New Release BLY แปล : นภาจันทร์กระจ่าง

อัพเดทข่าวบงกชบุ๊คส์ ความเคลื่อนไหว และกิจกรรมพิเศษ ตลอดจนร่วมสนุกชิงรางวัลพร้อมของรางวัลมากมาย

Moderator: P'Bly, Gals, พี่บี

ตอบกลับโพส
Gals
โพสต์: 1072
ลงทะเบียนเมื่อ: ศุกร์ 13 ก.พ. 2009 3:47 pm

New Release BLY แปล : นภาจันทร์กระจ่าง

โพสต์ โดย Gals »

บทที่หนึ่ง

เดือนห้าต้นคิมหันตฤดู ฝนบ๊วย หมุนเวียนเข้าแทนที่ วันนี้ฟ้ามืดเมฆครึ้ม ลมโหมกระโชก พายุฝนที่ตั้งเค้าเทลงมาอีกครา
ที่โรงเตี๊ยมเยวี่ยไหลในเขตชานเมืองลั่วหยางมักมีพ่อค้าต่างแดนแวะเวียนมาบ่อยครั้ง ทว่าวันนี้ประตูโรงเตี๊ยมกลับปิดสนิท ชัดว่ามิได้เปิดให้บริการ
ทว่าภายในโรงเตี๊ยมกลับมิเหมือนปิดให้บริการ ที่นั่งยองๆ ก่อไฟในกระถางถ่านอยู่ตรงมุมเป็นเสี่ยวเอ้อร์ของโรงเตี๊ยมแห่งนี้ คล้ายกำลังเตรียมอุ่นผ้าให้แขกผู้เข้าพัก ถ่านเหล่านั้นต้องความชื้นจุดติดไฟยาก ควันโขมงรมจนเสี่ยวเอ้อร์ตาพร่า ขณะที่อับจนหนทาง เสียงเคาะประตูระรัวพลันดังขึ้นด้านนอก เสียงนั้นดังถี่กระชั้นกลบเสียงฝนไปเลยทีเดียว
เสี่ยวเอ้อร์ลนลานทิ้งกระถางถ่านแล้วรีบวิ่งไปเปิดประตู เห็นด้านนอกมีคนยืนอออยู่นับสิบ เขาตะลึงงันไม่ทันได้เอ่ยวาจาก็ถูกผลักออกไปพร้อมบานประตู จากนั้นคนกลุ่มนั้นก็แทรกเข้ามาอย่างไม่เกรงใจ เสี่ยวเอ้อร์ร้อนอกร้อนใจเอ่ยห้าม “แขกทุกท่าน วันนี้โรงเตี๊ยมมีแขกเหมาไว้แล้วขอรับ หากทุกท่านต้องเข้าพัก โปรดดูที่อื่นเถิด”
เมื่อชายฉกรรจ์ร่างสูงใหญ่ผู้เป็นหัวหน้าได้ฟังก็ตวาดลั่น “อากาศเช่นนี้พวกเจ้ายังจะไล่แขกอีกรึ นี่หลักการใดกัน” ว่าพลางคว้าเงินพวงหนึ่งออกมาจากเอวโยนลงบนโต๊ะ “ใช่ว่าจะมิมีเงินจ่ายให้เจ้าเสียหน่อย รีบไปเอาเหล้าปลาอาหารมา!”
เสี่ยวเอ้อร์มองเงินนั้นด้วยความลำบากใจ จะรับก็ไม่ใช่ไม่รับก็ไม่เชิงก่อนจะเอ่ยตะกุกตะกัก “แต่ว่าโรงเตี๊ยมของเราถูก...ถูก...”
ขณะนั้นเองเสียงคนผู้หนึ่งเอ่ยขึ้นฉะฉาน “พี่ชายท่านนี้ นายน้อยของข้ามิคุ้นชินกับการอาศัยร่วมกับผู้อื่น ขอเชิญท่านไปที่อื่นเถิด” ผู้พูดอายุยังน้อยมาก เขาก้าวลงบันไดมาช้าๆ
ชายฉกรรจ์ผู้นั้นเงยหน้ามองเขาด้วยความประหลาดใจ ย้อนถามด้วยน้ำเสียงไม่เป็นมิตร “นายน้อยของเจ้าคือผู้ใด เป็นฮ่องเต้หรือไร”
ชายหนุ่มไม่ได้ขัดเคือง เอ่ยตอบอย่างมิลำพองมิต้อยต่ำ “นายน้อยของข้าเป็นเพียงปุถุชนคนธรรมดา หาใช่ฮ่องเต้ไม่ ทว่าถึงอย่างไรพวกเราก็มาถึงที่นี่ก่อน ทั้งยังเหมาโรงเตี๊ยมนี้ไว้แล้ว หากพี่ชายยังรั้งอยู่ไม่ยอมไป ก็มิรู้จักกฎเกณฑ์แล้วจริงๆ”
“เจ้า!” ชายฉกรรจ์ผู้นั้นถูกยั่วโทสะจึงหมุนกายฉวยดาบยาวออกมาจากห่อสัมภาระ ชักดาบออกจากฝักฟันไปทางเด็กหนุ่ม เอ่ย “วันนี้บิดาจะสั่งสอนให้เจ้ารู้เองว่ากฎเกณฑ์คือสิ่งใด!”
ชายหนุ่มผู้นั้นเอี้ยวกายหลบ ชักกระบี่ยาวออกจากเอวอย่างว่องไว ตวัดหลังมือไปหนึ่งที ปลายกระบี่ก็พัดพาลมแรงแฉลบผ่านใบหน้าด้านข้างของชายฉกรรจ์ไป เฉือนเคราเขาไปกว่าครึ่ง ชายฉกรรจ์ยิ่งเดือดดาล เงื้อดาบขึ้น พยายามฟันไปที่คอของชายหนุ่ม แต่คิดมิถึงว่าชายหนุ่มที่ดูผอมบางนี้พละกำลังกลับมากมหาศาล รับการโจมตีของเขาด้วยกระบี่เพียงเล่มเดียว ก่อนจะหมุนกายผลักกระแทกเขาออกไปไกล ชายฉกรรจ์ยังคิดรุกเข้ามา ทว่าทันใดนั้นได้ยินบรรดาพวกพ้องร้องขึ้นเบาๆ ว่า “เคหาลั่วเหมย!”
ชายฉกรรจ์ตกใจ กายที่เคลื่อนไหวหยุดะงักไปโดยพลัน จากนั้นหันกลับไปเอ่ยถาม “อะไรนะ?”
