New Release เหลียนฮวา : เทพธิดาลิขิตบัลลังก์ (มี 3 เล่มจบ)

อัพเดทข่าวบงกชบุ๊คส์ ความเคลื่อนไหว และกิจกรรมพิเศษ ตลอดจนร่วมสนุกชิงรางวัลพร้อมของรางวัลมากมาย

Moderator: P'Bly, Gals, พี่บี

ตอบกลับโพส
Gals
โพสต์: 1072
ลงทะเบียนเมื่อ: ศุกร์ 13 ก.พ. 2009 3:47 pm

New Release เหลียนฮวา : เทพธิดาลิขิตบัลลังก์ (มี 3 เล่มจบ)

โพสต์ โดย Gals »

บทที่หนึ่ง

ฉันฝันอีกแล้ว แม่ซื้อกระโปรงลายดอกไม้แสนสวยให้ฉัน พอสวมมันพ่อก็เรียกฉันว่าหญิงสาวผู้เลอโฉมที่สุดในโลก น้องชายบอกว่าโตขึ้นจะแต่งงานกับฉัน ให้ฉันเป็นเจ้าสาวของเขา เขาเลยโดนพ่อตีจนหัวปูด แต่นั่นเป็นเรื่องเมื่อเจ็ดปีก่อนหน้านี้ ไม่สิ น่าจะพันปี...ฉันคิดฟุ้งซ่านอีกแล้ว ควรจะไปซื้ออาหารเช้าได้แล้ว ฉันก็หิวเป็นเหมือนกัน
ฉันสะพายย่ามที่เต็มไปด้วยรอยปะชุนแล้วหยิบร่มกระดาษน้ำมันข้างประตูเดินออกจากบ้าน จากนั้นใส่กุญแจ ถือโอกาสลูบภาพเทพผู้พิทักษ์ประตูบนประตูให้เรียบแล้วเอ่ยลา ทว่าเพิ่งเดินออกจากรั้วประตูก็ถูกเจ้าตัวสีเขียวเข้มตัวหนึ่งทำให้ตกใจจนตัวโยน เจ้าตัวหยิ่งยโสเลื้อยคดเคี้ยวผ่านหน้าไปด้วยท่าทางเกียจคร้าน ไม่เห็นฉันอยู่ในสายตาสักนิด
“เจ้าเขียวน้อย เจ้าต้องการให้ข้าตกใจตายใช่หรือไม่ แต่ข้าไม่กลัวหรอก” ฉันยกเท้าก้าวข้ามงูสีเขียวตัวเล็ก เชิดหน้ายืดอกตรงเลียนแบบท่าทางของมันแล้วเดินไป
ปีนี้ฤดูฝนมาเยือนเร็ว ปริมาณฝนและวันที่ฝนตกก็มากกว่าปีก่อน ฉันไม่ชอบวันที่ฝนตกนี่เลย ทุกครั้งที่ถึงเวลานี้ขาของฉันจะปวดเหมือนหัวใจถูกมีดกรีด ตกกลางคืนก็มักปวดจนฉันรู้สึกตัวตื่นต้องมาต้มน้ำร้อนเพื่อประคบมัน แบบนี้ถึงจะปิดตาหลับลงได้
ฝนตกหนักขึ้นเรื่อยๆ น้ำที่เย็นเยียบไหลลงมาตามรูขนาดใหญ่บนร่มกระดาษน้ำมัน ผมและเสื้อตัวนอกของฉันเปียกเป็นวงใหญ่ ดูท่าร่มคันนี้คงใช้การไม่ได้แล้ว ฉันกางร่มพังๆ เดินเข้าไปในตลาดและตกเป็นเป้าสายตาประหลาดของทุกคนในทันที ประหลาดใจได้ไม่นานพวกเขาก็หันไปจัดการเรื่องของตัวเองอีกครั้ง ที่ตะโกนขายของก็ตะโกนไป ที่เดินตลาดก็เดินไป ในสายตาพวกเขาฉันเป็นสิ่งแปลกประหลาดที่พวกเขาเห็นจนคุ้นชินเลยมองว่าไม่ประหลาดไปนานแล้ว
ฉันมาถึงร้านเล็กๆ ที่คุ้นเคยและนั่งลงที่โต๊ะเก้าอี้ประจำ จากนั้นสั่งหมั่นโถวหนึ่งลูกกับโจ๊กหนึ่งชามเหมือนอย่างเคย เถ้าแก่เนี้ยวางจานชามกระแทกลงบนโต๊ะดังตึงๆ ฉันคิดว่าถ้าไม่จ่ายเงินให้นางเพิ่มหนึ่งอีแปะทุกวัน นางอาจเอาโจ๊กสาดใส่หน้าฉันก็ได้
หมั่นโถววันนี้หวานเป็นพิเศษ เถ้าแก่คงจะไม่ระวังใส่น้ำตาลเกินไปหนึ่งช้อนอีกแล้ว เมื่อกินอาหารเช้าเสร็จและจะออกจากร้าน ลูกชายคนเล็กของเถ้าแก่ก็ดึงขากางเกงของฉันไว้ เงยหน้าเล็กๆ ขึ้นสูงแล้วยิ้มให้ ฉันย่นคิ้วขยิบตาหยอกเขาแต่ไม่กล้าแตะต้อง รอจนแม่ของเขามาอุ้มเขาไป คราวก่อนฉันแค่ดึงเขาออกเบาๆ เถ้าแก่เนี้ยก็เอาน้ำข้าวร้อนๆ ราดบนมือฉันกระบวยหนึ่ง ตอนนี้บนหลังมือยังมีรอยแผลถูกลวกอยู่เลย
โชคดีจริงๆ เพิ่งจะออกจากร้านอาหารเล็กๆ ก็เจอคนปลูกผักกำลังคัดผักคนหนึ่ง ฉันทำมือทำไม้ให้เขาอยู่สองสามที เขาก็พูดว่าสามต้นห้าอีแปะ ฉันพยักหน้า เขาให้ฉันหยิบเองแล้วเอาเงินวางในตะกร้าผัก ฉันทำตามและเอาเงินห้าอีแปะวางลงไป พอคนปลูกผักเห็นเหรียญทองแดงที่เคยสัมผัสมือฉันก็ขมวดคิ้วขึ้น หยิบใบผักเน่าห่อเหรียญทองแดงไว้แล้วออกแรงขัด ถึงค่อยเอาเหรียญทองแดงที่เลอะน้ำผักเขียวๆ ใส่ลงในกระเป๋าของเขา ฉันเบ้ปาก ไม่ถือสาหาความกับเขา ขอแค่ซื้อผักกวางตุ้งได้ก็พอแล้ว
เดินไปได้ไม่กี่ก้าวฝนก็หยุดตก ฉันเก็บร่มอย่างระมัดระวังแล้วแขวนไว้ที่ด้านหนึ่งของย่าม ทำมือให้ว่างเพื่อจะได้ถือผักกวางตุ้งสามต้นใหญ่ได้ง่าย ระหว่างทางกลับ ข้างเสาสะพานหินโค้งยังมีผู้คนมากมายรายล้อม ตอนขามาฉันเห็นขอนไม้ใหญ่ท่อนหนึ่งลอยขวางอยู่บนผืนแม่น้ำที่อยู่ไม่ไกลจากสะพาน บนขอนไม้มีเด็กคนหนึ่งนอนคว่ำอยู่ ฉันนึกว่าเด็กคนนี้จะถูกคนช่วยขึ้นมาแล้วเสียอีก คาดไม่ถึงว่ายังอยู่ที่นั่น เจ้าเด็กซนทำไมถึงไปอยู่ตรงนั้นได้กันนะ
แม้ว่าแม่น้ำสายเล็กจะมีน้ำขึ้น แต่กระแสน้ำไม่ได้เชี่ยวกราก ผู้ชายที่ว่ายน้ำเป็นคนหนึ่งสามารถช่วยเด็กขึ้นฝั่งได้อย่างง่ายดาย แต่ทุกคนล้วนทำแค่ดูดาย ผู้คนในยุคสมัยนี้ช่างเฉยเมยเหลือเกิน...
ฉันเดินข้ามสะพานหินเงียบๆ ไม่อยากหันกลับไป แต่ถ้าไม่หันกลับไป ผักกวางตุ้งในมือที่เอากลับไปต้องปรุงออกมาได้รสชาติแย่แน่นอน เดิมทีฝีมือการทำอาหารของฉันก็ไม่ดีอยู่แล้วด้วย

ไม่จำเป็นต้องตะโกน พอฉันเข้าไปใกล้เสาสะพาน ผู้คนที่มุงดูอยู่ก็รีบหลีกทางให้แทบไม่ทัน ราวกับหลบหลีกเทพแห่งโรคระบาด
เมื่อเห็นว่าเด็กบนขอนไม้ใกล้จะเกาะไม่ไหวแล้ว ฉันรีบวางผักกวางตุ้งและย่ามไว้ด้านหนึ่ง จากนั้นถอดรองเท้าผ้า แก้กระโปรงผ้าแล้วโยนทิ้ง เหล่าบุรุษต่างเบนหน้าหนีกันเป็นแถว เหล่าสตรีจ้องมองฉันอย่างเดือดดาล แทบอยากจะถ่มน้ำลายใส่ และก็มีคนที่ถ่มออกมาจริงๆ ครั้งนั้นที่ถูกจับใส่ชะลอมยักษ์แล้วเอาไปโยนแม่น้ำทำให้ฉันรู้ว่าสวมกระโปรงผ้านั้นไม่สะดวกมากจริงๆ พอกระโปรงแช่น้ำจะหนักมากจนว่ายน้ำไม่ได้
ไม่ได้ว่ายน้ำมาหลายปีแล้ว พอว่ายไปได้ครึ่งทางก็หมดแรง ฉันหลับตาแน่นพร้อมกับออกแรงกระโจนเข้าไป และในที่สุดก็แตะขอนไม้ได้
“แงๆ...ฮือ...” เด็กที่ร้องไห้เป็นฝ่ายยื่นมือเล็กแดงก่ำมาทางฉัน ใบหน้าเล็กๆ เต็มไปด้วยความเชื่อใจและต้องการพึ่งพาทั้งสิ้น
ฉันพยายามยันตัวเองขึ้นกอดเขาไว้ กระชับร่างเล็กที่เปียกโชกแน่น หยาดน้ำตาที่ร้อนลวกกลิ้งไหลลงมาบนใบหน้าเย็นเยียบ นานแค่ไหนแล้วที่ฉันไม่ได้ชิดใกล้ผู้คนอย่างนี้
‘เด็กน้อยรอก่อนนะ รอข้ามีแรงแล้วจะพาเจ้าขึ้นฝั่ง’
“อย่าร้อง...” มือเล็กเช็ดใบหน้าน้อยๆ ของเขาเสร็จก็ยื่นมาเช็ดใบหน้าฉัน
‘ข้าไม่ได้ร้อง เด็กดี แค่น้ำกระเซ็นใส่ใบหน้าเท่านั้น’
ตอนที่พาเด็กน้อยกลับเข้าฝั่งฉันก็อ่อนเปลี้ยเพลียแรงแล้ว ในขณะนั้นเองพ่อแม่ของเขาก็รีบมาเช่นกัน แม่ของเด็กน้อยแย่งเขาไปจากอ้อมกอดฉัน จากนั้นยกมือขึ้นคิดจะตบหน้าฉัน ผู้เป็นสามีรีบขวางนางไว้ ไม่ใช่กลัวว่าฉันจะถูกนางตบ แต่กลัวว่ามือของนางจะแปดเปื้อนกลิ่นของฉัน ทว่าผู้หญิงที่ไม่พอใจคนนั้นยังคงผลักฉันอย่างแรง ฉันที่ไร้ซึ่งเรี่ยวแรงจึงล้มลงบนพื้นหญ้าข้างเสาสะพาน ลุกไม่ขึ้นอยู่พักใหญ่ ผู้คนที่มุงดูก็เดินจากไปทีละคนพร้อมรอยยิ้ม
ฉันนอนหงายพักหายใจอยู่นานมาก ความรู้สึกชาที่ด้านล่างของร่างกายถึงค่อยๆ หายไป กางเกงขายาวเปียกชื้นที่แนบติดกับขาเย็นเยียบจนเสียดแทงเข้ากระดูกทำให้อดที่จะสั่นเทาไม่ได้ ฉันลุกขึ้นสวมกระโปรงผ้าพร้อมกับสะพายย่าม ไม่ลืมที่จะหยิบผักกวางตุ้งสามต้น กลับบ้าน ฉันอยากกลับบ้าน...
ฉันร้องไห้ทุกวันทุกคืน ร้องมาหลายปี เดิมคิดว่าร้องจนน้ำตาแห้งเหือดไปนานแล้ว...

