New Release BLY แปล : BIRTHDAY ปลายทางของความฝัน

อัพเดทข่าวบงกชบุ๊คส์ ความเคลื่อนไหว และกิจกรรมพิเศษ ตลอดจนร่วมสนุกชิงรางวัลพร้อมของรางวัลมากมาย

Moderator: P'Bly, Gals, พี่บี

ตอบกลับโพส
Gals
โพสต์: 1068
ลงทะเบียนเมื่อ: ศุกร์ 13 ก.พ. 2009 3:47 pm

New Release BLY แปล : BIRTHDAY ปลายทางของความฝัน

โพสต์ โดย Gals »

BIRTHDAY


เจ็บ
เจ็บ เจ็บ เจ็บ
ทั้งรวดร้าว ทรมาน หยาดน้ำตาพรั่งพรูไม่ขาดสาย ขณะที่เจ็บขาจนกอดเข่าร้องไห้ ก็ได้ยินเสียงเรียก โทรุ
โทรุ ไม่เป็นไรนะ?
คนที่กำลังมองมาทางนี้อย่างเป็นห่วง ก็คือเด็กหนุ่มตัวสูงเท่าโทรุ
...เลือดยังไหลอยู่ไหม?
โทรุเหลือบมองผ้าพันแผลที่พันไว้ตรงเท้าขวา ส่วนปลายของมันแห้งกรัง สีเปลี่ยนจากน้ำตาลเป็นดำไปแล้ว
...ไม่ไหลแล้ว
เด็กหนุ่มนั่งยองตรงหน้าโทรุ แตะผ้าพันแผลเบาๆ
...ไม่ต้องกลัวนะ ไม่เป็นไร ฉันจะปกป้องโทรุเอง
น้ำเสียงอ่อนโยนกับสัมผัสจากฝ่ามืออันอบอุ่นช่วยให้อารมณ์ผ่อนคลาย น้ำตารินไหลออกมาอีกครั้ง
...ขอบใจ ฉันยังสู้ไหวเพราะมีมิสึกิอยู่ด้วยนี่แหละ
...บ้ารึเปล่า
พลันได้ยินเสียงผู้หญิงกล่าวคล้ายทิ่มแทงดังขึ้นจากมุมห้อง โทรุสะดุ้งเฮือก กวาดตามองไปรอบๆ ก่อนพบกับเงาดำพาดลงมาในห้อง
...เด็กน่าเบื่อ
...ไร้ประโยชน์
...น่าขนลุก
มีทั้งเสียงหญิงสาวและคนชรากล่าวเย้ยหยัน ประชดประชัน กระหน่ำโจมตีมาจากทุกทิศทุกทาง โทรุใช้สองมือกดปิดหูไว้
“หุบปาก!”
มิสึกิตวาดลั่น
“หุบปาก! หุบปาก! หุบปาก!”
มิสึกิที่คอยปลอบโยนให้กำลังใจด้วยสายตาอาทรกำลังเดือดดาลจัดคล้ายสัตว์ร้าย นัยน์ตาคมปลาบเป็นประกาย แผดเสียงดังลั่นจนเส้นผมลุกชัน เห็นดังนั้นแล้วโทรุก็สั่นไปทั้งตัว
เสียงเยาะเย้ยถากถางหยุดไปแล้ว แต่มิสึกิยังคงกระทืบเท้าตะโกน “หุบปาก หุบปาก” ต่อ
“มิสึกิ มิสึกิ พอได้แล้วล่ะ”
น้ำตาเอ่อท้นขึ้นมาอีกครั้งเพราะความกลัว มิสึกิชะงัก มองไปทางโทรุ
“ขอโทษนะ โทรุ”
มิสึกิคุกเข่าเบื้องหน้าโทรุ ยื่นมือสัมผัสแก้ม กระซิบด้วยน้ำเสียงเด็ดเดี่ยว ฉันจะปกป้องโทรุให้ได้
...มีฉันอยู่ด้วย ไม่เป็นไร
โทรุพยักหน้าตอบอืม ก่อนที่มิสึกิจะโอบกอดเขาไว้อย่างแผ่วเบา

1

ยูริฮาระ โทรุเตะขาตั้งจักรยานขึ้น คาขาไว้ที่บันไดรถจักรยาน หย่อนก้นนั่งบนอานเบาๆ ใช้ขาข้างหนึ่งประคองจักรยานไว้ไม่ให้ล้ม จากนั้นค่อยล้วงถุงมือกันลื่นออกมาจากกระเป๋าเสื้อกันหนาว เมื่อวานผู้อำนวยการโมริบอกแกมหยอกว่า “น่าจะเหมาะกับนายดี” แล้วให้เขามา
ถุงมือคู่ปกติที่ใช้ทำงานทำจากฝ้ายสีขาว ด้านฝ่ามือมียางกันลื่นสีเหลืองตะปุ่มตะป่ำ ส่วนถุงมือที่เพิ่งได้มาเป็นสีดำ ยางกันลื่นเป็นสีกึ่งกลางระหว่างสีพีชกับสีเนื้อ แถมยังเป็นก้อนอวบนูน พูดง่ายๆ คือเลียนแบบอุ้งเท้าแมวมานั่นเอง
“เมี้ยว”
หลังสวมถุงมือกันลื่นคู่นั้นแทนถุงมือธรรมดา ยูริฮาระร้องเมี้ยวออกมาเบาๆ พลางหัวเราะฮึๆ ต่อด้วยดึงปลอกคอกันหนาวขึ้นมาถึงริมฝีปาก เข้าเดือนมีนาคม อากาศหนาวบรรเทาไปบ้างแล้วก็จริง แต่กลางดึกตีสามถือเป็นช่วงหนาวเยือกที่สุดของวัน แสงไฟสลัวขาวซีดริมทางส่องให้เห็นอะพาร์ตเมนต์สร้างด้วยไม้ ไม่ก็บ้านคนเรียงรายแน่นขนัดในย่านที่อยู่อาศัยแบบรางๆ
