New Release BLY แปล : ตื่นมาอีกทีก็รักคนนี้เข้าซะแล้ว!

อัพเดทข่าวบงกชบุ๊คส์ ความเคลื่อนไหว และกิจกรรมพิเศษ ตลอดจนร่วมสนุกชิงรางวัลพร้อมของรางวัลมากมาย

Moderator: P'Bly, Gals, พี่บี

ตอบกลับโพส
Gals
โพสต์: 1072
ลงทะเบียนเมื่อ: ศุกร์ 13 ก.พ. 2009 3:47 pm

New Release BLY แปล : ตื่นมาอีกทีก็รักคนนี้เข้าซะแล้ว!

โพสต์ โดย Gals »

ตื่นมาอีกทีก็รักคนนี้เข้าซะแล้ว!


“จากคำให้การของพยาน เอ่อ คุณชิมาโนะ อาซาฮิ ช่วงเวลาประมาณสี่ทุ่มสี่สิบนาทีของเมื่อคืนซึ่งเป็นวันเสาร์ที่ 3 สิงหาคม ขณะเดินข้ามสะพานลอยบนถนนสายหลักจู่ๆ คุณก็ยกมือขึ้นปิดหน้าพร้อมตะโกนออกมาว่า ‘จริงเหรอเนี่ย!’ ก่อนจะเสียการทรงตัวและกลิ้งตกบันไดจนหมดสติไป ถูกต้องไหมครับ”
ขณะนี้อาซาฮิอยู่ในห้องผู้ป่วยสีขาวโพลน เขาอ้ำอึ้งไปชั่วขณะเมื่อถูกตำรวจที่นั่งอยู่ข้างเตียงสอบถาม
เจ้าคนซุ่มซ่ามนั่นเป็นใครกัน แม้จะคิดแบบนั้น แต่นั่นอาจเป็นตัวเองจริงๆ ก็ได้ เขาจำอะไรไม่ได้เลย
“ผม...จำอะไรไม่ได้เลยครับ”
เพราะเจ้าหน้าที่ตำรวจเป็นคนถาม อาซาฮิจึงพยายามตอบด้วยถ้อยคำและน้ำเสียงสุภาพ ทว่ากลับฟังดูเหมือนนักการเมืองที่ออกมาตอบคำถามในโทรทัศน์บ่อยๆ มีพิรุธสุดๆ เลยแฮะ เขาลนลานอยู่ในใจพลางกวาดตามองไปรอบๆ ห้องส่วนตัวที่ไม่ได้กว้างขวางนัก
ด้านหลังตำรวจมีหมอในชุดกาวน์ยืนอยู่ด้วย ส่วนที่ปลายเตียงมีพ่อ แม่ และพี่ชาย สีหน้าของทั้งสามราวกับกำลังพูดว่า ‘ให้ตายเถอะ’ มากกว่ารู้สึกเป็นห่วง ที่จริงอาซาฮิไม่ได้บาดเจ็บอะไรมาก และการที่ครอบครัวต้องตกอกตกใจกับความซุ่มซ่ามของตัวเองก็เป็นเรื่องที่เกิดขึ้นประจำ ดังนั้นปฏิกิริยาแบบนี้จึงถือเป็นเรื่องปกติ...ถึงอย่างนั้นก็รู้สึกว่าภาพคนในครอบครัวที่เห็นดูต่างจากในความทรงจำเล็กน้อย ทำให้รู้สึกไม่สบายใจชอบกล
เพราะอะไรกันนะ? ขณะที่อาซาฮิติดใจสงสัยเรื่องนั้น ตำรวจที่นั่งอยู่ตรงหน้าก็เอียงคอเล็กน้อยก่อนจะพูดต่อ
“ถึงจะบอกว่าเหตุเกิดเมื่อคืน แต่ก็เพิ่งจะผ่านมาแค่สองชั่วโมงเองนะครับ มีอะไรที่พอจะจำได้บ้างไหม? อย่างเช่นเหตุการณ์หลังจากตกบันไดลงมาแล้ว? หรือก่อนหน้านั้นน่ะครับ?”
“เอ่อ ไม่น่ามีนะครับ...?”
“แล้วเรื่องที่ก่อนหน้านั้นคุณอยู่ในร้านอิซากายะใกล้บ้านกับเพื่อนที่ชื่อมายูมิ ยูมะล่ะครับ?”
“มายูมิ...ยูมะ? ร้านอิซากายะ?”
มายูมิ ยูมะเป็นใครกัน แล้วร้านอิซากายะเนี่ยมันคือที่ที่คนไปดื่มเหล้ากันไม่ใช่เหรอ ตัวเองจะไปอยู่ที่นั่นได้ยังไง นี่มันเรื่องอะไรกันแน่ คำถามมากมายผุดขึ้นในความคิดของอาซาฮิ ตอนนั้นเองตำรวจลุกขึ้นยืนและเดินไปเปิดประตูห้องอย่างเบามือ
“เชิญเข้ามาได้ครับ”
ตำรวจบอกคนด้านหลังประตูด้วยเสียงแผ่วเบา คงเพราะตอนนี้ดึกมากแล้ว หลังจากนั้นผู้ชายคนหนึ่งก็เข้ามาในห้อง อาซาฮิมองดูครอบครัวสละที่ยืนตรงปลายเตียงให้อย่างเงียบๆ
“อาซาฮิ...นายฟื้นแล้ว เป็นยังไงบ้าง”
ชายคนนั้นถามด้วยสีหน้าเจ็บปวดขณะจ้องมองอาซาฮิที่นั่งพิงหมอนสองใบอยู่บนเตียง คงเพราะถูกผ้าก๊อซที่กว้างเกินความจำเป็นปิดไปครึ่งหน้าผากทำให้ดูเหมือนเจ็บหนักมาก แต่อันที่จริงเมื่อครู่หมอเพิ่งสรุปอาการให้ฟังว่ามีแค่รอยฟกช้ำตามตัวกับรอยเย็บประมาณห้าเข็มที่หน้าผากใกล้ๆ ไรผมเท่านั้น ส่วนผ้าก๊อซพวกนี้มีไว้ป้องกันบาดแผลไม่ให้ได้รับการกระทบกระเทือนเฉยๆ
ถึงอย่างนั้นคิ้วดกดำของชายตรงหน้าก็ยังขมวดเข้าหากัน ดวงตาสีเข้มราวกับช็อกโกแลตขมๆ มีน้ำตารื้นอยู่เล็กน้อย ริมฝีปากหนาที่อยู่ถัดจากสันจมูกลงไปเม้มแน่น ทำให้รู้ได้เลยว่าเป็นห่วงอาซาฮิมากๆ
หลังจากอาซาฮิจ้องใบหน้าชายปริศนาอยู่เงียบๆ สักพักก็ถอนหายใจออกมาอย่างหลงใหล
“เฮ้อ...หนุ่มหล่อเฟี้ยว! คนนี้ใครเหรอ?”