ในวันเกิดอายุครบสิบห้าปีวันนั้น ฉันสวมกระโปรงลายดอกสีชมพูและล้มตึงในงานเลี้ยงวันเกิด
ต่อมาฉันแอบอยู่นอกประตูได้ยินคุณลุงหมอบอกว่าอีกไม่นานหัวใจของฉันจะล้มเหลว หัวใจล้มเหลว ฉันที่อายุสิบห้าปีไม่เข้าใจความหมายของคำนี้นัก เขายังพูดอีกว่าหัวใจของฉันเต้นหนึ่งวันสิ้นเปลืองพลังงานเท่ากับคนอื่นถึงสามเดือน อย่างมากที่สุดฉันก็มีชีวิตอยู่ได้อีกแค่หนึ่งปี พ่อกับแม่พาฉันไปรักษาทุกที่ แต่ผู้เชี่ยวชาญด้านโรคหัวใจทุกคนล้วนไม่สามารถรักษาอาการป่วยของฉันได้ พวกเขาบอกว่าที่จริงแล้วฉันไม่ได้ป่วย เพียงแค่หัวใจ ‘แก่’ เร็วกว่าคนอื่นเท่านั้น
น้ำตาของแม่และน้องชาย ทั้งยังการวิ่งวุ่นไปทั่วของพ่อไม่สามารถรั้งฉันให้มีชีวิตอยู่ได้ ในวันถัดจากวันเกิดอายุครบสิบหกปีฉันก็จากไปอย่างสงบ
หลังจากที่คนตายไปแล้วจะรู้สึกหนาวมาก หนาวจนอยากตายอีกสักครั้ง ฉันไม่รู้ว่าหนาวมานานแค่ไหน ภายในอุโมงค์น้ำแข็งมีแสงอันอบอุ่นสายหนึ่งสาดส่องลงมา ฉันไล่ตามมันมาถึงสถานที่อันอบอุ่น
แต่อย่างไรก็ตาม ที่แห่งนี้ไม่ใช่ที่ของฉัน
ฉันไม่รู้ว่าเพราะอะไรพวกเขาต้องไล่ตีและเรียกฉันว่าตัวเสนียด บางทีอาจเป็นเพราะในปีนั้นฉันสวมชุดแปลกๆ ปรากฏตัวในที่แห่งนี้พร้อมกับฝูงตั๊กแตนเต็มท้องฟ้า
ฉันจำเรื่องราวตอนแรกสุดไม่ค่อยได้แล้ว เหมือนว่าจะเคยถูกตี ถูกมัด และถูกแขวน เหมือนมีครั้งหนึ่งเคยถูกขายเข้าหอนางโลม แต่ฉันเป็นตัวเสนียด พวกบุรุษไม่กล้าแตะต้อง ดังนั้นแม่เล้าเลยไม่ต้องการฉัน เหมือนมีครั้งหนึ่งฉันหมดสติอยู่ข้างทางแล้วถูกขอทานคนหนึ่งเก็บกลับไป เขาบอกว่าช่วยชีวิตฉันไว้ ให้ฉันเป็นภรรยาของเขา ตอนที่เขาถอดเสื้อผ้าของฉัน ฉันเลยใช้ท่อนไม้ตีหัวเขาแตก จากนั้นวิ่งออกจากบ้านร้างมาถึงลำธารเล็กๆ เพื่อล้างกลิ่นเหม็นเน่าทั่วร่างกายให้สะอาด ตอนนั้นเองบุรุษใจกล้าที่ไม่กลัวว่าฉันเป็นตัวเสนียดผ่านมาริมลำธาร สุดท้ายคิดจะลูบเท้าเปลือยเปล่าของฉัน พอมีคนเห็นผู้ชายคนนั้นกลับประณามว่าเป็นฉันที่ให้ท่าเขา หลังจากนั้นฉันก็ถูกจับใส่ชะลอมยักษ์แล้วโยนลงแม่น้ำ
ในขณะที่เกือบจะจมน้ำตาย คนของทางการก็ช่วยฉันขึ้นมา เพราะนายท่านตระกูลขุนนางฝันเห็นว่าฉันเป็นผู้อุปถัมภ์ของเขา ทั้งจะนำพาโชคดีและโชคลาภมาให้เขา ไม่นานเท่าไรฮูหยินคนที่สี่ของเขาก็ตั้งครรภ์ ตัวเขาก็ได้เลื่อนตำแหน่งเช่นกัน เขายิ่งเชื่อมั่นอย่างแน่วแน่ว่าฉันคือผู้อุปถัมภ์ของเขา หลังจากนั้นนายท่านขุนนางก็ส่งคนมามอบเงินให้ฉันหลายครั้ง และไม่มีใครกล้าเอาฉันโยนลงน้ำอีกเลย...
ผ่านไปนานขนาดนี้แล้วฉันค่อยๆ แยกไม่ออกแล้วว่าเรื่องราวที่เกิดขึ้นภายในเจ็ดปีนี้เป็นความฝัน หรือว่าสิบหกปีนั้นถึงจะเป็นความฝัน หรือทั้งหมดล้วนเป็นความฝัน
ฉันแต่งตัวให้ตัวเองเป็นผู้ใหญ่ขึ้นทุกปี ทว่าทุกวันที่ส่องคันฉ่องตอนหวีผมและมองดูน้ำตอนล้างหน้า เวลาเจ็ดปีราวกับหนึ่งวัน รูปลักษณ์ของฉันไม่ได้เปลี่ยนแปลงแม้แต่น้อย ยังคงเป็นรูปร่างหน้าตาอ่อนวัยของเด็กสาวอายุสิบหกปี
ฉันเป็นอะไร ฉันยังเป็นคนอยู่หรือไม่...

“ข้ากลับมาแล้ว”
ยังไม่ทันเปิดประตูในบ้านก็คึกคักขึ้นมาเสียแล้ว เมื่อเข้าบ้านมาตัวที่กระโจนเข้ามาก่อนคือเจ้าเป๋น้อย บาดแผลที่ขาของมันหายดีแล้ว คราวนี้สามารถบินสูงถึงหลังคาบ้านแล้ว เจ้าแสบกระพือปีกคู่นั้นพึ่บพั่บทำเอาฉันทำตัวไม่ถูก พอเห็นว่าเล็บอันแหลมคมนั่นของมันกำลังจะข่วนลงบนมือ ฉันรีบหยิบย่ามมาขวางให้มันหยุดอยู่บนย่ามแทน เจ้าซุ่มซ่ามนี่ มือฉันที่ถูกมันข่วนเป็นแผลเมื่อหลายวันก่อน ตอนนี้ยังทิ้งรอยสะเก็ดแผลไว้สองรอยอยู่เลย
ครั้นมองดูสภาพเละเทะภายในบ้านหลังนี้ ฉันก็รู้ว่าไม่ควรปล่อยปละเจ้าตัวก่อความวุ่นวายนี่
ฉันเอาเจ้าเป๋น้อยจอมซนไปผูกกับลายฉลุหน้าต่างให้เรียบร้อย ขณะที่หมุนตัวกลับมาก็หวิดเหยียบถูกสิ่งหนึ่ง ฉันรีบก้มตัวลงไปอุ้มเจ้าตัวที่ตกใจขึ้นมาแล้วตบเบาๆ ปลอบใจมัน
“เสี่ยวไป๋เด็กดี ขอโทษนะ คราวหน้าอย่าวิ่งมาด้านหลังผู้อื่นล่ะ ไม่อย่างนั้นหากเหยียบเจ้าแบนข้าคงมีขนมเปี๊ยะไส้กระต่ายกินแล้ว”
พอเจ้าตัวเล็กได้ยินว่าฉันจะกินมัน มันก็ตกใจรีบดิ้นให้พ้นจากมือฉันแล้ววิ่งออกประตูไป ฉันเลยตะโกนบอกมันว่าอย่าวิ่งไปไกลนักล่ะ หลังจากไปทักทายเสี่ยวฮุย อาฮวา และต้าเฮยทีละตัวที่กรงแล้วฉันก็เดินไปทางสวนด้านหลังผ่าฟืนเพื่อเตรียมทำอาหารกลางวัน
บ้านหลังเล็กที่คึกคักมีฉันแค่คนเดียว พวกเจ้าเป๋น้อยไม่ใช่คน แต่กลับเป็นคนในครอบครัวของฉัน
ทำอาหาร มีเพียงความหิวเท่านั้นที่คอยเตือนว่าฉันยังมีชีวิตอยู่และฉันยังเป็นคน มีชีวิตต่อไปเถอะ บางทีหลังจากมีชีวิตอยู่ถึงหนึ่งพันปีฉันอาจจะได้พบกับพ่อ แม่ และน้องชาย...

ฤดูหนาวมาเยือนอีกปีแล้ว จำได้ว่าวันนั้นหิมะตกหนักมาก เมื่อตกกระทบบนใบหน้าให้ความรู้สึกเย็นยะเยือกทว่ากลับไม่ได้ทำให้หนาวยะเยือก เมื่อกินเข้าไปยังมีรสหวานนิดๆ อีกด้วย เป็นครั้งแรกที่เจอหิมะแปลกประหลาดอย่างนี้ ฉันกับเจ้าเป๋น้อยวิ่งไปทั่วลานบ้านและเล่นกับพวกมันอย่างสนุกสนาน จนกระทั่งบ่ายถึงค่อยโกยกองหิมะบนหลังคาและลานบ้านจนสะอาด
หลังกวาดหิมะเสร็จฉันถือโอกาสที่ร่างกายอบอุ่นใช้น้ำเย็นล้างหน้า จากนั้นสะพายย่ามไปในตำบลกินอาหารเช้าเหมือนปกติ ตอนที่ใส่กุญแจประตูก็พบว่าแขนเสื้อขาดเป็นรูอีกแล้ว
“เล็บของเจ้าเป๋น้อยนั่นควรจะตัดเล็มแล้วจริงๆ จะซื้อด้ายที่แข็งแรงได้ที่ไหนกันนะ?”
กองหิมะหนาเตอะทำให้ยกเท้าลำบากมาก เมื่อมองย้อนกลับไปยังรอยเท้าที่จมลึกทอดยาวไปถึงหน้าบ้านหลังเล็ก ระหว่างท้องฟ้ากับพื้นเป็นผืนสีขาวโพลนจึงมองเห็นตรงนั้นเป็นแค่จุดดำๆ เท่านั้น
บ้านของฉันเป็นบ้านที่ตั้งอยู่โดดเดี่ยว บริเวณรอบๆ ครึ่งลี้ ไม่มีบ้านคนอื่นเลย บ้านที่มีอยู่เดิมก็พากันย้ายออกไปไกลครึ่งลี้ มีเพียงขบวนพ่อค้านอกพื้นที่ซึ่งผ่านทางเป็นบางครั้งบางคราวเท่านั้นที่จะผ่านหน้าประตูของฉัน ส่วนคนที่ขึ้นเขาไปตัดฟืนบริเวณรอบๆ จะอ้อมไปเดินทางอื่น ด้วยกลัวว่าจะติดกลิ่นอายของฉัน
เสียงสิ่งหนึ่งตกลงบนพื้นดังตุ้บขัดขบวนความคิด ฉันได้ยินเสียงร้องจิ๊บๆ อันอ่อนแอ เมื่อมองไปตามเสียงก็พบว่าเป็นนกน้อยตัวหนึ่งที่ตกจากรัง ฉันเงยหน้ามองรังนกบนต้นไม้แล้วส่ายหน้า อยู่สูงเกินไป ช่วยแกไม่ได้หรอก ฉันหันกลับมาแล้วเดินไปด้านหน้าต่อ
เมื่อทนทรมานกับฤดูหนาว ถัดไปฤดูใบไม้ผลิก็จะมาถึง นกน้อยที่ปีกแข็งแรงจะสามารถบินร่อนบนท้องฟ้าสีครามได้อย่างอิสระ ทว่าไม่ใช่นกน้อยทุกตัวจะสามารถเห็นการแตกหน่ออ่อนในฤดูใบไม้ผลิได้...
เกือบถึงแล้ว ออกแรงอีกหน่อย รังของเจ้านกน้อยอยู่บนกิ่งไม้แนวขวางเหนือศีรษะนั่น เฮ้อ ฉันมักจะชอบยุ่งเรื่องไม่เป็นเรื่องเสียจริง
พอปีนขึ้นไปบนต้นไม้ก็อดที่จะก้มศีรษะเหลือบมองสักแวบหนึ่งไม่ได้ ทันใดนั้นก็รู้สึกเวียนศีรษะตาพร่าลาย ทำไมแม่นกต้องสร้างบ้านสูงขนาดนี้ด้วย นี่ถ้าเหยียบพลาดและตกลงไป ฉันต้องร่างแหลกละเอียดแน่นอน
ในขณะที่คิดอย่างนี้ก็ถูกง่ามไม้กิ่งหนึ่งเกี่ยวคอเสื้อนวมจนถูกดึงไปทางด้านหลัง ยังดีที่มือฉันไวคว้ากิ่งไม้ด้านหน้าไว้ได้ ฉันตกใจจนเหงื่อเย็นไหลท่วมกาย ไม่สนใจก้อนหิมะที่ตกกระทบใบหน้า ปีนก้าวใหญ่ๆ สองสามก้าวแล้วเหยียบบนแนวกิ่งไม้พร้อมกับเอาเจ้านกน้อยวางเข้าไปในรัง จากนั้นไถลลงจากยอดต้นไม้ดังสวบสาบ ตอนที่ถึงพื้นเท้าของฉันยังสั่นเทาอยู่ เมื่อเห็นท่าทางของตัวเองฉันก็เกือบจะร้องไห้ออกมา “เสื้อนวมของข้า ขาดจนเป็นแบบนี้แล้ว จะซ่อมกลับมาได้หรือเปล่า?”
หิมะตกหนักขวางทางไว้ ฉันใช้เวลาไปมากกว่าครึ่งชั่วยาม ถึงจะสามารถมาถึงในตำบลได้ จุดหมายก็คือร้านสือหม่านโหลว ร้านอาหารที่แพงที่สุดในตำบล อาหารของที่นี่ฉันซื้อกินไม่ไหวหรอก กินได้แค่โจ๊กถั่วแดงที่ชามหนึ่งราคาสามอีแปะเท่านั้น ที่อื่นขายแค่หนึ่งอีแปะ แต่ว่าของที่นี่อร่อยที่สุด ดื่มโจ๊กถั่วแดงร้อนๆ หวานๆ หนึ่งชามก็ทำให้ร่างกายอบอุ่นได้ชั่วครู่ ฉันเป็นคนชอบกิน ต่อให้ถูกผู้คนจ้องมองอย่างเย็นชาและเดินทางไกลมากๆ ทุกวันก็ต้องมากินอาหารในตำบล ตอนกลับไปก็เป็นช่วงบ่ายแล้ว
พอคิดถึงโจ๊กถั่วแดงรสเลิศน้ำลายก็สอไหลวนอยู่ในปากแล้ว ฉันเร่งฝีเท้าแล้วเลี้ยวเข้าไปในปากทางถนนตะวันตก
บางทีในวันที่หิมะตกอากาศหนาวยะเยือกอย่างวันนี้ ฉันไม่ควรห่วงกิน บางทีหลังจากส่งนกน้อยกลับบ้านแล้ว ฉันควรกลับบ้านไปเปลี่ยนเสื้อนวมที่ขาดวิ่นบนตัวนี่ออก และบางทีฉันควรจะอ้อมไปอีกปากทางถนน...
พบกับเขา อยากหรือว่าไม่อยาก ฉันไม่รู้ ไม่รู้เลย...

