครกันเล่าที่ไว้ชีวิตเจ้า? ข้าปล่อยให้เจ้ามีชีวิตมาจนถึงตอนนี้ นี่เป็นโอกาสที่เจ้าจะได้ชดใช้บาปที่เกิดมาไม่ใช่หรือไร?”
บิดาจ้องมองสุเตะที่พูดคำใดไม่ออก จากนั้นมุมปากก็ผุดยิ้ม
“จงแต่งงานเข้าฮายาเสะอุระ ไม่ว่าจะโดนพูดอะไร โดนปฏิบัติอย่างไร เจ้าก็ต้องเชื่อฟัง จงสละตนเพื่ออิคุบิแห่งนี้ เพื่อพ่อของเจ้า”
“เพื่อ พ่อ...?”
สุเตะพึมพำอย่างเลื่อนลอย บิดาแสยะยิ้ม พยักหน้ารับว่า “ถูกต้อง”
“ถึงเวลาที่ชีวิตเจ้าจะเป็นประโยชน์แล้ว เจ้าเองก็ปรารถนาอย่างนั้นใช่หรือไม่ล่ะ? หากทำเช่นนั้นแล้วข้าอาจยินดีที่เจ้าเกิดมาสักเล็กน้อยก็ได้”
หมดธุระเสียที บิดาเอ่ยก่อนจะจากไป หลังจากนั้นสุเตะก็โดนคนรับใช้รุมล้อมจนได้แต่ปล่อยตัวไปตามสถานการณ์
เขาโดนเร่งให้เตรียมเนื้อเตรียมตัว ระหว่างที่โดนพาตัวไปคำกล่าวทิ้งท้ายของบิดาวนซ้ำอยู่ในหัวไม่รู้กี่ครั้ง
บิดาถามเขาว่า เกิดมาเพื่ออะไร
ที่ผ่านมาสุเตะไม่เคยคิดถึงความหมายที่ตนเกิดมาเลยสักครั้ง วันๆ เขาเพียงแต่เข้านอน ตื่นนอน คิดแต่เรื่องงานกับอาหารของวันนั้นเท่านั้นเอง
ยามเช้าเขาสวดภาวนาขอให้วันนี้ผ่านไปได้ด้วยดี ยามค่ำเขาขอบคุณที่ผ่านพ้นวันมาได้ด้วยดีแล้วจึงเข้านอน สิ่งประโลมใจมีเพียงเสียงนกและผองสัตว์ที่ยอมเล่นด้วย เขาไม่เคยแม้แต่จะคิดว่าอยากมีประโยชน์ต่อใครสักคน
ขณะโดนหามไปในเกี้ยวอันคับแคบ สุเตะจ้องมองมือขาวผ่องของตนก่อนจะกำมือแน่น
บิดาบอกว่าจะดีใจหากสุเตะแต่งงานเข้าฮายาเสะอุระ บอกว่าเป็นโอกาสไถ่บาปของตน บอกว่าให้ทำตนเป็นประโยชน์เพื่อแคว้น เพื่อบิดา
นกส่งเสียงร้องจิ๊บๆ วี้ดๆ จากที่สูงขึ้นไปไกลลิบ เสียงร้องเพลงอันไพเราะก้องกังวานคล้ายกำลังบอกลาสุเตะ
แคว้นฮายาเสะอุระจะมีนกสีน้ำเงินนั่นหรือไม่ ถ้าไม่ได้ฟังเสียงร้องเพลงนั่นอีกคงเหงาแย่ สุเตะคิดอย่างใจลอยพลางฟังเสียงขับขานที่แว่วอยู่แสนไกล

ขบวนส่งตัวเจ้าสาวที่ออกจากบ้านเกิดมุ่งสู่ฮายาเสะอุระเดินทางมาเจ็ดวันแล้ว
พวกเขาเดินหน้าทีละน้อยพลางแวะค้างแรมตามที่พักหรือวัดระหว่างทาง สายตาที่คอยเฝ้ายามไม่ให้สุเตะหนีนั้นเข้มงวดมาก ถึงกระนั้นจำนวนคนที่ติดตามมาในฐานะคนคุ้มกันกลับน้อยลงเรื่อยๆ
เดิมทีคนพวกนี้ก็แค่โดนจ้างมาด้วยเงิน ไม่มีส่วนเกี่ยวข้องอะไรอยู่แล้ว ถึงจะโดนจ้างด้วยเงินก้อนโตให้แบกหามสุเตะอย่างนี้ การเดินทางอันยาวนานก็ยังทำให้คนทยอยหายหน้าไปเหมือนฟันหลุดร่วง
บางครั้งสุเตะได้ยินเสียงปรึกษาหารือว่าจะเผ่นหนีไปตอนไหนดี หากส่งตัวสุเตะให้ฮายาเสะอุระและกลับไปที่อิคุบิ คนพวกนั้นจะได้รับเงินก้อนโตอีกก้อนเป็นการตอบแทนที่ทำงานส่งตัวสุเตะสำเร็จลุล่วง...ทว่าทุกคนคงหวาดกลัวว่าพริบตาที่ส่งตัวเสร็จจะเกิดอะไรขึ้นกันแน่ ยิ่งติดตามอยู่นานเงินจะยิ่งเพิ่ม แต่ขณะเดียวกันความเสี่ยงถึงชีวิตก็สูงขึ้นด้วย
