New Release BLY แปล : สะสม LIKE ให้เป็น LOVE

อัพเดทข่าวบงกชบุ๊คส์ ความเคลื่อนไหว และกิจกรรมพิเศษ ตลอดจนร่วมสนุกชิงรางวัลพร้อมของรางวัลมากมาย

Moderator: P'Bly, Gals, พี่บี

ตอบกลับโพส
Gals
โพสต์: 1072
ลงทะเบียนเมื่อ: ศุกร์ 13 ก.พ. 2009 3:47 pm

New Release BLY แปล : สะสม LIKE ให้เป็น LOVE

โพสต์ โดย Gals »

1

ทันทีที่ถึงบริษัทในช่วงต้นสัปดาห์อันน่าหดหู่ โทโยฮิระ สึงุมิก็เผชิญกับการตกที่นั่งลำบากครั้งใหญ่ที่สุดในชีวิต มิหนำซ้ำขนาดเลิกงานกลับมาที่หอพักพนักงานตอนกลางคืนแล้ว สถานการณ์ยังไม่เปลี่ยนแปลงสักนิด อันที่จริงมันยุ่งเหยิงจนถึงขีดสุดเลยด้วยซ้ำ
สึงุมิจ้องมองชายที่นั่งประจันหน้าอยู่อีกฟากของโต๊ะ...จ้องมองอาเมมิยะ คิโยชิโร่ด้วยสายตาแค้นเคือง แต่อีกฝ่ายกลับไม่สะทกสะท้าน แถมยังมีหน้ามาถอนหายใจหนึ่งทีแล้วยิ้มอย่างสบายใจเฉิบอีกต่างหาก
“โทโยฮิระซังเป็นคนหว่านเมล็ดไว้เองนะครับ...ผมว่าไม่น่ามีทางเลือกอื่นแล้วล่ะ”
สึงุมิได้แต่ขบกรามเพราะเถียงไม่ออก
เรื่องพรรค์นั้นไม่ต้องบอกก็รู้ ถึงจะรู้แล้วก็ยังอยากดิ้นรนอยู่ดี ใครจะทนอยู่เฉยๆ ได้ล่ะ
มันก็แน่อยู่แล้ว เพราะชีวิตต่อจากนี้ขึ้นอยู่กับเรื่องนี้นี่นา ต่อให้เป็นเพราะ ‘เมล็ดที่หว่านไว้เอง’ อย่างที่อีกฝ่ายบอกจริงๆ หรือต่อให้โดนหัวเราะเยาะว่าดันทุรังไม่รู้จักยอมแพ้ก็ช่าง
สึงุมิขมวดคิ้วคราง “อูยยย” ทั้งที่ยังขบฟันกราม
“อ๊ะ จะร้องไห้เหรอ?”
“ไม่ร้อง! แต่ว่าทำไมฉันถึงต้อง...มาอยู่ร่วมบ้าน...กับนาย...ที่เป็นผู้ชายด้วย?”
คำถามที่รู้คำตอบอยู่แก่ใจหลุดออกมาจากปาก เพราะถึงจะเข้าใจว่าต้องทำอย่างนั้น เขาก็ยังทำใจยอมรับไม่ได้อยู่ดี

เอาละ โทโยฮิระ สึงุมิหว่าน ‘เมล็ด’ แบบไหนเอาไว้ และหว่านอย่างไรงั้นหรือ...
จุดเริ่มต้นของเรื่องทั้งหมดคือตอนไปถึงบริษัท เมื่อไปถึงหน้าประตูซึ่งเชื่อมไปออฟฟิศตนเอง สึงุมิก็โดนผู้จัดการใหญ่ฝ่ายเสื้อผ้ากับหัวหน้าแผนกที่เป็นเจ้านายโดยตรงเรียกตัวเอาไว้
สึงุมิทำงานที่ ‘เจแปนโพรดักต์’ บริษัทเสื้อผ้าที่จัดจำหน่ายสินค้าคุณภาพสูงผลิตในญี่ปุ่น เน้นขายทางอินเทอร์เน็ตเป็นหลัก มีทั้งสินค้าที่พัฒนาเองและสินค้าที่ทางบริษัทเป็นผู้คัดสรรมาขายอีกทอด
นอกจากขายสินค้าแล้ว บริษัทนี้ยังมีบริการให้คำปรึกษาและเป็นตัวกลางระหว่างแบรนด์อินดีหรือแบรนด์ขนาดเล็กกับโรงงานผลิตภายในประเทศ ช่วยด้านการผลิตตั้งแต่ขั้นตอนคิดโพรเจกต์ไปจนถึงวางจำหน่าย เป็นบริษัทอายุน้อยที่ก่อตั้งมาราวยี่สิบปี มีพนักงานประมาณหนึ่งร้อยห้าสิบคน การขายทางเน็ตไปได้สวยเป็นพิเศษ ทำให้บริษัทมีกำไรอย่างต่อเนื่อง
สึงุมิมีตำแหน่งไดเรกเตอร์ฝ่ายเสื้อผ้า เป็นตำแหน่งสำคัญซึ่งรับหน้าที่วางแผนสินค้าที่จะจัดจำหน่าย ส่งเสริมการขาย ไปจนถึงคิดแผนโฆษณา เรียกได้ว่าเป็นคนโพรดิวซ์ทั้งหมด ฝ่ายเสื้อผ้ายังมีไดเรกเตอร์คนอื่นอีกหลายคน สึงุมิมีทีมเป็นของตัวเองด้วย
“อืม ถ้าจะพูดกันตรงๆ ก็อารมณ์เหมือน ‘ดูตัวแบบเบาๆ’ แหละนะ”
ซางามิ ผู้จัดการใหญ่ที่รั้งตัวสึงุมิไว้เป็นคนประเภทตาแก่เจ้าเล่ห์ที่ยิ้มแย้มอัธยาศัยดีแต่กดดันเก่ง ส่วนโทยามะ หัวหน้าแผนกที่ยืนอยู่ข้างกันกำลังพยักหน้าหงึกๆ ด้วยสีหน้าเคร่งขรึม
ถึงจะคิดในใจว่า ‘สมัยนี้ยังมีเจ้านายที่แนะนำให้ลูกน้องไปดูตัวอีกเหรอ?’ สึงุมิก็ตอบว่า “เอ๋?” พร้อมกับยิ้มตามมารยาท
“จากที่กรรมการผู้จัดการเล่า ดูเหมือนว่าลูกสาวทางโน้นจะถูกใจโทโยฮิระคุงมากทีเดียว”
ประเด็นสำคัญคือ เรื่องนี้มีความต้องการของกรรมการผู้จัดการที่ไม่ได้อยู่ตรงนี้รวมอยู่ด้วย
“เป็นเกียรติอย่างสูงครับ แต่ไปหาคนที่หนุ่มกว่าผมไม่ดีกว่าหรือครับ?”
