New Release BLY แปล : จุดเปลี่ยนของใจในวัยสามสิบ

อัพเดทข่าวบงกชบุ๊คส์ ความเคลื่อนไหว และกิจกรรมพิเศษ ตลอดจนร่วมสนุกชิงรางวัลพร้อมของรางวัลมากมาย

Moderator: P'Bly, Gals, พี่บี

ตอบกลับโพส
Gals
โพสต์: 1072
ลงทะเบียนเมื่อ: ศุกร์ 13 ก.พ. 2009 3:47 pm

New Release BLY แปล : จุดเปลี่ยนของใจในวัยสามสิบ

โพสต์ โดย Gals »

* 1 *

ร้านอิซากายะ ช่วงสุดสัปดาห์ต้นเดือนกรกฎาคมเนืองแน่นไปด้วยผู้คน สมกับที่เพิ่งผ่านวันเงินเดือนออกของเดือนจ่ายโบนัสมาไม่กี่วัน
หลังสามทุ่มแทบทุกโต๊ะพากันเมาแอ๋ บางโต๊ะแยกย้ายกันเร็วหน่อย โต๊ะที่ยังอยู่มีบรรยากาศผ่อนคลายลอยล่อง เสียงหัวเราะครึกครื้นดังก้องมาจากทั่วทุกมุม ปะปนด้วยเสียงหวานยั่วยวนที่ดังขึ้นนานๆ ครั้ง ต่างคนต่างส่งเสียงเอะอะหนวกหู
ท่ามกลางเสียงอึกทึก ทาคิงาวะกำลังนั่งกอดอกเอนหลังพิงพนักเก้าอี้อย่างหยิ่งยโส วันนี้เขาอายุครบสามสิบ เป็นตัวเอกของโต๊ะนี้ และกำลังเมาไม่ต่างจากคนอื่นๆ
เขาจ้องชายตรงหน้าเขม็งก่อนจะเอ่ยประณาม
“คนทรยศ”
เพื่อนๆ ที่ได้ยินล้วนฮาครืน ทาคิงาวะไม่ได้เพิ่งจะปากร้ายเอาป่านนี้ คำพูดทำนองนั้นถือเป็นเรื่องปกติสำหรับเพื่อนๆ ที่คบค้าสมาคมกันมาตลอดสิบสองปีตั้งแต่สมัยเรียน
“โทโอรุ”
โทโมโตะที่ละเลียดสาเกอยู่ข้างๆ เรียกชื่อเป็นเชิงปราม
“พูดอะไรอย่างนั้น ขืนคนอื่นได้ยินคงเข้าใจผิดแย่”
โคยามะหัวเราะอย่างใจกว้าง ชายร่างใหญ่ผู้ละม้ายคล้ายคุมะมง คนนี้แต่งงานไปก่อนใครเพื่อน ปัจจุบันเป็นคุณพ่อของลูกเล็กๆ สองคน
โอคุโมโตะผู้สวมแว่นตาจืดชืดรับว่า “ใช่ๆ” เห็นพ้องกับโคยามะ
“ไม่มีใครทรยศใครซะหน่อย เราเคยสัญญากันตั้งแต่แรกที่ไหนล่ะ”
พูดพลางโอคุโมโตะก็ใช้มือหนึ่งพิมพ์ข้อความโต้ตอบกับภรรยาทาง LINE ในสมาร์ตโฟนไปพลาง
ชิมาดะที่นั่งอยู่ตรงกลางระหว่างสองคนนั้นขอโทษพอเป็นพิธีว่า “แหม่ โทษทีนะ แม้แต่ฉันก็ยังแซงไปก่อนอีกคนซะได้” เมื่อครู่นี้เขาเพิ่งประกาศเรื่องแต่งงานและเรื่องตั้งครรภ์ของแฟนสาวที่อยู่กินกันมาร่วมแปดปี
ดวงตาฉ่ำแอลกอฮอล์ของทาคิงาวะจ้องมองใบหน้ายิ้มกริ่มนั้นอย่างเย็นชา
“สีหน้าไม่จริงใจเลยนะ ไอ้คนทรยศ”
“ก็คนมันมีความสุขง่า~”
ชิมาดะพูดอวดหน้าตาเฉย ทำเอาทาคิงาวะฉุนกึก
“ผู้ชายวัยสามสิบที่ไหนเขาพูด ‘ง่า~’ กันเล่า”
เพื่อนที่คบมาสิบสองปีจะแต่งงานทั้งที ทาคิงาวะเองใช่ว่าจะไม่ดีใจ ตรงกันข้ามเลยด้วยซ้ำ ถึงจะเป็นคนหยาบคาย ไม่เกรงใจใครหน้าไหนจนโดนมิตรสหายเรียกว่า ‘ไจแอนต์ รูปงาม’ บ้างละ ‘ไจแอนต์ผอมเพรียว’ บ้างละ ทาคิงาวะก็เป็นคนประเภทรักเพื่อน
เวลาที่สมาชิกกลุ่มนี้มารวมตัวกัน ส่วนใหญ่มักมีจุดเริ่มต้นจากการที่ทาคิงาวะส่งข้อความไปทาง LINE ว่า ‘ไปดื่มกันเถอะ’ ถึงปากจะบ่นอุบอิบ พวกนี้ก็ยอมมาตามคำชักชวนเสมอ แปลว่าทาคิงาวะคงไม่ได้โดนรังเกียจอะไร การโดนไหว้วานให้เป็นคนจัดงานอาฟเตอร์ปาร์ตี้หลังงานเลี้ยงฉลองแต่งงานของชิมาดะในอีกสี่เดือนข้างหน้านั่นแหละคือหลักฐานชั้นเยี่ยม อันที่จริงสาเหตุที่โดนไหว้วานคงไม่พ้นเป็นเพราะทาคิงาวะรู้จักวางตัว พูดเก่งสมเป็นพนักงานขายของธนาคาร แถมยังหน้าตาดีจนโดนเพื่อนๆ ตั้งฉายาแซวว่า ‘รูปงาม’ แต่ในเมื่อรับปากแล้ว เขาก็ตั้งใจจะฉลองให้อย่างยิ่งใหญ่มโหฬารไปเลย
แต่ว่าเรื่องนั้นกับเรื่องนี้มันคนละเรื่องกัน
(เหงา... ซะที่ไหนล่ะ น่าขยะแขยงน่า)
เขาก่นด่าความคิดของตัวเอง
ชายวัยสามสิบจะรู้สึกกับเพื่อนผู้ชายวัยสามสิบว่า ‘เหงาจังที่เพื่อนจะแต่งงานจนเลิกสนใจเพื่อน’ ได้ยังไงกันเล่า แต่ถ้าถามว่า งั้นอิจฉาเหรอ? มันก็ไม่ใช่อีกนั่นแหละ ...ไม่ใช่อย่างนั้น จะเรียกว่ายังไงดีนะ ไอ้ความรู้สึกเหมือนมีลมพัดหวีดหวิวผ่านสีข้างนี่น่ะ ยิ่งคิดหาคำอธิบายเหมาะๆ ไม่ได้ก็ยิ่งรู้สึกขุ่นมัว
ทาคิงาวะกอดอก ทำตาเขียวจ้องชิมาดะไม่พูดไม่จาอย่างกึ่งๆ พาล โคยามะกับโอคุโมโตะที่นั่งขนาบซ้ายขวาจึงพากันโอบไหล่ชิมาดะ
“อย่าคิดมากนะ ชิมาดะไม่ได้ทำอะไรที่ต้องขอโทษหรอก”
“ใช่ๆ พวกเราไม่มีใครทำอะไรผิดทั้งนั้น ไจแอนต์ที่ยินดีกับความสุขของเพื่อนไม่ได้ต่างหากที่ผิด”
“ใช่ไหมล่ะ? พวกเราอุตส่าห์จัดงานวันเกิดให้อย่างนี้แท้ๆ”
สายตามีเลศนัยมองมาคล้ายจะคุยข่ม “ใครจัดกันแน่” ทาคิงาวะสวน
“ฉันเป็นคนทักไปแท้ๆ ยังมีหน้ามาพูด ถ้าจะฉลองวันเกิดให้ฉัน อย่างน้อยก็เลี้ยงฉันด้วยสิ”
“เฮอะ ไม่มีทาง!”