เมื่อขบวนที่คนสิบกว่าคนหามเกี้ยวเดินผ่านเมืองอย่างใหญ่โต ผู้คนก็มากลุ้มรุมดูขบวนส่งตัวเจ้าสาว สุเตะที่โดนฝูงชนรุมล้อมและจ้องมองเหมือนเป็นของหายากได้แต่ทำตัวเล็กลีบอยู่ในเกี้ยว
แม้จะโดนจับสวมอาภรณ์หรูหราและแต่งแต้มเครื่องสำอาง สุเตะก็เป็นชายอยู่วันยังค่ำ ยังไปไม่ถึงฮายาเสะอุระเลยแท้ๆ จะมีใครดูออกก่อนหรือไม่นะ สุเตะร้อนๆ หนาวๆ อยู่ในใจ เขาไม่คุ้นเคยกับการเป็นจุดสนใจของผู้คน
กลั้นหายใจอยู่ในเกี้ยวได้สักพักรอบข้างก็เปลี่ยนมาเงียบสนิท สงสัยคงออกจากเมืองมาถึงเส้นทางเดินเขาแล้ว ที่พักคืนนี้คือวัดที่ตั้งอยู่กลางเส้นทางข้ามภูเขา
ขณะมองดูแมกไม้ที่เห็นผ่านช่องม่านไม้ไผ่ สุเตะจินตนาการภาพทิวทัศน์ภูเขาที่แผ่กว้างอยู่เบื้องหน้า เขาสูดดมกลิ่นสายลม กลิ่นฉุนของใบหญ้าบ่งบอกถึงความลึกของป่า นอกจากนั้นยังมีกลิ่นน้ำปะปน ช่วยให้รู้ว่ามีบึงหรือทะเลสาบขนาดใหญ่อยู่ใกล้ๆ ถ้าอยู่ใกล้วัดที่จะค้างคืนนี้ก็ดีสิ ช่วงนี้พระจันทร์ใกล้เต็มดวงแล้ว สุเตะนึกภาพว่าภาพดวงจันทร์ลอยบนผิวน้ำจะงดงามเพียงใด
ที่อิคุบิจวนจะหมดฤดูใบไม้ผลิแล้ว แต่ภูเขานี้ยังหลงเหลือกลิ่นอายของฤดูหนาว สายลมแห้งผาก ท่าทางไม่น่ามีฝนตกไปอีกหลายวัน
สุเตะที่อยู่ตามลำพังมาตั้งแต่รู้ความมักจะได้กลิ่นหรือสัมผัสได้ถึงวี่แววที่คนทั่วไปไม่รับรู้ การเอาชีวิตรอดส่งผลให้เขาไวต่อปรากฏการณ์ต่างๆ ที่บังเกิดรอบกาย คล้ายกับมีสัมผัสที่หกติดตัวอย่างเป็นธรรมชาติ
ระหว่างที่เกี้ยวโดนหามไปเรื่อยๆ บรรยากาศในภูเขาก็เริ่มเปลี่ยน ยามเย็นใกล้เข้ามาแล้ว
จะได้เข้าพักที่วัดก่อนฟ้ามืดหรือไม่นะ สุเตะคิดขณะโยกไหวอยู่ในเกี้ยว ทันใดนั้นวี่แววอันดุดันก็เคลื่อนเข้ามาจากที่ไกลๆ
วี่แววนั้นเคลื่อนตัวสวนทางมาจากอีกฟากของภูเขา ใกล้เข้ามาเรื่อยๆ ดูเหมือนจะเป็นคณะใหญ่ ไม่ได้มีแค่คนแต่ยังมีกีบม้าปนอยู่ด้วย กำลังวิ่งมาทางนี้อย่างรวดเร็ว ดูเหมือนจะคุ้นเคยกับภูเขาดี
โจรภูเขาหรือไรนะ สุเตะหดตัวอยู่ในเกี้ยว หากโดนโจรภูเขาเล่นงานในที่แบบนี้เขาย่อมไม่มีทางสู้ ประเดี๋ยวคงได้สิ้นชีวิตไปก่อนเดินทางถึงฮายาเสะอุระ
เสียงพื้นดินสะเทือนใกล้เข้ามาจนกระทั่งกลายเป็นเสียงชัดเจน ตอนนั้นเองที่พวกคนหามเกี้ยวเพิ่งจะเริ่มแตกตื่น ดูเหมือนพวกเขาไม่สังเกตถึงวี่แววนั้นเลยจนกระทั่งเจ้าของเสียงโผล่มาตรงหน้า
“ขบวนจากอิคุบิมุ่งหน้าไปฮายาเสะอุระใช่หรือไม่”
คนที่วิ่งนำหน้าสุดเอ่ยขึ้น เหล่าคนหามเกี้ยวที่กำลังละล้าละลังว่าจะทิ้งเกี้ยวหนีไปดีหรือไม่พากันหยุดชะงัก
