New Release BLY แปล : หลงเหลือเพียงครึ่งหัวใจ 3 (เล่มจบ)

อัพเดทข่าวบงกชบุ๊คส์ ความเคลื่อนไหว และกิจกรรมพิเศษ ตลอดจนร่วมสนุกชิงรางวัลพร้อมของรางวัลมากมาย

Moderator: P'Bly, Gals, พี่บี

ตอบกลับโพส
Gals
โพสต์: 1072
ลงทะเบียนเมื่อ: ศุกร์ 13 ก.พ. 2009 3:47 pm

New Release BLY แปล : หลงเหลือเพียงครึ่งหัวใจ 3 (เล่มจบ)

โพสต์ โดย Gals »

[หลงเหลือเพียงครึ่งหัวใจ]
Kokoro wo hanbun nokoshita mamamde iru

act 4

ตั้งแต่วันนี้ไปจะเรียกคุณว่า M
ตั้งแต่วันที่ตกหลุมรักคุณ


◇◇◇

“นี่ ความจำเสื่อมมันรู้สึกยังไงเหรอ?”
เด็กชายที่นั่งอยู่บนม้าหินข้างๆ เอ่ยปากถามเสียงแผ่ว พลางแกว่งขาทั้งสองข้างที่ลอยอยู่เหนือพื้น
ชิซุราอิ มาซาฟุมิเบนสายตาที่แหงนมองท้องฟ้ากลับมาตำแหน่งเดิม เขาเจอเด็กชายวัยประถมเข้ากับคนง่ายคนนี้ในสวนสาธารณะ ดูเหมือนเด็กน้อยก็เหมือนกับชิซุราอิ กำลังนั่งรอคนในครอบครัวซื้อของที่ซูเปอร์มาร์เกตอยู่
ทั้งซูเปอร์มาร์เกตและสวนสาธารณะขนาดเล็กแห่งนี้ต่างตั้งอยู่ในพื้นที่ของทาวเวอร์แมนชันสูงตระหง่านตรงหน้า ทั้งสองเป็นลูกบ้านแมนชันเดียวกัน นั่นทำให้เด็กชายรู้สึกเป็นกันเองและเข้ามาชวนคุยโน่นนี่
ชิซุราอิไม่มีหัวข้อสนทนาที่จะสร้างความบันเทิงให้เด็กได้ แต่พอบอกว่าตัวเอง ‘ความจำเสื่อม’ ดูเหมือนจะดึงดูดความสนใจของเด็กน้อยได้มากทีเดียว
“นั่นสินะ...ความรู้สึกแบบไม่รู้ว่ารู้สึกยังไงละมั้ง”
“เอ๋ แบบนั้นก็ไม่เข้าใจสิ~”
เหมือนเด็กชายแอบคาดหวังคำตอบสุดพิเศษ เขาแกว่งขาสูงอีกครั้งด้วยท่าทีไม่พอใจ
ชิซุราอิชี้ขึ้นไปบนท้องฟ้า
“ท้องฟ้า ดวงอาทิตย์ เมฆ ต้นไม้ อันนั้นคือชิงช้า ส่วนทางโน้นคือสไลเดอร์ สุนัขที่กำลังรอเจ้านายอยู่หน้าซูเปอร์มาร์เกตน่าจะเป็นมิเนเจอร์ชเนาเซอร์ เธอเป็นเด็กผู้ชาย รองเท้าผ้าใบ ใบไม้สีเหลืองที่ร่วงหล่นตรงเท้าจำนวนมหาศาลนี้คือใบแปะก๊วย...แต่ฉันไม่รู้ว่าใบไม้ใหญ่ๆ ตรงนั้นคือใบอะไร”
กลางเดือนธันวาคม ช่วงเวลาที่ดีที่สุดในการชมใบไม้เปลี่ยนสีผ่านพ้นไปแล้ว ต้นไม้ละลานตาในสวนสาธารณะต่างใบโกร๋นเผยรูปร่างแสนเปล่าเปลี่ยว แต่ใบไม้ที่ร่วงหล่นยังคงปลิวว่อน
เด็กชายหยิบใบไม้รูปร่างคล้ายใบเมเปิลขนาดใหญ่ที่ชิซุราอิเอ่ยถึงขึ้นมา
“หมายความว่ายังไงเหรอ?”
“ถึงพูดว่าความจำเสื่อมก็เถอะ ตอนลืมตาฟื้นฉันรู้อะไรเยอะแยะเลย แต่ก็มีหลายเรื่องที่ไม่รู้ และไม่รู้ด้วยว่านั่นเป็นเรื่องปกติหรือลืมไปเพราะความจำเสื่อมกันแน่ ประมาณนั้นแหละ”