ถ้าให้เดาคงเป็นมายูมิ ยูมะ แต่อาซาฮิจำไม่ได้จึงหันไปถามครอบครัวที่ยืนอยู่ข้างหลังมายูมิแทน ทว่าสิ่งที่ได้รับกลับมามีเพียงสีหน้าปลงๆ ราวกับกำลังพูดว่า ‘ท่าไม่ดีแล้วแบบนี้’ พลางส่ายหน้าไปมาเหมือนดาราตลกที่เล่นมุกฝืดๆ ส่วนตำรวจในเครื่องแบบกับหมอก็หันไปกระซิบกระซาบกันสองคน
มีเพียงมายูมิคนเดียวที่นิ่งไปพร้อมสีหน้าประหลาดใจและตกตะลึงเหมือนคนตกเหว เป็นธรรมดาล่ะนะ ลองถูกคนที่อยู่ด้วยกันมาตลอดจนถึงเมื่อไม่นานมานี้พูดชมแบบนั้นใส่คงช็อกไม่น้อย อาซาฮิเองก็ตกใจ แต่สาเหตุเป็นเพราะจู่ๆ ก็มีคนหล่อที่ไหนไม่รู้โผล่หน้ามาแล้วบอกว่าเป็นเพื่อน
มีแต่เรื่องแปลกประหลาดทั้งนั้นเลยแฮะ
ตอนที่อาซาฮิคิดแบบนั้น ตำรวจกับหมอที่คุยกันจบแล้วก็หันกลับมาหาเพื่อสรุปอาการหลังเฝ้าสังเกตมาสักพัก ทั้งสองคนจ้องหน้าอาซาฮิตรงๆ ก่อนจะเริ่ม
“ดูจากอาการของคุณชิมาโนะแล้ว มีความเป็นไปได้ว่าสูญเสียความทรงจำไปหลังประสบอุบัติเหตุ พูดอีกอย่างก็คือ ความจำเสื่อมครับ”
“แม้จะไม่มีบาดแผลร้ายแรง แต่สมองก็ได้รับการกระทบกระเทือน...ประเมินจากอาการบาดเจ็บประมาณนี้แล้ว ภาวะความจำเสื่อมคงอยู่เพียงชั่วคราวครับ ไม่ร้ายแรงอะไร”
“สะ...สูญเสียความทรงจำเหรอ เรื่องแบบนั้นมัน...”
อาซาฮิพึมพำขึ้นเบาๆ ระหว่างที่หมออธิบาย
เขารู้สึกได้ว่าสายตาทุกคู่กำลังจับจ้องมาที่ตัวเองและคิดว่าคงไม่ควรพูดอะไรไปมากกว่านี้ ทั้งที่รู้อยู่แก่ใจเช่นนั้นอาซาฮิก็ยังไม่วายรำพันออกมา
“แบบนั้นมันเท่ชะมัดเลย...!”
ทั้งห้องถูกปกคลุมไปด้วยความเงียบชั่วขณะ แต่พริบตาต่อมาทุกคนก็พูดเป็นเสียงเดียวกันอย่างรู้จักอาซาฮิดีว่า “กะแล้วต้องพูดแบบนี้!” ด้วยท่าทางระอาสุดขีด

1
วันที่ 4 สิงหาคม (วันอาทิตย์)

ชิมาโนะ อาซาฮิ ชายหนุ่มอายุยี่สิบสี่ปีไปดื่มสังสรรค์กับมายูมิ ยูมะ เพื่อนที่สนิทกันมาตั้งแต่เรียนมัธยมต้นปีสอง หลังแยกย้ายกันเขาเดินกลับบ้านคนเดียวและพลัดตกบันไดสะพานลอย ชายสองคนที่เดินตามหลังมาจึงเรียกรถพยาบาลทันที ขณะเดียวกันมายูมิก็โทรเข้ามือถือของอาซาฮิ ผู้เห็นเหตุการณ์เลยบอกเรื่องอุบัติเหตุ จากนั้นมายูมิก็ติดต่อครอบครัวของอาซาฮิ นี่คือที่มาที่ไปของการรวมตัวครั้งยิ่งใหญ่ในห้องพักผู้ป่วยกลางดึก! เมื่อราวสองสามชั่วโมงก่อนหน้านี้
แม้ไม่ได้บาดเจ็บหนัก แต่เพราะมีภาวะสูญเสียความทรงจำทำให้จำอะไรไม่ได้เลย อาซาฮิจึงต้องรักษาตัวอยู่ที่โรงพยาบาลไปอีกสองสามวัน
“น่าอายจริงๆ เลยนะเมื่อคืน อายุก็ตั้งขนาดนี้แล้วยังพูดออกมาได้ว่าสูญเสียความทรงจำเป็นเรื่องเท่ น่าอายจริงๆ เลย”
แม่ที่กลับบ้านไปกลางดึกและกลับมาเยี่ยมอีกครั้งในตอนเช้าบ่นพลางหัวเราะแห้งๆ ส่วนที่นั่งอยู่ข้างๆ คือมายูมิ เพื่อนสุดหล่อ เพราะวันนี้เป็นวันอาทิตย์ เขาเลยมาเยี่ยมด้วยเหมือนกันตั้งแต่เริ่มเวลาให้เยี่ยมตอนสิบโมงเช้า
ดูเหมือนว่าความทรงจำที่หายไปของอาซาฮิจะเป็นเรื่องทั้งหมดหลังได้รู้จักกับมายูมิตอนเรียนอยู่ ม.ต้น ปีสอง นับรวมๆ ก็ราวสิบปีพอดี จึงเป็นธรรมดาที่จะรู้สึกไม่คุ้นเคยกับคนในครอบครัวไปด้วย อย่างพ่อก็ทั้งมีพุง ทั้งมีผมขาวแซมมากกว่าในความทรงจำ พี่ชายที่เคยเป็นแค่นักเรียนมัธยมปลายตอนนี้ก็กลายเป็นคุณลุงอายุยี่สิบเจ็ดปีไปแล้ว พอบอกเล่าความรู้สึกเหล่านั้นให้แม่ฟัง แม่ก็ขำยกใหญ่
อันที่จริงอาซาฮิยังรู้สึกอีกว่าผิวพรรณของแม่ดูเต่งตึงน้อยลงนิดหน่อย แต่ถ้าพูดออกไปมีหวังแม่ได้กลายร่างเป็นยักษ์แน่ๆ และอาซาฮิก็ฉลาดพอที่จะเก็บเรื่องนั้นเอาไว้ในใจ
แม้ความทรงจำในช่วงย้อนหลังสิบปีจะหายไปอาซาฮิก็ยังพอบอกได้ว่าใครเป็นใครบ้างในครอบครัว แต่เขากลับลืมมายูมิที่หน้าซึมอยู่นี้ไปหมดเกลี้ยง
อย่างไรก็ตามจากที่หมอวินิจฉัย ดูเหมือนว่าความสามารถในการคิดวิเคราะห์หรือทักษะทางภาษาต่างๆ จะยังตอบสนองได้สมวัยมนุษย์อายุยี่สิบสี่ปี ดังนั้นหากอาซาฮิได้กลับไปใช้ชีวิตตามปกติอาจช่วยให้ความทรงจำฟื้นคืนมาได้ในระยะเวลาอันสั้น เพราะฉะนั้นจึงไม่มีอะไรต้องกังวล