“เอาละ”
จัดแจงใส่อุปกรณ์กันหนาวเสร็จยูริฮาระก็เริ่มปั่นจักรยานไปเรื่อยๆ เมื่อพ้นย่านอะพาร์ตเมนต์ค่อยเร่งความเร็ว ทุกครั้งที่ออกแรงปั่นบันไดรถจักรยาน ล้อจะส่งเสียงเอี๊ยดอ๊าดรบกวนโสตประสาท ต้องหยอดน้ำมันแล้วสิ ถึงจะคิดอยู่ทุกวัน แต่ก็ลืมทุกวันเช่นกัน
พ้นถนนเส้นเล็กย่านที่อยู่อาศัย จะเจอถนนหลวงที่รถบรรทุกขนาดใหญ่วิ่งกันขวักไขว่ แสงไฟสีส้มกะพริบเป็นจุดๆ ทั้งที่เห็นภาพนี้อยู่ทุกวัน แต่ขณะปั่นจักรยานก็ยังรู้สึกอัศจรรย์ใจราวกับหลุดเข้าไปในโลก SF
แม้จะเกือบโดนรถพ่วงหาเรื่อง แต่พอปั่นมาได้ราวสิบนาทีก็เริ่มมองเห็นที่ทำงาน ไฟสำนักงานขายหนังสือพิมพ์ส่องสว่างอย่างโดดเดี่ยวอยู่ริมถนนเลียบทางหลวง มีรถบรรทุกจอดเทียบอยู่ข้างๆ ขณะออกแรงปั่นจักรยานยูริฮาระคิดในใจว่าวันนี้มาถึงค่อนข้างเร็ว
“อรุณสวัสดิ์ครับ”
หลังเอาจักรยานไปจอดตรงลานจอดหลังสำนักงานขาย ยูริฮาระก็รีบวิ่งวนมาด้านหน้าร้าน เป็นไปตามคาด ผู้อำนวยการโมริกำลังถ่ายของลงจากรถบรรทุกอยู่คนเดียว
“โอ๊ะ อรุณสวัสดิ์ วันนี้ก็มาเร็วอีกแล้วนะ”
ถึงเคยโดนอิชิมิยะ เพื่อนร่วมงานรุ่นเดียวกันแซวว่ามาถึงเร็วไปมีแต่จะโดนใช้ให้ไปช่วยขนของไม่ก็ทำงานจุกจิกเปล่าๆ แต่ยูริฮาระก็ยังชอบงานในสำนักงานขาย ระหว่างทำงานไปเงียบๆ โมริสังเกตเห็นว่ายูริฮาระที่มาช่วยใส่ถุงมืออุ้งเท้าแมวด้วยก็อดอมยิ้มไม่ได้ เมื่อขนกองหนังสือพิมพ์กับแผ่นพับโฆษณาเสร็จ พนักงานส่งคนอื่นๆ ก็ค่อยๆ ทยอยเข้าร้านมา
“อรุณสวัสดิ์ครับ”
“อืม อรุณสวัสดิ์”
“หวัดดี”
เมื่อยูริฮาระกล่าวทัก คนอื่นๆ ก็ทักตอบ แม้สีหน้าจะยังง่วงเหงาหาวนอนอยู่ก็ตาม
ยูริฮาระเข้ามาทำงานที่สำนักงานขายแห่งนี้เกือบหนึ่งปีเต็มแล้ว ที่ผ่านมาเขาย้ายไปตามสำนักงานขายหนังสือพิมพ์เรื่อยๆ แต่เพิ่งเคยเจอสำนักงานขายที่อยู่แล้วสบายใจขนาดนี้เป็นครั้งแรก
เห็นว่าสมัยหนุ่มๆ ผู้อำนวยการโมริเคยทำงานกินเงินเดือนอยู่ในองค์กรขนาดใหญ่ จึงเขียนสวัสดิการหรือบทลงโทษต่างๆ ไว้อย่างชัดเจนและปฏิบัติตามอย่างเคร่งครัด คอยดูแลเอาใจใส่การทำงานของพวกพนักงานส่งเป็นอย่างดี ปัญหาทุจริตหรือข้อผิดพลาดต่างๆ ที่เคยเจอจนเป็นเรื่องปกติในสำนักงานขายก่อนๆ จึงไม่เคยเกิดขึ้นที่นี่เลย ไม่มีการกลั่นแกล้งกันลับหลังด้วย
ยูริฮาระคิดว่าตัวเองทำตัวปกติมาตลอด แต่ไม่รู้ทำไมไม่ว่าไปที่ไหนก็กลายเป็นสนามอารมณ์ ไม่ก็โดนเหม็นขี้หน้าอยู่เรื่อย ถึงจะชินชา ไม่รู้สึกเจ็บปวดกับเรื่องเล็กน้อย แต่เขาก็ดีใจที่ทักทายไปแล้วได้รับคำตอบ เพราะเมื่อก่อนทำไปก็โดนเมินสนิทประจำ
“อรุณสวัสดิ์คร้าบ”
ตอนที่ถาดของเครื่องพับใบปลิวโฆษณาว่างเกือบหมด ก็ปรากฏร่างของชายหนุ่มผมทองเดินหาวหวอดเข้ามาในสำนักงานขาย อิชิมิยะอายุยี่สิบเก้าปี อ่อนกว่ายูริฮาระสี่ปี เด็กที่สุดในสำนักงานขายแห่งนี้ เขาสังกัดอยู่ ‘คณะละครขนาดเล็ก’ ยูริฮาระเคยช่วยซื้อตั๋วอยู่หลายครั้งเพราะถูกรบเร้า แต่ไม่เคยไปดู ‘การแสดง’ ของอิชิมิยะเลยสักครั้ง เพราะไม่กล้าไปสถานที่ที่ไม่รู้จักคนเดียว
“ยูริ วันนี้ก็มาเป็นคนแรกอีกแล้วเหรอ?”
