New Release เหลียนฮวา : รักแรกของราชาจิ้งจอกผู้งดงาม (มี 2 เล่มจบ)

อัพเดทข่าวบงกชบุ๊คส์ ความเคลื่อนไหว และกิจกรรมพิเศษ ตลอดจนร่วมสนุกชิงรางวัลพร้อมของรางวัลมากมาย

Moderator: P'Bly, Gals, พี่บี

ตอบกลับโพส
Gals
โพสต์: 1072
ลงทะเบียนเมื่อ: ศุกร์ 13 ก.พ. 2009 3:47 pm

New Release เหลียนฮวา : รักแรกของราชาจิ้งจอกผู้งดงาม (มี 2 เล่มจบ)

โพสต์ โดย Gals »

บทที่หนึ่ง

ครั้งนี้เป็นการเข้าฌานฝึกบำเพ็ญครั้งที่สิบของเขา
เขาเก็บรักษากายเนื้อไว้ในใจกลางพฤกษาต้นใหญ่ยักษ์บนยอดเขาหลิ่นหราน ไม่มีแสงสว่างใดส่องลอดเข้าไปได้แม้แต่เศษเสี้ยว สิ่งที่ห้อมล้อมเขาล้วนมีแต่ปราณอันเงียบสงบ โดยที่เขาสามารถนำมาใช้งานได้ตามใจชอบ
ด้วยเหตุนี้ปราณนอกร่างกายจึงถูกซึมซับเข้ามาอยู่ภายในร่าง เคลื่อนไหวโคจรอยู่ในเลือดเนื้อของเขา ไหลเวียนเข้าไปในจิตใจและความคิด ภายในใจกลางพฤกษาต้นใหญ่มหึมาที่หยั่งรากลึกลงดินนี้ไร้ซึ่งนภาและไร้ซึ่งปฐพี ไร้ดวงตะวันและไร้จันทรา ไร้ที่สิ้นสุดซ้ำยังไร้ขีดจำกัด
ที่เขาตื่นขึ้นมาเป็นเพราะสัมผัสได้ถึงแรงกระเพื่อมไหวในปราณ
สิ่งนั้นคล้ายกับมีแต่ก็เหมือนไม่มี บางคราราวสลายหายไปท่ามกลางความเวิ้งว้างกว้างไกลไร้ที่สิ้นสุด แต่บางครั้งกลับกล้าแกร่งรุนแรงยิ่ง...กระตุ้นความสนใจของเขาขึ้นมาได้อย่างไม่เคยมีมาก่อน
จิตรับรู้ของเขาเคลื่อนออกจากร่าง ลอยออกจากความมืดมิด เสาะหาแหล่งกำเนิดของปราณนั้น
เขาหลิ่นหรานตั้งอยู่ชายแดนหรดีของแผ่นดินชาวฮั่นในแถบจงหยวน เบื้องล่างของภูเขามีแม่น้ำสายใหญ่ไหลผ่าน แม่น้ำสองสายไหลมาบรรจบกันนำพามาซึ่งโอกาสในการค้าขายมากมายมหาศาล ดังนั้นหมู่บ้านชาวประมงเล็กๆ จึงมีราษฎรมารวมตัวอาศัยอยู่มากขึ้น ไม่เพียงแต่ชาวฮั่น ชนกลุ่มน้อยจากทั่วสารทิศก็พากันยกครอบครัวมาตั้งรกรากอยู่ที่นี่ไม่น้อยเช่นกัน การเดินทางทางน้ำและทางบกเจริญก้าวหน้าขึ้นเรื่อยๆ ในเวลาเพียงไม่ถึงร้อยปี หมู่บ้านชาวประมงเล็กๆ เมื่อครั้งกระโน้นก็กลายเป็นเมืองเฟิงเซี่ยที่คึกคักเปี่ยมชีวิตชีวาไปแล้ว
ทว่าแหล่งที่มาของแรงกระเพื่อมนั้นไม่ได้อยู่ในตัวเมืองครึกครื้นวุ่นวาย แต่อยู่บนยอดเขาที่ปกคลุมด้วยหิมะพร่างพราว
เขาหลับตาทั้งสองข้างเบาๆ อยู่ในใจกลางต้นไม้อันมืดสนิทราวกับรูปสลักกระดกมุมปากขึ้นเบาๆ...
“หอม...”
กลิ่นหอมหาใช่กลิ่นบุปผาธรรมดาๆ ไม่ เป็นกลิ่นหอมหวนที่เสมือนได้จากดวงอาทิตย์สาดส่องลงบนกิ่งไม้ พาให้หยาดน้ำค้างบนมวลผกานับไม่ถ้วนระเหยกลายเป็นไอ พร้อมกันนั้นก็คลุกเคล้าด้วยกลิ่นดินตะกอนชั้นแล้วชั้นเล่า...
ไม่เพียงแต่หอมกรุ่น ซ้ำยังอบอุ่น อบอุ่นมากทีเดียว
บนยอดเขาปกคลุมด้วยหิมะในช่วงเหมันต์หนาวจัดนี้กลับอุ่นสบายขึ้นมาอย่างไม่มีสาเหตุ ทำให้เขาอยากจะกลับคืนสู่ร่างที่แท้จริง วิ่งห้อตะบึง นอนกลิ้งเกลือกไปมาบนพื้นหิมะหนายิ่งนัก
...เอ๋ อยากจะลงไปนอนกลิ้งเกลือกบนพื้นหิมะหนาก็ยังไม่เท่าไร แต่อยู่ๆ เขาดันรู้สึก...กระหายด้วยนี่สิ?!
บำเพ็ญเพียรมาสิบขั้น ขั้นใหญ่ๆ เช่นการ ‘สร้างรากฐาน’ ในช่วงแรกเริ่มล้วนต้องบำเพ็ญเพียรนับร้อยปี หลังจากบำเพ็ญเพียรร้อยปีแรกสำเร็จก็ดูเหมือนว่าเขาจะไม่ต้องดำรงชีวิตด้วยการพึ่งพาอาหารและน้ำอีกต่อไป ที่บางครั้งบางคราเขากินอาหารบ้างล้วนแต่เป็นเพราะสงสัยในรสชาติของสิ่งนั้น ไม่เกี่ยวกับการแก้หิวดับกระหายเลยแม้แต่นิดเดียว ทว่าบัดนี้เขากลับมีความรู้สึกท้องร้องหิวโหย มิหนำซ้ำลำคอยังกระหายจนแห้งผากเล็กน้อย!
หรือว่าเขาจะเข้าไปอยู่ในดินแดนภาพมายาที่ผู้อื่นวางกับดักไว้?
ในใจของเขาไม่มีความแตกตื่นหวาดกลัวใดๆ รอยยิ้มเย็นเยียบกลับผุดออกมาระลอกแล้วระลอกเล่าแทนด้วยซ้ำ
การฝึกบำเพ็ญครั้งที่สิบเขาเพิ่งจะเข้าฌานไปเพียงไม่กี่สิบปี เขาถึงได้ยอมหยุดพักก่อนสักครู่ คนไม่ดูตาม้าตาเรือผู้ใดกันกล้ามาเหยียบในถิ่นของเขา?
ร่างแปรล่องลอยไปตามสายลม เสี้ยวพริบตาถัดมาเขาก็หาจุดที่ส่งกลิ่นหอมกรุ่นกระจายฟุ้งเจอ...
เป็นดรุณีน้อยที่ดูน่าจะอายุ...สิบสองสิบสามปีคนหนึ่ง?!
“พี่เสี่ยวหลี พวกเราถึงหรือยัง ข้าคิดถึงท่านพ่อของข้า ท่านเคยเห็นท่านพ่อข้าที่นี่ใช่หรือไม่”
น้ำเสียงยามเอ่ยวาจาของดรุณีน้อยแผ่วอ่อนนิดๆ ทว่าแต่ละคำล้วนชัดเจน เสื้อและกางเกงบุนวมตัวหนา พร้อมหมวกบุนวมครอบหูใบเล็กๆ ห่อหุ้มร่างเล็กจ้อยจนอ้วนกลม นางออกแรงเดินบนพื้นหิมะอย่างเหน็ดเหนื่อย แม้จะย่ำเดินบนพื้นที่สูงต่ำไม่สม่ำเสมอ แต่ช่วงขาก็ยังเดินมั่นคงไม่ซวนเซ ดูเหมือนว่าเคยฝึกพื้นฐานวรยุทธ์
เด็กหนุ่มตัวน้อยที่เดินตามอยู่ด้านหลังไม่เอ่ยตอบ ทันใดนั้นนางจึงหยุดนิ่งแล้วหันกลับไป
มีเสี้ยวพริบตาหนึ่งปราณที่นางปล่อยออกมานั้นเกร็งเครียด ตามมาด้วยความนิ่งเงียบหนักอึ้งปานสีดำทะมึน
แต่ในชั่วเวลาสั้นๆ เพียงอึดใจเดียวสีหน้าท่าทางของดรุณีน้อยก็กลับมาผ่อนคลายสบายใจอีกครั้ง
“พี่เสี่ยวหลี...” นางฉีกยิ้ม ลักยิ้มปรากฏออกมาให้เห็น “ท่านหิวแล้วสินะ นี่ ข้ามีขนมข้าวเหนียวไส้ถั่วหวานด้วย ป้าจู๋ปั้นให้แต่เช้าเลย ให้ท่าน ให้ท่านหมดเลย” พูดจบนางก็ล้วงห่อใบไผ่ห่อหนึ่งออกมาจากในช่องด้านในคอเสื้อบุนวม ยื่นไปให้เด็กหนุ่มตัวน้อยที่ประกายวาววับในดวงตาเริ่มโผล่เล็ดลอดออกมา
เด็กหนุ่มตัวน้อยมิได้รับน้ำใจของนาง
“พี่เสี่ยวหลี ข้าคิดถึงท่านพ่อแล้ว...ข้าแค่อยากหาท่านพ่อให้เจอเท่านั้น ทะ ท่าน...”