ที่ปากทางถนนตะวันตก ฉันที่อยู่ไกลๆ มองเห็นเขา
ด้านหน้าเตาไฟบนพื้นมีเด็กคนหนึ่งนั่งอยู่ ผู้คนที่เดินผ่านต่างก็พากันมองเขา สิ่งที่ดึงดูดความสนใจของคนไม่ใช่สภาพเสื้อผ้าซอมซ่อขาดวิ่นของเขา ภาวะสงครามด้านนอกทำให้ในตำบลมีผู้หนีภัยแบบนี้จำนวนมาก ภาวะสงคราม ฉันก็แค่ฟังคนเขาพูดกันเท่านั้น
นั่นเป็นเด็กที่ดึงดูดผู้คนอย่างแท้จริง เขาอายุไม่ถึงสิบขวบ สวมเสื้อชั้นเดียวที่ทั้งสกปรกทั้งขาด ทว่าใบหน้าเล็กกลับสะอาดหมดจด เพียงแต่สีหน้าถูกความหนาวเย็นทำให้กลายเป็นสีเขียวอมม่วงจนน่าตกใจ ใบหน้าที่ประณีตงดงามทำให้ฉันนึกถึงคำคำหนึ่ง ขาวผ่องดั่งหยกสลักขัดเงา
เห็นได้ชัดว่าเขาทนความหนาวเย็นไม่ไหวแล้ว แต่ยังคงยืดเอวและหลังตรงดิ่งอย่างดื้อดึง มือทั้งคู่กำเป็นกำปั้นพยายามควบคุมร่างกายไม่ให้สั่นสะท้านอย่างสุดความสามารถ หนาวแล้วตัวสั่นก็เป็นสิ่งที่แน่นอนอยู่แล้วนี่ ทว่าเขากลับเห็นว่ามันเป็นความอัปยศอดสูอย่างยิ่ง ขอเพียงร่างกายสั่นไหวเขาก็จะทำท่าทางรังเกียจตัวเองออกมาแล้วโขกศีรษะใส่กำแพงด้านหลังอย่างแรง...
ฉันไม่เข้าใจ เด็กคนหนึ่งจะมีดวงตาแบบนั้นได้อย่างไร ถึงขนาดทำให้คนรู้สึกถึงความหนาวเย็นกว่าหิมะและน้ำแข็งที่เต็มไปทั่วท้องฟ้าและพื้นดินนี่เสียอีก
หลายปีต่อมาเมื่อย้อนกลับมาคิด ฉันยังยากที่จะเชื่อว่าผู้ที่ถูกคนในโลกให้การเคารพว่าเป็นดั่งเทพเจ้า ครั้งหนึ่งก็เคยเป็นเด็กอ่อนแอเปราะบางอย่างนี้เหมือนกัน



บทที่สอง

เมื่อสบเข้ากับดวงตาเย็นเยียบที่เยือกเย็นสุขุม ฉันถึงค่อยรู้ตัวว่าตัวเองหยุดจ้องมองเขาตามอำเภอใจ ฉันถอนสายตากลับและรีบเดินไปร้านสือหม่านโหลวที่อยู่ตรงข้าม ฉันละลาบละล้วงเขาสินะ ในดวงตาของเขามีความเดือดดาลเป็นฟืนเป็นไฟอยู่
ตำแหน่งที่นั่งตรงประตูร้านสือหม่านโหลว ถ้าหันหน้าไปจะมองเห็นเขาได้ ด้านหน้าเขามีผู้คนเดินขวักไขว่ไปมา มีสตรีแต่งงานแล้วจิตใจดีคนหนึ่งวางเหรียญทองแดงลงตรงหน้าเขาหลายเหรียญ แต่เขากลับทำเป็นมองไม่เห็น ยังคงนั่งนิ่งไม่ขยับเขยื้อนแม้แต่น้อย หรือว่าเขาตัวแข็งจนขยับไม่ได้แล้วกัน?
ลูกจ้างยกโจ๊กถั่วแดงมาอย่างรวดเร็ว ฉันถือโอกาสตอนที่ร้อนพออุ่นยกชามขึ้นดื่มไปอึกใหญ่ จากนั้นวางชามลงแล้วมองไปนอกประตูอีกครั้ง เขาล้มลงกับพื้นไปเสียแล้ว ฉันไม่ได้มองอีกพร้อมหันกลับมาดื่มโจ๊กถั่วแดงของฉันต่อ หนึ่งปีมานี้ตำบลเล็กๆ มีผู้หนีภัยที่หนาวตายสิบกว่าคนแล้ว ต่อให้สามารถช่วยชีวิตเขาในครั้งนี้ได้ หลังจากนี้เขาก็มีชีวิตอยู่ไม่ได้เช่นกัน...
แต่ว่าโจ๊กถั่วแดงวันนี้ไม่ค่อยหวานเลย ฉันเหลือไว้ในชามครึ่งหนึ่งพร้อมกับวางเงินสามอีแปะไว้แล้วออกจากร้าน ฉันหันกลับไปมองแวบหนึ่งอย่างรู้สึกเสียดายเล็กน้อย
เมื่อเดินออกจากประตูและเห็นว่าร่างเล็กนอนอยู่บนพื้นหิมะ ฉันก็ลังเลว่าต้องอ้อมกลับไปอีกทางหรือไม่ แต่พอคิดอีกที จะกลัวอะไร ไม่แน่ว่าเขาจะตายแล้วเสียหน่อย อีกอย่างฉันก็ไม่ได้เห็นคนตายเป็นครั้งแรก เลยกอดมือทั้งสองข้างไว้ตรงหน้าอกและซุกหน้าลง จากนั้นก้าวเร็วๆ เดินผ่านด้านหน้าร่างเล็ก สายตาอดที่จะชำเลืองมองไม่ได้ และเห็นว่านิ้วของเขาขยับเล็กน้อย
เชือกในใจฉันถูกมือข้างนั้นดึงแน่นในฉับพลัน ฉันราวกับถูกผีเข้า อุ้มเขาขึ้นแล้วพุ่งเข้าไปในร้านสือหม่านโหลวโดยไม่แม้แต่จะคิด
“เถ้าแก่...ขอยืม...ไฟ...เตาไฟ...” เถ้าแก่ให้ฉันยืมเตาไฟหน่อยได้หรือไม่ ฉันอยากจะพูดอย่างนี้ แต่พอยู่ต่อหน้าผู้คนฉันก็พูดไม่ออก อ้าปากค้างพูดตะกุกตะกักอยู่นานก็พูดให้จบประโยคไม่ได้เสียที จึงทำได้แค่ทำไม้ทำมือไม่หยุด
พอเห็นว่าฉันกล้าเปล่งเสียงที่ไม่เป็นมงคลต่อหน้าพวกเขา ทุกคนก็ทั้งตกใจทั้งโกรธ จากนั้นลูกคิดเอย ช้อนเอยต่างถูกเขวี้ยงมาทางฉัน “เตาไฟรึ ไม่มี ออกไปซะ! ไสหัวออกไป!”
พวกเราถูกไล่ออกมาจากร้าน แม้จะเป็นสิ่งที่อยู่ในความคาดหมายอยู่แล้วก็ตาม ร่างเล็กที่เย็นราวกับก้อนน้ำแข็งมีเพียงใต้จมูกเท่านั้นที่ยังมีความร้อนอยู่บ้าง ฉันถอดเสื้อนวมขาดๆ ออกแล้วห่อเขาไว้โดยไม่สนใจว่าอยู่ต่อหน้าผู้คนบนถนน ทันใดนั้นก็มีก้อนโคลนถูกขว้างมา ฉันรีบอุ้มเขาขึ้นแล้วหมุนตัวเอาหลังรับไว้
ท่ามกลางเสียงด่าสาดเสียเทเสียของผู้คน ฉันอุ้มร่างเล็กมาถึงโรงหมอ ขอบคุณฟ้าดิน ท่านหมอยอมช่วยเขาและยอมให้ฉันยืนอยู่ข้างเตาไฟ เมื่อไม่มีเสื้อนวมฉันก็เกือบจะแข็งตายแล้ว หลังจากบังคับกรอกยาน้ำร้อนๆ ชามใหญ่สองสามชามแล้วเขาก็ลืมตาขึ้น ฉันไม่มีค่ารักษาให้เขารักษาโรคอื่นๆ อีก หลังจากจ่ายให้ท่านหมอหนึ่งร้อยอีแปะแล้วก็แบกเขาออกจากโรงหมอ
ตอนเที่ยงหิมะตกหนัก แต่แม้ไม่ได้สวมเสื้อคลุมตัวนอกฉันก็ไม่ได้รู้สึกหนาวมาก เพราะบนหลังแบกคนไว้จึงอบอุ่น อบอุ่นมาก พอผ่านร้านหมั่นโถวฉันลูบคลำกระเป๋าเงิน ยังเหลืออยู่สองอีแปะ ฉันซื้อหมั่นโถวมาสี่ลูกแล้วส่งให้คนบนหลังหนึ่งลูก เขายื่นมือออกมาอย่างลังเล ทว่านิ้วมือที่แข็งทื่อทำให้ไม่อาจหยิบแม้แต่หมั่นโถวลูกเล็กๆ นี่ได้ ฉันรีบเก็บหมั่นโถวไว้ให้ดีแล้ววิ่งเหยาะๆ กลับบ้านหลังเล็กตลอดทาง
“อ๊ะ...!”
ในตอนบ่ายท้องฟ้าปลอดโปร่ง พระอาทิตย์สาดแสงจนน้ำแข็งบางๆ บนแผ่นหินละลาย ฉันที่วิ่งอย่างรีบร้อนเกินไปไม่ทันได้ระวังเลยล้มลงไปทับรั้ว ใบหน้าสัมผัสกับพื้น เจ็บปวดจนแยกเขี้ยวกรีดร้อง ทว่าคนที่ทับอยู่บนตัวกลับไม่มีเสียงร้องสักแอะ คงจะ ไม่ได้ตายแล้วกระมัง?

พอเข้ามาในบ้านฉันก็เอาคนที่สะลึมสะลือไม่ได้สติยัดเข้าไปในผ้าห่ม ไล่เจ้าเป๋น้อยที่มาวุ่นวายไป จากนั้นหยิบฟืนมาก่อในกระถางไฟพร้อมกับวางกาน้ำชาเหล็กลงไป เมื่อน้ำเดือดเขาก็ลืมตาขึ้น ดวงตาแวววาวทั้งคู่ไม่มองฉันแม้แต่แวบเดียว เอาแต่จ้องมองกระถางไฟข้างเตียง
ฉันอุ่นหมั่นโถวให้ร้อน แล้วประคองเขาขึ้นมาป้อนน้ำป้อนอาหารให้เขากินทีละคำๆ ท่าทางการกินของเขาสง่างามยิ่งนัก ไม่เหมือนกับคนที่หิวโหยมานาน ทุกๆ คำเขาจะเคี้ยวหนึ่งครั้ง สองครั้ง หรือสี่ห้าครั้งถึงค่อยกลืนลงไป ทั้งที่อันที่จริงแล้วเขาหิวมาก หมั่นโถวสี่ลูกถูกกินจนหมดไม่เหลือสักนิด ร้ายดีอย่างไรก็เก็บไว้ให้ฉันสักลูกหนึ่งสิ
เมื่อเผชิญกับคนแปลกหน้า เขาไม่ได้แสดงท่าทางไม่เป็นมิตรกับฉันเหมือนกับเจ้าเป๋น้อยและต้าเฮยในตอนนั้น แม้แต่ระแวดระวังสักนิดก็ไม่มี พอกินหมั่นโถวเสร็จเขาก็นอนหลับปุ๋ยอย่างรวดเร็ว ฉันต้มข้าวเก่าครึ่งชามแล้วกินลงไป หลังจากผ่าฟืนที่ต้องใช้ในวันถัดไปเสร็จถึงค่อยขึ้นเตียงนอน
“ห้า สี่ สาม สอง หนึ่ง!” ฉันปลุกความกล้าห้าวินาทีเหมือนเช่นปกติถึงค่อยมุดเข้าไปในผ้าห่มอันเย็นเยียบ ทว่ากลับรู้สึกถึงความอบอุ่นอย่างคาดไม่ถึง เตียงนอนถูกเขาครอบครองจนอุ่น
ฉันผอม เขาตัวเล็ก เตียงหนึ่งหลังยังจุพวกเราสองคนลงไปได้ ฉันทนความอบอุ่นอันแสนยั่วยวนไม่ไหวเลยยื่นมือไปกอดเขาไว้ บอกกับตัวเองว่านี่คือการให้ความอบอุ่นแก่เขา อึ๋ย กลิ่นเหม็นสกปรกบนตัวเขาช่างแทงจมูกจริงๆ พรุ่งนี้ต้องอาบน้ำให้เขาให้ได้...
ในความทรงจำฉันก็มักจะเบียดกับน้องชายในผ้าห่มแบบนี้ เจ้าเด็กขี้ขลาด เป็นเขาที่กลัวเสียงฟ้าร้องแต่ดึงดันบอกว่ามาเพิ่มความกล้าให้กับฉัน...
ฉันใช้ชีวิตอยู่คนเดียว นานหลายปีแล้วที่ไม่ได้ใกล้ชิดกับผู้คนขนาดนี้ เมื่อมองดูคนที่อยู่ใกล้เพียงแค่นิดเดียวในใจก็รู้สึกอบอุ่นยิ่งกว่ากระถางไฟข้างกายเสียอีก ฉันยื่นมือไปลูบบนใบหน้าเล็กอันงดงาม แล้วพูดพึมพำกับตัวเองว่า “เจ้าเป็นใคร...”
นี่มันคือความรู้สึกอะไรกัน ทำไมกับคนที่ไม่รู้จักกันมาก่อนฉันถึงได้...ความปรารถนาของฉัน ปรารถนาว่าจะมีใครสักคน แม้จะมีพวกเจ้าเป๋น้อย แต่อย่างไรฉันก็เป็นคน...
ฉันฝัน ฝันเกี่ยวกับกระโปรงลายดอกสีชมพู ในความฝันฉันสวมกระโปรงลายดอกสีชมพูเต้นหมุนไปรอบๆ ราวกับผีเสื้อตัวหนึ่ง ทันใดนั้นร่างกายก็หนักอึ้ง ฝีเท้าหยุดลง เมื่อมองบนตัวอีกครั้งฉันไม่ได้สวมกระโปรงลายดอกสีชมพูแล้ว นั่นคือเสื้อผ้าอะไร คือเสื้อผ้าของที่นี่ แต่ไม่ค่อยเหมือนกันเท่าไร มันงดงามหรูหราจนทำให้ตาพร่า

