New Release BLY แปล : บำเพ็ญรักพันปี 1 (มี 2 เล่มจบ)

อัพเดทข่าวบงกชบุ๊คส์ ความเคลื่อนไหว และกิจกรรมพิเศษ ตลอดจนร่วมสนุกชิงรางวัลพร้อมของรางวัลมากมาย

Moderator: P'Bly, Gals, พี่บี

ตอบกลับโพส
Gals
โพสต์: 1068
ลงทะเบียนเมื่อ: ศุกร์ 13 ก.พ. 2009 3:47 pm

New Release BLY แปล : บำเพ็ญรักพันปี 1 (มี 2 เล่มจบ)

โพสต์ โดย Gals »

บทนำ

เขาเฮยเชวีย
ค่ำคืนนี้แสงจันทร์สุกสกาว ดวงดาราบนฟากฟ้าส่องแสงระยิบระยับราวกับไข่มุกราตรีที่ประดับไว้สูงล้ำก็มิปาน เกี้ยวนุ่มคันแล้วคันเล่าเคลื่อนตัวคดเคี้ยวลดเลี้ยวขึ้นมาจากตีนเขา ที่ด้านหลังล้วนแบกหาบของกำนัลไม่ต่ำกว่าสิบหาบเคลื่อนตามมา ทว่าเหล่านี้ยังไม่หมด บนฟ้ายังมีสัตว์เมฆาถูกขี่มาอยู่ไม่น้อย ทัศนียภาพเช่นนี้ยากนักที่จะเห็นสักครั้ง
บริเวณทางเข้า ปีศาจรับใช้กำลังวุ่นวายกับการจดชื่อแขกเหรื่อลงในสมุดรายชื่อ รับของกำนัล ตรวจยืนยันว่าไม่มีอันใดผิดพลาดจึงจะเหยียบย่างเข้าสู่ประตูปีศาจได้ ข้ามมายังเขตหวงห้ามสู่วังกลางหุบเขา
นายแห่งเขาเฮยเชวียคืองูเหลือมดำโอรสแห่งจักรพรรดิสวรรค์ ผู้มีชื่อเสียงลือลั่นในภพภูมิปีศาจ
ว่ากันแล้วนั้นเหตุใดงูเหลือมดำที่มีฐานะสูงส่งเป็นถึงโอรสของจักรพรรดิสวรรค์กลับต้องร่อนเร่ไปอยู่ในแดนมนุษย์ด้วย ก็เพียงเพราะงูเหลือมดำมีนิสัยฟุ่มเฟือย เสเพล ไร้แก่นสาร ก่อความวุ่นวายอยู่บนภพภูมิชั้นบนเป็นนิจจึงถูกขับมายังโลกมนุษย์ ทั้งยังมีคนบอกว่าสายเลือดของงูเหลือมดำไม่บริสุทธิ์ คราที่จักรพรรดิสวรรค์ยังมิได้ราชาภิเษกนั้นลงไปผ่านด่านเคราะห์ยังแดนมนุษย์ ทำให้สตรีนางหนึ่งในโลกมนุษย์ตั้งครรภ์จนให้กำเนิดลูกเลือดผสม นับแต่โบราณกาลมามักเชื่อว่าพวกเลือดผสมเป็นสิ่งอัปมงคล เพียงแต่จักรพรรดิสวรรค์ระลึกถึงความรักของสตรีจากแดนมนุษย์นางนั้น สุดท้ายจึงรับผลแห่งชะตาอับนี้มา
กล่าวกันว่ามังกรให้กำเนิดลูกทั้งเก้า ร่างเดิมของจักรพรรดิสวรรค์เป็นมังกรทอง ลูกๆ ส่วนใหญ่กลายร่างเป็นมังกรทองได้ รองลงไปก็ยังมีลำดับขั้นเป็นมังกรคะนองวารี ทว่ากลับไม่คาดคิดว่าทันทีที่เจ้าลูกผสมตนนี้กำเนิดจะมีร่างสีดำขลับ ผลุบลิ้นเข้าออก ดูไม่เป็นลางดีเอาเสียเลย และงูเหลือมดำก็ทำตนเช่นชื่ออันอัปมงคล หมื่นปีมานี้ก่อปัญหามากมายนับไม่ถ้วน เชยชมเซียนรับใช้ที่รูปโฉมงดงามคราที่อยู่วังสวรรค์ จักรพรรดิสวรรค์ซักไซ้เอาความไปหลายครั้งหลายครา งูเหลือมดำก็กล่าวว่าเป็นเซียนรับใช้เหล่านั้นที่เชิญชวน ไม่นับว่าเป็นความผิดของเขา
ต้องรู้ว่าแม้งูเหลือมดำจะเทียบไม่ได้กับมังกรบริสุทธิ์ผู้มีสายเลือดสูงส่ง แต่ก็ยังถือกำเนิดจากสายเลือดของจักรพรรดิสวรรรค์ พลังปราณที่คายออกมาแน่นอนว่าย่อมมีคุณใหญ่หลวง
เซียนรับใช้เหล่านั้นส่วนใหญ่มาจากการอุตสาหะบำเพ็ญตบะในภพภูมิทั้งหก นับพันปี หรือเป็นภูตที่ได้ลอบดูความลับสวรรค์โดยบังเอิญจนบรรลุเป็นเซียน ทว่าไม่ว่าอย่างไรภพภูมิชั้นบนนั้นมากไปด้วยคนมากความสามารถ หากพวกเขาอยากลืมตาอ้าปาก ยกเว้นแต่จะมีเซียนชั้นสูงต้องตาอยากรับเข้ามาในปกครอง มิเช่นนั้นก็เป็นได้เพียงทาสรับใช้ และมิรู้ว่าผู้ใดเป็นอุทาหรณ์ กว่าเซียนทั้งหลายจะรู้ตัว งูเหลือมดำก็มีสหายสนิทชิดกายมากมายนับไม่ถ้วนแล้ว
ด้วยเหตุนี้ยามงูเหลือมดำเผชิญกับการกล่าวโทษจากเหล่าเซียน เขาจึงเอ่ยอ้างแต่เพียงว่าข้ายินยอมเจ้าพร้อมใจ หากต้องการจะเอาผิดก็พูดได้แค่ว่างูเหลือมดำทำลายบรรยากาศของภพภูมิชั้นบน ถ้าจะลงโทษจริงๆ ก็มิได้หนักหนาอะไร
แต่ไหนแต่ไรจักรพรรดิสวรรค์กระทำการอย่างเข้มงวดยุติธรรม ดังนั้นจึงลดตำแหน่งบนภพภูมิชั้นบนของงูเหลือมดำ ขับเขาไปเฝ้าประตูทักษิณของภพภูมิชั้นบนห้าร้อยปี
ทางเข้าภพภูมิชั้นบนมีด้วยกันสี่ประตู มีทิศบูรพาเป็นหลัก เป็นประตูใหญ่ที่ส่วนมากแล้วเหล่าเซียนชั้นสูงไปกลับจากการผ่านด่านเคราะห์ ส่วนประตูที่เหลือต่างมีประวัตินานนับพันสารท แต่ประตูทักษิณอยู่ระดับล่างสุด พวกที่ผ่านประตูนี้ส่วนใหญ่คือผู้มีโชคที่ได้ลอบดูความลับสวรรค์ หรือไม่ก็มนุษย์ธรรมดาและภูตที่ถูกลิขิตให้บรรลุเป็นเซียน
งูเหลือมดำทำตัวว่านอนสอนง่ายอยู่ที่ประตูทักษิณหลายปี เดิมคิดว่าในที่สุดครานี้เขาก็สำนึกตนเสียที สงบเสงี่ยมเจียมตัวไม่ก่อเรื่องวุ่นวายอีก คาดไม่ถึงว่าช่วงที่ใกล้สิ้นสุดระยะเวลาห้าร้อยปีงูเหลือมดำจะก่อเรื่องอื้อฉาวขึ้นอีกครั้ง
