New Release BLY แปล : หลงเหลือเพียงครึ่งหัวใจ 2

อัพเดทข่าวบงกชบุ๊คส์ ความเคลื่อนไหว และกิจกรรมพิเศษ ตลอดจนร่วมสนุกชิงรางวัลพร้อมของรางวัลมากมาย

Moderator: P'Bly, Gals, พี่บี

ตอบกลับโพส
Gals
โพสต์: 1068
ลงทะเบียนเมื่อ: ศุกร์ 13 ก.พ. 2009 3:47 pm

New Release BLY แปล : หลงเหลือเพียงครึ่งหัวใจ 2

โพสต์ โดย Gals »

[หลงเหลือเพียงครึ่งหัวใจ]
Kokoro wo hanbun nokoshita mamade iru


act 3


ความทรงจำ
ถ้าหายไปแล้วจะเป็นอย่างไร ฉันไม่เคยคิดอะไรแบบนั้นเลย
ไม่จำเป็นต้องต้องจินตนาการด้วย
ฉันคิดด้วยซ้ำว่าความทรงจำเนี่ยไม่จำเป็นต้องมีก็ได้ เพราะไม่มีความทรงจำอะไรที่อยากหวงแหนเอาไว้สักอย่าง ทั้งปิดเทอมฤดูร้อน ปิดเทอมฤดูหนาว ทุกๆ วันที่จะมีหรือไม่มีก็เหมือนกัน หลังปิดเทอมฤดูใบไม้ผลิจบลง เลื่อนขึ้นชั้นใหม่ เริ่มต้นจากเทอมหนึ่งอีกครั้ง
จากนั้นก็กลับมาฤดูร้อนอีก และฤดูใบไม้ร่วง ฤดูหนาว ฤดูใบไม้ผลิ
พอวันนี้จบลงก็เป็นวันพรุ่งนี้
ทุกวันก็มีแค่นั้นแหละ ตลอดกาล

◇◇◇

เด็กหนุ่มเขยิบใบหน้าเข้าใกล้กระจกอ่างล้างหน้าเพื่อตรวจสอบเส้นผมที่เพิ่งฟอกสีเสร็จ
เนื่องจากเป็นสีเดิมจึงไม่ได้รู้สึกอะไรเป็นพิเศษ สีน้ำตาลอ่อนในสภาพที่ดูก็รู้ว่าฟอกสีมา
แม้พอใจที่ย้อมออกมาสวยจนถึงโคน แต่ติดตรงที่ปลายผมสว่างไปหน่อย
เขาเริ่มย้อมผมตั้งแต่มัธยมต้นปีสองเทอมหนึ่ง หมายความว่าย้อมมาได้ประมาณหนึ่งปีพอดี ผมอาจเสียแล้วมั้ง หรือไม่ก็เพราะแดด
เลยเที่ยงวันมาแล้ว แสงตะวันสาดส่องผ่านหน้าต่างบานเล็กใกล้อ่างล้างหน้า
บ้านของเด็กหนุ่มกับบ้านข้างๆ ห่างกันแค่ไม่กี่เมตร มีเพียงรั้วเตี้ยๆ แบ่งกั้น แสงแดดส่องเข้ามาถึงเพียงช่วงเวลาสั้นๆ
เด็กหนุ่มยังคงทำหน้าไร้อารมณ์จดจ้องตัวเองผ่านช่องว่างระหว่างผมหน้าสีน้ำตาลอ่อนที่เหยียดตรงเรียบๆ ต่อไป
ใบหน้าที่ไม่ค่อยยิ้มแย้ม ประกอบกับหางตาที่ชี้ขึ้นเล็กน้อย ทำให้สายตาของเด็กหนุ่มดูเฉียบคมจนดูไม่เหมือนนักเรียนมัธยมต้น
เมื่อเทียบกับเพื่อนร่วมห้อง เขาถือว่าเป็นคนตัวสูง อย่างน้อยก็เรื่องนี้แหละที่ดูสมวัย มัธยมต้นเป็นวัยที่ร่างกายกำลังเจริญเติบโต ตำแหน่งของใบหน้าที่สะท้อนในกระจกแตกต่างจากตอนเริ่มย้อมผมอย่างเห็นได้ชัด
ขณะเด็กหนุ่มจับผมหน้าเพื่อสำรวจปลายผมให้ชัดๆ อยู่นั้น เสียงเรียกก็ดังมาจากประตูบ้าน
“มาโมรุ มานี่หน่อย~”
เสียงของยาย
เขารู้ว่ามีแขกมาเพราะได้ยินเสียงกดกริ่งและเสียงสนทนาดังมาจากประตูทางเข้าบ้าน ตอนแรกคิดว่าคนรู้จักสักคนมาเยี่ยมยายผู้ชอบเมาท์มอยเสียอีก
“มาโมรุ~”
หลังทิ้งช่วงไปหลายวินาทีโทนเสียงของยายก็เปลี่ยนเป็นเร่งเร้า
ชื่อของเด็กหนุ่มคือ นาคากามิ มาโมรุ