ถ้อยคำของดรุณีน้อยยังกล่าวไม่ทันสิ้น ‘พี่เสี่ยวหลี’ ของนางก็พุ่งพรวดจู่โจม!
เด็กหนุ่มตัวน้อยเด้งตัวกระโจน ปรี่ถลาเข้าใส่ด้วยพละกำลังอันน่าเหลือเชื่อ รูปลักษณ์และร่างกายแปรเปลี่ยนฉับพลัน เผยเขี้ยวแหลมกรงเล็บคมกริบออกมา
เมื่อเผชิญหน้ากับการกลายร่างอย่างรวดเร็วของเขา แม่นางน้อยเพียงหลับตาทั้งสองข้างแน่น นิ้วทั้งสิบกำเป็นหมัด แขนทั้งสองข้างไขว้บังไว้ด้านหน้า
นางไม่เห็นสิ่งใดทั้งสิ้น แต่ก็คล้ายกับมองทะลุปรุโปร่งทุกสิ่งทุกอย่าง สุดท้ายจึงเลือกที่จะไม่มอง
ตูม...
‘พี่เสี่ยวหลี’ ไม่เพียงแต่พุ่งเข้ามาไม่ถึงตัวนาง ซ้ำยังถูกกำแพงปราณล่องหนสะท้อนกลับไปอีกด้วย!
ยามนี้เกิดเหตุการณ์ไม่คาดคิดคาดฝันขึ้น กายเนื้อที่กลายร่างถูกโจมตีกลับจนกระเด็นกลับไปกระแทกต้นสนเก่าแก่หักติดๆ กันสองต้นแล้วถึงได้สงบท่าทีลง หิมะก้อนน้อยใหญ่ทั้งหมดบนกิ่งสนร่วงหล่นปุๆ ลงบนร่างสัตว์ร้ายขนปุยที่สลบไสลไปด้วยแรงกระแทก
เผยร่างเดิมออกมาให้เห็นจนหมดสิ้น
เป็นจิ้งจอกสีดำซึ่งมีขนสีเหลืองขึ้นแซม
คนที่อยู่ภายในใจกลางพฤกษาต้นใหญ่ยักษ์แค่นเสียงฮึอย่างเย็นชา เขาดูถูกดูแคลนจิ้งจอกดินชั้นต่ำที่ ‘หลงเดินทางผิด’ คิดกินเนื้อมนุษย์ ซึ่งหลังกินมนุษย์เข้าไปจะยิ่งมีความเป็นปีศาจมากกว่าเดิมพรรค์นี้ยิ่งนัก ไม่เพียงแต่ดูถูก เขายังเกลียดชังมากอีกด้วย เพราะมีพวกไม่เอาไหนแบบนี้จึงทำให้สถานะอันสูงส่งของเผ่าพันธุ์จิ้งจอกยิ่งตกต่ำลงทุกที
ในสมัยโบราณกาล จิ้งจอกสวรรค์ที่บำเพ็ญเพียรจนมีเก้าหางสามารถเบียดพวกปี่เซียะหรือกิเลนให้กระเด็นไปนอกขอบนภาเลยก็ยังได้ ไหนเลยจะเหมือนอย่างในปัจจุบันนี้ สิ่งใดที่เกี่ยวข้องกับ ‘จิ้งจอก’ ล้วนแต่มีชื่อเสียงเหม็นโฉ่ทั้งสิ้น
นอกจากนั้น มนุษย์น่ากินตรงไหนกัน ไม่เพียงแต่พลังวิญญาณปวกเปียกอ่อนระโหย ยิ่งกว่านั้นยังมีแต่ตับไตไส้พุงสกปรกโสโครก เหม็นหึ่งเป็นที่สุด กลิ่นคาวเหม็นเน่า...แต่เมื่อร่างแปรของเขาพลันเคลื่อนย้ายมาอยู่ข้างกายดรุณีน้อย คำด่าทอค่อนขอดอันท่วมท้นมหาศาลในใจเขาที่มีต่อสิ่งมีชีวิตอย่าง ‘มนุษย์’ กลับหยุดชะงักไปโดยบัดดล
แม้ดรุณีน้อยจะมีกำแพงปราณปกปักคุ้มครอง แต่ก็ใช้งานได้ไม่ช่ำชองเลยสักนิด ปราณล่องหนนั้นสะท้อนจิ้งจอกดินจนลอยกระเด็นออกไป แต่ฤทธิ์เดชที่เกิดขึ้นก็ทำให้นางเจ็บตัวเล็กน้อยเช่นกัน
นางล้มหงายอยู่บนพื้นหิมะ หลับตาหอบหายใจแฮกๆ หมวกบุนวมลอยปลิวไปแล้ว เส้นผมนุ่มนวลสีดำขลับปกปิดดวงหน้าน้อยๆ เอาไว้ครึ่งหน้า ดูท่าทางอ่อนแอน่ารังแกยิ่ง...แต่ทว่าใช่แล้ว เด็กน้อยผู้นี้ช่างน่าโอชะจริงๆ น่าโอชะถึงขีดสุด โอชะจนเขาไม่อาจตำหนิจิ้งจอกสีดำตัวนั้นต่อไปได้ ถ้าเป็นตอนที่เขายังเยาว์วัย ยังเบาปัญญา เขาก็ไม่มั่นใจสักเท่าไรว่าจะสามารถต้านทานเด็กตัวน้อยตรงหน้าที่มีกลิ่นหอมหวนพิสุทธิ์เอมโอชยิ่งกว่าเซียนเดินดินหรือเซียนพเนจรทั่วๆ ไปได้
ร่างแปรเคลื่อนย้ายมาอยู่ข้างกายนาง ก้มลงมองจากตำแหน่งที่สูงกว่า
หลังมือของนางมีแสงสีทองที่ยังไม่เลือนหายไปปรากฏให้เห็นรางๆ แสงสีทองก่อตัวเป็นลวดลายอักขระ เป็นยันต์คุ้มกันภัยโบราณชนิดหนึ่ง สอดรับประสานเข้ากับพลังวิญญาณอันเปี่ยมล้นในร่างกายของนาง ทั้งสามารถโจมตีและป้องกันตัวได้
ทีแรกเขาสนใจใคร่รู้ที่มาของยันต์นี้ แต่ต่อมาความคิดก็พลันแปรเปลี่ยน...
ดรุณีน้อยผู้นี้โง่เขลาอย่างนั้นหรือ?
เมื่อครู่นางพูดเองเออเองแต่ไม่ได้รับคำตอบ เมื่อหันไปมอง ‘พี่เสี่ยวหลี’ ของนาง ทั้งๆ ที่เห็นหางซึ่งยังไม่ทันเก็บกลับและหูจิ้งจอกโผล่ขึ้นมาบนศีรษะของจิ้งจอกดินแล้วแท้ๆ นางกลับมิได้ชิงโจมตีเล่นงานปีศาจก่อน ดันทึ่มทื่ออยากจะกลบเกลื่อนเหมือนว่าไม่มีสิ่งใดเกิดขึ้น คิดว่าหยิบขนมข้าวเหนียวไส้ถั่วหวานออกมาก็จะสามารถเบี่ยงเบนความหิวกระหายที่จิ้งจอกดินมีต่อนางได้...
