New Release BLY แปล : ยืมหัวใจแลกรักจริง

อัพเดทข่าวบงกชบุ๊คส์ ความเคลื่อนไหว และกิจกรรมพิเศษ ตลอดจนร่วมสนุกชิงรางวัลพร้อมของรางวัลมากมาย

Moderator: P'Bly, Gals, พี่บี

ตอบกลับโพส
Gals
โพสต์: 1072
ลงทะเบียนเมื่อ: ศุกร์ 13 ก.พ. 2009 3:47 pm

New Release BLY แปล : ยืมหัวใจแลกรักจริง

โพสต์ โดย Gals »

(ทำยังไงดี อาจจะวู่วามไปจริงๆ)
ซากุจ้องมองเปลวเทียนที่สั่นไหวแล้วลุกโชติ สั่นไหวแล้วริบหรี่ ยังไม่ทันไรก็ชักจะเริ่มเสียใจภายหลังขึ้นมา
ในเลานจ์ของโรมแรมที่มีการบรรเลงสดของไวโอลินและเปียโน โซฟาเดี่ยวสไตล์เรโทรนั้นออกแบบมาให้นั่งตัวจมลงไปแล้วสามารถพักผ่อนหย่อนใจได้สบายๆ ตรงข้ามกับรูปลักษณ์เล็กกะทัดรัด ตรงกลางเลานจ์มีต้นไม้สูงประมาณเดียวกับซากุตั้งไว้ ถูกประดับประดาไปด้วยของตกแต่งดูมีระดับเหมาะกับการตกแต่งภายในอันโอ่อ่าอย่างเต็มที่
ได้ยินเสียงพูดคุยโทนต่ำราวกับคลื่นซัดสาด รอบตัวมีแต่ลูกค้าที่มากันเป็นกลุ่ม แต่แม้ว่าซากุที่อายุยังน้อยจะมาใช้บริการคนเดียวก็ไม่ถูกสายตาซอกแซกสอดส่องอย่างน่ารำคาญ เขาเคยมาใช้บริการไม่กี่ครั้งแต่ก็เป็นโรงแรมที่ดี ดีแล้วที่เลือกมาเป็นสถานที่นัดพบ เพราะแค่นี้ก็ตื่นเต้นแล้ว ดังนั้นอย่างน้อยก็ต้องเป็นที่ที่สบายใจได้หน่อย
(...แต่ว่านะ...)
กลับเลยอาจจะดีกว่า แต่จู่ๆ ยกเลิกแล้วกลับบ้านไปจะเสียมารยาทต่ออีกฝ่ายด้วย...
เขาดื่มชากลิ่นหอมมากลงไปอึกหนึ่ง ถึงจะอร่อยมาก แต่ความรู้สึกของซากุนั้นเดี๋ยวก็ไหวเอนไปทางซ้าย เดี๋ยวก็ไหวเอนไปทางขวา รุนแรงเสียยิ่งกว่าเปลวเทียน ไม่สงบเลยสักนิด
นี่เป็นการนัดพบกัน อีกฝ่ายเป็นคนที่จะได้พบกันเป็นครั้งแรก มีชื่อว่า ‘นาโอะ’ อายุยี่สิบแปดปี ไม่รู้ชื่อจริง สำหรับบริษัทจัดหาแฟนหนุ่มเช่าแล้ว เรื่องนั้นดูเหมือนจะเป็นเรื่อง...ปกติ เพราะเขาใช้บริการครั้งแรกจึงไม่ค่อยรู้เช่นกันว่าเป็นเรื่องจริงหรือเปล่า
(คำว่า ‘แฟนหนุ่มเช่า’ ฟังแล้วนุ่มนวล แต่ก็หมายถึงคนรักที่ซื้อได้ด้วยเงินนี่นะ)
ที่เผลอคิดไปว่าดูเป็นธุรกิจขายบริการ อาจเป็นเพราะความรู้ของตัวเองตื้นเขิน แต่ก็ไม่รู้ว่าต่างจากโฮสต์ให้บริการนอกสถานที่อย่างไร
ตอนขอให้ช่วยนัดพบในวันนี้ เงื่อนไขที่ซากุต้องการนั้นมีเพียงสองข้อ ข้อหนึ่งคือเป็นคนทำงานแล้วที่อายุมากกว่าซากุ ส่วนอีกข้อหนึ่งคือเป็นคนที่มีรูปลักษณ์ภายนอกและภายในตามสามัญสำนึกปกติ ซึ่งแม้จะแนะนำให้ชายวัยเจ็ดสิบรู้จักว่าเป็น ‘คนรักเพศเดียวกัน’ ก็ดูน่าจะได้รับความชื่นชอบ
ตัวเลือกแฟนหนุ่มเช่าที่ได้รับเสนอมาจากบริษัทที่ดำเนินการ เป็นคนหล่อที่ดูใจดีเหลือเกินและมีดวงตาหวานซึ้งให้ภาพลักษณ์น่าจดจำ... พูดตามตรง ครึ่งหนึ่งก็หัวใจเต้นตึกตัก ส่วนอีกครึ่งก็สงสัยว่า จะมีคนวิเศษแบบนี้มาจริงๆ เหรอ? แต่มันก็แค่เพียงลักษณะที่มองเห็น ไม่รู้ไปถึงลักษณะนิสัยโดยกำเนิด
ถ้าสมมติว่าเป็นคนกะล่อน เขาก็ไม่มั่นใจว่าจะพูดคุยกันได้อย่างจริงจัง ไม่ใช่ว่าดูถูกคนแบบนั้น เพียงแต่เพราะซากุคุยไม่เก่งและอ่อนต่อโลกก็เท่านั้น
(ทำยังไงดี ยกเลิกดีกว่าไหมนะ...)
เขาเผลอเบนสายตาไปทางผนังฝั่งล็อบบี้อย่างไม่ตั้งใจ
ใต้ภาพวาดญี่ปุ่นขนาดใหญ่ที่กินพื้นที่หนึ่งในสามของผนังมีโซฟาสามที่นั่งตั้งเรียงอยู่สองตัวโดยมีแจกันดอกไม้คั่นกลาง ผู้ชายใส่แว่นที่นั่งอยู่ด้านหนึ่งนั้นหันมาสบตาราวกับจะบอกว่า ‘มีอะไร?’
(มาโนะ~)
มาโนะเป็นอดีตผู้อบรมสั่งสอนซากุ ตอนนี้บริหารงานให้ปู่ของซากุเป็นงานหลัก แต่เพราะเป็นนิสัยติดตัวตั้งแต่ยังเล็ก แม้แต่ในตอนนี้มีอะไรซากุก็ยังเผลอไปพึ่งพาเขา อย่างในวันนี้เพราะว่าไม่สบายใจที่จะมาคนเดียวเลยขอให้เขาช่วยตามมาลับๆ
มาโนะมองหน้าซากุแวบหนึ่งแล้วก็ทำหน้าลำบากใจนิดหน่อย คิดว่าความลังเลของซากุคงถ่ายทอดไปถึง แต่ต่อให้เป็นเขา ในช่วงเวลาจวนเจียนแบบนี้ก็คงทำอะไรไม่ได้ ใกล้จะได้เวลานัดแล้ว
เวลานั้นเองจู่ๆ มาโนะก็เลื่อนสายตาออกไป มองไปด้านหลังเยื้องไปทางขวามือของซากุ
(เอ๊ะ?)