“ยายเรียกตั้งหลายครั้งแล้ว โธ่”
“มีอะไร?”
หลังโดนเรียกเป็นครั้งที่สาม ในที่สุดมาโมรุก็ยอมเดินออกมาและปิดผนึกคำตำหนิของยายด้วยคำถามสามพยางค์ ที่น้ำเสียงฟังดูห้วนๆ ไม่ใช่เพราะกำลังขุ่นเคืองหรือเป็นช่วงพีกของวัยต่อต้าน แต่มาโมรุเป็นอย่างนี้มาตั้งแต่ก่อนเข้าวัยรุ่นแล้ว แทบไม่แสดงอารมณ์เสียเป็นส่วนใหญ่
หลานชายคนนี้จะยอมปริปากเฉพาะความจำเป็นขั้นต่ำเท่านั้น ยายเคยพูดว่า “ยายพูดหนึ่งเดือนเท่ากับหลานพูดตลอดทั้งปีเลยเนอะ” แม้ล้อเล่นแต่ก็เป็นแบบนั้นจริงๆ ยายในวัยเกินหกสิบทั้งพูดเก่งทั้งร่าเริง ดูเปี่ยมล้นไปด้วยพลังจนคาดเดาอายุไม่ถูก
บริเวณหน้าประตูบ้านที่โดนเรียกให้ออกมา แขกสองคนกำลังยืนอยู่
“เพื่อนบ้านเพิ่งย้ายมา ชิซุราอิซัง”
คงเป็นแม่ลูกกันละมั้ง คนหนึ่งเป็นหญิงวัยกลางคน ส่วนอีกคนที่ยืนเยื้องไปข้างหลังเล็กน้อยเป็นผู้ชายตัวผอมเพรียว ดูอายุมากกว่ามาโมรุนิดหน่อย น่าจะเรียนอยู่ชั้นมัธยมปลาย
วันนี้เป็นวันอาทิตย์ สาเหตุที่มีเสียงดังตึงตังหน้าบ้านตั้งแต่เช้าเพราะรถบรรทุกขนของย้ายบ้านนี่เอง ไม่คิดว่าจะมีคนย้ายมาอยู่บ้านข้างๆ ที่ถูกปล่อยทิ้งร้างอยู่ตั้งนาน
“ยินดีที่ได้รู้จักนะจ๊ะ”
ผู้หญิงส่งยิ้มให้ มาโมรุก้มศีรษะเล็กน้อยตามปฏิกิริยาตอบสนองแม้ยังสับสนอยู่
“...สวัสดีครับ”
มาโมรุคิดในใจ เหมือนเป็นแม่ลูกปลอมๆ เลย
กลิ่นอายเหมือนแม่ลูกที่หลุดออกมาจากในละคร อาจเพราะดูดีเกินไป รูปร่างหน้าตางดงาม ขนาดสวมเสื้อผ้าสบายๆ เหมาะกับงานขนของย้ายบ้านยังดูสง่า
ลูกชายวัยมัธยมปลายเป็นคนมารยาทเรียบร้อย ยอมออกมาทักทายเพื่อนบ้านพร้อมแม่ด้วย แตกต่างจากสามัญสำนึกของมาโมรุ
คงเพราะเติบโตมาในสภาพแวดล้อมต่างกันละมั้ง
แม่ของมาโมรุ ‘ปลอม’ ในอีกความหมาย เครื่องสำอางหน้าเตอะกับน้ำหอมกลิ่นฉุน ครั้งหนึ่งเขาเคยพูดกับแม่ตรงๆ ว่าแต่งมากเกินไป เลยโดนตบหัวเข้าให้ มาโมรุจึงไม่อาจพูดได้เต็มปากว่าแม่เป็นแม่ในอุดมคติไม่ว่าจะด้านไหนๆ
“ที่จริงสมัยก่อนเราเคยเจอกันแล้วล่ะ แต่ตอนนั้นมาโมรุคุงยังเด็กเลยจำไม่ได้ละมั้ง บ้านข้างๆ เป็นบ้านเกิดของป้าเอง”
พอโดนผู้เป็นแม่เร่งเร้า ลูกชายใบหน้าได้แม่มาเต็มๆ ก็กล่าวคำทักทาย
ชื่อของลูกชายคือ ‘มาซาฟุมิ’
ชิซุราอิ มาซาฟุมิ
“ฝากเนื้อฝากตัวด้วย มาโมรุคุง”
มาโมรุเหลือบมองใบหน้า ผิวขาวผ่อง คางเรียวแหลม ให้ความรู้สึกบอบบางเหมือนเป็นลูกคุณหนู พออีกฝ่ายส่งยิ้มให้ มาโมรุทำตัวไม่ถูกเลยเผลอเบนสายตาไปทางอื่น หลังจากนั้นก็ไม่ได้มองหน้ากันอีกเลย
“สวัสดี” มาโมรุตอบกลับแค่นั้นพร้อมผงกศีรษะเล็กน้อยอีกครั้ง
อากาศฤดูร้อนแปรเปลี่ยนเป็นสายลมอุ่นพัดเข้ามาผ่านประตูหน้าบ้านที่เปิดค้างอยู่