อิชิมิยะมองยูริฮาระที่กำลังบังคับเครื่องพับกระดาษอยู่แล้วเอ่ยทัก
“นายก็หัดมาให้เร็วกว่านี้บ้าง”
โมริตักเตือนเบาๆ อิชิมิยะตอบ “คร้าบ ขอโทษครับ” พอเป็นพิธีพลางเดินเข้าไปหายูริฮาระ
“อรุณสวัสดิ์”
“อรุณสวัสดิ์ครับ”
ถึงจะเคยโดนบอกว่า ฉันอายุน้อยกว่า เลิกใช้คำสุภาพด้วยสักที แต่ยูริฮาระให้เหตุผลว่า “เพราะผมเข้ามาทำงานทีหลัง” ทว่ากับนักศึกษาพนักงานพาร์ตไทม์เซ็นสัญญาแค่ครึ่งปีที่เข้ามาหลังจากนั้น เขาก็ยังพูดจาสุภาพด้วยอยู่ดี
ยูริฮาระกลัวที่จะพูดกับใครสักคนอย่างเท่าเทียม ส่วนหนึ่งเป็นเพราะเผลอคาดเดาอารมณ์ของคู่สนทนาโดยไม่รู้ตัว ถึงจะรู้ว่าบางครั้งก็ได้ผลตรงข้าม ยิ่งทำให้อีกฝ่ายขัดเคือง แต่เขาก็แก้นิสัยนี้ไม่หาย เลยได้แต่ยอมแพ้ โชคดีที่สำนักงานขายแห่งนี้ไม่มีใครดุด่าเวลายูริฮาระทำตัวงกๆ เงิ่นๆ อิชิมิยะเองก็บอก “ดูเผินๆ ยูริเหมือนอ่อนกว่าฉันอีก งั้นก็ช่างมันแล้วกัน” แล้วปล่อยผ่านไป
อิชิมิยะขนใบปลิวโฆษณาที่ใช้เครื่องพับแล้วไปยังโต๊ะทำงาน แม้หน้าตาจะยังดูง่วงๆ แต่การเคลื่อนไหวกลับว่องไว พนักงานส่งที่อายุงานมากที่สุดหยิบหนังสือพิมพ์กับใบปลิวโฆษณาเข้าคู่กันได้คล่องแคล่วจนน่าทึ่ง ข้างๆ กันนั้นมีชายอีกคนคอยเคาะจัดหนังสือพิมพ์ “ฝนไม่น่าตกเนอะ” “วันนี้โฆษณาน้อยแฮะ” ยูริฮาระชอบช่วงเวลาเตรียมของส่งพลางคุยสัพเพเหระกันไปเรื่อยๆ แบบนี้ หลังเช็กสภาพการจราจรของเขตที่ตัวเองรับผิดชอบ เช็กว่าวันนี้งดส่งบ้านไหนบ้างบนไวต์บอร์ดเสร็จ ก็ขนหนังสือพิมพ์มายังมอเตอร์ไซค์ของตัวเองที่จอดเรียงอยู่หน้าสำนักงานขาย ตามด้วยออกไปส่ง
“ระวังตัวด้วย”
ผู้อำนวยการโมริส่งเสียงบอกทุกคนจากตรงประตูดังเช่นทุกวัน
“ไปก่อนนะครับ”
ช่วงกลางคืนของเดือนมีนาคม กว่าฟ้าจะสางยังต้องใช้เวลาอีกพักใหญ่ ท่ามกลางความมืดมิดยูริฮาระเปิดไฟ ขับออกไปเป็นคนสุดท้าย
ยูริฮาระรับผิดชอบส่งเป็นจำนวนสองร้อยห้าสิบหลัง นับว่าเป็นจำนวนค่าเฉลี่ยทั่วไป เทียบกันแล้วในเขตพื้นที่ที่อยู่อาศัยรวมอย่างห้องเช่าหรืออะพาร์ตเมนต์ จะลำบากตรงต้องขึ้นลงบันได แต่ถ้าเป็นแมนชันระบบล็อกอัตโนมัติ แค่หย่อนไว้ตรงตู้รับจดหมายรวมก็จบ เมื่อเฉลี่ยออกมาภาระหน้าที่จึงไม่ต่างจากเขตพื้นที่ที่มีบ้านเดี่ยวเยอะสักเท่าไร ทั่วไปใช้เวลาประมาณสองชั่วโมงกว่าจะส่งเสร็จ
ยูริฮาระเตรียมหนังสือพิมพ์สำรองมาเผื่อสามฉบับ หลังส่งบ้านสุดท้ายแล้วเช็กตะกร้าหน้ารถว่ายังเหลือสามฉบับ เขารู้สึกประสบความสำเร็จ ลอบร้องเยสในใจ