พวกพ้องของเขาชี้ไปทางฝักกระบี่ของชายหนุ่ม “เขา...เขาเป็นคนของเคหาลั่วเหมย”
ชายฉกรรจ์มองจ้อง บนฝักกระบี่เล่มนั้นสลักรูปดอกเหมยสีเขียวก้านหนึ่งอยู่จริงๆ นั่นเป็นสัญลักษณ์ของเคหาลั่วเหมย เขาตกตะลึงพรึงเพริด หน้าถอดสีไปไม่น้อย ตะลีตะลานลดดาบลง “ตัวข้ามุทะลุเสียจริง หวังว่าพี่ชายจะมิถือโทษ”
ชายหนุ่มก็เก็บดาบอย่างมีอัธยาศัยไมตรี ประสานมือเอ่ย “เพียงเข้าใจผิดกันเท่านั้น เป็นข้าเองที่เสียมารยาท”
พวกพ้องของชายฉกรรจ์กล่าวขอโทษด้วยอีกหลายประโยค ผ่านไปครู่ใหญ่จึงเอ่ยขึ้นอย่างระมัดระวังถ้อยคำ “นายน้อยที่ท่านกล่าวถึงเมื่อครู่ คือประมุขน้อยอย่างนั้นหรือ”
ชายหนุ่มไม่ได้ตำหนิเขาที่ล่วงเกิน พยักหน้ารับเบาๆ “ถูกแล้ว” เขาเอ่ย จากนั้นคลี่ยิ้มแล้วเอ่ยขึ้นอีกครั้ง “หากมิใช่เพราะนายน้อยเกรงถูกคนแปลกหน้ารบกวน พวกเรามีความจำเป็นใดที่ต้องเหมาโรงเตี๊ยมนี้ให้ยากลำบากกันเล่า”
ผู้ที่เอ่ยถามแสดงสีหน้าแปลกใจออกมา “ประ...ประมุขน้อยไยต้องรอนแรมมาถึงที่นี่ หรือว่าในยามนี้มีเรื่องใหญ่เกิดขึ้น”
ชายหนุ่มคนนั้นชะงักไปก่อนจะเอ่ยด้วยรอยยิ้ม “เพียงมาเข้าร่วมการชุมนุมยุทธจักรที่ลั่วหยางเท่านั้น” เขากระแอมไอคล้ายกลบเกลื่อน จากนั้นแสดงสีหน้าขอโทษขอโพยเล็กน้อย “ทุกท่านรอให้ฝนซาแล้วไปหาที่พักอื่นเถิด นิสัยนายน้อยของข้านั้น...”
เขาไม่ทันพูดจบก็ได้ยินเสียงไอดังมาจากกลุ่มคน ฟังเสียงแล้วคล้ายจะเป็นผู้หญิง เขาชะงักไปชั่วขณะ ทว่าสีหน้าของชายฉกรรจ์กลับเปลี่ยนไปอย่างฉับพลัน กุลีกุจอเข้าไปประคองคนผู้นั้น ถอดหมวกไม้ไผ่กับชุดฟางกันฝนออกให้นาง แล้วเอ่ยถามยาวเป็นพรวน “ซานเหนียง เจ้าเป็นอย่างไรบ้าง ต้องลมหนาวแล้วรึ”
ชายหนุ่มเพิ่งสังเกตเห็นว่าในคนกลุ่มนี้ยังมีหญิงสาวด้วยหลายคน หญิงสาวคนที่ไอหน้าท้องป่องยื่นออกมา เห็นได้ชัดว่ากำลังมีครรภ์ เขาจึงถอยหลังไปอีกก้าวเพื่อไม่ให้เป็นที่ครหา
“พี่ชายท่านนี้” ผู้ที่เอ่ยถามเมื่อครู่เอ่ยขึ้นอย่างสำรวมอีกครั้ง “ไม่ทราบว่ารายงานประมุขน้อยให้พวกข้าได้หรือไม่ ข้าและพวกเป็นคนของสำนักดาบตระกูลเว่ยแห่งซานซี ครานี้มาเข้าร่วมการชุมนุมยุทธจักรเช่นเดียวกัน พี่สะใภ้ข้าตั้งครรภ์ มิอาจระหกระเหินไปท่ามกลางสายฝนได้ ขอให้...ขอให้ประมุขน้อยลดหย่อนผ่อนปรน อนุญาตให้พวกข้าได้พักค้างที่นี่สักคืน”
เมื่อชายหนุ่มได้ฟัง ชั่วขณะหนึ่งไม่ทราบควรทำเช่นไรดี ระหว่างที่ลังเลอยู่นั้นก็มีคนเดินลงมาจากชั้นบน สวมเสื้อผ้าสีเดียวกับเหอฮุย เห็นได้ชัดว่าเป็นองครักษ์ของเคหาลั่วเหมย เขาเอ่ยเสียงดังฟังชัด “นายน้อยอนุญาตแล้ว ให้พวกเขาอยู่ที่นี่ได้ แค่ไม่ขึ้นไปชั้นบนเป็นพอ”
ชัดเจนว่าทุกเรื่องที่เกิดขึ้นด้านล่างเมื่อครู่ ประมุขน้อยท่านนั้นรับรู้แล้วทั้งสิ้น เมื่อคนกลุ่มนี้ได้ยินเช่นนั้นก็อึ้งไปเล็กน้อย จากนั้นพากันกล่าวขึ้นไปทางห้องพักส่วนตัวด้านบนด้วยความเคารพนบนอบ “ขอบคุณประมุขน้อยยิ่ง ขอบคุณประมุขน้อยยิ่ง”
เหอฮุยกับอีกคนก็ย่อมได้รับคำขอบคุณจากพวกเขาเช่นเดียวกัน เขาคลี่ยิ้ม หมุนกายหมายขึ้นไปชั้นบน ทว่าหางตากลับเผลอเหลือบไปเห็นร่างหนึ่งในกลุ่มคน คนผู้นั้นสูงชะลูดใบหน้าถูกหมวกไม้ไผ่บดบัง มองเห็นหน้าตาได้ไม่ชัด แต่กระบี่ยาวที่ห้อยอยู่ที่เอวนั้นชี้ชัดว่าคนผู้นี้ไม่ใช่คนกลุ่มเดียวกับสำนักดาบตระกูลเว่ย เหอฮุยมองอยู่ครู่หนึ่ง เมื่อมิเห็นพิรุธใดก็โคลงศีรษะหมุนกายกลับไปรายงาน