พิลึกคนอย่างน่าประหลาดถึงเพียงนี้
เด็กน้อยคนนี้...เป็นมนุษย์กระมัง หากไม่ใช่ แล้วเป็นปีศาจตนใดจำแลงกายมากัน
เขาอยากจะดูให้ละเอียดชัดเจนกว่านี้อีกนิด ร่างแปรจึงโน้มต่ำลงกว่าเดิม
ตบะพันปีทำให้ยามนิ้วแปรของเขาวาดผ่านความว่างเปล่าเบาๆ แม้จะมิอาจสัมผัสผิวกายนางได้จริงๆ แต่ก็สามารถปัดปอยผมที่ปกคลุมหน้าผาก ปกปิดพวงแก้มปอยนั้นออกได้ ทำให้นางเผยใบหน้างดงามหมดจดออกมาทั้งดวง
เขาแบนิ้วมือทั้งห้าออกทาบทับลงบนยอดศีรษะของนาง หน้าผากและหว่างคิ้วของนาง สุดท้ายก็เคลื่อนไปยังทรวงอกด้านซ้ายอย่างแช่มช้า
เป็นมนุษย์ไม่ผิดแน่
วิญญาณ โครงกระดูก และเลือดเนื้อ มีชีวิตตัวเป็นๆ อย่างจริงแท้แน่นอน
ในขณะที่เขาจะชักฝ่ามือกลับ ขนตาสีดำสั่นไหวของแม่นางน้อยนั้นเปิดออก นัยน์ตาสีดำสนิทฉ่ำน้ำสองดวงกลับจ้องตรงมายังใบหน้าของเขา!
...นางมองเห็นเขา?
เป็นไปได้อย่างไรกัน?!
คิ้วทั้งสองข้างของเขากระดกขึ้นน้อยๆ ร่างแปรไม่ขยับเขยื้อน วางแผนจะใช้ความนิ่งเงียบสยบความเคลื่อนไหว แต่ไหนเลยจะคาดคิดว่าแม้นัยน์ตาของนางจะจ้องมาที่ใบหน้า ที่ร่างกายของเขา กลับมิได้สบเข้ากับสายตาของเขา
นางมิได้มองเห็นเขา แต่ว่านางสัมผัสได้
“ท่านพ่อ...” สุ้มเสียงนั้นอู้อี้เบาๆ อยู่ในริมฝีปากน้อยของนาง นุ่มนวลผะแผ่ว เต็มเปี่ยมไปด้วยความถวิลหาอาวรณ์
คิ้วทั้งสองข้างของเขากดต่ำลง จมูกแค่นเสียงฮึเย็นชา แน่นอนว่าเสียงนั้นก้องสะท้อนอยู่ในใจกลางพฤกษาต้นใหญ่ยักษ์เท่านั้น
ร่างแปรถอยออกทันใด ดรุณีน้อยพลันตื่นตระหนก หยัดกายลุกขึ้นนั่งอย่างรวดเร็ว...
“ท่านพ่ออย่าไปนะเจ้าคะ! ข้าจะเป็นเด็กดี จิ้งเอ๋อร์จะเป็นเด็กดี ท่านพ่ออย่าหายไปไม่กลับมาอีกนะเจ้าคะ!”
ใบหน้าดวงน้อยของนางซีดเผือด ร่างกายโงนเงนประคองตัวไม่ไหวสักเท่าใดนัก
เมื่อสัมผัสได้ว่าปราณแกร่งกล้าสายนั้นมิได้จากหายไป แต่วนเวียนอยู่รอบกาย นางก็ดูเหมือนจะอุ่นใจขึ้นเล็กน้อย ทว่ายามนี้ลายอักขระบนหลังมือกลับส่องแสงวูบวาบเจิดจรัสขึ้นมากกว่าเดิมเป็นเท่าทวี เสมือนดั่งทองคำเหลวในเพลิงพระกาฬ...ตามหลักแล้วหลังจากนางเรียกกำแพงปราณออกมา ยันต์อักขระก็ควรจะเลือนหายไป เหตุใดยังเปล่งแสงสว่างวาบอีกเล่า?!
หรือว่า...
“ไม่ใช่...ไม่ใช่ท่านพ่อ...ท่านเป็นปีศาจ”
เหล่าผู้อาวุโสของเผ่าแม่มดที่ลงอาคมบนหลังมือนางบอกว่า หากยันต์อักขระปรากฏขึ้นแสดงว่ามีปีศาจอยู่ใกล้ๆ กาย
ยิ่งไปกว่านั้นลายอักขระยังสว่างไสวเจิดจ้าแสบตา ครั้งนี้จะต้องเป็นปีศาจร้ายในหมู่ปีศาจร้ายแน่นอน!
เมื่อได้ยินคำว่า ‘ปีศาจ’ ...อันแสลงหู ผู้บำเพ็ญตบะที่อยู่ในใจกลางพฤกษาจึงลืมตาโพลงทั้งสองข้าง นัยน์ตาสีน้ำเงินดำหดเข้าหากันราวเจ็บปวดรวดร้าว
เรื่องอื่นยอมได้ แต่เรื่องนี้ยอมไม่ได้เด็ดขาด เขาใช้ชีวิตอยู่บนผืนปฐพีนี้มานับพันปี มีบุญคุณแล้วไม่ตอบแทนยังไม่ถือว่าย่ำแย่ มีแค้นไม่ชำระนับเป็นเดนมนุษย์ ผิดถูกดำขาวล้วนกลับตาลปัตรได้ แต่มีเพียงเรื่องสองเรื่องเท่านั้นที่จะต้องปกป้องให้ถึงที่สุดให้จงได้
ร่างแปรถูกเรียกกลับคืน จิตกลับเข้าสู่ร่าง การบำเพ็ญเพียรครั้งที่สิบยังไม่สำเร็จบรรลุผลเขาก็ออกฌานก่อนกำหนด
แม้ความพยายามที่ทุ่มเทไปก่อนหน้านี้จะมิได้สูญเปล่า แต่ก็เสียหายไปบ้างไม่มากก็น้อย
แต่เสียหายแล้วก็เสียหายไป ด้วยพรสวรรค์และอภิญญาของเขา ค่อยเข้าฌานฝ่าด่านใหม่อีกครั้งนั้นมิใช่เรื่องยาก ตอนนี้มีเรื่องสำคัญยิ่งกว่าต้องไปสะสาง...เขาต้องแก้ไขคำพูดของดรุณีน้อยไม่รู้ที่มาที่ไปผู้นี้ให้ถูกต้อง
“ใครเป็นบิดาเจ้า? มีใครเขานับบิดากันครึ่งๆ กลางๆ แบบเจ้าบ้าง อีกอย่าง เจ้าต่างหากที่เป็นปีศาจ”
เมื่อครู่ยังตกใจสงสัยว่าไฉนปราณแก่กล้าสายนั้นจู่ๆ ถึงหายวับไป เสี้ยวพริบตาถัดมาดวงตาคู่งามของแม่นางน้อยก็เบิกกว้าง เงยหน้ามองเรือนกายสูงชะลูดที่ปรากฏตัวขึ้นฉับพลันกลางอากาศนั้นด้วยความตะลึงงัน
ดวงตาเรียวรีหางยกขึ้นน้อยๆ เรียวคิ้วงดงามประณีต สันจมูกตั้งโด่งจนทำให้ดูมีกลิ่นอายเย่อหยิ่งเล็กน้อย เบื้องล่างเป็นริมฝีปากบางเรื่อสีแดงอมชมพู สีผิวขาวกว่าหิมะถึงสามส่วน ซ้ำขาวผ่องจนแทบโปร่งใส ราวกับว่าเพียงเป่าเบาๆ ก็แตกสลาย...น่าจะ...เป็นบุรุษที่อายุน้อยยิ่ง แต่กลับมีเส้นผมสีขาววาววับราวกับหิมะทั่วทั้งศีรษะ เส้นผมเหยียดยาวและนุ่มสลวยเป็นที่สุด ยามพลิ้วสะบัดไปตามสายลมปรากฏเป็นแสงอบอุ่นละมุนละไมปานท้องนภาแจ่มใสหลังหิมะหยุดตก
ท่ามกลางสภาพอากาศที่หิมะตกหนัก ตั้งแต่หัวจรดเท้าของเขากลับสวมใส่แค่ชุดคลุมสีขาวตัวหลวมกว้างตัวเดียวเท่านั้น แม้กระทั่งสายคาดเอวก็คร้านจะผูก ดังนั้นสายลมหนาวเยือกจึงพัดเข้าไปในคอเสื้อ แขนเสื้อใหญ่ ชายเสื้อกว้างของเขา เขานิ่งไม่ขยับเขยื้อนเหมือนไม่รู้สึกรู้สา ราวกับว่าสวมเสื้อผ้าอาภรณ์เพียงเพื่อมิให้เปลือยกาย ไม่เกี่ยวอันใดกับการรักษาความอบอุ่นเลยแม้แต่เศษเสี้ยว
อึก แม้แต่รองเท้าถุงเท้าก็ไม่ใส่ เดินเท้าเปล่าย่ำอาดๆ อยู่บนพื้นหิมะ ไม่กลัวหนาวเลยจริงๆ...