สึงุมิเปิดประตูออฟฟิศโดยไม่คลายรอยยิ้มตามมารยาท ตั้งใจแสดงเจตนาอ้อมๆ ว่าไม่คิดจะคุยเรื่องนี้ต่อ
“โทโยฮิระคุงเพิ่งอายุยี่สิบแปดเอง ยังหนุ่มอยู่เลยน่า”
ทว่าเจ้านายทั้งสองกลับตามติดสึงุมิไม่ยอมห่าง สึงุมิรับรู้แต่ก็ยังเดินต่อไป เมื่อมาถึงโต๊ะตัวเองก็วางกระเป๋าบนเก้าอี้ ระหว่างที่สึงุมิหันไปผงกศีรษะทักทายรอบโต๊ะเบาๆ หัวหน้าแผนกก็ยื่นหน้ามาจากข้างๆ ทำให้สึงุมิเอนหน้าหลบไปข้างหลังเล็กน้อย
“ตอนไปดื่มวันก่อน เธอบอกว่า ‘ไม่มีคนรักที่คบหาอยู่ตอนนี้’ สินะ”
“แต่โทโยฮิระคุงน่าจะถึงวัยที่เริ่มคิดเรื่องแต่งงานแล้วใช่ไหมล่ะ”
คราวนี้ผู้จัดการใหญ่ชะโงกหน้ามาจากข้างหลังต่อจากหัวหน้าแผนก
ตอนนี้ยังไม่ถึงเวลาเริ่มงาน สมาชิกทีมรอบข้างกำลังจับตามองสถานการณ์นี้ มีเพียงอาเมมิยะ คิโยชิโร่ ผู้ช่วยไดเรกเตอร์ที่อยู่โต๊ะติดกันทางขวาเท่านั้นที่โดนเจ้านายทั้งสองบังจนมองจากตำแหน่งที่สึงุมิอยู่ตอนนี้ไม่เห็น
“ไม่ครับ...ผมไม่เคยคิดเรื่องแต่งงานเลย นอกจากนั้นตอนนี้ผมก็ไม่ได้อยากมีแฟนเป็นพิเศษ...”
สึงุมิยิ้มให้ แต่เจ้านายทั้งสองกลับขมวดคิ้ว
“นี่เธอ แบบนั้นมันไม่ค่อยดีเท่าไรมั้ง”
คำพูดนั้นแฝงนัยตำหนิอุปนิสัยว่าไม่ค่อยดีในฐานะมนุษย์คนหนึ่ง
...ยุ่งยากแต่เช้าเลย...ฉันกำลังดื่มด่ำกับอิสระและการอยู่คนเดียวต่างหากล่ะ!
เป้าหมายความรักของสึงุมิคือเพศหญิง แต่พอเริ่มคบหากันทีไรเขาเป็นต้องเผลอคิดว่า ‘อยู่คนเดียวสบายกว่าจริงๆ นั่นแหละ’ ทุกที ทำให้ไม่เคยคบใครเป็นเรื่องเป็นราวได้นานๆ เลย เพราะอย่างนั้นเขาจึงตัดสินใจว่าจะไม่ฝากความหวังที่ว่า ‘ในเมื่อมีคนมาบอกว่าชอบก็ลองคบไปก่อนก็ได้’ ไว้กับตัวเองในอนาคตอันใกล้อีกแล้ว
ถ้านับทั้งตอนทำงานและตอนไปดื่มวันก่อน สึงุมิก็เคยเจอผู้หญิงคนที่โดนแนะนำให้ไปดูตัวหรือเดตอะไรนั่นอยู่สองครั้ง เธอเป็นลูกสาวเจ้าของโรงงาน ‘ดูแฟกทอรี’ ผู้ผลิตสินค้าที่ขายดีที่สุดของบริษัทจนถือเป็นกำลังหลักของแบรนด์
...ตอนคุยงานกับตอนไปดื่มไม่เห็นแสดงท่าทีทำนองนั้นเลยแท้ๆ
อีกฝ่ายเป็นคุณหนูของโรงงานแห่งสำคัญ สักวันหนึ่งคงกลายเป็นคนมีตำแหน่งใหญ่โตในบริษัทนั้น ตอนไปดื่มด้วยกันเขาจึงใส่ใจเธอสุดชีวิตในฐานะไดเรกเตอร์ มันก็แค่นั้น ไม่มีเจตนาอื่น ไม่ได้สังหรณ์ใจหรือคาดหวังว่าความรักจะผลิบานแม้แต่น้อย
“ถ้าไปเดตกัน ผมอาจทำให้ภาพลักษณ์เสียหายก็ได้นะครับ”
สึงุมิบอกไปตามจริง เพราะเป็นไปได้สูงว่าจะเป็นอย่างนั้น
อาจเป็นเพราะหมดความอดทนกับสึงุมิที่ไม่ยอมโอนอ่อนสักที ผู้จัดการใหญ่จึงเอ่ยว่า “โทโยฮิระคุง มาทางนี้หน่อย” และเชิญตัวไปที่โต๊ะริมผนังสำหรับคุยงาน
ทาจิมะ พนักงานหญิงที่นั่งโต๊ะตรงหน้าส่งสายตาบ่งบอกว่า ‘น่าสงสาร’ มาให้ ในเวลาแบบนี้คนแต่งงานแล้วอย่างเธอช่างน่าอิจฉาเหลือเกิน
เมื่อเจ้านายทั้งสองย้ายที่ออกไปแล้ว สึงุมิจึงมองเห็นใบหน้าด้านข้างของอาเมมิยะ คิโยชิโร่ที่อยู่โต๊ะติดกันในที่สุด คิโยชิโร่กำลังทำหน้าไม่รู้ไม่ชี้สมบูรณ์แบบ
“นายเป็นผู้ช่วยฉันนะ ทำอะไรสักอย่างสิ”
ตอนเดินผละออกมา ความฉุนเฉียวทำให้สึงุมิพึมพำถ้อยคำใช้อำนาจข่มเหงลูกน้องใส่คิโยชิโร่ที่หันหน้าเข้าหาคอมพิวเตอร์อยู่ แต่คิโยชิโร่กลับทำแค่เงยหน้าขึ้นเล็กน้อย ปฏิกิริยาตอบสนองที่เบาบางกว่าปกตินั้นดูผิดสังเกตนิดหน่อย ทว่าสึงุมิไม่ได้คิดอะไรมากนักเพราะนึกว่าอีกฝ่ายคงกำลังจดจ่ออยู่กับหน้าจอ
และแล้วสึงุมิก็โดนเจ้านายทั้งสองไล่ต้อนมาถึงริมผนังจนได้
“นี่เธอ ฉันเองก็ไม่อยากพูดเรื่องแบบนี้หรอก แต่เพื่อรักษาความสัมพันธ์อันดีระหว่างบริษัทเรากับ ‘ดูแฟกทอรี’ แล้ว...ไม่ต้องให้ฉันพูดทั้งหมด เธอก็น่าจะรู้ใช่ไหมว่านี่มันไม่ใช่ปัญหาของเธอคนเดียว?”
“แต่ว่า...วางแผนหวังผลประโยชน์แบบนั้นมัน...”
