New Release เหลียนฮวา : ทาสสาวของท่านแม่ทัพ

อัพเดทข่าวบงกชบุ๊คส์ ความเคลื่อนไหว และกิจกรรมพิเศษ ตลอดจนร่วมสนุกชิงรางวัลพร้อมของรางวัลมากมาย

Moderator: P'Bly, Gals, พี่บี

ตอบกลับโพส
Gals
โพสต์: 1068
ลงทะเบียนเมื่อ: ศุกร์ 13 ก.พ. 2009 3:47 pm

New Release เหลียนฮวา : ทาสสาวของท่านแม่ทัพ

โพสต์ โดย Gals »

บทนำ

“ฆ่านางซะ!”
ชายผู้นำออกคำสั่งด้วยน้ำเสียงเฉยเมยเย็นชา ไม่ปะปนด้วยความรู้สึกใดๆ
ผมสีดำ ชุดสีดำ ประกอบเข้ากับนัยน์ตาสีดำสนิททำให้เขาดูมืดมิดยิ่งกว่าท้องฟ้ายามเที่ยงคืน หนาวเหน็บยิ่งกว่าเหมันตฤดูอันแสนยาวนาน
จูเหยียนอวี้ตัวสั่นสะท้านอย่างควบคุมไม่ได้ เลือดที่ไหลเวียนในร่างกายหยุดชะงักราวกับถูกแช่แข็ง
แต่นางจะตายไม่ได้ นางต้องมีชีวิตต่อไป เพื่อตัวเอง และเพื่อน้องชายที่ยังเยาว์วัยด้วย
นางมองดูชายหนุ่มโดดขึ้นไปบนหลังม้าด้วยท่วงท่าสง่างาม องครักษ์เกราะเหล็กข้างกายเขาสองคนเดินตรงมาที่นาง หนึ่งในนั้นยื่นมือไปชักดาบที่ผูกไว้บนเอวออกมา...
“ใต้เท้า ช่วยข้าด้วย!” จู่ๆ นางก็ตะโกนออกมาเสียงดังและคลานเข้าไปกอดขาม้าสีนิลตัวนั้นของเขาไว้อย่างไม่คิดชีวิต
ทุกคนล้วนตกใจกันหมด ไม่มีใครคิดว่านางจะกล้าพุ่งเข้าไปกอดขาม้าคู่ใจของผู้บัญชาการ แต่ที่เหลือเชื่อยิ่งกว่าคือม้าสีนิลที่ปกติไม่เคยยอมให้คนแปลกหน้าคนใดเข้าใกล้เลยนอกจากผู้บัญชาการคนเดียวตัวนั้น กลับไม่มีท่าทีจะยกกีบเท้าขึ้นมาถีบนางออกไป เพียงแค่ส่งเสียงร้องเบาๆ และพ่นลมฟืดฟาดทางจมูกราวกับจะแสดงความเย่อหยิ่งและความไม่พอใจของตนเท่านั้น
แม้แต่ตัวชายหนุ่มเองก็ดูจะแปลกใจกับปฏิกิริยาของม้าคู่ใจตนไม่น้อย เขาเลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อย
“ใต้เท้า ได้โปรดไว้ชีวิตข้าด้วย!” จูเหยียนอวี้กอดขาของม้าเอาไว้แน่น วิงวอนร้องขอชีวิต
ชายหนุ่มมองดูนางนิ่ง หรี่ตาลงเล็กน้อย “ข้าไม่ทำเรื่องที่ไร้ประโยชน์ เจ้าเป็นใคร? เหตุใดข้าจึงต้องไว้ชีวิตเจ้า”
หากเขารู้ว่านางเป็นบุตรสาวของขุนนางต้องโทษ ชีวิตน้อยๆ ของนางคงจะรักษาไว้ไม่อยู่แน่ จูเหยียนอวี้เม้มริมฝีปากอย่างขมขื่น ตอบโดยเลี่ยงคำถามที่เขาถามเกี่ยวกับตัวตนของนาง “ขอเพียงใต้เท้าไม่ฆ่าข้า ข้ายินดีจะทำตามคำสั่งท่านทุกอย่าง”
“ช่างอวดดียิ่งนัก!” เขาไม่โกรธแต่กลับหัวเราะออกมาแทน แววตาเย็นยะเยือก “เจ้าคิดว่าเจ้ามีสิ่งใดจะทำให้ข้าได้?”
“ข้า...”
ขณะที่จูเหยียนอวี้พูดออกมา นางก็รู้สึกได้ถึงความเย้ยหยันที่ส่องประกายผ่านดวงตาสีนิลคู่นั้นของเขา นางชะงักไปชั่วขณะ เสี้ยวเวลานั้นนางได้รับรู้ว่าตนเองช่างน่าสมเพชนัก ด้วยรูปโฉมของนางในเวลานี้ยังจะมีชายใดอยากมองกันเล่า? ต่อให้เป็นรูปโฉมที่งดงามของนางในอดีตก็น่ากลัวว่าคงจะไม่ได้อยู่ในสายตาของผู้บัญชาการใหญ่ที่สามารถเรียกลมเรียกฝนได้คนนี้เป็นแน่
แต่นอกจากร่างกายของตนแล้ว นางยังมีสิ่งใดที่จะให้กับชายตรงหน้าได้อีก?
ชาติก่อนนางเคยใช้ชีวิตอยู่ในโรงม้า เรียกได้ว่าโตมาบนหลังม้าก็ว่าได้ และดูจากม้าสีนิลคู่ใจของชายผู้นี้ เขาคงจะเป็นผู้รักม้าคนหนึ่ง...
นางยิ้มเศร้าๆ คงได้แต่ลองพนันดูสักครั้งเท่านั้น
“ข้า...เลี้ยงม้าเป็น”