ทันใดนั้นเท้าคู่งามที่รูปกระดูกและเนื้อหนังสะสวยสมดุลก็ก้าวเข้ามาใกล้นาง นางจึงได้สติกลับคืนมา เอ่ยโต้แย้งกลับไปเสียงงึมงำ...
“ข้าไม่ใช่ปีศาจ ข้าเป็นมนุษย์ ข้ามีชื่อ ข้าชื่อชิวตู่จิ้ง...” พูดจบนิ้วงามก็รีบเขียนชื่อของตนลงบนพื้นหิมะ จากนั้นนางก็เงยหน้าขึ้นมองเขาอีกครา “ท่านพ่อกับท่านแม่ตั้งให้ข้า ข้าเกิดมามีพ่อมีแม่ ข้าไม่ใช่ปีศาจ ข้าเป็นมนุษย์”
“มีพ่อมีแม่หรือ? ในเมื่อเป็นเช่นนี้เจ้าออกมาหาบิดาอันใดกัน”
คำเสียดสีของเขาทำให้นางผงะอึ้งไป
ริมฝีปากบางของเขาขยับอีกครั้ง เอ่ยถามเนิบนาบว่า “สรรพชีวิตมีมากมาย หากมิใช่มนุษย์แล้วต้องเป็นปีศาจอย่างนั้นหรือ? หากว่ากันด้วยเรื่องการบำเพ็ญตบะ เกิดเป็นมนุษย์นับว่าได้เปรียบไปมากโขแล้ว ถ้าสิ่งมีชีวิตอื่นๆ อยากจะบำเพ็ญให้ประสบผลสำเร็จ ไม่ว่าอย่างไรก็ต้องเริ่มต้น ‘สร้างรากฐาน’ ที่การกลายร่างเป็นมนุษย์ เจ้าว่านี่ยุติธรรมหรือไม่”
เขาเหลือบมองชื่อบนพื้นหิมะปราดหนึ่ง รอยยิ้มเยียบเย็นยิ่งกว่าเดิม...
“ข้าก็มีชื่อเช่นกัน แต่ว่าข้าตั้งให้ตัวเอง เป็นอย่างไร? สิ่งมีชีวิตอย่างพวกเราฝ่าด่านขึ้นมาทีละขั้นๆ เกิดมาเองเลี้ยงดูตัวเอง บำเพ็ญเพียรเองฝึกฝนเอง ไหนเลยจะมีบิดามารดามาคอยดูแล ดังนั้นเจ้าคิดว่า หากสิ่งใดมิใช่มนุษย์ก็ต้องเป็นปีศาจอย่างนั้นหรือ”
หัวสมองของชิวตู่จิ้งวิงเวียนมากพออยู่แล้ว ยามนี้ยิ่งถูกถามจนสับสนมึนงงกว่าเดิมเสียอีก
ทว่าคำพูดเพียงประโยคเดียวกลับฟาดใส่ความคิดความรู้สึกที่ว้าวุ่นสับสนของนางเข้าอย่างจัง
จำได้ว่าก่อนหน้านี้ไม่นานนางเคยแกะเปลือกข้าวฟ่างกับพวกท่านยายในเผ่าแม่มด ตอนที่ท่านผู้เฒ่าพูดคุยสัพเพเหระกับนาง พวกนางกล่าวว่า...ไสยพ้องกับธรรม ธรรมเชื่อมกับพุทธ กายมนุษย์นั้นยากจะได้ครอบครอง พระธรรมคำสอนยากจะได้สดับรับฟัง
ก็หมายความว่า หากปรารถนาจะรู้แจ้งเป็นอรหันต์ บรรลุธรรมขึ้นสวรรค์ ก็ต้องกระทำผ่านกายหยาบของมนุษย์
คนเราเกิดมาเป็นมนุษย์นับว่าได้เปรียบอย่างใหญ่หลวงจริงๆ
ได้เปรียบมากล้นแต่กลับดูถูกสิ่งมีชีวิตอื่น คิดว่าหากมิใช่มนุษย์ก็ต้องเป็นปีศาจ โลกทัศน์ของนางคับแคบเกินไปจริงๆ ใช่หรือไม่
“...ขอโทษด้วย ทะ ท่านถามได้ดี ข้าผิดเอง...ทึกทักเอาเองมากเกินไป ไร้มารยาทมากเกินไป” นางชะงักไปเล็กน้อยก่อนจะสูดหายใจเข้าลึกๆ หยัดร่างกายท่อนบนให้เหยียดตรงอย่างสุดกำลัง จากนั้นประสานมือยอบกายคารวะเขา เอ่ยแจ้งอีกครั้งด้วยน้ำเสียงหนักแน่น “ข้าน้อยชิวตู่จิ้ง ขอถามว่าพี่ชายมีชื่อเสียงเรียงนามว่าอันใดหรือ”
แม่นางน้อยน้อมรับผิดโดยไม่บอกไม่กล่าวแม้แต่น้อย ยอมรับผิดอย่างรวดเร็วตรงไปตรงมา ซ้ำยังงัดขนบมารยาทชาวยุทธ์ออกมา แม้นเขาจะมีตบะแกร่งกล้าล้ำลึกแต่ในใจก็สะดุดกึกไปเหมือนกัน
ที่รู้สึกน่าแปลกประหลาดยิ่งกว่าคือ ดูเหมือนนางจะพบเจอสิ่งมีชีวิตที่ ‘มิใช่มนุษย์’ แต่จำแลงกายเป็นมนุษย์ได้มาจนชินแล้ว พอเห็นเขาปรากฏตัวขึ้นกลางอากาศ แม้จะตกใจก็ส่วนตกใจ แต่ไม่ได้แตกตื่นเสียขวัญจนน้ำลายฟูมปาก ตาเหลือกเป็นลมหมดสติไป
เด็กนี่น่าสนใจไม่น้อย
“ไป๋หลิ่น” เสียงของเขาหลอมละลายอยู่ในอากาศ ว่างเปล่าแต่มีจริง
ชิวตู่จิ้งครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งก่อนพยักหน้าเข้าใจ
ต้องเป็นคำว่าไป๋ จากหิมะขาว คำว่าหลิ่นจากเขาหลิ่นหรานเป็นแน่ เขาตั้งชื่อให้ตัวเองว่า ‘ไป๋’ ที่เป็นสีบนร่างของเขา ‘หลิ่น’ เป็นสถานที่พำนักอาศัยของเขา คำว่า ‘ไป๋หลิ่น’ สองพยางค์นี้สะท้อนตัวตนของเขาได้ดีทีเดียว
“เจ้าขึ้นมาตามหาบิดาบนภูเขาเพราะเหตุใดกัน”
น้ำเสียงเย็นเยือกของเขาราวกับน้ำเย็นสาดรดลงกลางศีรษะของนาง ชิวตู่จิ้งสะท้านเฮือกอย่างห้ามไม่อยู่ สติสัมปชัญญะชัดเจนขึ้นหลายส่วน
“ท่านพ่อข้าเขา...อ๊ะ พี่เสี่ยวหลี!” ที่นางล้มกองกับพื้น หัวสมองมึนงง หอบหายใจแฮกๆ เป็นเพราะใช้ยันต์เรียกกำแพงปราณออกมา เนื่องจากเป็นครั้งแรกที่เรียก นางจึงใช้งานได้ยุ่งเหยิงไม่เป็นขั้นเป็นตอน กะพลังไม่ถูกแม้แต่น้อย...สิ่งนั้นที่ถูกสะท้อนลอยกระเด็นออกไปจะเป็นอันใดหรือไม่ จะ จะมีชีวิตรอดหรือไม่
นางตะกายขึ้นมา ต่อมาก็ล้มลงนั่ง แล้วใช้ทั้งมือทั้งเท้าตะเกียกตะกายขึ้นมาอีกครั้ง เดินไปได้ไม่ถึงสองก้าวก็ซวนเซล้มลง ศีรษะหนักอึ้งฝ่าเท้าเบาหวิวอย่างรุนแรง เมื่อนางกำลังจะล้มลงไปอีกเป็นครั้งที่สาม แขนเสื้อกว้างสีขาวหิมะข้างหนึ่งก็ยื่นเฉียงออกมา ประคองแผ่นหลังนางเอาไว้อย่างมั่นคง คว้าคอเสื้อด้านหลังชุดบุนวมของนางเอาไว้ทันที
“ขอบคุณมาก...เดี๋ยว! ท่านอย่าเข้ามา อย่าเข้ามา อันตรายนะ!” นางยืนมั่นได้ในที่สุด หอบหายใจแฮก เอ่ยขอบคุณด้วยความเขินอายยิ่ง ทว่าเหลือบไปเห็นลายอักขระบนหลังมือที่สงบนิ่งลงแล้วจู่ๆ ก็เปล่งแสงวูบวาบจ้าตาขึ้นมาอีกครั้ง