“ฟังนะ! จะมัวเกรงใจแปลกๆ อยู่ไม่ได้แล้ว โทโยฮิระคุง”
เสียงแหลมเล็กน้อยของหัวหน้าแผนกทำให้รู้สึกเหมือนโดนแทงแถวๆ คอ สึงุมิโดนกดดันจนต้องกลั้นหายใจ
“ ‘ดูแฟกทอรี’ เป็นโรงงานที่มีเทคโนโลยีเป็นเลิศจนเป็นที่จับตามองจากแบรนด์ไฮเอนด์ในต่างประเทศ ขืนโดนบอกว่า ‘จะไม่รับงานจากบริษัทคุณแล้ว’ ขึ้นมา ทางเราไม่รอดแน่นอน ถ้าทำให้ทางนั้นชื่นชอบเราได้ ต่อให้เป็นการคบกันหวังผลประโยชน์ก็ช่างมันเถอะน่า งานนี้ใครจับไว้ได้แน่นกว่าคนนั้นชนะ”
ปัจจุบันอัตราส่วนการผลิตสินค้าประเภทเสื้อผ้าภายในประเทศลดลงเหลือราวสามเปอร์เซ็นต์เท่านั้น จะบอกว่า ‘งั้นไปใช้โรงงานอื่นแทนแล้วกัน’ ก็คงไม่ได้...สึงุมิเข้าใจสิ่งที่เจ้านายอยากบอก
แต่เขาก็ไม่อยากไปเดตดูตัวอยู่ดี ถึงกระนั้นฝ่ายหญิงเองก็มีศักดิ์ศรี ไหนจะยังมีสถานะของเจ้านายทั้งสองกับบริษัททั้งสองฝ่ายมาเกี่ยวข้องอีก
วิธีที่ฉลาดที่สุดคงเป็นการออกรับว่าตนมีเหตุขัดข้องเอง คนอื่นไม่ผิดอะไรเลย...สึงุมิถอนหายใจแล้วค่อยอ้าปากเพื่อเอ่ยแผนการที่เพิ่งนึกขึ้นมาได้เดี๋ยวนั้น เขาชักจะรำคาญสถานการณ์นี้จนทนไม่ไหวแล้ว
“ผู้จัดการใหญ่ซางามิ หัวหน้าแผนกโทยามะ ผมขอถือโอกาสนี้เรียนให้ทราบเลยนะครับ”
เจ้านายทั้งสองมองหน้ากัน ก่อนจะถามว่า “เรื่องอะไร” และเร่งให้พูดต่อด้วยสีหน้าเคร่งเครียด
“ผมเป็นเกย์ก็เลยไปเดต ดูตัว หรือแต่งงานกับผู้หญิงไม่ได้ครับ”
คำสารภาพกะทันหันอันน่าตกตะลึงนั้นเล่นเอาเจ้านายทั้งสองตาโต สมาชิกแถวๆ โต๊ะใกล้เคียงเองก็ปกคลุมด้วยบรรยากาศ “เอ๊ะ?” อันแปลกประหลาด ในชั่วขณะนั้นสึงุมิคิดว่าถึงจะโกหกแบบนั้นไป ตนก็ไม่เดือดร้อนอะไรอยู่แล้ว
“ที่ผ่านมาไม่เห็นเธอเคยพูดอย่างนั้นเลยสักครั้ง”
“ไม่ใช่เรื่องที่จะบอกกันง่ายๆ ขนาดนั้นนี่ครับ ผมจำใจบอกเพราะไม่มีทางเลือกต่างหาก”
ถ้าทำทีเป็นสารภาพเพราะโดนกดดัน คนพวกนี้ก็คงไม่กล้าออกตัวแรงมากไปกว่านี้
“แต่ฉันได้ยินมาว่าสมัยมหาวิทยาลัยเธอเคยมีแฟนเป็นผู้หญิงนะ”
หัวหน้าแผนกที่เอาเป็นเอาตายกับการไล่ต้อนทำหน้าบึ้งตึง โน้มตัวมาข้างหน้า
“เคยมีแล้วผิดเหรอครับ? แถมนั่นมันก็ตั้งหกปีมาแล้วด้วย จะให้ผมหลอกตัวเองแล้วไปเจอคุณหนูฝ่ายนั้นเพื่อกอบกู้สถานการณ์เฉพาะหน้าน่ะเสียมารยาทแย่เลย”
ว่าแต่นี่เราไม่มีแฟนมาตั้งหกปีแล้วหรือนี่ คิดแล้วสึงุมิก็ตกใจเอง
“แต่ตอนนี้เธอไม่มีคนที่กำลังคบหาเป็นตัวเป็นตนใช่ไหมล่ะ? ลองไปเจอดูก่อนเถอะ เจอแล้วอาจเปลี่ยนใจก็ได้”
เจ้านายดื้อด้านจนสึงุมิเผลอหรี่ตาอย่างระอา
“อ้อ...ต้องบอกเรื่องนี้ด้วยสินะ...อันที่จริงผมมีคนที่คบหาอยู่ครับ”
“เอ๋? แต่เธอบอกเองนะว่าไม่มีคนที่คบอยู่?”
บทสนทนาที่ดูเหมือนจะไม่มีวันจบสิ้นนี้ช่างน่าเหนื่อยใจจริงๆ
สึงุมิใช้นิ้วกลางกับนิ้วโป้งจับใบหูตัวเองแล้วถูเบาๆ เขาติดนิสัยทำแบบนี้เวลาทำงานแล้วจ้องตัวเลขในคอมพิวเตอร์จนตาแทบถลน แต่เขาเองก็เพิ่งรู้ตอนคิโยชิโร่ที่นั่งโต๊ะติดกันทักขึ้นมา พอความเครียดสะสม เขาเป็นต้องลืมตัวเล่นหูแบบนั้นอยู่เรื่อย
ทันใดนั้นเองคิโยชิโร่ที่ไม่ได้เปล่งเสียงออกมาแม้แต่คำเดียวนับตั้งแต่สึงุมิมาถึงบริษัทก็เอ่ยว่า “เอ่อ!” ก่อนจะยืนขึ้น ความกะทันหันนั้นทำให้ทุกคนหันไปมองคิโยชิโร่เป็นตาเดียว
คิโยชิโร่สูงถึงร้อยแปดสิบเซนติเมตร เวลายืนตรงจึงดูข่มขวัญ ยิ่งประกอบกับดวงตาเยือกเย็น จมูกโด่งเป็นสัน แก้มเรียว หน้าตาหล่อเหลาเหมือนนายแบบประเภทตีหน้าขึงขังเดินตัวปลิวบนรันเวย์ก็ยิ่งแล้วใหญ่
“ว่าไง มีอะไร อาเมมิยะคุง”
คิโยชิโร่เดินดุ่มๆ มาทางนี้ ความที่หัวหน้าแผนกโทยามะเตี้ยกว่าเขาถึงสิบห้าเซ็นต์ ภาพที่ออกมาจึงดูเหมือนคิโยชิโร่กำลังกดดันหัวหน้าแผนก หัวหน้าแผนกเม้มปากแน่น กะพริบตาปริบๆ
“ผมนี่แหละครับ คนรักของโทโยฮิระซัง”
ทุกคนในที่นั้นรวมถึงสึงุมิอ้าปากค้างเพราะไม่เข้าใจในทันทีว่าเกิดอะไรขึ้น
...คนรัก?...คนรักเหรอ!?
คนที่ตกตะลึงที่สุดคือสึงุมินั่นเอง แน่นอนว่าเรื่องที่สึงุมิกับคิโยชิโร่เป็นคนรักกันนั้นไม่เป็นความจริง
“เพราะฉะนั้นอย่าบีบคั้นโทโยฮิระซังมากไปกว่านี้เลยนะครับ”
พอโดนคิโยชิโร่ที่ประกาศตัวเป็นคนรักขอร้องชัดเจนด้วยสีหน้าเศร้าสร้อย เจ้านายทั้งสองจึงหันมาถามสึงุมิว่า “งะ งั้นเหรอ?”
สมาชิกทีมของสึงุมิเองก็เริ่มฮือฮา ต่างคนต่างมีปฏิกิริยาตกใจแตกต่างกันไป มีทั้งคนที่ส่งเสียง คนที่อยู่เงียบๆ และคนที่หัวเราะว่า “นี่มันอะไร ละครสั้น? เรื่องล้อเล่น?” อย่างเชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่ง จากนั้นคลื่นก็ค่อยๆ แผ่ไปถึงโต๊ะที่อยู่ห่างเกินกว่าจะได้ยินบทสนทนาของพวกเขา
สึงุมิตื่นตระหนกจนได้แต่เอ่ยอย่างสับสนว่า “เอ๊ะ? ดะ เดี๋ยวก่อน”
ฝ่ายคิโยชิโร่ก็ก้าวออกมายืนขวางราวกับอัศวินที่ลงจากม้าขาวมาปกป้องสึงุมิ
“ช่วยพอแค่นี้ได้ไหมครับ แบบนี้มันไม่ต่างจากการไต่สวนพระเยซูเลย”
...หา!?