วันนั้นที่ภพภูมิชั้นบนท้องฟ้าสดใส เผ่าหงส์มาเยี่ยมเยือน
เผ่าหงส์มีสายเลือดผูกพันกับมังกรทองมาอยู่เดิม นับแสนปีตั้งแต่เผ่ามังกรครองอำนาจ เผ่าหงส์จำต้องพึ่งพิงมังกรเทพเพื่อความอยู่รอด ไม่ว่าบุรุษหรือสตรีล้วนได้รับความโปรดปรานจากจักรพรรดิสวรรค์มาทุกยุคเนื่องด้วยมีใบหน้างดงามและรูปโฉมพริ้งเพรา
ยังไม่ขอเอ่ยลงลึก กล่าวถึงการที่เผ่าหงส์พาองค์ชายมาเยือนวังเทพกันก่อน ว่ากันว่าคนผู้นี้เกิดมาพร้อมรูปโฉมงามพริ้งดั่งเกี้ยวหยกงาม แม้บนภพภูมิชั้นบนจะมีคนงามนับไม่ถ้วน ทว่ายากจะกลบความงามเลิศเช่นนี้ได้มิด เพียงเห็นองค์ชายนั่งเมฆาสวรรค์ชั้นเก้าลอยสง่าเข้ามาถึง มือทั้งสองของเขาโอบฉินไว้ ผมสีหมึกเกล้าเป็นมวย ที่โดดเด่นคือคิ้วงามดั่งขุนเขาทอดห่าง ดวงตามองไปทั่วสี่ทิศ ยังมิต้องเอ่ยว่าเหล่าเซียนเป็นอย่างไร โอรสทั้งหลายของจักรพรรดิสวรรค์ผู้ประทับบนที่นั่งสูงสุดต่างจ้องตรงไปยังเขา
องค์ชายเผ่าหงส์ผู้นั้นนั่งลงอย่างเชื่องช้า ดีดสายบรรเลงฉิน บทเพลงสวรรค์กลางวิมานหอตำราจักรพรรดิสวรรค์อันงดงามดังแผ่วพลิ้ว องค์หญิงทั้งเก้าของจักรพรรดิสวรรค์อดรั้งแขนเสื้อขึ้นมิได้ ลอยละล่องมายังกลางตำหนัก ร่ายรำตามเสียงเพลง
หนึ่งบทเพลงยังมิทันสิ้นสุด เทพเซียนทั้งหลายราวกับคนลุ่มหลงเมามาย ไหนเลยจะรู้ถึงเสียงหัวเราะลั่นเสียดหูทะลวงท้องนภา พอเงยหน้าขึ้นก็เห็นเมฆาสีนิลลอยมา จากนั้นเด็กหนุ่มในชุดคลุมสีดำกระโดดลงมา
ใบหน้าของเด็กหนุ่มผู้นั้นช่างงามเฉิดฉายเป็นอย่างยิ่ง เทียบกับบรรดาโอรสของจักรพรรดิสวรรค์แล้วพูดได้ว่าโดดเด่นกว่าใครอื่น ทว่าดวงตาเรียวยาวคู่นั้น หางตายังแต้มด้วยเงาสีแดงสด ขับให้ใบหน้านี้มีเสน่ห์ดึงดูดขึ้นอย่างไร้เหตุผล ดูไปแล้วช่างไม่เหมือนกับเทพเซียนผู้ชอบธรรมเหล่านั้นเอาเสียเลย
เด็กหนุ่มเอ่ยขึ้นอย่างถือดีว่า “มีสุราดื่มกินกันแต่กลับมิชวนข้า นี่มันอันใดกัน!”
เขาเหาะไปยังเหล่าพี่ชายน้องชายตรงที่นั่งสูงสุด ชายตามองเพียงครั้งก็เลือกสุราชั้นดีบนโต๊ะของรัชทายาทมังกรทองที่ดูแคลนเขาอยู่เป็นนิจ โดยมิทันได้ตั้งตัว งูเหลือมดำผู้นี้ก็ก้าวเข้ามาคว้าสุราไปดื่ม รัชทายาทมังกรทองถึงกับนิ่งงันไปชั่วขณะ จ้องมองน้องชายผู้ไม่รู้จักกาลเทศะของเขาที่กำลังเงยหน้าดื่มอย่างเต็มที่ ยกแขนเสื้อเช็ดปาก ใบหน้าอิ่มหนำสำราญไปทั้งดวง
รัชทายาทถลึงตามองด้วยความโกรธา ด้วยฐานะที่ไม่อาจตบโต๊ะแล้วยืนขึ้นด้วยความโกรธได้ จึงได้แต่นิ่งเงียบรอให้ผู้อื่นลงมือ
เป็นดั่งเช่นที่คาดการณ์ มังกรคะนองวารีไม่กี่ตนที่พึ่งพิงรัชทายาทชิงเอ่ยซักถามด้วยน้ำเสียงติเตียน “เจ้าไม่คอยอยู่เฝ้าประตูทักษิณ แต่กลับเข้าวังเทพมาโดยพลการ หรือว่าอยากจะถูกลดขั้นไปยังแดนมนุษย์!”
งูเหลือมดำเบะปาก มิได้เก็บมาใส่ใจแม้แต่น้อย เขาอดกลั้นมาห้าร้อยปี พอได้ยินว่าที่วังเทพจัดงานเลี้ยงเลยมาเพื่อลิ้มสุราสักอึกโดยเฉพาะ คิดว่าดีร้ายอย่างไรงูเหลือมดำก็เป็นโอรสของจักรพรรดิสวรรค์เช่นกัน ที่นั่งตำแหน่งนี้ควรนับเขาเป็นส่วนหนึ่งด้วย แต่ไม่ว่าอย่างไรลูกมังกรพวกนั้นล้วนดูแคลนงูเหลือมดำทั้งสิ้นย่อมทำให้อับอายอยู่หลายครั้ง นิสัยของงูเหลือมดำนั้นตรงไปตรงมา อีกทั้งตลอดปีก็เอาแต่คลุกอยู่กับภูตพวกนั้น พฤติกรรมและคำพูดจึงหยาบกว่ามังกรสูงศักดิ์พวกนั้นมาก เห็นพวกเขาพูดคุยกันไปมางูเหลือมดำก็โกรธจนหน้าดำคล้ำเขียว
เห็นแล้วว่าที่แห่งนี้ใกล้จะระเบิดอยู่รอมร่อ จู่ๆ เสียงแจ่มใสก็ผ่านเข้ามา
“หลวนชิงแห่งเผ่าหงส์ ขอคารวะองค์ชายทุกท่าน”
เสียงนั้นราวกับเสียงตีชิ่ง มอมเมาผู้คนได้มากกว่าเพลงเซียนที่บรรเลงไปเมื่อครู่เสียอีก เช่นนี้เองงูเหลือมดำถึงได้สังเกตเห็นว่าในตำหนักยังมีแขกอื่นอยู่ เขาหมุนกายกลับไปมองแล้วก็ได้แต่นิ่งงัน มิอาจเอื้อนเอ่ยออกมาได้สักครึ่งคำ
หลวนชิงแห่งเผ่าหงส์นั้นมีชื่อเสียงเลื่องลืออยู่บนภพภูมิชั้นบนมาช้านาน เล่ากันว่าเขาเป็นหงส์เทพเลือดบริสุทธิ์ที่เผ่าหงส์มิได้มีมาเนิ่นนานนับหมื่นปี ปีกหงส์วาววับเจ็ดสี จะว่าไปแล้วที่เผ่าหงส์ตกอับจนต้องกลายเป็นสนมของจักรพรรดิสวรรค์เพื่อวิงวอนขอการคุ้มครองนั้น เป็นเพราะเมื่อหลายหมื่นปีก่อนมีหงส์ตนหนึ่งขโมยยาอายุวัฒนะของพระแม่แห่งสวรรค์ประจิม ทำให้เผ่าหงส์ทั้งเผ่าต้องเผชิญกับการถูกเทพประณาม ถึงขนาดที่หลายหมื่นปีมานี้ไม่มีหงส์เทพถือกำเนิดสำเร็จเลยแม้แต่ตนเดียว เมื่อเห็นว่าฐานะของเผ่าหงส์ตกต่ำลงอย่างรวดเร็ว ผู้คนในเผ่าเลยคิดแผนการพึ่งพิงมังกรเทพขึ้นมา ด้วยเหตุนี้จึงมีที่ยืนบนภพภูมิชั้นบน