กว่าจะจำบ้านที่ต้องส่งได้นับว่าลำบากก็จริง แต่ขอเพียงร่างกายจดจำเส้นทางได้ ที่เหลือก็เป็นส่วนที่ต้องใช้แรงงานล้วนๆ ยูริฮาระชอบทำงานซ้ำๆ จึงคิดอยู่เสมอว่าโชคดีจริงๆ ที่เจองานที่เหมาะกับตัวเองอย่างงานส่งหนังสือพิมพ์
เขาวนรถหน้าสนามเด็กเล่น มุ่งหน้ากลับสำนักงานขาย
ตอนจะขับออกถนนหลังหยุดจอดชั่วคราวตรงจุดเลี้ยวก็ฉุกคิดขึ้นมาว่า “อยู่ที่นี่มาจะปีหนึ่งแล้วเหรอเนี่ย” ทันทีที่คิดแบบนั้นในอกก็มีความรู้สึก ‘ได้เวลาแล้วสินะ’ ผุดขึ้นมา ถึงเวลาอยากไปที่อื่นแล้ว ลองคิดๆ ดู นี่น่าจะเป็นครั้งแรกที่เขาอยู่ที่เดิมนานขนาดนี้
ก่อนหน้านี้ตั้งแต่อายุยี่สิบเจ็ดถึงสามสิบสาม ยูริฮาระเปลี่ยนสำนักงานขายมาแล้วเจ็ดครั้ง อย่างสั้นก็ภายในครึ่งปี เมื่อถูกถามถึงเหตุผล เขาอธิบายว่า “ผมเข้ากับคนอื่นไม่ค่อยได้” นั่นไม่ใช่คำโกหก แต่ก็ไม่ใช่เหตุผลที่แท้จริงเช่นกัน เครื่องยืนยันก็คือต่อให้สำนักงานขายตอนนี้อยู่แล้วสบายใจที่สุด ความคิดเดิมๆ ที่ว่า ‘ไม่ใช่ที่นี่’ ก็ยังผุดขึ้นมา ไม่ใช่ยังไง อยากไปที่ไหนกันแน่ เป็นเรื่องของตัวเองแท้ๆ แต่กลับไม่เข้าใจเลยสักนิด
นานมาแล้วเคยมีละครเกี่ยวกับคนชีพจรลงเท้าฉายทางทีวี ทำให้อุ่นใจนิดๆ ว่าโลกนี้ยังมีคนแบบเดียวกับตัวเองอยู่ เพียงแต่ความแตกต่างของตัวเอกในละครกับยูริฮาระก็คือ ยูริฮาระไม่ได้ต้องการ ‘ไปที่ไกลๆ’
อยากไปที่อื่น แต่ไม่ได้อยากไปไหนไกลๆ
สองความรู้สึกขัดแย้งนี้ทำให้ยูริย้ายที่ไปเรื่อยๆ ในเขตพื้นที่แคบๆ ของตัวเมือง เพราะเป็นวงการที่แรงงานคนไม่พออยู่เป็นนิจ ส่วนมากพอรู้ว่าเป็นผู้มีประสบการณ์มาก่อนก็จะได้งานในวันนั้นเลย
มาถึงระยะที่มองเห็นสำนักงาน ยูริฮาระติดไฟแดงจึงเปลี่ยนเกียร์หยุดรถ
...แต่ถ้าบอกไปว่าจะลาออกตอนนี้ สึดะซังจะผิดหวังรึเปล่า...
หน้ากลมๆ ของนักสังคมสงเคราะห์ในอดีตผุดขึ้นมา ยูริฮาระคอตกเพราะรู้สึกผิด
“ในที่สุดก็เจอที่ที่เหมาะกับยูริฮาระคุงจนได้ ดีจังเลยเนอะ” ตอนนั้นสึดะดีใจกับเขายกใหญ่ ท่าจะเป็นห่วงว่า ‘ไหนบอกว่าทุกคนใจดีกันหมดไง มีเรื่องอะไร? เกิดอะไรขึ้นรึเปล่า?’ แน่นอน
ขณะกวาดตามองรอสัญญาไฟ ในที่สุดสีกรมท่าจางๆ ก็เริ่มกลืนท้องฟ้าทิศตะวันออก
ฤดูกาลผันผ่าน ฟ้าใกล้จะสาง แต่ผ่านไปสักพักรุ่งอรุณต้นฤดูใบไม้ผลิก็จะเวียนกลับมาอีกเช่นเคย เขาคิดอย่างเหม่อลอย ในช่วงเวลานี้ของปีหน้าตัวเองคงเงยหน้ามองท้องฟ้าสีกรมท่าเหนือสัญญาณไฟแบบนี้อยู่ที่ไหนสักแห่ง
เวียนวนอยู่ที่เดิม ซ้ำแล้ว ซ้ำอีก เหมือนเดิม

“ยูริฮาระคูง”
หน้าประตูอะพาร์ตเมนต์สร้างจากไม้ถูกๆ มีดอกไม้สีสันสดใสผลิบานอยู่ นั่นคือสึดะ นักสังคมสงเคราะห์ที่เคยดูแลยูริฮาระในชุดสีพาสเทล
“สึดะซัง!”