บทที่หนึ่ง

ฤดูใบไม้ร่วงนอกด่าน สีแดงเพลิงที่ดูราวกับเปลวไฟของใบเฟิง ปกคลุมไปทั่วบริเวณเทือกเขา ภาพทิวทัศน์ที่งดงามเช่นนี้ ในสายตาของจูเหยียนอวี้กลับเห็นเป็นเพียงน้ำตาสีเลือดน่าเศร้าสลด
นางไม่มีอารมณ์จะชื่นชมทิวทัศน์ นางถือหมั่นโถวอยู่ในมือหนึ่งลูก ค่อยๆ แทะไปช้าๆ บางครั้งเมื่อรู้สึกว่าหมั่นโถวแข็งฝืดจนทนไม่ไหวจึงค่อยหยิบน้ำขึ้นมาจิบหนึ่งอึกเพื่อให้ชุ่มคอ
รอบข้างของนางมีหญิงสาวที่เสื้อผ้าขาดรุ่งริ่งเหมือนนางนั่งอยู่หลายคน บางส่วนเป็นหญิงสาวอายุใกล้เคียงกับนาง ทุกคนล้วนมีสีหน้าเศร้าหมองขมขื่น
พวกนางเดิมเป็นครอบครัวของขุนนาง เพราะต้องโทษทั้งตระกูลจึงถูกลดฐานะลงมาเป็นทาสและเนรเทศไปยังชายแดนทางเหนือ
จูเหยียนอวี้แทะหมั่นโถวพลางมองดูป่าเฟิงอวี้สีแดงรอบข้างทางอย่างเหม่อลอย นึกย้อนไปเมื่อหนึ่งเดือนก่อน นางยังเป็นสาวโสดคนหนึ่งในยุคปัจจุบัน หลังจากอุบัติเหตุทางรถยนต์ครั้งนั้น ไม่รู้เพราะเหตุใดทำให้นางย้อนเวลามาอยู่ที่ยุคนี้ กลายมาเป็นหนึ่งในบรรดาครอบครัวขุนนางต้องโทษ
ตอนเพิ่งมาถึงใหม่ๆ นางไม่อยากจะเชื่อว่าได้ย้อนเวลามาจริงๆ นางว้าวุ่นสับสนจนสติหลุดอยู่หลายวัน สมาชิกในครอบครัวคนอื่นๆ ล้วนคิดว่านางคงจะเสียสติเพราะบิดาต้องโทษจึงไม่ได้ติดใจสงสัยอะไรในตัวนาง จากนั้นนางค่อยๆ รวบรวมและปะติดปะต่อความทรงจำของเจ้าของร่างเดิมเข้าด้วยกันจนตั้งสติได้ในที่สุด
ยุคราชวงศ์ที่นางอยู่ตอนนี้เรียกว่า ‘ฉี’ เป็นโลกคู่ขนานที่สถาปนาขึ้นต่อจากยุคราชวงศ์หยวนซึ่งปกครองโดยมองโกล โอรสสวรรค์จูหยวนจาง ที่เดิมเป็นผู้ขับไล่ชาวต้าตู ออกไปนั้นหายตัวไป ผู้ที่เข้ามาแทนคือปฐมจักรพรรดิผู้สถาปนาแคว้นฉี ‘จ้าวเฟิงเหนียน’
เนื่องจากประวัติศาสตร์มีการเปลี่ยนแปลงในโลกคู่ขนานนี้ นางจึงไม่สามารถพยากรณ์อนาคตได้เหมือนผู้หญิงย้อนยุคคนอื่นๆ มิหนำซ้ำนางยังโชคร้ายย้อนยุคมาอยู่ในร่างของลูกสาวขุนนางต้องโทษที่กำลังถูกเนรเทศไปเป็นทาสอีกต่างหาก
พอนึกถึงเรื่องนี้จูเหยียนอวี้ก็ถอนหายใจอย่างกลัดกลุ้ม ไม่รู้เพราะเหตุใดจูฉางชิงบิดาของเจ้าของร่างเดิมจึงถูกดึงเข้าไปเกี่ยวข้องกับการก่อกบฏขององค์ชายรอง องค์ชายรองถูกกักบริเวณ ส่วนตระกูลจูถูกยึดทรัพย์สินทั้งหมด ผู้ชายในตระกูลจูที่อายุมากกว่าสิบสองปีถูกตัดสินประหารชีวิต อายุน้อยกว่าสิบสองปีถูกเนรเทศ และผู้หญิงที่เหลือทุกคนถูกเนรเทศหมด