สิ่งที่เผ่าหงส์มิเคยขาดคือคนงาม ไม่รู้ว่าตั้งแต่เมื่อใดที่คนงามที่สุดในรุ่นไม่ว่าจะบุรุษหรือสตรีจะต้องถูกส่งมาเป็นชายาเป็นสนมของจักรพรรดิสวรรค์ พูดให้เข้าใจง่ายๆ ก็คือที่เรียกว่าองค์ชายแห่งเผ่าหงส์นั้น เป็นได้แค่สนมชายที่มอบให้วงศ์สวรรค์หยอกเอินเท่านั้น
งานเลี้ยงเช่นนี้จะถูกจัดขึ้นหนึ่งครั้งในทุกๆ ไม่กี่พันปี เอาเป็นว่านี่เป็นความช่วยเหลือเล็กน้อยที่จักรพรรดิสวรรค์มอบแก่เผ่าหงส์
หลายพันปีก่อนแม้ว่าในที่สุดเผ่าหงส์จะสมหวังมีหงส์เทพถือกำเนิดเสียที แต่ทว่าด้วยการปกป้องคุ้มครองจากมังกรเทพมาหลายหมื่นปี เผ่าหงส์จึงมิกล้าทำลายกฎ ผ่านมาไม่กี่พันปีก็ยังคงนำหงส์ที่งดงามที่สุดมายังวังเทพเช่นเคย
ที่ทำให้เหล่าเซียนประหลาดใจคือ เผ่าหงส์ถึงกับตัดใจส่งหงส์เทพผู้ล้ำค่าที่สุดมา เห็นเพียงเทพสวรรค์ที่นั่งอยู่ด้านบนมองกันไปมาโดยมิเอ่ยอะไร มีบางคนแค่นเสียงหึออกมาอย่างเย็นชา ครุ่นคิดว่าเผ่าหงส์ตกต่ำถึงเพียงนี้ หากเป็นเมื่อก่อนคงกล่าวได้ว่าเป็นความจำใจ ทว่ายามนี้มีหงส์เทพแล้วยังถวายตัวเพื่อขอความโปรดปรานจากจักรพรรดิสวรรค์อยู่ เกรงว่าวันสูญสิ้นเผ่าพันธุ์คงอยู่อีกไม่ไกลเสียแล้ว!
ชั่วขณะหนึ่งสายตาจากทุกสารทิศต่างพุ่งมาที่ร่างของหลวนชิง หลวนชิงผู้นี้มีอายุไม่เกินห้าพันปี ว่ากันตามภพภูมิชั้นบนแล้วยังเป็นเด็กหนุ่มอยู่ ทว่าเขาผิดแผกไปจากคนก่อนๆ ที่ถ้าไม่แค้นเคือง เดือดดาล ก็กระวนกระวายใจ...เขายืนโอบฉินไว้ หลุบตาลงอย่างสงบ ท่าทางไม่ฉุนเฉียว ทำให้ผู้คนที่เดิมทีดูถูกเขาสงบเงียบลงเช่นกัน
ถึงอย่างไรก็เป็นถึงหงส์เทพ ว่ากันด้วยศักดิ์เทพแล้วก็อยู่ในระดับเดียวกับมังกรเทพ หากให้หงส์เทพเป็นสนมชายดังเช่นเผ่าหงส์คนก่อนๆ เกรงว่าวิถีสวรรค์คงมิยินยอม...
จักรพรรดิสวรรค์นิ่งเงียบไร้วาจา ชั่วขณะหนึ่งถึงกับไม่รู้ว่าจะจัดวางตำแหน่งให้แก่หลวนชิงผู้นี้อย่างไร
เหล่าองค์ชายมังกรเทพก็นิ่งเงียบลงตามกัน พวกเขาต่างมีความคิดเป็นของตนเอง โดยเฉพาะอย่างยิ่งองค์ชายสองสามตนที่กลายร่างเป็นมังกรทองได้ล้วนมิกล้าบุ่มบ่าม เนื่องด้วยยังมีเทพบิดาที่อยู่เหนือหัว แต่กลับวางแผนอย่างเงียบเชียบ ครุ่นคิดว่าจะรับหงส์เทพมาเป็นของตนอย่างไรดี ต้องรู้ว่าพลังเทพของหงส์เทพนั้นโดดเด่นไม่เหมือนผู้ใด หากได้บำเพ็ญคู่ การฝึกบำเพ็ญจะก้าวหน้าอย่างรวดเร็ว ยิ่งกว่านั้นต่อให้หลวนชิงจะมิใช่หงส์เทพ หากมองว่าเขารูปโฉมงดงามเป็นหนึ่งในหมื่นแล้ว ต่อให้เค้นหัวคิดรับเขามาเป็นของตนเองก็นับว่าคุ้มค่า
จักรพรรดิสวรรค์องค์ปัจจุบันนี้มีโอรสทั้งหมดร้อยตน ที่กลายร่างเป็นมังกรทองได้นั้นมีมากกว่าสิบ แต่กลับไม่มีผู้ใดได้เป็นเทพสักตน ทว่าวงศ์สวรรค์นั้นมิเหมือนผู้ใด รอจนยามชะตาสวรรค์แห่งจักรพรรดิสวรรค์มาถึง ตนจักพาทายาทไปยังทางทั้งเก้า ร้องขอให้เทพบูรพามอบศักดิ์เทพให้ จักรพรรดิสวรรค์องค์นี้ถือกำเนิดจากมังกรเทพ กล่าวอย่างเคร่งครัดแล้วเกรงว่าความผูกพันทางสายเลือดสำคัญกว่าหงส์เทพ จักรพรรดิสวรรค์มองบรรดาบุตรของตนหนึ่งครา เห็นว่าพวกเขามีแววตาละโมบโลภมากก็อดส่ายศีรษะมิได้ ในใจครุ่นคิดว่าเผ่าหงส์กระทำเช่นนี้ช่างไม่รู้จักคิดเอาเสียเลย
ระหว่างที่จักรพรรดิสวรรค์กลัดกลุ้มนั้น จู่ๆ งูเหลือมดำผู้สร้างความปวดเศียรเวียนเกล้าแก่จักรพรรดิสวรรค์มากที่สุดก็ลอยขึ้นแท่นกลางตำหนัก ซวนเซอยู่ชั่วครู่กระทั่งในที่สุดก็ยืนอยู่บนเมฆาเรืองรองได้อย่างมั่นคง
งูเหลือมดำลากแขนเสื้อยาวๆ เดินมายังหน้าหลวนชิง หงส์เทพสังเกตเห็นว่ามีใครบางคนเข้ามาใกล้จึงเหลือบตาขึ้นอย่างแช่มช้า ดวงตาสง่างามคู่นั้นราวกับบ่อน้ำลึก งูเหลือมดำจ้องมองแน่นิ่งอยู่ชั่วครู่ก็ถอยหลังออกไปก้าวใหญ่ รู้สึกเพียงแค่ว่าอีกนิดจิตวิญญาณก็จะถูกเขาดูดดึงไปเสียแล้ว
ยามที่เหล่าเซียนกำลังสงสัยว่าจุดประสงค์ของงูเหลือมดำคืออันใด ก็เห็นเขาผลุนผลันขึ้นตำหนักวอนขอพร้อมรอยยิ้มสดใส เอ่ยด้วยน้ำเสียงคิกคัก “ทูลเสด็จพ่อ คนงามในวังของลูกเหล่านั้นมิต้องการแล้ว ต้องการเพียงผู้นี้เท่านั้น ขอร้องเสด็จพ่อมอบหลวนชิงแก่ลูกด้วย”
ครั้นเอ่ยจบก็ถกชายเสื้อคลุมขึ้นแล้วหมอบคำนับด้วยสำนึกในความเจ้าชู้