ซากุก็หันไปมองตามสายตาของเขา
สิ่งแรกที่เข้ามาในครรลองสายตาคือดอกแคลลาลิลลีสีขาว ดอกไม้แสนสง่าราวผ้าไหมที่ขดประดับในกระเป๋าเสื้อสูท สัญลักษณ์ของการนัดพบกันในวันนี้ ซึ่งจัดช่ออย่างง่ายๆ แล้วผูกก้านยาวด้วยริบบิ้นสีช็อกโกแลต
“อ๊ะ...”
ช้าไปแล้ว อีกฝ่ายมาถึงก่อนที่จะยกเลิกเสียแล้ว
ซากุเงยหน้าขึ้นไปมองก่อนจะทันได้ลนลาน
“เหวอ...!”
จากนั้นเผลอหลุดคำอุทานออกจากปาก เหมือนจะต่างไปจากที่จินตนาการไว้...มีคนที่ดูดีกว่าในรูปถ่ายมากๆ กำลังยืนอยู่ตรงหน้า สูงชะลูด เครื่องหน้าหวานอ่อนละมุน ดูสดใสเหมาะกับสนามเทนนิสในคารุอิซาวะ
เขายิ้มกล่าวว่า “ขอโทษนะ รอนานหรือเปล่า?”

จุดเริ่มต้นมาจากคำพูดของอิจิโซผู้เป็นปู่
“ซากุ ไม่มีคนดีๆ ที่พอจะแนะนำให้ปู่รู้จักบ้างเลยหรือครับ?”
คำพูดง่ายๆ นั้นหากเป็นยามปกติก็จะตอบรับให้ผ่านๆ ไปว่า ‘ไม่มีคนแบบนั้นหรอกครับ’ แต่ซากุไม่สามารถตอบกลับไปได้
ในห้องผู้ป่วยสีขาวของโรงพยาบาลสีขาว เขาที่นั่งอยู่บนเก้าอี้ใกล้หัวเตียงสีขาวกำมือทั้งสองข้างซึ่งวางอยู่บนเข่าแน่น แสงในฤดูหนาวลอดผ่านผ้าม่านขับให้ผ้าปูที่นอนสีขาวดูเยียบเย็นและอ่อนแอ
ทั้งเสียงอิเล็กทรอนิกส์ที่มักดังอยู่ในอาคารผู้ป่วย ทั้งเสียงดังจอแจวุ่นวาย พออยู่ในห้องพักเดี่ยวแล้วกลับได้ยินแว่วๆ จนแทบไร้เสียง ปู่ที่อยู่บนเตียงแลดูแห้งเหี่ยวและไร้ที่พึ่ง ถึงขนาดรู้สึกว่าความเงียบสงบนั้นช่างเงียบเหงา ทั้งที่จนถึงเมื่อเช้านี้ยังรู้สึกว่าเป็นคนที่เต็มเปี่ยมไปด้วยพลังชีวิตเหมือนไหลล้นออกมาจากร่างกายเล็กๆ
“ปู่เข้าใจว่าหลานไม่สนใจในตัวผู้หญิงและไม่สามารถแต่งงานได้ครับ”
ปู่พูดด้วยเสียงนิ่งสงบ ไม่ใช่น้ำเสียงราวกับจะต่อว่าต่อขาน แต่ซากุก็ลืมหายใจ
สุดท้ายก้มหน้าลง
“...ขอโทษครับ...”
เรื่องที่ตัวเองมีความรู้สึกรักให้เพศเดียวกันเท่านั้น ที่ผ่านมาจนถึงตอนนี้ซากุยังไม่เคยเปิดเผยให้ปู่รู้มาก่อน เป็นการหยิบยกขึ้นมากะทันหันทว่าก็ไม่ตกใจที่ปู่รู้อยู่แล้ว
ซากุเองก็พอจะรู้ตัวเรื่องที่ดูเหมือนปู่จะสังเกตเห็นแล้วตั้งแต่เมื่อไรไม่รู้ เพียงแต่อิจิโซเป็นคนที่เคารพในตัวปัจเจกบุคคลจึงปฏิบัติกับซาคุที่แม้จะเป็นเด็กเช่นเดียวกับผู้ใหญ่ ต่างคนเลยต่างไม่แตะต้องมันจนกระทั่งมาถึงวันนี้ ในทางกลับกันก็อาจพูดได้ว่า ไม่ได้เป็นญาติที่มีสายสัมพันธ์ลึกซึ้งถึงขนาดจะเข้ามาก้าวก่ายปัญหาละเอียดอ่อน
ทว่าพอปู่คนนั้นเข้ามาก้าวก่ายปัญหาที่ซากุไม่อยากให้แตะต้องมากที่สุด กลับนำพาความเศร้าโศกมาให้ซากุมากกว่าความตกใจหรือความโกรธเสียอีก
ปู่เข้าโรงพยาบาลอย่างกะทันหัน เมื่อเช้าหลังซากุออกจากบ้าน คุณอัตสึโกะผู้เป็นแม่บ้านพบเขาล้มอยู่ในห้องทำงานศิลปะที่บ้านและนำตัวส่งโรงพยาบาล ดูเหมือนที่ล้มไปเป็นเพราะผลข้างเคียงจากยาลดความดันที่กินอยู่ และความดันเลือดเหวี่ยงขึ้นลงฮวบฮาบอันเป็นผลพวงมาจากอากาศที่เย็นลงกะทันหันตั้งแต่วันนี้ ได้ยินว่าไม่ใช่อาการป่วยที่เกี่ยวเนื่องถึงชีวิตโดยตรง
แต่อิจิโซก็อายุเจ็ดสิบหกแล้ว สำหรับเขากับซากุก็มีเวลาเหลือน้อยนิดแล้วไม่ใช่หรือ เป็นเหตุการณ์ที่พอจะทำให้คิดอย่างนั้น
รักร่วมเพศไม่ใช่เรื่องเลวร้ายและไม่ได้ทำในสิ่งที่จะถูกต่อว่า... ต่อให้ในหัวคิดอย่างนั้น แต่สิ่งที่น่ากลัวก็ยังน่ากลัว ซากุไม่ได้พกมาทั้งหัวใจอันกล้าแกร่งที่จะยืนกรานความคิดตัวเองอย่างหนักแน่นกับอิจิโซ ทั้งคำพูดดีๆ ที่จะทำให้เขาเข้าใจและยอมรับมัน
ทว่าอิจิโซกลับยอมให้กับความอ่อนแออันยิ่งใหญ่ที่สุดของซากุด้วยคำสั้นๆ ว่า “ไม่จำเป็นต้องขอโทษหรอกครับ”
เขาพูดต่ออย่างละล้าละลัง
“แต่อย่างน้อยระหว่างที่ปู่ยังมีชีวิตอยู่ อยากให้หาพาร์ตเนอร์...หาคู่ชีวิตที่พึ่งพาได้ให้พบนะครับ”
“คู่ชีวิตเหรอครับ...?”
ซากุตกตะลึงเพราะคำพูดที่ฟังดูประหลาดเกิน คู่ชีวิต...คู่ชีวิต?