เด็กชายใช้นิ้วหยิบก้านใบไม้และหมุนใบไม้เหี่ยวแห้งขนาดใหญ่ไร้ความงดงาม สีหน้าบ่งบอกว่าไม่ค่อยเข้าใจนัก
“ฮิคาริคุงบอกว่าอายุเก้าขวบ เพราะงั้นก็ต้องมีความทรงจำแค่เก้าปีใช่ไหม? น้อยกว่าหม่าม้ามากๆ แต่ถึงอย่างนั้นก็ไม่ได้รู้สึกว่ามันแปลกหรือไม่เพียงพอใช่ไหมล่ะ?”
“อืม คงงั้นมั้ง”
“ทุกคนน่ะ ถึงไม่ได้ความจำเสื่อมก็จำอดีตไม่ได้เยอะนักหรอก ความสามารถในการจดจำของแต่ละคนนั้นแตกต่างกัน แต่ทุกคนก็ใช้ชีวิตโดยไม่ได้ใส่ใจกับเรื่องเหล่านั้น”
“หมายความว่าถึงไม่รู้ก็ไม่เป็นไรงั้นเหรอ? แต่ถ้าไม่มีความทรงจำมันลำบากหรือเปล่า?”
“ก็ลำบากแหละ แต่ตอนนี้ฉันอยู่ในช่วงหยุดพักงานด้วย”
ชิซุราอิไม่ได้เป็นทุกข์ขนาดต้องโอดครวญให้เด็กประถมที่เพิ่งเจอกันฟัง ในทางกลับกันคิดว่าตัวเองโชคดีด้วยซ้ำที่ยังมีความทรงจำซึ่งจำเป็นต่อการดำรงชีวิตครบครัน
รู้จักชื่อมากมายในโลกนี้
รู้จักเหตุผล รู้จักระบบโครงสร้าง
มนุษย์นั้นต่อให้ไม่มีความทรงจำก็สามารถมีชีวิตรอดได้
“แล้วถ้าผมลืมเหมือนกันล่ะ จะทำยังไงดี จะไม่รู้ทั้งชื่อตัวเอง ไม่รู้ว่าบ้านอยู่ไหน จำหม่าม้าไม่ได้ด้วยใช่ไหม? รวมถึงคาเครุคุงกับรินะจัง และเรื่องที่ขอสกูตเตอร์ขาไถจากซานตาวันคริสต์มาสด้วย ผมจะลืมไปทั้งหมดเลยนะ? อ๊ะ หม่าม้าบอกว่าถ้าเรียกซานตาเฉยๆ จะไม่มาแหละ! คุณซานตา คุณซานตาคลอส! อ้า ถ้าลืมคงลำบากน่าดู ลำบากมากจริงๆ!”
ระหว่างครุ่นคิดเด็กชายก็ลุกขึ้นพรวด สงสัยคงตระหนักได้ถึงความลำบากจนกระวนกระวายใจขึ้นมา
ตรงที่กังวลเรื่องของขวัญคริสต์มาส จะว่าสมเป็นเด็กก็ใช่ แต่ในอีกแง่หนึ่งแสดงให้เห็นว่าเด็กชายเป็นคนเอาจริงเอาจังมากแค่ไหน
“ไม่เป็นไร ปกติคนเราไม่ลืมกันง่ายๆ หรอก ตามที่หมอบอก เหมือนสมองฉันมีปัญหานิดหน่อยน่ะ ดูเหมือนว่าความทรงจำจะเคยหายไปหลายครั้งแล้ว”
“อย่างนั้นเหรอ? ที่บอกว่าตกลงไปในสระน้ำใช่ไหม?”
“อืม หัวโดนกระแทกน่ะ แรงกระแทกเป็นสาเหตุทำให้ลืม”
“แล้วตกลงไปได้ยังไง?”
“เหมือนพลัดตกลงไป”
“เอ๋ ต้องระวังนะ! ต้องระวังให้มากๆ จะได้ไม่ลืม!”
แม้อีกฝ่ายเป็นเด็ก แต่ก็รับรู้ได้ว่าเป็นห่วงจากใจจริง ชิซุราอิยิ้มพลางพยักหน้าลึก
“นั่นสิเนอะ ขอบใจนะ ฮิคาริคุงใจดีจัง”
ประมาณสองสัปดาห์ก่อนตอนลืมตาตื่น สิ่งที่กระโจนเข้าสู่สายตาของชิซุราอิคือเพดานสีขาว เพดานของโรงพยาบาลซึ่งติดหลอดไฟสว่างจ้า ผนังสีขาวโพลนบริสุทธิ์ ไม่มีรูปวาด ไม่มีอะไรแปะอยู่ หมอนเย็นๆ เปียกชื้นชวนครั่นเนื้อครั่นตัว ตอนแรกเขาสงสัยว่าหรือตนกำลังร้องไห้อยู่ แต่แท้จริงแล้วเป็นเพราะเส้นผมชุ่มน้ำต่างหาก