บทที่หนึ่ง

ตำหนักใหญ่โตที่บรรจุคนได้นับพันกลางเขาเฮยเชวียมีผู้คนอยู่แน่นขนัด ครั้นทอดสายตาลงไปจะเห็นผู้คนพากันร้องเพลงร่ายรำ เชื้อเชิญดื่มสุรากันด้วยความปีติยินดี หากมีเซียนชั้นสูงผู้ชอบธรรมผ่านมาเห็นสักคนอาจจะต้องสะดุ้งตกใจ เพราะตำหนักนี้คลาคล่ำไปด้วยปีศาจยั่วยวน
ราตรีนี้เหล่าปีศาจต่างมารวมตัวกันที่นี่ก็เพื่ออวยพรวันเกิดของงูเหลือมดำเจ้าภูเขาแห่งเขาเฮยเชวีย
หลังจากที่องค์ชายงูเหลือมดำถูกขับมายังแดนมนุษย์เมื่อหลายร้อยปีก่อนก็กลับมายังเขาเฮยเชวีย มารดาผู้ให้กำเนิดเขาเป็นสตรีที่เกิดและเติบโตอยู่ที่เขาเฮยเชวียแห่งนี้ เมื่อเล็กๆ งูเหลือมดำอยู่ร่วมกับมารดาในเขาเฮยเชวีย จวบจนมารดาสิ้นอายุขัยขึ้นสู่ภพภูมิชั้นบน ด้วยเหตุนี้งูเหลือมดำก็นับได้ว่ากลับสู่บ้านเก่าเช่นกัน เขาใช้เวลาหลายสิบปีรังสรรค์ตำหนักจินหลวนแห่งนี้ขึ้นมา นับจากนั้นก็ทำเรื่องคาวโลกีย์หาความสำราญอย่างโจ่งแจ้งอยู่ในตำหนักตลอดทั้งวันทั้งคืน
ยามนี้มีคนตีฆ้องร้องรำ ตามด้วยเด็กหนุ่มเด็กสาวจากเผ่าจิ้งจอกยี่สิบกว่าตนเยื้องย่างเข้ามา เผ่าจิ้งจอกมีรูปโฉมงดงาม ชายแขนเสื้อยาวพลิ้วและเอวบางนั้นดึงดูดให้ทุกผู้คนตกอยู่ในภวังค์ ยังมิทันที่บทเพลงจะสิ้นสุดก็มีเสียงปรบมือกังวานใสดังลอยมาจากที่นั่งผู้เป็นนายด้านบน...
“ดี ดี!”
เสียงสองคำนั้นเรียกชายหญิงในตำหนักให้หันหน้ามามอง มิรู้ว่าม่านกั้นเลิกขึ้นตั้งแต่เมื่อใด แขนเสื้อสีดำยาวระถึงเท้า พวกเขาสอดส่ายสายตามองไปยังด้านบนก็พบกับบุรุษเสื้อคลุมสีดำที่นั่งเอนกายอยู่บนตั่งนุ่ม
เขาดูอายุอานามราวยี่สิบกว่าปี เครื่องหน้าทั้งห้ากล่าวได้ว่ารูปงามโดดเด่นเกินใคร กอปรกับดวงตาและคิ้วเรียวยาวที่พบเห็นได้บ่อยในเผ่างู โครงหน้าคมคาย ริมฝีปากคล้ำเล็กน้อย สูงแปดฉื่อ กว่าๆ ในยามนี้อากัปกิริยาของเขานั้นเกียจคร้านเอาแต่ใจ รอบกายรายล้อมด้วยคนงามสองสามคน ทุกคนล้วนหน้าตางามหมดจดจับใจผู้คน ทว่าผู้ที่นั่งเคียงข้างเขากลับเป็นเด็กหนุ่มในชุดสีขาว หากมองแค่รูปโฉมแล้ว เด็กหนุ่มผู้นั้นสวยสง่าเป็นอย่างยิ่ง ทิ้งห่างเหล่าคนงามในตำหนักนี้ไปไกลโข เห็นแค่เขาไม่พูดไม่จา เชิดคางเผยสีหน้าถือดีเล็กน้อยเท่านั้น
ยามมีเรื่องน่าสนใจปีศาจรับใช้ก็ถูกดึงเข้าไปถามไถ่ เหล่าปีศาจรับใช้ทำทีเป็นอุบอิบในตอนแรก รอจนกระทั่งได้รับยาลูกกลอนแล้วจึงเอ่ยพร้อมกับหัวเราะคิกคัก “ท่านยังมิทันเข้าใจถึงความชมชอบของเจ้าภูเขาก็มาดื่มสุราเสียแล้ว มันจะได้อย่างไรกัน? เจ้าภูเขาของเรามีรสนิยมไม่ธรรมดา แม้จะนับได้ว่าโปรดปรานคนงามจากเผ่าจิ้งจอกกับภูตกวางพวกนั้น แต่ถ้าพูดว่าโปรดปรานผู้ใดโดยไม่เสื่อมคลายนี่ก็ต้องเป็นลูกนกอ่อนวัยจากเผ่านกผู้นั้นอย่างไรเล่า”
เหล่าปีศาจต่างรู้กันว่าร่างเดิมของงูเหลือมดำคืองูเหลือมยักษ์เขมือบสวรรค์ตัวหนึ่ง ต้องรู้ว่าพวกงูเหลือมกับเผ่านกนั้นไม่ลงรอยกันมาแต่ไหนแต่ไร ใครเล่าจะรู้ว่างูเหลือมดำมีความนิยมชมชอบไม่ธรรมดาเช่นนี้ ถึงกับเลือกลงมือกับศัตรูโดยธรรมชาติเป็นการเฉพาะ ทว่ามิรู้ว่ากินเข้าไปแล้วจะรสชาติเป็นอย่างไร?
เบื้องล่างพากันกระซิบกระซาบ เห็นเพียงเด็กหนุ่มชุดขาวด้านบนพะวักพะวนไม่เป็นสุข ทว่ายังคงเหยียดหลังตรง เชิดดวงหน้างามที่ออกจะซีดเซียวอยู่บ้างไว้เท่านั้น งูเหลือมดำหยัดกายขึ้น ในปากคาบผลลิ้นจี่ไว้ลูกหนึ่งเพื่อป้อนเขา เด็กหนุ่มกลับไม่ซาบซึ้งในคุณ เอียงใบหน้าหนีเล็กน้อย งูเหลือมดำจึงโถมตัวเข้าหาความว่างเปล่า แต่งูเหลือมดำมิได้โกรธเคืองแต่อย่างใด กลับยิ้มอ่อนโยนและหรี่ตามอง ใช้นิ้วมือลูบไล้กลุ่มผมดกดำที่ย้อยลงมาของเด็กหนุ่ม
เหตุการณ์นี้ตกอยู่ในครรลองสายตาของเหล่าปีศาจ ต่างอดหวาดกลัวขึ้นมาในใจมิได้...งูเหลือมดำอย่างไรก็เป็นถึงโอรสของจักรพรรดิสวรรค์ แตกต่างกับภูตแดนมนุษย์เฉกเช่นพวกเขาอยู่มากโข ตำนานเล่าว่างูเหลือมดำมีอิทธิฤทธิ์ไร้ขอบเขต พันปีมานี้ภูตจากทุกสารทิศต่างแก่งแย่งกันขึ้นเขามาขอความคุ้มครองจากงูเหลือมดำ แต่ทว่างูเหลือมดำนั้นชมชอบการแสวงสุขกับคนงาม ปกติแล้วหากจะวอนขอความช่วยเหลือจากเขาจำต้องปีนขึ้นเตียงเขาเสียก่อน รอเพียงเขาพึงพอใจแล้วก็จักได้สิ่งที่ร้องขอ ดังนั้นในหลายปีมานี้ตำหนักหลังของเขาเฮยเชวียจึงมีคนงามมากมายประหนึ่งเมฆา เพียงแต่แต่ไหนแต่ไรพวกเขามิเคยได้ยินว่างูเหลือมดำโปรดปรานผู้ใดเป็นพิเศษ ทว่าดูจากยามนี้แล้วข่าวลือนั้นหาได้เป็นไปตามความจริงไม่
คนเหล่านั้นรั้งปีศาจรับใช้ไว้อีกครั้ง หลังจากถามความละเอียดเรียบร้อยแล้วถึงกระจ่างแจ้งขึ้นมาฉับพลัน
ที่แท้เด็กหนุ่มชุดขาวผู้นั้นก็คือนกกระจอกขาวเหยากวง เกี่ยวกับคุณชายจากเผ่านกกระจอกขาวผู้นี้ มีขาวลือในเผ่าปีศาจอยู่มากมาย เล่าขานกันว่านกกระจอกขาวมีเสียงอันไพเราะมาแต่กำเนิด เมื่อเปล่งเสียงร้องหนึ่งเพลง กระทั่งจิ่วเทียนเสวียนหนี่ว์ ก็อดลงมาร่ายรำพร้อมดีดเครื่องดนตรีมิได้ ทว่าพวกเขาก็ได้ยินมาเช่นกันว่านกกระจอกขาวรักใคร่กับบุรุษชาวมนุษย์ผู้หนึ่งและแต่งงานกันมิได้รับความเห็นชอบ สุดท้ายจึงถูกเผ่าตัดชื่อออก แล้วมิรู้ว่าเหตุใดวันนี้ถึงได้กลายมาเป็นสมาชิกในตำหนักหลังของงูเหลือมดำไปเสียได้