“พวกข้ามารับท่านหญิง จากตรงนี้ไปพวกข้าอยากขออนุญาตร่วมคุ้มกันด้วย ข้าจะนำทางไปที่วัด ขอบคุณสำหรับการเดินทางอันเหนื่อยยาก”
สุเตะลูบอกอย่างเบาใจอยู่ในเกี้ยว เสียงของชายหนุ่มก้องไปทั่วบริเวณอย่างสง่าผ่าเผยทั้งที่ไม่ได้จงใจเอ่ยเสียงดังเป็นพิเศษ น้ำเสียงเปี่ยมความมั่นใจนั้นทรงพลัง ช่วยมอบความสบายใจแก่ผู้ฟัง
เกี้ยวเดินหน้าอีกครั้งโดยมีคณะของฮายาเสะอุระนำทาง ม้าห้อมล้อมคนหามเกี้ยวทั้งสี่ด้าน คอยคุ้มกันขณะเดินทางเข้าไปในภูเขา
สุเตะแอบมองข้างนอกผ่านช่องม่านไม้ไผ่ ชายคนที่ส่งเสียงเมื่อครู่คงเป็นแม่ทัพจึงไปนำอยู่หัวแถว ทำให้มองไม่เห็นจากตรงนี้
หลังเดินทางราวครึ่งชั่วยามพวกเขาก็มาถึงที่พักสำหรับวันนี้ก่อนตะวันตกดินไม่นาน เมื่อช่วยกันขนสัมภาระตามที่มีคนคอยตะโกนให้สัญญาณเสร็จแล้วก็เข้าสู่การเตรียมตัวค้างแรมที่วัด
สุเตะโดนนำทางมาที่ห้องปูเสื่อทาทามิด้านในทันทีและโดนสั่งให้พำนักที่นั่น ชายที่พาสุเตะมาที่ห้องไม่ใช่แม่ทัพคนเมื่อครู่
ตอนอยู่ที่หมู่บ้านอันเป็นบ้านเกิด สุเตะเคยเห็นพวกทหารที่ออกไปรบอยู่หลายครั้ง ทว่าทั้งนักรบที่อยู่ตรงหน้าตอนนี้และคนอื่นๆ กลับดูแตกต่างกับทหารที่บ้านเกิดโดยสิ้นเชิง คนของฮายาเสะอุระไม่ว่าชายใดล้วนแล้วแต่แข็งแรงบึกบึน ห่อหุ้มด้วยบรรยากาศกร้าวแกร่ง นั่นเองคือสาเหตุที่สุเตะหลงคิดว่าพวกเขาเป็นโจรภูเขา
ถึงจะดีกว่าโดนโจรภูเขาจู่โจมมากนัก แต่การเดินทางโดยมีบุรุษผู้น่าเกรงขามห้อมล้อมก็บีบให้สุเตะตึงเครียดไปอีกแบบ
จากที่นี่ไปถึงฮายาเสะอุระจะต้องเคลื่อนไหวร่วมกับคนเหล่านี้ จะปิดบังตัวตนที่แท้จริงได้จนกว่าจะถึงปลายทางหรือไม่นะ
ต่อให้ไปถึงฮายาเสะอุระโดยสวัสดิภาพแล้ว ความตึงเครียดนี้ก็ย่อมอยู่กับสุเตะเป็นเงาตามตัว บางทีคงจะอยู่ตลอดไปจนกระทั่งเขาหมดลมหายใจ
คนดูแลยกมื้อเย็นมาให้ก่อนจะรีบออกไปเมื่อจัดโต๊ะเสร็จ นี่เป็นขบวนส่งตัวเจ้าสาวผู้เป็นถึงท่านหญิงของแคว้น ปกติแล้วการทิ้งให้ท่านหญิงกินอาหารเย็นอยู่ในห้องตามลำพังถือเป็นเรื่องผิดสามัญสำนึก แต่สุเตะที่ไม่เคยใช้ชีวิตในคฤหาสน์ย่อมไม่รู้เรื่องนี้
เขาโดนขังอยู่ในเกี้ยวตลอดทาง ไม่ได้รับอนุญาตให้เลิกม่านไม้ไผ่ขึ้นเล่นๆ เมื่อถึงที่พักแล้วทุกคนมักทำตัวห่างเหิน ท่าทางเหมือนไม่รู้จะรับมือกับสุเตะอย่างไรดี ทำให้สุเตะรู้สึกเกรงใจอยู่ทุกวัน
เวลาที่ได้อยู่ในห้องคนเดียวเช่นนี้ และเหม่อมองอาหารเย็นโดยไม่เกิดความหิวโหย คือช่วงเวลาอิสระเพียงหนึ่งเดียวสำหรับสุเตะ
พวกคนหามเกี้ยวที่มาจากอิคุบิพร้อมกับสุเตะคงล้อมวงกินอาหารเย็นกันอยู่ อาจกำลังผลัดกันรินสุราพลางปรึกษากันว่าจะหนีไปจากที่นี่เมื่อไรดีอยู่ก็ได้ คนฝ่ายอิคุบิต่างหวาดกลัวบรรดานักรบบึกบึนจากฮายาเสะอุระกันถ้วนหน้า ไม่รู้ว่าเช้าวันพรุ่งนี้จะยังเหลืออยู่สักกี่คน