“อ๊ะ จริงด้วย! ติดป้ายชื่อหรืออะไรสักอย่างไว้ดีไหม เผื่อลืมแล้วจะได้ไม่เป็นไรไง?”
“ฉันห้อยไว้ที่คอแล้วล่ะ ไม่มีที่อยู่ แต่สลักชื่อกับเบอร์ติดต่อเอาไว้”
ชิซุราอิล้วงมือผ่านผ้าพันคอผืนใหญ่กับปกเสื้อคอเต่า ใช้นิ้วเกี่ยวสายโซ่สีเงินดึงออกมา โชว์จี้เพลตแพลทินัมที่ห้อยอยู่กับสายโซ่ให้เด็กชายดู
“เป็นสร้อยคอด้วย เท่จัง!”
“งั้นเหรอ?”
“เมื่อวันก่อนผมเพิ่งเรียนอักษรโรมันจิ มาซา ฟุมิ...ชิ ซุราอิ ชิซุราอิซัง?”
“เรียกมาซาฟุมิก็ได้”
สร้อยคอกลมกลืนไปกับอุณหภูมิร่างกาย ระหว่างโชว์ให้เด็กชายดูยังรู้สึกเย็นยะเยือกเล็กน้อย
แม้เป็นวันหยุดสุดสัปดาห์ที่อากาศดีขนาดอยากออกมานั่งเหม่อลอยใต้ดวงอาทิตย์ แต่ลมฤดูหนาวนั้นเย็นยะเยือก ลมทะเลพัดลอดช่องว่างระหว่างแมนชันสูงซึ่งเรียงรายอยู่รอบด้าน และดูเหมือนจะปะทะแรงขึ้นตรงนี้พอดี
ชิซุราอิตั้งท่าจะย้ายที่นั่งสักหน่อย เด็กชายรีบเอ่ยด้วยน้ำเสียงตื่นตระหนก
“ผมช่วยเข็นเก้าอี้รถเข็นให้เอาไหม?”
ชิซุราอิไม่ได้ลุกขึ้นยืน มือวางอยู่บนคันโยกเก้าอี้รถเข็นไฟฟ้าที่นั่งอยู่
ตรงขาขวาใต้ผ้าคลุมตักขนสัตว์ เฝือกสีขาวโผล่ออกมาจากชายกางเกงสเวต
“ไม่เป็นไร นี่เป็นรถเข็นไฟฟ้าด้วย อีกอย่างฉันไม่ได้เจ็บหนักอย่างที่เห็นหรอก...ถึงพูดแบบนั้นก็เถอะ แต่ยังเจ็บเส้นเอ็นอยู่ คงเดินไม่ได้อีกสักพักแหละนะ”
“เส้นเอ็น?”
“มัดเส้นใยที่รองรับข้อต่อน่ะ เหมือนจะบิดรุนแรงตอนตกลงไปในสระน้ำ”
“ผมช่วยเข็นให้ดีกว่า!”
เด็กชายใจดีส่งเสียงเหมือนกำลังจะปฏิบัติภารกิจอันยิ่งใหญ่ จากนั้นเดินอ้อมไปข้างหลังรถเข็น
ชิซุราอิหรี่ตายิ้ม
“งั้นรบกวนเข็นไปตรงนั้นให้หน่อยแล้วกัน”
“...ตรงไหนเหรอ?”
“ตรงนั้น ตรงหน้าบันได”
“เอ๋ ทำไมล่ะ? ผมพาไปไกลกว่านั้นได้นะ”
จุดที่ชิซุราอิชี้ห่างจากตรงนี้ไปแค่ไม่กี่เมตรเท่านั้น
“เก้าอี้รถเข็นมันขึ้นบันไดไม่ได้น่ะสิ สวนสาธารณะนี้มีรั้วกับบันไดล้อมรอบ ถึงเรียกว่าสวนสาธารณะก็เถอะ แต่เหมือนเป็นสวนหลังบ้านของแมนชันมากกว่า”
อาจเพราะที่นี่ถูกสร้างขึ้นทดแทนโซนเด็กเล่นของซูเปอร์มาร์เกตจึงมีรั้วกั้นเกือบรอบด้าน หากจะออกไปข้างนอกต้องลงบันไดนิดหน่อยประมาณสิบขั้น หรือไม่ก็ต้องเดินทะลุผ่านซูเปอร์มาร์เกต
สำหรับชิซุราอิแล้ว สถานที่แห่งนี้เหมือนจะเปิดโล่งแต่กลับไม่ใช่
เด็กชายมองไปรอบๆ เพื่อยืนยัน และดูเหมือนเพิ่งจะสังเกตเห็นเอาตอนนี้จึงเอ่ยอย่างไร้เดียงสา
“จริงด้วย! งั้นจนกว่าคนที่บ้านจะซื้อของเสร็จ มาซาฟุมิก็ไปไหนไม่ได้สินะ”