“อรุณสวัสดิ์จ้า”
สึดะเป็นผู้หญิงร่าเริงสดใส อายุสี่สิบปลายๆ ถึงเจ้าตัวจะบอกว่า “พอเริ่มเป็นคุณป้าก็ไม่ต้องคิดมากเรื่องพวกนี้เท่าไร” แต่ก็ยังใส่ชุดวันพีซเสมอ วันนี้เธอมาคู่กับเสื้อโคตสีไข่ไก่พร้อมผ้าพันคอสีฟ้าละมุนตา มีลายดอกไม้เล็กๆ กระจายอยู่ทั่ว ตั้งใจให้ดูเด็กกว่าวัยน่ะ สึดะกล่าวยิ้มๆ ชุดนั้นดูเหมาะกับคนหน้ากลม มีชีวิตชีวาอย่างสึดะมากจริงๆ ผมก็เซตมาอย่างสวยงาม เส้นผมใต้ใบหูม้วนเป็นลอนเข้าหาตัว แต่งหน้าเพียงบางๆ แต่ใบหูมีเครื่องประดับชิ้นน้อยอยู่เสมอ ดูแล้ววิเศษจริงๆ
“ขอโทษครับ รอนานรึเปล่า?”
ยูริฮาระไต่ขึ้นบันไดนอกอาคาร เดินกึ่งวิ่งเข้ามาหา วันนี้หลังส่งหนังสือพิมพ์เสร็จต้องเตรียมตัวเก็บรวบรวมเงินต่อ จึงกลับช้ากว่าปกติเล็กน้อย
“ไม่เลยจ้ะ เพิ่งมาถึงนี่แหละ แถวบ้านฉันมีร้านขนมปังเปิดใหม่ ฉันซื้อมาเพราะกะว่าจะชวนยูริฮาระคุงกินเป็นข้าวเช้า มากินด้วยกันนะ”
สึดะมักมาโดยไม่นัดล่วงหน้าตลอด เธอบอกอย่างขี้เล่นว่าตั้งใจให้เซอร์ไพรส์ แต่ยูริฮาระรู้ว่านั่นเป็นเพราะเธอมองออก หากบอกล่วงหน้าเขาจะเกรงใจคอยเตรียมนั่นนู่นนี่ไว้
“เชิญเข้ามาได้เลยครับ”
หลังเข้ามาในห้อง ยูริฮาระรีบเปิดเตาผิงแบบใช้น้ำมัน ลากโต๊ะพับออกมากาง สึดะเองก็รู้งาน แม้จะเป็นบ้านคนอื่นแต่เธอก็ไปหยิบเบาะรองนั่งสองชิ้นออกมาจากตู้เก็บฟูกนอน
“มีพื้นที่สีเขียวเพิ่มขึ้นอีกแล้วนะ”
สึดะมองไปทางกระถางและแปลงปลูกต้นไม้ที่วางเรียงรายริมหน้าต่าง งานอดิเรกเรียบง่ายของยูริฮาระก็คือซื้อไม้กระถางถูกๆ มาเลี้ยง แต่ไม่ถึงกับเรียกเป็นพื้นที่สีเขียว เขาไม่ได้ปลูกไว้เยอะเท่าไร เพราะเป็นห่วงตอนย้ายออก แต่ก็มีกระถางวางเรียงรายอยู่ไม่น้อยทีเดียว
“นั่นดอกพริมูลาเหรอ?”
“คุณนายบ้านที่ผมไปเก็บเงินคราวก่อนแบ่งจากในสวนมาให้น่ะครับ ...ขอโทษนะครับที่ไม่มีอะไรเลย”
“ไม่เป็นไรๆ ฉันมากะทันหันเอง”
สึดะรู้อยู่แล้วว่าปกติยูริฮาระดื่มแค่น้ำเปล่า จึงพกเครื่องดื่มมาด้วยทุกครั้ง “ยูริฮาระคุงชอบของหวานๆ ใช่ไหม” คราวนี้เป็นกาแฟโอเลต์บรรจุใส่ทัมเบลอร์ปิดฝาสนิท
“นี่จ้ะ เชิญ”
“ขอบคุณครับ ขอกินเลยนะครับ”
ทั้งกาแฟโอเลต์อุ่นๆ และขนมปังเดนิชต่างอร่อยเสียจนเมื่อยกรามขึ้นมา
“กินได้น่าอร่อยจริงๆ”
ขณะจดจ่อกับการกิน รู้ตัวอีกทีก็เห็นสึดะกำลังหรี่ตามองมาทางนี้
“ยังเอาแต่กินของเหลือต้มรวมเหมือนเดิมล่ะสิ”
“แหะๆ ครับ”
เตาในครัวมีหม้ออะลูมิเนียมวางอยู่หนึ่งใบ ข้างในเป็นพวกแคร์รอต ไชเท้า ไม่ก็ผักกาดขาว เมื่อเอาวัตถุดิบผ่านความร้อนเสร็จก็ตักใส่จาน จิ้มพอนสึกิน แม้น่าจะมีสารอาหารอยู่เพราะใส่พวกเนื้อหรือเต้าหู้ลงไปด้วย แต่รสชาติไม่ได้อร่อยนัก ยูริฮาระทำอาหารแทบไม่เป็น เลยได้แต่ต้มอะไรพวกนั้นกินเอาทุกวัน
“คราวหน้าทำสตูมาดีไหมนะ ยูริฮาระคุงชอบกินใช่ไหม?”