สึงุมิกลั้นเสียงกรีดร้องอยู่ด้านหลังคิโยชิโร่ มือที่กำหมัดอยู่โดนมือใหญ่ของอีกฝ่ายคว้าไปกุมแน่น
อันที่จริงคิโยชิโร่แค่เอาตัวเข้าห้ามปรามสึงุมิที่จวนจะอาละวาดอยู่รอมร่อเท่านั้น แต่ดูเหมือนสายตาทุกคนจะเห็นเป็น ‘อัศวินปกป้องเจ้าหญิงคนสำคัญจากคนชั่วช้าป่าเถื่อน’ มากกว่า
ขณะที่ทั้งชั้นส่งเสียงฮือฮา ใครคนหนึ่งก็เอ่ยว่า “คิโยชิโร่เอาเป็นเอาตายดีจังน้า” เป็นเหตุให้คนอื่นๆ พลอยพูดกันว่า “คิดมานานแล้วว่าเป็นคู่หูที่ดี แต่ไม่ทันสังเกตเลยเนอะ” “สงสัยจะเกรงใจรอบข้างเพราะเป็นความรักในที่ทำงานแน่ๆ เลย” กลายเป็นบรรยากาศยอมรับสถานการณ์พิลึกพิลั่นนี้มากขึ้นเรื่อยๆ
...เพราะเป็นยุคสมัยแบบนั้นแล้วงั้นเหรอ? แต่ยอมรับง่ายเกินไปแล้วมั้ง! แปลกชัดๆ!
ในที่สุดเจ้านายทั้งสองที่อยู่ต่อหน้าปราการเหล็กของคิโยชิโร่ก็เอ่ยว่า “ขะ เข้าใจแล้ว” อย่างยอมจำนน
“ในเมื่อมีเหตุผลแบบนั้น...คุณหนูฝ่ายนั้นคงยอมเข้าใจ เรื่องเดตดูตัวน่ะพวกฉันจะปฏิเสธอย่างสุภาพให้เอง”
คิโยชิโร่เอ่ยขอบคุณแทนสึงุมิเมื่อเห็นว่าเจ้านายทั้งสองเข้าใจแล้ว “ค่อยยังชั่วหน่อย ขอบคุณครับ”
“ดะ เดี๋ยว เอ๊ะ นี่มันแปลกนะ คิโยชิโร่ นายอยู่ในสถานะไหนกัน”
สึงุมิตีหลังคิโยชิโร่ป้าบๆ ท่ามกลางเสียงวุ่นวาย ดวงตาคู่สวยของอีกฝ่ายบ่งบอกเป็นนัยว่า ‘ตอนนี้เงียบก่อนเถอะครับ’ ราวกับจะกินเลือดกินเนื้อ พอย้อนนึกทบทวนเหตุการณ์ทั้งหมดแล้ว สึงุมิก็ได้แต่หุบปากเงียบ
“ขอโทษด้วยนะที่ตื๊อถามจนเผลอกดดันเธอ โทโยฮิระคุง”
ท่าทางเจ้านายทั้งสองเหมือนอยากบอกว่า “พวกเราเผลอแหวกหญ้าให้งูตื่นซะแล้ว”
จากนั้นเสียงปรบมือก็ดังขึ้น จู่ๆ ทั่วทั้งชั้นก็เข้าสู่บรรยากาศต้อนรับคู่รักเพศเดียวกันที่เพิ่งค้นพบกะทันหัน
...ปรบมือทำไม!?
สถานการณ์ที่อยู่เหนือความเข้าใจนี้ทำเอาชักอยากหัวเราะขึ้นมาแล้ว
สึงุมิยืนอยู่กับที่อย่างจนปัญญา จังหวะที่เสียงปรบมือหยุดลง หัวหน้าแผนกก็เอ่ยว่า “ใกล้เวลาเริ่มงานแล้วครับ” พลางดันหลังผู้จัดการใหญ่ เท่านี้ก็เป็นอันจบปัญหา
คิโยชิโร่เหลียวมองมา สึงุมิรับสายตานั้นโดยไม่ปริปาก
ตอนแรกสึงุมินึกว่าโดนถลึงตาใส่ แต่แล้วมุมปากคิโยชิโร่กลับผุดยิ้มอาจหาญ
“มันสะดุดตานะครับ ไว้ค่อยคุยกันทีหลัง”
“ทีหลังเหรอ...”
คิโยชิโร่กลับไปนั่งที่ราวกับจะบอกว่าขอพักเรื่องนี้ไว้ชั่วคราว สึงุมิจึงได้แต่ตามไป
ทว่าเรื่องนี้ไม่ใช่เรื่องที่จะบอกว่า ‘ค่อยยังชั่วที่หนีรอดมาได้’ แล้วจบกันแค่นี้
“จะว่าไปแล้ว...พวกเธอสองคนอาศัยอยู่ที่หอพักพนักงานใช่ไหม?”
ผู้จัดการใหญ่ที่กำลังจะเดินจากไปเหลียวหลังกลับมาถาม สึงุมิกับคิโยชิโร่ตอบรับว่า “ครับ” แม้จะไม่เข้าใจเหตุผล
“ออกจากหอพักพนักงานไปเช่าห้องอยู่ด้วยกันสองคนไม่ดีกว่าเหรอ?”
สึงุมิยังไม่ทันถามว่า ทำไมถึงเสนอเรื่องพรรค์นั้นขึ้นมา หัวหน้าแผนกก็คล้อยตามว่า “อา จริงด้วยเนอะ” เสียก่อน
“พอเปิดตัวอย่างนี้แล้ว ถ้ายังอยู่หอพักพนักงานคงต้องเกรงใจกันมากขึ้น ทั้งพวกเธอแล้วก็คนรอบข้างด้วย”
“บริษัทเรามีนโยบายช่วยเหลือค่าเช่าบ้านให้คนที่เป็นหัวหน้าครอบครัว ใช้สวัสดิการนั่นก็ได้นี่?”
หอพักพนักงานนั้นเป็นที่พักสวัสดิการสำหรับพนักงานอายุน้อยที่อาศัยอยู่คนเดียว เมื่อออกไปอยู่ที่อื่นจะต้องจ่ายค่าเช่าบ้านเองเต็มจำนวน แต่ถ้ามีหลักฐานยืนยันว่าแต่งงานแล้ว อยู่กินกันโดยไม่ได้จดทะเบียน หรือมีความสัมพันธ์ที่เข้าเกณฑ์ ทางบริษัทก็จะช่วยออกค่าเช่าบ้านให้บางส่วน พวกหัวหน้ากำลังเสนอให้ใช้ความช่วยเหลือที่ว่า
“ท่านประธานเองก็คิดว่าอยากให้บริษัทของเราเปิดกว้างเป็นมิตรกับ LGBT พวกฉันจะลองไปคุยกับกรรมการผู้จัดการดูก่อน ทั้งสองคนอยากทำยังไงเอาไว้ค่อยคิดหลังจากนั้นก็ได้”
“นั่นสินะครับ”
ว่าแล้วเจ้านายทั้งสองก็ผละไปอย่างอารมณ์ดี ท่าทางเหมือนกับว่า ‘ถึงแผนเดตดูตัวจะล้มเหลว แต่ก็คิดแผนดีๆ ที่ประธานกับกรรมการผู้จัดการน่าจะดีใจออกแล้ว’ โดยแทบไม่ถามความเห็นทางนี้เลย
แต่สุดท้ายก็จบเรื่องได้โดยไม่มีใครเจ็บปวด
“...สมองประมวลผลไม่ทันแล้ว...”
สึงุมินั่งกุมขมับก้มหน้าอยู่หน้าโต๊ะทำงานของตัวเอง
ครั้นเหลือบมองข้างๆ ก็เห็นว่าคิโยชิโร่ที่นั่งติดกันกำลังรับโทรศัพท์ด้วยสีหน้าเยือกเย็น เข้าโหมดทำงานไปเรียบร้อยแล้ว
...เปลี่ยนโหมดไวชะมัด!