ดูเหมือนว่างูเหลือมดำจะโปรดปรานรักใคร่นกกระจอกขาวเป็นอย่างยิ่ง แม้กระทั่งนกกระจอกขาวสีหน้าไม่ดีแม้แต่น้อยตั้งแต่หัวจรดหาง งูเหลือมดำก็ไม่แสดงสีหน้าโกรธเคืองเลยสักนิด ถึงขนาดที่ยังเจตนาเอาใจอยู่สองสามครา หลังถูกชักสีหน้าใส่ก็ยังคงเบิกบานเต็มเปี่ยม
ร่ำสุรากันไปเสียมากมาย คุณชายนกกระจอกขาวก็มิอาจควบคุมตนเองได้อีกต่อไป ชะเง้อคอไม่รู้ว่ากำลังรออะไร ขบวนมอบของกำนัลค่อยๆ ร่อยหรอลง ประตูตำหนักด้านหน้าจวนจะปิด ทว่ากลับเห็นนกกระจอกขาวสีหน้าซีดเผือด นิ้วมือทั้งสิบขดอยู่ในแขนเสื้อ เงาร่างโงนเงน เรียกให้คนอดสงสารมิได้
พอได้เวลาคุณชายนกกระจอกขาวพลันรั้งแขนเสื้องูเหลือมดำเอาไว้ วางทิฐิลงอย่างยากลำบากพลางเอ่ยร้องขอด้วยน้ำเสียงแผ่วเบา “ขอองค์ชายทรงรอต่ออีกสักนิดเถิด เขา...อาจจะมาช้าด้วยเหตุบางอย่างก็ได้”
งูเหลือมดำเลิกคิ้วขึ้น เหลียวหน้าไปสั่งคนให้เปิดประตูตำหนักค้างไว้
นกกระจอกขาวกระสับกระส่ายเฝ้ารอด้วยความกังวล แต่ก็ยังไม่เห็นสามีมาถึง ดวงตามองเห็นท้องฟ้องเริ่มสว่าง แขกเหรื่อในตำหนักที่เมาก็ยังเมามายมิสร่าง ที่หลับก็ยังหลับสนิทมิตื่น มีเพียงงูเหลือมดำเท่านั้นที่ยังคงถือจอกสุราไว้ เลิกเปลือกตาขึ้นอย่างเกียจคร้าน
คุณชายนกกระจอกขาวประสานสายตาตอบ ยามที่ถอนหายใจออกมานั้นก็พ่วงมาด้วยน้ำตาหนึ่งหยดที่หางตา ในที่สุดเขาก็ตัดใจ
นกกระจอกขาวค่อยๆ ยืนขึ้นอย่างหมดอาลัยตายอยาก คุกเข่าลงต่อหน้าที่นั่งของงูเหลือมดำ เอ่ยอย่างเบาหวิว “เหยากวงแพ้พนันแล้ว วันหน้า...ก็แล้วแต่องค์ชายจะลงโทษ”
นิ้วเรียวเชยคางเนียนขึ้นอย่างเชื่องช้า นกกระจอกขาวครอบครองรูปโฉมงามหยาดเยิ้ม ไม่ว่าอย่างไรก็ยังคงความหยิ่งทระนงโดยกำเนิด ต่อให้ใครหน้าไหนมากลั่นแกล้งก็มิยอมละทิ้งความดื้อรั้นลงแม้แต่เศษเสี้ยว เดิมทีเขาคิดว่างูเหลือมดำต้องเอ่ยวาจาถากถางออกมาเป็นแน่ คิดไม่ถึงว่าหูกลับได้ยินเสียงทอดถอนใจเท่านั้น
เขาลืมตาขึ้นอย่างแช่มช้า สบเข้ากับดวงตาสีดำล้ำลึกคู่นั้น
งูเหลือมดำเอ่ยว่า “เจ้าไม่เกลียดเขา?”
นกกระจอกขาวยิ้มเศร้าสร้อย ช่างงามล่มเมืองจริงๆ “ไม่เกลียด”
งูเหลือมดำยกยิ้ม ส่งเสียงหัวเราะแปลกประหลาดออกมา “ก็น่าจะเป็นเช่นนั้น เจ้าคงคิดว่าข้าวางอุบายทำให้เขาไม่มาเป็นแน่ ใช่หรือไม่?”
นกกระจอกขาวนิ่งเงียบไม่เอ่ยวาจา งูเหลือมดำจึงรู้ได้ว่าเขาพูดถูก เขาส่ายหน้าพลางหัวเราะออกมาเล็กน้อย ทันใดนั้นก็ฝืนดึงนกกระจอกขาวขึ้น แผดเสียงอย่างเย่อหยิ่ง “เช่นนั้นข้าจะพาเจ้าไปเจอเขา เจ้าจะได้ตัดใจสิ้นซากเสียที!”
ลมพายุหมุนวนเข้ามา เงาร่างของพวกเขาวูบไหวไปมาพร้อมกับหายวับไปจากกลางตำหนัก
ใช้เวลาเพียงชั่วพริบตาเขาทั้งสองคนก็ปรากฏตัวอยู่กลางตำหนักใหญ่ตระการตาแห่งหนึ่ง
เหยากวงมองไปรอบๆ พลันเห็นเงาเลือนรางหลังฉากกั้น เขาสั่นเทิ้มไปทั้งร่าง ไม่สนใจว่ายามนี้งูเหลือมดำกำลังยืนอยู่ข้างกาย ใบหน้าที่เคยซีดเผือดพลันแช่มชื่นขึ้นมา สาวเท้ามุ่งไปด้านหน้า
ทว่ากลับมีคนไวกว่าเขาก้าวหนึ่ง คนงามในชุดฮั่นข้างกายเขารั้งกระโปรงขึ้นแล้วค่อยๆ ก้าวเท้าเข้ามา
นกกระจอกขาวชะงักเท้าในฉับพลัน ยามนี้บุรุษหลังฉากกั้นก็สาวเท้าออกมา เขาสวมชุดมังกรเหลืองอร่าม ที่ศีรษะสวมเกี้ยวหยก ดูมีสง่าราศี ทุกท่วงท่าล้วนงามสง่าสุดจะพรรณนา...คนผู้นี้คือฉีเซี่ยวเฟยจักรพรรดิผู้สถาปนาแคว้นแห่งราชวงศ์ไป๋หลวน
เพราะร่ายอาคมไว้ คนในตำหนักจึงมองไม่เห็นนกกระจอกขาวและงูเหลือมดำ ชายหนุ่มตะโกนสั่งให้บ่าวรับใช้ออกไปแล้วโอบกอดคนงามไว้ เพียงเห็นว่าหน้าท้องคนงามนูนขึ้นมาเล็กน้อยก็รู้ชัดว่าตั้งครรภ์
นกกระจอกขาวราวกับถูกสายฟ้าฟาดเข้าที่ศีรษะ แทบจะทรงตัวไว้ไม่อยู่ ดีที่งูเหลือมดำประคองเขาไว้ได้ทัน นกกระจอกขาวพิงอยู่บนกายงูเหลือมดำ เลือดฝาดบนใบหน้าค่อยๆ จางหายไป สีหน้าเจ็บปวดแทบไม่อยากมีชีวิต
งูเหลือมดำถามขึ้นอีกครั้ง “เจ้าเกลียดเขาหรือไม่?”
นกกระจอกขาวอยากหนีไปเสียให้ไกล จะได้ไม่ต้องได้ยินเสียงหัวเราะบาดหูนั่นอีก เขากำมือทั้งสองข้างแน่น ส่ายศีรษะเบาๆ
เฮ้อ ช่างโง่ยิ่งนัก!
งูเหลือมดำกลอกตาอย่างเงียบๆ แล้วรั้งนกกระจอกขาวให้ลุกขึ้น เขาดีดนิ้วหนึ่งครา ภาพรอบๆ กายพลันบิดเบี้ยวอยู่ชั่วครู่ จากนั้นเสียงกรีดร้องด้วยความตกใจของสตรีก็ดังลั่นมาจากเบื้องหน้า
เงาคนชุดขาวดำปรากฏขึ้นกลางตำหนักในฉับพลัน ฮ่องเต้กับสนมรักถึงกับตื่นตกใจกันทั้งคู่ สตรีนางนั้นยิ่งโผกายเข้าสู่อ้อมกอดของบุรุษยิ่งกว่าเดิม ก่อนจะส่งเสียงร้องอย่างอ่อนระโหยโรยแรง “ฝ่าบาท!”
มิรู้ว่าฉีเซี่ยวเฟยมีความกล้ามากกว่าคนอื่นหรืออย่างไร เขากำกระบี่ข้างเอวไว้แน่นอย่างไม่รีบร้อน ยามที่อยากจะร้องเรียกองครักษ์ให้เข้ามาก็พลันเห็นหน้าค่าตาของผู้ที่อยู่เบื้องหน้าทั้งสองชัดเจน
งูเหลือมดำก้าวเข้าไป เผยรอยยิ้มพลางเอ่ย “ฉีเซี่ยวเฟย สบายดีหรือไม่!”
ฮ่องเต้มีสีหน้าตื่นตระหนกตกใจ ไม่คิดว่าเขาที่ชินกับการสั่งลมสั่งเมฆได้สุดท้ายจะมียามที่เผยสีหน้าเช่นนี้ออกมา โดยเฉพาะเมื่อเขาเห็นเด็กหนุ่มชุดขาวในอ้อมกอดงูเหลือมดำ สีหน้าของเขาก็ยิ่งเปลี่ยนไปจากเดิม ร้องเรียกแผ่วเบา “เหยาเอ๋อร์...”