วัดบนภูเขาเงียบสงัด ห้องด้านในที่สุเตะอยู่ไม่ได้ยินเสียงคนเลยแม้แต่น้อย
เขาเงี่ยหูฟังสภาพด้านนอก เมื่อแน่ใจแล้วว่าไม่มีวี่แววคนสุเตะจึงค่อยๆ เลื่อนประตูเปิดแล้วออกไปยังระเบียงทางเดินที่หันออกสู่สวน
ดวงอาทิตย์ลับฟ้าไปนานแล้ว จันทร์เกือบเต็มดวงทอแสงส่องสวน รอบข้างยังคงเงียบสงัด ได้ยินเพียงเสียงแมลงแผ่วเบา เสียงร้องที่คล้ายเสียงขัดถูก้อนหินนั้นสงบเสงี่ยมกว่าแมลงในฤดูใบไม้ร่วง ที่บ้านเกิดของสุเตะเองก็เคยได้ยินบ่อยๆ
เสียงของแมลงที่เร้นกายอยู่ตามสายธารหรือทุ่งนาเปี่ยมน้ำนั่นเอง แค่ได้ยินก็รู้ว่ามีแหล่งน้ำอยู่ใกล้ๆ นี้
ดวงจันทร์ที่แหงนมองส่องแสงสว่างไสว สุเตะนึกขึ้นได้ว่าตนอยากเห็นภาพดวงจันทร์สะท้อนบนผิวน้ำ
แหล่งน้ำน่าจะอยู่ใกล้แค่เอื้อมแท้ๆ แต่เขาคงไม่ได้รับอนุญาตให้ออกไปข้างนอก ครั้นจะแอบหลบออกไปเงียบๆ ก็เกรงว่าจะกลายเป็นเรื่องวุ่นวายใหญ่โตเพราะโดนเข้าใจผิดว่าหนีไป
“...อยากเห็นจัง น่าจะสวยแท้ๆ”
สุเตะยืนนิ่งบนทางเดิน หลุดปากพึมพำคนเดียวเสียงอ่อย แต่แล้วในจังหวะที่ตัดใจว่าช่วยไม่ได้นั้นเอง เขาก็สัมผัสได้ว่าเกิดการเคลื่อนไหวที่มุมสวน
“...มีใครอยู่หรือเจ้าคะ?”
เสียงเรียกของสุเตะทำให้อีกฝ่ายชะงักกึก ระหว่างที่สุเตะลังเลว่าควรทำอย่างไรดี หนีกลับเข้าห้องดีหรือไม่ อีกฝ่ายก็มุ่งหน้ามาทางนี้เสียก่อน ถ้าส่งเสียงจะมีใครมาหรือไม่นะ แต่บรรยากาศทรงพลังที่เคลื่อนเข้าใกล้นั้นทำให้สุเตะไม่อาจขยับเขยื้อนราวกับโดนมัดอยู่กับที่อย่างแน่นหนา
สุเตะยืนนิ่งอยู่บนเฉลียง พิศดูเงาที่มุ่งหน้ามาหา
“ข้าทำให้ท่านตกใจหรือขอรับ”
ผู้ที่ปรากฏกายจากความมืดคือแม่ทัพของฮายาเสะอุระที่ประกาศในตอนแรกว่ามารับคณะเดินทางของอิคุบินั่นเอง
ดวงจันทร์ที่อยู่เบื้องหลังทำให้มองเห็นใบหน้าไม่ถนัดนัก แต่ก็เห็นได้ชัดว่ารูปร่างใหญ่ สุเตะก้าวถอยด้วยความตกใจปนหวาดกลัว อีกฝ่ายจึงก้าวออกมาเบื้องหน้าหนึ่งก้าวแล้วหยุดชะงัก คล้ายกับอยากรั้งสุเตะไว้
สุเตะแข็งเป็นหินอยู่กับที่โดยไม่อาจส่งเสียง ฝ่ายแม่ทัพที่ประจันหน้ากันอยู่ก็กางสองแขนออกช้าๆ เหมือนพยายามพิสูจน์ว่าไม่มีเจตนาร้าย แล้วอีกฝ่ายก็หยุดนิ่งไปในท่านั้น
“ขออภัยที่ทำให้ตกใจ ได้โปรดยกโทษให้ข้าด้วย”
น้ำเสียงสง่าผ่าเผยเช่นเดียวกับที่ได้ยินในเกี้ยวเมื่อยามเย็น
สุเตะรู้จักเสียงของธรรมชาติอย่างเสียงนกหรือแมลง แต่เขาไม่เข้าใจความละเอียดซับซ้อนของมนุษย์ เมื่อมีคนสนทนาด้วยกะทันหันจึงไม่รู้ว่าควรตอบอย่างไรดี สุเตะได้แต่ยืนนิ่งอยู่กับที่ ส่วนแม่ทัพก็มีน้ำใจรออย่างอดทน
“ท่านอยากเห็นอะไรหรือ?”
“เอ๊ะ...?”