ส่วนเรื่องที่ตกบันได ได้ยินว่าตำรวจตรวจสอบแทบไม่พบความเป็นไปได้ว่าเป็นคดีอาชญากรรมจึงสรุปว่าเป็นอุบัติเหตุธรรมดา แต่หากความทรงจำกลับคืนมาแล้วมีข้อมูลเพิ่มเติมอะไรก็ให้ติดต่อไปอีกที คอลัมน์ข่าวท้องถิ่นในหนังสือพิมพ์ก็ไม่มีเรื่องท่าทางงี่เง่าที่ตะโกนว่า “จริงเหรอเนี่ย!” ก่อนพลัดตกบันไดลงมา เป็นที่น่าโล่งใจอย่างยิ่ง
“ผ่านไปตั้งสองชั่วโมงแล้วตั้งแต่ตกบันไดลงมา เห็นยังไม่ฟื้นสักทีแม่ก็เป็นห่วง ที่ไหนได้ หมอบอกว่าแค่เมาเลยยังหลับอยู่เท่านั้นเอง”
“อ้อ...มิน่า ตอนตื่นขึ้นมาถึงได้รู้สึกสดชื่นมากๆ เลย”
ถึงจะตกใจที่ตื่นมาแล้วเจอทั้งพ่อ แม่ พี่ชาย หมอ แล้วก็ตำรวจอยู่กันพร้อมหน้า อาซาฮิกลับรู้สึกว่าสมองปลอดโปร่งทีเดียว แม้ส่วนหนึ่งจะเพราะความทรงจำหายไปด้วยก็ตามที
“แหงสิ แกหัวกระแทกจนสูญเสียความทรงจำไปด้วยนี่นา หมอบอกว่ายังไงวันนี้ก็พักอยู่ที่ห้องผู้ป่วยเดี่ยวดูอาการไปก่อน ถ้าไม่มีปัญหาอะไรค่อยย้ายไปนอนห้องผู้ป่วยรวม แล้วเดี๋ยวต้องไปทำ CT สแกนสมอง ดูว่ามีเลือดคั่งข้างในหรือเปล่า ถ้าไม่มี วันอังคารก็กลับบ้านได้แล้ว”
“คร้าบ”
“โอเค งั้นเดี๋ยวแม่ลงไปซื้อน้ำชาสักหน่อยดีกว่า มายูมิคุงตามสบายนะจ๊ะ”
“อ๊ะ ครับคุณแม่”
มายูมิหันไปตอบแม่ที่กำลังจะออกจากห้องอย่างสุภาพ ดูจากท่าทีของแม่แล้วคงคุ้นเคยกับมายูมิเป็นอย่างดี ถ้าอย่างนั้นก็แสดงว่าตัวเองคงสนิทกับมายูมิพอสมควร
“นี่ มายูยุ”
เพราะเห็นว่าชื่อมายูมิ อาซาฮิเลยอยากเรียกด้วยชื่อเล่นที่ฟังดูน่ารักๆ และเรียกหนุ่มหล่อออกไปตามที่ใจต้องการจริงๆ
“...ความทรงจำนายกลับมาแล้วเหรอ”
“เอ๋!? เปล่า ยังไม่กลับมานะ!”
พอมายูมิถูกเรียกอย่างนั้นก็รีบลุกขึ้นอย่างรวดเร็วแล้วยื่นหน้าเข้ามาใกล้ในระยะที่จูบกันได้ โอ๊ย หล่อชะมัด อาซาฮิกรีดร้องอยู่ในใจก่อนจะขยับตัวออกห่าง
“งั้นเหรอ...”
ไม่รู้ว่าเพราะอาซาฮิขยับตัวออกห่างด้วยท่าทีอึดอัด หรือเพราะดีใจเก้อเรื่องความทรงจำกลับคืนมามายูมิถึงได้ไหล่ตกอย่างผิดหวัง ทั้งที่ดูเป็นหนุ่มหล่อผู้ใหญ่มาดขรึม แต่มายูมิกลับมีปฏิกิริยาตอบสนองได้ถึงขนาดนี้ แบบนี้แปลว่าคงสนิทกับตัวเองจริงๆ อาซาฮิคิดแล้วก็แอบดีใจเล็กๆ
“นี่ นายน่ะ เคยถูกฉันเรียกว่ามายูยุเหรอ?”
อาซาฮิลองพูดกับมายูมิด้วยภาษาแบบเพื่อนคุยกันตามปกติก็ไม่เห็นว่าอีกฝ่ายจะมีท่าทีรังเกียจอะไร เลยคิดว่าถ้าคุยกันแบบทางการขึ้นมามายูมิคงน่าสงสารไปหน่อย จึงตัดสินใจพูดตามปกติต่อไป
“นายเรียกฉันแบบนั้นตั้งแต่วันแรกที่เจอกันตอน ม.ต้น เลยล่ะ”
“โอ้โฮ...นี่ความคิดสร้างสรรค์ของฉันไม่ได้พัฒนาไปจากสมัย ม.ต้น ปีสองเลยเหรอเนี่ย น่าเศร้าชะมัด”
เพราะรู้ว่าตัวเองอายุยี่สิบสี่ปีเข้าไปแล้ว เขาจึงตกใจที่ไม่ได้เติบโตขึ้นเลย
“จะเรียกว่าไม่มีการพัฒนา หรือเป็นจุดสิ้นสุดการพัฒนาของอาซาฮิแล้วดีล่ะ”
“แรงอะ! แบบนั้นก็แปลว่าพัฒนาการของฉันมาถึงทางตันแล้วน่ะสิ แรงมาก!”
เหมือนบอกว่าจากนี้ไม่ต้องหวังว่าจะเติบโตอีกแล้วแบบนั้นมันโหดร้ายที่สุด อาซาฮิร้องท้วงพลางหัวเราะจนไหล่สั่น
“ต่อให้ความทรงจำหายไปอาซาฮิก็ยังเป็นอาซาฮิคนเดิม พอได้รู้แบบนั้นฉันก็ดีใจนะ”
“ถ้านายว่าอย่างนั้นฉันก็โล่งใจเหมือนกัน รู้สึกเหมือนว่าเป็นคำชมยังไงไม่รู้แฮะ”
“ไม่ใช่คำชมอะไรหรอก แค่เห็นนายเป็นแบบนี้แล้วฉันสบายใจ เพราะถ้านายพูดออกมาว่า ‘ความทรงจำของคนที่ตะโกนว่า จริงเหรอเนี่ย แล้วพลัดตกบันไดสะพานลอยน่ะ ฉันไม่อยากรับรู้ ขอเริ่มชีวิตในฐานะคนใหม่ดีกว่า’ หรืออะไรแบบนั้น ฉันคงเสียใจ”
“แบบนั้นคงแย่เลยเนอะ”
อาซาฮิตอบ เขาลองจินตนาการภาพตัวเองกลายเป็นคนทรงภูมิในแว่นกรอบเงินแล้วหลุดขำออกมา
“มันเป็น ‘ความดีใจ’ ในแง่ที่ว่า ถึงจะน่าเป็นห่วงเพราะสูญเสียความทรงจำ แต่อาซาฮิยังเป็นเหมือนเดิมไม่เปลี่ยน ฉันก็สบายใจไปเปลาะหนึ่งน่ะ”
“หืม...อาการฉันน่าเป็นห่วงสินะ คงน่าเป็นห่วงจริงๆ นั่นแหละ พอยาชาหมดฤทธิ์แล้วตรงแผลที่เย็บก็เจ็บด้วย แต่ว่านะ ถึงความทรงจำจะหายไปตั้งสิบปี พวกแม่ก็ยังดูสบายดี แถมมีคนอย่างนายเป็นเพื่อน แล้วฉันก็ไม่ได้ลืมขนาดไม่รู้ว่า ‘ที่นี่ที่ไหน? ฉันเป็นใคร?’ นับว่าโชคดีมากเลยล่ะ”
การยังจำได้ว่าตัวเองเป็นใครมาจากไหนเป็นส่วนที่สำคัญมาก และการมีคนคอยห่วงใยที่ไม่ใช่แค่ครอบครัว แต่รวมถึงเพื่อนดีๆ...ดีแบบมายูมิที่ซื้อพุดดิงมาเยี่ยม พออาซาฮิบอกไปอย่างนั้นมายูมิก็ขำแล้วตอบว่า “ฉันเป็นเพื่อนดีๆ เพราะพุดดิงสินะ” พลางหยีตาอย่างอ่อนโยน