ไม่เคยคิดเรื่องแบบนั้นเลย หรือจะพูดว่า นอกจากรู้ว่าเป็นคำศัพท์แล้วก็เป็นคำที่ไม่น่าจะเกี่ยวข้องกับชีวิตของซากุ
เพราะไม่มีความรู้สึกใจเต้นกับเด็กผู้หญิงแต่มีให้เพศเดียวกัน จึงคิดว่าตัวเองคงเป็นอย่างนั้นแน่นอน แต่ถ้าพูดถึงประสบการณ์ความรักของซากุจนถึงปัจจุบันนี้ ส่วนใหญ่ก็แค่ประมาณว่า ‘รุ่นพี่คนนั้นเท่จัง’ บ้าง ‘นักแสดงคนนี้ดูดีจัง’ บ้าง อย่าว่าแต่คู่ชีวิตเลย แม้แต่ความต้องการทางเพศที่ชัดเจนอย่าง ‘อยากคบหา’ ‘อยากจูบ’ หรือ ‘อยากมีเซ็กซ์’ ก็ยังไม่เคยมี...ถ้าพูดอย่างนี้ให้เพื่อนฟังรับประกันได้เลยว่าจะถูกอึ้งใส่...อายุก็ตั้งยี่สิบแล้ว ตัวเองยังรู้สึกนิดหน่อยเลยว่ามันอย่างไรอยู่ แต่ก็ไม่มีจริงๆ
ที่ผ่านมาจนกระทั่งตอนนี้เขามองดูเพื่อนรอบตัวที่เริงร่ากับความรักพลางคิดว่า ตัวเองอาจจะแปลกนิดหน่อย อาจเป็นคนไม่สนใจคนอื่นในแง่ความรัก หรือเป็นคนไม่มีความปรารถนาทางเพศ แต่ถึงอย่างนั้นก็ไม่เป็นไร คิดแม้กระทั่งว่าอย่างนั้นดีกว่าด้วยซ้ำ ความรักของซากุที่ชอบเพศเดียวกัน ไม่ว่าจะคิดอย่างไรอนาคตก็มีแต่ความยากลำบากมากมายรอคอยอยู่ เขาจึงคิดว่า ถ้าอย่างนั้นก็ให้มันจบลงแค่ความหลงใหลละเมอเพ้อฝันหรือความรักข้างเดียวไปก็อาจจะดี...
(เราคนนี้จะมีคู่ชีวิต...?)
ซากุทำหน้าหม่นหมองอย่างอึดอัดใจ ปู่พยักหน้าเงียบๆ
“แน่นอนว่าจะเป็นผู้ชายก็ได้ครับ ขอเพียงมีคนใกล้ชิดมาเป็นที่พึ่งให้หลาน ปู่ก็สบายใจแล้ว”
“...ครับ”
ไม่ใช่ว่าไม่เข้าใจความรู้สึกของปู่ที่พูดอย่างนั้น
ซากุไม่มีญาติพี่น้องคนอื่นนอกเหนือจากอิจิโซ พ่อออกจากบ้านไปตอนซากุยังเล็ก ส่วนแม่เสียไปเมื่อแปดปีก่อน นอกจากอยู่ในสถานการณ์ที่ไม่อาจวางใจได้แล้ว ตัวซากุนั้นต่อให้นำเรื่องอายุยี่สิบปีมาพิจารณา ก็ยังถูกพูดว่า...อ่อนต่อโลกและพึ่งพาไม่ได้ ทั้งจากปู่ มาโนะ และพวกเพื่อนๆ ด้วย ตัวซากุก็เหมือนคนทั่วไปที่มีความรู้สึกอยากพึ่งพาตัวเอง อีกทั้งที่จริงแล้วแม้จะเพิ่งเริ่มต้น แต่ก็ทำงานเป็นนักวาดภาพประกอบอยู่ เขาคิดว่าตัวเองใช้ได้ในระดับนักศึกษามหาวิทยาลัยธรรมดาๆ ทว่าจากปฏิกิริยาของพวกเพื่อนๆ และมาโนะก็ชัดเจนว่าพวกเขาไม่เห็นเป็นอย่างนั้น
พอคิดว่าจะทิ้งซากุที่เป็นแบบนั้นไว้คนเดียวแล้วต้องจากไป ปู่ก็คงเป็นห่วง ถ้าเกิดเรื่องอะไรขึ้นมา ทั้งมาโนะและทนายความที่ปรึกษาก็คงยอมช่วย แต่ถ้าเป็นในฐานะคนคนหนึ่ง...ในฐานะที่เป็นครอบครัว ซากุมีคนให้พึ่งพาน้อย มีแค่มาโนะกับคุณอัตสึโกะเท่านั้น แม้กระทั่งสองคนนี้ที่รู้จักซากุดีรองลงมาจากปู่ก็ยังมีความสัมพันธ์เพียงนายจ้างกับลูกจ้างเท่านั้น
(แต่ถ้าไม่มีอะไรผิดปกติเกิดขึ้นกับชีวิตของท่านปู่ ก็ไม่ต้องกังวลแบบนั้นตั้งแต่ตอนนี้ก็ได้...)
ถึงจะคิดอย่างนั้นก็ไม่ได้อยู่ในบรรยากาศที่สามารถพูดออกมาได้เลย
ปกติปู่ก็พยายามรักษาระยะห่างพอเหมาะกับซากุอยู่แล้ว ที่เขาคนนั้นอดพูดเรื่องแบบนี้ออกมาไม่ได้ก็เป็นหลักฐานว่าความรู้สึกกำลังอ่อนแอลง ซากุเองถ้าทำได้ก็อยากจะลดบ่อเกิดแห่งความกังวลให้ปู่ลงไปแม้เพียงเรื่องเดียวเช่นกัน แต่อย่าว่าแต่คนรักเลย แม้แต่คนที่ชอบซากุก็ยังไม่มี
“ไม่ต้องห่วงหรอกครับ ท่านปู่ก็คงออกจากโรงพยาบาลได้ภายในไม่กี่วันใช่ไหมล่ะครับ? ยังไม่ต้องกังวลแบบนั้นก็ได้”
ซากุพยายามพูดด้วยน้ำเสียงร่าเริง ทว่าสีหน้าของปู่กลับไม่แจ่มใส
หลังจากผ่านความเงียบที่เหมือนค่อยๆ บีบลำคอ อิจิโซพูดด้วยน้ำเสียงลังเล
“...ถ้าซากุไม่ว่าอะไร จะลองเจอคนรู้จักของปู่ดูไหมครับ?”
ซากุเอียงคอเล็กน้อย ไม่ค่อยเข้าใจว่าหมายความว่าอย่างไร
“คนรู้จักของท่านปู่...เหรอครับ?”
จะเจอก็ได้ แต่แล้วมันอะไรล่ะ
ปู่พยักหน้าให้ซากุที่สับสน
“ใช่ครับ เขาเองก็ชอบผู้ชายครับ”
“...เรื่องนั้น...”
แล้วซากุก็ถึงบางอ้อ หรือจะเป็นที่เขาเรียกกันว่า ‘ดูตัว’
(ดูตัว...)