“เมื่อครู่นี้ท่านพูดว่าอยากเห็น น่าจะสวยแท้ๆ”
แม่ทัพถามเสียงนุ่มนวล
“เอ่อ...พระจันทร์”
สุเตะเค้นถ้อยคำตอบออกไปได้ในที่สุด แม่ทัพพยักหน้ารับว่า “อ้อ” ก่อนแหงนมองดวงจันทร์
“ใกล้คืนเดือนเพ็ญแล้ว พรุ่งนี้คงดวงใหญ่ขึ้นอีก”
ใบหน้าด้านข้างของแม่ทัพลอยเด่นด้วยแสงจันทร์ สง่าผ่าเผยเช่นเดียวกับน้ำเสียง มีเค้าโครงงดงามอย่างที่สุเตะไม่เคยพบเห็นมาก่อน
มุมปากอีกฝ่ายยกยิ้มจางๆ เผยให้เห็นฟันขาวที่สะท้อนแสงจันทร์อยู่รำไร จมูกโด่ง ผมยาวรวบไว้ด้วยกันที่ด้านหลัง ใบหน้าคมสันกำลังแหงนมองดวงจันทร์
“...ข้าอยากเห็นพระจันทร์สะท้อนบนผิวน้ำเจ้าค่ะ”
สุเตะที่มองใบหน้าด้านข้างอันงดงามจนเพลินเอ่ยตอบอย่างเคลิ้มฝัน แม่ทัพจึงหันหน้ามาหา
รูปโฉมด้านหน้าตรงก็งดงาม ดวงตาเรียวยาวใต้คิ้วตรงหนาจับจ้องสุเตะ ดึงดูดให้สุเตะไม่อาจถอนสายตาจากตรงนั้น
“ผิวน้ำ?”
“ใกล้ๆ นี่มีทะเลสาบหรือบึงอยู่ใช่หรือไม่เจ้าคะ? ข้าอยากเห็นสิ่งนั้นลอยบนผิวน้ำนั่น”
สุเตะพูดพลางชี้ดวงจันทร์ แม่ทัพจ้องมองเขาไม่วางตา
“ท่านรู้ได้อย่างไร มีทะเลสาบอยู่จริง แต่อยู่อีกฝั่งของภูเขา ตรงข้ามกับทางที่ท่านมา”
แม่ทัพเอียงศีรษะถามอย่างอัศจรรย์ใจ สุเตะนึกเสียใจที่เผลอพูดจาไม่ระวัง
ความสามารถพิเศษของสุเตะอย่างการอ่านปรากฏการณ์ธรรมชาตินั้นขึ้นอยู่กับสัญชาตญาณเป็นส่วนใหญ่ ทำให้ยากที่จะอธิบายเป็นคำพูด สุเตะแค่คิดเอาเองโดยไม่ค่อยเข้าใจดีนัก เขาเพียงแต่รับรู้ได้ว่ามีแหล่งน้ำขนาดใหญ่อยู่ที่นั่น
“เสียงแมลง...”
“แมลง?”
ต่อให้บอกว่ารู้เพราะแมลง อีกฝ่ายก็ไม่มีทางเข้าใจ ถึงกระนั้นสุเตะก็จนปัญญาจะอธิบายไปมากกว่านั้น เนื่องจากเขาไม่รู้จักถ้อยคำ และที่ผ่านมายังไม่เคยมีโอกาสถ่ายทอดความคิดของตนให้ผู้อื่นล่วงรู้เลย
“...ข้าเองก็ไม่เข้าใจ เพียงแต่...”
แม่ทัพรอคอยคำพูดถัดไปของสุเตะอย่างอดกลั้น แต่สุเตะที่ไม่รู้จะพูดอะไรต่อกลับก้มหน้างุด
ความสามารถในการทำนายฝนตกหนักหรือพายุล่วงหน้าของสุเตะนั้น เมื่อเกิดขึ้นมากครั้งเข้าก็เริ่มกลายเป็นที่รังเกียจ แม้จะเป็นการทำนายที่ช่วยให้แคล้วคลาดจากภัยพิบัติ สายตาคนรอบข้างกลับมองว่าสุเตะเป็นคนเรียกภัยพิบัติเหล่านั้นมา เด็กกาลกิณีเรียกเคราะห์ร้ายมาจริงๆ ด้วย ผู้คนว่าอย่างนั้นและยิ่งถอยห่างจากสุเตะ
เพราะเหตุนั้นสุเตะจึงระมัดระวังเพื่อไม่ให้ตนเผลอพูดอย่างเลินเล่อมาตลอด แต่สุดท้ายก็พลั้งปากออกไปจนได้ อีกฝ่ายเล่นปรากฏกายให้เห็นหลังสุเตะโดนความตกใจปนหวาดกลัวเล่นงาน ทั้งยังดึงดูดให้เคลิ้มมองดวงหน้างดงามที่สาดส่องด้วยแสงจันทร์อีก สุเตะจึงลืมระวังตัวตามปกติไปสนิท
สุเตะตัวแข็งค้างไปอีกครั้ง แม่ทัพก้าวเข้ามาใกล้อย่างเงียบงัน ครั้นสุเตะสะดุ้งตัวเกร็ง แม่ทัพก็เอ่ยยิ้มๆ ว่า “ถ้าเช่นนั้นลองไปกันดีหรือไม่” ทำให้สุเตะตกใจ
“เอ๊ะ...”