“ที่จริงแล้วนานๆ ทีฉันก็มีอาการสูญเสียความทรงจำเหมือนกัน เพราะงั้นเลยเป็นห่วงนายมากๆ”
“เอ๋ หมายความว่ายังไงที่ว่านานๆ ที”
ความทรงจำเป็นสิ่งที่สามารถหายไปได้ถี่ๆ แบบนั้นเลยเหรอ
“ไม่ใช่แบบร้ายแรงหรอก อันที่จริงเห็นแบบนี้ฉันคออ่อนมากเลยนะ ครั้งแรกที่ดื่มหนักเกิน ฉันคิดว่างานเพิ่งเริ่ม แต่พริบตาต่อมาก็นอนอยู่บนเตียงตัวเองเฉยเลย พอลองถามคนอื่นๆ ก็บอกว่าฉันดื่มตามปกติ พูดคุยกันตามปกติ จ่ายเงินตามปกติแล้วกลับบ้านไป ฉันจำเรื่องพวกนั้นไม่ได้เลยสักนิด ฉันกลับไปถึงบ้านได้ยังไงยังเป็นปริศนา แถมเสื้อผ้ากับถุงเท้าก็ถอดออกแล้วพับวางไว้ข้างเตียงอย่างเรียบร้อย น่ากลัวชะมัด”
“โอ้โฮ พอนายเล่าแล้วฮาดีแฮะ”
ภาพหนุ่มหล่อทำหน้าตาจริงจังเล่าเรื่องน่ากลัวแบบนี้ดูแปลกตาดี อาซาฮิจึงหัวเราะขึ้นมาอย่างช่วยไม่ได้
“นั่นสินะ ฉันเองก็อายุมากพอจะดื่มเหล้าได้แล้วนี่นา ฉันคอแข็งหรือเปล่า”
“อาซาฮิไม่ได้คอแข็งขนาดนั้น นายแค่เป็นคนชอบดื่ม อย่างเมื่อคืนก็พูดว่า ‘พรุ่งนี้วันหยุด มาดื่มให้เต็มที่ไปเลย...’ นายดื่มไปเยอะมาก ตอนแยกย้ายกลับบ้านฉันนึกเป็นห่วงเลยโทรหาถึงได้รู้ว่าประสบอุบัติเหตุ...ถ้าฉันอยู่ด้วยนายคงไม่ตกบันได ดังนั้นขอแค่ได้ความทรงจำกลับคืนมา นายจะโกรธฉันแค่ไหนก็ได้ เต็มที่เลย”
สิ้นเสียงโทนต่ำฟังดูจริงจังทั้งห้องก็ปกคลุมด้วยความเงียบ ดูเหมือนมายูมิจะรู้สึกผิดที่ไม่ได้ไปส่งอาซาฮิซึ่งกำลังเมา ทว่าอาซาฮิกลับจ้องมองมายูมิที่กำลังทุกข์ใจพลางคิดว่า
...เฮ้อ...หล่อจริงๆ เลยแฮะหมอนี่...!
ยิ่งหนุ่มหล่อทำหน้าตาจริงจังยิ่งดูงดงามราวภาพวาด
เมื่อเช้าตอนอาซาฮิล้างหน้าแปรงฟัน เขาตื่นเต้นมากที่จะได้เห็นว่าหน้าตาตัวเองในวัยยี่สิบสี่ปีเป็นอย่างไรตอนส่องกระจก แต่ก็ต้องผิดหวังที่ไม่ได้ต่างไปจากสมัยมัธยมต้นเท่าไร เส้นผมเป็นสีน้ำตาลอ่อนกว่าตอนมัธยมต้นคงเพราะไปย้อมสีผมมา ตากลมโตกับเปลือกตาสองชั้นชัดเจนยังเหมือนเดิม ไม่ได้เป็นดวงตาเฉี่ยวคมสุดเท่ อาซาฮิเคยเห็นในหนังสือการ์ตูนว่าพอตัวละครโตเป็นผู้ใหญ่ตัวจะสูงขึ้น ดวงตาก็เล็กลงแต่คมขึ้น ตอนนั้นเองที่เขาได้รู้ว่าทั้งหมดเป็นเรื่องโกหก
อาซาฮิก้มมองด้านบนศีรษะของมายูมิที่เห็นได้เต็มตาจากตำแหน่งสูงบนเตียง การได้เห็นส่วนนั้นของคนที่น่าจะสูงกว่าตัวเองมันน่ารักจนอยากจะลูบหัวสักที
“ไม่ต้องคิดมากหรอกน่า หมอก็บอกนี่นาว่าถ้าได้ใช้ชีวิตตามปกติเดี๋ยวความทรงจำก็กลับมา อ๊ะ แต่คงต้องรบกวนนายช่วยบอกหน่อยนะว่าปกติฉันใช้ชีวิตยังไง”
“ได้สิ ฉันจะช่วยเต็มที่เลย”
“ให้ตายเถอะ นายนี่หล่อชะมัด”
พออาซาฮิประกาศสิ่งที่คิดอยู่ในใจอย่างชัดถ้อยชัดคำพร้อมผิวปากดังวิ้วเหมือนกับในละครแบบขำๆ มายูมิก็เม้มปากแน่นก่อนจะเอ่ยว่า “อย่าพูดแบบนั้นออกมาหน้าตาเฉยสิ” พลางหลบสายตา
“อ้าว เขินเหรอ? นายเขินเหรอเนี่ย? ถ้ายังไม่ชินกับการถูกชมว่าหล่อแบบนั้นก็แย่สิ?”
“บอกว่าอย่าพูดไงเล่า”
ไม่ต้องมาจ้องหน้าเลย ไม่ต้องมาจิ้มแก้มด้วย ยิ่งเห็นมายูมิปัดป้องขัดขืน อาซาฮิยิ่งได้ใจเอื้อมมือไปแตะตรงนั้นตรงนี้อีกยกใหญ่ ทุกครั้งที่แตะโดนบ่าหรือหน้าผากแล้วพูดออกมาว่า “ได้แต้ม” ดูเหมือนจะปลุกจิตวิญญาณนักสู้ของหนุ่มหล่อเข้า พออาซาฮิเอื้อมมือออกไปอีกจึงถูกมือของมายูมิปัดออกทันที ทว่าแบบนี้กลับยิ่งสนุก ทั้งคู่ผลัดกันรุกผลัดกันรับจนมือทั้งสองข้างอยู่ในท่าเหมือนรำไท่เก๊กพลางหัวเราะคิกคักไปด้วยดูอย่างไรก็เหมือนเด็กมัธยมต้นเล่นกันชัดๆ
“มีช่องโหว่นะ”
อาซาฮิหลบการป้องกันของมายูมิและสัมผัสตัวได้เป็นครั้งที่สาม ฝ่ามือแนบอยู่บนอกเสื้อยืดสีเทา เขายิ้มกริ่มอย่างผู้ชนะ สัมผัสกล้ามเนื้อแน่นๆ แข็งๆ บนอกกว้างและบีบคลึงหน้าอกมายูมิอย่างมันมือ แม้จะไม่ใช่สัมผัสที่นุ่มนิ่มแต่ก็สนุกไปอีกแบบ ถ้าทำได้เขาอยากจะใช้สองมือบีบเลยด้วยซ้ำ
มายูมิเบิกตากว้างพร้อมกับจับยึดข้อมืออาซาฮิเอาไว้
“อาซาฮิ นายได้ความทรงจำกลับคืนมาแล้วจริงๆ สินะ”
“เอ๋!? เปล่า ยังไม่กลับมาสักหน่อย! แบบนั้นหมายความว่าอะไรน่ะ ที่ผ่านมาฉันชอบไล่บีบกล้ามอกมายูมิเหรอ!?”