“ขอโทษที่รบกวนตลอดเลยนะครับ”
“ทำไมล่ะ ไม่ต้องเกรงใจ ฉันต่างหากต้องขอโทษที่บุกมาหาแบบไม่ได้นัด เพราะอยากเจอหน้ายูริฮาระคุงขึ้นมาปุบปับทุกที”
“ไม่หรอกครับ ผมดีใจที่คุณมา”
“หุๆๆ จริงรึเปล่า?”
ที่จริงเดิมทีสึดะเป็นคนที่ไม่ได้เกี่ยวข้องกับเขาอีกแล้ว
“ครับ ถ้าสึดะซังไม่มาผมคงเหงาแย่”
“แหม พูดจาน่ารักเชียว”
ขณะกล่าวอย่างร่าเริง สึดะสังเกตเห็นถุงมือกันลื่นที่ยูริฮาระเอามาใช้แทนถุงมือปกติวางอยู่บนเสื่อทาทามิ
“ตายแล้ว ถุงมือนี่น่ารักจัง ตรงอุ้งเท้านี่ไว้กันลื่น? ถุงมือแมวเหมียว?”
“ผู้อำนวยการที่ทำงานให้มา เห็นว่าได้แถมมากับอะไรสักอย่างน่ะครับ”
“ดูน่าจะเหมาะกับยูริฮาระคุงทีเดียว น่ารักจริงๆ”
สึดะยิ้มตาหยี
“แต่ยูริฮาระคุงดูไม่เปลี่ยนไปเลยจริงๆ นี่จะสามสิบ...สามแล้วใช่ไหม?”
นับนิ้วดูแล้วสึดะก็ทอดถอนใจ “ดูเด็กจนไม่น่าเชื่อ”
“แต่อย่างผมนี่ พอคิดในแง่ของค่าประสบการณ์ หรือจะเรียกอะไรดี...ปริมาณความทรงจำ? แล้วคงอยู่แค่ระดับเด็ก ม.ต้น เองมั้งครับ เพราะงั้นเลยดูเหมือนเด็กตลอด พึ่งพาไม่ได้”
“ไม่ใช่อย่างนั้นหรอกจ้ะ”
สายตาสึดะอ่อนโยนขึ้น ราวกับต้องการให้กำลังใจ
“ยูริฮาระคุงพยายามยืนด้วยลำแข้งตัวเองให้ได้อยู่นี่นา ไม่เรียกพึ่งพาไม่ได้สักหน่อย แถมทำงานได้ราบรื่นดี จนคนที่ทำงานให้ของแบบนั้นมาด้วยซ้ำ”
เนอะ? สึดะพูดกระตุ้นก่อนเอื้อมไปแตะอุ้งเท้านูนๆ บนถุงมือกันลื่นของยูริฮาระ
“ได้ที่ทำงานดี ถือว่าโชคดีเนอะ”
“ครับ”
เห็นสึดะดูวางใจ ยูริฮาระก็คิดในใจว่าอย่าเพิ่งบอกเรื่องที่กำลังคิดจะลาออกดีกว่า พลางดื่มกาแฟโอเลต์อีกอึก
“นี่ ยูริฮาระคุง”
หลังกินอาหารและทำความสะอาดเสร็จ สึดะยังคงพูดเรื่องเดิมเหมือนทุกครั้งระหว่างเตรียมตัวกลับ
“ฉันไม่ใช่นักสังคมสงเคราะห์ที่ดูแลยูริฮาระคุงแล้ว เป็นแค่คุณป้าคนรู้จักธรรมดา ฉันอยู่ข้างยูริฮาระคุงเสมอนะ? ถ้ามีอะไรก็มาพึ่งได้ตลอด”
“...ขอบคุณครับ”
ทำไมถึงดีกับคนอย่างเราขนาดนี้ ยูริฮาระมักคิดแบบนั้นบ่อยๆ แล้วก็ผิดหวังที่ตัวเองทำอะไรเพื่อตอบแทนไม่ได้สักอย่าง
“งั้นฉันไปเลยแล้วกัน”
สึดะคว้ากระเป๋าเดินไปหน้าประตู
วันนี้เป็นวันเก็บเงินค่าหนังสือพิมพ์
ถึงจะตอบแทนอะไรไม่ได้ แต่อย่างน้อยเขาจะกลับไปใช้ชีวิตในสังคมให้เรียบร้อย ไม่ให้ความพยายามของคนคนนี้ต้องสูญเปล่า ยูริฮาระกล่าวปฏิญาณในใจ
เขาจูงจักรยานเดินเป็นเพื่อนสึดะไปสถานีรถไฟ แล้วแยกกันตรงนั้น
วันเก็บเงินค่าหนังสือพิมพ์ของสำนักงานขายที่ทำงานอยู่นี้ คือวันที่สิบห้าของทุกเดือน เขาจะต้องไปเก็บเงินจากสมาชิกนักอ่านที่ไม่ได้เลือกหักเงินอัตโนมัติจากบัญชีหรือบัตร ตอนที่ต้องอ้อนวอนให้ต่อสัญญาหรือตอนที่เงินที่เก็บล่วงหน้าหนึ่งปีใกล้จะหมด ก็ต้องโผล่หน้าไปเช่นกัน
หลังเก็บเงินเสร็จไปประมาณครึ่งหนึ่งเขาก็มาถึงแมนชันใหญ่สุดในเขตพื้นที่รับผิดชอบของตัวเอง เป็นแมนชันหลังเตี้ยมีเพียงห้าชั้น พื้นที่กว้างขวาง ที่จอดรถครบครัน เมื่อเทียบแล้วถือว่าเป็นที่อยู่เกรดพรีเมียมเลยทีเดียว
ยูริฮาระยื่นบัตรพนักงานสำนักงานขายหนังสือพิมพ์ให้ผู้ดูแลแมนชันดู พออีกฝ่ายเปิดประตูออโตล็อกให้ เขาก็ไปแต่ละห้องเรียงตามลำดับจากห้องที่อยู่ชั้นบนสุดไล่ลงมา
“เอ๊ะ?”