“ระหว่างรอหนาวไหม?”
ใช้เวลาประมาณยี่สิบนาทีคนที่รออยู่ก็กลับมาสวนสาธารณะ
ชิซุราอิเพิ่งแยกกับเด็กชายเมื่อครู่ และตอนนี้เจ้าของสุนัขก็กลับมารับสุนัขที่ถูกล่ามโซ่ไว้ตรงประตูด้านหลังซูเปอร์มาร์เกตพอดี พอเห็นเจ้าของปลดสายจูงออกจากตะขอแขวนที่ทางซูเปอร์มาร์เกตจัดเตรียมไว้ให้ลูกค้า ชิซุราอิก็คิดในใจว่าช่างคล้ายตัวเองเหลือเกิน ทั้งเรื่องที่รอคนไปซื้อของและเรื่องที่ไปไหนมาไหนเพียงลำพังไม่ได้
สุนัขพันธุ์เล็กขนสีเทาหยิกหย็องกระดิกหางสั้นๆ รุนแรง ส่วนชิซุราอิที่ไม่มีหางแหงนหน้ามองชายร่างสูงขณะเผยรอยยิ้ม
“ไม่เป็นไร วันนี้อากาศดีด้วย ได้อาบแดดดีๆ ว่าแต่มิตสึอากิซังต่างหาก ไปซื้อของคนเดียวไม่เป็นไรใช่ไหม?”
“ก็แค่ซื้อของ ผมชินแล้วล่ะ มีรถเข็นชอปปิงด้วย ถ้าพื้นที่ร้านกว้างกว่านี้อีกหน่อยคงดีเนอะ เก้าอี้รถเข็นจะได้เคลื่อนที่สะดวก”
ชายหนุ่มที่สวมเสื้อถักขนแคชเมียร์ คลุมทับด้วยเสื้อโคตเมลตันคุณภาพสูง ทั้งที่แค่ลงมาชั้นล่างของแมนชันเท่านั้นบอกพร้อมส่งยิ้มอ่อนโยน
คุอน มิตสึอากิ
อายุสามสิบห้าปี ประธานบริษัทเชอร์รีคาเฟ ร้านอาหารคาเฟแฟรนไชส์
คนที่อาศัยอยู่ด้วยกัน เป็นคนรัก อยู่ด้วยกันมานานกว่าเจ็ดปีแล้ว
มือซ้ายของคุอนเข้าเฝือก เนื่องจากกระดูกข้อมือร้าว บาดเจ็บจากการพยายามช่วยชิซุราอิจนตกลงไปในสระน้ำพร้อมกัน
ตลอดสองสัปดาห์ที่ผ่านมาคุอนบอกข้อมูลต่างๆ ให้รับรู้มากมาย ชิซุราอิจัดระเบียบข้อมูลเหล่านั้นลงในสมอง บางครั้งก็ต้องนึกตรึกตรอง จับข้อมูลเรียงใส่ชั้นในสมองใหม่ตามลำดับที่ควรจะเป็น
พอขึ้นมาถึงห้องชั้นบนสุดซึ่งกว้างขวางเกินไปสำหรับอาศัยอยู่เพียงสองคน ชิซุราอิก็เริ่มเอาของที่ซื้อมาไปเก็บ การใช้ชีวิตด้วยมือเพียงข้างเดียวนั้นใช้ชีวิตประจำวันได้ลำบากกว่าเดินไม่ได้หลายอย่าง ด้วยเหตุนี้เรื่องดูแลโน่นนี่ภายในบ้านจึงเป็นหน้าที่ของชิซุราอิเสียส่วนใหญ่
“อ้อ ช่วยเอาอันนี้ไปวางที่ชั้นเดิมให้หน่อยนะ”
ชิซุราอิรับถุงมูสลีออร์แกนิกที่ถูกยื่นมาให้ก่อนถามกลับ
“ชั้นเดิมคือตรงไหนเหรอ?”
ในความทรงจำซึ่งมีเพียงสองสัปดาห์ แม้แต่ตำแหน่งสิ่งของภายในบ้านก็ยังจำไม่ได้ทั้งหมด ตอนนี้ชิซุราอิจึงไม่มีทางรู้ตำแหน่งที่ไม่เคยได้ยินมาก่อนได้เลย
“อ้อ...โทษที เผลอไป ชั้นวางของในห้องเก็บอาหารน่ะ ชั้นที่สองนับจากด้านในฝั่งขวา วางเอาไว้ตรงกลางๆ ชั้นได้เลย รถเข็นเข้าไปได้ใช่ไหม?”
“อืม มิตสึอากิซังช่วยเคลียร์พื้นที่ให้แล้วเมื่อสัปดาห์ก่อน ขอบคุณนะ”
“ผมต้อง ‘ขอบคุณ’ ที่ช่วยเอาไปเก็บให้ต่างหาก”