“...ทั้งที่ความทรงจำยังไม่กลับมาแท้ๆ นี่มันอะไรกัน...ใช่แล้วล่ะ บางทีนายก็ชอบมาบีบกล้ามอกฉัน ฉันสงสัยมาตั้งนานแล้วว่ามันสนุกเรอะ ถามจริงๆ เถอะ...มันสนุกตรงไหนเนี่ย?”
คงเพราะท้อใจที่รู้ว่าความทรงจำยังไม่กลับมาจริงๆ หนุ่มหล่อจึงหรี่ตาลงเล็กน้อยด้วยสีหน้า ‘เรียบเฉย’ เหมือนพระฝึกหัด หรือไม่ก็อาจจะแค่ช็อกไป
“อืม...คงเพราะมันให้ความรู้สึกแบบว่า นี่สินะกล้ามเนื้อแน่นๆ เลยสนุกละมั้ง?”
อาซาฮิตอบกลับด้วยประโยคคำถาม ส่วนมือยังขยับหยุกหยิกบีบกล้ามอกต่อไปอย่างไม่เกรงใจ ทำเอามายูมิระเบิดหัวเราะออกมา
“โธ่ ให้ตายสิ นายนี่ไม่เปลี่ยนไปเลยจริงๆ”
“จริงเหรอ ไม่ไหวเลยนะตัวฉันวัยยี่สิบสี่ปีเนี่ย”
ระหว่างที่ทั้งคู่หัวเราะคิกคักกันอยู่นั้นแม่ที่ลงไปซื้อของที่ร้านสะดวกซื้อก็กลับมาที่ห้อง แม่มองทั้งสองคนแล้วพูดพลางยิ้มว่า สนิทกันเหมือนเดิมเลยนะ ขณะจัดเก็บน้ำชาและกาแฟที่ซื้อมาเข้าตู้เย็น
“นี่ วันที่จะออกจากโรงพยาบาลแม่มาได้แค่ช่วงเช้านะ โอเคไหม? พอคิดว่าในสมองแกยังเป็นแค่เด็ก ม.ต้น แม่ก็เป็นห่วงที่จะทิ้งไว้คนเดียว”
“แม่พูดซะเหมือนผมเป็นเด็กปัญญาอ่อนเลยแฮะ...”
มายูมิกับแม่ผุดยิ้มอบอุ่นโดยไม่คิดจะตบมุกของอาซาฮิ แถมยังไม่สนใจเสียงบ่นว่าช่างเป็นแม่และเพื่อนที่โหดร้ายด้วย บทสนทนาจึงจบลงไปโดยปริยาย จากนั้นแม่ก็พูดขึ้นว่า “เอาละ” แล้วคว้ากระเป๋าขึ้นสะพายบ่า
“เดี๋ยวแม่กลับก่อนนะ อ้อ เกือบลืมไปแน่ะ แกน่ะ อย่าลืมโทรไปแจ้งที่ทำงานด้วยล่ะ ไม่ใช่เด็ก ม.ต้น แล้วนะ แม่ไม่โทรไปลางานให้หรอก”
“ที่ทำงานเหรอ...! นี่ผมทำงานด้วยเหรอเนี่ย”
“ต้องทำอยู่แล้วสิ ส่วนรายละเอียดถามมายูมิคุงเอาแล้วกัน ถ้าเป็นเรื่องแกตอนนี้เขารู้ละเอียดกว่าแม่เสียอีก... ถ้างั้นมายูมิคุง ขอโทษทีนะจ๊ะ ขอฝากอาซาฮิด้วยน้า”
“ครับ ไว้ใจได้เลยครับ”
มายูมิว่าพลางพยักหน้าหนักแน่นขณะมองส่งแม่ออกจากห้องไป ดูเหมือนว่าวันอาทิตย์จะเป็นวันทำความสะอาดบ้านและซักเสื้อผ้าแสนยุ่ง
“นี่ ที่บอกว่ามายูมิรู้เรื่องฉันตอนนี้ดีกว่าน่ะ หมายความว่ายังไงเหรอ?”
“คงเพราะอาซาฮิออกจากบ้านมาอยู่คนเดียวตั้งสี่ปีแล้ว แล้วนายก็มาเจอฉันบ่อยๆ ฉันเลยน่าจะรู้เรื่องชีวิตความเป็นอยู่ของนายมากกว่าคนที่บ้านอะไรทำนองนั้นมั้ง นายไม่ค่อยกลับไปเยี่ยมบ้านเกิดซะด้วย”
“เอ๋? ...ที่นี่ไม่ใช่คาวาโกเอะ หรอกเหรอ?”
“ที่นี่โตเกียว”
“เอ๋!?”
อาซาฮิตกใจมาก มายูมิจึงเริ่มอธิบายให้ฟัง อาซาฮิในปัจจุบันไม่ได้อาศัยอยู่ที่บ้านเกิดแล้ว แต่ออกมาใช้ชีวิตอยู่คนเดียวในโตเกียว และที่นี่คือโรงพยาบาลในโตเกียว ทั้งที่เป็นอย่างนั้นครอบครัวก็ยังรีบมาหาจากต่างจังหวัดกลางดึก ช่างเป็นครอบครัวที่ดีจริงๆ
ส่วนมายูมิเองก็ใช้ชีวิตอยู่คนเดียวและอาศัยอยู่ใกล้ๆ สถานีรถไฟถัดจากที่พักของอาซาฮิ ดังนั้นถึงออกจากโรงพยาบาลแล้วก็ยังมีเขาอยู่ด้วย สบายใจได้
อาซาฮิพอจะเข้าใจสถานการณ์คร่าวๆ แล้ว ทว่าพอนึกย้อนถึงคำพูดของแม่ก็ยกมือขึ้นกุมหัวและครวญครางออกมาว่า “จริงเหรอเนี่ย”
“เป็นอะไรไป”
“ก็ถ้าฉันทำงานแล้ว สภาพแบบนี้คงต้องหยุดงานไม่ใช่เหรอ? ต้องหยุดนานแค่ไหนก็ไม่รู้ เมื่อไม่นานมานี้...ไม่สิ ตอนฉันอยู่ ป.6 งั้นก็น่าจะราวๆ สิบสองปีก่อน? พ่อเคยเข้าโรงพยาบาลเพราะไส้ติ่งอักเสบ ลำบากมากเลยนะ พ่อเอาแต่คร่ำครวญอยู่บนเตียงว่าทำให้ที่ทำงานขาดกำลังคนซะแล้วตลอดเลย”
“เรื่องนั้นมันก็จริงนะ การต้องหยุดงานนานๆ เป็นเรื่องน่าเจ็บใจของคนเป็นผู้ใหญ่จริงๆ นั่นแหละ”
“เหรอ ฉันไม่ค่อยเข้าใจหรอก แต่คงเหมือนกับตอนที่ได้เป็นคณะกรรมการจัดงานกีฬาแล้วดันทำงานไม่ไหว! ต้องขอร้องว่า ใครก็ได้ทำแทนที! อะไรทำนองนั้นสินะ ...เฮ้อ แบบนั้นก็แย่น่ะสิ”
อาซาฮินึกถึงตอน ม.ต้น ปีหนึ่งที่เป็นคณะกรรมการจัดงานกีฬาและได้รับแบ่งงานมาจำนวนมาก แค่นึกภาพว่าต้องให้คนอื่นมาทำงานแทนทั้งหมดก็ตัวสั่นขึ้นมา ความจริงเขาเข้าใจอยู่หรอกว่าตัวเองคงไม่มีประโยชน์เพราะจำไม่ได้ แต่ก็คิดว่าน่าจะไปทำงานเล็กๆ น้อยๆ บ้าง
“นี่ ถึงแม่จะบอกให้ติดต่อไปแจ้งที่ทำงานก็เถอะ แต่ฉันทำงานที่ไหนล่ะ นายรู้ไหม?”