เมื่อเก็บเงินชั้นห้าเสร็จและลงมาชั้นสี่ ห้องที่ก่อนหน้านี้ยังว่างอยู่มีป้ายชื่อ ‘ทาคิโมโตะ’ โผล่มา บริเวณทางเข้ามีกล่องกระดาษวางซ้อนกัน ดูแล้วน่าจะเพิ่งย้ายมาอยู่ใหม่
เอาไงดี ยูริฮาระหยุดยืนคิดหน้าห้อง
สำนักงานขายตอนนี้ไม่ได้มีนโยบายว่าต้องทำยอดสมาชิกใหม่ ตัวเขาเองก็ชักชวนไม่เก่งสุดๆ แต่จังหวะนี้จะไม่ทักก็ดูพลาด...ยูริฮาระสวมจิตวิญญาณพนักงานส่งหนังสือพิมพ์ จิ้มอินเทอร์โฟนแบบหวาดๆ
เก้าในสิบ ท่าจะปฏิเสธผ่านอินเทอร์โฟนนี่แหละ ยูริฮาระลอบเดาขณะรอการตอบกลับหน้ามอนิเตอร์ แต่แล้วประตูกลับเปิดออกอย่างไม่คาดคิด
“อ๊ะ สะ สวัสดีครับ”
ตึก หัวใจเต้นผิดจังหวะไปนิดๆ จนได้ คนที่ออกมาจากในห้องคือชายหนุ่มร่างใหญ่ ใส่เสื้อยืดตัวยาวเนื้อหนากับกางเกงกีฬา ให้ความรู้สึกว่าอยู่ระหว่างย้ายบ้านแบบสุดๆ
“คนจากร้านเครื่องใช้ไฟฟ้านากาโด?”
“อ๊ะ ขอโทษครับ ไม่ใช่ครับ!”
ชายหนุ่มน่าจะกำลังรอพนักงานอยู่ ยูริฮาระลนลานขอโทษขอโพย ใจยิ่งฝ่อเข้าไปใหญ่ แค่มาชวนรับหนังสือพิมพ์ก็รบกวนมากพออยู่แล้ว เขาก้มหัวแนะนำตัว “ผมมาจากหนังสือพิมพ์ไมโจ ครับ”
“คะ คือว่า เอ่อ สะ สนใจสมัครรับหนังสือพิมพ์ไหมครับ...”
ดีไม่ดีอาจโดนด่าเอาก็ได้ ยูริฮาระเตรียมใจแบบกลัวๆ แต่ชายหนุ่มก็ไม่ได้พูดอะไรออกมา
“อะ เอ่อ...?”
เมื่อช้อนตามอง ลูกกระเดือกของชายหนุ่มก็ขยับยกใหญ่ สายตาจ้องมองมาทางนี้ ทำเอาอดยกมือลูบแก้มดูไม่ได้ว่าที่หน้ามีอะไรติดอยู่รึเปล่า
“...ขอโทษครับ”
สักพักชายหนุ่มก็กล่าวขอโทษด้วยเสียงแห้งผาก ท่าทางเหมือนพยายามยิ้ม มุมปากจึงยกขึ้นเล็กน้อย
“พอดีคุณเหมือนคนรู้จักนิดหน่อย...เลยตกใจไปน่ะครับ”
ยูริฮาระเองก็ตกใจ เพราะสิ่งที่ได้ยินเกินความคาดหมายไปหลายตลบ
ภาพประกอบหน้า21
“เอ่อ ดูเหมือนคุณจะเพิ่งย้ายมาใหม่ ขออภัยที่รบกวนตอนกำลังยุ่งนะครับ ผมยูริฮาระจากหนังสือพิมพ์ไมโจ รับผิดชอบดูแลเขตพื้นที่นี้ เอ่อ คือว่า มีแพลนจะสมัครสมาชิกรับหนังสือพิมพ์บ้างไหมครับ...?”
พอเริ่มหายประหม่าบ้างแล้ว ยูริฮาระจึงกล่าวตามที่เรียนรู้มา
“หนังสือพิมพ์...”
“ครับ เอ่อ ถ้าเป็นตอนนี้จะทดลองรับฟรีได้หนึ่งเดือน ไม่เสียค่าใช้จ่าย”
“หนังสือพิมพ์...ผมไม่ได้รับหนังสือพิมพ์มานานทีเดียว”
“ถ้าอย่างนั้นสนใจเป็นแบบดิจิทัลไหมครับ...?”