“คนเงินเดือนเยอะสุดอย่ารีดไถคนอื่นเลยน่า”
ต่างคนต่างทำตัวเหมือนเด็กๆ ถึงทั้งโต๊ะจะมีแต่ชายวัยล่วงสามสิบ แต่ความที่คบหากันมาตั้งแต่วัยสิบกว่าๆ ทำให้เหล้าเข้าปากทีไรเป็นต้องเผลอกลับไปทำตัวเหมือนสมัยก่อนทุกที ป่านนี้แล้วจะแอ๊บต่อหน้าเจ้าพวกนี้ไปก็ไม่มีความหมาย ทาคิงาวะจึงทำหน้าบูดโดยไม่เกรงใจใครทั้งนั้น
“อะไรกัน เคยคุยกันว่าถ้าอายุสามสิบแล้วยังโสดจะมาอยู่ด้วยกันแท้ๆ สุดท้ายดันเหลือแค่ฉันกับโทโมโตะเหรอเนี่ย?”
“เสียใจด้วยนะ”
“น่าสงสารเสียนี่กระไร”
“ขอแสดงความอาลัยอย่างสุดซึ้ง”
“ยังไม่ตายโว้ย!”
พอลืมตัวตบมุก ทั้งโต๊ะก็ระเบิดหัวเราะกันอีกรอบ ไม่ได้การ คนแต่งงานแล้วอย่างเจ้าพวกนี้เชื่อในความสุขของตัวเองโดยไม่ลังเลสงสัยเลย พูดอะไรไปก็เปล่าประโยชน์
ทาคิงาวะต้องการหาพวกจึงส่งสายตาไปทางชายผู้กลายเป็นสหายหนุ่มโสดรายเดียวที่เหลือในโต๊ะ วันนี้โทโมโตะก็เฝ้าดูการโต้ตอบของทั้งสี่อยู่ข้างๆ ทาคิงาวะด้วยท่าทางสนุกสนานเช่นเคย พอสบตากัน แววตานั้นก็อ่อนโยนลงทันที
ผมดำของโทโมโตะบิดเป็นเกลียวเล็กน้อย ดวงตาเรียวยาวใสกระจ่าง จมูกโด่งเป็นสัน ริมฝีปากบางผุดยิ้มน้อยๆ ตลอดเวลา ชายคนนี้หล่อเหลามาตั้งแต่ตอนรู้จักกันในวัยสิบแปด แต่ระยะนี้เขามีความสงบเยือกเย็นสมวัยเพิ่มเข้ามา ทำให้มีบรรยากาศแบบที่ถ้าเรียกในแง่ดีก็ลึกลับ เรียกในแง่ร้ายก็น่าสงสัย แต่ไม่ว่ายังไงก็เท่จนน่าเจ็บใจ เป็นคนที่หล่อที่สุดในโต๊ะนี้อย่างไม่มีทางโต้แย้ง
ทาคิงาวะมั่นใจในรูปร่างหน้าตาของตัวเองพอสมควร แต่เขาไม่ได้โง่ขนาดจะประเมินด้วยใจเป็นกลางผิดไป ต่อให้แต่งเนื้อแต่งตัวสักแค่ไหน ‘ไจแอนต์รูปงาม’ อย่างเขาก็เป็นได้แค่ ‘คนหนุ่มที่น่าพอใจในยุคนี้ง ยังห่างชั้นจากบรรยากาศของโทโมโตะที่ดูเหมือนหลุดออกมาจากนิตยสารวัฒนธรรมสำหรับวัยกลางคนขึ้นไปอยู่ไกลโข ซ้ำร้ายยังน่าหงุดหงิดที่โทโมโตะสูงกว่าเขาห้าเซ็นต์ แถมขายาวกว่าอีกต่างหาก
สรุปว่าโดยรวมแล้วโทโมโตะ เรียวทาโร่ถือเป็นผู้ชายที่ดีเยี่ยม ถ้าไม่นับตรงที่ยังเป็นนักศึกษาระดับบัณฑิตศึกษาทั้งที่อายุปาเข้าไปสามสิบ และเป็นโอตาคุวิชาการผู้สิ้นเปลืองเวลาชีวิตไปกับวรรณกรรมสมัยใหม่ที่ไม่ทำเงินใดๆ ละก็นะ
หนุ่มหล่ออันดับหนึ่งและอันดับสองในกลุ่มเพื่อนกลายมาเป็นสหายหนุ่มโสดคนเดียวที่เหลืออยู่ของกันและกัน แสดงว่าสายตาประเมินคู่แต่งงานของสาวๆ ยุคนี้ช่างเข้มงวดและแม่นยำจริงๆ
ทาคิงาวะเอาความรู้สึกจึ้กๆ ที่ผุดขึ้นมาไปลงกับโทโมโตะ
“นี่นาย ใช่เวลายิ้มรึไง ถ้ามีเรื่องที่อยากพูดก็พูดอะไรสักอย่างสิ”
ความหงุดหงิดทำให้ทาคิงาวะเตะใส่ขาเก้าอี้อีกฝ่าย
“โอ๊ย!”
...ดูเหมือนจะเตะโดนขาเจ้าตัวแทนซะงั้น เอาเถอะ จะอย่างไหนก็ช่าง
โทโมโตะหัวเราะเฝื่อนพลางลูบหน้าแข้งที่โดนเตะใต้โต๊ะ
“อะไรสักอย่างที่ว่าหมายถึงอะไร? เมื่อกี้ฉันก็พูด ‘ยินดีด้วย’ ไปแล้วนี่นา”
คำตอบนั้นเยือกเย็นเกินไปจนทาคิงาวะเซ็ง ไอ้ความหนักแน่นไม่สะทกสะท้านนี่มันมาจากไหนกัน มีรากงอกขึ้นมาจากปลายเท้ารึไง
“ทาคิงาวะ ดูไว้ซะ คนอายุสามสิบที่ถูกต้องน่ะควรเป็นแบบนี้”
“ว่าแต่ โทมจจัง ฉันว่าเมื่อกี้นายควรโกรธทาคินะ”
ทีมแต่งงานแล้วทั้งสามพยักหน้าหงึกหงักเห็นด้วยกับคำพูดกันและกันอยู่ฝั่งตรงข้ามของโต๊ะ ทาคิงาวะแลบลิ้นท่ามกลางสายตาตำหนิติเตียนที่มองมาเป็นตาเดียว
“หนวกหู พวกนายนี่มันอวดดีชะมัด!”
“เฮ้ๆ ทำตัวเหมือนเด็กสามขวบที่บ้านฉันไม่มีผิด เด็กสามสิบขวบเอ๊ย”
“หนวกหูน่า เวลาอยู่ในที่ทำงานฉันทำตัวเรียบร้อยจะตาย อย่างน้อยเวลาอยู่กับพวกนาย ฉันขอทำตัวตามใจชอบหน่อยเถอะ อายุสามสิบแล้วมันทำไม ฉันทำอะไรผิดตรงไหน...”
ทาคิงาวะเอ่ยประโยคหลังอย่างขมขื่น โคยามะถอนหายใจอย่างเอือมระอา
“งั้นก็เลิกแอ๊บในที่ทำงานแล้วเผยธาตุแท้ให้หัวหน้าเห็นซะสิ รับรองว่าไม่โดนชวนไปดูตัวอีกแหงๆ แต่เรื่องเลื่อนขั้นก็อาจจะหายวับไปด้วยนะ”
“ทำไม ทาคิงาวะ มีเรื่องอะไรงั้นเหรอ?”
โอคุโมโตะที่มาถึงงานเลี้ยงช้ากว่าคนอื่นถามขึ้น จะว่าไปแล้วหมอนี่มาไม่ทันฟังเรื่องแรกนี่นะ ราวหนึ่งชั่วโมงครึ่งก่อนหน้านี้ ทันทีที่สมาชิกคนอื่นๆ มาถึง ทาคิงาวะก็บ่นเป็นชุด กว่าจะหยุดได้ก็ตอนสิบนาทีก่อนที่โอคุโมโตะจะมาสมทบโน่น
ทาคิงาวะนิ่งเงียบไม่ยอมตอบ ชิมาดะจึงตอบขึ้นมาแทนด้วยน้ำเสียงขบขัน
“หมอนี่เล่าว่าโดนเจ้านายผู้หญิงคนใหม่ในที่ทำงานล่วงละเมิดทางเพศน่ะ”
“พูดเป็นเล่น โดนแต๊ะอั๋งเหรอ? หรือโดนเชิญชวนไปทำเรื่องลามก? เทคนิคคุณน้าช่ำชองไหม?”