นกกระจอกขาวได้ยินเสียงเรียกนั้นแล้วดวงตาที่ไร้แววอยู่แต่เดิมพลันทอแสง
งูเหลือมดำเห็นทั้งสองคนมองตากันไปมา สายตาเต็มไปด้วยความรักใคร่ เห็นรักต้องห้ามของทั้งสองคนจะปะทุขึ้นมาอีกครั้งงูเหลือมดำก็อดก่นด่านกกระจอกขาวอยู่ในใจด้วยความผิดหวังไม่ได้ ช่างไม่รู้จักดีชั่วเสียจริง! ฉะนั้นเขาจึงตวัดสายตาไปยังคนงามในอ้อมกอดของฉีเซี่ยวเฟย ยิ้มหวานหยดพร้อมเอ่ยว่า “ฝ่าบาทช่างโชคดีเสียจริง คนงามมากมายนับไม่ถ้วนในตำหนักหลังไม่จำเป็นต้องเอ่ยถึง นี่คง...เป็นทายาทคนที่หกแล้วกระมัง?”
เพียงประโยคเดียวก็ดึงรั้งให้นกกระจอกขาวกลับมายังความเป็นจริง ดวงตาหงส์ทั้งสองมองไปยังหน้าท้องของสตรีอย่างเลื่อนลอย ริมฝีปากสั่นระริก
ใครเล่าจะคิดว่าฉีเซี่ยวเฟยเยือกเย็นลงได้เร็วปานนี้ เขาปล่อยสตรีอย่างช้าๆ จับจ้องนกกระจอกขาวราวกับอึดอัดใจอยู่ในที เอ่ยด้วยน้ำเสียทุ้มต่ำ “เหยาเอ๋อร์ ข้าอธิบายได้”
“อ้อ?” งูเหลือมดำเอ่ยด้วยน้ำเสียเย็นเยียบ “นี่ยังจะมีคำอธิบายดีๆ อยู่อีกหรือ ฉีเซี่ยวเฟย เจ้าพูดมาตรงๆ ก็จบแล้ว ไยจะต้องแสร้งตีหน้าซื่อเช่นนี้! นึกย้อนไปปีนั้นสิ เจ้ามันก็แค่หนุ่มชาวบ้านที่ตกระกำลำบากผู้หนึ่ง มีโอกาสได้ช่วยนกกระจอกขาวจากเงื้อมมือของนักพรตมาร ฉะนั้นนกกระจอกขาวถึงได้อยู่ข้างกายเจ้าเพื่อทดแทนบุญคุณ หากไร้นกกระจอกขาวหนุนหลังเจ้าแล้ว คนหยาบช้าจากป่าเขาเช่นเจ้าจะไปชนะทุกศึกได้เยี่ยงไร? นกกระจอกขาวช่วยเจ้าไว้เสียหลายครา หรือว่าความจำของมนุษย์นั้นช่างย่ำแย่ถึงเพียงนี้ เรื่องเหล่านี้ถึงได้ถูกเจ้าลืมเลือนไปเสียสิ้น?”
เพียงเห็นสีหน้าขาวเผือดของฉีเซี่ยวเฟย งูเหลือมดำก็ฟาดคำพูดใส่เขาชัดถ้อยชัดคำ “พลังวิญญาณของนกกระจอกขาวนั้นโดดเด่น เจ้าอาศัยพลังของนกกระจอกขาวสร้างความเจริญก้าวหน้า จำต้องรู้ไว้เสียว่าสวรรค์มีตา ไม่มีทางให้เจ้าทำแผนชั่วสำเร็จได้โดยง่ายแน่ สุดท้ายพลังวิญญาณของนกกระจอกขาวก็เหือดแห้ง เจ้าเองก็โชคร้ายเจ็บหนัก เพราะนกกระจอกขาวแต่งงานกับเจ้าโดยมิได้รับความเห็นชอบจึงถูกเผ่าขับไล่ จำต้องพาเจ้าขึ้นเขาเฮยเชวียโดยไม่หวั่นต่อหนทางยาวไกล ต้องก้มหัวคำนับเก้าพันเก้าร้อยเก้าสิบเก้าครั้งมาตลอดทางจนถึงเบื้องหน้าข้า ขอร้องข้าให้ช่วยชีวิตเจ้า...”
นกกระจอกขาวฟังน้ำเสียงของงูเหลือมดำแล้วจิตใจราวกับถูกลมพัดให้ล่องลอยย้อนกลับไปราตรีแห่งพายุฝนเมื่อสิบปีก่อน
ตอนนั้นเขาเปรอะดินโคลนไปทั้งกาย แบกฉีเซี่ยวเฟยที่สลบไสลมายังเขาเฮยเชวีย งูเหลือมดำเคยตั้งกฎเอาไว้ ผู้ใดที่มาขอความช่วยเหลือจากเจ้าภูเขาจะต้องโขกศีรษะคำนับและคุกเข่าอ้อนวอนทุกๆ ย่างก้าวเพื่อแสดงความจริงใจ เขาคุกเข่ามาทุกย่างก้าวฝ่าความทุกข์ยากนับหมื่นนับพันเรื่อยมาจนถึงยอดเขา หวังเพียงให้งูเหลือมดำช่วยชีวิตชายคนรักของเขาเท่านั้น
ครานั้นยามที่นกกระจอกขาวมาถึงกลางตำหนักก็ซวนเซจนแทบจะล้มอยู่แล้ว เขาใช้จิตเทพของตนรั้งชีวิตฉีเซี่ยวเฟยไว้ ทำร้ายตนเองจนอ่อนแอแสนสาหัส โชคดีที่เจ้าภูเขาแห่งเขาเฮยเชวียไม่ได้สร้างความลำบากอันใดให้มากนัก ออกคำสั่งเปิดประตูตำหนัก ปล่อยเขาเข้ามา
กลางตำหนักนั้นระยิบระยับอร่ามตา ฟุ้งเฟ้อด้วยสุราและนารี
นกกระจอกขาวได้ยินมานานแล้วว่างูเหลือมดำเหลวไหลไร้ที่สิ้น มั่วโลกีย์โจ่งแจ้งไร้จารีตยามกลางวันแสกๆ ทว่าเขาเป็นถึงโอรสของจักรพรรดิสวรรค์ อิทธิฤทธิ์เหนือธรรมดา ว่ากันว่ายังมีพลังที่ทำให้คนฟื้นจากความตายอีกด้วย
นกกระจอกขาวเงยหน้าขึ้น เห็นเพียงพัดใบลานโบกไปมาเบาๆ ยามที่ชายในชุดคลุมสีดำซึ่งเอนกายอยู่บนตั่งเห็นนกกระจอกขาวก็ผุดลุก ราวกับอาการเจ้าชู้ที่ร้อยปียากจะเห็นสักครากำเริบอย่างไรอย่างนั้น เอื้อมมือออกไปเชยคางของนกกระจอกขาว หลังจากพินิจอยู่ชั่วครู่จึงเอ่ยว่า...
“ข้าดูแล้ว...ก็ไม่เท่าไร”
ความทรงจำชะงักงันลงกะทันหัน ดวงตาของนกกระจอกขาวสั่นระริก ดึงแขนเสื้อของงูเหลือมดำไว้ ส่ายหน้าพลางเอ่ย “พอแล้ว ไม่ต้องพูดแล้ว...ข้าจะกลับไปกับองค์ชาย”
ไม่คิดว่างูเหลือมดำจะกระชากแขนเสื้อกลับ เผยใบหน้าโกรธขึ้งที่ยากจะเห็นอยู่หลายส่วนพร้อมพูด “หากวันนี้ข้าไม่ให้เจ้าเห็นโฉมหน้าของฉีเซี่ยวเฟยจะจะ เจ้าก็จะไม่มีวันยอมรับมันเสียที”
นกกระจอกขาวประหลาดใจอยู่บ้าง เขาอยู่ข้างกายงูเหลือมดำมาเป็นสิบปี ทว่ากลับไม่เคยเห็นเขาโมโหเช่นนี้มาก่อน...
งูเหลือมดำหันหน้าไปพูดกับฉีเซี่ยวเฟยด้วยน้ำเสียงเย็นเยียบ “ปีนั้นนกกระจอกขาวสิ้นเปลืองพลังวิญญาณฝึกบำเพ็ญเพื่อสร้างกระบี่หลิงอวี่เล่มนั้นให้เจ้า ช่วยให้เจ้าสำเร็จราบรื่นในสนามรบ ยิ่งไปกว่านั้นเจ้ายังยุยงให้นกกระจอกขาวขโมยของศักดิ์สิทธิ์นับไม่ถ้วนจากเผ่ามาใช้เสียเอง สุดท้ายเจ้าก็อาศัยของศักดิ์สิทธิ์เหล่านี้รวบรวมจงหยวนให้เป็นปึกแผ่น ฉีเซี่ยวเฟย นกกระจอกขาวสละตนรั้งอยู่ข้างกายข้าเพียงเพื่อแลกกับชีวิตต่ำต้อยของเจ้า ยามเจ้ารุ่งโรจน์เคยระลึกถึงเขาสักส่วนหรือไม่?”
“ข้ายอมรับ จริงอย่างที่เจ้าภูเขาพูดทุกคำ” ฉีเซี่ยวเฟยรู้ดีว่าปีศาจร้ายตนนี้อิทธิฤทธิ์กล้าแกร่งจึงไม่กล้าบุ่มบ่ามล่วงเกิน เขามองมาทางนกกระจอกขาว ละล่ำละลักเอ่ยว่า “เหยาเอ๋อร์ ปีนั้นข้าจริงใจต่อเจ้า แม้กระทั่งตอนนี้ก็ด้วย ข้าเองก็คิดถึงเจ้าทั้งกลางวันและกลางคืน มิเช่นนั้น...ข้าคงไม่มีทางพกกระบี่เล่มนี้ไว้ข้างกายข้าตลอดเวลา เพียงทำเสมือนว่าเจ้ายังอยู่ข้างกายข้าเช่นเดิม”