“ทะเลสาบอยู่ใกล้จริงๆ ใช้เวลาไม่เกินหนึ่งในสี่ชั่วยาม ก็ถึงแล้ว”
สุเตะสับสน แม่ทัพยิ้มกว้างพลางเข้ามาใกล้ยิ่งขึ้น
“อยากเห็นจันทร์สะท้อนบนผิวน้ำมิใช่หรือ? พรุ่งนี้จะออกเดินทางจากที่นี่แล้ว ถึงจะเห็นทะเลสาบระหว่างทางก็ไม่มีพระจันทร์หรอกนะขอรับ”
หากจะดูก็ต้องเป็นตอนนี้เท่านั้น แม่ทัพชักชวน ท่าทีสบายๆ บ่งบอกว่าไม่เป็นไรเพราะมีตนไปด้วยทั้งคน
“แต่ว่า...ข้า”
ถึงจะอยากเห็น แต่เขาตัดใจไปแล้วเพราะคิดว่าไม่มีทางไปได้ จู่ๆ มาบอกว่าถ้าอยากดูจะร่วมทางไปด้วย สุเตะก็ไม่รู้จะทำอย่างไร
เขาไม่เคยมีโอกาสคบหากับผู้คน ไม่เคยมีใครชักชวนมาก่อน เมื่อมีคนยื่นมือมาหาและบอกว่า หากต้องการก็จะช่วยให้สมปรารถนา สุเตะจึงไม่รู้ว่าควรจับมือนั้นหรือไม่
เห็นตนสองจิตสองใจแล้วแม่ทัพคนนี้จะคิดอย่างไรหนอ ในฐานะ ‘ท่านหญิง’ ที่ออกจากอิคุบิไปแต่งงานเข้าฮายาเสะอุระแล้วควรวางตัวอย่างไร สุเตะไม่รู้เลยสักนิด
แม่ทัพเข้ามาใกล้จนถึงข้างตัวสุเตะที่ยืนทื่อเป็นตอไม้ ต่อให้อยากหนีก็หนีไม่ได้ ขืนหนีไปอีกฝ่ายคงโกรธเป็นฟืนเป็นไฟ สุเตะอับจนวาจา รู้สึกหวาดกลัว
เขายืนตัวแข็ง ยกแขนโอบกอดตนเองคล้ายจะป้องกันตัว ฝ่ายแม่ทัพที่ก้าวมาถึงตรงหน้าเอ่ยว่า “ขออภัยที่เสียมารยาท” ก่อนจะยกขาข้างหนึ่งวางบนระเบียงทางเดิน
“เหวอ...”
สุเตะหดตัวเมื่อชายร่างใหญ่ราวหกชาคุ รุกคืบมาประชิดตรงหน้า
ทันใดนั้นตัวก็ลอยหวือ รู้ตัวอีกทีสุเตะที่ยังคงขดตัวก็โดนแม่ทัพอุ้มตัวลอยเสียแล้ว
แม่ทัพที่อุ้มสุเตะไว้ในอ้อมแขนเหมือนอุ้มลูกแมวส่งยิ้มกว้างให้สุเตะที่กำลังตกใจจนตาโต
“ข้าจะอุ้มท่านไปถึงทะเลสาบ แต่จะไม่ผ่านไปด้านหน้าวัด เพราะเดี๋ยวจะเป็นเรื่องยุ่ง”
ว่าแล้วอีกฝ่ายก็อุ้มสุเตะเดินตัดผ่านสวน
“เอ่อ...แต่ว่า เอ่อ...”
เมื่อสุเตะอ้ำอึ้งด้วยความตกตะลึง แม่ทัพจึงเอ่ยว่า “อย่าห่วงไปเลย ข้าไม่มีวันทำท่านหล่นเป็นอันขาด” ก่อนจะฉายรอยยิ้มดุจแสงจันทร์อีกครั้ง
พอได้ยินว่าจะไม่ทำหล่น คราวนี้สุเตะถึงเพิ่งจะกลัวหล่นขึ้นมาจนลืมตัวเกาะแขนที่อุ้มตนอยู่แน่น ฝ่ายแม่ทัพที่เห็นดังนั้นก็บอกว่า “ใช่แล้ว เกาะให้แน่นๆ เล่า” และยิ้มกว้างยิ่งขึ้น
แม่ทัพอุ้มสุเตะทะลุหลังวัดเข้ามายังเส้นทางเดินเขา แสงจันทร์ช่วยให้เส้นทางสว่าง แลเห็นชัดเจนกระทั่งสีสันของใบไม้ เสียงเท้าเหยียบหญ้าสวบสาบดังก้องไปทั่วบริเวณ
“เอ่อ จะไม่เป็นไรหรือเจ้าคะ”
สุเตะในอ้อมแขนแม่ทัพถามขึ้นอย่างกังวลในที่สุด ถึงจะออกปากเองว่าอยากเห็นทะเลสาบ แต่เขาไม่นึกเลยว่าตนจะแอบหลบออกมาจากห้องแล้วโดนพาตัวไปอย่างนี้ หากมีใครสังเกตว่าสุเตะไม่อยู่ขึ้นมาจะไม่กลายเป็นเรื่องใหญ่โตหรือ สุเตะเป็นห่วงว่า ขืนคนพวกนั้นออกค้นหาจนมาพบทั้งสองอยู่ด้วยกัน แม่ทัพอาจพลอยโดนลงโทษไปด้วย
ทั้งที่สุเตะกำลังกลัดกลุ้ม แม่ทัพกลับยิ้มแย้มอย่างใจกว้างไม่เปลี่ยน
“ไม่เป็นไรหรอกขอรับ ด้านหน้าวัดกินเลี้ยงสังสรรค์กันอยู่ แถมทุกคนกำลังเหนื่อยจากการเดินทางอันยาวนาน นอกจากนั้นข้าฝากให้ลูกน้องช่วยจัดการเรื่องที่เหลือแล้วด้วย”
“เช่นนั้นหรือเจ้าคะ...?”