เจ้าของร่างเดิมเป็นลูกสาวสายตรงคนโตของตระกูลจู ปีนี้อายุเพียงสิบเจ็ดปี เป็นช่วงที่เปรียบเสมือนดอกไม้งามกำลังเบ่งบาน เดิมทีนางมีคู่หมั้นหมายอยู่แล้ว เนื่องจากหากเป็นลูกสาวที่แต่งออกจากตระกูลไปแล้วจะสามารถเลี่ยงการต้องโทษได้ ท่านแม่ของเจ้าของร่างเดิมจึงไปคุกเข่าร้องขอให้บ้านคู่หมั้นนางรีบจัดงานแต่งงานเพื่อรับนางออกไป แต่อีกฝ่ายไม่ยอมให้ลูกสาวขุนนางต้องโทษแต่งเข้าบ้าน ยืนยันที่จะถอนการหมั้นหมายครั้งนี้ให้ได้
ท่านแม่ของเจ้าของร่างเดิมยอมรับความโหดร้ายที่ต้องเจอไม่ได้ ตรอมใจตายไปก่อนจะถูกเนรเทศ พ่อและพี่ชายของนางล้วนตายกันหมด น้องชายที่เพิ่งจะอายุได้สิบสี่ปีก็ถูกประหาร น้องสาวอายุสิบเอ็ดปีอีกคนหนึ่งของนางรับความโหดร้ายไม่ไหวจึงป่วยตายระหว่างทางตอนถูกเนรเทศ ตอนนี้ครอบครัวนางมีเพียงนางและน้องชายอายุแปดปีแค่สองคนที่ยังมีชีวิตอยู่
จูเหยียนอวี้มองดูปานสีเขียวบนมือของตน ลูบไปบนใบหน้าที่ขึ้นปานแบบเดียวกัน เดิมทีเจ้าของร่างเดิมเคยมีรูปโฉมงดงามมาก โครงหน้าได้รูป ผิวพรรณขาวราวกับหิมะ ผ่องใสราวกับหยกชั้นดี เพียงแต่ท่านแม่กลัวว่านางจะถูกรังแกระหว่างการเดินทางเนรเทศ จึงให้นางกินยาที่ทำให้หน้าตาอัปลักษณ์เพื่อปกปิดรูปโฉมเดิมของนางเอาไว้ชั่วคราว
แต่ก็ดีที่ตอนนี้นางหน้าตาอัปลักษณ์ หน้าอกก็เอาผ้ามาพันรัดเอาไว้จนแน่น รวมกับร่างกายที่ซูบผอมลงไปเพราะความโศกเศร้า รูปร่างของนางดูจากภายนอกไม่ต่างอะไรกับไม้ฟืนท่อนหนึ่ง ไม่สามารถดึงดูดความสนใจจากชายคนใดได้ ไม่เช่นนั้นระหว่างทางนางคงโดนทหารหาญพวกนั้นข่มขืนไปเสียนานแล้ว
นางยังคงจำได้แม่นจนถึงตอนนี้ ว่าวันหนึ่งจู่ๆ ก็มีทหารเมาสุราสองคนบุกเข้ามาในห้องพักทาสหญิง ต่างคนต่างเลือกเอาหญิงสาวหน้าตาดี ลากไปที่ห้องข้างๆ และลงมือข่มขืนนางเพื่อสนองความใคร่ของตนทันที นางที่ได้ยินเสียงร้องโหยหวนของทาสหญิงสองคนนั้นรู้สึกทั้งหวาดกลัวและโกรธแค้น เจ็บใจที่ตัวเองไม่มีกำลังแม้แต่จะขัดขืน ไม่สามารถฆ่าหมาป่าบ้ากามน่าขยะแขยงทั้งสองตัวนั้นได้!
มีครั้งแรกก็ต้องมีครั้งที่สองตามมา เมื่อเหล่าทหารได้ลิ้มรสอันหอมหวานแล้ว ทาสหญิงทั้งสองจึงต้องกลายเป็นเครื่องมือสนองความใคร่ของเหล่าทหารไปในทันที ตัวพวกนางเองก็เริ่มจากความหวาดกลัวในตอนแรกจนกลายมาเป็นความหมดหวัง ก่อนจะยอมรับความตกต่ำได้ในที่สุด ตอนนี้แม้ว่าจะถูกมัดมือเอาไว้ขณะเดินทาง พวกนางก็ยังสามารถหยอกล้อกับเหล่าทหารที่รับหน้าที่คุมตัวและนำทางได้อย่างไม่เขินอาย
ทุกครั้งที่เห็นพวกนาง จูเหยียนอวี้จะรู้สึกหนาวจนตัวสั่นไปทั้งตัว ไม่ว่าอย่างไรนางก็ไม่ยอมให้ตัวเองต้องตกไปอยู่ในสภาพเช่นนั้นเด็ดขาด
“ไปได้แล้วๆ!”