จริงอยู่ที่สึงุมิเป็นคนบอกคิโยชิโร่ว่า “นายเป็นผู้ช่วยฉันนะ ทำอะไรสักอย่างสิ” แต่เขาก็แค่พูดไปอย่างนั้นเอง ถึงคิโยชิโร่จะช่วยให้สึงุมิไม่ต้องกลัวว่าผลประเมินการทำงานของตนจะแย่ลง แถมพวกเจ้านายก็ยอมรับเต็มที่แล้ว แต่อันที่จริงเขาไม่ได้อยากให้อีกฝ่ายทำอะไรสักอย่างจริงๆ เลยสักนิด
“โทโยฮิระซัง โทรศัพท์จากฝ่ายขายของ ‘มิกซ์’ ครับ”
“อ้อ รับทราบ”
สึงุมิเองก็โดนลากเข้าสู่งานประจำวันอย่างไม่มีทางเลี่ยง วันจันทร์อันสุดแสนยุ่งจึงเริ่มต้นขึ้น
หลังจากกินขนมปังไส้คาวเป็นอาหารเที่ยงที่โต๊ะทำงานแล้ว สึงุมิก็เข้าประชุมสามครั้งติดกัน กว่าจะเลิกงานก็ปาเข้าไปสองทุ่มกว่า งานหนักไม่ขาดสายทำให้เขาเกือบลืมเหตุการณ์ใหญ่ตอนเช้าไปสนิท แต่ตอนที่เก็บข้าวของกลับบ้านและออกมาจากชั้นออฟฟิศ กรรมการผู้จัดการดันเข้ามาเรียกตัวไว้
ดูเหมือนว่าเมล็ดพันธุ์แห่งปัญหาที่หว่านไว้เมื่อเช้าจะเติบโตขึ้นอย่างรวดเร็ว
“กฎระเบียบการทำงานของเราไม่แบ่งแยกคู่รักต่างเพศหรือเพศเดียวกัน ทั้งสองคนมีสิทธิ์รับเงินช่วยเหลือค่าเช่าบ้านเต็มที่ ฉันอยากให้ใช้ประโยชน์จากมันนะ ถ้าหาห้องที่จะอยู่ได้แล้ว...”
ไม่รู้ทำไมกรรมการผู้จัดการถึงเข้าใจว่าทั้งสองอยากออกจากหอพักไปอยู่ด้วยกัน สงสัยผู้จัดการใหญ่กับหัวหน้าแผนกคงไปยืนกรานหนักแน่นจนกรรมการผู้จัดการตีความเอาเองว่าอย่างนั้น ด้วยเหตุนี้สึงุมิจึงได้รับการยอมรับจากทั้งบริษัทอย่างง่ายดาย ราวกับจะบอกว่า ‘ตีเหล็กต้องตีตอนร้อน’ ไม่มีผิด
กรรมการผู้จัดการท่าทางภูมิใจ ก่อนจากไปมีการเข้ามาตบไหล่สึงุมิพลางเอ่ยว่า “เรื่องงานก็พยายามเข้าล่ะ” อีกต่างหาก สึงุมิพูดอะไรไม่ออก แค่ผงกศีรษะตอบก็เต็มกลืนแล้ว
สึงุมิได้แต่มองตามแผ่นหลังของกรรมการผู้จัดการอย่างอึ้งงัน

วันนี้ช่างเป็นวันจันทร์ที่เหลือเชื่อจริงๆ มิหนำซ้ำต้นอ่อนของปัญหายังเจริญงอกงามไปเรื่อยๆ อย่างน่าสะพรึงกลัว
ระหว่างที่กรรมการผู้จัดการบอกสึงุมิว่า “ถ้าหาห้องที่จะอยู่ได้แล้วให้นำเอกสารที่กำหนดไปยื่นที่แผนกธุรการ” คิโยชิโร่กำลังคุยงานอยู่ที่ชั้นอื่น สึงุมิจึงต้องไปรายงานให้อีกฝ่ายรู้
...งานยุ่งจนเกือบลบเรื่องวุ่นวายเมื่อเช้าไปจากสมองแล้วเชียว แต่นี่เราโดนปิดล้อมทุกทางชัดๆ เลยนี่หว่า!
ถึงจะป่านนี้แล้วก็เถอะ ทุกอย่างช่วยหายไปเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้นได้ไหม สึงุมิคิดอย่างหนีความจริง แต่ก็รวบรวมแรงใจมาเยี่ยมห้องคิโยชิโร่ในหอพักพนักงานจนได้
“เหนื่อยหน่อยนะ” สึงุมิทัก คิโยชิโร่ที่ออกมาต้อนรับยิ้มตอบว่า “เหนื่อยหน่อยนะครับ” ท่าทางสบายอารมณ์อย่างบอกไม่ถูก หมอนี่อาจกำลังหนีความจริงอยู่เหมือนกันก็ได้ สึงุมิคิด
“ฉันมาคุยเรื่องเมื่อเช้า ขอเข้าไปได้ไหม?”
“เชิญครับ”
ปัจจุบันหอพักพนักงานมีผู้อยู่อาศัยราวยี่สิบคน สึงุมิอยู่ที่นี่มาตั้งแต่ตอนเข้าทำงานหลังจบมหาวิทยาลัย ตัวหอพักเป็นแมนชันที่บริษัทเป็นเจ้าของ มีอาหารเช้ากับอาหารเย็นให้ที่โรงอาหารบริเวณชั้นหนึ่ง
หอพักพนักงานแห่งนี้ไม่ได้อนุญาตให้คนโสดอาศัยอยู่ตลอดกาล เมื่ออายุยี่สิบเก้าจะโดนบังคับให้ออกไป เนื่องจากตั้งอยู่ในย่านทาคานาวะ เดินสิบห้านาทีถึงบริษัทซึ่งตั้งอยู่ในย่านโคนัน เขตมินาโตะ แต่กลับให้พนักงานเช่าห้องหนึ่งในราคาถูก ที่นี่จึงมีกฎระเบียบให้รักษาพอสมควร
ฝ่ายคิโยชิโร่นั้นเริ่มต้นมาจากการเป็นพนักงานสัญญาจ้างของฝ่ายการตลาด พอครบสัญญาหนึ่งปี ความสามารถและฝีมือก็เป็นที่ประจักษ์จนโดนจ้างเป็นพนักงานประจำอย่างงดงามเมื่อเก้าเดือนที่แล้ว ซึ่งก็คือเดือนมกราคมปีนี้ หลังจากเข้าเป็นพนักงานประจำ คิโยชิโร่ก็โดนย้ายมาฝ่ายเสื้อผ้าและเข้ามาอยู่ในหอพักพนักงานแห่งนี้
สึงุมิเริ่มสนิทสนมกับคิโยชิโร่หลังจากอีกฝ่ายย้ายมาฝ่ายเสื้อผ้า ตอนนั้นสึงุมิเพิ่งได้เลื่อนขั้นเป็นไดเรกเตอร์ โดยมีคิโยชิโร่เข้ามารับตำแหน่งผู้ช่วยไดเรกเตอร์
แม้ดูเผินๆ เหมือนเข้าถึงยาก แต่ความจริงแล้วคิโยชิโร่เป็นคนซื่อๆ คนหนึ่ง คอยช่วยเหลืออย่างละเอียดทุกซอกทุกมุม พึ่งพาได้ทั้งเรื่องงานและเรื่องอื่นๆ
...เคยทักว่า “โทโยฮิระซัง วันนี้ไข้ขึ้นนิดหน่อยรึเปล่าครับ?” ด้วยนี่นะ สังเกตเห็นก่อนฉันซะอีก ตอนนั้นเลยหัวเราะไปว่า “นายเป็นแม่ฉันรึไง”
คนรอบข้างลงความเห็นว่า “เขาติดโทโยฮิระคุงเป็นพิเศษเลยเนอะ” “เป็นคู่หูที่มีสมดุลระหว่างความนิ่งกับความมีชีวิตชีวา” สึงุมิเองก็คิดในใจว่า ‘ดีแล้วที่คู่หูในการทำงานคือหมอนี่’
...ถึงจะไปดื่มหรือกินมื้อเที่ยงด้วยกันสองต่อสองอยู่บ้าง แต่ทั้งหมดนั้นมันก็แค่ต่อเนื่องมาจากการทำงาน ที่ผ่านมาก็ไม่เคยไปมาหาสู่ถึงห้องกันและกันเลยสักครั้ง...