คุอนยิ้มเฝื่อน ชิซุราอิส่ายศีรษะ
“ขอบคุณอะไรกัน...มิตสึอากิซังต้องบาดเจ็บเพราะช่วยผมแท้ๆ นะ?”
ชายหนุ่มทำหน้ากระอักกระอ่วนเหมือนแสดงปฏิกิริยาไม่ถูก ชิซุราอิเคลื่อนรถเข็นไปยังห้องเก็บอาหารขนาดสี่เสื่อ ข้างๆ ห้องครัว
ที่จริงหากใช้ไม้ค้ำยันก็พอเดินได้อยู่หรอก แต่ขั้นบันไดเป็นอุปสรรคไม่ต่างกัน แถมบางครั้งเก้าอี้รถเข็นยังสะดวกกว่าเพราะใช้งานมือทั้งสองข้างได้อย่างอิสระด้วย และเนื่องจากเป็นแบบไฟฟ้าร่างกายท่อนบนจึงมั่นคง
ชิซุราอิประคองสัมภาระบนตักขณะเคลื่อนที่ภายในห้องอย่างคล่องแคล่ว พลางครุ่นคิดว่าช่างเป็นชีวิตที่แปลกประหลาดเหลือเกิน
ขาขวาของตัวเองกับมือซ้ายของเขา ใช้ชีวิตร่วมกันราวกับชดเชยส่วนที่ขาดหายไปของกันและกัน คุอนมีหน้าที่จัดหาปัจจัยสี่ซึ่งต้องแบกรับภาระหนักกว่า ในขณะที่ตนถนัดงานจิปาถะในชีวิตประจำวันมากกว่า
นับตั้งแต่เก็บของใช้ งานบ้าน ไปจนถึงแต่งตัว
แม้ยังเจ็บเส้นเอ็นอยู่ แต่เฝือกพยุงขาแพลงของชิซุราอิเป็นเฝือกอ่อนแบบถอดได้ ในขณะที่เฝือกของคุอนเป็นแบบดั้งเดิมที่ต้องใส่ไว้ตลอดเวลาทำให้ใช้ชีวิตลำบาก โดยเฉพาะเวลาเปลี่ยนเสื้อผ้าและอาบน้ำใช้มือเดียวค่อนข้างยาก ด้วยเหตุนี้ชิซุราอิจึงคอยช่วยเหลือ รวมถึงเรื่องสระผมด้วย
ตอนกลางคืนหลังคุอนอาบน้ำเสร็จชิซุราอิจะใช้ไดร์เป่าผมและเปลี่ยนผ้ารัดเฝือกให้ทุกคืน คุอนยังไปทำงานตามปกติไม่ได้หยุดพัก ในฐานะประธานบริษัทธุรกิจร้านอาหารเขาต้องดูแลตัวเองให้สะอาดสะอ้านตลอดเวลา แต่คงเป็นนิสัยส่วนตัวด้วยแหละ เลยใส่ใจเรื่องภาพลักษณ์จนบางครั้งก็เหมือนมากเกินไป
เรื่องเป็นคนรักความสมบูรณ์แบบนั้น ไม่ต้องบอกก็ดูออก
ห้องถูกจัดเป็นระเบียบคงความงามไว้ทุกซอกทุกมุม เฟอร์นิเจอร์โอ่อ่า ภาชนะรับประทานอาหารมีมากเกินสำหรับสองคน สิ่งเหล่านี้ถูกจัดเตรียมไว้ต้อนรับแขก ห้องนั่งเล่นและห้องรับประทานอาหารไม่เคยขาดดอกไม้ นี่ก็คงเป็นความพิถีพิถันส่วนตัวของเขาด้วย
ช่วงสองสัปดาห์นี้ไม่มีใครมาเยี่ยมเยียนยกเว้นพนักงานร้านดอกไม้ ชิซุราอิที่ไม่มีอะไรทำนอกจากพักฟื้นร่างกายใช้ชีวิตด้วยความรู้สึกอึดอัด แต่ถึงอย่างนั้นก็ไม่อยากเจอใครเพราะว่า ‘ความจำเสื่อม’
ชิซุราอิไม่มีความมั่นใจที่จะเจอหน้าคนรู้จัก แต่ก็เป็นความจริงเช่นกันว่ารู้สึกผ่อนคลายที่ได้พูดคุยกับเด็กชายในสวนสาธารณะ เด็กน้อยที่เพิ่งเจอกันเป็นครั้งแรกเข้าหาตนด้วยจิตใจใสบริสุทธิ์
แม้รู้ว่าความจำเสื่อม ก็ไม่ได้แสดงท่าทีกระอักกระอ่วนหรือเจ็บปวดใดๆ
“มิตสึอากิซัง”