***

ในห้องพักส่วนตัว องครักษ์หนุ่มหลายคนกำลังร่ำสุราพลางพูดคุยกับคุณชายชุดหรูหราอย่างครื้นเครง คุณชายชุดหรูหราผู้นั้นก็คือเซียวซู่หานประมุขน้อยแห่งเคหาลั่วเหมย เขาเลิกคิ้วมองเหอฮุยแวบหนึ่ง “ให้เจ้าไปไล่คนพวกนั้น ใช้เวลานานเพียงนี้เชียว?”
เหอฮุยโน้มตัวลงไปแจงที่มาของคนเหล่านั้นอย่างละเอียด ทว่าเซียวซู่หานกลับโบกมือด้วยความรำคาญใจ “เรื่องคนพวกนั้นมิต้องพูดให้มากความ ให้พวกเขาอยู่กันเงียบๆ อย่ามารบกวนข้าเป็นพอ”
เหอฮุยรับคำแล้วออกนอกห้องไปทันที
องครักษ์อีกนายก้าวขึ้นไปรินสุราให้เขา เอ่ยถามเสียงเบา “นายน้อย วันพรุ่งเป็นวันแรกของการเปิดชุมนุมยุทธจักร พวกเราจะออกเดินทางยามใด”
เซียวซู่หานยกถ้วยกระเบื้องเคลือบสีหยกขึ้น จิบชิมสุราชั้นดีในถ้วยแล้วคลี่ยิ้มเย็นพลางเอ่ย “ชุมนุมยุทธจักรอะไรกัน ก็แค่เรื่องตลกฉากหนึ่งเท่านั้น มิควรค่าให้เอ่ยถึง การเดินทางในคราวนี้ของพวกเรามาด้วยเรื่องใดพวกเจ้าอย่าได้ลืม หาข้อเท็จจริงของเปียนซวี่มาให้ข้าโดยเร็ว”

***

หนึ่งต้องรอนแรมไปฉางซา เหลียวมองฉางอันมิเห็นเรือน ขลุ่ยหยกเป่าในหอกระเรียนเหลือง เจียงเฉิงเดือนห้าดอกเหมยโปรยปราย