นางรีบหดมือทั้งสองข้างไปไว้ด้านหลัง พยายามซุกซ่อนอาคมที่สามารถปกป้องนางให้แคล้วคลาดปลอดภัยได้เอาไว้ กล่าวเสียงร้อนรนว่า “ข้าไม่เคยใช้มันมาก่อน ข้ากลัวว่าจะควบคุมไม่อยู่แล้วเผลอไปทำร้ายท่านเข้า ท่าน...ท่านอย่าเพิ่งเข้ามาใกล้นะ”
สีหน้าแววตาของไป๋หลิ่นแปรเปลี่ยนไปเล็กน้อย แต่ก็กลับคืนสู่ท่าทีหยิ่งยโสอย่างรวดเร็ว
“ต่อให้สิ่งที่อยู่บนฝ่ามือเจ้าทรงพลังกว่านี้อีกสิบเท่าก็ไม่อยู่ในสายตาข้าหรอก” เขาเบ้ปากยิ้มเย็น “เจ้าดูแลตัวเองให้ดีก่อนจะมาเป็นห่วงผู้อื่นดีกว่า”
พวงแก้มขาวผ่องของชิวตู่จิ้งพลันแดงฝาด ก้มหน้างุดเอ่ย “ขอบคุณ” อีกครา แล้วถึงรีบเร่งวิ่งไปทางต้นสนเก่าแก่ที่ถูกกระแทกจนขาดออกจากกันสองต้นนั้น
ก้อนขนสีดำโดดเด่นสะดุดตายิ่งบนพื้นหิมะนอนแผ่แน่นิ่ง เจ้าจิ้งจอกไม่ขยับเขยื้อนแม้แต่นิดเดียว
“พี่เสี่ยวหลี...พี่เสี่ยวหลี...” นางคุกเข่าลงประคองหัวจิ้งจอกมาไว้บนตัก ต่อมาก็ลูบปลายจมูกและช่วงท้องของจิ้งจอก นางรับรู้ได้ถึงเศษเสี้ยวความมีชีวิตอยู่รางๆ แต่ก็ไม่แน่ใจมากนัก
นางรวบหัวจิ้งจอกเอาไว้ ร่างกายช่วงบนโยกเอนไปหน้าหลังเบาๆ เม้มริมฝีปากพลางจ้องมองไปทางไป๋หลิ่นที่เดินตามมาอยู่ข้างๆ
นางไม่รู้ว่าเหตุใดต้องหันไปมองเขา นี่เป็นอากัปกิริยาที่เป็นไปโดยธรรมชาติ นางเองก็ไม่รู้เช่นกันว่าแววตาที่ตนจดจ้องเขาในยามนี้แฝงไว้ด้วยความคาดหวังและการพึ่งพาอย่างไม่มีเหตุผลเพียงใด...ราวกับว่าเขาแข็งแกร่งยิ่ง เก่งกาจยิ่ง เขามีตบะล้ำลึก ฉลาดเฉลียวเป็นเลิศ สามารถช่วยแก้ปัญหาให้นางได้
แน่นอนว่าเขาแข็งแกร่งยิ่ง เก่งกาจยิ่ง ไม่จำเป็นต้องให้ใครมาสรรเสริญเยินยอ แต่ว่าแววตาเปิดเผยตรงไปตรงมาสองสายที่กระจ่างใสดุจดวงจันทร์สุกสกาวของแม่นางน้อยก็ยังคงทำให้ในใจของเขาอบอุ่นสุขสบายยิ่งนัก เขาแค่นเสียงฮึเบาๆ น้ำเสียงคล้ายแฝงด้วยความเหนื่อยหน่ายรำคาญใจรางๆ...
“จิ้งจอกดำตัวนี้ไม่ตายหรอก แค่ถูกทำให้กลับไปอยู่ในร่างเดิมเท่านั้น หากอยากบำเพ็ญเพียรกลายเป็นมนุษย์อีกครั้งก็ต้องดูว่ามีปัญญารู้แจ้งและวาสนาหรือไม่ แต่จากที่ข้าเห็น คงยากแล้วล่ะ” เท้าเปลือยเปล่าย่ำลงกับพื้นทว่าไร้สุ้มเสียง ไม่เห็นรอยเท้าปรากฏบนพื้นหิมะ เขาเดินวนรอบนางกับจิ้งจอกดินรอบหนึ่ง สุดท้ายก็นั่งขัดสมาธิลงกับพื้น
เขาเอียงศีรษะนิดๆ ก้นบึ้งของดวงตาเรียวรีบังเกิดแสงพร่างพราวอย่างเงียบงัน สายตาจ้องตรงไปยังใบหน้าของนาง
“มันอยากจะกินเจ้า แต่เจ้ากลับมีจิตใจดีงาม ซ้ำยังกลัวมันจะไม่รอดชีวิตอีก”
แม้นว่าชิวตู่จิ้งอายุยังน้อย แต่มิใช่ว่าจะฟังน้ำเสียงกระทบกระเทียบในถ้อยคำของเขาไม่ออก
พวงแก้มของนางแดงก่ำ ทว่าท่าทีกลับนิ่งสงบอย่างเห็นได้ชัด เมื่อรู้ว่าจิ้งจอกดำในอ้อมกอดมีชีวิตรอดต่อไปได้ หัวใจที่ลอยค้างเติ่งของนางก็กลับคืนสู่ที่เดิมในที่สุด...มีชีวิตรอด เช่นนั้นก็ดี เช่นนั้นก็ดียิ่ง...
“พี่เสี่ยวหลี...เขาพยายามมาก ข้ารู้ดี” นางลูบไล้หัวและหลังจิ้งจอกอย่างช้าแผ่ว ลูบไปตามเส้นขนสีดำแซมเหลืองนั้น นางเอ่ยนิ่งๆ ว่า “พวกเราเป็นสหายกัน พี่เสี่ยวหลีบอกว่าเขาอยากเป็นสหายกับข้า เขาเป็นสหายคนแรกที่ข้ารู้จักในเมืองเฟิงเซี่ย...ถึงไม่ได้เจอหน้ากันทุกวัน ไม่ได้เล่นด้วยกันตลอดเวลา แต่เขาจะโผล่มาบ่อยๆ เขาเล่าเรื่องสนุกให้ข้าฟังมากมาย พาข้าไปเล่นในป่าเขา ข้ารู้ว่าเขาพยายามมาก พยายามมากแล้ว...”
พยายามอันใดกัน ไป๋หลิ่นขบคิดอยู่สักพัก คิ้วงามเลิกขึ้นน้อยๆ
“เจ้ามาอยู่ที่เมืองเฟิงเซี่ยนานเท่าไรแล้ว” เขาแสร้งทำเป็นเอ่ยถามไปเรื่อยเปื่อย
นางพึมพำเสียงต่ำเบา “ปีที่อายุสิบขวบ ท่านพ่อพาข้ามาที่นี่...ปีนี้สิบสองแล้ว”
ไป๋หลิ่นได้ยินดังนั้นก็หัวเราะฮึ “ดูท่าข้าจะดูหมิ่น ‘พี่หลี’ ผู้นี้เกินไปเสียแล้ว เขารู้จักกับเจ้ามาสองปี แต่อดทนมาได้จนถึงวันนี้กว่าจะลงมือ ถือว่าพยายามมาก พยายามมากจริงๆ”
พยายามอันใดนะหรือ? ก็แน่นอนว่า ‘อดทน’ นะสิ
เขาพูดจาเชือดเฉือนอย่างใจจืดใจดำเช่นนี้ ยียวนกวนโมโหเช่นนี้ แต่แม่นางน้อยตรงหน้านั้นนิสัยใจคอดีงามเกินไปจริงๆ อายุยังน้อยแต่กลับฝึกฝนตนเองได้สูงส่งยิ่ง ไม่โมโหไม่อับอาย ปล่อยให้เขาพูดเสียทั้งหมด อย่างมาก...ก็แค่แก้มชมพูแดงระเรื่อขึ้นกว่าเดิมเล็กน้อย อ้าปากอยากจะพูดโต้แย้งแต่ก็หยุดไป
จู่ๆ เสียงล้อเลียนของเขาก็ค่อยๆ เงียบลง พักใหญ่ผ่านไปกว่าจะปริปากเอ่ยอีกครา ทว่าน้ำเสียงกลับสุขุมหนักแน่นขึ้น...
“เจ้ารู้หรือไม่ว่าตนเองหอมกรุ่นกลิ่นอบอวล เลอรสน่าลิ้มลองในสายตาปีศาจที่เป็นภูตจำแลงเพียงใด” ครั้นเห็นท่าทางไม่รู้เรื่องรู้ราวเอาแต่กอดจิ้งจอกสีดำตัวนั้นพลางนิ่งอึ้งของนาง เขาก็แหงนหน้าหัวเราะ แลดูจมูกตั้งโด่งริมฝีปากบางเฉียบยิ่งกว่าเดิม ยิ่งปรากฏความอำมหิตไร้เมตตาออกมาให้เห็น...