โอคุโมโตะสนอกสนใจขึ้นมาทันที ทาคิงาวะโพล่งทั้งที่ยังฟุบหน้าอยู่กับโต๊ะ
“นั่นมันสาวใหญ่ในหนังโป๊เรื่องไหนกัน เจ้าบ้า”
ทาคิงาวะทำงานที่ธนาคารยักษ์ใหญ่แห่งหนึ่ง ที่นั่นเคยปรับโครงสร้างองค์กรอย่างสลับซับซ้อนมาแล้วหลายครั้งหลายคราจนกลายมาเป็นองค์กรขนาดมหึมา ทำให้ด้านจรรยาบรรณ มาตรฐานแรงงาน และสวัสดิการค่อนข้างเป็นระบบระเบียบกว่าที่อื่นๆ ถ้ามีใครล่วงละเมิดทางเพศโจ่งแจ้งขนาดนั้นแล้วโดนจับได้ก็คงโดนลงโทษทันที แน่นอนว่าหมายถึง ‘ถ้าโดนจับได้’ น่ะนะ
โอคุโมโตะพ่นลมหายใจดังฮึอย่างหมดความสนใจ
“อะไรกัน น่าเบื่อจัง”
ทาคิงาวะเงยหน้าขึ้นมาร้อง “เฮ้” แต่อีกฝั่งของโต๊ะพากันครื้นเครงโดยไม่สนใจเขา
“เอาน่า อย่าพูดอย่างนั้นเลย ถึงเจ้าทาคิงาวะจะเป็นแบบนี้ อย่างน้อยหมอนี่ก็หัวดีใช่ม้า? เพราะงั้นเจ้านายถึงได้เอ็นดูไงล่ะ”
“อืม เรื่องนั้นก็พอเข้าใจอยู่หรอก”
“หน้าตาท่าทางกับความช่างใส่ใจของหมอนี่เหมาะกับฝ่ายขายนี่เนอะ”
“ใช่เลย ...ทีนี้นะ เจ้านายบอกหมอนี่ว่าอายุสามสิบแล้วก็ควรจะตั้งใจทำงานโดยเล็งๆ ตำแหน่งหัวหน้างานไว้บ้าง ถึงตรงนี้น่ะไม่เท่าไรหรอก แต่หลังจากนั้นดันพูดเรื่องไม่เป็นเรื่องแถมมาด้วยนี่สิ”
“เห เรื่องอะไร?”
สายตาสนุกสนานมองมา ทาคิงาวะนิ่วหน้า
“ไม่ต้องมาถามฉัน”
“พูดอะไรอย่างนั้น เมื่อกี้นายยังเลียนเสียงอย่างกระตือรือร้นอยู่เลยแท้ๆ”
นั่นมันก็จริงอยู่หรอก แต่นี่ไม่ใช่เรื่องที่เขาอยากเล่าซ้ำสอง อย่างไรก็ตาม อาจเพราะสนิทกันจนกล้าถามเรื่องที่ถามยากออกมาได้หน้าตาเฉยนี่แหละ พวกเขาถึงคบหาเป็นเพื่อนกันมาได้ยาวนานถึงสิบสองปี
ทาคิงาวะยกตัวขึ้นจากโต๊ะอย่างไม่เต็มใจ ก่อนจะเลียนเสียงหล่อนอีกครั้งราวกับจะระบายความคับแค้นใจที่สุมทรวง
“ ‘จริงสิ ทาคิงาวะคุง ชีวิตส่วนตัวเป็นยังไงบ้างจ๊ะ? ไม่มีแฟนเหรอ? เอ๊ะ ไม่มีหรอกเหรอ? ผิดคาดเลยนะ~ หนุ่มๆ บริษัทเราส่วนใหญ่มักจะแต่งงานกับแฟนสาวที่คบมาตั้งแต่สมัยมหา’ลัยกันตอนอายุหลักสองแท้ๆ! นี่ ฉันช่วยแนะนำคนดีๆ ให้เอาไหม? ขืนมัวแต่สบายใจว่าชีวิตผู้ชายเริ่มต้นตอนสามสิบละก็ รู้ตัวอีกทีจะกลายเป็นคนอายุสี่สิบที่ยังไม่ได้แต่งงานซะก่อนนะ ว่าไงล่ะ สนใจหลานสาวฉันไหม? ปีนี้อายุยี่สิบแปด เป็นเด็กดีเชียวล่ะ~ เรียนจบมหา’ลัยหญิงล้วนในโตเกียว ฉลาดด้วย อ๊ะ หรือว่าสนใจเด็กที่เคาน์เตอร์ธนาคารมากกว่า? วันก่อนเห็นบอกว่าทาคิงาวะคุงเท่มากด้วยน้า~’ ...เขาว่างั้นน่ะ ยายแก่แม่สื่อนั่นยุ่งไม่เข้าเรื่องเล้ย”
ทาคิงาวะกำหมัดทุบโต๊ะจนน้ำเปล่ากระฉอกออกจากแก้ว โทโมโตะหยิบผ้าเช็ดมือมาเช็ดน้ำที่หกโดยไม่ปริปาก ส่วนฝั่งตรงข้ามโต๊ะกำลังหัวเราะก๊ากใส่เสียงแหลมๆ ของทาคิงาวะ
“ทั้งที่สมัยเรียนนายเนื้อหอมมากแท้ๆ นะ ทาคิงาวะ กลายเป็นแบบนั้นไปตั้งแต่เมื่อไรกัน?”
ชิมาดะเอ่ยพลางเช็ดน้ำตาที่เล็ดออกมาเพราะหัวเราะมากไป ทาคิงาวะเท้าคางทำหน้านิ่วคิ้วขมวด
“ไม่รู้สิ... ตั้งแต่สมัยเรียนจบมหา’ลัยมั้ง? พอบอกว่าจะเข้าทำงานในธนาคารที่ทำอยู่ตอนนี้ สาวที่คบตอนนั้นก็ตาวาวขึ้นมาทันที ก่อนหน้านั้นยังแสดงท่าทีว่าอยากจบกันโดยเก็บไว้เป็นแค่ความทรงจำสนุกๆ สมัยเรียนอยู่เลยแท้ๆ”
ธนาคารมีอัตราจ้างงานสูง แต่ก็มีอัตราออกจากงานสูงเช่นกัน ถึงกระนั้นที่ทำงานของทาคิงาวะก็เป็นยักษ์ใหญ่ระดับแถวหน้าที่คนญี่ปุ่นรู้จักกันถ้วนหน้า พนักงานทั่วไปเมื่ออายุสามสิบต้นๆ จะมีรายได้ต่อปีสิบล้านเยนขึ้นไป เธอคนนั้นคงเห็นทาคิงาวะเป็นสินค้าคุ้มค่าคุ้มราคาที่ควรเก็บไว้นั่นเอง
คำบ่นของทาคิงาวะทำให้โคยามะเอ่ยว่า “นายเนี่ยผูกใจเจ็บเรื่องเล็กๆ น้อยๆ เกินคาดแฮะ” พลางผุดยิ้มเจ้าเล่ห์
“สรุปว่าไม่อยากโดนรีบจับจองตัวก็เลยรำคาญผู้หญิงขึ้นมาเรอะ? ธาตุแท้นายมันเป็นพวก ‘ของของนายก็คือของของฉัน ’ แท้ๆ อ่อนไหวกับเรื่องพวกนั้นไปก็เท่านั้นแหละ”
“หนวกหู ฉันไม่ได้พูดถึงแค่คนสองคนซะหน่อย”
วัยยี่สิบกลางๆ ของเขามีแต่ความรักที่ทำให้คิดว่า ฝ่ายหญิงเห็นตนเป็นกระเป๋าสตางค์หรือเงินสดเดินได้หรือไงกัน
ทาคิงาวะไม่ค่อยแยแสเรื่องเพศมาตั้งแต่ไหนแต่ไร ไม่ใช่คนประเภทที่จะเร่าร้อนไปกับความรักด้วย เพราะอย่างนั้นความรักที่เอาแต่ประเมินค่ากันโดยมีธงแต่งงานอยู่ในใจ หรือกิจกรรมทางเพศที่มีคนอุทิศตนอยู่ฝ่ายเดียวจึงน่าเบื่อหน่ายขึ้นทุกวัน สำหรับทาคิงาวะนั้น เดิมที ‘แฟนสาว’ ก็เป็นสิ่งที่ต้องคอยใส่ใจโน่นนี่นั่นจนเหนื่อยอยู่แล้ว พอโดนทำเหมือนเป็นตู้ ATM ตั้งแต่ก่อนแต่งงานก็ยิ่งขำไม่ออกไปกันใหญ่
“แค่แม่ฉันคนเดียวก็รบเร้าอยากมีหลานจนรำคาญจะแย่... เป็นเจ้านายก็สนใจแต่เรื่องงานไม่ได้รึไง ฉันไม่ได้ไปบริษัทเพื่อหาเมียนะ”
ทาคิงาวะบ่นหยาบคาย กระดกไฮบอล เข้าปาก ก่อนจะฟุบหน้าลงกับโต๊ะอีกครั้ง
โอคุโมโตะหัวเราะแห้งๆ แต่ก็แสดงความเห็นอย่างนุ่มนวล
“ฉันเข้าใจที่นายรำคาญเรื่องดูตัว แต่ไม่เห็นต้องรังเกียจขนาดนั้นก็ได้นี่ บางทีนายอาจถูกคอกับเด็กที่เขาแนะนำให้รู้จักก็ได้”
จะว่าไปแล้ว ทาคิงาวะลืมไปสนิทเลยว่าโอคุโมโตะรู้จักกับภรรยาเพราะ ‘รุ่นน้องในที่ทำงานแนะนำ’ เขาไม่เคยฟังรายละเอียด แต่บางทีอาจเป็นสถานการณ์ที่คล้ายคลึงกับตนก็ได้
ชิมาดะพลอยเสริมตามน้ำว่า “เป็นไปได้ๆ”
“คนที่โดนแนะนำให้รู้จักตอนอายุปูนนี้น่ะ มีแต่คนที่ตั้งใจคิดเรื่องอนาคตหรือเรื่องการเงินอย่างจริงจังกันทั้งนั้นซะด้วย”
“หลานสาวเจ้านายคงยุ่งยาก แต่พนักงานเคาน์เตอร์บริษัททาคิงาวะน่าจะมีคนสวยๆ หรือคนน่ารักอยู่นี่นา?”