เคหาลั่วเหมยแห่งเมืองเจียงเฉิงก่อตั้งโดยมือกระบี่นามว่าเซียวอี๋เยี่ย จวบจนถึงทุกวันนี้มีอายุร่วมสามชั่วคนแล้ว เซียวอี๋เยี่ยนั้นเพลงกระบี่เลิศล้ำ ทั้งยังเป็นคนอาจหาญ เป็นที่นับหน้าถือตาในยุทธจักร แม้นว่าสำนักกระบี่ของตระกูลมิอาจนับได้ว่ามั่งคั่งมากบารมีเท่าใดนัก ทว่าตระกูลเซียวกลับแตกต่างจากตระกูลอื่นในยุทธจักร ภูมิหลังของตระกูลลึกลับอยู่มิน้อย เล่าลือกันว่ามีสายสัมพันธ์โยงใยกับฮ่องเต้องค์ปัจจุบัน ด้วยเหตุนี้ในยุทธจักรจึงไม่มีผู้ใดกล้าเผลอไผลก้าวล่วงเคหาลั่วเหมย
ทว่าลูกหลานตระกูลเซียวในปัจจุบันกลับบางตา ประมุขรุ่นปัจจุบันหมกมุ่นอยู่กับเพลงกระบี่ เก็บตัวฝึกกระบี่แรมปี ยกกิจการภาระอันใหญ่หลวงของตระกูลให้บุตรคนโตดูแลมาเนิ่นนาน ประมุขน้อยเซียวท่านนี้ยังเยาว์วัย ถูกผู้คนเอาอกเอาใจมาตั้งแต่เล็กจนเติบใหญ่ นิสัยจึงดื้อแพ่งเป็นธรรมดา ไม่เคยเห็นผู้อื่นอยู่ในสายตา ทว่ามนุษย์ทุกคนบนโลกล้วนมีจุดอ่อน เซียวซู่หานผู้นี้มิมีพี่ชายน้องชาย มีเพียงน้องสาวผู้เดียว ถูกเขายกเป็นดังแก้วตาดวงใจ ยอมเชื่อฟังคล้อยตามไปเกือบเสียทุกอย่าง
ทว่าไม่นานมานี้น้องสาวผู้เป็นที่รักของเขากลับมีเรื่องให้กลัดกลุ้ม กลับกลายเป็นว่าคุณหนูใหญ่ตระกูลเซียวตั้งแต่เกิดจนอายุสิบหกปีเพิ่งได้เดินทางไปไกลบ้านเป็นครั้งแรก พักอาศัยอยู่ในเรือนท่านตาที่เมืองลั่วหยางหนึ่งเดือนเศษ หัวหน้าราชเลขาเฒ่าหวังท่านตาของพวกเขาผู้นี้มีชื่อเสียงกึกก้องในลั่วหยาง ผู้คนในยุทธจักรมักไปเยี่ยมเยียนผูกสัมพันธ์กับเขาที่จวนอยู่เป็นนิจ จึงย่อมมีผู้มากฝีมือรวมตัวกันอยู่เป็นจำนวนมาก วันนั้นฝ่ายใต้และฝ่ายเหนือขอคำชี้แนะวิชากระบี่กัน มีมือกระบี่จากหนานหยางผู้หนึ่งนามว่าเปียนซวี่ ต่อสู้สุดกำลังกับเหล่าวีรชนจนคว้าชัยเป็นผู้ชนะได้ อีกทั้งจิตใจและรูปโฉมยังโดดเด่น ทำให้เซียวซู่เยว่คุณหนูใหญ่แห่งเคหาลั่วเหมยต้องใจตั้งแต่แรกพบ ทว่านางขี้อายเป็นที่สุด มิกล้าให้คนอื่นเห็นความในใจของตน ได้แต่ลอบมองเขาเล็กๆ น้อยๆ ในยามที่มือกระบี่ฝึกกระบี่กัน เมื่อได้ลิ้มรสความรักเป็นคราแรกย่อมกังวลมิกล้าได้กล้าเสีย หลังจากนั้นไม่กี่วันเปียนซวี่ก็ไปจากจวนหัวหน้าราชเลขาหวัง ครั้นเซียวซู่เยว่มิได้พบเขาก็เศร้าใจจนไม่เป็นอันกิน พอกลับไปถึงเคหาลั่วเหมยใบหน้าจึงซูบผอมลงไปไม่น้อย
เซียวซู่หานไหนเลยจะเคยเห็นสภาพน้องสาวจิตใจไม่อยู่กับเนื้อกับตัวเช่นนี้ ในสายตาเขา น้องสาวตนเป็นสาวงามแห่งแคว้น ชาติตระกูลเลื่องชื่อลือนาม ในยุทธจักรมิมีผู้ใดคู่ควรกับนางอย่างแท้จริง การที่เปียนซวี่ผู้นี้ทำให้น้องสาวต้องตาได้ ย่อมเป็นคุณงามความดีที่สั่งสมมาหลายชาติภพ มีแต่ต้องหลั่งน้ำตาด้วยความซาบซึ้งเท่านั้น มิควรมีเหตุผลที่มิยินยอม จึงส่งผู้ส่งสารไปตามตัวมายังเคหาเพื่อจัดงานแต่งงานในทันที
ทว่าที่ทำให้เซียวซู่หานคาดมิถึงก็คือผู้ส่งสารที่เขาส่งไปไม่เพียงแต่ไม่ได้นำตัวเปียนซวี่ที่ซาบซึ้งจนหลั่งน้ำตากลับมา กลายเป็นว่าแม้แต่เงาของเปียนซวี่ก็ยังหาไม่พบ ได้กลับมาเพียงข่าวลือทั่วยุทธภพเกี่ยวกับคนผู้นี้
ว่ากันว่าเปียนซวี่แต่งภรรยานานแล้ว ทว่าไม่กี่ปีภรรยาก็ป่วยไข้จากไป หลังจากนั้นจอมยุทธ์หญิงรูปงามในยุทธจักรต่างก็มีความหวังกันมากขึ้น ทว่าสำหรับหญิงสาวที่ทุ่มเทใจให้เขาเหล่านี้ หากเปียนซวี่มิหลบเลี่ยงทำมิเห็นก็จะปฏิเสธไปโดยตรง กล่าวคือคนผู้นี้เย็นชาไร้หัวใจ ไม่ใช่คู่ชีวิตที่ดีอย่างแน่นอน
หากเป็นคนทั่วไป เมื่อได้ฟังเช่นนี้แล้วคงล้มเลิกความคิดไป ทว่าประมุขน้อยเซียวนั้นเคยผิดหวังเสียที่ไหนกัน เขารู้เพียงว่าเซียวซู่เยว่ชอบคนผู้นี้ แม้คนผู้นี้จะหนีไปไกลสุดหล้าฟ้าเขียว เขาก็จะมัดตัวกลับมาคืนรอยยิ้มให้น้องสาวให้จงได้ ดังนั้นเมื่อทราบข่าวว่าเปียนซวี่ปรากฏตัวที่ลั่วหยางเมื่อเร็วๆ นี้ เขาจึงควบม้าเร็วพร้อมผู้ติดตามตะบึงไล่ตามมาโดยพลัน อยากรู้จักเสียหน่อยว่าเปียนซวี่ที่ขโมยหัวใจของน้องสาวไปนั้นเป็นคนเช่นไร