หลังจากกินอาหารและพักผ่อนแล้วเหล่าทหารก็เริ่มสะบัดแส้ในมือพลางตะโกนไล่ กลุ่มทาสหญิงที่นั่งกันอยู่ด้านเดียวกับพวกนางค่อยๆ ลุกขึ้นยืนทีละคน มือทั้งสองข้างถูกมัดเอาไว้ด้วยเชือกเส้นยาว ต่อกันไปเป็นขบวนทอดยาวราวกับมัดบ๊ะจ่าง ไม่มีใครสามารถแอบหนีออกไปได้
กลุ่มทาสหญิงที่นั่งอยู่อีกฝั่งจึงค่อยๆ ลุกขึ้นยืนตาม ในกลุ่มนั้นมีเด็กผู้ชายหลายคนปะปนอยู่ จูเซียงอวี่น้องชายของจูเหยียนอวี้ก็อยู่ที่ปลายขบวนบ๊ะจ่างนั้นเอง เขาอาศัยตอนที่ทหารไม่ได้สนใจแอบเข้ามาใกล้เพื่อคุยกับนาง
“ท่านพี่ ท่านกินอิ่มหรือยัง?”
หมั่นโถวแค่ลูกเดียวจะกินอิ่มได้อย่างไร จูเหยียนอวี้ถอนหายใจเบาๆ หลายวันมานี้นางมักต้องตกอยู่ในสภาพหิวโหยบ่อยครั้ง แต่นางจำเป็นต้องฝืนร่างกายเพื่อให้เดินทางต่อไปได้เท่านั้น
แต่นางจะแสดงความอ่อนแอออกมาต่อหน้าน้องชายไม่ได้ จึงยิ้มบางๆ “แล้วเจ้าเล่า?”
จูเซียงอวี่มองซ้ายมองขวา เพื่อให้แน่ใจว่าไม่มีคนสังเกตเห็นพวกเขาสองคนพี่น้องจึงกระซิบเสียงเบาว่า “ข้าก็กินไม่อิ่มเหมือนกัน แต่พี่ใหญ่หลินรับปากข้าแล้วว่ามื้อเย็นจะแจกซาลาเปาให้ข้าเพิ่มสองลูก เดี๋ยวข้าจะเอามาแบ่งให้ท่านกินนะ”
พี่ใหญ่หลินที่จูเซียงอวี่พูดถึงคือหัวหน้าทหารที่รับผิดชอบคุมตัวทาสต้องโทษอย่างพวกนาง ไม่รู้เพราะเหตุใดเขาดูจะเอ็นดูจูเซียงอวี่มากเป็นพิเศษ มักแอบยัดของกินให้เขาอยู่ประจำ
จูเหยียนอวี้มองไปที่น้องชายอย่างครุ่นคิด ฟันขาวปากแดง แววตาใสกระจ่าง แม้ว่ายังเป็นแค่เด็กชายคนหนึ่ง แต่จากโครงหน้าและเครื่องหน้าได้รูปก็พอดูออกได้ไม่ยากว่าเมื่อโตขึ้นเขาจะเป็นชายหนุ่มรูปงามเพียงใด เมื่อถึงวัยที่กลายเป็นชายหนุ่มที่แท้จริง คงจะเป็นที่ชื่นชอบของหญิงสาวมากทีเดียว
หากตระกูลจูยังคงเป็นตระกูลจูเหมือนแต่ก่อน น้องชายคงเป็นที่รู้จักเล่าลือกันไปทั่วสังคมเมืองหลวงเป็นแน่ ช่างน่าเสียดายจริงๆ!
จูเหยียนอวี้ยื่นมือออกมาลูบหัวเด็กชายอย่างเอ็นดูและเสียดายแทน แม้ว่าในความจริงแล้วนางจะไม่ใช่พี่สาวแท้ๆ ของเขา แต่หลังจากอยู่ด้วยกันมากว่าหนึ่งเดือนนี้ นางรู้สึกได้ถึงความเชื่อใจและเคารพรักจากใจจริงที่น้องชายมีต่อนาง อย่างน้อยเขาก็ไม่เคยคิดจะกินอิ่มคนเดียว มีของกินอะไรก็มักมาแบ่งให้นางเสมอ
ในโลกที่นางไม่คุ้นเคยนี้ นางก็มีเพียงน้องชายคนนี้เท่านั้นที่พึ่งพาได้
“ใครบอกให้พวกเจ้ามัวแต่เดินเอื่อยเฉื่อยกันอยู่ด้านหลังนั่น? เดินเร็วๆ เข้า!” เสียงตะคอกหัวเสียดังลอยมาจากด้านหน้าขบวน
จูเหยียนอวี้สะดุ้ง หันไปส่งสายตาสื่อสารกับน้องชาย ทั้งสองคนพร้อมใจแยกกันเดินกลับไปที่เดิมของตนในขบวน