สึงุมิเพิ่งเคยเข้าห้องคิโยชิโร่ครั้งแรกวันนี้ คิโยชิโร่เองก็ไม่เคยเข้าห้องสึงุมิมาก่อน เพราะตอนที่คิโยชิโร่ย้ายเข้าหอพักหมาดๆ สึงุมิเคยประกาศเอาไว้ว่า “ห้องฉันไม่อนุญาตให้ใครเข้าทั้งนั้น ไม่มีข้อยกเว้น” แม้จะไม่ถึงขั้นห้องสกปรก เขาก็ขี้เกียจเก็บกวาดเพื่อเชิญคนอื่นมา ไม่อยากโดนคิดว่า ‘เหวอ...น่าผิดหวัง’ ด้วย อาจเป็นเพราะอย่างนั้นคิโยชิโร่จึงไม่เคยออกปากชักชวนว่า ‘เชิญมาห้องผมสิครับ’ เหมือนกัน
สรุปว่าความสัมพันธ์ของทั้งสองคือเป็นไดเรกเตอร์กับผู้ช่วยที่บริษัท โต๊ะทำงานกับห้องในหอพักอยู่ติดกัน แต่ไม่เคยเข้าไปยุ่มย่ามในชีวิตส่วนตัวของกันและกัน
คิโยชิโร่เอ่ยว่า “เชิญครับ” และนำทางมายังโต๊ะสำหรับนั่งสองคน สึงุมิหย่อนก้นลงบนเก้าอี้เหล็ก
“กินข้าวรึยัง?”
“ยังครับ ตอนอยู่บริษัทผมกินผิดเวลาไปหน่อย...ก็เลยว่าจะกินหลังอาบน้ำเสร็จ โทโยฮิระซังดื่มกาแฟไหมครับ?”
“อา อืม”
สึงุมิกวาดตามองทั่วห้องจากตรงนั้น
โครงสร้างตัวห้องกับความกว้างเหมือนกันก็จริง แต่การตกแต่งภายในอย่างตำแหน่งของเตียง เฟอร์นิเจอร์ ผ้าม่าน และพรม ทำให้บรรยากาศแตกต่างจากห้องสึงุมิมาก
สำหรับห้องผู้ชายที่ใช้ชีวิตอยู่คนเดียวแล้ว ห้องของคิโยชิโร่ถือว่าเป็นระเบียบเรียบร้อยทีเดียว ตู้เปิดโล่งทำจากเหล็กกับไม้ที่ดูเคร่งขรึม และเก้าอี้หนังที่จัดวางอย่างสบายๆ ล้วนแล้วแต่ดูดีมีสไตล์
ช่างต่างจากห้องของสึงุมิราวฟ้ากับเหว ทั้งที่ทำงานที่ต้องใช้เซนส์ด้านศิลปะแท้ๆ ห้องของสึงุมิกลับมีสภาพเลวร้ายจนทำลายภาพลักษณ์อย่างร้ายกาจ
...อายุน้อยกว่าฉันสองปี แต่ใช้ชีวิตเข้าที่เข้าทางกว่าฉันเยอะเลย
สึงุมิเหลือบมองด้านหลังของคิโยชิโร่ที่กำลังเซตเครื่องชงกาแฟ
กล้ามเนื้อบริเวณต้นคอจรดไหล่ และกล้ามเนื้อส่วนที่อยู่ถัดลงมาขยับให้เห็นผ่านเสื้อยืดเนื้อบาง เรือนร่างสมเป็นผู้ชายจนแม้แต่ผู้ชายอย่างตนยังอิจฉา แถมยังตัวสูง แขนขายาวอีกต่างหาก
คิโยชิโร่เป็นคนไม่ค่อยแสดงสีหน้า ทำให้ดูเผินๆ เหมือนเย็นชา แต่หากดูจากการที่คอยช่วยสึงุมิอย่างละเอียดทุกแง่มุม คอยใส่ใจอยู่เสมอทั้งวันนี้และที่ผ่านๆ มา ก็จะรู้ว่าชายคนนี้เป็นคนเอาใจใส่คนอื่น
...ต่างจากฉันลิบลับไปหมดทุกเรื่อง
นิสัยสึงุมินั้นเป็นคนลวกๆ ตรงข้ามกับคนพิถีพิถันอย่างคิโยชิโร่ ถึงจะโดนเข้าใจว่าเป็นประเภทชอบเข้าสังคมอยู่บ่อยๆ แต่ความจริงแล้วสึงุมิเป็นสายอินดอร์ที่ชอบอยู่คนเดียว รูปร่างก็ตามมาตรฐานทั่วไป ไม่มีอะไรโดดเด่น สูงร้อยเจ็ดสิบเซ็นต์และหนักหกสิบกิโลกรัมพอๆ กับเกณฑ์เฉลี่ย หลังจากเป็นไดเรกเตอร์ก็เพิ่งจะหันมาหัดแต่งเนื้อแต่งตัวไปพบปะผู้คนและดูแลตัวเองมากขึ้น
คิโยชิโร่เสิร์ฟกาแฟให้สึงุมิก่อนจะนั่งลงอีกฝั่งของโต๊ะ ทั้งที่นั่งติดกันประจำแท้ๆ สถานการณ์ที่นั่งประจันหน้ากันในห้องอันเงียบสงัดกลับชวนให้รู้สึกขัดเขินอยู่หน่อยๆ
แต่เพราะนี่ไม่ใช่เวลามัวเหนียมอาย สึงุมิจึงเล่าเรื่องที่โดนกรรมการผู้จัดการบอกว่า ‘หาห้องได้แล้วให้ไปยื่นเอกสารด้วย’ ตอนกลับบ้านให้คิโยชิโร่ฟัง
“ฉันกับนายไม่เคยจับมือกันด้วยซ้ำ แล้วจะให้ไป ‘อยู่กินกัน’ เนี่ยนะ?”