“ ‘ยาบำรุงชั้นเลิศ’ อย่างเจ้ายากจะหาเจอได้ในโลกหล้า ภูตปีศาจที่เคยชินกับการกินเนื้อมนุษย์ ดูดพลังวิญญาณมาฝ่าด่านบำเพ็ญเพียรกลับอดทนมาได้ถึงสองปี ดูแล้วพี่เสี่ยวหลีของเจ้าคงอาลัยอาวรณ์สหายตัวน้อยอย่างเจ้าจริงๆ นั่นแล คงจะมีความจริงใจให้บ้างไม่มากก็น้อย แต่น่าเสียใจที่ความผูกพันมิอาจต้านทานจิตมาร ต้องพ่ายแพ้ไปในที่สุด”
นางยังคงมีสีหน้าเหมือนอยากจะพูดอันใดบางอย่าง ทว่านัยน์ตากลับขึ้นสีเข้มราวมีไอน้ำกระจุกตัวอยู่
นางมิได้ปล่อยให้หยาดน้ำตาที่คลอหน่วยอยู่ในดวงตาเอ่อล้นออกมา นางเพียงแค่สูดจมูกแรงๆ พยายามถามด้วยเสียงมั่นคง...
“ท่านก็เป็น...เป็นผู้บำเพ็ญเพียรที่จำเป็นต้องดูดพลังวิญญาณฟ้าดินมาฝ่าด่านเหมือนกันใช่หรือไม่” นางฝืนกลืนคำว่า ‘ภูตปีศาจ’ ลงไป “เหตุใดท่านถึงไม่คิดจะกินข้าเล่า”
รัศมีของเขารุนแรงน่าครั่นคร้าม แต่กลับไม่มีความคุกคามต่อนาง นางรับรู้ได้
ยิ่งกว่านั้นแววตาที่เขามองนางก็แตกต่างกับพี่เสี่ยวหลีโดยสิ้นเชิง นางเห็นแววดิ้นรนต่อสู้ในดวงตาของพี่เสี่ยวหลีชัดเจนเต็มสองตา เจตนาร้ายและเจตนาดีสลับทับซ้อนกัน สุดท้ายการยื้อยุดฉุดกระชากท่ามกลางความขัดแย้งในใจก็จะบีบให้สติสัมปชัญญะวิปลาส นางมิได้ถือโทษโกรธพี่เสี่ยวหลี เพียงแค่มีความเศร้าซึมบางๆ อย่างบอกไม่ถูก
ส่วนผู้บำเพ็ญเพียรที่ชื่อไป๋หลิ่นผู้นี้ก็แค่...เยือกเย็นลึกลับยิ่ง
บอกว่านางเป็น ‘ยาบำรุงชั้นเลิศ’ ที่ยากจะหาได้ในโลกหล้า แต่กลับไม่มีเจตนาจะกินนาง สายตาที่เขามองนางกระจ่างแจ่มชัด ถึงขนาดเหินห่างเฉยชาอยู่บ้างด้วยซ้ำ ถ้าให้บอกว่ามีสิ่งใดอยู่ภายใน ก็คงจะแฝงแค่ความสนใจใคร่รู้เล็กน้อยเท่านั้น
ไป๋หลิ่นชันขาข้างหนึ่งขึ้น ข้อศอกยันอยู่ตรงหัวเข่า ใช้ฝ่ามือเท้าแก้มเอาไว้ เหลือบมองนางอย่างไม่อินังขังขอบ
“กินเจ้า? ฮึฮึ กินให้เลือดเนื้อเลอะเทอะเปรอะเปื้อน ท้องไส้ไหลทะลักนะหรือ? เรื่องเสื่อมเสียขนาดนั้นตรงตามครรลองของข้าที่ไหนกัน หากข้าจะกินเจ้า จะต้องให้เจ้าไปจัดการตัวเองให้สะอาดสะอ้าน หลังจากนั้นก็ร้องขอให้ข้ากินเจ้าด้วยความยินยอมพร้อมใจ นั่นต่างหากถึงจะล้ำเลิศ”
ชิวตู่จิ้งไม่เคยพบเจอ...คนที่โอหังอวดดีถึงเพียงนี้มาก่อน ก็ได้ เรียกเขาว่า ‘คน’ ไปก่อนชั่วคราวแล้วกัน
แม้คำพูดของเขาจะเย่อหยิ่งทะนงตน แต่สีหน้าท่าทางกลับเรียบเฉย ท่าทีแบบนั้นแค่เห็นปุ๊บก็ทำให้คนรู้ได้ทันทีว่าเขามิใช่คนที่ดีแต่พูดจาคุยโวโอ้อวด
“ข้าไม่มีทางทำแบบนั้นหรอก ไม่มีวันขอให้ท่านกินข้า...” นางเงยหน้าขึ้นอย่างกล้าหาญ
หางคิ้วของไป๋หลิ่นเลิกขึ้นเล็กน้อย ไม่เอ่ยวาจา
เขานิ่งเงียบลงกะทันหันคล้ายตกอยู่ในห้วงแห่งความคิด หัวใจของชิวตู่จิ้งพลันหนาวสะท้าน รู้สึกแค่ว่าเส้นผมสีขาวหิมะปานสายธารใสกระจ่างขับเน้นให้ขนตาและขนคิ้วสีดำของเขาดูเด่นชัดมากเป็นพิเศษ นัยน์ตาสีน้ำเงินดำสุกสกาวน่ายำเกรง
หลังจากขบคิดใคร่ครวญจนได้ข้อสรุป เขาก็เปิดปากขึ้นด้วยท่าทีเกียจคร้าน...
“เจ้าว่ามีโอกาสหรือไม่ที่เจ้าจะเป็นเคราะห์ที่ข้าต้องผ่าน บางทีพอผ่านด่านเจ้าแล้ว หนทางแห่งการบำเพ็ญเซียนก็คงถึงจุดสิ้นสุด เหลือแค่รอขึ้นสวรรค์ในตอนสุดท้าย?” มุมปากฉีกยิ้มหน่ายคร้าน ดวงตาเรียวยาวกะพริบแผ่วเบา “ทว่าข้ามิได้สนอกสนใจในสถานที่ที่ต้องไปหลังขึ้นสวรรค์แล้วสักเท่าไร แต่ต้องเป็นข้าที่ไม่คิดจะไป ไม่อยากไป มิใช่ว่าข้าไปไม่ได้ ไม่มีความสามารถที่จะไป”
“...เคราะห์ที่ต้องผ่าน?” ชิวตู่จิ้งพึมพำเสียงต่ำเบา “เริ่มตั้งแต่ ‘สร้างรากฐาน’ ฝึกบำเพ็ญตบะไปจนถึง ‘ด่านเคราะห์’ ที่เป็นขั้นสุดท้าย เมื่อผ่านเคราะห์ได้แล้วก็จะ ‘บรรลุมหายานขึ้นสวรรค์’ ...” นัยน์ตางามเงยขึ้นมาทันใด จดจ้องเขาแน่วนิ่ง “เหตุใดข้าอาจจะเป็น ‘ด่านเคราะห์’ ของท่านเล่า” นางงัด ‘เคราะห์’ ออกมาให้เขาผ่านได้ที่ไหนกัน ประเมินนางสูงเกินไปแล้ว!
ใบหน้าที่ถูกขับเน้นโดยเกศาขาวปานหิมะดวงนั้นงดงามพิสุทธิ์ไร้ราคี เขาเอียงศีรษะมองสำรวจนางอยู่ชั่วครู่แล้วถึงค่อยหัวเราะออกมาเสียงเบา...
“ข้าเดินบนเส้นทางสายนี้มานานแสนนาน เดินมาสิบศตวรรษแล้ว กระทั่งบัดนี้ถึงเพิ่งได้พบยาบำรุงชั้นเลิศในโลกหล้าอย่างเจ้า หอมเหลือเกิน! กลิ่นหอมหวนโอชาที่เล็ดลอดผ่านกระดูกทะลุผิวหนังออกมา เจ้าว่าข้าจะไม่ชอบหรือ? บอกกับเจ้าตามตรง ข้าน้ำลายสอยิ่งนัก แต่การกินสิ่งมีชีวิตเพื่อเสริมการบำเพ็ญเพียรขัดแย้งกับวิถีของข้า จะได้กลายเป็นเซียนหรือเข้าสู่วิถีมาร ทั้งหมดล้วนอยู่ที่ใจตนเอง ข้าก็สงสัยเหมือนกันว่าในภายภาคหน้าข้าจะกลายเป็นมหาเซียนหรือว่าเป็นจอมมารกันแน่” นิ้วมือเรียวยาวขาวผุดผาดเกาขากรรไกรแกรกๆ...