***

หลังพลบค่ำขบวนเดินทางเริ่มตั้งค่ายที่พัก จูเซียงอวี่อาศัยช่องโหว่แอบเอาซาลาเปามายัดให้นางตามที่สัญญาไว้ แม้ว่าจะทั้งเย็นทั้งแข็งเพราะเก็บมาสองสามวัน นางก็ยังกินอย่างมูมมามด้วยความหิวโหยจนเกือบจะกัดถูกนิ้วตัวเอง
เห็นว่านางกินอย่างเอร็ดอร่อย จูเซียงอวี่ก็รู้สึกดีใจ ดึงมือนางเบาๆ พลางเอ่ยว่า “ท่านพี่ เมื่อน้องอวี่โตขึ้นจะตั้งใจหาเงิน จะไม่ปล่อยให้ท่านลำบากอีก ท่านพ่อกับพี่ชายเคยบอกว่า ชายชาตรีต้องเข้มแข็ง หลังจากนี้ข้าจะปกป้องท่านพี่เอง”
พูดถึงพ่อและพี่ชาย สีหน้าของจูเซียงอวี่ที่เพิ่งเปื้อนรอยยิ้มได้ไม่นานก็หม่นหมองลงทันที ดวงตาแดงก่ำ
จูเหยียนอวี้รู้ว่าถ้าเทียบกับตัวนางเองแล้ว สิ่งที่เด็กชายตรงหน้าเพิ่งจะพบเจอมาคือความเจ็บปวดจากการสูญเสียครอบครัวอย่างแท้จริง แต่แม้ว่าสภาพจิตใจของเขาจะบอบช้ำมากแค่ไหนก็ยังไม่ลืมปลอบใจพี่สาว
เป็นเด็กดีจริงๆ!
นางลูบใบหน้าน้องชายเบาๆ อย่างซาบซึ้ง “ได้ เช่นนั้นพี่จะรอเจ้าโตแล้วมาดูแลข้า ดีหรือไม่?”
“อื้ม!” เด็กชายพยักหน้าหงึกๆ ดวงตาส่องประกายราวกับได้รับหน้าที่อันยิ่งใหญ่นี้จากพี่สาว ทำให้ดูเหมือนว่าตนโตเป็นผู้ใหญ่ขึ้นมาในทันที
จูเหยียนอวี้ยังอยากจะพูดอะไรต่อ แต่จู่ๆ ก็มีทหารนายหนึ่งเดินตรงเข้ามา ชี้ตัวนางและเด็กสาวรุ่นราวคราวเดียวกับนางอีกคนให้ไปตักน้ำเพื่อมาทำอาหาร ในป่าในเขาเช่นนี้พวกทหารไม่กลัวว่าผู้หญิงอ่อนแออย่างพวกนางจะแอบหลบหนีไปได้ จึงปลดเชือกที่มัดพวกนางเอาไว้ออกเพื่อให้ตักน้ำได้สะดวก
แน่นอนว่าจูเหยียนอวี้ไม่คิดหนีอยู่แล้ว ถ้านางหนีไปแล้วน้องชายจะทำอย่างไร? นางทำใจทิ้งน้องชายเอาไว้ที่นี่คนเดียวไม่ลงแน่นอน
นางหยิบถังไม้เปล่าขึ้นมาอย่างยอมรับชะตากรรม เดินตรงไปทางริมแม่น้ำ เด็กสาวอีกคนลุกขึ้นอย่างเชื่องช้า แต่ทว่าหลังจากทั้งสองคนเดินเข้ามาในป่าไม่นาน ทหารนายนั้นก็เดินตามเข้ามาติดๆ
“พี่ชายทหาร!” เด็กสาวอีกคนเห็นว่าเขาเดินตามมาก็รู้ถึงเจตนาของเขาได้ทันที แววประชดประชันวาบผ่านในดวงตานาง แต่ริมฝีปากกลับเผยยิ้มหวาน “ท่านนี่แย่เสียจริง ข้าเป็นเด็กสาวรูปร่างบอบบางเช่นนี้ ท่านจะทะนุถนอมเสียหน่อยก็ไม่ได้ ยังมาสั่งให้ข้าไปแบกน้ำอีก! ท่านดูสิ มือข้าแดงหมดแล้ว”
“ไอ้หยา แม่นางรองอวี๋ของข้า ไหนข้าดูซิ แดงหมดแล้วจริงๆ ด้วย วางถังลงเร็วเข้า เดี๋ยวพี่จะช่วยเจ้านวดมือเอง”
“ข้าเจ็บตรงนี้ ตรงนี้ก็เจ็บ” แม่นางรองอวี๋พูดอย่างออดอ้อน
“ได้ ได้ พี่นวดให้เบาๆ ก็ไม่เจ็บแล้ว หืม?”
“คนบ้า!”
ทั้งสองคนหยอกล้อกันอย่างโจ่งแจ้งราวกับจูเหยียนอวี้ไม่มีตัวตนอยู่ นางเองก็เร่งฝีเท้าขึ้นอย่างรู้งานเพื่อทิ้งระยะห่างออกจากทั้งสองคน