สึงุมิรายงานกลั้วหัวเราะ แต่น้ำใจของบริษัทที่ว่า “นี่ก็เพื่อพวกเธอสองคน” ทำให้เขายิ่งรู้สึกเหมือนโดนบีบคอ เมื่อนึกถึงรอยยิ้มภูมิใจของกรรมการผู้จัดการตอนก่อนกลับบ้าน เขาก็ถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่
คิโยชิโร่พลอยหัวเราะในลำคอตามสึงุมิ
“ตอนนั้นโทโยฮิระซังอาจทำไปโดยไม่รู้ตัว แต่นิสัยเล่นหูตัวเองของคุณโผล่มาเหมือนจะบอกว่า ‘ไม่ไหวแล้ว’ พอเห็นอย่างนั้นผมเลยเผลอพูดออกไปทันทีว่า ‘ผมนี่แหละคนรัก’ เพราะขืนโทโยฮิระซังล้มพับไปเพราะความเครียดลงกระเพาะหรือปวดกระเพาะรุนแรงขึ้นมาอีก ทุกคนรวมถึงผมคงลำบากแย่”
“ ‘อีกแล้ว’ อะไรกัน...ฉันเคยล้มไปแค่ทีเดียว แถมไอ้ที่เป็นเมื่อสามเดือนก่อนนั่นก็แค่ขยับตัวไม่ได้เฉยๆ เท่านั้นเอง”
“เหมือนกันแหละครับ ตอนนั้นผมก็เป็นคนพาไปโรงพยาบาล”
มุมปากคิโยชิโร่ผุดยิ้มบางตามเคย
ถึงวันนี้จะเข้ามาช่วยตรงนั้น แต่บางทีคิโยชิโร่อาจคิดว่า ‘เรื่องวันนี้คุณทำตัวเองล้วนๆ ที่เหลือก็ไปจัดการเองนะ’ และตั้งใจจะโยนให้สึงุมิรับมือคนเดียวก็ได้
“เรื่องเมื่อเช้า...มันเริ่มมาจากการที่ฉันโกหกไปส่งเดชก็จริง แต่ถ้าคิโยชิโร่ไม่ช่วยไว้ ต่อไปกรรมการผู้จัดการ ผู้จัดการใหญ่ แล้วก็หัวหน้าแผนกคงตามเซ้าซี้ฉันไม่หยุดแหงๆ...แต่ว่า”
ขืนปล่อยไว้อย่างนี้ ตนจะต้องแสร้งทำตัวเป็นคนรักกับคิโยชิโร่ และไปเริ่มต้นใช้ชีวิตอยู่ด้วยกันที่ไหนสักแห่งจริงๆ คิดตามปกติแล้วเป็นไปไม่ได้เด็ดขาด ต้องหาทางแก้ไขสถานการณ์ที่เป็นไปไม่ได้นี้ให้ได้
ทว่าถ้อยคำเหนือความคาดหมายโดยสิ้นเชิงกลับออกมาจากปากคิโยชิโร่
“ผมไม่รังเกียจหรอกนะ”
คิโยชิโร่จิบกาแฟที่ร้อนจนควันฉุยด้วยสีหน้าเยือกเย็น
“ไม่รังเกียจ หมายถึง...?”
“อยู่กินกับโทโยฮิระซังไงครับ...แบบนั้นก็จะอยู่ด้วยกันยี่สิบสี่ชั่วโมงทั้งที่บ้านและที่บริษัทเลยนะ”
“เอ๋? ดะ เดี๋ยวก่อน ทำไมนายถึงยอมรับง่ายๆ แบบนั้น?”
เพราะไม่ต้องการอย่างนั้น สึงุมิถึงได้มาขอให้ช่วยกันคิดหาทางคลี่คลายปัญหา
คิโยชิโร่นิ่วหน้าหัวเราะเหมือนอยากบอกว่า ‘คุณนี่ช่วยไม่ได้เลยนะ’
“ป่านนี้แล้วยังคิดว่าข้ออ้าง ‘โกหกหมดทุกอย่าง’ จะช่วยให้รอดตัวอีกเหรอครับ? ภาพลักษณ์คุณคงแย่ลงมาก ไม่ใช่แค่ในสายตาเจ้านาย แต่รวมถึง ‘ดูแฟกทอรี’ ด้วย ดีไม่ดีปัญหาอาจไม่ได้จบแค่ภาพลักษณ์เสียหายก็ได้”
คิโยชิโร่พูดถูก พูดถูกก็จริง แต่สึงุมิทำใจเห็นพ้องว่า ‘นั่นสินะ!’ ไม่ได้
“จะว่าผมไม่รังเกียจการอยู่กินกับโทโยฮิระซังก็ไม่เชิง อันที่จริง...ผมดีใจนะครับ”
“...? ดีใจ?”
ดีใจที่ผู้ชายสองคนจะอยู่ร่วมบ้านกัน? ทั้งๆ ที่เป็นแค่คู่หูในการทำงานเนี่ยนะ?
ไม่เข้าใจเลยว่าน่าดีใจตรงไหน
ทันใดนั้นรอยยิ้มหายวับไปจากสีหน้าของคิโยชิโร่ สายตาสงบนิ่งมองมา
สึงุมิกะพริบตาพลางรู้สึกประหม่าแปลกๆ
“ผมชอบโทโยฮิระซังครับ”
ลมหายใจหยุดชะงัก
ไม่เข้าใจความหมายของคำสารภาพกะทันหันนั้นเลยสักนิด
“...ชอบ? เอ๊ะ?”
“หมายถึงเชิงชู้สาวน่ะครับ ผมชอบโทโยฮิระซังทั้งเวลาทำงานและเวลาดื่มมากไปจนเมาแอ๋ การ์ดป้องกันอ่อนปวกเปียก”
“เอ๋~~~ เดี๋ยวก่อนๆ! พูดอะไรของนาย?”
“สารภาพรักครับ”
สึงุมิเอนตัวแหงนหน้าจนหลังกระแทกพนักเก้าอี้ดังปัง
ท่าทีของคิโยชิโร่ไม่ได้ล้อเล่น สายตาจ้องมองตรงมา
“ผมชอบโทโยฮิระซัง วันนี้ระหว่างที่เงี่ยหูฟังทิศทางของบทสนทนา ผมเลยภาวนาอยู่ในใจว่า ‘ได้โปรดอย่าไปเดตดูตัวเด็ดขาด’ ”
ทั้งที่ทักไปแล้วแทบไม่มีปฏิกิริยาจนทางนี้คิดว่า หมอนี่บังอาจทำหน้าไม่รู้ไม่ชี้ได้นะ แท้ๆ
“ล้อ...”
“ไม่ได้ล้อเล่นครับ ผมไม่ได้ตั้งใจจะบอกหรอก...แต่ว่าไหนๆ ก็เกิดเรื่องวันนี้แล้ว ผมเลยถือว่าเป็นโอกาสอันดี”
“อาศัยจังหวะชุลมุนเหรอ!?”
“ถ้าไม่อาศัยจังหวะชุลมุนก็พูดเรื่องแบบนี้ไม่ได้หรอกครับ”
คิโยชิโร่ยิ้มออกมาเล็กน้อย และในที่สุดสึงุมิก็เข้าใจ
อีกฝ่ายเก็บงำความรู้สึกที่มีต่อสึงุมิไว้ที่ส่วนลึกของหัวใจอย่างซื่อสัตย์จริงจังมาตลอด เจ้าตัวคงโล่งอกหลังจากสารภาพเสร็จ
“แต่ว่า...แต่ว่า ที่ผ่านมานายไม่เห็นมีท่าทีอย่างนั้นเลย”
สึงุมิไม่เคยรู้สึกถึงความชอบพอที่มีให้ตน ทั้งยังไม่เคยเอะใจเลยว่าอีกฝ่ายอาจเป็นคนที่มีรสนิยมทางเพศทำนองนั้น
“ผมปิดบังเรื่องเป็นเกย์อย่างเอาเป็นเอาตายเพื่อไม่ให้โทโยฮิระซังรู้ความในใจน่ะครับ เราเป็นคู่หูในการทำงานกันนี่นะ...ผมอยากอยู่ด้วยกันให้นานขึ้นอีกนิดก็ยังดี”
...งั้นเหรอ? ไม่ต้องบอกความในใจ ขอแค่ได้อยู่ข้างๆ ก็มีความสุขแล้ว แบบนั้นเหรอ?
“แบบนั้นคงไม่ได้ชอบจริงๆ หรอกมั้ง...”