ตอนหมดวันก่อนเข้านอน ชิซุราอิในชุดนอนจับมือซ้ายของชายหนุ่มที่นั่งอยู่ตรงขอบเตียง พันผ้ารัดเฝือกใหม่เอี่ยมให้พลางเรียกเสียงแผ่ว
“หืม?”
“สัปดาห์หน้าไปซื้อของเวลาเดิมได้ไหม? วันนี้ที่สวนสาธารณะผมได้คุยกับเด็กคนหนึ่ง แต่เขากลับไปก่อนมิตสึอากิซังจะมา เขาบอกว่าอยู่ชั้นยี่สิบเจ็ด สัปดาห์หน้าก็จะมาอีก”
“ได้สิ ว่าแต่ไม่เห็นต้องขออนุญาตเลย ผมไม่ห้ามคุณมีเพื่อนหรอกน่า”
คุอนหัวเราะหึ ชิซุราอิหยุดมือมองใบหน้าอีกฝ่าย
“มิตสึอากิซัง?”
“เปล่า ผมแค่คิดว่าคุณกังวลอย่างกับภรรยาที่อาศัยอยู่กับสามีขี้หึงงั้นแหละ”
“...มิตสึอากิซังขี้หึงเหรอ?”
“นั่นสินะ ผมคงไม่ปฏิเสธ แต่มันคือความรู้สึกที่คนเราต่างมีกันหมดไม่มากก็น้อย โดยเฉพาะผู้ชาย เพราะความปรารถนาจะครอบครองสูงตามสัญชาตญาณ อาจแตกต่างกันตรงที่บางคนแสดงออกทางสีหน้า บางคนเก็บซ่อนไว้ในใจ”
“หืม...แล้วผมเป็นแบบนั้นด้วยหรือเปล่านะ”
ชิซุราอิแปะเทปตรงปลายผ้ายืดเหมือนกับทุกที ก่อนกลับมายังหัวข้อสนทนาเดิม
“ที่ผมถาม เพราะผมไปสวนสาธารณะไม่ได้ถ้าไม่มีมิตสึอากิซังไปด้วย ผมยังไม่เคยออกจากห้องไปไหนคนเดียวเลย”
ประตูหน้าห้องแสนหนักอึ้ง กับขั้นบันไดตรงปากประตูล้วนเป็นอุปสรรคต่อการออกไปไหนมาไหนเพียงลำพัง
ชิซูราอิยิ้ม “เสร็จแล้ว” ก่อนคืนมือซ้ายให้คุอนตามเดิม มือซึ่งถูกห่อหุ้มด้วยเฝือกกับผ้ายืดไร้สัมผัสของผิวหนังและความอบอุ่นของมนุษย์
บนเตียงขนาดควีนไซซ์ ฝั่งขวาเป็นที่ของชิซุราอิ ฝั่งซ้ายเป็นที่ของคุอน ชิซุราอิลุกจากเก้าอี้รถเข็นด้วยขาข้างเดียว ขยับตัวขึ้นเตียง และใช้มือยกขาขวาตามขึ้นมาเหมือนยกสัมภาระหนักๆ
พอขึ้นเตียงได้แล้วก็ค่อยๆ ไถตัวขึ้นจนแผ่นหลังพิงกับหมอน จากนั้นยื่นมือหยิบกรอบรูปถ่ายบนโต๊ะข้างเตียงเช่นเดียวกับเมื่อวานและเมื่อวานซืน
แม้เป็นกรอบรูปดิจิทัลที่สามารถเปลี่ยนรูปภาพได้ ทว่าชิซุราอิจะดูเพียงภาพเดียวเท่านั้น
“คุณถูกใจรูปนี้ขนาดนั้นเชียว?”
สีชมพูกินพื้นที่ส่วนใหญ่ของหน้าจอ ชิซุราอิมองภาพถ่ายคนสองคนยืนอยู่ใต้ต้นซากุระย้อยทุกคืนก่อนเข้าสู่ห้วงนิทราเสมือนเป็นยานอนหลับ
“ดูรูปนี้แล้วผมสัมผัสได้จริงๆ ว่าเชื่อใจมิตสึอากิซังมากแค่ไหน”
สายตาของตนไม่ได้มองกล้อง แต่มองคุอนซึ่งยืนอยู่เคียงข้าง แม้เป็นภาพถ่ายระยะไกลก็มองออกว่าริมฝีปากกำลังยิ้มอย่างอ่อนโยน
“ใช่ ผมก็ชอบรูปนี้เหมือนกัน”
ชิซุราอิหันไปมองหน้าคุอนที่พูดเออออตาม ตัวของชายหนุ่มจมอยู่บนเตียงเดียวกัน เหมือนกำลังจะเผยรอยยิ้มจางๆ แต่แล้วกลับดึงผ้าห่มขึ้นและมุดตัวเข้าไปลึกทำให้ไม่อาจมองเห็นสีหน้าได้