รุ่งขึ้นฉันรู้สึกหนาวจนตื่น พอลืมตาขึ้นมาก็สบเข้ากับดวงตาโกรธเคืองคู่หนึ่ง อาการง่วงเหงาหาวนอนบินหายไปในชั่วพริบตา
หลังจากตื่นตระหนกอยู่สองวินาทีถึงค่อยจำได้ว่าเมื่อวานนี้ฉันเก็บคนกลับมาคนหนึ่ง แต่คนคนนี้ออกจะเอาแต่ใจเกินไป นอนเตียงของฉันแถมยังแย่งผ้าห่มไปหมด ในเมื่อตื่นแล้วอย่างนั้นก็รีบลุกจากเตียงเถอะ ทว่าพอคิดแล้วมันไม่ถูกสิ นี่เป็นเตียงของฉัน ทำไมกลับรู้สึกว่าฉันไม่ควรนอนบนนี้? ต้องบอกว่าเด็กคนนี้ทำให้เกิดความรู้สึกว่าไม่อาจล่วงเกินได้ ท่าทางของเขาเคร่งขรึมน่าเกรงขาม บ้าไปแล้ว
รอจนฉันทำอาหารเสร็จแล้ววางบนโต๊ะ เขาก็ไม่มีทีท่าจะลงจากเตียง เมื่อคิดได้ว่าเขาไม่มีเสื้อคลุม ฉันรีบรื้อเสื้อนวมออกมาสองตัวจากในหีบใต้เตียง ตัวหนึ่งเก่าและขาด ตัวหนึ่งกลางเก่ากลางใหม่ เมื่อไตร่ตรองอยู่ครู่หนึ่งแล้วฉันก็ตัดสินใจแสดงความใจกว้างเล็กน้อยโดยเอาตัวกลางเก่ากลางใหม่ให้เขา ฉันไม่สนการประท้วงเล็กๆ ของเขา ดึงเขาออกจากผ้าห่มแล้วสวมเสื้อผ้าที่มีขนาดใหญ่กว่าตัวลงไป จากนั้นก็ยกอาหารเช้ามาถึงมือเขา
เนื้อแห้งในชามคืออาหารของเจ้าเป๋น้อย ฉันอยากจะเอามารับรองแขกสักหน่อย มันคงไม่งกหรอก แต่มันดันเป็นเจ้าเป๋น้อยที่ขี้งกเสียได้ เมื่อเห็นเนื้อแห้งของมันอยู่ในชามคนอื่น มันก็รีบกางปีกแล้วพุ่งเข้ามา ฉันควบคุมมันไม่อยู่ ทำได้แค่กวัดแกว่งไม้กระบองขึ้นไล่มันออกจากห้อง ตอนที่ปิดประตูลงภายในใจฉันรู้สึกละอายมาก เดิมทีหลังเข้าสู่ฤดูหนาวอาหารที่ให้มันกินก็น้อยลงมากอยู่แล้ว ตอนนี้ยังยักยอกอาหารของมันอีก ก็สมควรแหละที่มันจะโกรธ
น้ำแกงที่ผ่านการต้มเนื้อแห้งมาแล้วพอนำมาต้มข้าวจะอร่อย ฉันกินข้าวหมดในสองสามคำ พอเห็นอีกคนในห้องเริ่มลงมือกินถึงค่อยออกจากบ้านไปกวาดหิมะอย่างวางใจ หิมะที่น่ารังเกียจตกอยู่ได้วันแล้ววันเล่า ทุกเช้าที่ตื่นมาบนหลังคาบ้านล้วนมีหิมะกองหนา ถ้าทำความสะอาดไม่ทันเวลาบ้านจะทรุดพังอย่างรวดเร็ว
พอกวาดหิมะเสร็จฉันนึกขึ้นมาได้เรื่องหนึ่ง ฉันตกใจจนรีบกระโจนเข้าไปในบ้าน เจ้าเป๋น้อยถูกฉันขังไว้นอกประตู แต่ว่าต้าเฮยยังอยู่ที่สวนด้านหลัง ประตูหลังบ้านไม่ได้ปิดเสียด้วย! ฉันถีบประตูเปิด ต้าเฮยไม่ได้อยู่ในบ้าน อันตรายเสียจริง แต่ว่าเขากำลังทำอะไรน่ะ?
ฉันเห็นเขากำลังลองลงจากเตียง ทว่าพอเท้าทั้งคู่สัมผัสพื้นก็หดกลับไปราวกับถูกลวกก็ไม่ปาน เขาลองอย่างนี้ต่ออีกหลายครั้งก็ไม่สามารถเดินลงพื้นได้ เท้าของเขาเป็นอะไรไป?
ฉันก้าวเข้ามาอุ้มให้เขานั่งดีๆ จากนั้นยองกายถอดถุงเท้าผ้าที่สกปรกดำปี๋ออก เมื่อวานนี้ประมาทไปแล้วที่ไม่ได้สังเกตเท้าคู่นี้ หนองและเลือดเหนียวติดถุงเท้าผ้าเสียแล้ว ฉันตักน้ำอุ่นมาแล้วเอาเท้าทั้งคู่วางลงไปในน้ำถึงค่อยๆ ถอดถุงเท้าออกได้ เท้าเปื่อยพุพองและบวมคู่นั้นดูสาหัสกว่าที่ฉันคิด
ครั้นเงยหน้าขึ้นก็เห็นเขาปวดจนขมวดคิ้ว ฉันรู้สึกประหลาดใจเล็กน้อย ยังคิดว่าความเจ็บปวดระดับนี้จะไม่มีผลต่อเขา ที่แท้เขาไม่คุ้นชินกับความปวดแบบนี้ และไม่ค่อยได้รับความเจ็บปวดแบบนี้
ตอนที่ประคองเท้าคู่นี้ฉันก็รู้สึกกลัดกลุ้มเสียแล้ว เละจนเป็นแบบนี้ ‘วิชาทางการแพทย์’ ของฉันไม่อาจรักษาได้ สมุนไพรบนเขาฉันก็รู้จักแค่ไม่กี่ชนิด หากไปโรงหมอในตำบลย่อมให้ยาดีกับฉันแน่นอน พวกเขาไม่กล้าใช้ยาปลอมหลอกลวงฉัน เพียงแต่ไม่รู้ว่าจะคิดค่ายาเพิ่มกี่เท่า ทว่าก็แปลกจริงๆ ในเมื่อพวกเขากลัวแปดเปื้อนกลิ่นของฉัน ทำไมยังต้องเก็บเงินเพิ่ม ยิ่งมากไม่ใช่ว่ากลิ่นจะยิ่งแรงหรือ?
หลังจากซักถุงเท้าผ้าจนสะอาดฉันก็มาที่สวนหลังบ้านขุดกระป๋องเงิน หยิบเงินห้าตำลึงด้านในออกมา มือทั้งสองข้างกำความขัดแย้งระหว่างหลักศีลธรรมกับความต้องการส่วนตัว
“ก็ได้ ก็ได้ ช่วยคนหนึ่งชีวิตดีกว่าสร้างเจดีย์เจ็ดชั้น อาฮวา ต้าเฮย เจ้าเป๋น้อย ยังมีก่อนหน้านี้อีกหลายตัว เจดีย์ที่ข้าสร้างเพื่อชาติหน้าไม่รู้ว่ามีมากน้อยกี่ชั้นแล้ว”
ชาติหน้า ช่างยาวไกลนัก...
ถึงฉันจะคิดเตรียมไว้เรียบร้อยแล้ว แต่การใช้เงินไปสามตำลึงยังคงทำให้ฉันแทบบ้า สามตำลึง สามตำลึง อาหารมากกว่าครึ่งปีของฉัน! เมื่อเทียบกับพวกเจ้าเป๋น้อยแล้ว เขาได้รับการปฏิบัติเป็นกรณีพิเศษไม่น้อยเลยจริงๆ
ระหว่างทางกลับหลังจากซื้อยาเสร็จ จู่ๆ ฉันก็นึกขึ้นได้ว่าตัวเองทำพลาดเช่นเดียวกับเมื่อเช้า ฉันทิ้งเขาให้อยู่ในบ้านหลังเล็กคนเดียวอีกแล้ว! ต้าเฮยกับเจ้าเป๋น้อยถูกขังไว้ข้างนอก แต่ฉันลืมไปว่าเจ้าพวกนั้นบนเขาไม่ใช่สิ่งที่ประตูพังๆ ของฉันจะกันไว้ได้ พวกมันไม่นึกอยากได้หนังหยาบๆ เนื้อเหี่ยวๆ ของฉัน แต่ไม่แน่ว่าจะปล่อยเด็กเนื้อนุ่มนิ่มนั่นไป!
ฉันวิ่งกลับบ้านหลังเล็กด้วยสภาพกระเซอะกระเซิง ถึงจะเห็นว่าประตูหน้ายังอยู่ดีก็ยังรู้สึกไม่วางใจจึงปีนข้ามรั้วไปสวนด้านหลัง และพอเห็นว่าประตูหลังยังอยู่ดีฉันถึงค่อยวางใจ เปิดประตูแล้วเข้าไปในบ้าน คนบนเตียงหลับไปอีกแล้ว แม้จะหลับยาวไปหนึ่งคืน แต่ใบหน้าเล็กยังคงมีแววอ่อนล้าอยู่ เห็นได้ชัดว่าก่อนหน้านี้เขาคงเหนื่อยมาก
รออยู่ครึ่งชั่วยามฉันถึงค่อยปลุกเขาตื่น หลังจากนั้นก็ใช้มือทำท่าทางบอกเขาว่าฉันจะใส่ยาให้ เขา ‘ฟัง’ ไม่เข้าใจ แต่พอเห็นฉันยกอ่างน้ำและขวดยาเข้ามาก็เข้าใจทันที และอนุญาตให้ฉันแตะต้องเขาไปโดยปริยาย
ฉันใช้น้ำร้อนล้างเท้าที่เปื่อยของเขาให้สะอาดก่อน โดยพยายามระมัดระวังเป็นอย่างยิ่งไม่ให้เขาเจ็บ แต่ช่วยไม่ได้ที่เขากลัวเจ็บจริงๆ ใบหน้าของเขาเดี๋ยวแดงเดี๋ยวขาว เดี๋ยวขาวเดี๋ยวแดง
เห็นใบหน้าเล็กของเขาเหยเกฉันก็ตระหนักได้ว่าใช้บรรทัดฐานผิด เขาเป็นแค่เด็กคนหนึ่งเท่านั้น เด็กตัวเล็กๆ เด็กที่อ่อนแอและบอบบาง เด็กคนอื่นจะไม่ร้องไม่งอแงเหมือนเขาไหม ไม่มีทาง ฉันไม่โทษว่าเขาไม่เข้มแข็งอีกต่อไป แต่พยายามทำอย่างอ่อนโยนสุดความสามารถ
หลังจากล้างหนองและเลือดจนสะอาด น้ำในอ่างก็กลายเป็นสีแดง ต่อมาฉันใช้เหล้าสมุนไพรเช็ด ทว่ามือของฉันเพิ่งสัมผัสเท้าของเขา จมูกก็รู้สึกถึงความเจ็บปวด ตามด้วยล้มลงนั่งกับพื้น
“ไสหัวไป!”
ไสหัวไป เขาช่างพูดได้คล่องปากยิ่งนัก ปกติคงพูดจนชินแล้ว คนธรรมดาทั่วไปจะพูดว่า ‘ออกไป’ มีแค่คหบดีใหญ่และนายท่านขุนนางพวกนั้นที่พูดกับคนรับใช้จนชินปากถึงเอ่ยปากก็เป็นคำว่า ‘ไสหัวไป’
ฉันกุมจมูกที่ถูกบีบ ทว่าผ่านไปครู่ใหญ่ความเจ็บปวดก็ยังไม่จางหาย น้ำตาและน้ำมูกไหลออกมาพร้อมกัน สกปรกมอมแมมไม่น้อย เขาก็ไม่ได้ดีไปกว่ากันเท่าไร ปิดตาแน่น หยาดน้ำตาตรงหางตาไหลลงมาหยดแล้วหยดเล่า ริมฝีปากก็แทบจะถูกกัดจนแตกแล้ว ถึงเป็นแบบนี้เขายังไม่ส่งเสียงโอดโอยออกมา เข้มแข็งมาก
ฉันคิดว่ากับเด็กแบบนี้ควรจะต้องปลอบใจเขา ตอนนั้นเจ้าเป๋น้อยก็เป็นเด็กเช่นกัน ตอนที่รักษาแผลที่ขาให้มันฉันก็คอยปลอบอยู่ข้างๆ
“อย่า...อา...” อย่ากลัว เดี๋ยวก็ไม่เจ็บแล้ว เฮ้อ กับคนอย่างไรฉันก็พูดไม่ออก
สุดท้ายแล้วเขาที่เข้มแข็งก็อดทนจนใส่ยาเสร็จ หลังจากนั้นสลบไป ฉันนึกถึงนิทานที่พ่อเล่าให้ฉันฟังเมื่อนานมาแล้ว ตอนที่ฮัวโต๋ ขูดกระดูกรักษาแผลให้แม่ทัพกวน ตั้งแต่ต้นจนจบแม่ทัพกวนก็ไม่ส่งเสียงร้องออกมาสักแอะ แม้ฉันจะไม่ได้ขูดกระดูกให้เขา แต่นิ้วทั้งสิบมีความสัมพันธ์เชื่อมโยงกับหัวใจ อย่างนั้นก็คงเจ็บปวดมากแหละ นับประสาอะไรกับเขาที่ยังเด็กขนาดนี้
ที่แท้บนโลกใบนี้ผู้ที่เข้มแข็งมีอยู่มากมาย มนุษย์เรามักไม่มีความเจ็บที่ทนไม่ได้ ความลำบากที่ลิ้มรสไม่ได้ ความเจ็บและปวดเดิมก็เป็นส่วนประกอบของชีวิตมนุษย์