“นั่นซี ถ้าโชคดีได้เจอคนดีๆ ทาคิจะได้มาเข้าพวกกับฝั่งนี้อย่างเป็นทางการไงล่ะ”
คัมมอน! ทั้งสามที่แต่งงานแล้วทำท่ากวักมือเรียกเป็นเชิงล้อเลียน แต่ทาคิงาวะบอกปัดว่า “ไม่”
“ฉันไม่ได้อยากแต่งงานจนถึงขั้นต้องทำขนาดนั้น”
“งั้นก็อย่าเรียกคนอื่นว่าคนทรยศสิ”
ชิมาดะบ่นอุบ ทาคิงาวะทำหูทวนลม เหลือบมองไปทางโอคุโมโตะที่ยังคุย LINE กับภรรยาไม่เลิก
“ก็นะ ถ้าแต่งงานแล้ว ยังไงก็ต้องเอาใจใส่ภรรยาตามสมควรใช่ไหมล่ะ? แล้วพอมีลูกก็จะยิ่งมีข้อจำกัดมากขึ้นไปอีก”
มือโอคุโมโตะที่กำลังกดสมาร์ตโฟนพลันชะงักกึกอย่างกระดากใจ โคยามะยิ้มแห้งๆ รับว่า “ก็ทำนองนั้น” ตอนมารวมตัวกันคราวก่อน โคยามะไม่มาด้วยเหตุผลที่ว่า ‘ลูกคนโตไข้ขึ้น’
สมาชิกที่อยู่ที่นี่เป็นก๊วนเพื่อนเที่ยวที่รู้จักกันในชมรมท่องเที่ยวของมหาวิทยาลัย แต่พอรู้ตัวอีกทีก็หายหน้าไปทีละคนสองคน ตอนนี้คนที่ไปเที่ยวด้วยกันเลยเหลือแค่โทโมโตะกับทาคิงาวะ ทั้งกลุ่มจะได้เจอกันพร้อมหน้าพร้อมตาเฉพาะเวลานัดดื่มเหล้าในร้านอิซากายะหลายเดือนครั้งเท่านั้นเอง ถ้าแม้แต่เรื่องพวกนี้ยังกลายมาเป็น ‘เวลาอิสระ’ อันล้ำค่า เขาก็ไม่กล้าจินตนาการเลยว่าการแต่งงานจะจำกัดชีวิตตนมากเพียงใด
“แต่ว่านะ การแต่งงานมันก็เป็นแบบนั้นแหละ”
ชิมาดะพูดปนขำเฝื่อน สองคนที่เหลือพยักหน้าหงึกหงัก
“ในเมื่อทางโน้นเอาใจใส่พวกเรา เราก็ต้องเอาใจใส่เหมือนกันอยู่แล้ว”
“ต่างคนต่างเอาใจใส่ไงล่ะ”
เรื่องพรรค์นั้นไม่ต้องบอกก็เข้าใจ ถึงอย่างนั้นก็เถอะ ถ้าถามว่าตนพอจะแบ่งความเอาใจใส่หรือความอดทนไปให้ชีวิตแต่งงานแบบที่ว่านั่นได้หรือไม่ละก็
(ไม่มีทาง)
คิดไปก็เปล่าประโยชน์ ทาคิงาวะเหลือบมองทั้งสามที่พูดพล่ามกันไปตามใจชอบ
“กลับจากบริษัทมาเหนื่อยๆ แล้วยังต้องมาคอยเอาใจใส่คนอื่นที่บ้านอีก พวกนายเนี่ยสุดยอดเลยแฮะ ฉันล่ะนับถือ”
“ไม่สุดยอดหรอก ธรรมดาจะตาย”
“เพราะไม่ใช่คนอื่น แต่เป็นเมียกับลูกทั้งคน”
“ฉันทำไม่ได้แน่ๆ”
ทาคิงาวะโบกมือขวาหย็อยๆ
“งานน่ะยังว่าไปอย่าง เพราะถึงยังไงก็ต้องหาเงินมายังชีพในแต่ละวันอยู่แล้ว แต่ไอ้การโดนจำกัดด้วยเรื่องส่วนตัวนี่ไม่ไหว พอเลิกงานแล้วฉันก็อยากทำเรื่องที่ตัวเองอยากทำ ตอนที่ตัวเองอยากทำ ในแบบที่ตัวเองอยากทำมากกว่า อยากออกมาดื่มข้างนอกได้ง่ายๆ ตอนที่อยากดื่ม อยากกินบะหมี่ถ้วยพลางดูรายการวาไรตี้ บางทีก็อยากนอนที่โซฟาโดยไม่อาบน้ำ อยากถอดถุงเท้าหรือเสื้อเชิ้ตทิ้งขว้างแล้วค่อยเก็บทีหลังโดยไม่โดนบ่นจนหูชา อยากนุ่งกางเกงในตัวเดียวเดินไปเดินมาหลังอาบน้ำโดยไม่มีใครมายุ่มย่าม อยากออกไปที่ไหนสักแห่งในวันหยุด ไปกับคนที่ตัวเองโปรดปรานโดยไม่โดนแฟนหรือครอบครัวผูกมัดน่ะ”
อันที่จริงทั้งหมดนั้นล้วนเป็นพฤติกรรมของทาคิงาวะที่แฟนสาวในอดีตทั้งหลายไม่ปลื้ม
พอพูดรัวเร็วจบ ทีมแต่งงานแล้วทั้งสามก็มองมาด้วยแววตาเหมือนมองดูของน่าเสียดาย
“ก็พอเข้าใจอยู่นะ บอกตามตรงแบบนั้นแต่งงานไม่ไหวหรอก”
“ว่าแต่เผลอๆ คงไม่มีใครยอมมาเป็นเจ้าสาวแต่แรกด้วยซ้ำ”
“ในแง่หนึ่งแล้ว ตรงที่ไม่ได้คิดจะใช้ภรรยาทำทุกอย่างให้ก็ถือว่าไม่เลวร้ายเท่าไรล่ะนะ...”