แม่นางรองตระกูลอวี๋คนนั้นมีชื่อว่าซิ่วหย่า นางก็คือหนึ่งในเหยื่อที่โดนเหล่าทหารลากไปข่มขืนก่อนหน้านี้นั่นเอง นางเป็นบุตรสาวของเจ้ากรมขุนนางอวี๋ ในลี่จิงเมืองหลวงของแคว้นฉีก็นับได้ว่าเป็นบุตรสาวตระกูลขุนนางชั้นสูงที่มีชื่อเสียงคนหนึ่ง เพราะมีทั้งรูปโฉมงดงามและความสามารถเต็มเปี่ยมจึงเย่อหยิ่งทะนงตนไม่น้อย เหล่าคุณชายในตระกูลขุนนางธรรมดาล้วนไม่เคยอยู่ในสายตาของนาง อายุกว่าสิบเจ็ดปียังไม่มีคู่หมาย ไม่คาดฝันมาก่อนว่าจะตกต่ำมาถึงจุดนี้ได้
ผู้หญิงที่เสียความบริสุทธิ์ไปแล้วจะเปลี่ยนไปราวกับเป็นคนละคนแบบนี้ทุกคนเลยหรือ?
จูเหยียนอวี้ถอนหายใจ เดินมาที่ริมแม่น้ำ ตักน้ำใส่ถังไม้จนเกือบเต็มแล้วจึงแบกถังน้ำเดินกลับอย่างทุลักทุเล โดยมีอวี๋ซิ่วหย่าและทหารลามกคนนั้นค่อยๆ เดินตามพลางหยอกเย้า โอบเอวจูบปากกันอย่างโจ่งแจ้งมาตลอดทาง
อวี๋ซิ่วหย่าที่หันหน้ากลับมาสบสายตาเข้ากับจูเหยียนอวี้พอดีมีสีหน้าเปลี่ยนไปเล็กน้อย
พ่อของนางทั้งสองคนล้วนเป็นขุนนางในราชสำนัก เคยเจอหน้ากันมาบ้างในแวดวงสังคมบุตรสาวขุนนางชั้นสูง เนื่องจากทั้งคู่ล้วนเป็นหญิงสาวที่ถูกเลื่องลือว่ามีรูปโฉมงดงามเหมือนกัน จึงถูกนำมาเปรียบเทียบอยู่บ่อยครั้ง รวมทั้งยังมีข่าวลือว่าอวี๋ซิ่วหย่ามีใจให้กับซ่งซูหวาหลานชายคนเล็กของซ่งฉีมหาบัณฑิตเน่ยเก๋อ ซึ่งเป็นคู่หมั้นหมายของจูเหยียนอวี้ การเผชิญหน้ากันของทั้งสองจึงราวกับน้ำมาเจอไฟ
ในฐานะคนที่มีชะตากรรมเดียวกัน จูเหยียนอวี้รู้สึกทั้งเสียดายและสงสารอวี๋ซิ่วหย่า แต่อวี๋ซิ่วหย่ากลับไม่คิดเช่นนั้น ทุกครั้งเมื่อต้องเผชิญหน้ากับจูเหยียนอวี้นางมีความเป็นศัตรูอยู่ตลอดเวลา
จูเหยียนอวี้ไม่อยากมีปากมีเสียงกับนางจึงเลือกเดินอ้อมไปอีกทาง แต่การเดินอ้อมครั้งนี้ทำให้นางหลงทางจนได้ ขณะที่นางเดินผ่านต้นไม้ขนาดมหึมาต้นหนึ่งนั้นเอง นางก็ได้ยินเสียงสนทนาดังลอยมาจากอีกด้านแว่วๆ ซึ่งดูเหมือนจะมีชื่อของน้องชายนางอยู่ในนั้นด้วย
นางรู้สึกผิดปกติจึงค่อยๆ ย่องเข้าไปแอบอยู่หลังต้นไม้อย่างระมัดระวัง
“...เจ้าบอกว่าจะขายเด็กนั่นให้เศรษฐีหวัง?” เสียงทุ้มใหญ่ของชายคนหนึ่งดังขึ้น
“ใช่ หลังเดินทางเข้าเมืองวันพรุ่งนี้ ข้าจะไปหาเขา” เสียงทุ้มที่ฟังดูนุ่มนวลกว่าดังมาจากหัวหน้าทหารแซ่หลินคนนั้น หรือก็คือพี่ใหญ่หลินของเซียงอวี่นั่นเอง
“มิน่า ตลอดทางมานี้เจ้าถึงดูแลเจ้าเด็กนั่นเป็นพิเศษ ข้านึกว่าเจ้าจะมีมโนธรรมแล้วเสียอีก!”
“มโนธรรมอะไร มโนธรรมมันขายได้ที่ไหนกัน”
เสียงหัวเราะเจ้าเล่ห์ของชายหนุ่มทั้งสองดังขึ้น
“แต่จะว่าไปแล้ว เด็กนั่นหน้าตาหล่อเหลา ตลอดทางมานี้ยังถูกเจ้าป้อนข้าวป้อนน้ำจนสีหน้าดูดีขึ้นไม่น้อย ขนาดข้าเองยังรู้สึกคันไม้คันมือเลย ได้ยินว่าเศรษฐีหวังชอบเด็กชายอายุราวๆ นี้มาก เลี้ยงไว้ในบ้านอยู่หลายคน แต่เด็กพวกนั้นจะมาสู้คุณชายจากเมืองหลวงได้อย่างไรกัน ครั้งนี้เจ้าคงรับเงินมาได้มากโข”