สุเตะแหงนหน้า ชะเง้อมองแม่ทัพ อีกฝ่ายพยักหน้ารับอย่างแข็งขัน
“ไม่ต้องห่วง ที่นี่ข้าใหญ่โตที่สุด ข้าไม่ยอมให้ใครบ่นอะไรทั้งสิ้น ดังนั้นท่านหญิงอย่าได้กังวล ปล่อยใจเพลิดเพลินไปกับการเดินเล่นยามราตรีก็พอแล้ว”
แม่ทัพเอ่ยหนักแน่น ก้าวอาดๆ ไปข้างหน้า
สุเตะนึกอัศจรรย์ใจที่อีกฝ่ายเอ่ยวาจาลบล้างความกังวลของตนทั้งที่ตนยังไม่ทันพูดอะไร ชายคนนี้อ่านใจคนได้เหมือนที่ตนรับรู้กลิ่นของสายลมและภูเขาได้เช่นนั้นหรือ
พอตั้งอกตั้งใจเพ่งพิศใบหน้าของแม่ทัพที่อยู่ใกล้ๆ ดวงตาเรียวยาวก็ปรากฏรอยย่นตรงหางตา คิ้วของแม่ทัพลดต่ำลงเล็กน้อย บรรยากาศที่ห่อหุ้มอยู่ออกจะน่ากลัวแท้ๆ แต่เจ้าตัวกลับทำสีหน้าอ่อนโยนเหลือเกิน สุเตะคิดพลางเฝ้ามองสีหน้าสงบนิ่งท่ามกลางแสงจันทร์นั้นอย่างไม่รู้เบื่อ
“ถึงอย่างนั้นก็เถอะ ท่านหญิงนี่ตัวเบาจริงๆ”
หลังจากสุเตะจ้องมองอย่างไม่รู้จักเกรงใจอยู่นาน แม่ทัพก็ยิ้มตอบและเอ่ยเช่นนั้น
สุเตะสะดุ้งตัวแข็ง ความตกใจต่อเนื่องทำให้เขาลืมเสียสนิทว่าตอนนี้ตนอยู่ที่นี่ในฐานะท่านหญิงคนสุดท้องของอิคุบิ เรือนร่างที่ไม่มีความนุ่มนวลเยี่ยงอิสตรีแม้แต่เศษเสี้ยวย่อมทำให้อีกฝ่ายรู้สึกผิดสังเกต ขืนอยู่อย่างนี้ประเดี๋ยวคงความแตกว่าไม่ใช่ท่านหญิงกันพอดี
“อีกนิดเดียว ดูสิขอรับ ตรงปลายทางแยกนั่นอย่างไร”
แม่ทัพบอกเสียงสดใสราวกับจะขจัดความกังวลของสุเตะ
เมื่อหันหน้าไปทางนั้นก็เห็นว่าเส้นทางแยกออกจากกันตามที่อีกฝ่ายบอก ประกายแสงกระเพื่อมไหวอยู่ถัดไปจากตรงนั้น
“จากตรงนี้เป็นทางลงเนินเล็กน้อย กรุณาเกาะให้แน่นๆ ด้วย”
แม่ทัพพูดพลางกอดกระชับสุเตะในอ้อมแขน ทั้งที่แขนสัมผัสกับเรือนร่างแข็งสากหนังหุ้มกระดูก แม่ทัพกลับยิ้มให้สุเตะเหมือนไม่เอะใจเลยสักนิด
เสียงระฆังดังแว่วมา สุเตะเกาะแขนเสื้อแม่ทัพแน่นอีกครั้ง แล้วใบหน้าอีกฝ่ายก็คลี่ยิ้มอีกครา หางคิ้วลดต่ำลงยิ่งกว่าเดิม ไม่รู้ว่าคิดไปเองหรือไม่ แต่อีกฝ่ายดูเหมือนดีใจ
“ถ้าเช่นนั้นไปกันเลยดีหรือไม่”
ทั้งสองลงเนินเข้าใกล้สุดปลายทาง จนกระทั่งมาถึงบริเวณที่แนวต้นไม้แยกออกจากกัน เผยทิวทัศน์ให้เห็นกะทันหัน
“อา อยู่เหนือศีรษะพอดี เชิญชมขอรับ”
ทะเลสาบผืนใหญ่อุดมด้วยน้ำปรากฏอยู่ตรงหน้า ดวงจันทร์ลอยอยู่เหนือศีรษะพอดีดังคำแม่ทัพว่า ผิวน้ำสั่นไหวตามสายลมอ่อน สะท้อนแสงจันทร์เป็นประกายระยิบระยับ
จันทร์ดวงใหญ่ลอยบนฟ้าราตรี สาดแสงสะท้อนผิวทะเลสาบก่อเกิดเป็นถนนแห่งแสงทอดยาว