วันอาทิตย์ของสัปดาห์ต่อมา ทั้งทางเข้าแมนชันและทางเข้าซูเปอร์มาร์เกตต่างประดับประดาไฟระยิบระยับบนต้นไม้อย่างพร้อมเพรียง เพลงที่เปิดภายในร้านยังช่วยขับเคลื่อนบรรยากาศของวันนี้ วันที่ยี่สิบสี่ คริสต์มาสอีฟ
“ว้าว ขอบคุณมาก มาซาฟุมิ!”
เด็กชายที่เจอในสวนสาธารณะส่งเสียงร้องดีใจหลังชิซุราอิยื่นถุงหูหิ้วสีแดงให้
ข้างในคือขนมของขวัญเทศกาลคริสต์มาส เป็นเซตขนมอบหลายหลายชนิดซึ่งมีจำหน่ายอยู่ที่ร้านเชอร์รีคาเฟ มีทั้งรูปซานตาคลอส กวางเรนเดียร์ และต้นคริสต์มาสสีสันสดใส ดูเหมือนว่าคุกกี้เคลือบน้ำตาลไอซิงสะดุดตาเหล่านี้จะถูกอกถูกใจกลุ่มผู้หญิงและเด็กๆ เป็นพิเศษ
“ไม่ใช่จากฉันหรอก เขาเตรียมให้น่ะ บอกให้เอามาให้เธอ”
ชิซุราอิได้มาก่อนแยกจากกันตรงทางเข้าซูเปอร์มาร์เกต คุอนช่างเอาใจใส่แม้แต่กับเด็ก
“คนที่อาศัยอยู่ด้วยกันเหรอ? จริงด้วยสิ เห็นหม่าม้าบอกว่าอยากสวัสดีทักทายหน่อย”
“วันนี้ขากลับน่าจะได้เจอกันนะ เขาบอกว่าซื้อของแป๊บเดียวก็เสร็จ”
ชิซุราอิสนทนากับเด็กน้อยไปเรื่อยเปื่อยต่อจากสัปดาห์ที่แล้ว
โรงเรียนปิดเทอมฤดูหนาวแล้วบ้างล่ะ ครอบครัววางแผนที่จะไปฮาวายตอนสิ้นปีบ้างล่ะ ดูเหมือนครอบครัวที่อาศัยอยู่แมนชันเดียวกับคุอนและซื้อของที่ซูเปอร์มาร์เกตระดับไฮเอนด์เหมือนกันจะมีชีวิตมั่งคั่งร่ำรวย
“แล้วมาซาฟุมิไม่ไปไหนเหรอ?”
“อืม ไม่มีกำหนดการอะไรเป็นพิเศษนะ”
“อ๊ะ โทษที คงไปไหนไม่ได้จนกว่าขาจะหายดีสินะ แต่ถ้ามีคนพาไป...”
คริสต์มาสและปิดเทอมฤดูหนาวที่เด็กๆ ต่างชื่นชอบ เด็กชายก็ดูตื่นเต้นจนอยู่นิ่งๆ ไม่ได้เหมือนกัน เขายืนอยู่หน้ารถเข็นแทนที่จะนั่งบนม้านั่ง พูดคุยพร้อมออกท่าออกทาง แต่แล้วก็หยุดเคลื่อนไหวกะทันหัน
“มีอะไรเหรอ?”
“มีคนกำลังมองมาทางนี้”
“เอ๋?”
ชิซุราอิไล่ตามสายตาไป แล้วก็สังเกตเห็นผู้ชายยืนอยู่ด้านล่างบันได
สายตาที่จ้องตรงมาทางนี้นิ่งสนิท พอสบตากัน เพียงเท่านั้นหัวใจพลันเต้นกระดอนอย่างรุนแรง
ชิซุราอิวางมือขวาบนคันโยกเก้าอี้รถเข็น ชายคนนั้นยืนอยู่ด้านล่างบันไดซึ่งลาดลงไปไม่กี่ขั้น ตอนนี้เห็นเพียงใบหน้า แต่หากขยับเก้าอี้รถเข็นไปอีกสักหน่อยจะเห็นจนถึงปลายเท้า
ชายวัยหนุ่ม ตัวสูง ผมสีดำ กางเกงยีนสีดำกับแจ็กเกตหนังสีดำ เขาแต่งกายด้วยสีที่ทำให้นึกถึงกลางคืนทั้งที่เป็นกลางวัน ชายคนนั้นแหงนหน้าจดจ้องชิซุราอิเขม็ง สายตาเหมือนอยากพูดอะไรบางอย่าง
“คะ ใครกัน มาซาฟุมิ คนรู้จักเหรอ?”
น้ำเสียงของเด็กชายเต็มไปด้วยความสับสน แล้วชายคนนั้นก็เริ่มก้าวขาเดินโดยที่สายตายังคงจดจ้องมาทางนี้ เขาเดินขึ้นบันไดมาช้าๆ หัวใจของชิซุราอิบีบรัดอย่างต่อเนื่องจนเกิดเป็นเสียงตึกตักรุนแรง ราวกับจะทดแทนเสียงฝีเท้าที่ไม่ได้ยิน มันเต้นด้วยจังหวะหนักหน่วง
แม้แต่ตัวเองยังไม่รู้เลยว่ากำลังหวาดกลัววินาทีที่จะเผชิญหน้ากัน หรือเฝ้ารออย่างใจจดใจจ่อกันแน่ รู้แค่ว่าไม่อาจละสายตาไปได้เลย
ชายคนนั้นดั้นด้นมาถึงเบื้องหน้าทั้งสองคนในสวนสาธารณะ ก้มมองเฝือกที่ขาขวาของชิซุราอิก่อนถามโพล่งโดยไม่มีเกริ่นนำ
“ไม่เป็นไรใช่ไหมครับ?”
“เอ๋...”
“ขา ไม่เป็นไรใช่ไหมครับ? แล้วเรื่องของผม...”
ทันใดนั้นลมทะเลพัดอย่างรุนแรงจนเส้นผมของชิซุราอิพลิ้วไสว ผ้าพันคอสีฟ้าครึ้มที่พันรอบคอพองตัวขึ้นตามแรงลมและทำท่าจะหลุดปลิวไปจนต้องรีบใช้มือกดขอบผ้าพันคอเอาไว้
ชิซุราอิบิดตัวบนเก้าอี้รถเข็น สายตาหันไปยังทางเข้าซูเปอร์มาร์เกต คุอนซื้อของเสร็จแล้วกำลังเดินออกมาพอดี วันนี้เขาซื้อของเสร็จเร็วกว่าสัปดาห์ที่แล้วตามที่ลั่นวาจาเอาไว้จริงๆ
“มะ มาซาฟุมิ คนรู้จักเหรอ?”
เด็กชายที่ยืนอยู่ข้างๆ เขย่าแขนเสื้อโคตสีเบจของชิซุราอิ ชิซุราอิตอบกลับ
“...ไม่นะ คิดว่าไม่รู้จัก”
เขาแหงนหน้ามองชายหนุ่มที่ดวงตาทั้งสองข้างไม่สั่นไหวแม้แต่น้อยด้วยความกระอักกระอ่วน หลังความเงียบปกคลุมสักพักชายหนุ่มก็ทำท่าจะเดินจากไปโดยไม่โต้แย้งอะไร ชิซุราอิจึงรีบตอบกลับไปแค่ประโยคเดียว
“ผมไม่เป็นไรครับ”
ที่ตรงนี้หากดวงอาทิตย์หลบอยู่หลังเมฆ อากาศจะเย็นยะเยือกจนทิวทัศน์แสนสงบดูเปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิง ลมทะเลพัดแรงต่อเนื่อง พัดผ่านระหว่างชายหนุ่มกับชิซุราอิบนเก้าอี้รถเข็นจนเกิดเสียงดังฟิ้วๆ หนวกหูไม่ยอมหยุด
หรือจะไม่ได้ยิน ชิซุราอิคิด แต่แล้ว “อย่างนั้นเหรอครับ” ชายหนุ่มตอบกลับเสียงแผ่ว
ชิซุราอิกลั้นหายใจขณะมองส่งแผ่นหลังของชายหนุ่มที่เดินลงบันไดไป
เด็กชายเอ่ยอยู่ข้างๆ
“...นั่นอะไรน่ะ สงสัยเห็นนั่งเก้าอี้รถเข็นเลยเป็นห่วงละมั้ง? อาสาสมัครเหรอ? แปลกจัง”