“เราเป็นพี่น้องกัน หากข้าได้ แน่นอนว่าก็ต้องมีส่วนของเจ้าด้วย!”
จูเหยียนอวี้ได้ยินดังนั้นถึงกับตัวสั่นสะท้าน ที่แท้ทหารสองคนนี้วางแผนจะขายน้องชายนางให้บ้านเศรษฐีไปเป็นเด็กบำเรอ ช่างน่าขยะแขยงนัก!
“จริงสิ เด็กนั่นมีพี่สาวอีกคนไม่ใช่หรือ เจ้าไม่กลัวว่านางจะมาเอาเรื่องเจ้าหรือไร?”
“นางเองยังเอาตัวเองแทบไม่รอดเลย!” ทหารแซ่หลินหัวเราะหึๆ “คราวนี้พวกทาสหญิงจะต้องถูกส่งไปที่กองทัพเกราะเหล็ก”
“กองทัพเกราะเหล็ก? กองทัพเกราะเหล็กไหน?”
“ยังจะมีกองทัพไหนอีก ชายแดนเหนือของแคว้นฉีเราก็มีผู้บัญชาการใหญ่ประจำชายแดนอยู่แค่คนเดียว”
“เจ้าหมายถึง...เทพสงคราม?”
เทพสงคราม?
จูเหยียนอวี้เริ่มค้นหาจากความทรงจำของเจ้าของร่างเดิมอย่างรวดเร็ว ปฐมจักรพรรดิผู้สถาปนาแคว้นฉีเดิมปกครองเมืองชายแดนด้วยชินอ๋อง ทว่าหลังจากฮ่องเต้เฉิงจู่ที่เดิมมีฐานะเป็นอ๋องนั่งเมืองทำการยึดบัลลังก์สำเร็จ จากนั้นเขากลับเริ่มกลัวว่าลูกหลานจะเอาเป็นเยี่ยงอย่าง จึงตัดสินใจยกเลิกตำแหน่งอ๋องนั่งเมือง ตลอดหลายสิบปีต่อจากนั้นแคว้นฉีจึงมีแม่ทัพเลื่องชื่อเป็นผู้ป้องกันชายแดนแทน
แม่ทัพใหญ่ฟู่อวิ๋นเซิงผู้ที่ได้รับแต่งตั้งเป็นผู้บัญชาการทางชายแดนเหนือในยุคนี้เป็นแม่ทัพเลื่องชื่อที่องอาจห้าวหาญที่สุดของแคว้นฉีในเวลานี้ ได้รับฉายาว่า ‘เทพสงคราม’ ไร้พ่าย กองทัพเกราะเหล็กใต้บังคับบัญชาที่ติดตามเขามานานหลายปีไม่เคยมีประวัติแพ้สงครามสักครั้ง
“กองทัพเกราะเหล็กนั่นเป็นกองทัพใต้บังคับบัญชาโดยตรงของเทพสงครามเชียวนะ เขาตั้งใจขอเหล่าทาสหญิงในครอบครัวขุนนางต้องโทษพวกนี้จากฝ่าบาทเพื่อมาเป็นนางโลมในค่ายทหาร...เจ้าลองคิดดู แม่นางที่เคยเป็นหญิงสาวผู้ดีในตระกูลขุนนางชั้นสูงพวกนี้ ตอนนี้กลายมาเป็นนางโลมนอนร้องครวญครางใต้ร่างของเรา มันจะรู้สึกดีแค่ไหนกัน!”
“มิน่าล่ะ! เทพสงครามนี่ก็ดูแลลูกน้องดีไม่เลว”
เสียงหัวเราะหื่นกามดังขึ้นเป็นระลอก และเสียงฝีเท้าของพวกเขาก็ค่อยๆ ไกลออกไป
จนกลับสู่ความเงียบสงัดอีกครั้ง จูเหยียนอวี้จึงยอมให้ตัวเองเข่าอ่อนทรุดตัวนั่งลงกับพื้น
เหล่าทาสหญิงอย่างพวกนางที่แท้ก็ต้องถูกส่งตัวไปเป็นนางโลมในค่ายทหาร! ถึงตอนนั้นจะต้องโดนชายเป็นร้อยพันกดขี่ สภาพชีวิตแบบนั้นจะหมดหวังและน่าสมเพชแค่ไหนกัน ส่วนน้องชายนางก็ต้องถูกขายไปเป็นเด็กบำเรอในตระกูลเศรษฐี ถูกเศรษฐีโรคจิตข่มเหงทุกวัน...
จูเหยียนอวี้รู้สึกหวาดกลัวมาก เหงื่อเม็ดโตซึมออกมาทำเอาตัวนางเปียกโชกไปทั้งตัว
ไม่ได้ นางจะนั่งรออยู่เฉยๆ ไม่ได้
ต้องคิดหาวิธีหนีไปจากที่นี่ หนีไปจากชะตาชีวิตที่โหดร้ายนี้...