เสียงถอนหายใจ เฮ้อ ดังประสานเสียง
ทาคิงาวะเผลอตอบรับว่า “ใช่ไหมล่ะ?” ทั้งที่รู้ตัวว่ากำลังโดนวิพากษ์วิจารณ์ อีกสามคนทำสีหน้าบ่งบอกว่า ‘หมอนี่มันช่วยไม่ได้จริงๆ’ ก่อนจะถอนหายใจอีกรอบ
“นายนี่มันให้ความสำคัญกับตัวเองเป็นที่หนึ่งเต็มที่ไม่เปลี่ยนเลยแฮะ”
“เปล่า ฉันแค่ยังไม่เจอคนที่ชอบมากจนอยากให้ความสำคัญมากกว่าตัวเองเฉยๆ”
“เออๆ”
“ที่สำคัญฉันแค่ไม่อยากโดนการแต่งงานผูกมัดเพียงเพราะอายุสามสิบ เพราะภาพลักษณ์จะดูไม่ดี หรือเพราะพ่อแม่บอกให้แต่ง มันแปลกขนาดนั้นเลยเรอะ? ฉันว่าอยู่ร่วมบ้านกับพวกนายต้องสนุกกว่าแหงๆ ไม่ต้องคอยเอาใจใส่กันด้วย”
พูดจบปุ๊บก็โดนโห่ใส่ทันที
“จะบ้าเรอะ ตรงนั้นแหละที่ต้องเอาใจใส่”
“สมมติต่อให้ยังโสด ไอ้การอยู่ร่วมบ้านกับทาคิงาวะนี่ ฉันขอผ่านดีกว่าว่ะ”
“ยิ่งทาคิรีบเตรียมใจอยู่เป็นโสดไปตลอดชีวิตได้เร็วเท่าไรน่าจะยิ่งมีผู้เสียหายน้อยลงนะ ขืนคนอย่างนายทะเล่อทะล่าไปดูตัวหรือทำกิจกรรมหาคู่ก็รังแต่จะเสียเวลาอีกฝ่ายเปล่าๆ”
เอือมระอาบ้างละ หัวเราะเยาะบ้างละ ปฏิกิริยาของทีมแต่งงานแล้วทั้งสามช่างเย็นชาสิ้นดี
ทาคิงาวะดื่มไฮบอลที่เหลืออยู่ก้นแก้วจนหมดก่อนจะกระแทกแก้วลงบนโต๊ะเสียงดัง ตึง!
“คนทรยศ จะทิ้งให้ฉันใช้ชีวิตตอนแก่อย่างว้าเหว่เรอะ!”
“ไอ้คนเอาแต่ใจ!”
“ว่าแต่จะให้อยู่บ้านเดียวกันกับนายไปจนตายน่ะ ฝันไปเถอะ!”
ทั้งสามฮาครืน
ฝ่ายโทโมโตะนั้นฟังอยู่เงียบๆ มาตลอด พอสบตากับทาคิงาวะ โทโมโตะก็หัวเราะเบาๆ ด้วยสีหน้าที่ดูไม่ออกสักนิดว่าคิดอะไรอยู่
“ฉันคิดว่าที่โทโอรุพูดมาก็มีเหตุผล”
...แบบนี้รู้สึกเหมือนโดนเห็นใจแปลกๆ ยังไงชอบกลแฮะ
“ใจอ่อน!”
“ใจอ่อนเกินไปแล้ว โทมจจัง อย่าตามใจหมอนี่สิ!”
“เพราะโทมจจังคอยตามใจแบบนั้นนั่นแหละ เจ้าทาคิถึงได้เหลิงขึ้นเรื่อยๆ!”
ทาคิงาวะขมวดคิ้ว เชิดหน้าหนีเสียงโห่ฮาของทีมแต่งงานแล้ว
(น่าสมเพชชะมัดเลยเรา)
ความจริงแล้วทาคิงาวะเองก็เข้าใจดี ผู้ชายที่เพิ่งย่างเข้าวัยสามสิบในวันนี้อย่างเขาแค่เมาแล้วอ่อนไหวไปหน่อย
ยุคนี้ผู้ชายวัยสามสิบกว่าครึ่งล้วนยังไม่แต่งงาน เขาจึงไม่จำเป็นต้องรีบร้อนตัดสินใจว่าจะแต่งหรือไม่แต่ง ถึงอย่างนั้น พอรู้ตัวอีกทีพนักงานระดับกลางในที่ทำงานหรือเพื่อนฝูงสมัยเรียนดันแต่งงานกันไปเกินครึ่งซะแล้ว เมื่อข้อเท็จจริงนี้มาปรากฏอยู่ตรงหน้า ทาคิงาวะจึงเผลอย้อนมองตัวเองและรู้สึกเหงาขึ้นมาโดยไม่มีเหตุผล ซึ่งบังเอิญดันตรงกับวันนี้พอดีเท่านั้นเอง ถึงจะเข้าใจ เขาก็ต้องการเชื้อเพลิงเพื่อให้ข้ามผ่านมันไปได้
“โทษนะครับ ขอไฮบอลแก้วหนึ่ง”
ทาคิงาวะเรียกพนักงานที่เดินผ่านมาแล้วสั่งเหล้าเพิ่ม ชิมาดะขมวดคิ้วท้วงว่า “เฮ้ นี่มันจะสี่ทุ่มแล้วนะ” สี่ทุ่มแล้วไง ต้องบอกว่า ‘เพิ่งสี่ทุ่ม’ สิถึงจะถูก
(คนมีครอบครัวก็เป็นซะอย่างนี้)
ทาคิงาวะเมินเฉยพลางแขวะในใจ
“โทโอรุ วันนี้จะเอาไงต่อ? ถ้าจะกลับบ้านก็เลิกดื่มได้แล้ว”
โทโมโตะที่อยู่ข้างๆ ยื่นแก้วน้ำเปล่ามาให้ ทาคิงาวะดันแก้วกลับคืนไป
“อย่าพูดจาน่าเบื่อเลยน่า นายมาอยู่ที่นี่ก็เพื่อเวลาที่ฉันเมาปลิ้นไม่ใช่รึไง”
“นั่นไง ลัทธิไจแอนต์นิยมของทาคิงาวะโผล่มาแล้ว”
ชิมาดะพึมพำสีหน้าเอือมๆ ส่วนโทโมโตะที่โดนบอกอย่างนั้นแค่ยิ้มนุ่มนวลโดยไม่โกรธอะไร
“ช่างเถอะ งั้นวันนี้ก็จะค้างบ้านฉันสินะ?”
“ก็ได้ ตามใจนายเถอะ”
ทาคิงาวะชอบดื่มเหล้า แต่คอไม่แข็ง เขาชอบตรงที่ดื่มประเดี๋ยวเดียวก็อารมณ์ดี แถมยังรู้สึกไร้เทียมทานเหมือนสมัยเด็กๆ ปัญหาคือถ้าดื่มมากไปจะง่วง และถ้าดื่มมากเกินไปอีก ความทรงจำจะปลิวหาย
ด้วยเหตุนั้นเวลาดื่มกับสมาชิกกลุ่มนี้ ทาคิงาวะเป็นต้องเมาหัวราน้ำจนไปจบที่บ้านโทโมโตะทุกครั้งไป เป็นอย่างนี้มาตั้งแต่สมัยเรียน มิหนำซ้ำเมื่อหนึ่งปีก่อนโทโมโตะยังย้ายมาอยู่บ้านเช่าใกล้ๆ ที่ทำงานของทาคิงาวะ ทาคิงาวะจึงไปใช้บ้านหลังนั้นเวลาเลิกงานดึกอยู่บ่อยๆ เพื่อความสะดวก
ทีมแต่งงานแล้วทำหน้าระอามองมาโดยพร้อมเพรียง
“ตามใจเถอะงั้นเรอะ ทาคิงาวะนั่นแหละที่ทำตามใจตัวเองอยู่”
“โทมจจังเป็นเมียนายรึไงหา”
“ไหนเมื่อกี้นายบอกว่านายเอาใจใส่เมียไง”
“ถ้าไปทำตัวแบบนี้กับภรรยาฉันนะ โดนตบคว่ำแน่ คิดแล้วหนาว”
แต่ละคนพูดเหมือนอยากบอกว่า ‘ไม่ไหวเล้ย’ เจ้าพวกนี้ยุ่งไม่เข้าเรื่องจริงๆ
ทันใดนั้นโอคุโมโตะก็เอ่ยว่า “ถ้างั้น” เหมือนเพิ่งนึกได้
“ทาคิ นายย้ายไปอยู่กับโทมจจังจริงๆ ซะเลยสิ”
น้ำเสียงนั้นฟังดูเหมือนมั่นใจว่าเป็นความคิดที่ดีเลิศ แต่ทีมแต่งงานแล้วสองคนที่เหลือแย้งขึ้นทันที
“บะ... โอคุโมโตะ เจ้าบ้านี่!”