บอกตามตรงว่าเขาไม่มีความประทับใจดีๆ ให้กับคำนั้น แถมกระตุ้นให้นึกถึงปมในใจสมัยเด็กจนทรมานขึ้นมา
พ่อของซากุ...ลูกชายแท้ๆ ของอิจิโซเป็นคนไม่เอาถ่าน หลังจากแต่งงานผ่านการดูตัวกับแม่ของซากุก็ยังคงมีความสัมพันธ์กับหญิงสาวที่คบหากันมาตั้งแต่ก่อนหน้า เขาอาศัยสถานะว่าดูแลทรัพย์สินของอิจิโซจึงไม่ทำงานทำการให้ดีๆ นานๆ ครั้งก็จะมารบเร้าขอเงินที่แมนชันซึ่งอิจิโซซื้อไว้ให้ครอบครัว...ใช้คำว่า ‘มา’ จะเหมาะเจาะมากกว่า ‘กลับมา’ พอดื่มเหล้าแล้วก็ทุบตีแม่หรือซากุตามอารมณ์ที่แปรปรวน
ผลสุดท้ายพอชู้รักอุ้มท้องลูกของเขา ก็ถอนเงินอิจิโซออกจากบัญชีโดยพลการแล้วหายตัวไปกับชู้รัก นั่นเป็นตอนที่ซากุอายุห้าขวบ ตั้งแต่นั้นมาก็ไม่เคยเจอกันอีกเลย ซากุยังเด็กไม่รู้เรื่องราวยุ่งเหยิงในยามนั้น แต่ได้ยินว่าอิจิโซที่เข้ากับเขาไม่ได้อยู่แต่เดิมโกรธการกระทำอันเห็นแก่ตัวของลูกชายมาก นอกจากแยกทะเบียนบ้านแล้วยังถอดออกจากการเป็นผู้รับมรดกตามกฎหมายด้วย ส่วนตอนนี้อย่าว่าแต่ที่อยู่เลย มีชีวิตอยู่หรือว่าตายไปแล้วก็ยังไม่รู้ เป็นคนห่างไกลกันเสียยิ่งกว่าคนอื่น
ในโลกนี้มีผู้คนมากมายที่สร้างครอบครัวสุขสันต์จากการพบเจอกันผ่านการดูตัว ซากุเข้าใจเรื่องนั้น แต่ซากุมองเห็นความสัมพันธ์ที่พังทลายของพ่อแม่มากับตา เลยรู้สึกว่าไม่สามารถพยักหน้ายอมรับข้อเสนอของปู่ได้อย่างว่าง่าย
“...ไม่ต้องทำถึงขนาดนั้นผมก็มีมาโนะครับ มีคุณอัตสึโกะด้วย...อาจจะน้อยแต่ก็มีเพื่อนนะครับ”
“ไอดะคุงกับอุเอซาโกะคุงใช่ไหมล่ะ แต่ว่าทุกคนไม่ใช่ครอบครัวของหลาน”
เขาคอตกกับการชี้ชัดอย่างไม่มีการอ่อนข้อให้
“มันก็ใช่ครับ...แต่ต่อให้โสดตลอดชีวิต ตอนนี้ก็มีคนที่มีชีวิตอย่างเป็นตัวเองและมีความสุขอยู่มากมายนะครับ...”
“แน่นอนว่าใช่ครับ แต่ถ้าเป็นไปได้ปู่ก็อยากสอนสิ่งที่เรียกว่าครอบครัวอันอบอุ่นให้หลานนะครับ”
พูดเหมือนกับว่าตัวเองไม่ใช่อย่างนั้นแหละ ซากุยิ่งก้มหน้าลงต่ำ
อิจิโซรับซากุผู้สูญเสียแม่ไปเพราะป่วยตอนอยู่ประถมศึกษาปีที่หก แล้วมอบชีวิตที่ไม่มีความยากลำบากใดๆ ให้ อิจิโซใจดีกับซากุขนาดจินตนาการความดุเดือดเข้มงวดที่ตัดความสัมพันธ์พ่อลูกอย่างเด็ดขาดกับลูกแท้ๆ ไม่ได้เลย เพียงแต่เบื้องหลังความใจดีนั้นก็มีความรู้สึกติดค้างที่เลี้ยงดูพ่อมาเป็นคนไม่เอาไหนและสงสารเวทนาหลานซึ่งแม่มาด่วนจากไป สำหรับปู่แล้ว ไม่ว่าเมื่อไรซากุก็เป็นเด็กกำพร้าน่าสงสารที่ถูกพ่อไม่เอาไหนทิ้งและแม่ผู้พึ่งพาได้ตายจากไป
“...ขอคิดสักหน่อย...แค่นิดเดียวได้ไหมครับ”
ในที่สุดก็ซากุพูดราวกับเค้นออกมาจากลำคอที่ปิดสนิทได้
ปู่ก็คงรู้ว่าซากุไม่ได้อยากจะลองดู จึงพยักหน้าเงียบๆ “เข้าใจแล้วครับ”
หลังจากนั้นก็ถามเหมือนจู่ๆ นึกขึ้นมาได้
“หรือว่าซากุ หลานมีความรักอยู่เหรอครับ?”
“เอ๊ะ”
คำพูดสั้นๆ ว่า ‘ความรัก’ ที่ออกจากปากปู่ทำให้ซากุเบิกตาโตอย่างไม่ตั้งใจ ปู่พูดถึงหัวข้อวัยรุ่นเหลือเกินจนรู้สึกว่าไม่สมกับอายุ แถมพูดออกมาจากปากอย่างเป็นธรรมชาติมาก
“นึกว่าที่หลานไม่ค่อยอยากพูดถึงเรื่องนี้ เป็นเพราะว่าตอนนี้มีคนที่ชอบอยู่แล้วหรือเปล่าน่ะครับ”
“เอ๊ะ!? เปล่า คือว่า...”
เพราะถูกทักนอกเรื่องซากุเลยพูดจาวกวน แต่ในชั่วพริบตาก็คิดว่านี่อาจจะเป็นข้อแก้ตัวที่ดีก็ได้ ถ้าบอกว่ามีคนที่ชอบ ปู่ก็คงจะไม่ฝืนเดินเรื่องดูตัวต่อ
“ชะ...ใช่ ใช่แล้วครับ ที่จริง...”
พูดอย่างนั้นแล้วเขาก็ก้มหน้าลง ทั้งที่ไม่มีคนอย่างนั้นแต่แก้มกลับร้อนผ่าวขึ้นมาเองเพราะหัวข้อที่ไม่คุ้นเคย ซากุจ้องมองมือทั้งสองข้างที่กำแน่นอยู่บนตัก
ปู่ตอบรับว่า โฮ่ เหมือนถอนหายใจ
“อีกฝ่ายก็ชอบซากุเหมือนกันเหรอครับ?”
“เอ๊ะ!? คะ ครับ”
“อีกฝ่ายเป็นคนแบบไหนเหรอครับ”
“...เป็นคนเท่ๆ ครับ อายุมากกว่า...รอยยิ้มมีเสน่ห์ ใจดีแล้วก็น่านับถือ...”
ถึงอย่างไรก็เป็นคนรักในจินตนาการที่รีบสร้างขึ้นมา การบรรยายจึงคลุมเครือจนไม่อาจคลุมเครือได้มากกว่านี้แล้ว แต่ดูเหมือนปู่จะเข้าใจไปว่านั่นเป็นเพราะซากุเขิน
“เป็นคนที่มหา’ลัยศิลปะเดียวกันเหรอครับ?”
“เปล่าครับ ...คือรู้จักกันเพราะคนรู้จักแนะนำ...”
“งั้นเป็นคนที่ทำงานแล้ว?”
“...ใช่ครับ”
“จะไม่แนะนำให้ปู่รู้จักหน่อยเหรอครับ”
“เอ๋!?”
แย่แล้ว ไม่เคยคิดเลยว่าปู่จะพูดแบบนั้นออกมา ทั้งที่ปกติไม่ใช่คนที่จะก้าวก่ายเรื่องส่วนตัวไม่ยั้งขนาดนี้เลย
สถานการณ์บีบคั้น ซากุจ้องมองกำปั้นทั้งสองข้าง
“เรื่องนั้น คือว่า...ต้องลองถามอีกฝ่ายดู...”
เป็นคำแก้ตัวที่ฟังไม่ขึ้น แต่ปู่ก็พยักหน้าว่า “งั้นเหรอครับ” อย่างเสียดายเล็กน้อย
“ก็อาจเป็นอย่างนั้นสินะครับ ความรักของพวกหลานอาจมีหลายอย่างซับซ้อนกว่าที่ปู่คิดก็ได้”
“...ขอโทษครับ”
คำขอโทษที่หลุดปากออกมาอย่างไม่ตั้งใจ แน่นอนว่าไม่ใช่ ‘ขอโทษครับที่แนะนำไม่ได้’ แต่หมายความว่า ‘ขอโทษครับที่โกหก’
ปู่ที่ไม่รู้เรื่องนั้นยอมรับอย่างไม่จู้จี้จุกจิก “ไม่เป็นไรหรอกครับ”
“แต่ถ้าเป็นไปได้ เร็วๆ นี้ยอมแนะนำให้ปู่รู้จักหน่อยก็จะดีใจครับ”
“...ครับ...”