++++++++++++++++++++++++++++++++++++++
อุตส่าห์พาน้องชายหนีจากขบวนเนรเทศมาได้ สวรรค์กลับให้นางมาเจอฟู่อวิ๋นเซิงผู้บัญชาการชายแดนเหนือเข้าโดยบังเอิญ ขนาดยังไม่รู้สถานะ ‘บุตรสาวขุนนางต้องโทษ’ ของนาง เขาก็ออกคำสั่งให้ฆ่านางแล้ว เพื่อสร้างทางรอดให้ตนเองและน้องชาย จูเหยียนอวี้จึงอาศัยความสามารถในชาติก่อนที่เติบโตในฟาร์มม้าอาสาเป็นผู้ดูแลอาชาจอมพยศคู่ใจของเขา ถ้าเอาชนะใจม้าแสนรักของเขาได้ นางยังต้องกลัวอะไรอีก?

เมื่อต้องมารับใช้ใกล้ชิดเขา วันคืนอันน่าหวาดหวั่นจึงเริ่มต้นขึ้น แต่ที่น่าแปลกคือ ‘เทพสงคราม’ ที่ใครๆ ก็กล่าวขานว่.็นชาผู้นี้ เหตุใดยามเขาอยู่กับนาง นางกลับสัมผัสได้ถึงความอ่อนโยนกัน!?


รูปภาพ

ตอบกลับโพส

ย้อนกลับไปยัง “Bongkoch Books News & Activities”