“คิดจะให้โทมจจังจังดูแลทาคิงาวะมากไปกว่านี้อีกเรอะ!”
ความเกรี้ยวกราดที่คาดไม่ถึงของทั้งสองทำเอาโอคุโมโตะผงะร้อง “เอ๊ะ?” ก่อนจะพูดแก้ตัวตะกุกตะกัก
“ทาคิบอกว่าอยากอยู่กับพวกเราใช่ไหมล่ะ? ทีนี้คนที่ตรงตามเงื่อนไข ‘ถ้าสามสิบแล้วยังโสด’ ก็เหลือแค่โทโมโตะคนเดียว แถมการแชร์บ้านอยู่กับเพื่อนก็น่าจะพอใช้เป็นข้ออ้างไม่แต่งงานได้ด้วยนา?”
“เจ้าบ้าเอ๊ย นั่นมันแค่เรื่องล้อเล่นสมัยเรียนเฉยๆ! ห้ามใช้โทมจจังเป็นเครื่องสังเวยนะ!”
“ขืนมีคนอย่างทาคิงาวะไปอยู่ด้วยคงไม่ได้มีความรักหรือแต่งงานกันพอดี!”
“เฮ้ เรื่องนั้นฉันเองก็เหมือนกันแหละน่า”
ทาคิงาวะลองสอดปาก แต่โคยามะตวาดกลับว่า “เหมือนตรงไหน!”
“อย่าทึกทักว่าคนนิสัยไจแอนต์อย่างนายกับโทโมโตะเหมือนกันสิ โทโมโตะทั้งหล่อ บุคลิกดี มีความพยายาม แต่เพราะอยากเป็นนักวิจัยเลยต้องลำบากตรากตรำ ในที่สุดก็คว้าปริญญาเอกสำเร็จ ชีวิตหมอนี่กำลังจะเริ่มต้นแท้ๆ ใครจะปล่อยให้คนอย่างนายไปทำลายชีวิตล่ะ!”
“ใจร้าย!”
แต่ทาคิงาวะเป็นประเภทยิ่งโดนว่าอย่างนั้นกลับยิ่งดื้อดึงอยากทำ เขาหันไปหาชายที่นั่งข้างๆ
“โทโมโตะ นายว่าไง?”
ถึงจะถามพอเป็นพิธี ทาคิงาวะก็ไม่ได้คำนึงถึงความเป็นไปได้ที่อีกฝ่ายจะตอบว่า ‘ไม่’ แม้แต่น้อย โทโมโตะไม่มีวันพูดอย่างนั้นเด็ดขาด ตลอดสิบสองปีที่ผ่านมา ชายคนนี้ไม่เคยต่อต้านทาคิงาวะเลยสักครั้ง เขาไม่มีทางปฏิเสธคำพูดของทาคิงาวะอยู่แล้ว
เป็นอย่างที่คิดไม่มีผิด โทโมโตะหัวเราะขบขันแล้วพยักหน้าอย่างง่ายดาย
“เรื่องที่โทโอรุจะมาอยู่บ้านฉันน่ะเหรอ? ฉันไม่มีปัญหาหรอก”
“เจ้าตัวว่างั้นแน่ะ”
ทาคิงาวะมองไปอีกฝั่งเป็นเชิงเยาะว่า เห็นไหมล่ะพวกแก ทีมแต่งงานแล้วโวยวายว่า “จ๊าก!” “หยุดนะ!” “ขอโทษนะ โทมจจัง คิดใหม่อีกทีเถอะ!” สภาพเหมือนกรีดร้องอยู่ในนรก ฝ่ายเจ้าตัวอย่างโทโมโตะเอ่ยว่า “ไม่เป็นไร” พลางหัวเราะอย่างสบายอารมณ์
“บ้านฉันมีห้องเหลือ แถมอยู่ใกล้ที่ทำงานโทโอรุด้วย เหมาะเลยนะ ที่สำคัญทุกวันคงจะสนุกดี”
“ฉันก็ว่างั้น”
ทาคิงาวะตอบ แต่ถึงจะพอใจกับคำตอบที่เป็นไปตามคาด เขาก็อดคิดในใจไม่ได้
(พิลึกคน)
ถ้าอีกฝ่ายเห็นพ้องกับคำพูดของพวกโคยามะก็น่าหงุดหงิด แต่สิ่งที่ทั้งสามพูดนั้นใช่ว่าจะผิดไปซะทั้งหมด บอกตามตรง แม้แต่ทาคิงาวะยังไม่อยากอยู่ร่วมบ้านกับคนเอาแต่ใจอย่างตัวเองเลย ทั้งที่รู้อยู่เต็มอกว่าจะโดนใช้งานต่างๆ นานา โทโมโตะกลับยังคงยิ้มด้วยสีหน้าที่อ่านไม่ออกว่าคิดอะไรอยู่ตามเคย
พอมานึกดู โทโมโตะเป็นอย่างนี้มาตั้งแต่สมัยเรียนแล้ว
ขณะที่หางตาตรึงอยู่ที่รอยยิ้มของอีกฝ่าย หัวสมองที่เมาจนล่องลอยของทาคิงาวะก็หวนนึกถึงสมัยเรียน... ตอนที่เพิ่งรู้จักกับโทโมโตะ

ทาคิงาวะรู้จักกับสมาชิกกลุ่มนี้ตอนเพิ่งเข้ามหาวิทยาลัยใหม่ๆ ในงานเลี้ยงต้อนรับนักศึกษาใหม่ของชมรมท่องเที่ยว เขาไปร่วมงานนี้เพราะโดนชักชวน
ตอนนั้นทาคิงาวะยังไม่ตัดสินใจแน่ชัดว่าจะเข้าชมรมหรือไม่ เขาแค่ไปร่วมวงด้วยเพราะเห็นว่าจะได้กินดื่มในราคาถูกๆ เท่านั้นเอง และสิ่งที่ดึงดูดความสนใจของเขาทั้งในแง่ดีและแง่ร้ายก็คือการแนะนำตัวของโทโมโตะที่นั่งฝั่งตรงข้ามวันนั้น
“โทโมโตะ เรียวทาโร่ครับ เรียนสาขาภาษาและวรรณคดีญี่ปุ่น คณะอักษรศาสตร์ นึกอยากไปเที่ยววันไหนก็ไปวันนั้น นุ่งชุดไหนไปชุดนั้น ที่ผ่านมาเที่ยวคนเดียวมาตลอด ผมไปได้แทบทุกที่ ชวนผมได้เลยไม่ต้องเกรงใจ งานอดิเรกอื่นๆ นอกจากท่องเที่ยวคืออ่านหนังสือ เดือนนี้ผมกำลังจัดกิจกรรมเดือนแห่งการอ่านอิโนะอุเอะ ยาสุชิ กับตัวเองคนเดียว ฝากเนื้อฝากตัวด้วยนะครับ”
เนื้อหาครึ่งหลังทำให้ทาคิงาวะคิดว่า มีคนพิลึกๆ อยู่ด้วยแฮะ และเงยหน้าจากอาหารราคาถูกของร้านอิซากายะขึ้นมาโยนสายตาประเมินค่าใส่อีกฝ่ายอย่างไม่เกรงใจ
( “นึกอยากไปเที่ยววันไหนก็ไปวันนั้น นุ่งชุดไหนไปชุดนั้น” งั้นเหรอ?)