“อ้อ จำได้ว่านายมีแอปที่เอาไว้ติดต่อคนที่ร้านอยู่ ขอรื้อกระเป๋านายหน่อยนะ”
มายูมิสอดมือเข้าไปควานหาในกระเป๋าคาดหลังของอาซาฮิอยู่สักพักแล้วหยิบออกมา ทว่ามันไม่ใช่โทรศัพท์รุ่นฝาพับที่เปิดปิดขึ้นลงได้อย่างที่อาซาฮิคิดเอาไว้
“เอ๊ะ เดี๋ยว ทำไมมันบางแล้วก็ใหญ่ขนาดนั้นล่ะ! นั่นคือโทรศัพท์มือถือเหรอ?!”
“นั่นสินะ สมัยอยู่ ม.ต้น โทรศัพท์ยังเป็นรุ่นฝาพับนี่นา แต่ว่าตอนนี้คนส่วนใหญ่เปลี่ยนมาใช้สมาร์ตโฟนกันหมดแล้ว เอ้านี่”
ลองใช้ดูสิ มายูมิว่าพลางส่งมาให้ เมื่ออาซาฮิรับมาก็ต้องตกใจกับความบางและเบาของเครื่องมืออิเล็กทรอนิกส์ชิ้นนี้
“โอ้โฮ...ยุคนี้ใครๆ ก็ใช้สมาร์ตโฟนกันแล้วเหรอเนี่ย...”
อาซาฮิพึมพำขึ้นด้วยคำพูดราวกับมนุษย์ที่เดินทางข้ามเวลามาจากอดีต
หน้าจอแบบสัมผัสให้ความรู้สึกเหมือนเป็นเครื่องเล่นเกมเลยแฮะ อาซาฮิคิดก่อนจะจิ้มไปที่สัญลักษณ์รูปหูโทรศัพท์บนหน้าจอ สิ่งที่ปรากฏขึ้นมาเป็นประวัติการโทรอย่างที่คาดไว้ ส่วนใหญ่รายชื่อเป็นคนในครอบครัว แต่ก็มีชื่อมายูมิกับฟุคาซาวะปนอยู่ในนั้นด้วย
...ฟุคาซาวะเนี่ย หมายถึงฟุคาซาวะคนนั้นเหรอ?
ฟุคาซาวะเป็นชื่อผู้ชายที่เรียนด้วยกันมาตั้งแต่สมัยประถม เรียกว่าเป็นเพื่อนสนิทสมัยเด็กเลยก็ว่าได้ ทว่าอาซาฮิจำไม่ได้ว่าโทรคุยอะไรกันบ้าง เพราะฉะนั้นถึงติดต่อไปได้ก็คงทำได้แค่บอกเรื่องสูญเสียความทรงจำเท่านั้น ดูจากนิสัยของฟุคาซาวะแล้ว บางทีคงแค่รับทราบด้วยเสียงหัวเราะแล้ววางสายไปนั่นแหละ จะให้ติดต่อไปเพื่อความบันเทิงเล่นๆ มันก็ยังไงอยู่
พอลองใช้โทรศัพท์ไปสักพักก็เหมือนนิ้วจะเริ่มจดจำการเคลื่อนไหวต่างๆ ได้ เหมือนกับการปั่นจักรยานหรือการว่ายน้ำ การเรียนรู้ทางร่างกายนั้นไม่มีทางลืมได้ อาซาฮิสัมผัสแล้วว่ามันเป็นเรื่องจริง ถึงอย่างนั้นก็เถอะ การที่อุปกรณ์เกินเอื้อมสำหรับตัวเองสมัย ม.ต้น ถูกนำมาใช้ในชีวิตประจำวันตอนนี้ได้เนี่ย การไหลของเวลาช่างสุดยอดจริงๆ
“เอ๊ะ ว่าแต่ร้านอะไรเหรอ เมื่อกี้นายพูดว่าที่ร้านใช่ไหม ฉันทำงานอะไรงั้นเหรอ?”
ที่ผ่านมาอาซาฮิคิดว่าทำงานเป็นพนักงานบริษัท แต่ดูเหมือนจะไม่ใช่
จากความทรงจำเท่าที่มีอยู่ อาซาฮิไม่ได้วาดฝันทิศทางในอนาคตไว้อย่างชัดเจน สมัยประถมเขาเคยอยากเป็นทั้งนักกีฬาฟุตบอล ทั้งคนขับรถไฟ แล้วก็เปลี่ยนไปเรื่อยๆ เหตุผลมาจากตอนที่ทำประตูได้ในคาบพละจนรู้สึกมีไฟกับเส้นทางกีฬาบ้าง ได้ลองขับรถไฟจำลองตอนไปเที่ยวพิพิธภัณฑ์รถไฟแล้วรู้สึกสนุกบ้าง แต่นั่นก็เป็นเพียงความฝันที่เกิดขึ้นจากประสบการณ์ชั่วขณะ ไม่รู้เลยว่าตัวเองในโลกแห่งความจริง ณ ปัจจุบันนี้ทำมาหากินอะไร
“อาซาฮิทำงานอยู่ร้านอาหารอิตาเลียนน่ะ”
“เอ๋ อย่าบอกนะว่าเป็นพ่อครัว?”
“ใช่แล้วล่ะ เข้าปีที่สี่แล้วด้วย เอ่อ...นี่เป็นแอปที่เอาไว้ติดต่อกับทางร้าน”
มายูมิชะโงกเข้ามาดูหน้าจอโทรศัพท์จากด้านข้างแล้วจิ้มนิ้วลงบนไอคอน ถึงจะไม่ได้เข้ามาใกล้กว่าเดิม แต่ใบหน้าของมายูมิก็อยู่ใกล้ในระยะที่ผมหน้าสัมผัสโดน อาซาฮิจึงลืมตัวจ้องมอง ผู้ชายที่ดูเท่แม้แต่ในสายตาผู้ชายด้วยกัน ช่างน่าอิจฉาจริงๆ
“นี่ ฟังอยู่หรือเปล่า”
“อ๊ะ อื้อ ขอโทษครับ!”