นอกจากคำว่า ‘ไสหัวไป’ คำนั้นแล้ว ผ่านไปหลายวันเขาก็ไม่ได้พูดอะไรอีกแม้แต่คำเดียว นี่ไม่นับเป็นอะไร เจ้าเป๋น้อย ต้าเฮย เสี่ยวไป๋ และเสี่ยวฮุยก็พูดคุยกับฉันไม่ได้เช่นกัน ฉันไม่ได้ถามว่าเขาชื่ออะไร อายุเท่าไร บ้านอยู่ที่ไหน เหมือนกับที่ฉันไม่สามารถถามเจ้าพวกเป๋น้อยแบบนี้ได้ นานมากแล้ว ฉันจำไม่ค่อยได้แล้วว่าควรจะคบค้าและไปมาหาสู่ระหว่างคนด้วยกันอย่างไร
หิมะไม่ได้ตกติดต่อกันหลายวันแล้ว กองหิมะบางลงเรื่อยๆ แต่ฉันกลับรู้สึกเสียดายเล็กน้อย รุ่งเช้าที่แสงแดดสาดส่อง เสี่ยวไป๋ที่กลัวความหนาวซ่อนตัวอยู่ในบ้าน ฉัน เจ้าเป๋น้อย และต้าเฮยเล่นสงครามลูกบอลหิมะกันอยู่ที่ลานด้านหน้า แน่นอนว่าเป็นฉันที่ปาใส่พวกมัน
“อ๊ะ...!” เจ้าต้าเฮยตัวแสบนี่ คิดไม่ถึงว่ามันจะรู้จักต่อต้านด้วย มันหันก้นมาทางฉันและเหยียดขาหลังออกอย่างแรง บอลหิมะลูกใหญ่ก็อัดใส่หน้าฉัน นั่นมันเจ็บนะ เจ้าเป๋น้อยก็รู้จักร่วมมือกับมัน พุ่งขึ้นไปบนต้นไม้แล้วกระพือปีก เกล็ดหิมะตกลงมารบกวนการมองเห็นของฉัน ต้าเฮยถือโอกาสโจมตีหนักขึ้น “ต่อต้านแล้ว ต่อต้านแล้ว ดูว่าข้าจะสั่งสอนพวกเจ้าอย่างไร เจ้าเป๋น้อย! ข้าจะถอนขนเจ้ามาทำลูกขนไก่! ยังมีเจ้าอีกเจ้าต้าเฮย ข้าจะเชือดเจ้ามาตุ๋นน้ำแกงกิน ได้ยินว่ากินเนื้อหมาแล้วไม่ต้องกลัวหนาว ฮ่าๆๆ...”
ประตูบ้านเปิดออก คนที่อยู่ด้านในมองฉันด้วยความตื่นตะลึง ฉันรู้ว่าเขากำลังตื่นตะลึงอะไร แน่นอนว่าฉันพูดได้ ฉันก็มักจะพูดพึมพำกับตัวเองหรือพูดกับเจ้าพวกเป๋น้อยอยู่บ่อยๆ นี่ ฉันแค่พูดกับคนไม่เป็นและพูดไม่ออกเท่านั้น

บทที่สาม

“นอน...นอนตื่นแล้ว?” ฉันอยากพูดว่า ตื่นแล้ว ลุกขึ้นมาแล้วหรือ เจ้าปากบ้านี่
“อืม” เขาพยักหน้าแล้วเดินออกมาจากบ้านประเมินสภาพการณ์รอบๆ
ฉันพยักหน้าแล้วเล่นสงครามลูกบอลหิมะกับต้าเฮยและเจ้าเป๋น้อยต่อ รู้สึกประหลาดใจที่เขาสนใจไยดีฉัน หลายวันนี้เขาไม่เคยมองฉันตรงๆ ‘อืม’ นี่ถือว่าเป็นการสนใจไยดีกระมัง
นี่เป็นเด็กที่เลี้ยงยากมากคนหนึ่ง ถึงกับเลี้ยงยากกว่าเจ้าเป๋น้อยที่กินแต่เนื้อเสียอีก แต่ก็แปลก แม้ชุดตัวนอกและรองเท้าของเขาจะแสนธรรมดามีราคาไม่กี่ร้อยอีแปะ ทว่าชิ้นอื่นๆ นั้นไม่ธรรมดาแล้ว ถุงเท้าผ้าที่เปื้อนไปด้วยเลือดและโคลนคู่นั้นหลังจากซักสะอาดแล้วคาดไม่ถึงว่าจะเป็นถุงเท้าอย่างดี ไม่เหมือนกับผ้าอื่นๆ ที่เปื้อนสิ่งสกปรกแล้วต่อให้ซักบ่อยแค่ไหนก็ซักไม่ออก ถุงเท้าผ้านี่ราวกับเคลือบสบู่ไว้ พอซักก็สะอาด ด้านนอกเรียบลื่นเป็นมันขลับเหมือนผ้าต่วน ด้านในบุผ้าขนสัตว์เนื้อละเอียดกักเก็บความอบอุ่น ยังมีชุดตัวในของเขาอีก วัตถุดิบที่ใช้ทำนั่นแค่มองก็รู้ว่าเป็นของชั้นดี ด้ายแนวตั้งแนวนอนแยกกันชัดเจน เบาบางอ่อนนุ่ม ไม่เหมือนกับที่ฉันใส่ที่พอดึงก็ขาดแน่นอน คนที่สวมใส่ของคุณภาพดีเหล่านี้จะเป็นคนที่ฉันเลี้ยงไหวได้อย่างไร
ครึ่งเดือนมานี้ฉันเอาเนื้อแห้งของเจ้าเป๋น้อยแบ่งให้เขา แต่เขาก็ยังดูแคลนจนต้องขอร้องให้เขากินมันลงไปทุกมื้อ ฉันและเจ้าเป๋น้อยหยิบเศษอาหารที่กินเหลือของเขามากิน เขาก็ทำท่าว่ามันควรจะเป็นเช่นนั้นอยู่แล้ว
ฉันเห็นว่าเขาอายุยังน้อย มือและเท้าก็บาดเจ็บเพราะความหนาวอีก สิ่งเหล่านี้ฉันไม่ถือสาหาความกับเขา แต่เขาจะรังแกกันมากเกินไปแล้ว ถึงกับไม่อยากให้ฉันนอนบนเตียง นั่นคือบ้านของฉัน เตียงของฉันนะ! หากไม่ใช่ว่าอากาศหนาว ฉันคงยอมไปนอนที่สวนด้านหลังกับต้าเฮยมากกว่า จะได้ไม่ต้องทนสายตาดูถูกเหยียดหยามที่ทิ่มแทงคนนั่น
วันนี้ก็เช่นกัน หลังจากกินอาหารเช้าแล้วฉันขึ้นเขาไปเก็บฟืน ไม่จำเป็นต้องมีคำกำชับจากฉันพวกเด็กๆ ในบ้านก็ไม่วิ่งซนแน่นอน รวมถึงเด็กที่เพิ่งมาใหม่นั่นด้วย
ด้านหลังภูเขาเป็นแหล่งเผาฟืนหลักของคนในตำบล แต่แค่เพราะฉันอาศัยอยู่ระหว่างทางขึ้นเขาด้านนี้ หลายคนจึงอ้อมภูเขาไปทางด้านนั้นเพื่อเก็บฟืน ราวกับว่าหากผ่านประตูบ้านฉันแล้วจะถูกสาปและพบเจอสิ่งที่คาดไม่ถึง การอ้อมภูเขากลับไปกลับมาต้องใช้เวลาเพิ่มอีกครึ่งวัน ด้วยเหตุนี้ฉันจึงมีข้อหาให้ถูกเกลียดชังเพิ่มขึ้นมาอีกหนึ่งข้อ ฉันเคยคิดว่าจะย้ายบ้านไม่มาขวางอยู่ตรงระหว่างทางนี้ ทว่านอกจากบ้านหลังเล็กนี่ที่นายท่านขุนนางในเมืองซ่อมแซมให้ฉันแล้วก็ไม่มีที่ไหนยอมรับฉันได้ ฉันอาศัยอยู่ที่นี่ คนในตำบลถือว่าเป็นเจตนารมณ์ของนายท่านขุนนางจึงไม่กล้าฝ่าฝืนและต่อต้าน ถ้าฉันย้ายไป ‘แปดเปื้อน’ ที่อื่น จุดจบคงจะเศร้าสลดน่าดู
เรื่องที่เอาฟืนไปไว้ที่วัดถู่ตี้แลกเงินเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นโดยไม่ได้ตั้งใจ ครั้งนั้นฉันเอาอย่างคนหาฟืนลากฟืนเข้าไปขายในตำบล เดินวนรอบตำบลก็ไม่มีใครซื้อฟืนของฉัน ฉันจึงทำได้แค่ลากกลับเท่านั้น ขายฟืนไม่สำเร็จ ระหว่างทางกลับสวรรค์ก็รังแกฉันอีก ฝนที่เทกระหน่ำลงมาบีบให้ฉันเอาฟืนสองมัดใหญ่โยนไปที่วัดถู่ตี้ พอฝนหยุดตกหันกลับไปก็ไม่พบฟืนแล้ว ทว่ามีเหรียญทองแดงครึ่งพวงแขวนไว้ใต้ชายคาเตี้ยๆ มองซ้ายขวาไม่พบผู้คน ฉันเลยหยิบเงินทองแดงไปอย่างใจกล้า วันที่สองฉันลากฟืนสองมัดไปที่วัดถู่ตี้อีก วันรุ่งขึ้นฉันก็ ‘ขาย’ ได้เงินครึ่งพวงอีกครั้ง
เป็นเรื่องลำบากอย่างยิ่งที่คนแข้งขาไม่ดีจะอ้อมภูเขาไปเก็บฟืน ดังนั้นแม้จะเป็นฟืนที่ฉันตัดพวกเขาก็ยอมรับมัน แน่นอนว่าที่เอ่ยถึงข้างต้นเป็นเรื่องที่ทำกันเงียบๆ บางครั้งฉันคิดว่า พวกเขาอาจไม่ได้กลัวแปดเปื้อนกลิ่นอายของฉันจริงๆ แต่ที่พวกเขากลัวคือการถูกคนอื่นพบเห็นต่างหาก นั่นเป็นความผิดที่ต้องรับผิดชอบเชียวนะ
ตั้งแต่นั้นมานี่ก็กลายเป็นช่องทางทำมาหากินของฉัน แต่ไหนแต่ไรมาไม่เคยมีใครเอาฟืนไปแล้วไม่จ่ายเงิน และไม่มีใครขโมยเงินได้เช่นกัน บางทีทุกคนอาจรู้ว่านั่นคือฟืนของฉันและกลัวฉันสาปแช่ง
ก่อนหน้านี้ฉันแค่ขึ้นเขาไปเก็บฟืนมาขายสองมัดตอนบ่ายก็สามารถประคองชีวิตให้รอดได้แล้ว ทว่าตั้งแต่เจ้าเด็กเลือกกินนั่นมา ไม่นานก็เห็นก้นโถข้าวอย่างรวดเร็ว เพื่อหาเงินได้เพิ่มมากขึ้นฉันต้องขึ้นภูเขาไปตัดฟืนตั้งแต่เช้า ในภูเขาไม่ได้ปลอดภัยเลย หลายปีมานี้คนหาฟืนที่ถูกเสือดาวจับกินมีหลายคน ดีที่โชคของฉันไม่เลว แม้จะพบเจออยู่หลายครั้งแต่ไม่เป็นอันตราย ไม่แน่ว่าพวกมันก็กลัวฉันผู้โชคร้ายคนนี้เหมือนกัน