ถ้าคนพูดเป็นคนท่าทางพิลึกหรือผู้ชายหน้าตาดูเป็นเสรีชน ทาคิงาวะอาจไม่คิดอะไรก็ได้ แต่โทโมโตะที่โค้งคำนับและนั่งลงตรงหน้าเป็นคนหล่อสุขุม มิหนำซ้ำยังสวมเสื้อผ้าราล์ฟ ลอเรนหัวจรดเท้าอีกต่างหาก
(อะไรกัน แค่คุณชายแกล้งพูดทำเท่ไปงั้นๆ หรอกเรอะ?)
ความรู้สึกต่อต้านคุกรุ่น แฝงด้วยความคิดที่ว่าถ้าเป็นความจริงคงน่าสนุก ในฐานะผู้ชายคนหนึ่ง ทาคิงาวะเองก็หลงใหลการท่องเที่ยวคนเดียวอย่างอิสระแบบที่โทโมโตะพูดถึงอยู่เหมือนกัน
พอโทโมโตะนั่งลง ทาคิงาวะก็ลุกขึ้นแทน เขายิ้มแย้มโปรยเสน่ห์ ลืมสนิทว่าตั้งใจจะแนะนำตัวส่งเดชแค่พอรอดพ้นไปจากสถานการณ์นี้ได้เฉยๆ นิสัยไม่ซื่อตรงของเขาไม่เคยเปลี่ยนมาตั้งแต่ตอนนั้นแล้ว
“ทาคิงาวะ โทโอรุ สาขาเศรษฐศาสตร์ คณะเศรษฐศาสตร์ ชอบท่องเที่ยว แต่ยังเที่ยวไม่คล่องเท่าไร ถ้าเที่ยวแล้วผิดแผนไปบ้างก็ไม่เป็นไร แต่ที่แน่ๆ ผมจะหาที่พักกับรถไฟก่อนแล้วค่อยออกเดินทาง ชมรมสมัยมัธยมคือเทนนิส ฝากตัวด้วยนะครับ”
ทาคิงาวะคำนับก่อนจะนั่งลงพร้อมๆ กับที่ผู้ชายที่นั่งเยื้องฝั่งตรงข้ามลุกขึ้น โทโมโตะที่นั่งตรงหน้าปรบมือให้ด้วยสีหน้ายิ้มแย้มทั้งๆ ที่เขาจงใจแนะนำตัวกระทบกระเทียบอีกฝ่าย ทาคิงาวะขมวดคิ้วเล็กน้อย
“ทาคิงาวะคุงบอกว่าเที่ยวไม่คล่อง แต่ก็ชอบเที่ยวใช่ไหม? เคยไปไหนมาบ้าง?”
เขาตกใจเล็กน้อยเมื่ออีกฝ่ายชวนคุย โทโมโตะดูไม่เหมือนคนอัธยาศัยดี แต่สงสัยจะคิดผิด ถ้าคำพูดแนะนำตัวของหมอนี่เป็นความจริง คนถามกับคนตอบก็ควรจะสลับกันแล้วมั้ง ทาคิงาวะคิด แต่ก็ยอมตอบไปตามตรง
“เกียวโตบ้าง นาราบ้าง USJ บ้าง... บ้านย่าฉันอยู่คันไซ”
“เห คันไซเหรอ คราวก่อนฉันเพิ่งไปเที่ยวจังหวัดชิงะมา ขี่จักรยานรอบทะเลสาบบิวะหนึ่งรอบด้วยนะ”
คำว่า ขี่จักรยานรอบทะเลสาบบิวะหนึ่งรอบ ทำให้ทาคิงาวะเผลอมีปฏิกิริยา
“อ้อ บิวะอิจิ ? ฉันก็เคย สมัย ม.ปลาย ปีสอง”
“อ๊ะ จริงเหรอ?”
จู่ๆ ก็คุยถูกคอในเรื่องที่ไม่คาดฝัน นักศึกษาใหม่รายอื่นที่นั่งใกล้ๆ ส่งสายตามองมาอย่างสนอกสนใจ
ชายร่างใหญ่ที่แนะนำตัวว่าชื่อโคยามะเอ่ยแทรกขึ้นจากข้างๆ ทาคิงาวะ
“ขี่จักรยานรอบทะเลสาบบิวะหนึ่งรอบ? ของแบบนั้นทำได้ด้วยเหรอ”
“ได้สิ ฉันดูรายการวาไรตี้ในทีวีแล้วอยากลองทำดูบ้างน่ะ”
“ฉันก็คุ้นๆ เหมือนเคยดูรายการนั้น”
“ฉันด้วยๆ”
โอคุโมโตะกับชิมาดะที่นั่งประกบโทโมโตะพากันเข้าร่วมวงสนทนา
“ทาคิงาวะคุงใช้จักรยานอะไร?”
โทโมโตะถาม “เรียกชื่อเฉยๆ หรือทาคิก็ได้” ทาคิงาวะออกตัวก่อนจะตอบ
“ฉันใช้จักรยานไฮบริด”
“งั้นวันเดียวก็วนรอบแล้วสินะ? ฉันใช้จักรยานจ่ายตลาด ขี่วันเดียวไม่รอบเลยต้องนอนข้างทาง”
“นอนข้างทาง”
สมาชิกที่เข้ามาร่วมวงฮาครืน
“นายเนี่ยเที่ยวตามยถากรรมจริงๆ แฮะ!”
“ไม่ใช่แค่เก๊กเท่เฉยๆ หรอกเรอะเนี่ย”
“ดูไม่เหมือนเป็นคนอย่างนั้นเลยน้า”
“ที่ว่าดูไม่เป็นอย่างนั้นน่ะ หมายถึงตรงไหน?”
โทโมโตะทำหน้าบ่งบอกว่าไม่เข้าใจจริงๆ
(หมอนี่เป็นพวกซื่อบื้อโดยธรรมชาติเรอะ)
ทาคิงาวะโพล่งขึ้นด้วยอารมณ์มุ่งร้ายนิดๆ
“เป็นหนุ่มหล่อแท้ๆ น่าจะรู้ตัวไม่ใช่รึไง”
“หนุ่มหล่อ หมายถึงฉันเหรอ? คำนี้มีไว้เรียกคนแบบทาคิงา... โทโอรุมากกว่ามั้ง?”
“หืม ใช่เหรอ?”
เขาพูดต่อไปโดยไม่ปฏิเสธ
“แต่โทโมโตะก็เป็นหนุ่มหล่อมากพอเหมือนกันแหละ ถ้าเข้าร้านตัดผมก่อนเปิดเทอมยังว่าไปอย่าง แต่ใส่ชุดราล์ฟ ลอเรนหัวจรดเท้าแบบนั้นน่ะ ดูยังไงก็เป็นคุณชายชัดๆ”
ทว่าโทโมโตะกลับก้มลงมองชุดตัวเองคล้ายจะถามว่า ‘ชุดนี้น่ะเหรอ?’ ด้วยท่าทางไม่เข้าใจตามเคย
“แม่ฉันบอกว่าเข้ามหา’ลัยทั้งทีหัดแต่งตัวให้มันดีๆ หน่อย แล้วก็จัดเสื้อผ้าสำหรับหนึ่งอาทิตย์มายัดไว้ในตู้ฉันเสร็จสรรพ ฉันแค่หยิบมาใส่เฉยๆ”
“อะไรกัน เป็นคุณชายจริงๆ ด้วย”
“ฉันไม่มีเงินหรอกนะ ถ้ามีเงินซื้อเสื้อผ้า ฉันอยากไปเที่ยวมากกว่า”
“เพราะงั้นเลยขี่จักรยานจ่ายตลาดรอบทะเลสาบบิวะหนึ่งรอบแล้วนอนข้างทางเรอะ”
พวกผู้ชายรอบข้างฮาครืนอีกครั้ง
ทุกคนกำลังอารมณ์ดีเพราะดื่มอะไรสักอย่างเข้าไป แม้จะโดนสั่งพอเป็นพิธีว่า ‘อายุยังไม่ถึงยี่สิบห้ามดื่มเหล้า’ ทาคิงาวะเองก็เป็นหนึ่งในนั้น “เที่ยวแบบนั้นสนุกดีเนอะ?” โทโมโตะถามยิ้มๆ “ก็นะ” ทาคิงาวะตอบ
“ปกติฉันไม่ได้ขี่จักรยานเยอะขนาดนั้น เล่นเอาก้นฉันตายไปเลย”
“ฉันเข้าใจ แถมยังปวดกล้ามเนื้อจนลุกไม่ขึ้นด้วย”
“ฉันก็เหมือนกัน”
ทาคิงาวะเผลอครื้นเครงจนคิดง่ายๆ แบบคนเมาว่า ‘หมอนี่อาจเป็นคนดีก็ได้’ เพราะเหตุนั้นพอโดนถามว่า “คราวหน้าฉันว่าจะไปขี่จักรยานเที่ยวเกาะอาวาจิ ไปด้วยกันไหม?” เขาจึงลืมตัวตอบว่า “ไปสิ” ทันที
“เข้าท่าแฮะ ฉันไปด้วยคนได้ไหม?”