ฉีเซี่ยวเฟยพูดอย่างซื่อตรง ยากที่จะแยกแยะได้ว่าจริงหรือเท็จ ความสัมพันธ์เก่าก่อนของนกกระจอกขาวที่มีต่อเขายังคงมิเลือนหาย ยามนี้จึงหวั่นไหวอยู่บ้าง ทว่ามิได้โง่งม เขามองฉีเซี่ยวเฟยพลางเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงเศร้าระทม “เช่นนั้นช่วงเวลาเป็นสิบปีจนตอนนี้ ไยเจ้าถึงไม่มาหาข้าที่เขาเฮยเชวียบ้าง?”
คราแรกงูเหลือมดำรำลึกถึงความลุ่มหลงของนกกระจอกขาว ออกปากให้สัญญาว่าพ้นสิบปีไปแล้วหากฉีเซี่ยวเฟยยอมละทิ้งทุกอย่าง มุ่งหน้าสู่เขาเฮยเชวียรับตัวนกกระจอกขาวกลับไป เขาก็ยินดีส่งเสริมพวกเขาทั้งคู่ แต่ที่ผู้อื่นไม่คาดคิดคือ สิบปีมานี้งูเหลือมดำยังคงรักษาสัจจะ ไม่เคยล่วงเกินร่างกายนกกระจอกขาว
ฉีเซี่ยวเฟยถูกถามจนชะงักงัน ทว่าเขาตอบสนองได้เร็วยิ่ง พูดด้วยน้ำเสียงแน่วแน่มั่นคง “รอบเขาเฮยเชวียเป็นแหล่งชุมนุมของสิ่งมีพิษ กลิ่นอายปีศาจหนาแน่น ข้าสั่งราชครูและคนอื่นให้รวมกำลังพลไว้แล้ว รอสบโอกาสแล้วจะไปรับเจ้าที่ยอดเขา กลัวเพียงแค่ว่าถึงเวลานั้น...จะมีคนไม่ยินยอมเท่านั้นเอง!”
จู่ๆ ก็หันเหการโจมตีไปยังงูเหลือมดำ ดวงตางูเหลือมดำเย็นเยือก มุมปากผุดรอยยิ้มประหลาด
ฉีเซี่ยวเฟยถอยหลังหนึ่งก้าว ยามนี้ในใจเกิดความคิดขึ้นมาเล็กน้อย นอกจากกระบี่หลิงอวี่แล้วที่ตัวเขายังมีกงจักรวิเศษที่สามารถแผ่แสงสีทองคลุมเขาและปกป้องรอบกายยามตกอยู่ในอันตรายได้ เขาคิดในใจว่างูเหลือมดำผู้นี้ก็แค่ปีศาจร้ายตนหนึ่ง จะมีความสามารถสูงกว่านักเชียวหรือ ทำลายเครื่องมือเซียนนี้ไม่ได้หรอก
ฉีเซี่ยวเฟยยื่นมือมาทางนกกระจอกขาว “เหยาเอ๋อร์ มานี่!”
“อย่าได้คิด!” งูเหลือมดำแผดเสียง หมอกดำทะมึนพวยพุ่งออกมาจากแขนเสื้อ ฉีเซี่ยวเฟยยกของศักดิ์สิทธิ์ออกมาต้านทานในทันที
แม้นว่าของศักดิ์สิทธิ์ชิ้นนั้นจะเป็นของตระกูลเซียน แต่ไหนเลยจะเป็นคู่ต่อสู้ของงูเหลือมยักษ์เขมือบสวรรค์ได้ ที่สุดแล้วเป็นเพราะเขาดูถูกงูเหลือมดำเกินไป ไม่รู้จักฐานะตน คิดว่าของศักดิ์สิทธิ์ชิ้นเล็กๆ นี่จะเอาชนะปีศาจร้ายตนนี้ได้ ระหว่างเขาปะทะเหลือบตาไปเห็นสตรีด้านหลังล้มนั่งอยู่ที่พื้น เพียงชั่วครู่ที่ฮ่องเต้ก้มหน้าลงมอง ของศักดิ์สิทธิ์ในมือพลันถูกหมอกดำมืดสลายจนกลายเป็นผุยผงกระจายไปทั่วในที่สุด
ไม่ว่าอย่างไรฉีเซี่ยวเฟยก็ไม่คาดคิดมาก่อนว่าพลังปีศาจของงูเหลือมดำจะมีมากถึงขั้นนี้ เห็นเขาเดินเข้ามาทีละก้าวๆ จึงคิดหาวิธีหนีเอาตัวรด ทว่าจู่ๆ นกกระจอกขาวก็คุกเข่าลงกอดขางูเหลือมดำไว้ เอ่ยร้องขอเสียหลง “ขอองค์ชายทรงไว้ชีวิตเขาด้วยเถิด!”
“เหยากวง นี่เจ้ายังไม่ตัดใจอีกหรือ!” สีหน้าของงูเหลื.ียม บนแก้มปกคลุมไปด้วยเกล็ด ค่อยๆ เผยร่างเดิมที่เป็นงูเหลือมออกมา
แม้ว่าในใจของนกกระจอกขาวจะหวาดกลัว แต่ยังคงไม่ยอมปล่อยมือ เขาเอ่ยพร้อมกับน้ำตาคลอเต็มเบ้า “...องค์ชายไม่ทรงรู้จักความรักจึงไม่เข้าใจจิตใจของเหยากวง”
งูเหลือมดำได้ยินคำพูดนี้แล้วจึงแสร้งทำเป็นเห็นใจ ค่อยๆ เก็บหมอกดำกลับคืน...อันที่จริงเขาแอบถอนหายใจอยู่เงียบๆ ในใจแล้วทำตัวว่าง่าย โชคยังดีที่นกโง่ตัวนี้รั้งเขาไว้ได้ทันกาล หากเมื่อครู่นี้เขาพลั้งมือผ่าฉีเซี่ยวเฟยไปจริงละก็ คนน่าสงสารที่ต้องถูกอัสนีสวรรค์ตามผ่าก็คือตัวเขาเอง...
พอเห็นงูเหลือมดำเก็บมือไปก็คิดไปว่าเรื่องนี้มาถึงจุดสิ้นสุดแล้ว ทว่างูเหลือมดำกลับหันขวับมามองอีกครา ยิ้มและเอ่ยอย่างคลุมเครือ “ไม่ใช่ว่าข้าไม่ส่งเสริมพวกเจ้าทั้งสองหรอกนะ...”
คำพูดนี้ทำให้ทั้งสามคนที่เหลือเกิดความกังวลระคนตระหนกอยู่ในที ไม่รู้ว่างูเหลือมดำคิดแผนการอันใดไว้ในใจอีก
งูเหลือมดำผินมองไปทางสตรีงามที่อยู่เบื้องหลังกายฉีเซี่ยวเฟย กล่าวอย่างหน้าเนื้อใจเสือ “ฉีเซี่ยวเฟย หากเจ้าสังหารนาง ข้าจะไม่ถือสาเอาความ ให้นกกระจอกขาวจากไปกับเจ้า เจ้าคิดเห็นเช่นไรกับข้อเสนอนี้?”
สตรีนางนั้นตัวสั่นเทาในบัดดล งูเหลือมดำรู้ดีว่าสตรีนางนี้เป็นสนมที่ฉีเซี่ยวเฟยรักและทะนุถนอมมากที่สุดในหลายปีมานี้ ก่อนหน้านั้นนางยังให้กำเนิดบุตรชายแก่ฉีเซี่ยวเฟยมาแล้วสองคน
หน้าผากของฉีเซี่ยวเฟยเต็มไปด้วยเหงื่อเย็นเยียบ นัยน์ตาเศร้าสร้อยหมองหม่นมองไปทางนกกระจอกขาวทีสตรีนางนั้นที ทว่าจู่ๆ ก็ตัดสินใจได้ ชักกระบี่แหลมคมออกมาจากข้างเอวจนเกิดเสียงดัง ‘ฟึ่บ’ ...กระบี่หลิงอวี่สมแล้วที่เป็นกระบี่ลือชื่อในใต้หล้า เพียงมองประกายจากตัวกระบี่ก็เห็นพลังเหนือธรรมชาติแผ่คลุมบางเบา ฉีเซี่ยวเฟยรั้งสาบเสื้อของสตรีนางนั้นเอาไว้ ไม่สนใจเสียงกรีดร้องดิ้นรนของนาง หมายฟาดฟันนางภายใต้คมกระบี่นี้
“พอแล้ว!!”
นกกระจอกขาวตะโกนลั่นอย่างสิ้นหวังออกมาโดยพลัน ในขณะเดียวกันหมอกดำกลุ่มหนึ่งก็ค่อยๆ เคลื่อนตัวเข้ามาฉวยกระบี่ในมือฉีเซี่ยวเฟยจากไป
ต่อมาก็ได้ยินเสียงหัวเราะกึกก้องลั่นท้องฟ้า ลมพายุก่อตัว
ยามที่ฉีเซี่ยวเฟยพยายามยืนจนมั่นคงแล้ว นอกจากความระเกะระกะกลางตำหนักไหนเลยจะเห็นเงาร่างของปีศาจร้ายตนนั้นกับนกกระจอกขาวได้อีก