“น่าเสียดายที่ไม่ใช่จันทร์เพ็ญ”
แม่ทัพที่แหงนมองดวงจันทร์เอ่ยด้วยท่าทางเสียดายจากใจ สุเตะจึงเอ่ยว่า “ไม่น่าเสียดายหรอกเจ้าค่ะ” ทันที
“งดงามแท้ๆ อย่างที่ข้าจินตนาการไว้ไม่มีผิดเลย”
ทิวทัศน์ทะเลสาบนั้นตรงตามที่ตนจินตนาการตอนนั่งเกี้ยวขึ้นเขา ทำให้สุเตะพอใจมาก ทั้งที่ไม่คิดว่าจะได้เห็น แต่กลับมีคนพามาจนได้เห็นด้วยตาตนเองอย่างนี้ สุเตะดีใจเหลือเกิน ทิวทัศน์ภูเขาที่ได้เห็นแค่ร่างๆ ผ่านม่านไม้ไผ่ในเกี้ยวแผ่กว้างตรงหน้าโดยไม่มีสิ่งใดคั่นกลาง เสียงแมลงที่ได้ยินแว่วๆ บนเฉลียงวัด บัดนี้ดังกังวานอยู่ใกล้แค่เอื้อม
“เช่นนั้นหรือ ถ้าอย่างนั้นก็ดีไป”
สุเตะมองทิวทัศน์ทะเลสาบจนเพลิน ถึงขั้นลืมสนิทว่ายังโดนอุ้มอยู่ในอ้อมแขนของแม่ทัพ แม่ทัพที่เห็นดังนั้นจึงเอ่ยด้วยน้ำเสียงพึงพอใจ
“ดูเหมือนท่านจะถูกใจ ข้าค่อยโล่งอกหน่อย”
“ถูกใจมากเจ้าค่ะ ข้าดีใจมากเพราะไม่คิดว่าจะได้เห็น ขอบคุณที่พาข้ามานะเจ้าคะ”
คำกล่าวขอบคุณอันซื่อตรงของสุเตะทำให้คิ้วแม่ทัพลดต่ำลงอีกครั้ง รอยย่นที่หางตาลึกยิ่งขึ้น ฟันขาวปรากฏให้เห็น
“ทางข้างหน้ายังมีทิวทัศน์งามหาใดเปรียบอีกมากมาย ไว้ข้าจะพาท่านชมไปตามทาง จะเป็นเพื่อนเดินเล่นยามราตรีให้ด้วยขอรับ”
“จริงหรือ?”
“อืม ข้าสัญญา”
แม่ทัพพยักหน้า ความคาดหวังพองตัวในอกสุเตะ หากเทียบกับก่อนหน้านี้ที่ได้แต่อยู่ในเกี้ยวกับห้องพักแล้ว ทางข้างหน้าเป็นราวกับฝันเลยทีเดียว
“ถ้าได้ชมก็คงดีนะเจ้าคะ”
“ได้ชมแน่นอน เชิญบอกข้าได้ทุกเมื่อ ข้าจะพาไปเอง”
แม่ทัพรับประกันหนักแน่น ถ้อยคำชวนอุ่นใจของแม่ทัพทำให้สุเตะเอ่ยว่า “ขอบคุณเจ้าค่ะ” อีกครั้ง แม่ทัพหัวเราะ สุเตะเลื่อนสายตากลับไปที่ทะเลสาบ





++++++++++++++++++++++++++++++++++++
เพราะทำให้มารดาเสียชีวิตไปจากการคลอดยาก สุเตะจึงถูกผู้เป็นบิดาหมางเมินเรื่อยมา แต่แล้ววันหนึ่งบิดากลับส่งเขาไปแต่งงานที่แคว้นเล็กๆ เกิดใหม่ในฐานะตัวประกันแทนพี่สาวฝาแฝด แม้ใช้ชีวิตอยู่ท่ามกลางการกดขี่ข่มเหงมาตลอดสุเตะก็ยังเติบโตมาอย่างซื่อตรงและบริสุทธิ์ผุดผ่อง ครั้นสามีผู้แข็งแกร่งและอ่อนโยนอย่างทาคาโทระมอบชื่อ ‘โซระ’ ให้ เขาจึงเพิ่งค้นพบความหมายของการมีชีวิตอยู่เป็นครั้งแรก โซระที่อยากเป็นประโยชน์ต่อทาคาโทระทำตัวเข้มแข็งน่าชื่นชม แต่ทว่าเจ้าตัวกลับไม่รู้เรื่องอันใดเกี่ยวกับความสัมพันธ์ของสามีภรรยาแม้แต่น้อย...?

รูปภาพ

ตอบกลับโพส

ย้อนกลับไปยัง “Bongkoch Books News & Activities”