“กินเจ้า? ไม่กินเจ้า? สิ่งนี้อยู่ระหว่างความแน่วแน่และความปรารถนา ดังนั้นเจ้าว่าเจ้าจะใช่ ‘ด่านเคราะห์’ ที่ข้ารอคอยมาเนิ่นนานหรือไม่”
ยามเอ่ยถามคำถามนี้เขายังมีสีหน้าท่าทางราบเรียบเฉยชา ราวกับว่าถามเรื่องสนุกๆ เรื่อยเปื่อยเท่านั้น
อย่างมากที่สุดคงเรียกได้ว่าเป็นการประชดเสียดสี แฝงด้วยเสียงหัวเราะเย้ยหยันสองสามที นอกจากนี้แล้วชิวตู่จิ้งสัมผัสไม่ได้ถึงความดุดันและเจตนาร้ายที่แผ่ซ่านออกมาจากร่างกายเขาเลยตั้งแต่ต้นจนจบ
เพียงแต่คำว่า ‘สิบศตวรรษ’ ที่ออกมาจากปากเขานั้นทำให้แผ่นหลังของนางสั่นเทารุนแรง หน้าผากชาหนึบ...แต่พอคิดๆ ดูแล้ว ก็จริง เขาพูดถึงการผ่าน ‘ด่านเคราะห์’ การผู้ที่บำเพ็ญเซียนจะบำเพ็ญมาจนถึงขั้น ‘ด่านเคราะห์’ ได้ต้องผ่านการทดสอบซ้ำแล้วซ้ำเล่ามานับพันปี
“ทว่ากินหรือไม่กินเจ้า ผ่านหรือไม่ผ่านเคราะห์ หรือว่าความแน่วแน่และความปรารถนาอันใดนั่น ล้วนสามารถวางพักเอาไว้ก่อนชั่วคราวได้” ไป๋หลิ่นหยุดเกาขากรรไกรราวกับกำลังตรึกตรองขบคิดลึกซึ้ง จากนั้นเปลี่ยนมาใช้สองนิ้วถูกันเบาๆ ทว่าในดวงตากลับเปล่งประกาย “เฮอะ สิ่งที่ข้าสนใจในตอนนี้คือ การที่เจ้าอายุอานามยังน้อย แต่ดูเหมือนจะรู้เรื่องหนทางการบำเพ็ญเซียนอยู่ไม่น้อย คำพูดอย่างเช่น ‘สร้างรากฐาน’ ‘บรรลุมหายานขึ้นสวรรค์’ ออกมาจากปากเจ้าแต่กลับไม่รู้สึกติดขัดเลยสักนิด กอปรกับสภาพร่างกายที่เป็น ‘ยอดโอสถบำรุงตบะเซียน’ ของเจ้า ไม่ว่าจะวิเคราะห์อย่างไรก็รู้สึกว่าเจ้าคงมีที่มาที่ไปไม่ธรรมดา แม้นจะเป็นมนุษย์ แต่ก็ไม่ใช่มนุษย์ธรรมดาแท้จริง” เขาหยุดนิ่งไปชั่วขณะ แววตาวาววับวูบผ่านก้นบึ้งนัยน์ตาแล้วถูกซุกซ่อนเอาไว้อย่างรวดเร็ว เขาเปล่งวาจาออกมาอย่างเชื่องช้าว่า...
“บิดากับมารดาของเจ้า อย่างน้อยคงมีคนใดคนหนึ่งเป็นผู้บำเพ็ญเซียนสินะ อีกทั้งมีตบะไม่ธรรมดา จากที่ข้าเห็น คงจะบำเพ็ญถึงขั้นกึ่งเซียนแล้ว อืม...เป็นบิดาเจ้าใช่หรือไม่ หรือว่าเขาถือมารดาเจ้าเป็น ‘ด่านเคราะห์’ เมื่อผ่านเคราะห์เขาก็ละสังขารกลับคืน ทอดทิ้งเจ้าไว้บนโลกมนุษย์ ดังนั้นเจ้าถึงหลงเชื่อคำพูดปีศาจง่ายๆ คิดว่าบนเขาหลิ่นหรานมีร่องรอยของบิดาเจ้าจริงๆ เดินตามผู้อื่นต้อยๆ ขึ้นมาบนยอดเขา ซ้ำยังเกือบจะถูกสังหาร...ข้าพูดถูกหรือไม่”
ชิวตู่จิ้งกะพริบตาปริบด้วยความตื่นตกใจ เม้มริมฝีปากแน่นไม่ยอมตอบก็แสดงว่าที่เขาพูดมาถูกต้องทั้งหมด แต่มีจุดเดียวเท่านั้นที่นางไม่เห็นด้วย...
“...ท่านพ่อมิได้ทอดทิ้งข้าเสียหน่อย ป้าจู๋ของข้าบอกว่า ท่านพ่อรักท่านแม่ข้ามากเกินไป...เมื่อปีนั้นพอท่านแม่ข้าไม่อยู่แล้ว ท่านพ่อก็หมดอาลัยตายอยากตามไปด้วย ต่อมาถึงได้พาข้ามาที่เมืองเฟิงเซี่ย ฝากฝังข้าให้คนในเผ่าและญาติพี่น้องของท่านแม่ดูแล ท่านพ่อข้าเศร้าเสียใจมากเกินไป มิได้ทอดทิ้งไม่ดูแลข้าเสียหน่อย”
สุ้มเสียงของดรุณีน้อยแผ่วนุ่ม ความดุดันยามพูดจาก็มีไม่มากพอ ทว่าน้ำเสียงเนิบช้ามั่นคงกลับเผยให้เห็นถึงความแน่วแน่หนักแน่น
อืม นึกไม่ถึงว่าจะสามารถโน้มน้าวเขาได้
“ก็ได้ บิดาเจ้าไม่ได้ทอดทิ้งเจ้า แต่ว่าฝ่าด่านไม่สำเร็จ ผ่านเคราะห์ล้มเหลว ถูกพลังแว้งกัดโจมตีจนวิญญาณโบยบินจิตแตกสลาย” เขาเหยียดร่างกายท่อนบนอย่างแช่มช้า เชยคางงดงามขึ้นน้อยๆ ราวกำลังปรายตามอง “หากดูอย่างนี้แล้ว แม้บิดาเจ้าจะมีตบะแก่กล้า แต่จิตใจกลับเข้มแข็งไม่มากพอ น่าเสียดายยิ่ง” เขาเอ่ยคำสรุปสุดท้ายได้อย่างยโสอวดดียิ่งนัก มีความนัยแอบแฝงว่า ‘หากเป็นข้า ไม่มีทางเกิดข้อผิดพลาดแน่ๆ ข้าแข็งแกร่งสุดขีดทะลุฟ้าโดยสิ้นเชิง’
พอคำว่าน่าเสียดายลอยเข้าสู่หูของชิวตู่จิ้ง กลับตีความไปได้อีกแบบหนึ่ง...
จิตใจไม่แข็งแกร่งพอ เป็นเพราะแบกรับความรักไว้มากมายเกินไป
นางไม่รู้สึกว่าคำพูดตรงไปตรงมาเกินเหตุของไป๋หลิ่นไม่เหมาะสมที่ตรงไหน และไม่รู้สึกว่าตนเองถูกดูหมิ่นเช่นกัน เพียงแต่รู้สึกเศร้าสร้อยอย่างยากจะปิดบังได้ จิตใจของท่านพ่อมีความรักมากเกินไป มีความรักต่อท่านแม่มากเกินไปย่อมยากจะผ่านด่านความรักได้เป็นธรรมดา
ทันใดนั้น...
จิ้งจอกที่ถูกนางโอบกอดไว้ในอ้อมอกเริ่มขยับตัวขึ้นมา ขาทั้งสี่ข้างสั่นไหว ปลายจมูกย่นขึ้น ลำคอส่งเสียงลอดกรามออกมาขาดๆ หายๆ ดูเหมือนได้รับความเจ็บปวดทรมานสุดแสนในช่วงที่รู้สึกตัวแต่ยังไม่ฟื้น
“ชู่...ไม่เป็นไร ไม่เป็นไร...” หัวใจลอยสูงขึ้นมาทันใด
เมื่อเห็นแรงมือของนางลูบสัมผัสด้วยความนุ่มนวลอ่อนโยนยิ่งกว่าเดิม ดวงตาหลุบต่ำเล็กน้อยคล้ายกำลังอธิษฐานภาวนาด้วยจิตศรัทธาแรงกล้า ไป๋หลิ่นก็แค่นเสียงหัวเราะหยันออกมา...