***

ไม่จำเป็นต้องกล่าวถึงว่าหลังจากนั้นฉีเซี่ยวเฟยจะเป็นเช่นไร หลังจากงูเหลือมดำพานกกระจอกขาวกลับมาถึงเขาเฮยเชวีย นกกระจอกขาวก็เป็นลมคาอ้อมแขนเขาเนื่องด้วยเจ็บปวดทางใจมากเกินไป
งูเหลือมดำเบะปากเล็กน้อย เปลี่ยนอารมณ์จากก่อนหน้านี้ทันทีแล้วโยนร่างคนงามไปให้ปีศาจรับใช้อย่างไม่ทะนุถนอม ก่อนจะสะบัดแขนเสื้อเอ่ยพร้อมย่นจมูกไปด้วย “ทั้งตัวมีแต่กลิ่นนก เร็วเข้า ข้าอยากอาบน้ำจะแย่!”
เอ่อ...เหล่าปีศาจรับใช้มองหน้ากันไปมา เป็นอันรู้กันดีว่าให้ปิดปากเงียบ
สรุปได้ว่าหลังเหตุการณ์นี้เขาเฮยเชวียก็กลับมาสู่วันคืนอันสงบสุขอีกครั้ง ทุกๆ วันงูเหลือมดำยังคงจัดงานเลี้ยงในวังเช่นเก่าก่อน ร่วมกินดื่มสุราและเล่นสนุกกับเหล่าคนงานจากตำหนักหลัง ใช้ชีวิตเอ้อระเหยลอยชายไปวันๆ
ไม่รู้ว่าวันเวลาดีๆ เช่นนี้ผ่านมาได้นานเท่าไร มีอยู่วันหนึ่งงูเหลือมดำถูกปีศาจรูปงามสองตนพยุงกลับไปยังตำหนักบรรทม ไหนเลยจะรู้ว่าจู่ๆ เขาก็ย่นจมูกแล้วจามออกมาดังลั่น กลิ่นสาบนกนี่มาจากไหนกัน?
งูเหลือมดำเหลือบตาขึ้นจึงเห็นข้ารับใช้กลุ่มหนึ่งคุกเข่าอยู่ด้านนอกตำหนักบรรทมของตนเอง รอกระทั่งงูเหลือมดำเข้ามาใกล้เบื้องหน้า สาวใช้จากตำหนักเจาเชวี่ยจึงค่อยๆ ก้าวขึ้นมา ทั้งยังลอบเหล่สายตาไปยังปีศาจข้างกายงูเหลือมดำทั้งสองตนหนึ่งครา เอ่ยอย่างยโสว่า “ทูลองค์ชาย คุณชายรออยู่ในตำหนักนานแล้วเพคะ”
ที่แท้ก็เป็นนกกระจอกขาวนี่เอง...ปีศาจทั้งสองจึงปล่อยมืออย่างรู้จักวางตน ต้องรู้ว่าแม้นในตำหนักหลังของงูเหลือมดำจะมีเจ้านายไม่ต่ำกว่าร้อยคน แต่ในสายตาคนภายนอกกลับคิดว่าสิบปีมานี้งูเหลือมดำรักใคร่หวงแหนนกกระจอกขาวเป็นอย่างยิ่ง ด้วยเหตุนี้ไม่ว่าใครหน้าไหนต่างไม่อาจหาญกล้ามายื้อแย่งความรักไปจากนกกระจอกขาว ว่ากันว่าเมื่อก่อนมีปีศาจในตำหนักหลังจำนวนไม่น้อยหาเรื่องนกกระจอกขาว ทว่างูเหลือมดำกลับปกป้องนกกระจอกขาวไว้ก่อนโดยไม่สนใจว่าจะผิดหรือถูก ถึงขนาดที่ว่าลงโทษหนักแก่ปีศาจที่ใส่ร้ายนกกระจอกขาว ด้วยเหตุนั้นพฤติกรรมทั้งหลายของงูเหลือมดำจึงแพร่กระจายความคิดผิดๆ อย่างหนึ่งให้แก่บรรดาปีศาจในตำหนักหลังทุกตน นั่นก็คือ...งูเหลือมดำรักนกกระจอกขาวอย่างสุดซึ้ง
งูเหลือมดำได้ยินว่านกกระจอกขาวมาที่นี่จึงสร่างเมาในบัดดล นับแต่ที่นกโง่ตัวนั้นกลับมาจนถึงยามนี้ก็เอาแต่ทำท่าทางสูงส่งบริสุทธิ์ ไม่เคยมาหาถึงหน้าประตูด้วยตนเองเลยสักครา
งูเหลือมดำลอบคิดในใจว่านกกระจอกขาวจะแอบแฝงอันใดเอาไว้กันหนอ ทว่าภายนอกกลับกระแอมออกมาเล็กน้อย ตั้งสติแล้วสะบัดแขนเสื้อไปมาอย่างพวกเจ้าชู้ โบกมือสั่งให้คนอื่นถอยออกไปแล้วก้าวเท้ายาวเข้าตำหนัก
งูเหลือมดำโปรดปรานพวกของสีทอง ดูได้จากตำหนักใหญ่โตของเขาที่ตกแต่งไปด้วยสีทองอร่าม กล่าวได้ว่าไม่ธรรมดาสามัญเลยแม้แต่นิด
เขาเดินมาถึงกลางตำหนักจึงเห็นบุรุษอาภรณ์ขาวคนหนึ่งคุกเข่าอยู่ด้านหน้าเตียงนอนที่นอนได้ห้าคนของเขา...บัดนี้นกกระจอกขาวเก็บกระบี่หลิงอวี่กลับมาแล้วการฝึกบำเพ็ญในตัวย่อมฟื้นคืน ยามนี้เขาถอดคราบเด็กหนุ่มในอดีตออกไป ในที่สุดก็เผยรูปโฉมที่แท้จริง
ได้ยินมานานแล้วว่าใบหน้าที่แท้จริงของคุณชายนกกระจอกขาวนั้นเลิศล้ำ คิดๆ ดูแล้วรูปลักษณ์ตอนวัยเยาว์ของเขาก็งดงามเกินใครอยู่แล้ว พอเงยหน้าขึ้น... “ตายแล้ว!” ปีศาจรับใช้ที่อยู่อีกด้านร้องเสียงหลง ถูกใบหน้างดงามทอประกายทิ่มตาจนเจ็บปวด
ต่อให้งูเหลือมดำจะมีการตัดสินใจดีพอ ยามนี้เขาก็อดสะบัดหน้าไปมาไม่ได้เช่นกัน เคราะห์ดีที่เขาพบเจอผู้คนมานับไม่ถ้วนจึงคืนสติกลับมา ไม่เป็นเฉกเช่นบุรุษที่เคยยลรูปโฉมแท้จริงของนกกระจอกขาวจนติดตรึงพวกนั้น แล้วเดินกอดอกไปถึงเบื้องหน้าเขา จงใจเชยคางของนกกระจอกขาวขึ้นอย่างคนเจ้าชู้ “บ่าวของเจ้าไล่คนงามของข้าไปแล้ว เช่นนั้นคืนนี้เจ้าก็อยู่เป็นเพื่อนข้าแล้วกัน ว่าอย่างไร?”
หากเป็นเมื่อก่อนนกกระจอกขาวจะต้องผินหน้าหนีด้วยความยโส งูเหลือมดำเองก็แสร้งทำเป็นเสียอารมณ์แล้วไล่เขาออกไป
คิดไม่ถึงว่าครานี้นกกระจอกขาวจะผิดแผกไปจากเมื่อก่อนโดยสิ้นเชิง เขายังคงคุกเข่าอยู่บนพื้น เงยหน้าจดจ้องงูเหลือมดำอยู่ชั่วครู่ งูเหลือมดำเห็นแล้วก็เกิดม้านับหมื่นตัววิ่งแล่นอยู่ภายในใจ ตรึกตรองว่าดวงเนตรเคลือบน้ำตาของนกกระจอกขาวที่กำลังมองตนอยู่นี้หมายถึงอะไร
ริมฝีปากแดงฉ่ำของนกกระจอกขาวยกยิ้มขึ้นเล็กน้อย วันนี้กระทั่งน้ำเสียงของเขาก็เปลี่ยนไป นุ่มนวลชวนให้หลงใหลยิ่งกว่าเดิม “วันเวลาในช่วงนี้เหยากวงปิดประตูสำนึกตนจึงหวนคิดได้ว่าเมื่อก่อนตอนอายุยังน้อยนั้นเลิ่นเล่อ โง่เขลายิ่งนัก เหยากวงนึกไปว่าตนเองฉลาดล้ำเลิศ แต่กระทั่งความปรารถนาดีขององค์ชายก็ยังดูไม่ออก”
“สิบปีมานี้องค์ชายทรงคิดเผื่อเหยากวงมากจริงๆ ทั้งที่ทรงทราบถึงความผิดของเหยากวง แต่กลับทรงอดทนอดกลั้นกับทุกเรื่อง...” เหยากวงเอ่ยพร่ำเสียงเบาหวิว เหตุการณ์ต่างๆ ในสิบปีปรากฏขึ้นในดวงเนตร
นึกถึงปีนั้นยามที่เขาเพิ่งมาถึงเขาเฮยเชวียก็เป็นไข้หนัก เกือบจะสิ้นชีพไปยมโลกด้วยความโง่เขลาเบาปัญญา เคราะห์ดีงูเหลือมดำใช้ยาวิเศษ ต่อมาก็กรีดข้อมือให้เลือดช่วยชีวิตเขาไว้ ตอนนั้นเขานอนอยู่บนเตียง ยามลืมตาจะมองเห็นชุดคลุมสีดำอยู่ทุกวัน ทั้งระหว่างที่สะลึมสะลืออยู่นั้นยังเคยได้ยินงูเหลือมดำตะโกนลั่นด้วยความตื่นตระหนกว่า หากช่วยเขากลับมาไม่ได้จักให้ปีศาจรับใช้ทุกตนตายตกตามกันไป...
ไม่เพียงแค่เรื่องนี้ ยามที่เขามาถึงที่นี่เป็นคราแรกไม่รู้กฎระเบียบของตำหนักหลัง พองูเหลือมดำมีเขาก็เย็นชาต่อคนงามในตำหนักหลัง ดังนั้นเหล่าภูตต่างดาหน้ากันเข้ามาหาเรื่องเขาครั้งแล้วครั้งเล่า นกกระจอกขาวผู้น่าสงสารสูญเสียการฝึกบำเพ็ญไปสิ้นจึงทำได้เพียงตกเป็นที่เหยียดหยามรังแกของผู้อื่น ยามงูเหลือมดำรู้เรื่องเข้าก็โกรธเกรี้ยว ลงโทษปีศาจทุกตนในตำหนักหลังแล้วย้ายเขาไปอยู่ที่ตำหนักเจาเชวี่ย ทั้งยังตั้งค่ายกลไปทั่วทิศ มิให้ภูตหน้าไหนเข้ามาก่อกวนความฝันอันงดงามของเขาได้อีก







++++++++++++++++++++++++++++++++++++++
งูเหลือมดำทายาทแห่งจักรพรรดิสวรรค์ มีนิสัยเจ้าสำราญ มัวเมาโลกีย์โดยกำเนิด เป็นที่อิดหนาระอาใจที่สุดในแดนสวรรค์ เหตุไม่คาดฝันเพียงหนึ่งคราทำให้งูเหลือมดำเข้าไปพัวพันแผนทำลายการบำเพ็ญตบะของหงส์เทพ บทลงโทษคือ เขาต้องช่วยหงส์เทพให้ผ่านเคราะห์รักสำเร็จในสามชาติ...

ชาติแรก เขาสู้อดทนไม่แตะต้องคนงามตลอดชีวา

ไม่คิดว่าเพียงหนึ่งบทเพลงจักทำให้ความตั้งใจเขาแทบสิ้นสลาย

ชาติที่สอง งูเหลือมดำเข้าร่วมวงโดยไม่นึกเสียดาย

ผู้ใดจักคิดว่ากลายเป็นมือที่สามเพียงครั้ง ทุกอย่างกลับพังพินาศ...เหตุใดพวกเจ้าถึงมาพิศวาสข้า ไม่ไปรักกันเองเสียเล่า! นี่มันไม่เพียงแค่หงส์เทพมิอาจผ่านด่านเคราะห์ได้สำเร็จ เกรงว่าเขาจักถูกอัสนีสวรรค์ผ่าเป็นงูเหลือมดำตากแห้งก่อนกระมัง!


รูปภาพ รูปภาพ

ตอบกลับโพส

ย้อนกลับไปยัง “Bongkoch Books News & Activities”