ที่จริงเขาก็ไม่เคยเห็นมาก่อนเหมือนกัน เกิดโดนถามขึ้นมา ‘แบบดิจิทัลเป็นยังไง?’ คงได้งานเข้าสุดๆ ขณะแนะนำไปแบบอึกๆ อักๆ ดูเหมือนในที่สุดชายหนุ่มก็หายตกใจและเอ่ยถาม “ขอนามบัตรคุณได้ไหมครับ” ยูริฮาระจึงรีบหยิบใบปลิวสำนักงานขายจากกระเป๋าคาดเอวยื่นให้ ตรงช่องผู้รับผิดชอบแต่ละเขตพื้นที่มีชื่อยูริฮาระ โทรุพิมพ์ไว้
“ยูริฮาระ โทรุซัง”
ชายหนุ่มพึมพำ กล่าวทวนชื่อของยูริฮาระเบาๆ
“ครับ”
“...งั้นเริ่มรับตั้งแต่พรุ่งนี้เลยแล้วกันครับ”
“เอ๊ะ พูดจริงเหรอครับ?”
ยูริฮาระลิงโลด กล่าวด้วยเสียงเริงร่า ด้วยความที่ตอนแรกคิดอย่างเดียวเลยว่ายังไงก็ถูกปฏิเสธแน่ๆ
“ขอบคุณครับ! เอ่อ งั้นผมจะมาหย่อนไว้ใน ตะ ตู้รับจดหมายด้านล่างตั้งแต่พรุ่งนี้เลยนะครับ”
เขาแทบไม่เคยทำสัญญากับสมาชิกรายใหม่ได้มาก่อน ผู้อำนวยการคงพลอยชื่นใจไปด้วย
“ถ้าอย่างนั้น ช่วยเขียนชื่อเต็มตรงนี้ได้ไหมครับ? กับถ้าเป็นไปได้ อยากจะขอช่องทางติดต่อด้วย”
ชายหนุ่มรับกระดาษและปากกาที่ยื่นให้ไป
“พ้นช่วงทดลองเมื่อไรผมจะมาหาใหม่นะครับ ถ้าเกิดยังรับต่อ ก็จะทำสัญญากันตอนนั้นอีกที แล้วก็ เอ่อ เรื่องการชำระเงิน นอกจากหักบัญชีก็มีจ่ายด้วยบัตรเครดิตได้ครับ”
ยูริฮาระตั้งอกตั้งใจอธิบายอย่างดี เขาหายใจโล่งขึ้นเล็กน้อย ส่วนหนึ่งเป็นเพราะชายหนุ่มมองไปทางอื่นแล้ว
“แน่นอนว่าจะให้ผมมาเก็บเป็นเงินสดก็ได้เหมือนกัน”
หลังกรอกเอกสารเสร็จชายหนุ่มยื่นกระดาษกับปากกาคืนมา
“ยูริฮาระซังเป็นคนมาเก็บเงิน?”
“ครับ เอ่อ ทุกวันที่สิบห้าของเดือน แต่จะเป็นวันอื่นก็ได้เสมอครับ”
“เข้าใจแล้วครับ”
“เอ่อ ทาคิโมโตะซัง”
หลังเหลือบมองป้ายชื่อหน้าห้อง ยูริฮาระยืนขาชิด ค้อมศีรษะลง
“ขอบพระคุณมากครับ”
“ไม่เป็นไรครับ”
ทาคิโมโตะผุดยิ้มราวกับนึกถึงบางอย่าง ยูริฮาระกล้ามองหน้าอีกฝ่ายชัดๆ ในจังหวะนั้นเอง
เป็นคนที่หน้าตาดีทีเดียว แม้เครื่องหน้าจะคม แต่พอยิ้มดวงตาดูจะละมุนขึ้น นอกจากจะตัวสูงแล้วยังร่างกายกำยำ อาจเป็นเพราะเล่นกีฬาอะไรบางอย่าง
“งั้นผมขอตัวก่อนนะครับ”
ยูริฮาระก้มศีรษะอีกครั้ง จากนั้นตรวจดูลายเซ็นที่ชายหนุ่มเขียนไว้ในกระดาษ ‘สัญญาทดลองรับหนังสือพิมพ์’
ชื่อของชายคนนั้นคือ ทาคิโมโตะ เรียวอิจิ




++++++++++++++++++++++++++++++++
ตื่นตีสามไปส่งหนังสือพิมพ์ฉบับเช้า จากนั้นกลับมานอนงีบในอะพาร์ตเมนต์เก่าๆ สักพักกับคอยดูแลไม้กระถาง ยูริฮาระใช้ชีวิตแบบนี้ทุกวันมาตลอดหกปีโดยที่ไม่แม้แต่จะหาเพื่อน วันหนึ่ง ณ แมนชันที่ไปเก็บเงินค่าหนังสือพิมพ์ เขาบังเอิญเจอกับทาคิโมโตะ ชายที่เพิ่งย้ายเข้ามาอยู่ใหม่ ทันทีที่ทาคิโมโตะเห็นหน้ายูริฮาระก็ตกตะลึงจนพูดไม่ออก ที่จริงแล้วในอดีตยูริฮาระเคยก่อคดีบางอย่างแต่ระหว่างก่อเหตุเขาไม่มีสติ ส่วนทาคิโมโตะก็เหมือนจะมีคนรักที่หายตัวไปเมื่อสิบปีก่อนแล้วยังลืมไม่ลงอยู่ ทว่า...?


รูปภาพ

ตอบกลับโพส

ย้อนกลับไปยัง “Bongkoch Books News & Activities”