“ฉันด้วย”
“งั้นฉันไปด้วย”
พวกโคยามะขอร่วมด้วย ทาคิงาวะรับคำว่า “เข้าใจแล้ว”
“ฉันจะสรุปวันให้เอง บอกเบอร์มือถือกับอีเมลแอดเดรสมาสิ”
ทั้งห้าแลกที่อยู่ติดต่อกันตรงนั้น ก่อนจะไปขี่จักรยานเที่ยวเกาะอาวาจิด้วยกันในช่วงโกลเดินวีก
คราวนั้นโทโมโตะก็ขี่จักรยานจ่ายตลาดเช่นเคย มิหนำซ้ำยังเป็นจักรยานของร้านในท้องถิ่น ตอนลงจากรถไฟ คุณลุงร้านจักรยานท้องถิ่นที่รู้จักกันทางอินเทอร์เน็ตรออยู่พร้อมจักรยานจ่ายตลาดซอมซ่อคันหนึ่ง ทาคิงาวะยังไม่ลืมความรู้สึกในตอนนั้นมาจนบัดนี้ ไม่รู้ทำไมเขาถึงรู้สึกว่า ‘แพ้แล้ว’ เหตุการณ์นั้นเหลือเชื่อเกินไปจนเขาหัวเราะลั่นอย่างไม่เกรงใจ ถึงอย่างนั้นโทโมโตะก็ยังเอาแต่ยิ้มแย้มแจ่มใส
น่าประหลาดใจที่ถึงจะเป็นซะอย่างนั้น โทโมโตะก็ให้ความร่วมมืออย่างดี ทริปนั้นทาคิงาวะเป็นคนวางกำหนดการและหาข้อมูล ทั้งเส้นทางขี่จักรยาน จุดแวะพัก หรือร้านอาหารทะเลอร่อยๆ โทโมโตะไม่ปริปากบ่นอะไรเลยแม้แต่คำเดียว ความจริงแล้วทาคิงาวะคิดว่าการเที่ยวไปตามยถากรรมแบบโทโมโตะนั้นเท่กว่าเป็นไหนๆ แถมยังนึกชิงชังความใจเสาะของตัวเองที่ทนนิ่งเฉยไม่หาข้อมูลไม่ได้อีกต่างหาก แต่โทโมโตะกลับเอ่ยปากชมทักษะหาข้อมูลและวางแผนของทาคิงาวะเสียยกใหญ่ สำหรับทาคิงาวะที่ยังเป็นแค่เด็กวัยรุ่น คำชมนั้นชวนให้เบิกบานใจอย่างยิ่ง ตอนกลับจากทริปนั้น พออีกฝ่ายบอกกลั้วหัวเราะว่า “สนุกจัง” อย่างสบายใจไร้กังวล ทาคิงาวะจึงพลอยตอบว่า “ฉันก็เหมือนกัน” ไปด้วย
ตอนนั้นเขาเป็นแค่เด็กวัยสิบปลายๆ แม้จะตื่นตาตื่นใจกับการใช้ชีวิตตามลำพัง เขาก็เป็นเด็กที่เคยใช้ชีวิตที่บ้านเดิมโดยมีครอบครัวห้อมล้อมมาตลอดจนถึงหนึ่งเดือนก่อน บางครั้งชั่วขณะที่กลับมาถึงอะพาร์ตเมนต์หรือปิดทีวีก่อนนอนก็ชวนให้รู้สึกเหงานิดหน่อย แต่เขาไม่เคยเอ่ยปากเรื่องนี้ออกมา
หลังจากนั้นทั้งห้าก็ค่อยๆ ขยับจากห้องชมรม กลายเป็นไปมาหาสู่บ้านกันและกันบ่อยขึ้น พวกเขาเดินทางไปด้วยกันทั้งทางรถไฟ จักรยาน เรือ และเดินเท้า สิ่งสำคัญของการท่องเที่ยวแบบประหยัดสไตล์นักศึกษาคือต้องใช้เวลาอยู่ร่วมกันนานๆ ได้โดยไม่รู้สึกทรมาน ทั้งห้าเข้ากันได้ดีเยี่ยมในจุดนี้ ในบรรดาสมาชิกกลุ่มนี้ เมื่อไรที่ทาคิงาวะอยากลองไปเที่ยวแต่ไม่กล้าไปคนเดียว โทโมโตะจะเป็นคนที่คอยตามมาเป็นเพื่อนด้วยความอยากรู้อยากเห็นเสมอ ไม่ว่าจะเป็นทริปแสวงบุญ 88 วัดบนเกาะชิโกกุ ทริปดูแสงเหนือในทะเลโอคอตสค์ หรือทริปปั่นจักรยานที่ฮอกไกโด ฝ่ายโทโมโตะก็ชวนไปทุ่งสะวันนาที่แอฟริกาเอย ไปดูฝูงเพนกวินที่ชายฝั่งชิลีเอย ถ้าโทโมโตะไม่ชวน เขาคงไม่มีวันถ่อไปดูแหงๆ
ทั้งที่รู้ว่าทาคิงาวะมีนิสัยจองหองไม่เกรงใจใคร โทโมโตะกลับชอบมาชักชวนบ่อยๆ โดยไม่เคยทำหน้ารังเกียจ ฝ่ายทาคิงาวะที่โดนชวนก็ไม่เคยปฏิเสธ โทโมโตะยอมผ่อนปรนไม่ถือสาเรื่องเล็กๆ น้อยๆ อยู่เสมอ ดังนั้นหากชายคนนี้คิดจะเปิดประตูโลกใบใหม่อันโลดโผนหน่อยๆ การตามติดไปเป็นเพื่อนจึงย่อมเป็นหน้าที่ของทาคิงาวะ ความคิดอันเหลือเชื่อของโทโมโตะมักทำให้ทาคิงาวะนิ่วหน้าร้อง “หา!?” หรือไม่ก็ระเบิดหัวเราะบอกว่า “นายบ้ารึเปล่า!” แต่สุดท้ายพอโดนชวนว่า “น่าสนใจใช่ไหมล่ะ?” เขาเป็นต้องต้านทานไม่ได้ทุกครั้งไป





++++++++++++++++++++++++++++++++++++++
โทโอรุ มนุษย์เงินเดือนหัวกะทิผู้ทำงานในธนาคารยักษ์ใหญ่เป็นจอมยโสโอหังเอาแต่ใจจนเพื่อนฝูงตั้งฉายาให้ว่า ไจแอนต์รูปงาม ก๊วนเพื่อนสนิทของเขาเคยสัญญากันว่า “ถ้าอายุเกินสามสิบแล้วยังโสด พวกเรามาอยู่ด้วยกันเถอะ” แต่สุดท้ายคนที่เหลือกลับมีแค่โทโอรุกับโทโมโตะผู้มีคุณสมบัติเลิศยิ่งกว่าเขาซะอีก เสียอย่างเดียวตรงที่เป็นนักศึกษาผู้ยากไร้ แต่แล้ววันหนึ่งโทโมโตะพร้อมด้วยพนักงานบริษัทย้ายบ้านก็โผล่มาที่แมนชันของโทโอรุและบอกว่า “ฉันมารับ” ซะงั้น...!? ด้วยเหตุนี้การใช้ชีวิตร่วมกันในบ้านเดี่ยวซอมซ่อจึงเปิดฉากขึ้น และโทโมโตะก็ขยันทุ่มเทเอาใจซะจนโทโอรุเสียคนมากขึ้นเรื่อยๆ

รูปภาพ

ตอบกลับโพส

ย้อนกลับไปยัง “Bongkoch Books News & Activities”