***

ไม่ว่าห้องพักชั้นเลิศของโรงเตี๊ยมเยวี่ยไหลจะตกแต่งงดงามโอ่อ่าอีกเพียงใดก็สะดวกสบายไม่เท่าเคหาลั่วเหมย เซียวซู่หานนอนอยู่บนเตียง รู้สึกอึดอัดคับแคบ พลิกตัวไปมาหลายตลบก็ยังนอนไม่หลับ เขาคุ้นชินกับความหรูหราสุขสบาย น้อยครั้งนักที่จะต้องเผชิญความทุกข์ยากกระสับกระส่ายเช่นนี้ ขณะที่วุ่นวายใจก็พลันนึกขึ้นได้ว่าทั้งหมดนี้ล้วนทำเพื่อน้องสาวที่รักยิ่ง จึงถอนหายใจออกมาอย่างอดไม่ได้ หลับตาลงหมายจะข่มตาหลับอีกครั้ง
ขณะที่จะผล็อยหลับไป ทันใดนั้นที่ข้างหูมีเสียงดังขึ้นแว่วๆ คล้ายเสียงลมพัดผ่านลายฉลุหน้าต่าง ผ่านไปครู่หนึ่งก็มีเสียงดังขึ้นเบาๆ อีกครั้ง เสียงทั้งสองครั้งนั้นแผ่วเบามากและไม่ได้ดังจนผิดวิสัยกลางราตรีที่เงียบสงัด ทว่าเซียวซู่หานกลับสัมผัสได้ถึงความผิดแปลกบางอย่าง เมื่อเบิกตาขึ้นก็เห็นเงาร่างหนึ่งยืนอยู่ปลายเตียง ในมือถือดาบยาวเล่มหนึ่งกำลังจะฟันลงมาที่เขา
ขณะที่เซียวซู่หานจะเอี้ยวตัวหลบไปด้านในเตียงด้วยอารามตกใจนั้น ท้ายทอยเขาพลันเย็นวาบ กลับกลายเป็นว่ามีกระบี่อีกเล่มแทงออกมาจากทางหัวเตียง พุ่งไปทางเงาร่างนั้น เมื่อกระบี่สอดประสานก็ย่อมมีเสียงดังเกิดขึ้น องครักษ์หลายนายด้านนอกสะดุ้งตื่นในทันที ชั่วอึดใจหนึ่งก็รุดเข้ามาเอ่ยถามเสียงดัง “นายน้อย เกิดอะไรขึ้น?”
ทว่าภายในห้องกลับเวิ้งว้างว่างเปล่า เหลือเพียงบานหน้าต่างที่ถูกเปิดทิ้งไว้ เมื่อถูกลมพัดก็แกว่งไปมา ส่งเสียงดังเอี๊ยดอ๊าด

แสงจันทร์นวลกระจ่างราวสายน้ำ ทอส่องลงบนเนินเขานอกเมืองลั่วหยางขับให้ทิวทัศน์งดงามขึ้นหลายส่วน เซียวซู่หานกลับไม่สนใจจะชมแสงจันทร์ เขาคิดแต่เพียงว่าชั่วชีวิตนี้เขาไม่เคยกระเซิงมากถึงเพียงนี้มาก่อน สวมเสื้อคลุมตัวนอกลวกๆ คว้ากระบี่ไว้ในมือ ขับปราณแท้ในทรวงเร่งรุดไล่กวดคนทั้งสองด้านหน้าไป
เขารู้ตัวดีว่าเพลงกระบี่ของเขาห่างจากบิดาอยู่หลายขุม ทว่าวิชาตัวเบากล่าวได้ว่ายอดเยี่ยมเป็นที่หนึ่ง แต่ไม่คิดเลยว่าวิชาตัวเบาของแขกไม่ได้รับเชิญทั้งสองท่านที่ได้เจอในวันนี้กลับยังเหนือชั้นกว่าเขา ร่างของทั้งสองอยู่ไกลลิบ เจ้าไล่ข้าตาม ประกระบี่กันอยู่เนื่องๆ ทว่าฝีเท้ากลับไม่ได้ชะลอลงเลยแม้แต่น้อย ทันใดนั้นก็ได้ยินมือกระบี่ร่างสูงใหญ่อุทานขึ้นเบาๆ “แย่แล้ว!” ว่าพลางส่งกระบี่ในมือออกไป แสร้งจ้วงแทงไปทางคนชุดดำ จากนั้นพลันหมุนกายแล้ววิ่งย้อนกลับมา
คนชุดดำก็ไม่ได้ขวางกั้นเขา เพียงแค่นหัวเราะเสียงเย็นก่อนโผนทะยานกายขึ้น ไปแห่งหนใดก็มิทราบได้แล้ว
เซียวซู่หานมองมือกระบี่ด้วยความแปลกใจ ครั้นจะเอ่ยปากพูด คนผู้นั้นกลับยื่นมือมาคว้าแขนเขา เหน็บเขาทะยานออกไปไกลหลายลี้ พร้อมเอ่ย “ประมุขน้อยเซียว พวกเราติดกับเข้าแล้ว”
นี่เป็นครั้งแรกที่เซียวซู่หานถูกเหน็บรัดตัว ในใจโกรธเคืองนักทว่าไม่สามารถสะบัดออกได้ ได้แต่เอ่ยถามเสียงเย็น “ท่านเป็นใคร แล้วคนผู้นั้นเป็นใคร เหตุใดมาที่ห้องข้าในยามวิกาล”
มือกระบี่เอ่ยตอบ “เดิมข้าเข้าใจว่าคนผู้นั้นต้องการสังหารประมุขน้อยเซียวจึงหมายจะสกัดขวาง ผู้ใดจะนึกว่าเขากลับล่อให้พวกเราไล่ตามออกมา นี่เป็นเพียงการล่อเสือออกจากถ้ำ”
เซียวซู่หานย้อนคิดเล็กน้อย รูปการณ์เมื่อครู่เป็นเช่นนั้นจริงๆ จึงอดมิได้ที่จะถามขึ้นอีกครั้ง “ล่อเสือออกจากถ้ำ หรือว่าสิ่งที่คนผู้นั้นมาดหมายอยู่ในโรงเตี๊ยม?”
มือกระบี่นิ่งเงียบไปนาน ครู่ใหญ่ถึงเอ่ย “เป็นเช่นนั้น”