หลังจากนั้นก็เปลี่ยนไปคุยหัวข้ออื่น ทว่าแม้กลับบ้านตัวเองมาแล้วเมฆหมอกในหัวใจซากุก็ไม่จางหายไป
โกหกปู่ไปเสียแล้ว เป็นคำโกหกเล็กๆ น้อยๆ เพราะความจำเป็น ไม่ควรค่าแก่การหยิบยกขึ้นมาเป็นปัญหา ไม่มีความผิดบาป แต่ถ้าไม่พูดแบบนั้นปู่อาจจะชนะซากุแล้วจับไปดูตัวก็เป็นได้
ทว่าขณะที่คิดอย่างนั้นก็มีความรู้สึกผิดไม่น้อย
อยากทำให้ปู่สบายใจ แม้ว่าจะมีระยะห่างอย่างบอกไม่ถูก แต่ที่ปู่ใจดีและเป็นครอบครัวเพียงหนึ่งเดียวซึ่งทุ่มเทความรักให้ก็ยังเหมือนเดิมไม่เปลี่ยน เขาคิดว่าบุญคุณนั้น คราวนี้แหละควรจะตอบแทน
แต่ว่านะแต่ว่า...ตัวเองตัวจิ๋วพร่ำกระซิบในมุมหนึ่งของหัวใจ
ยอมเชื่อฟังปู่แล้วแต่งงานจากการดูตัวโดยไม่เคยชอบใครจากหัวใจเลยมันจะดีเหรอ? ทั้งที่ไม่รู้ว่าตัวเองจะชอบคนคนนั้นได้หรือเปล่าเนี่ยนะ? ถ้าเกิดว่าเป็นเหมือนพ่อกับแม่ นั่นต่างหากที่เป็นการเพิ่มความกังวลและความรู้สึกต้องรับผิดชอบให้แก่ปู่
(...ทำยังไงดี)
ซากุคิดอย่างกังวลระหว่างแช่อ่างอาบน้ำ ก่อนจะล้มตัวนอนบนเตียงพลางเปิดสมาร์ตโฟนเล่น
“อ๊ะ...”
มีข้อความเข้ามาทาง LINE
<คุณปู่เป็นยังไงบ้าง?>
<ถ้ามีอะไรที่ฉันทำให้ได้ก็บอกนะ>
ลืมไปเลย จากพวกเพื่อนมัธยมปลายที่สัญญาไว้ว่าวันนี้จะเจอกันหลังเลิกเรียน ไอดะกับอุเอซาโกะ ทั้งที่โดนยกเลิกนัดกะทันหันแท้ๆ ใจดีกันจัง ซากุส่งสติกเกอร์ไปว่า <ขอบคุณ>
<วันนี้ขอโทษนะ เพิ่งกลับมาถึงบ้านเมื่อกี้ ดูเหมือนเป็นอาการจากความดัน ไม่ร้ายแรงถึงชีวิต เห็นว่าถ้าผลตรวจไม่มีอะไร อีกไม่กี่วันก็กลับบ้านได้น่ะ>
มีคำตอบส่งมาทันทีว่า <งั้นก็ค่อยยังชั่ว> ซากุลองพูดออกเสียงเบาๆ
“อืม ค่อยยังชั่ว”
ทั้งที่อายุมากแล้วแต่ไม่ได้ป่วยเป็นโรคที่เกี่ยวพันถึงชีวิต
พอสัมผัสได้อย่างนั้นจริงๆ แล้ว หัวใจที่เครียดเขม็งเพราะเกิดเรื่องราวต่างๆ มากเกินไปก็ผ่อนคลายลงอย่างรวดเร็ว
ค่อยยังชั่ว ซากุพึมพำในใจอีกครั้ง หลังจากนั้นก็ถือโอกาสลองปรึกษาไปด้วย
<แต่เหมือนจะรู้สึกอ่อนแอลงนะ มาแนะนำให้ฉันดูตัว แย่เลยเนี่ย>
มีสติกเกอร์หน้าตาตกใจส่งมาทันที
<ดูตัว? หมายถึงดูตัวนั่นน่ะเหรอ!?>
ใบหน้าตกใจของอุเอซาโกะผุดขึ้นมาในหัว เหมือนได้ยินเสียงหลงด้วย แล้วการตบมุกที่สงบเยือกเย็นของไอดะว่า <แล้วมีอย่างอื่นด้วยหรือไง> ก็เรียกเสียงหัวเราะตามมา
แต่ถึงอย่างนั้นก็รู้สึกว่า ไม่ว่าสำหรับใครมันคงเป็นคำศัพท์จากต่างโลกแน่นอน แม้ปัจจุบันนี้กิจกรรมหาคู่แต่งงานหรือแอปพลิเคชันจับคู่ประสบความสำเร็จมากจนคิดว่าการดูตัวไม่ใช่เรื่องแปลกอะไร แต่ทว่าสำหรับเด็กมหาวิทยาลัยที่อายุยังแค่ยี่สิบแล้ว นอกเหนือจาก ‘ยุ่งไม่เข้าเรื่อง’ ก็ไม่ใช่อะไรทั้งนั้น
ซากุเผลอถอนหายใจก่อนตอบกลับว่า <ใช่ ดูตัวนั้นนั่นแหละ>
<แต่ที่ซากุชอบไม่ใช่ผู้หญิงใช่ไหมล่ะ?>
อุเอซาโกะถามเหมือนเป็นเรื่องธรรมดา ทั้งสองคนที่เรียนมาด้วยกันทั้งมัธยมต้นและมัธยมปลายต่างรู้รสนิยมทางเพศของซากุเช่นกัน ไม่ใช่ว่าเล่าให้ฟังอย่างเป็นทางการ แต่ทั้งสองคนนั้นพอสังเกตได้
ตอนซากุรู้เรื่องนั้น อุเอซาโกะบอกว่า “บอกตามตรงนะ ด้วยรูปร่างหน้าตาของซากุแล้ว บอกว่าชอบเด็กผู้หญิงยังจะรู้สึกแปลกๆ มากกว่าอีก”
“จะชอบเด็กผู้หญิงที่คิดว่าผู้ชายสวยๆ น่ารักดีก็ได้หรอก แต่สำหรับซากุแล้วคิดว่าอยากให้มีผู้ชายพึ่งพาได้มาคอยดูแลเอาใจใส่แหละนะ”
ด้วยเหตุนั้นในกลุ่มเพื่อนกลุ่มนี้ เรื่องที่ซากุเป็นเกย์จึงเป็นหัวข้อสนทนาที่เป็นธรรมชาติมาก
ซากุก็ตอบกลับไปอย่างเป็นธรรมชาติเช่นกัน
<อืม เพราะงั้นอีกฝ่ายเลยเป็นผู้ชายเหมือนกัน เห็นว่าเป็นคนรู้จักของท่านปู่>
<เอ๊ะ!? คนรู้จักคุณปู่เนี่ย หมายความว่าอีกฝ่ายอายุมากกว่าเยอะเลยดิ?>
<ไม่รู้สิ...> ซากุตอบพลางรู้สึกตัว งั้นเหรอ แบบนั้นก็น่าเป็นห่วงด้วยเหมือนกัน <อาจจะใช่>
เกรงว่าในบรรดาศิลปินที่มีชีวิตอยู่ตอนนี้ อิจิโซเป็นศิลปินชั้นครูด้านภาพวาดญี่ปุ่นที่มีชื่อเสียงที่สุดแล้ว แน่นอนว่าคนรู้จักในวงการมีคนที่สูงวัยเหมือนกันอยู่มาก คิดว่าคู่ดูตัวคงไม่สูงอายุเหมือนอิจิโซ แต่ถึงอย่างนั้นปู่ก็ไม่มีภาพลักษณ์ที่จะสนิทกับคนรุ่นหนุ่มสาวเช่นกัน
<ความรู้สึกที่เป็นห่วงนายเนี่ย เข้าใจสุดๆ เลย แต่จะให้ไปดูตัวกับคุณตามันก็นะ...>