“เจ้าลูบเบาแค่ไหน อ่อนโยนแค่ไหน ก็ขจัดความเจ็บปวดที่มันได้รับจากการถูกโจมตีจนกลับคืนร่างเดิมไม่ได้หรอก พอมันฟื้นขึ้นมาพร้อมความเจ็บปวด จะต้องไล่กัดอย่างบ้าคลั่งยกใหญ่แน่ ข้าขอเตือนให้เจ้าอยู่ห่างๆ มันไว้จะดีกว่า”
“แต่ว่าเขา...เขากำลังเจ็บนะ” นางมิได้คลายมือออก
ไม่เพียงแต่มิได้คลายมือออก ซ้ำยังกอดสัตว์ป่าตัวน้อยที่เสียงร้องครวญเริ่มกระโชกขึ้นเอาไว้แน่นกว่าเดิม “ไม่เจ็บแล้ว เดี๋ยวก็ไม่เจ็บแล้ว พี่เสี่ยวหลี ไม่เจ็บแล้ว ไม่เป็นไรนะ...”
จู่ๆ นางก็ช้อนสายตาขึ้นมา ลมหายใจของไป๋หลิ่นติดขัดเล็กน้อย
เป็นสายตาที่เต็มไปด้วยความคาดหวังและการพึ่งพาอาศัยอย่างไม่มีเหตุผลอีกแล้ว อยากจะขอวิธีช่วยแก้ปัญหาจากเขาด้วยความเอาแต่ใจไม่ฟังเหตุผล
ไม่ผิด เขาแข็งแกร่งยิ่ง เก่งกาจยิ่ง ตบะล้ำลึกแถมฉลาดเฉลียวเป็นเลิศ จัดการปัญหาได้ง่ายดายไม่ต่างกับหั่นเต้าหู้ แต่มีใครเขาขอร้องผู้อื่นอย่างนางด้วยหรือ? ทำแววตาใสซื่อบริสุทธิ์เช่นนั้นมันลูกไม้ใดกัน
ทันใดนั้นภาพเหตุการณ์เมื่อครู่ที่นางรีบร้อนเก็บอาคมบนหลังมือเอาไว้ก็โผล่เข้ามาในหัวสมอง
นางไม่คุ้นชินกับพลังของอาคม กลัวว่าจะเผลอทำร้ายเขาเข้า จุดชี่ไห่ ของตนเองได้รับการกระทบกระเทือน ยืนไม่มั่นจนล้มแล้วแท้ๆ แต่ก็ยังตะโกนบอกเขาว่าอย่าเข้ามาด้วยความกระวนกระวายใจ เป็นห่วงความปลอดภัยของเขา!
เขา จิ้งจอกสวรรค์หิมะเก้าหางผู้ยิ่งใหญ่ซึ่งในช่วงพันปีที่ผ่านมาหางงอกแยกเป็นเก้าหาง แต่ละหางยังจะยาวขึ้นไปเรื่อยๆ ฟูฟ่องแวววาวยิ่งขึ้นตามความแกร่งกล้าของตบะ มองจากด้านใน ด้านนอก ด้านบน ด้านล่าง ไม่ว่าจะมองอย่างไรก็ยังไม่ถึงตาที่ผู้อื่นจะมาเป็นห่วงสวัสดิภาพของเขา แต่แม่นางตัวน้อยอย่างนางกลับเป็นห่วงเป็นใยเขา
ในตอนแรกเขารู้สึกว่าช่าง...เหลวไหล!
ต่อมาเมื่อเห็นท่าทางยามนางลูบไล้ปลอบโยนจิ้งจอกดินสีดำตัวนั้น ในความรู้สึกเหลวไหลของเขาจึงยิ่งเจือแฝงด้วยความสนใจใคร่รู้
ทว่านางในยามนี้ไม่ว่าอย่างไรก็ไม่ยอมปล่อยจิ้งจอกร้ายตัวนั้น ความรู้สึกไร้สาระ สนใจใคร่รู้ของเขาจึงมีบางอย่างเพิ่มขึ้นมาอีกเล็กน้อย แต่ว่าเป็นสิ่งใดนั้นเขาเองก็ยังไม่อาจเข้าใจได้ในทันที แค่...ทั่วทั้งแผ่นอกรู้สึกแน่นคับ อึดอัดเล็กน้อย ประหนึ่งมีปราณสายหนึ่งพลุ่งพล่านขึ้นมาโดยไม่มีสาเหตุ ต้องการสิ่งใดไม่แน่ชัด
คิ้วดำเรียวยาวปานใบหลิวขมวดขึ้นทันใด เขาไม่สบอารมณ์เสียแล้ว แต่นิ้วมือหนึ่งข้อที่โผล่พ้นใต้แขนเสื้อออกมากลับตวัดอย่างเรียบเฉย
ชิวตู่จิ้งหวีดร้องเสียงเบาออกมาทันที พบว่ากายเนื้อที่มีขนปุกปุยของจิ้งจอกดินซึ่งอยู่ในอ้อมกอดลอยขึ้นมาภายใต้การตวัดนิ้วอย่างไม่ใคร่ใส่ใจของไป๋หลิ่น แม้นางจะกอดรัดเอาไว้สุดกำลัง แต่ก็คว้าไม่อยู่แม้แต่น้อย
สุดท้ายนางยอมปล่อยมือเพราะดูเหมือนจิ้งจอกดินจะหลับลึกไปอีกครา เสียงคำรามด้วยความเจ็บปวดในลำคอสงบลง ขาทั้งสี่ข้าง ช่วงท้อง และหัวจิ้งจอกไม่สั่นเทิ้มหรือปัดป่ายเพราะความไม่สบายตัวอีกแล้ว มันนอนหลับไป ถูกเวทมนตร์ที่มิอาจต้านทานได้ส่งไปอยู่ในดินแดนแห่งนิทรา
แบบนี้ดียิ่ง บางทีการทำเช่นนี้อาจจะดีที่สุดแล้ว
ให้ความเจ็บปวดที่ร่างจริงต้องทนรับค่อยๆ สลายไปในระหว่างนอนหลับสนิท พี่เสี่ยวหลีจะได้เจ็บตัวน้อยลงหน่อย ความพะว้าพะวังในใจของนางก็จะได้เบาบางลงมากเช่นเดียวกัน
“ขอบคุณมาก...” สายตาหันจากจิ้งจอกดินที่ลอยอยู่กลางอากาศมายังบุรุษตรงหน้า ขอบตาขึ้นสีแดงระเรื่อของนางพยายามข่มกลั้นหยาดน้ำตาเอาไว้อย่างเห็นได้ชัด รอยยิ้มสงบนิ่งเปี่ยมด้วยความจริงใจอย่างปิดไม่อยู่ “ขอบคุณท่านมาก...มากจริงๆ”
ไป๋หลิ่นแค่นเสียงฮึอย่างเย็นชา ยังคงมีสีหน้าไม่สบอารมณ์
แขนเสื้อกว้างสะบัดอีกครั้ง ปัดร่างจิ้งจอกที่ลอยละล่องไปไว้ด้านหลัง ไม่ให้เห็นเป็นเสนียดสายตา
“นิสัยของเจ้าเกรงว่าคงจะเหมือนกับบิดาเจ้า” ใจอ่อนเกินไป มีความรักมากล้น ไม่ใช่สิ่งดีเลย



++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++
หากนางผู้มีร่างกายเป็นยาบำรุงตบะชั้นยอดถูกมารปีศาจกิน จะต้องเกิดเรื่องวุ่นวายให้ราชันแห่งขุนเขาอย่างเขาจัดการแน่ ไป๋หลิ่นผู้เย่อหยิ่งเย็นชาจึงยอมมอบโลหิตล้ำค่าของตนให้ชิวตู่จิ้งเพื่อให้กลิ่นอายของเขาคุ้มกันนาง แต่ไม่คาดคิดว่าเลือดลมของเขาและนางกลับเชื่อมโยงผูกชีวิตกัน อีกทั้งเขาเป็นถึงจิ้งจอกสวรรค์หิมะเก้าหางผู้ครองตบะพันปี นางกลับทั้งกอดทั้งจับตามใจชอบ นี่มันใช้ได้ที่ไหนกัน!

ทว่าก็ต้องลำบากนางแล้ว ในเมื่อมาถูกตาต้องใจหยกงามล้ำเลิศในใต้หล้าอย่างเขา บุรุษธรรมดาจะเข้าตานางได้อย่างไร จนป่านนี้มือปราบหญิงแกร่งอันดับหนึ่งอย่างนางจึงยังไม่ออกเรือน มิหนำซ้ำคดีของพวกมนุษย์ที่นางรับผิดชอบยังเป็นฝีมือภูตชั่วร้ายและลัทธินอกรีตที่ดูเหมือนจะมีเงื่อนงำบางอย่างเกี่ยวโยงถึงเขา!?


รูปภาพ รูปภาพ

ตอบกลับโพส

ย้อนกลับไปยัง “Bongkoch Books News & Activities”