เมื่อทั้งสองกลับไปที่โรงเตี๊ยม ในโรงเตี๊ยมจุดไฟสว่างโร่ราวกับเพิ่งประสบเหตุการณ์มิคาดฝันฉากใหญ่ เหอฮุยกับองครักษ์คนอื่นๆ ออกมารับเขา เมื่อเห็นเซียวซู่หานปกติสมบูรณ์ดีก็พากันถอนหายใจด้วยความโล่งอก “นายน้อย...”
เซียวซู่หานไม่รอให้พวกเขาพูดอะไรก็เอ่ยถามขึ้นทันที “เมื่อครู่พวกเจ้าอยู่ที่ใด ต่อสู้กับผู้ใดหรือไม่”
เหอฮุยรีบเอ่ย “เมื่อครู่นายน้อยหายไป เหล่าผู้ใต้บัญชาตกใจเสียแทบแย่ รีบแบ่งกำลังออกเป็นสองฝ่ายออกไปตามรอยนายน้อย กลุ่มของพวกข้าเพิ่งกลับมาเมื่อครู่นี้ ทว่ากลุ่มของพี่ใหญ่เกายังมิกลับมาเลย”
เซียวซู่หานเอ่ยขึ้นทันที “ส่งสัญญาณให้เกาอวี่กลับมาประเดี๋ยวนี้” แม้ว่าเขาจะไม่เอ่ยปาก แต่พอเห็นเหล่าองครักษ์ไม่ได้บาดเจ็บ สีหน้าก็ดูเบาใจลงอย่างเห็นได้ชัด
ทว่ามือกระบี่ที่อยู่ด้านข้างกลับส่ายหน้าก่อนเอ่ยขึ้นเบาๆ “มีกลิ่นคาวเลือด”
“อะไรนะ?” เซียวซู่หานมองเขาด้วยความสงสัย กลับเห็นว่าดวงตาของเขาถูกปีกหมวกไม้ไผ่บังอยู่ มุมปากเม้มตึงราวปลายดาบ
มือกระบี่ไม่เอ่ยคำ เดินตามกลิ่นคาวเลือดในอากาศไปยังห้องพักของชั้นหนึ่ง ทันใดนั้นยกมือขึ้นผลักเปิดประตู จากนั้นร่างก็ไหวเบาๆ ครั้งหนึ่ง เดินไปห้องที่สอง ห้องที่สาม...โดยไม่พูดอะไรแม้แต่คำเดียว จนเมื่อเขาเปิดครบทุกห้องแล้วจึงถอยหลังมาสองก้าวแล้วกล่าวด้วยเสียงอึมครึม “สำนักดาบตระกูลเว่ยสิบเจ็ดชีวิต เสียชีวิตทั้งหมดแล้ว”
เซียวซู่หานตะลึงงัน ให้องครักษ์เข้าไปตรวจสอบและยกตะเกียงส่องมองไปในห้องพักเหล่านั้นด้วยตนเอง มีร่างมนุษย์นอนคว่ำหน้า ศพกองเกลื่อนพื้นอยู่จริงๆ แม้กระทั่งหญิงสาวที่ตั้งครรภ์ผู้นั้นก็ไม่อาจรอดพ้น แต่ที่น่าแปลกคือ มีคนตายมากมายถึงเพียงนี้ บนพื้นกลับไม่มีคราบเลือดอยู่เลย เมื่อจุดตะเกียงตรวจสอบอย่างละเอียดก็พบว่าบริเวณลำคอของพวกเขาทุกคนมีรอยเส้นสีแดงเล็กๆ อยู่ ซึ่งเป็นเหตุให้ถึงแก่ชีวิต
เซียวซู่หานแม้พบกับกลุ่มสำนักดาบตระกูลเว่ยด้วยความบังเอิญ แต่เมื่อได้เจอสถานการณ์พลิกผันอันน่าพรั่นพรึงนี้อย่างกะทันหัน เขาก็รู้สึกใจหายวาบอย่างมิอาจควบคุม เบนสายตาไปยังใบหน้าของมือกระบี่ด้วยความสงสัยอย่างเต็มเปี่ยม “ท่านรู้หรือไม่ว่านี่มันเรื่องอะไรกัน”
มือกระบี่ส่ายหน้าน้อยๆ “ข้ารู้เพียงว่ามีคนผู้หนึ่งสังหารคนไปมากมายเพื่อแย่งชิงสิ่งของบางอย่าง ยามนี้ของสิ่งนี้อยู่ในการครอบครองของสำนักดาบตระกูลเว่ย คนผู้นี้ต้องลงมือกับคนของสำนักดาบตระกูลเว่ยเป็นแน่แท้ ข้าจึงปลอมตัวติดตามพวกเขามาตลอดทาง ไหนเลยจะรู้ว่าราตรีนี้ไม่อาจช่วยชีวิตพวกเขาไว้ได้”
เซียวซู่หานอยากถามบางอย่างอีก แต่คาดว่ามือกระบี่ผู้นี้คงมิยอมบอก เขาเองก็ไม่สนใจเรื่องยิบย่อยภายในยุทธภพเท่าใดนัก ดังนั้นจึงกอดอกแล้วกล่าวสบายๆ ว่า “ในเมื่อเป็นเช่นนี้ เมื่อท่านสืบสาวต้นสายปลายเหตุกระจ่างแล้ว โปรดชี้แจงต่อยุทธจักร ส่วนพิธีศพของคนสำนักดาบตระกูลเว่ยเหล่านี้ข้าจะส่งคนไปจัดการเอง”
มือกระบี่ยกมือขึ้นคารวะ “ขอบคุณในความเป็นธรรมของประมุขน้อยเซียว ต่อจากนี้ยังมีธุระสำคัญ จำต้องขอตัวก่อน”
เซียวซู่หานเห็นเขาหมายจากไปก็อดมิได้ที่จะเอ่ยถาม “ยังมิได้สอบถามชื่อเสียงเรียงนามของท่านเลย”
มือกระบี่เห็นเขาเอ่ยถามเช่นนี้จึงตอบ “ข้าน้อยนามว่าเปียนซวี่ ศิษย์สำนักกระบี่เทียนเยว่แห่งหนานหยาง จำต้องขอลาก่อน ประมุขน้อยเซียว ภายหน้าคงได้พบกัน”
เซียวซู่หานได้ยินคำว่าเปียนซวี่สองพยางค์นี้แล้วจะปล่อยให้เขาพบกันภายหน้าได้อย่างไร จึงพลันตะโกนขึ้น “ช้าก่อน!”