เมื่อตัวออกห่างจากพื้นดินจะรู้สึกเหมือนโลกแห่งความเป็นจริงอยู่ไกลออกไปทันใด ราวกับว่าเสียงเจี๊ยวจ๊าวของย่านใจกลางเมืองที่ห่อหุ้มด้วยสีสันดุจงานอีเวนต์กลายเป็นเหตุการณ์อีกฟากหนึ่งของโลก
สถานที่เหนือพื้นดินขึ้นมาบนฟ้ากว่าร้อยเมตร ภายในห้องที่กลับมาถึงและเหลือกันอยู่เพียงสองคน สิ่งเดียวที่ทำให้สัมผัสได้ถึงความพิเศษของวันนี้คือ ต้นคริสต์มาสสีขาวซึ่งประดับอยู่ในห้องนั่งเล่น แต่พอถึงเวลาค่ำก็มีอีกสิ่งหนึ่งเพิ่มเข้ามา นั่นคืออาหารจัดเลี้ยงนอกสถานที่ซึ่งส่งตรงมาถึงบ้าน
เหมือนคุอนสั่งอาหารเอาไว้ล่วงหน้า แต่ไม่ได้ขอบริการจัดโต๊ะด้วย ทั้งสองคนจึงช่วยกันจัดเตรียม
คุอนเป็นคนเลือกจานให้ดูดีเข้ากับบรรยากาศคริสต์มาส ส่วนชิซุราอิเป็นคนจัดเรียงอาหารบนโต๊ะ พออีกฝ่ายนำวัตถุดิบที่ซื้อจากซูเปอร์มาร์เกตมาทำออร์เดิฟวร์ง่ายๆ ที่เข้ากับไวน์ เขาก็ช่วยทำเช่นกัน ไม่ว่าอะไรก็ต้องช่วยกันทำสองคน
ชิซุราอิประคองขวดไวน์บนตักก่อนใช้ที่เปิดขวดที่ถูกยื่นมาให้เปิดจุกออก ระหว่างนั้นคุอนที่นั่งอยู่เคียงข้างก็เอ่ยโพล่งออกมาราวกับเพิ่งนึกขึ้นได้
“คุณโอเคใช่ไหม?”
“...เรื่องอะไรเหรอ?”
ชิซุราอิถามกลับ ชายหนุ่มตอบว่าเรื่องผู้ชายที่เข้ามาคุยด้วยในสวนสาธารณะ
“ผมไม่รู้จักเขาหรอก บอกไปอย่างนั้นน่ะ คงเห็นผมนั่งเก้าอี้รถเข็นเลยเข้ามาทักด้วยความเป็นห่วงละมั้ง”
“...เหรอ?”
แม้ไม่ค่อยคุ้นชินกับการเปิดจุดขวดไวน์นัก แต่สุดท้ายจุกไม้ก็หลุดออกจากขวดได้สำเร็จโดยไม่แตก
“ว่าแต่มิตสึอากิซังต่างหาก โอเคหรือเปล่า?”
“เอ๋?”
“คริสต์มาสทั้งที ไม่เรียกใครมาเลย”
“คริสต์มาสก็ต้องอยู่กับคนรักสิ”
“แต่ปกติที่นี่จัดงานปาร์ตี้บ่อยๆ ไม่ใช่เหรอ?”
“คุณรู้ได้ยังไง?”
สีหน้าของชายหนุ่มแปรเปลี่ยนเป็นประหลาดใจ ชิซุราอิยิ้มตอบ
“รู้สิ ตอนผมเอาต้นคริสต์มาสออกมา เห็นของตกแต่งสำหรับจัดปาร์ตี้เพียบเลย”
“อ๋อ...งั้นเหรอ ก็นะ จัดปาร์ตี้คึกคักก็ดีอยู่หรอก แต่ช่วงนี้รู้สึกว่าทำแบบนั้นแล้วมันเหนื่อยๆ สงสัยคงแก่แล้วมั้ง ไม่ค่อยตื่นเต้นกับเทศกาลคริสต์มาสเหมือนเมื่อก่อนด้วย”
“ผมก็เป็นเหมือนกัน ไม่ได้รู้สึกอะไรกับเทศกาลคริสต์มาสสักเท่าไร”
จะบอกว่าเบื่อแล้วก็ไม่น่าใช่ แม้ไม่มีความทรงจำสักอย่างเกี่ยวกับคริสต์มาสอีฟ แต่ก็ไม่ได้รู้สึกระริกระรี้เหมือนเด็กน้อยคนนั้น บางทีตนแค่นึกไม่ออก แต่ประสบการณ์ที่สะสมมาอาจซึมลึกอยู่ที่ไหนสักแห่งของร่างกายนี้ก็เป็นได้
“อ๊ะ ไก่ เดี๋ยวผมหั่นแบ่งให้นะ”
ชิซุราอิมองไปรอบๆ โต๊ะอาหารก่อนบอก ไก่อบคริสต์มาสแบบมาตรฐานต้องเป็นไก่ทั้งตัว ซึ่งแน่นอนว่าใหญ่เกินไปสำหรับกินสองคน
“อืม ช่วยได้มากเลย แบบนี้ทำให้รู้สึกว่าแขนเข้าเฝือกก็ไม่ได้มีแต่เรื่องเลวร้ายเนอะ คุณใจดีกับผมจัง”
“ปกติผมไม่ใจดีเหรอ?”
ชิซุราอิแหงนหน้ามองใบหน้าด้านข้างของชายหนุ่มที่บ่งบอกว่ากำลังหวนนึกถึงอดีต
“ใจดีสิ แถมยังชงกาแฟเก่งมากๆ ด้วย เคยเป็นคนรักในอุดมคติเลยแหละ”
“เคย?”
“ตอนนี้ก็เป็นคนรักในอุดมคติเหมือนกัน ใจดียิ่งกว่าแต่ก่อนอีก”



++++++++++++++++++++++++++++++++++++
หลังจากโดนชิซุราอิไล่เบี้ยถามเนื้อหาของไดอารี คุอนก็ผลักชิซุราอิตกสระน้ำหวังจะรีเซตทุกอย่างใหม่ หลายสัปดาห์ต่อมาหลังเหตุการณ์แม้ชิซุราอิยังต้องนั่งเก้าอี้รถเข็น แต่ก็ใช้ชีวิตร่วมกับคุอนอย่างสงบสุข ขณะเดียวกันหลังแยกทางกันอย่างเลวร้ายในคราวก่อนนาคากามิก็เป็นห่วงชิซุราอิมาตลอด ด้วยเหตุนี้เขาจึงปรากฏตัวต่อหน้าชิซุราอิ ทั้งสองได้เจอกันอีกครั้งโดยยังไม่รู้ว่า ‘M’ คนรักในไดอารีคือใคร ทว่า...? ความรักเดียวใจเดียวอันตราตรึงกับบทสรุปสุดประทับใจ!!

รูปภาพ

ตอบกลับโพส

ย้อนกลับไปยัง “Bongkoch Books News & Activities”