<แล้วความคิดจะไปดูตัวด้วยอายุเท่านี้ บอกตามตรงไม่เข้าใจอะ>
<เนอะ>
ซากุหัวเราะขื่นๆ อย่างเห็นด้วย
คนรอบตัวซากุโดยทั่วไปมีแต่พวกมีอายุแล้ว สำหรับซากุ ปฏิกิริยาตอบสนองของพวกเขาซึ่งเป็นเหมือนตัวแทนจากคนรุ่นเดียวกันจึงเป็นตัวชี้วัดที่มีค่า
(ต่อให้ไม่มีเรื่องพ่อ แต่อายุเท่านี้ไปดูตัวมันไม่ปกติจริงๆ ด้วยแหละเนอะ)
ซากุโล่งใจที่ได้รับความคิดเห็นแบบเดียวกัน
<สักวันอาจจะยอมรับเรื่องแบบนั้นได้ แต่บอกตามตรง อยากมีความรักแบบธรรมดาก่อน>
เมื่อพิมพ์ไปอย่างนั้น อุเอซาโกะก็ส่งสติกเกอร์หน้าตกใจว่า <โอ๊ะ> กลับมาอีกครั้ง
<ซากุ หรือว่าตอนนี้มีคนที่ชอบแล้ว?>
<ไม่มีอะ>
<ไม่มีงั้นเหรอ>
<น่าเสียดาย>
<แต่เพราะท่านปู่ถามว่ามีคนที่คบหาอยู่ด้วยหรือเปล่า เลยตอบว่า “อืม” ไปซะแล้ว>
พอพิมพ์อย่างนั้นคำตอบจากทั้งสองคนก็ชะงักไป เขาเสียวแปลบในใจ ผ่านไปสักพักไอดะถึงพิมพ์มาว่า <งั้นเหรอ>
<โกหกก็เป็นสิ่งที่เรียกว่ากุศโลบายนะ>
<แต่เพราะโกหกไม่เข้าท่าไป ท่านปู่เลยบอกว่า คราวหน้าแนะนำให้รู้จักหน่อย แย่เลยฉัน>
<อา...>
คำตอบรับที่เหมือนอยากพูดว่า มันก็ต้องเป็นอย่างนั้นแหละ ตอบกลับมาจากอุเอซาโกะ
<อย่างพวกเรา ทั้งคุณปู่ ทั้งคุณมาโนะก็รู้จักหน้าตาแล้วนี่เนอะ>
<ไม่มีคนรู้จักอื่นที่ดูท่าทางจะยอมมาเล่นบทคนรักให้แล้วเหรอ?>
<นึกไม่ออกเลย>
ตอบไปแล้วซากุก็ถอนหายใจเบาๆ
ความสัมพันธ์รูปแบบเพื่อนของซากุนั้น ‘น้อยแต่สนิท’ ตามแบบแผนเลย ที่เป็นเพื่อนกันมาจนถึงมัธยมปลายก็คือสองคนนี้ ในมหาวิทยาลัยที่เรียนอยู่ตอนนี้ก็มีคนรู้จักระดับที่ช่วยบอกข้อมูลคาบเรียนบรรยายที่หยุดเรียนไป แต่ไม่ใช่เพื่อนสนิทกันถึงขนาดยอมแกล้งมาเป็นคนรักให้
ที่มหาวิทยาลัยศิลปะ ซากุเป็น ‘หลานของอุเนเมะ อิจิโซคนนั้น’ ก่อนที่จะเป็นบุคคลคนหนึ่งซึ่งมีชื่อว่าอุเนเมะ ซากุเสียอีก นอกจากนี้ในจุดที่มีผลงานในฐานะนักวาดภาพประกอบก็สร้างความริษยา จากบรรดาเพื่อนร่วมเรียนที่มีเซนส์เฉียบแหลมและความตระหนักในตนเองโดดเด่นนั้นก็มีทั้งความคาดหวัง ความอิจฉา และสายตาใคร่รู้ ซากุไม่ได้มีนิสัยเข้าสังคมเก่งขนาดจะหาเพื่อนได้ในสถานการณ์แบบนั้น
หลังจากคำตอบหยุดเงียบไปอีกครั้ง อุเอซาโกะก็เสนอขึ้นมา
<งั้นลองเช่าแฟนจากที่ไหนสักที่ไปเลยไหม?>
<เช่าแฟนคือ?> ซากุเอียงคอ
‘เช่า’ นั้นเข้าใจ เช่า DVD เช่าจักรยาน เช่ารถ คงเป็น ‘เช่า’ คำนั้น แต่... ‘เช่า’ ‘แฟน’ คืออะไร?
อุเอซาโกะส่งข้อความมาราวกับตอบซากุที่เผลอพึมพำออกมาว่า “อะไรล่ะนั่น”
<ไม่รู้จักเรอะ? เช่าครอบครัว เช่าเพื่อน เช่าแฟนหนุ่มอะไรงี้ ธุรกิจจัดหาคนอะ>
<ไอ้บ้า อย่าแนะนำของแบบนั้นให้ซากุสิ>
ก่อนไอดะจะเข้ามาห้าม ซากุค้นหาด้วยอินเทอร์เน็ตอย่างว่องไวไปเรียบร้อยแล้ว
แฟนหนุ่มเช่า เขาจ้องผลลัพธ์การค้นหาที่ปรากฏขึ้น แล้วก็ตกใจนิดหน่อยว่ามีอาชีพอย่างนี้ด้วยเหรอ ตรงตามตัวอักษรเลย ดูเหมือนจะเช่าแฟนหนุ่มได้
(มันดูไม่น่าไว้ใจยังไงก็ไม่รู้ไหม?)
...ที่คิดอย่างนั้นเป็นเพราะซากุอ่อนต่อโลกหรือเปล่า?
<นี่ปลอดภัยเหรอ?>
<มันก็แล้วแต่บริษัทเปล่า?>
<ซากุ ทำเหมือนไปหลอกคุณปู่แบบนั้นน่ะ หยุดเลยจะดีกว่านะ>
คำเตือนของไอดะสมเหตุสมผลเป็นที่สุด ถ้าเป็นเพื่อนละก็ว่าไปอย่าง แต่ขอให้คนอื่นแกล้งเป็นคนรัก ยิ่งโกหกปู่ไปกันใหญ่ มิหนำซ้ำแฟนหนุ่มเช่าที่อยู่ในภาพตัวอย่างบนอินเทอร์เน็ต ไม่ว่าคนไหนดูแวบเดียวก็หล่อกันไปหมด ใบหน้ายิ้มสดใสเชี่ยวชาญเกินจนรู้สึกหวาดหวั่น
<นั่นสิเนอะ> ซากุตอบอย่างนั้น
แต่แค่นิดเดียว...นิดเดียวเท่านั้นที่คิดว่าถ้ามันทำให้ปู่สบายใจได้ก็ดีนะ ตอนนั้นซากุยังอยู่ในช่วง ‘ความคิดลังเล’

วันต่อมา บนรถของมาโนะซึ่งมารับที่มหาวิทยาลัยระหว่างตรงไปโรงพยาบาลที่ปู่พักอยู่
“ได้ยินว่าปฏิเสธดูตัวไปสินะครับ”
มาโนะพูดเข้าเรื่องโดยไม่มีเกริ่นนำ ซากุตัวแข็งค้างทั้งที่อยู่ในท่าเหม่อมองออกไปด้านนอก
“อ๊ะ...อืม”
ไม่ถามว่าทำไมถึงรู้ล่ะ มาโนะเป็นมือขวาของปู่ทั้งเรื่องงานและเรื่องส่วนตัว อย่างเรื่อง ‘ดูตัว’ ที่มากะทันหันเกินไปก็รู้สึกกระทั่งว่ามาโนะอาจเสนอมา
“ท่านอิจิโซท้อแท้เลยนะครับว่าอุตส่าห์เป็นคนดีๆ น่าเสียดาย”
“...อืม...”