เมื่อหิมะละลายถนนหนทางก็ลื่น ทางบนภูเขายิ่งเดินได้ยากมากขึ้น ตอนที่ฉันลากฟืนกลับบ้านก็ผ่านพ้นช่วงเที่ยงไปแล้ว เจ้าเป๋น้อย เสี่ยวฮุย และต้าเฮยหิวจนร้องเสียงดัง ด้วยกลัวว่ากรงเล็บนั่นของเจ้าเป๋น้อยจะจับคน ฉันจึงรีบโยนเนื้อแห้งชิ้นหนึ่งให้มัน จากนั้นจุดเตาทำอาหาร วันนี้ได้เงินเหรียญทองแดงมาหนึ่งพวงเลยซื้อไข่ไก่มานิดหน่อย ฉันทำกับข้าวไปพลางน้ำลายไหลไปพลาง ครั้งก่อนที่กินไข่ไก่คือเมื่อไรกันนะ?
ข้าวน้ำแกงไข่หอมกรุ่นโรยหมูสับติดมัน อาหารเลิศรสอันดับหนึ่งในใต้หล้า! เดิมคิดว่าเขาจะชอบ ไม่คาดคิดว่าพอยกขึ้นโต๊ะ เขาไม่แม้แต่จะมองมัน เมื่อไม่มีท่าทางดีอกดีใจที่รอคอย ในใจฉันเกิดความรู้สึกผิดหวังเล็กน้อย เลยยกชามของเขาขึ้นแล้วหันเข้าไปในครัว ตอนเดินออกมาบนชามวางด้วยไข่เจียวที่ส่งไอร้อนออกมา ฉันคิดว่าเขาคงจะดีใจบ้างแล้ว แต่เปล่าเลย เขายังคงไม่มองแม้แต่แวบเดียว
“กินเถอะ...”
ฉันอุ้มเสี่ยวฮุยและไล่ต้าเฮยจอมตะกละเข้าไปที่สวนด้านหลัง จากนั้นแบ่งน้ำแกงกับข้าวที่มีอยู่เล็กน้อยให้พวกมัน ส่วนที่เหลือคือของฉัน น้ำแกงไข่อันเลิศรส พอดื่มไปคำหนึ่งก็ทิ้งความหอมไว้ที่ปากและฟัน เมื่อกินเข้าไปในท้องรสอร่อยยังคงตราตรึงไม่สิ้นสุด ของดีขนาดนี้เขาช่างไม่รู้จักของดีจริงๆ
“อะไร เจ้าก็ไม่ดีใจ? ก็ได้ ข้าจะเอาเนื้อให้เจ้า ข้ามีไม่เยอะเท่าไร เอาให้เขาไปหมดแล้ว” ต้าเฮยกระโจนมาเห่าประท้วงฉันด้วยความไม่พอใจ ฉันเลยต้องเลือกหมูสับให้มันทั้งหมด
เมื่อกินเสร็จฉันกลับเข้าไปในบ้าน เขาไม่อยู่ที่โต๊ะแต่นั่งอยู่ที่ธรณีประตูทอดมองไปข้างหน้าอันไกลโพ้น ฉันมองข้าวบนโต๊ะอีกครั้ง ไข่เจียวที่ไม่ได้รับการแตะต้องถูกเขี่ยทิ้งไปด้านหนึ่ง ข้าวในชามเขากินไปแค่สองคำ บนโต๊ะและบนพื้นเต็มไปด้วยหมูสับและไข่ สิ่งที่ฉันและต้าเฮยอยากกินแต่ไม่ได้กิน! เขากลับทิ้งเสียเปล่าแบบนี้!
พอนึกย้อนถึงสิ่งต่างๆ ที่ตั้งใจเอาอกเอาใจแลกมาในช่วงนี้ ฉันก็รู้สึกโกรธชั่ววูบจึงกระโจนไปด้านหน้า ยกเท้าขึ้นถีบก้นเขาอย่างแรง
สวรรค์เท่านั้นที่รู้! ถ้าฉันรู้ว่าเขาเป็นใคร ถ้าฉันรู้ว่าการถีบครั้งนี้จะถูกประหารกี่ชั่วโคตร เพียงพอให้หัวฉันและพวกเจ้าเป๋น้อยถูกตัดแล้วตัดอีก ต่อให้มอบความกล้าให้อีกร้อยเท่าฉันก็ไม่กล้าทำอย่างนี้ และในชีวิตนี้ของเขาดูเหมือนว่ามีเพียงฉันเท่านั้นที่เคยทำอย่างนี้
ฉันถีบรุนแรงจริงๆ ทั้งตัวของเขาล้มไปอยู่ด้านล่างบันไดหน้าประตู ท่าทางสิ้นท่านั่นยั่วให้ฉันหัวเราะออกมาเสียงดัง “ฮ่าๆๆ”
ทันใดนั้นสายตาคู่หนึ่งก็กวาดมองมา เสียงหัวเราะของฉันพลันติดอยู่ในลำคอ ดวงตาคู่นั้นไม่ได้ดุเดือดไม่ได้เย็นชา แม้แต่ความโกรธก็ไม่มี ทว่าเพียงแค่เหลือบตาขึ้นเล็กน้อยก็ทำให้อดที่จะสั่นงันงกไม่ได้ ถ้าฉันฉลาดพอก็ควรจะรู้ว่าคนที่สามารถทำให้คนตัวสั่นงันงกได้อย่างง่ายดายแบบนี้พัวพันด้วยไม่ได้...
ฉันกระแอมไอสองทีแล้วเดินลงบันไดไปประคองเขาขึ้นมาอย่างอ่อนน้อมเล็กน้อย เมื่อคิดถึงมารยาทในการเป็นคน ฉันจึงเอ่ยเสียงเบาว่า “ขอโทษ”
คำขอโทษที่ฉันเอ่ยแลกมาด้วยสายตาเย็นชา มือฉันถูกเขาสะบัดออกพร้อมกับถูกผลักที่บ่าในทันที ฉันล้มลงพื้นดังตึง นี่ฉัน นี่ฉันกินข้าวไม่อิ่มหรือว่าเพราะอะไร แค่ถูกเด็กตัวเล็กๆ ผลักเบาๆ ก็ยืนไม่อยู่! ยังมีมือนั่นของเขาอีก เป็นกระบองไฟฟ้าสินะ ผลักจนฉันทั้งชาทั้งเจ็บ!

ฉันหวังว่าฤดูหนาวจะผ่านพ้นไปอย่างรวดเร็ว เช่นนั้นฉันจะได้ไม่ต้องเบียดกับเขาบนเตียงหลังเดียว
ถึงผู้คนในตำบลเห็นฉันเป็นสิ่งสกปรกและชั่วร้าย ทว่าแต่ไหนแต่ไรมาฉันล้วนแต่งกายสะอาดสะอ้าน แต่พอใกล้กับเขาฉันรู้สึกราวกับว่าตัวเองสกปรกมากจริงๆ
เตียงหลังเล็กหลังหนึ่ง เพื่อที่จะไม่ต้องสัมผัสถูกเขา ฉันพยายามนอนชิดขอบเตียงอย่างสุดความสามารถ ร่างกายครึ่งหนึ่งแทบจะห้อยอยู่นอกเตียง ฉันต้องใช้มือทั้งสองข้างจับเสาเตียงแล้วนอน ทุกเช้าที่ตื่นมามือทั้งปวดทั้งเมื่อยจนทนไม่ไหว ผ้าห่มก็ไม่กล้าดึงข้ามเขตมากเกินไป เมื่อเห็นว่าเขาห่อตัวด้วยผ้าห่มก็ทำได้เพียงหยิบเสื้อคลุมมาคลุมเท่านั้น พอหนุนทับผมของเขาโดยไม่ทันระวังก็เอามันกลับไปวางข้างเขาเงียบๆ เขาคือก้อนเมฆที่ขาวดุจหิมะ ส่วนฉันคือดินโคลนเละๆ เลยกลัวว่าจะไปทำให้เขาสกปรก
เมื่อลืมตาตื่นขึ้นในยามรุ่งสาง ขณะที่สะลึมสะลือและคลายมือออกฉันก็กลิ้งตกลงพื้น ศีรษะกระแทกเข้ากับย่าม จากนั้นฉันหยัดกายลุกขึ้นพร้อมลูบคลำตรงที่รู้สึกเจ็บ ฉันที่ยอมรับว่าตัวเองต่ำต้อยรู้สึกเดือดดาลเลยกระชากผ้าห่มของเขาออก ตะโกนเสียงดังตะกุกตะกักสองครั้งว่า “ละ...ลุกขึ้นมา!” ไม่สนหรอกว่าเจ้าจะล้ำค่ามากแค่ไหน!
ฉันไม่สนใจท่าทางตะลึงงันของเขา เอาเสื้อผ้ายัดใส่ในอ้อมกอดเขา จากนั้นเดินไปสวนด้านหลังอุ้มกระดานไม้และค้อนตอกตะปูมาโยนตรงหน้าเขาแล้วเอ่ยสั่งว่า “ทำงาน!”
เขากระตุกมุมปากเล็กน้อยอย่างเย็นชา ทำท่าจะนอนต่อไม่เล่นด้วยกับฉัน
“บ้านหลังนี้...เจ้า...เจ้าก็อยู่ด้วย...เจ้าก็มีหน้าที่ซ่อม...ซ่อมแซมเช่นกัน...” ฉันพูดติดๆ ขัดๆ จบใบหน้าก็แดงเรียบร้อยแล้ว
เหนือคาด เขาหยัดกายขึ้นสวมเสื้อผ้าถุงเท้ารองเท้าอย่างเชื่องช้า และที่ยิ่งทำให้ฉันประหลาดใจคือ เขาเชื่อฟังคำพูดของฉัน หยิบค้อนบนพื้นขึ้นมา
“ที่ไหน?” เขาถาม
ฉันรีบบอก “ข้าทำเอง เจ้า...เจ้าคอยช่วย”
ตอนนั้นที่แบกเขา เขาทั้งผอมทั้งบอบบาง ฉันเลยเห็นเขาเป็นเด็กคนหนึ่ง ใครจะไปคิดว่าพอเขายืนขึ้นมาตัวกลับเท่าบ่าของฉัน ไม่ว่าจะพูดอย่างไรเขาก็เด็กกว่าฉัน งานอันตรายปีนขึ้นหลังคาพรรค์นี้ให้ฉันทำจะดีกว่า

คนทั้งสองที่สร้างบ้านให้ฉันเป็นนายท่านขุนนางส่งมา ไม่อย่างนั้นไม่มีทางมีใครสมัครใจแน่นอน หลังจากนั้นมาทั้งสองคนคนหนึ่งถูกจับไปเป็นทหารตอนออกไปข้างนอก คนหนึ่งทำผิดกฎหมายตายอยู่ในห้องขัง เพราะเหตุนี้ผู้คนในตำบลเลยยิ่งเชื่ออย่างยิ่งว่าผู้ใดสัมผัสบ้านหลังนี้ ผู้นั้นจะต้องไม่ตายดี แน่นอนว่าไม่มีใครซ่อมบ้านให้ฉันอีกต่อไป โชคดีที่หลายปีนี้ฉันทำจนคุ้นชินแล้วและมีทักษะหลายอย่าง ทั้งซ่อมประตู อุดกำแพง รื้อแผ่นกระเบื้องพวกนี้ไม่ยากสำหรับฉัน
เมื่อวานเจอว่าแผ่นกระเบื้องมุงหลังคาสองสามแผ่นถูกมอดเจาะไชจนเสียหายแล้ว เดิมทีไม่อยากไปสนใจมัน รอมันพังลงมาค่อยเปลี่ยนยังไม่สาย ทว่าพอคิดว่าตอนนี้ไม่ได้มีแค่ฉันคนเดียวที่อาศัยอยู่ในบ้าน อย่างนั้นก็โอ้เอ้ไม่ได้แล้ว
ปากฉันคาบค้อนเหล็ก มือและขาทั้งสองปีนขึ้นชายคาบ้านไปตามยอดเสา จากนั้นปีนป่ายขึ้นหลังคาบ้านอย่างคล่องแคล่วโดยห้อยโหนกับคานสองสามที เมื่อนานมาแล้วน้องชายหัวเราะเยาะฉันว่าเป็นพวกสมองทึ่มเกี่ยวกับกีฬา เห็นทีหลายสิ่งหลายอย่างใช่ว่าจะทำไม่ได้ พอทำมากเข้าก็จะชำนาญไปเองเช่นกัน
ฉันเหยียบบนแผ่นกระเบื้องมุงหลังคาที่ยังสมบูรณ์ดีอย่างระมัดระวัง แกะกระเบื้องที่เสียหายขึ้นวางซ้อนกันในที่ที่มั่นคง จากนั้นค่อยใช้เหล็กปลายค้อนข้างหนึ่งถอนตะปูออก ตามด้วยหยิบแผ่นกระดานที่มีรอยแตกร้าวโยนลงพื้น
“ส่งให้ข้า” ฉันตะโกนบอกเขาที่อยู่บนพื้นแล้วก้มตัวลงอย่างน่าหวาดเสียว รับแผ่นกระดานที่เขาส่งมา เมื่อเทียบแล้วมันยาวไปหน่อยฉันเลยส่งกลับไปอีกครั้ง “เลื่อยอยู่ที่สวนด้านหลัง ตรงกองฟืนตรงนั้น”
เขาใช้มือเคาะส่วนที่ต้องเลื่อยออกเพื่อถาม
“ยังยาวไป...ยาวไปหน่อย...ใช่ ตรง...ตรงนั้น”
ฉันเห็นแค่ดวงตาทั้งคู่ของเขาจ้องมอง มือขวากุมมีดยกขึ้นสูงแล้วผ่าลงอย่างแรง แผ่นไม้ที่หนากว่าครึ่งนิ้วก็หักออกทันที ทั้งรอยหักยังเรียบกริบ
ฉันเกือบจะตกจากหลังคา จ้องมองเขาด้วยความตะลึงจนตาค้าง ย้อนกลับไปคิดว่าเมื่อวานถีบเขาไปทีหนึ่ง เช้าวันนี้เลิกผ้าห่มของเขาออก นี่ไม่ใช่ว่า...ไม่ใช่ว่าฉันหาเรื่องตายหรือ! ฉันตัดสินใจในตอนนั้นว่าหลังจากนี้จะไม่ไปยั่วโมโหเขาอีก ไม่แน่ว่าเขาอาจจะก้าวร้าวกว่าเจ้าเป๋น้อยเสียอีก
ตอนที่ทั้งสองร่วมแรงร่วมใจกันทำงานจนเสร็จก็ผ่านพ้นช่วงเวลาอาหารกลางวันไปแล้ว ฉันทำของกินเล็กน้อยอย่างลวกๆ เขาก็ไม่ได้เลือกกินเช่นกัน กินเสร็จยังรู้จักเอาชามและตะเกียบของตัวเองไปเก็บที่ห้องครัว ฉันคิดว่าความสัมพันธ์ของฉันกับเขาดีขึ้นนิดหน่อย ต่อไปถ้ามีงานอีกก็จะเรียกใช้เขา