อาซาฮิตอบรับอย่างแข็งขันพร้อมยืดหลังตรง บนหน้าจอมือถือปรากฏหน้าต่างแอปพลิเคชันที่มายูมิกดเปิดขึ้นมา ดูเหมือนเป็นกลุ่มสนทนา น่าจะต้องพิมพ์รายละเอียดเรื่องราวส่งไปในนี้
“ร้านที่นายทำงานอยู่ไม่ได้เป็นร้านทางการเท่าไร เพราะงั้นอธิบายด้วยคำพูดตามปกติเลยก็ได้ ไม่น่าจะเป็นอะไรหรอก ไม่ต้องใช้ภาษาทางการมาก เอาแค่สุภาพเหมือนเวลาคุยกับอาจารย์ก็พอแล้ว”
อาซาฮิรับคำแนะนำจากมายูมิแล้วเริ่มพิมพ์...โดยจงใจปกปิดว่าเป็นเพราะความซุ่มซ่ามของตัวเอง...อธิบายเรื่องที่ประสบอุบัติเหตุและสูญเสียความทรงจำ พร้อมกับแจ้งวันที่จะออกจากโรงพยาบาล
ข้อความที่ส่งไปขึ้นเครื่องหมายว่าอ่านแล้วทันทีแต่ยังไม่มีการตอบกลับ มายูมิช่วยอธิบายความหมายของเครื่องหมายอ่านแล้วให้ฟังและเสริมว่าตอนนี้สิบเอ็ดโมงแล้ว ที่ร้านคงกำลังยุ่ง
“งั้นเหรอ ตอนนี้ที่ร้านคงเป็นช่วงมื้อกลางวันเนอะ นี่ กลางวันนี้มายูมิจะกินอะไร? ของฉันเดี๋ยวตอนเที่ยงพยาบาลก็เอามาให้แล้วล่ะ”
“นั่นสินะ...งั้นฉันไปหาอะไรกินที่ศูนย์อาหารของโรงพยาบาลนี่แหละ แล้วเดี๋ยวกลับมาอีกได้ไหม”
“อื้อ มาเลยๆ กลับมาสอนนู่นนี่ฉันที ก็ตอนนี้ฉันเป็นแค่เด็ก ม.ต้น ปีสองเองนี่นา”
แม้จะได้รับการรับรองจากหมอว่าการคิดวิเคราะห์และความสามารถทางภาษายังอยู่ในระดับที่เหมาะสมตามอายุ อาซาฮิก็ยังสงสัยว่าความจริงแล้วระดับความคิดจะไม่ได้โตไปกว่าตอนมัธยมต้นเลย ว่ากันตามตรงเขาเป็นคนบ้าๆ บอๆ แถมพลังงานล้นเหลือ ดังนั้นไม่ว่าอย่างไรก็ควรจะมีองค์ความรู้ที่สมกับเป็นผู้ใหญ่ไว้บ้าง เมื่อถูกขอร้องให้สอน มายูมิก็มองอาซาฮิด้วยสายตาเหมือนสงสารลูกสุนัข
“อ๋อ อื้อ...การที่ภายนอกอาซาฮิยังเป็นปกติ แต่ภายในเป็นแค่เด็ก ม.ต้น ปีสองนั่นน่ะ ฉันก็รู้สึกว่าเป็นสิ่งที่อันตรายและควรเฝ้าระวังไว้หน่อยเหมือนกัน”
“รู้หรอกนะว่านายเป็นห่วง แต่พูดแบบนั้นไม่โหดร้ายไปหน่อยเหรอ เอาเถอะ ฉันจะรีบเอาความทรงจำกลับคืนมา แล้วเดี๋ยวจะแสดงด้านที่เป็นผู้ใหญ่ให้นายดู”
“อาซาฮิที่เป็นผู้ใหญ่เหรอ...ฉันว่าไม่เคยเห็นมาก่อนเลยแฮะ...”
มายูมิหยอกกลับด้วยสีหน้าจริงจัง ทันใดนั้นหมัดของอาซาฮิก็พุ่งพรวดเข้าหาอย่างไร้สัญญาณเตือน สำหรับอาซาฮิผู้สูญเสียความทรงจำที่กำลังยิ้มร่าเพราะสามารถทำลายสีหน้าจริงจังลงได้นั้น มายูมิเป็นแค่หนุ่มหล่อที่เพิ่งพบกันครั้งแรก ทว่าบรรยากาศเป็นกันเองแบบนี้ก็ยืนยันแล้วว่าตัวเองกับมายูมิเป็นเพื่อนที่สนิทกันจริงๆ
“จะว่าไปแล้ว ตอนที่ความทรงจำฟื้นคืนมาเนี่ย ฉันจะนึกอะไรออกบ้างนะ”
“ถ้าให้พูดจากประสบการณ์ของฉันละก็ ความทรงจำระหว่างที่เมาไม่เคยกลับคืนมาเลย”
“โอ้โฮ อย่าพูดอะไรน่ากลัวอย่างนั้นสิ! ถ้าความทรงจำของฉันไม่กลับมาละก็แย่แน่”
“อ๊ะ...แบบนั้นก็แย่จริงๆ นั่นแหละ”
มายูมิว่าพลางหัวเราะแห้งๆ เพราะทุกอย่างดูเป็นปกติมากเกินไปจึงเผลอลืมไปว่าอาซาฮิกำลังอยู่ในช่วงสูญเสียความทรงจำ ทั้งที่คุยเรื่องการสูญเสียความทรงจำกันอยู่แท้ๆ
ขณะที่ทั้งสองคุยกันเสียงเคาะประตูก็ดังขึ้น ยังเหลือเวลาอีกนิดหน่อยกว่าจะเที่ยง แต่พยาบาลสาวเข็นรถอาหารเข้ามาแล้วแจ้งว่าผู้มาเยี่ยมสามารถนำอาหารเข้ามารับประทานพร้อมกันได้ มายูมิจึงลงไปซื้ออาหารกลางวันจากร้านสะดวกซื้อในโรงพยาบาล และเพราะซื้อ ‘ไก่ทอดร้านสะดวกซื้อ’ ของโปรดมาฝากด้วย อาซาฮิเลยบวกคะแนนความชอบให้มายูมิอีก 100 คะแนน
“จริงสิ” มายูมิเอ่ยขึ้นหลังกินมื้อเที่ยงด้วยกันเสร็จแล้ว
“พรุ่งนี้ฉันต้องไปทำงาน เลยว่าจะไปขอเลื่อนวันลาพักร้อนขึ้นมาให้ตรงกับนายออกจากโรงพยาบาล ถ้าเขาอนุญาต คุณป้าจะได้ไม่ต้องมา”
“หืม? ที่ว่ามานั่น หมายถึงนายจะอยู่กับฉันทั้งวันที่ออกจากโรงพยาบาล แล้วก็หลังจากนั้นด้วยเหรอ?”
“อื้อ จริงๆ นายจะกลับไปอยู่ที่บ้านเกิดก็ได้ แต่หมอเจ้าของไข้บอกว่าถ้าได้กลับไปใช้ชีวิตตามปกติจะช่วยให้ความทรงจำกลับมาง่ายขึ้นใช่ไหมล่ะ เพราะงั้นนายไปอยู่บ้านฉันก่อนก็ได้ ฉันสัญญาไว้แล้วด้วยว่าจะช่วยเหลืออย่างเต็มที่”
“จริงเหรอ นายเป็นคนดีชะมัดเลยมายูมิ...!”
ทั้งที่อาซาฮิประสบอุบัติเหตุเพราะความซุ่มซ่ามของตัวเองล้วนๆ ก็ยังอุตส่าห์เลื่อนวันลาพักร้อนมาอยู่ด้วย ช่างเป็นคนดีจริงๆ อาซาฮิลงจากเตียงมาเพื่อจะเลี้ยงกาแฟกระป๋องให้กับความเหนื่อยยากของมายูมิล่วงหน้า
ทว่า
“เหวอ...”