เปียนซวี่หันกลับมาถามด้วยความงุนงง “มิทราบประมุขน้อยยังมีสิ่งใดชี้แนะ?”
เซียวซู่หานจ้องเขาเขม็งอยู่นาน ทันใดนั้นก็กระแอมไอ ผินหน้าไปถามคนที่อยู่ข้างกาย “ยังไม่มีข่าวจากเกาอวี่รึ?”
เหอฮุยได้ยินคำนี้ก็ก้าวขึ้นมาตอบ “จนบัดนี้กลุ่มพี่ใหญ่เกายังไม่ส่งสัญญาณตอบกลับมาเลย มิทราบเกิดเหตุร้ายขึ้นหรือไม่ ขอนายน้อยโปรดอนุญาตให้ข้าน้อยนำกำลังพลไปเป็นกองหนุนด้วยเถิด”
เซียวซู่หานพยักหน้าเบาๆ “ไปเถิด” ลูกน้องคนสนิทเหล่านี้ติดตามเขามาหลายปีจึงเข้าใจความคิดเขาจากสายตาหรือการกระทำเพียงเล็กน้อย ซึ่งเขาพอใจสิ่งนี้มาก
เมื่อเห็นว่าเหอฮุยพากลุ่มคนออกไปแล้ว เขาจึงหันกลับมาเอ่ยกับเปียนซวี่ “หากแม้แต่ลูกน้องของข้ายังพลอยถูกร่างแหเพราะเรื่องนี้ไปด้วยละก็ ข้ามิยอมรามือง่ายๆ แน่”
เปียนซวี่คล้ายลังเลอยู่ในที ชั่งใจอยู่ครู่หนึ่งก็เอ่ย “คนผู้นั้นมิควรยั่วยุเคหาลั่วเหมย”
เซียวซู่หานหัวเราะเยาะหยันเบาๆ “มิแน่ว่าในสายตาผู้คน เคหาลั่วเหมยมิได้มีชื่อเสียงเกริกก้องอย่างในอดีตไปนานแล้ว ตกต่ำจนใครหน้าไหนก็มารังแกเอาได้ง่ายๆ”
“ประมุขน้อยเซียว...” เปียนซวี่จะเอ่ยบางอย่างแต่ถูกเซียวซู่หานยกมือขึ้นห้าม
“จอมยุทธ์น้อยเปียน เรื่องนี้เกี่ยวข้องกับชื่อเสียงเคหาลั่วเหมยของข้า ข้ามีเรื่องขอร้องที่อาจมิสมเหตุสมผลนัก”
เปียนซวี่เห็นเขาพูดเช่นนี้ก็ประสานมือแล้วเอ่ย “ประมุขน้อยเชิญกล่าว”
“ข้าต้องการไปตรวจสอบเรื่องนี้กับเจ้า” เมื่อเซียวซู่หานกล่าวประโยคนี้จบก็รู้สึกเสียใจภายหลังอยู่เล็กน้อย แต่เมื่อคิดถึงน้องสาวที่ต้องทุกข์ตรมกับรสขื่นขมของความคิดถึงก็ยังจำต้องฝืนใจมองเปียนซวี่
เปียนซวี่ตะลึงงันอย่างเห็นได้ชัด ก่อนจะปฏิเสธอย่างเด็ดขาด “นี่มิเหมาะสม! ประมุขน้อยสถานะสูงศักดิ์ถึงเพียงไหน จะเข้าไปอยู่ในอันตรายได้อย่างไร” เขาครุ่นคิดแล้วเกิดความสงสัยขึ้นอีกครั้ง “มิต้องกล่าวถึงว่าในยามนี้องครักษ์ของประมุขน้อยถูกจับไปหรือไม่ก็ยังมิรู้ แม้เคหาลั่วเหมยถูกลากเข้าไปพัวพันจริง ประมุขน้อยแค่ส่งผู้ใต้บัญชาฝีมือดีๆ ไปสืบสาวราวเรื่องคนสองคนก็เป็นพอ เหตุใดจำต้องไปด้วยตนเองเล่า”
เซียวซู่หานไอแห้งๆ ขึ้นครั้งหนึ่ง “นี่...” เขาคิดคำแก้ตัวไม่ออกอยู่ครู่หนึ่งจึงพลันกระวนกระวาย ฟาดมือลงบนโต๊ะยาวข้างกาย ตวาดลั่น “ที่เจ้าพูดบ่ายเบี่ยงเสียขนาดนี้ ก็เพราะกลัวว่าข้าไปด้วยจะทำให้เจ้าลำบาก ใช่หรือไม่?”
เปียนซวี่ถอยหลังไปหนึ่งก้าวแล้วเอ่ยตอบ “ข้ามิได้มีความคิดเช่นนั้น” เขามองดูไปรอบๆ แล้วเอ่ย “หากลูกน้องท่านกลับมาแล้วไม่พบท่าน ควรทำเช่นไร”
เซียวซู่หานยิ้มเย็น “ข้าทิ้งสัญลักษณ์ลับไว้ให้พวกเขาแล้ว สิบวันจากนี้จะรวมตัวกันอีกครา พวกเขาจะตามหาเบาะแสองครักษ์ที่หายไปเหล่านั้นเอง ส่วนข้ากับเจ้าก็ไปทำความรู้จักผู้บงการอยู่หลังม่านเสียหน่อย ดูซิว่าเป็นเพราะของวิเศษวิโสใด เขาถึงได้ฆ่าคนเป็นผักปลาเช่นนี้”
เปียนซวี่ถอนหายใจเบาๆ “การเดินทางหนนี้อันตรายอย่างแท้จริง หากประมุขน้อยยืนกรานที่จะร่วมเดินทางไปด้วย ข้าน้อยก็มิคัดค้าน แต่หากเกิดเหตุมิคาดฝัน ข้าน้อยคงรับผิดชอบมิไหว”
เซียวซู่หานหัวเราะเย้ยหยันอยู่ในใจพลางเอ่ยกับตนเอง ไม่รู้ว่าเซียวซู่เยว่ไปต้องตาคนผู้นี้ที่จุดใด ความรับผิดชอบสักนิดหามีไม่ เอาแต่ปัดความรับผิดชอบท่าเดียว อย่างกับหนูขี้ขลาด เขาฉวยกระบี่ของตนเองมา เลิกคิ้วขึ้นเอ่ย “จอมยุทธ์น้อยเปียนสบายใจหายห่วงได้เลย การเดินทางร่วมกันในครานี้ ความผิดพลาดทั้งหมดข้าจะเป็นผู้รับผิดชอบเอง”