เป็นเรื่องที่รู้อยู่แล้ว แต่พอได้ยินชัดเจนจากปากมาโนะก็ช็อก ซากุเองไม่ได้อยากทำให้ปู่ที่อ่อนแอลงเพราะป่วยต้องหดหู่ยิ่งขึ้นไปอีก แต่ว่า
“ไม่สนใจจริงๆ เหรอครับ”
“...นั่นสินะ”
“เกี่ยวกับเรื่องนั้น ผมได้ยินมาว่าท่านอิจิโซไปทาบทามมาเอง เพื่อเป็นการรักษาหน้าท่านอิจิโซด้วย ลองไปพบดูสักครั้งเป็นไงครับ”
“แต่ว่า...”
ทั้งที่ไม่ได้มีความตั้งใจแบบนั้นแต่กลับไปพบเพียงเพราะแค่ต้องไปพบ จะไม่ยิ่งเสียมารยาทต่ออีกฝ่ายเข้าไปใหญ่เหรอ
แม้จะขุ่นเคืองใจ สุดท้ายซากุก็พูดออกมาอย่างตะกุกตะกัก
มาโนะเป็นคนหัวไวมากตั้งแต่ตอนยังเป็นผู้อบรมสั่งสอนซากุแล้ว สำหรับซากุ เขาเป็น ‘คนน่ากลัว’ ในหลากหลายความหมาย ซากุที่เติบโตโดยพยายามอยู่ข้างๆ แม่ซึ่งเจ็บป่วยออดๆ แอดๆ เดิมทีก็เป็นเด็กไม่ซุกซนเหมือนเด็กๆ อยู่แล้ว ดังนั้นแค่พูดจาอึกๆ อักๆ ก็รู้สึกว่าไปทำให้เขาหงุดหงิดแล้ว
ตอนนี้เองมาโนะพูดเด็ดขาดชัดเจนด้วยน้ำเสียงไม่เกรงใจ
“ได้ยินว่าคุณบอกท่านอิจิโซไปว่ามีคนที่คบหาอยู่ แต่คงโกหกสินะครับ เท่าที่ผมรู้ ปัจจุบันคุณไม่มีคนที่คบหากันแบบนั้น”
“...ขอโทษครับ”
ซากุคอตกทันที มาโนะถอนหายใจหนักๆ
“ขอโทษนะ ช่วยอย่าไปบอกท่านปู่ได้ไหม?”
“...เอาเถอะ ก็พอสังเกตได้ครับว่าคุณซากุไม่สนใจ”
เขาเข้าข้างซากุอย่างน่าแปลก
“ความรู้สึกที่ว่าเรายังหนุ่มอยู่แท้ๆ ถ้าถูกคนที่ไม่ได้ชอบมาตกหลุมรักอย่างไม่ทันตั้งตัวก็แย่เลย ก็ไม่ใช่ว่าผมไม่เข้าใจหรอกครับ”
“ไม่ได้คิดอย่างนั้นสักหน่อย”
ซากุเถียงกลับอัตโนมัติ ก่อนจะสะดุ้งกับสายตาเยียบเย็นแล้วพิงตัวกลับไปบนเบาะอีกครั้ง
“...สรุปก็คือที่ผมดูพึ่งพาไม่ได้มันไม่ดีใช่ไหมล่ะครับ ถึงพยายามทำตัวให้ดูพึ่งพาได้ก็ยังไม่พอเหรอ?”
“เยี่ยมมากเลยครับที่เตรียมอกเตรียมใจมาดี แต่ความไว้วางใจไม่ใช่สิ่งที่เกิดขึ้นในช่วงเวลาสั้นๆ หรอกนะครับ”
“.....”
ถูกต้องเกินจนเถียงไม่ออกเลย
“...ผมอยากให้ท่านปู่สบายใจครับ”
ซากุเลื่อนสายตาไปยังนอกหน้าต่างแล้วพึมพำเหมือนแก้ตัว
ที่ไม่อยากทำให้ปู่เป็นห่วงเกินจำเป็นนั้นเป็นเรื่องจริง แต่เขาไม่มีคนรักเท่านั้นเอง...
พริบตานั้นข้อความตอบโต้ทาง LINE กับพวกอุเอซาโกะเมื่อคืนก็ผุดขึ้นในหัว
“คุณมาโนะครับ รู้จักแฟนหนุ่มเช่าไหมครับ”
แม้หัวข้อพูดคุยจะเปลี่ยนแปลงกะทันหัน แต่มาโนะก็ยังหักพวงมาลัยรถพลางตอบกลับอย่างไร้ที่ติ
“รู้ว่ามีอาชีพแบบนั้นครับ”
“มันปลอดภัยหรือเปล่าครับ?”
“...วางแผนร้ายอะไรอยู่ครับ?”
“วางแผนร้ายอะไรกัน...”
ซากุหดตัวเล็กลงบนเบาะที่นั่งด้านหลัง เพราะรู้สึกได้ว่าถูกมาโนะจับจ้อง
“อย่าบอกนะว่าตั้งใจจะใช้บริการ?”
“เปล่าครับ ไม่ใช่อย่างนั้น...แค่ว่ามันเป็นยังไง”
“ผมก็ไม่ค่อยรู้หรอกครับ แต่โดยทั่วไปให้ความรู้สึกก้ำกึ่งระหว่างธุรกิจอาบอบนวดกับธุรกิจจัดหาบุคคลละมั้งครับ”
พอรถจอดติดไฟแดง มาโนะก็มองซากุผ่านกระจกมองหลัง
“คิดว่าคุณคงไม่ทำหรอก แต่คุณคงไม่ได้คิดจะเอาตัวรอดด้วยแฟนหนุ่มเช่าสินะครับ?”
มองขาดจนน่ากลัวไม่เปลี่ยนเลย หรือจะพูดว่าซากุตื้นเขินเองดีล่ะ ไม่ว่าอย่างไรก็ทำให้รู้สึกว่าไม่สามารถปิดบังมาโนะได้แม้แต่เรื่องเดียว
จุดที่พูดถึงอีกฝ่ายว่า ‘แฟนหนุ่ม’ อย่างเป็นธรรมชาตินั้น ซากุก็คิดอยู่ว่าในเมื่ออิจิโซรู้แล้ว มาโนะไม่มีทางที่จะไม่รู้หรอก...ถึงขนาดเป็นไปได้สูงด้วยซ้ำว่าอิจิโซรู้มาจากมาโนะ
มาโนะถอนหายใจหนักๆ อีกครั้งใส่ซากุที่นิ่งเงียบไปแล้ว
“ยากที่จะเห็นด้วยนะครับ การหลอกท่านอิจิโซเป็นเรื่องที่ไร้สาระครับ ข้อแรก นั่นไม่ได้แก้ไขต้นเหตุแห่งความกังวลของท่านอิจิโซเลยสักอย่างเดียวไม่ใช่เหรอครับ”
“ผมเข้าใจครับ แต่เพราะเอาแต่ทำให้ท่านปู่เป็นห่วง...เลยคิดว่าอย่างน้อย แค่ระหว่างที่สภาพร่างกายยังไม่ดี ถ้าทำให้สบายใจได้ละก็...”