จู่ๆ ก็สูญเสียการทรงตัวทำให้ล้มถลาไปกอดคอมายูมิที่นั่งอยู่บนเก้าอี้ข้างๆ เตียงจนดูราวกับฉากกอดรัดกันอย่างร้อนแรงของคู่รักที่ได้กลับมาพบกันอีกครั้งที่สนามบิน
“นี่ เป็นอะไรหรือเปล่า เวียนหัวเหรอ”
“อ๊ะ เปล่าๆ”
มายูมิซึ่งโอบประคองอาซาฮิที่ล้มลงอย่างมั่นคงถามด้วยน้ำเสียงที่เต็มไปด้วยความห่วงใย อาซาฮิรู้สึกว่าควรตอบคำถามนั้น ทว่าอาจเพราะความเท่ของร่างกายที่ฝึกมาอย่างดีโอบรับตัวเองที่ล้มลงกะทันหัน หรือไม่ก็รู้สึกดีที่ถูกโอบกอด ความสนใจเลยหันเหมาทางนี้หมด
ถ้าถามว่าทำไมถึงได้ล้ม ก็เพราะตอนนี้อาซาฮิอยู่ในชุดคนไข้ที่คล้ายกับชุดยูกาตะและมีชายชุดยาวพอๆ กัน พอตั้งใจจะเคลื่อนไหวตามปกติในชุดที่ไม่คุ้นเคย ตอนก้าวขาออกไปตัวเลยถูกรั้งไว้เป็นเหตุให้หน้าคะมำ เท่านั้นจริงๆ
“เอ่อ ก็แบบว่าฉันเหยียบชายชุด เรียกว่ายูกาตะหรือเปล่า? เหยียบแล้วก็ฟิ้ว...”
อาซาฮิตั้งใจจะบอกว่าไม่ได้มีอาการผิดปกติทางร่างกาย แต่เรียบเรียงคำพูดไม่ค่อยถูกจนกลายเป็นอธิบายไปตามสัญชาตญาณ แต่ดูเหมือนมายูมิจะชินกับคำพูดทำนองนี้อยู่แล้วจึงตอบกลับมาว่า “งี้นี่เอง ระวังหน่อยสิ” ก่อนจะหัวเราะแล้วพาอาซาฮิกลับไปนั่งที่เตียงตามเดิม
“แล้วนายจะทำอะไร?”
“ว่าจะไปหยิบกาแฟกระป๋องในตู้เย็น”
“บอกฉันหยิบให้ก็ได้นี่ งั้นฉันเอาด้วยได้ไหม?”
“ครับผม”
อาซาฮิพยักหน้าหงึกๆ คนที่ควรได้รับการขอบคุณในความเหนื่อยยากดันไปหยิบกาแฟออกมาเองซะได้ กลายเป็นว่าอาซาฮิไม่ได้ทำอะไรเลย
...ยังไงก็เถอะ มายูมิเนี่ยสุดยอดเลยน้า
อาซาฮิเปิดกระป๋องที่ถูกส่งมาให้พลางมองหนุ่มหล่อกลับไปนั่งบนเก้าอี้กลมอีกครั้ง
อันที่จริงตอนลุกไปเข้าห้องน้ำเขารู้สึกได้ถึงความสูงของระดับสายตาที่แปลกไปนิดหน่อย เท่าที่จำได้อาซาฮิสูงหนึ่งร้อยหกสิบสองเซนติเมตร แต่นี่สูงกว่านั้นสิบเซนติเมตรแน่นอน แถมร่างกายมีกล้ามเหมือนผู้ใหญ่ น้ำหนักก็คงเพิ่มขึ้นด้วย อาซาฮิจึงคิดว่าการที่สามารถกอดรับได้อย่างสบายๆ นั้นสุดยอดจริงๆ ...แล้วก็ตอนไปเข้าห้องน้ำเขาเห็นสิ่งที่อยู่ตรงหว่างขาเติบโตขึ้นกว่าที่จำได้ ทำเอาประทับใจมาก
“มายูมิเป็นประเภทที่เล่นกีฬาเก่งมากหรือเปล่า?”
“ไม่ได้เก่งขนาดนั้น แต่ก็อยู่ชมรมเคนโดจนจบ ม.ปลาย ทำไมเหรอ?”
“ก็ไม่ได้ทำไม แค่รู้สึกว่านายสุดยอดเลยน้าที่คว้าตัวฉันไว้ได้อย่างมั่นคง”
“ไม่ใช่อะไรหรอก เพราะอาซาฮิล้มอยู่แทบจะทุกวัน ฉันเลยชินแล้ว”
พอถูกชมมายูมิก็ทำหน้าเหมือนพระฝึกหัดอีกแล้ว บางทีนี่อาจเป็นใบหน้าเขินอายกระมัง จริงอยู่ว่าความทรงจำของอาซาฮิยังไม่กลับคืนมา แต่การค้นพบนิสัยของคนที่ดูเหมือนจะเป็นเพื่อนสนิทก็ทำให้หัวใจของอาซาฮิฟูฟ่อง
ถ้าให้พูดตามตรง ความทรงจำเกี่ยวกับการกอดที่มีก็เป็นของสมัยเด็กทั้งนั้น มันเลยรู้สึกดีทีเดียว ยิ่งถ้ามีมายูมิคอยรับไว้ด้วย การล้มก็ดูจะเป็นเรื่องที่ไม่เลวนัก อาซาฮิคิดเช่นนั้นแต่ก็ตัดสินใจว่าเก็บไว้เป็นความลับดีกว่า
“อาซาฮิ เหมือนผู้จัดการร้านจะตอบกลับมาแล้วนะ”
“หืม”
แสงไฟแจ้งเตือนจากสมาร์ตโฟนที่วางอยู่บนโต๊ะข้างเตียงสว่างวาบขึ้น ดูเหมือนจะถูกตั้งค่าเป็นโหมดเงียบจึงไม่ทันสังเกต เขาเอื้อมมือไปหยิบสมาร์ตโฟนและเปิดหน้าต่างกลุ่มพูดคุยขึ้นมาตามที่มายูมิสอน
“เอ่อ เขาตอบมาว่า เหนื่อยหน่อยนะที่สูญเสียความทรงจำ ไอ้เหนื่อยหน่อยนะนี่แปลว่ามีปัญหาหรือเปล่า? หรือว่าเป็นแค่คำพูดทักทายกันตามปกติของผู้ใหญ่เฉยๆ แล้วเขาก็บอกว่า ถ้าเป็นไปได้อยากให้โทรมาคุยหน่อยน่ะ”



++++++++++++++++++++++++++++++++++++++
อาซาฮิประสบอุบัติเหตุและมีภาวะสูญเสียความทรงจำชั่วคราว มายูมิ เพื่อนสนิทสุดหล่อที่รู้จักกันมาตั้งแต่สมัยเรียนมัธยมต้นจึงรับหน้าที่ดูแลและให้ความช่วยเหลือเพื่อฟื้นความทรงจำของอาซาฮิกลับมาให้ได้ ทว่ามีบางอย่างแปลกๆ ยากที่จะเข้าใจ เวลาที่อาซาฮิอยู่กับมายูมิมักจะสะดุดล้มและเข้าไปอยู่ในอ้อมแขนของมายูมิเสมอ แถมยังมีเหตุการณ์ที่ทำให้เห็นร่างเปลือยเปล่าของเขาในห้องน้ำโดยบังเอิญ รวมถึงฉากลามกโชคช่วยที่เกิดขึ้นหลายต่อหลายครั้ง! ในทุกๆ ครั้งหัวใจของอาซาฮิจะเต้นตึกตักและรู้สึกอยากใกล้ชิดกับเพื่อนสนิทให้มากกว่านี้ แต่ไม่รู้ว่าเพราะอะไรถึงมีแต่ความทรงจำเกี่ยวกับมายูมิเท่านั้นที่ไม่กลับคืนมาเสียที...!?
นิยายโรแมนติกคอเมดีที่เปี่ยมไปด้วยความสุข ♡ ของรักครั้งแรก


รูปภาพ

ตอบกลับโพส

ย้อนกลับไปยัง “Bongkoch Books News & Activities”