++++++++++++++++++++++++++++++++++
หนึ่งมือกระบี่สันโดษไร้หัวใจ หนึ่งนายน้อยตระกูลใหญ่ผู้มีหน้ามีตา คนทั้งสองที่แต่เดิมไร้ซึ่งสัมพันธ์กันจับพลัดจับผลูเข้าไปพัวพันในคดีลับของยุทธภพอันซับซ้อนซ่อนเงื่อนด้วยกันโดยบังเอิญ

จากที่มิชอบหน้าจนถึงซาบซึ้งใจกันในภายหลัง ทั้งสองเผชิญอุปสรรคกันมากมาย จิตใจที่เย็นชาของเปียนซวี่ในที่สุดก็ถูกหลอมละลายด้วยหัวใจอันบริสุทธิ์ของเซียวซู่หาน ค่อยๆ ก่อเกิดเป็นความอบอุ่นเสน่หาซึ่งแม้แต่ตัวเขายังต้องประหลาดใจ จนเมื่อความวุ่นวายสงบลง เปียนซวี่ที่ตั้งใจจะสารภาพความนัยกลับต้องตะลึงงันเมื่อพบว่าสาเหตุที่เซียวซู่หานเข้าหาตนทุกวิถีทางตลอดที่ผ่านมานั้น เป็นเพราะต้องการให้ตนตบแต่งเข้าเป็นน้องเขย…


รูปภาพ

ตอบกลับโพส

ย้อนกลับไปยัง “Bongkoch Books News & Activities”