“ถึงจะกลบเกลื่อนด้วยการสร้างภาพ แต่ถ้ารู้ความจริงจะทำให้ยิ่งผิดหวังไปกันใหญ่นะครับ”
มาโนะถอนหายใจด้วยความหงุดหงิดที่หนักยิ่งกว่าความเหนื่อยหน่าย มองจากมุมมาโนะ ซากุคงกำลังพูดเรื่องโง่เง่าอยู่ เขารู้ตัวดี แต่ซากุก็จริงจัง
“แค่จนกว่าอาการของท่านปู่จะดีขึ้นก็พอครับ ผมอยากให้ท่านปู่ดีขึ้นเร็วๆ โดยไม่ต้องคอยห่วงเรื่องผม”
“.....”
มาโนะเงียบไปสักพัก
“...คุณมาโนะ?”
“...ผมยังไม่ได้บอกคุณเลยครับ”
พอรถออกตัวเพราะไฟเขียว จังหวะเดียวกันมาโนะก็ปรับน้ำเสียงแล้วเริ่มพูด
“ผลตรวจเมื่อวาน พบอาการผิดปกติเล็กน้อยที่หัวใจของท่านอิจิโซครับ”
“เอ๊ะ...”
ซากุเงยหน้าขึ้น
“คิดว่าวันนี้คงได้ฟังรายละเอียดจากท่านอิจิโซโดยตรงครับ เห็นว่าจำเป็นต้องผ่าตัด ขึ้นอยู่กับผลตรวจหลังจากนี้ เพราะฉะนั้นดูท่าจะออกจากโรงพยาบาลไม่ได้อีกสักระยะครับ”
“...เรื่องแบบนั้น...”
จากเรื่องสบายๆ ไร้สาระ จู่ๆ กลับพูดเรื่องเคร่งเครียดจริงจัง ซากุเลยชะงักไป ร่างของแม่ที่นอนเหี่ยวแห้งอยู่เงียบๆ บนเตียงผู้ป่วยปรากฏขึ้นในหัว ซากุเปิดริมฝีปากขึ้นหลายครั้งทว่าก็ปิดลงเพราะหาคำพูดเหมาะๆ ไม่เจอ เหมือนโลกสั่นไหวจนรู้สึกไม่ดีขึ้นมา
“แต่ว่า...แต่ว่าจะดีขึ้นใช่ไหมครับ? ท่านปู่จะหายสินะครับ?”
“ตอนนี้เขาบอกว่าไม่เกี่ยวพันถึงชีวิตทันทีครับ”
“...ถ้าอย่างนั้นก็ดีแล้วครับ”
ตัวที่โน้มมาข้างหน้าตั้งแต่เมื่อไรไม่รู้พิงกลับไปยังที่นั่งเบาะหลัง เขาถอนหายใจที่กลั้นไว้โดยไม่รู้ตัว ต่อให้มีความเกรงใจหรือระยะห่างถึงเพียงไหน อิจิโซก็เป็นที่พึ่งพิงของซากุจริงๆ ซากุรู้สึกหน้ามืดตาลายกับความตื้นเขินทั้งที่เป็นเรื่องของตัวเอง
“เพราะฉะนั้น” มาโนะพูดต่อ
“นอกจากแผนการตื้นๆ ของคุณซากุ ตรงที่อยากให้ท่านอิจิโซจดจ่อกับการพักรักษาตัวอย่างเป็นสุข ผมเห็นด้วยครับ”
“...งั้นเหรอครับ”
มาโนะคั่นจังหวะด้วยความเงียบสั้นๆ แล้วพูดออกมาหลังถอนหายใจ
“เข้าใจแล้วครับ ใช้ข้อเสนอของคุณก็แล้วกันครับ”
“เอ๊ะ” ซากุเผลอหลุดปากออกไป
“จริงเหรอ?”
“แต่ถ้าจะส่งคำขอตัวบุคคล ผมขอรับผิดชอบเรื่องบริษัทอีกฝั่งเองครับ ผมจะหาบริษัทที่ไว้ใจได้ มีที่มาที่ไปของพนักงานชัดเจน ว่ายังไงครับ”
สำหรับผู้ชายที่บรรลุนิติภาวะแล้วก็ประคบประหงมมากเกินไปจนน่าระอา แต่บอกตามตรงว่ารู้สึกโล่งอกที่มาโนะพูดแบบนั้น ถึงจะน่าละอาย ทว่าเกี่ยวกับด้านความปลอดภัย พึ่งพามาโนะนั้นไว้ใจได้มากกว่าหาเองมากทีเดียว
“เข้าใจแล้วครับ รบกวนด้วยนะครับ” ซากุพยักหน้า
(...แต่ก็อยากลองเลือกอีกฝ่ายด้วยตัวเองนิดๆ แฮะ...)
...ที่คิดขึ้นมาแวบหนึ่งนั้นเป็นความลับ
คนรักแบบจำกัดเวลาที่ไม่เพียงพอให้เกิดความรักปลอมๆ ด้วยซ้ำ สำหรับซากุแล้ว อีกฝ่ายอาจเป็น ‘คนรัก’ ที่มีเพียงครั้งเดียวในชีวิตก็ได้
เพราะฉะนั้นแม้ว่าอีกฝ่ายจะเป็นคนที่มาโนะเลือกมาให้ตามใจชอบ แต่ตอนเห็นรูปถ่ายของ ‘นาโอะ’ หัวใจซากุก็เริงร่า
อย่างน้อยที่เห็นในรูป รูปร่างหน้าตาเขาก็ดีมากพอจะทำให้ซากุเบิกบานใจ





+++++++++++++++++++++++++++++++++++++
ซากุเป็นเกย์ที่ต้องจ้างแฟนหนุ่มเช่าเพื่อให้ปู่ที่ล้มหมอนนอนเสื่อสบายใจ คนที่มาในวันนัดคือนาโอะ ชายหนุ่มในอุดมคติที่อายุมากกว่าและมีรอยยิ้มแสนวิเศษ อาริมัตสึ นาโอะ นักเขียนนิยายที่ถูกคนรู้จักไหว้วานมาให้ช่วยเป็นแฟนหนุ่มเช่าเห็นตัวผู้จ้างก็เริ่มรู้สึกว่าเขาพิเศษตั้งแต่แรกพบ ทั้งสองคนผ่านการเดตในฐานะแฟนหนุ่มเช่ากับผู้จ้างหลายครั้งก็ยิ่งหลงเสน่ห์อีกฝ่ายมากขึ้นเรื่อยๆ แต่ทั้งที่เป็นรักข้างเดียวกลับเกิดเหตุการณ์ที่ทำให้ความสัมพันธ์ระหว่างทั้งสองคนที่สวนทางกันยิ่งตกอยู่ในสถานการณ์หมิ่นเหม่มากยิ่งขึ้น...!? เรื่องราวความรักโรแมนติกแสนคลั่งรัก ♡

รูปภาพ

ตอบกลับโพส

ย้อนกลับไปยัง “Bongkoch Books News & Activities”