“อย่าฆ่าพวกเขา...!”
กลางดึกฉันถูกเสียงร้องตะโกนอันชัดเจนทำให้ตกใจตื่น
ฉันรู้ว่าเขาก็ฝันร้ายเป็น ใครนอนหลับแล้วไม่ฝันร้ายกันล่ะ เพียงแต่ครั้งนี้คงเป็นครั้งที่น่ากลัวมาก เมื่อเห็นเขาหายใจหอบใหญ่ ฉันคิดว่าเขาอาจจะไม่มีแรงเช็ดเหงื่อตรงหน้าผากออกเลยยื่นมือออกไป...
“ไปให้พ้น...”
มือของฉันถูกผลักออก ฉันจึงเก็บมือกลับมาและหมุนกายฮัมเพลงในความทรงจำขึ้นเบาๆ
“จันทราโค้งงอ จันทราแย้มยิ้ม บ้านใดเด็กดีไม่เข้านอน...จันทราแย้มยิ้ม จันทราดื้อดึง เด็กดีไม่ดื้อเข้านอนเร็วไว...”
ไม่รู้ว่าผ่านไปนานเท่าไร มีคนมาแนบชิดบนหลังฉัน มือทั้งสองข้างก็จับชุดตัวในของฉันไว้แน่น จากนั้นเสียงกรนและลมหายใจก็ค่อยๆ สม่ำเสมอ


บทที่สี่

ตั้งแต่เก็บเขากลับมา ฉันไม่ได้เข้าไปกินอาหารเช้าในตำบลทุกวันอีก คิดว่าฉันตะกละขนาดนั้นจริงๆ หรือ ทั้งที่หนทางยาวไกลแถมได้รับสายตาขวางๆ จากผู้คน ฉันแค่ไปเพื่อสูดกลิ่นอายมนุษย์เท่านั้น มนุษย์มักจะเป็นสัตว์ที่อาศัยอยู่รวมกันเป็นกลุ่ม สามารถอดทนอดกลั้นต่อความโดดเดี่ยวและยากลำบากได้ แต่กลับไม่สามารถทนต่อการตัดขาดกับโลกได้
ความโดดเดี่ยวและยากลำบาก เป็นคำที่ไม่หวานและไม่ขมสำหรับฉันไปแล้ว ฉันคิดว่าหลายปีที่ผ่านมานี้ฉันคุ้นชินกับมันมานานแล้ว แต่กลับรู้สึกว่าในสามเดือนนี้ตัวเองค่อยๆ เกิดความคุ้นชินอีกอย่าง คุ้นชินที่มีใครคนหนึ่งคอยแบ่งปันอาหารสองมื้อ แบ่งปันเตียงเล็กๆ แบ่งปันบ้าน และแบ่งปันการใช้ชีวิตกับฉัน ฉันรู้ว่านี่ไม่ใช่ความคุ้นชินที่ดี ทว่ากลับอาลัยอาวรณ์จนไม่อยากยอมรับ เขาเป็นแค่แขกคนหนึ่งที่ผ่านมาในเวลาสั้นๆ เท่านั้น ฉันสามารถเห็นเจ้าเป๋น้อยและพวกต้าเฮยเป็นคนในครอบครัวอย่างเข้าข้างตนเองและผูกมัดพวกมันไว้ที่บ้านหลังเล็กนี้อย่างเห็นแก่ตัวได้ แต่สำหรับเขา สำหรับคนคนหนึ่งกลับไม่สามารถทำได้
ตึง...! ฉันจำได้ไม่ชัดว่านี่เป็นการตกเตียงครั้งที่เท่าไร ฉันลูบบ่าที่กระแทกจนเจ็บ เดินไปทางเจ้าตัวที่ส่งเสียงรบกวนฉันจนตื่น
“เสี่ยวฮุย เช้าตรู่มาฮึ่มฮั่มอะไร” แต่เมื่อเห็นฟันยาวๆ สองซี่ดันปากออกมาเล็กน้อยแล้ว ฉันถึงค่อยตกใจว่าไม่ได้ให้ ‘แท่งขัดฟัน’ มันหลายวันแล้ว ฉันรีบหยิบท่อนฟืนแข็งๆ ท่อนหนึ่งมาจากสวนด้านหลังแล้วโยนเข้าไปในกรง จากนั้นยกมือทั้งสองขึ้นขอโทษมัน “มิน่าเล่า ช่วงนี้เจ้าถึงไม่อยากอาหาร ขอโทษนะ ข้าดันลืมเสียได้”
เมื่อหันกลับมาก็สบเข้ากับสายตาคู่หนึ่ง คนบนเตียงตื่นแล้วกำลังใช้สายตารังเกียจดูถูกมองฉันอยู่ ฉันเชิดคางขึ้นจ้องเขาแวบหนึ่งอย่างยั่วยุ ฉันเลี้ยงหนูแล้วจะทำไม พระพุทธองค์ท่านว่าทุกสรรพสัตว์ต่างเท่าเทียมกัน
ก่อนฤดูหนาวจะมา ฉันไล่อาฮวาสุนัขพันธุ์ชิบะ กลับไปในภูเขา เจ้าพวกกินเนื้อเลี้ยงแค่เจ้าเป๋น้อยตัวเดียวก็ไม่ง่ายแล้ว หากยังปล่อยไว้คงทำให้มันหิวตาย ตอนที่จากไปเท้าของมันที่ถูกกับดักสัตว์หนีบจนบาดเจ็บหายเป็นปกติแล้ว อยู่ลำพังตัวเดียวก็สามารถมีชีวิตอยู่ต่อไปได้ บางทีอาจได้พบหนุ่มหล่อสักตัวและพากลับมาให้ฉันดูด้วยก็ได้ ฉันแค่คิดเท่านั้น แต่ไม่ได้หวังว่ามันจะพากลับมาจริงๆ!
แม้จะบอกว่าบ้านของฉันอยู่ที่นี่และถือได้ว่าเป็นเพื่อนบ้านกับสิ่งดุร้ายน่ากลัวบนภูเขา แต่หลายปีแล้วนอกจากอาฮวาก็ยังไม่เคยมีเพื่อนบ้านอื่นมาเยี่ยมเยียน นี่กลายเป็นหนึ่งในเหตุผลที่ผู้คนในตำบลคิดว่าฉันผิดปกติธรรมดา
ในราตรีที่มืดมิด เจ้าสิ่งนั้นเงยหน้าขึ้นมา ดวงตาสีเขียวที่สว่างจ้านั่น! ไม่ใช่อาฮวา นั่นมันหมาป่า!
ตัวของฉันสั่น เหงื่อเย็นไหลเต็มแผ่นหลัง ถ้าฉันไม่ตื่นขึ้นมา แปดในสิบส่วนต้องปัสสาวะรดเจ้าพวกนี้อยู่ข้างเตียงแน่ เมื่อก่อนพวกมันไม่มีความเจริญอาหารต่อหนังหยาบๆ เนื้อเหี่ยวๆ ของฉัน ตอนนี้ในบ้านมีเด็กผิวละเอียดเนื้อนุ่มนิ่มมาคนหนึ่ง พวกมันได้กลิ่นหอมของเนื้อแล้วจริงๆ! พวกมัน ฉันไม่กล้าคิดว่าจะมีแค่ตัวนี้ตัวเดียว หรือว่าด้านหลังของมันยังมีเพื่อนตามมาด้วย
ฉันคว้าพลั่วเหล็กแล้วร้องคำรามพร้อมพุ่งไปข้างหน้าโดยไม่ลังเล สำหรับเจ้าพวกหมาป่าพรรค์นี้คุณอย่าได้คิดที่จะทำสงครามแบบป้องกัน มันมีความอดทนและกลยุทธ์มาทำให้ปณิธานและพลังของคุณหายไป หากมีแค่มันตัวเดียวฉันควรลงมือจัดการก่อนที่มันจะตั้งตัวติด แต่ถ้าพวกมันมีเป็นฝูง เช่นนั้นฉันก็เป็นเพียงเนื้อบนเขียง ฉันพุ่งเข้าไปแบบนี้ก็แค่ตายเร็วหน่อยเท่านั้น
“ไป...! ไป...! แฮ่...! แฮ่...!”
ฉันส่งเสียงคำรามจากลำคอเลียนแบบสัตว์ป่า เสียงดุดันขึ้นและองอาจห้าวหาญขึ้นเรื่อยๆ เสียงที่องอาจห้าวหาญนี้บีบให้มันถอยหลังไปสามฉื่อ มันคงคิดไม่ถึงแน่นอนว่าจะมาเจอกับเหยื่อที่ไม่กลัวมันเลย มันอาจกำลังคิดว่าเหยื่อที่ไม่หวาดกลัวมันแม้แต่น้อยคนนี้ ไม่แน่ว่าบางทีอาจเก่งกาจเป็นอย่างยิ่งก็ได้ พอคำรามไปคำรามมาลำคอของฉันรู้สึกราวกับจะฉีกขาด แก้วหูเกือบถูกสั่นสะเทือนจนแตกเช่นกัน ฉันจะหยุดไม่ได้ แค่หยุดพักสักวินาทีหนึ่ง หรือแค่ทันทีที่ฉันถอย กรงเล็บและฟันของมันจะมาทักทายทันที
ฉันกวัดแกว่งพลั่วเหล็กขยับต้อนไปทางมัน เมื่อเห็นแสงสีขาวบนคมพลั่วมันก็อดที่จะถอยหลังไปอีกสองก้าวไม่ได้ พลั่วเหล็กอันนี้ไม่ใช่อันที่ปกติฉันใช้ขุด แต่เป็นอาวุธสำหรับป้องกัน ฉันลับคมพลั่วให้คมเหมือนมีด ขอเพียงมันกล้ากระโจนเข้ามาด้านหน้าเสมอกับคมมีดย่อมตัดลำคอของมันขาดได้แน่นอน หากมันอ้อมกระโจนมาจากด้านข้าง ต่อให้การเคลื่อนไหวของมันจะเร็วเพียงใด แค่สะบัดด้ามจับยาวๆ มันก็อย่าได้หวังจะเข้าใกล้ฉันในรัศมีหนึ่งร้อยแปดสิบองศา ไม่ผิด ฉันไม่มีทางแพ้ให้กับมัน แค่ต้องสงบนิ่ง อย่ากลัว!
เสียงขยับที่ดังสนั่นทำให้คนในห้องตกใจตื่น โชคดีอย่างยิ่งที่เขาไม่ใช่คนบุ่มบ่ามโง่เขลา และก็ไม่ได้กระโจนออกนอกประตูมาตรงๆ แต่เคาะบานหน้าต่างดึงดูดความสนใจของฉันแทน
“จุดตะเกียง ไม่ จุดคบเพลิง! แท่งจุดไฟอยู่บนหัวเตียง!” ฉันตะโกนเสียงดัง
หมาป่าตรงหน้าก็พบเขาแล้วเช่นกัน มันก้าวมาด้านหน้าหนึ่งก้าวแล้วคำรามเสียงต่ำด้วยความกระวนกระวายใจขึ้นมา
“ไป...!”
ฉันยกพลั่วเหล็กขึ้นแล้วกระทุ้งโคลนที่ใต้ฝ่าเท้าของมันอย่างแรงทันที จากนั้นขุดดินกองหนึ่งสาดไปตรงหน้ามัน ฉันแค่ถือโอกาสข่มพละกำลังของมัน ไม่กล้าเปิดฉากโจมตีจริงๆ เพราะรู้ว่าพอเปิดฉากต่อสู้แล้วหมาป่าจะไม่ลังเลและกลัวหัวหดอีก จวบจนเหยื่อกลืนลมหายใจสุดท้ายมันถึงจะถอยทัพกลับ ฉันยินยอมเป็นเสือดาวดีกว่าที่จะเป็นหมาป่า
พอเจ้าตาเขียวถูกพลั่วทำให้ตกใจจนถอยกลับไปฉันก็คำรามพร้อมกวัดแกว่งพลั่วในมือต่อ เสียงก็แหบแล้ว แขนก็เมื่อยแล้ว ทว่าคนที่จุดคบเพลิงนั่นยังไม่ออกมา ฉันจึงอดที่จะก่นด่าอยู่ในใจไม่ได้ ไปคลอดลูกเรอะ!
ในขณะที่ฉันเป็นฝ่ายถูกบีบให้ถอยนั่นเอง ลูกกลมๆ ที่ให้ความรู้สึกร้อนแผดเผาลูกหนึ่งก็พัดผ่านบ่าของฉันไป เสียงลุกไหม้ดังเปรี๊ยะๆ ยังมีกลิ่นผมถูกเผาอีกด้วย ลูกไฟกลมที่มีขนาดเท่าลูกฟุตบอลนั่นถูกเตะตรงเข้าหน้าผากของหมาป่าตาสีเขียวพอดี หมาป่าเป็นสัตว์ที่กลัวแสงไฟเป็นอย่างยิ่ง มันไม่กล้าเข้ามาใกล้ในรัศมีสิบฉื่อ ยิ่งไม่ต้องพูดถึงว่าถูกลูกไฟกลมแปลกประหลาดที่ลอยมาแบบนี้เผาคิ้วและเครา มันรีบหมุนตัววิ่งหนีด้วยความหวาดกลัวยิ่งในทันที ทว่ามันวิ่งไปได้ไม่กี่ก้าวก็มีลูกไฟยิงเข้าที่ก้นของมันอีก เสียงเห่าหอนด้วยความกลัวอันน่าเศร้าสลดนั่นแม้แต่ฉันยังทนไม่ได้ ดูท่าชีวิตนี้มันคงไม่มีความคิดที่กล้าจะแตะต้องบ้านหลังเล็กนี่อีกต่อไปแล้ว รอดแล้วสินะ
ฉันใช้พลั่วเหล็กค้ำยันขาที่อ่อนแรง เมื่อหันไปก็พบว่าวีรบุรุษของพวกเรายังคงเตรียมจุดไฟลูกที่สามจึงรีบยับยั้งไว้ เก็บไว้ใช้คราวหน้า อย่าสิ้นเปลืองเลย
“นั่น...ทำอย่างไร?”
ฉันเป่าแท่งจุดไฟแล้วส่องไปที่ลูกกลมๆ นั่น เมื่อเพ่งมองดีๆ นั่นมัน นั่นมันเสื้อผ้าของฉันนี่นา! ยังมีกลิ่นนี้อีก น้ำมันตะเกียง! แม้จะไล่หมาป่าไปแล้ว แต่ค่าตอบแทนหนักหนานัก น้ำมันตะเกียงทั้งกาของฉันและเสื้อผ้าที่ดีที่สุดสามชิ้นของฉัน! น้ำมันตะเกียงกานั้นต้องใช้เหรียญทองแดงสามสิบพวง และนอกจากเสื้อผ้าสามชิ้นนั่นฉันก็ไม่มีเสื้อผ้าที่สามารถสวมออกไปข้างนอกอีกแล้ว!
“ฟืน!” ฉันกัดฟันแล้วเอ่ยว่า “ข้าบอกให้เจ้าจุดคบเพลิงไม่ใช่หรือ?” พอโกรธขึ้นมาฉันกลับพูดจาคล่องแคล่ว
เขามองฉันแวบหนึ่งอย่างเกียจคร้านแล้วหมุนตัวกลับเข้าบ้าน
ฉันรู้ว่าจะจุดคบเพลิงจำเป็นต้องใช้เวลา แต่ฉันรอได้นี่ ฉันสามารถยืนหยัดรอต่อไปได้อีกครู่หนึ่งจริงๆ นะ ฮือ...น้ำมันตะเกียงของฉัน เสื้อผ้าของฉัน ไปหมดแล้ว ฉันต้องขึ้นภูเขาไปเก็บฟืนเพื่อแลกเงินตอนนี้เลยไหม?
ฉันจับเสื้อผ้าที่ชุ่มน้ำมันตะเกียงขึ้นมาดม มันเหม็นจนดมไม่ได้ ทั้งยังได้กลิ่นอีกกลิ่นจางๆ ด้วย เมื่อดมไปดมมาก็พบว่ามันคือผมที่ไหม้เกรียมของฉัน เขาคงไม่ได้ตั้งใจสินะ? ในเมื่อเขาสามารถเตะมันถูกหน้าผากและก้นของหมาป่าตัวนั้นได้อย่างแม่นยำ จะเตะไม่ให้ถูกฉันก็คงทำได้นั่นแหละ หรือต้องบอกว่าเขาจงใจเผาผมฉันจนหมดหัวก็คงทำได้? ช่างเถอะ ไหม้แล้วก็ไหม้ไป ตอนนี้เรื่องที่สำคัญอีกเรื่องคือ ฉันอยากถ่ายเบา
“นี่! เหตุใดเจ้า...” เขาวิ่งออกมาอีกทำไมกัน
“เข้าบ้านไป”
“ข้า ข้าจะ...”
“อะไร?” เขาถามอย่างหงุดหงิด
ฉันไม่ตอบ ฉันอยู่ข้างห้องน้ำเขาคิดว่าฉันควรจะทำอะไรล่ะ
คราวนี้เขาถึงค่อยเห็นชัดขึ้นว่าฉันกำลังคลายกางเกงจึงรีบเดินออกห่างแล้วมองไปยังทิศทางที่หมาป่าเพิ่งวิ่งหนีไปเมื่อครู่พร้อมกับเอ่ยว่า “เร็วหน่อย”
เขากำลังยืนเฝ้าระวังให้ฉันหรือ กำลังเป็นห่วงฉันใช่ไหม? ฉับพลันฉันรู้สึกถึงความอบอุ่นหลั่งไหลเข้ามาภายในใจ ค่ำคืนอันเหน็บหนาวนี้ฉันไม่รู้สึกหนาวแม้แต่น้อยแล้ว
แต่ทว่า...น่าเกลียดนัก เขายืนอยู่ตรงนี้ ฉันฉี่ไม่ออก