“โทโยฮิระซังไม่เข้าใจหรอกครับ”
สึงุมิรู้สึกเหมือนโดนตำหนิว่าคนอย่างคุณจะมาเข้าใจอะไรความรัก แถมยังรู้สึกเหมือนโดนดูถูกหน่อยๆ ด้วย
แต่สึงุมิก็ไม่ได้รู้จักคิโยชิโร่มากพอที่จะปฏิเสธความรู้สึกของอีกฝ่ายได้ เขาไม่เข้าใจทั้งคิโยชิโร่และความรักอะไรนั่นเลย
เพราะอย่างนั้นสึงุมิที่เถียงไม่ออกสักคำจึงได้แต่นิ่งเงียบ เขาไม่มีสิทธิ์ปฏิเสธความรู้สึกของคิโยชิโร่ด้วยซ้ำ
เมื่อสึงุมิไม่ปริปาก คิโยชิโร่จึงเอ่ยเรียกว่า “โทโยฮิระซัง” อย่างอ่อนโยน
“ถ้ากลับคำว่า ‘นั่นเป็นเรื่องโกหก’ เอาป่านนี้จะมีความเสี่ยงยังไงบ้าง โทโยฮิระซังเองก็รู้สินะครับ”
“...ระ รู้สิ...แต่”
... ‘แต่’ เหรอ? แต่อะไรล่ะ?
ทั้งหมดนี้เกินขีดความสามารถในการประมวลผลของสมองจนสึงุมิมึนงง ไม่รู้ว่าตัวเองอยากพูดอะไรกันแน่ แต่คิโยชิโร่พูดถูก เห็นกันชัดๆ อยู่แล้วว่าทางเลือกของเขาถูกกำหนดไปเรียบร้อย
ตอนนั้นเองสึงุมิก็สะดุ้ง นึกได้ว่าคำโกหกที่ตนโพล่งออกไปปุบปับอาจทำให้คิโยชิโร่เจ็บปวดก็ได้
“ขะ...ขอโทษนะที่โกหกแบบนั้น ฉันไม่รู้ว่าคิโยชิโร่ เอ่อ...เป็นเกย์จริงๆ”
“ผมไม่โกรธเรื่องที่โทโยฮิระซังโกหกว่าเป็นเกย์เลยสักนิดเดียวครับ”
“...แต่ก็ต้องโมโหบ้างแหละน่า”
เพราะอยากหลีกเลี่ยงการไปเดตดูตัวกับผู้หญิงที่ไม่มีใจให้ เขาเลยโกหกไปอย่างนั้นเพื่อปกป้องตัวเอง คนเป็นเกย์ย่อมต้องเดือดดาลว่า ‘อย่ามาดูถูกเกย์นะโว้ย’ เป็นธรรมดาอยู่แล้ว
คิโยชิโร่คลี่ยิ้ม ส่ายศีรษะปฏิเสธว่า ไม่ครับ ก่อนจะเริ่มเอ่ย
“โทโยฮิระซังแค่ไม่อยากให้มีใครต้องเจ็บปวดใช่ไหมล่ะครับ แต่ผมว่าไม่ค่อยมีใครโกหกว่าตัวเองเป็นเกย์กันหรอกนะ เพราะปกติแล้วคงไม่อยากโดนมองว่าอย่างนั้น”
“ก็ฉันไม่อยากไปเดตดูตัวเด็ดขาดเลยนี่นา”
พูดแบบนี้อาจโดนหัวเราะว่า ไม่อยากขนาดไหนนั่น ก็ได้ แต่คำโกหกนั้นก็เป็นผลมาจากการที่สึงุมิชั่งน้ำหนักทุกอย่างแล้ว
“คนผิดคือคนที่เอางานมาเป็นโล่ บีบบังคับอ้อมๆ ให้ไปเดตกับผู้หญิงต่างหากล่ะครับ”
“ถึงจะโมโหความไร้เหตุผลตรงนั้น แต่ฉันก็ชอบบริษัทกับงานนี้ รู้อย่างนี้...ฉันน่าจะตกลงไปเดตสักครั้ง ไปเจอกันแล้วค่อยปฏิเสธทีหลังดีกว่ารึเปล่านะ”
แต่นั่นไม่น่าใช่วิธีแก้ปัญหาที่ดีที่สุด เพราะจากนี้ไปเขายังต้องพบปะผู้หญิงคนนั้นด้วยเรื่องงานอีก
“ผมชอบโทโยฮิระซัง ตอนนี้โทโยฮิระซังต้องเล่นตามเรื่องโกหกเมื่อเช้าไปก่อน ผมได้อยู่กับคนที่ชอบ ส่วนโทโยฮิระซังก็ได้ทำให้คำพูดโกหกของตัวเองดูน่าเชื่อถือ แถมยังไม่ต้องกลุ้มใจเพราะคำสั่งให้ไป ‘เดตดูตัว’ อันยุ่งยากน่ารำคาญ ใช้อำนาจในทางที่ผิดนั่นด้วย คุณจะไม่โดนกีดกันทางสังคม และรักษาตำแหน่งปัจจุบันของตัวเองเอาไว้ได้ งานนี้ต่างคนต่างก็ได้ประโยชน์นะครับ”
“ถึงอย่างนั้นก็เถอะ...”
จะให้หลอกลวงคนอื่นแบบนั้นมันก็...สึงุมิเกือบพูดออกไปอย่างนั้น ก่อนจะนึกได้ว่าตนเป็นคนโกหกกลบเกลื่อนเองแต่แรก ไม่ได้อยู่ในสถานะที่จะสั่งสอนคนอื่นเรื่องความถูกต้อง
“ผมยังต้องสาธยายข้อได้เปรียบที่โทโยฮิระซังจะได้รับเพิ่มอีกเหรอครับ?”
“...ข้อได้เปรียบเหรอ”
“โทโยฮิระซังชอบบ่นว่า ‘ไม่อยากทำงานบ้านทุกชนิด’ บ่อยๆ สินะครับ ถ้าเราอยู่กินกัน ผมจะทำเอง ทั้งอาหาร ทำความสะอาด ซักผ้า...อ้อ แต่อย่างน้อยก็อยากให้ช่วยกันเอาขยะไปทิ้งนะครับ”
“ไม่ใช่แม่แต่เป็นเมียเหรอเนี่ย”
“ไม่ใช่ทั้งแม่และเมีย แต่เป็นคนรักของโทโยฮิระซังต่างหากล่ะครับ ผมจะ...อุทิศตัวเต็มที่เลยนะ”
คำพูดสบายๆ เต็มที่และสีหน้าสงบเยือกเย็นเป็นพิเศษนั้นเล่นเอาสึงุมิเผลอใจเต้น




+++++++++++++++++++++++++++++
เรื่องโกหกที่หลุดปากไปโดยไม่ทันคิดทำให้สึงุมิต้องแสร้งทำตัวเป็นคนรักกับรุ่นน้องอย่างคิโยชิโร่ มิหนำซ้ำทั้งสองยังต้องมาอยู่กินกันเพื่อให้การเสแสร้งนั้นแนบเนียนอีกด้วย แต่เพราะบรรยากาศของทั้งคู่ดูไม่สมเป็นคนรักเอาซะเลย คิโยชิโร่จึงเสนอให้ทำตาม ‘TO DO ลิสต์สำหรับอยู่กินกัน’ ที่มีทั้งจูบกันทุกครั้งที่สบตา ช่วยเป่าผมให้แห้ง อาบน้ำด้วยกัน... ด้วยเหตุนั้นบทเรียนวิชาคู่รักจึงเปิดฉากขึ้น!? แถมคิโยชิโร่ยังสารภาพรักกับสึงุมิอย่างจริงจังเหมือนไม่คิดจะเป็นแค่คนรักกำมะลออีกต่างหาก!? ฝ่ายรุกจอมวางแผนผู้รักเดียวใจเดียว x ฝ่ายรับซึนเดเระผู้โดนมัดใจ ชีวิตอยู่กินกันหลอกๆ คราวนี้จะจบลงอย่างไรหนอ...?

รูปภาพ

ตอบกลับโพส

ย้อนกลับไปยัง “Bongkoch Books News & Activities”