หน้าหนาวปีนี้ช่างหนาวเหลือเกิน แม้แต่ต้นเหมยแดงนอกบ้านต้นนั้นก็ยังเกรงกลัวต่อความหนาวเย็น จวบจนปลายเดือนสามมันถึงค่อยแตกกิ่งก้านออกมา เช้าตรู่พอฉันเปิดประตูออกมาแล้วพบดอกไม้ที่เมื่อหลายวันก่อนยังตูมอยู่บานออกเป็นสีแดง ฉันก็ลากเขาที่กำลังสวมรองเท้าไปที่สวนด้วยความดีอกดีใจ เขาถูกฉันลากมาหน้าต้นเหมยแดงโดยไม่รู้เรื่องรู้ราว ภายใต้การพูดจาอ้ำๆ อึ้งๆ พร้อมกับทำไม้ทำมือเขาก็เข้าใจในที่สุดว่าฉันลากเขาออกมาดูดอกไม้นี้
ดูดอกไม้!
สายตาเดือดดาลกวาดมองมาทางฉัน ฉันก้าวถอยหลังไปพลางยิ้มอย่างเก้อเขินไปพลาง ฉันก็ไม่รู้เหมือนกันว่าทำไม ก่อนหน้านี้เวลาที่ดอกไม้บานฉันไม่ได้ตื่นเต้นขนาดนี้ ครั้งนี้แค่อยากให้เขาเห็นสิ่งสวยงามในสวนของฉัน
“ข้าเด็ดไม่ออก...เจ้าช่วยข้า ช่วยเด็ดให้ข้าสักกิ่ง...ข้าหมายถึงดอกไม้...” ฉันพูดไปส่งๆ เพราะต้องมีเหตุผลที่ลากเขาออกมา
คาดไม่ถึงว่าเขาจะตอบรับฉันจริงๆ “กิ่งไหน?”
“นั่น ไม่ ทาง...ทางนั้น”
ภาพเหตุการณ์นั้นฉันจดจำได้อยู่ตลอด เขายืนอยู่ตรงนั้น เย็นยะเยือกและสุขุมเหมือนกับต้นเหมยนั่น เขาก็คือเขา ที่แค่เห็นแวบเดียวมองออกถึงความเรียบง่ายและหมดจด ตอนนั้นเขายังมีความอบอุ่นอยู่บ้าง เหมือนกับจุดสีแดงหลายจุดที่กระจายกันอยู่บนกิ่งไม้ แม้จะเล็กน้อยกลับทำให้ค่อยๆ รู้สึกถึงความอบอุ่น...
“นี่!...” กิ่งดอกไม้ตีเข้าที่หน้าฉัน คงเพราะการจ้องเขม็งอย่างจาบจ้วงของฉันทำให้เขาโมโห ทว่าพูดตามความจริง ภายใต้กิ่งก้านของดอกเหมยแดงช่าง...งดงามจริงๆ ที่งดงามไม่ใช่เหมยแดง แต่เป็นเขา กิ่งก้านดอกไม้สีแดงหลายกิ่งขับให้ใบหน้าของเขายิ่งดูขาวพร่างพราวดุจหิมะ ผิวเขาช่าง...ช่างนุ่มนิ่ม ฉันอดที่จะกลืนน้ำลายลงไปอึกหนึ่งไม่ได้ ไม่ได้สัมผัสแตะต้องเนื้อหนังมานานมากแล้ว... “นี่...!” คราวนี้เป็นก้อนโคลนกลมๆ กระแทกที่หน้าผาก มันเจ็บจนฉันร้องเสียงดัง
ในดวงตาของเขาไม่ได้มีเพียงแค่ความเดือดดาล ยังมีความหวาดหวั่นจากความตกใจเล็กน้อยด้วย ไอ้หยา ฉันแค่กลืนน้ำลายเท่านั้น ไม่ได้จะกินเขาลงไปจริงๆ เสียหน่อย
ก้อนโคลนที่ปาใส่ฉันเห็นได้ชัดว่ายังไม่อาจบรรเทาความเคียดแค้นได้เพียงพอ เมื่อเห็นใบหน้าเขาเต็มไปด้วยไอสังหารของการทำลายล้าง ฉันจึงตัดสินใจลงมือจัดการก่อน หยิบโคลนขึ้นมาสองสามก้อนแล้วปาไปพลางกระโจนเข้าหาเขาไปพลาง เขาก็ปะทะเข้ามา หลังจากนั้นเราสองคนตีกันอุตลุดตามที่ควรจะเป็น เขาลงมืออย่างไร้เยื่อใย ฉันก็ทำเขาเจ็บเช่นกัน นึกดูแล้วตอนนั้นเจ็บก็เจ็บแต่กลับยิ้มได้

ฉันไม่รู้ว่าฉันเก็บเด็กคนหนึ่งที่มีฐานะอะไรกลับมา ข้าวของของเขา กิริยาท่าทางของเขา ความสามารถของเขา ทุกสิ่งอย่างล้วนแสดงให้เห็นถึงความไม่ธรรมดาของเขา ในตอนเช้าหลังจากนั้นสามวัน ตอนที่ฉันกลับมาจากไปซื้อน้ำมันตะเกียงในตำบล บ้านหลังเล็กก็ถูกคนและม้ากลุ่มใหญ่ล้อมไว้แล้ว ม้าที่ทั้งสูงทั้งใหญ่ ผู้คนที่ทั้งดุร้ายทั้งมีกำลังอำนาจ ฉันไม่กล้าเข้าไปใกล้ส่งเดช



+++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++
ไม่รู้ว่าเนิ่นนานเท่าไรกว่านางจะเดินทางจากโลกเดิมมาถึงโลกนี้ มิหนำซ้ำยังปรากฏตัวท่ามกลางฝูงตั๊กแตนดำทะมึนจนกลายเป็นที่สาปแช่งเดียดฉันท์มานานปี และกาลเวลาที่ไม่อาจทำร้ายนางได้ยิ่งทำให้นางไม่เหมือนมนุษย์มากขึ้นทุกที จนกระทั่งได้พบกับเขา...เด็กชายผู้หยิ่งทะนง แม้หิวก็ไม่พูด เจ็บก็ไม่ร้อง เพียงมองนางอย่างยโส

เขาทำให้นางรู้ว่านางไม่ใช่มนุษย์ธรรมดา แต่เป็นเทพธิดาผู้นำพาฮ่องเต้ขึ้นสู่บัลลังก์ ดังนั้นพวกของเขาจึงนำนางออกมา ‘แสดงตัว’ และเก็บนางไว้เพื่อพิสูจน์ว่านางไม่มีวันแก่จริงๆ รอจนเขาเติบใหญ่ ถึงเวลานั้นค่อยใช้งานนาง ทว่าใครจะรู้ว่าเพราะคำว่าเทพธิดานี้ทำให้มีทั้งคนที่อยากได้นางไว้ และคนที่อยากฆ่านางให้ตายไปเสีย แม้แต่เขาเองยังเอ่ยว่า...ให้เจ้าตายอยู่ข้างนอก มิสู้ให้ข้าตีเจ้าตายเสียดีกว่า


รูปภาพ รูปภาพ รูปภาพ

ตอบกลับโพส

ย้อนกลับไปยัง “Bongkoch Books News & Activities”