มาโมรุเกิดที่เมืองนี้
ทั้งโรงพยาบาลที่เกิด อะพาร์ตเมนต์ที่เติบโต บ้านของยาย ตั้งแต่สถานที่เล่นไปจนถึงอาคารเรียน ทั้งหมดล้วนอยู่ในเมืองนี้
หากไปอีกหน่อยก็จะถึงทะเลของเมืองโชนัน ละแวกนั้นแหละ ‘อีกหน่อย’ ที่ว่าหมายถึงขับรถไปแค่ประมาณสิบถึงสิบห้านาที แต่ก็ถือว่าไกลสำหรับเด็กมัธยมต้น
แม้บ้านข้างๆ มีการเปลี่ยนแปลง แต่วันต่อมามาโมรุก็ยังใช้ชีวิตตามปกติ ยังทำหน้าบึ้งตึงไปโรงเรียนตามปกติ และกลับบ้านด้วยสีหน้าแบบเดียวกันตามปกติ เขาเดินสับขาผ่านลูกชายข้างบ้านที่นั่งยองๆ ถอนวัชพืชซึ่งขึ้นรกอยู่ในสวน
ถึงโดนสั่งให้สนิทสนมกันก็เถอะ แต่ไม่ใช่เด็กอนุบาลหรือเด็กประถมที่เจอกันในสวนสาธารณะสักหน่อย และเขาก็ไม่ได้อยากเสวนากับนักเรียนมัธยมปลายด้วย
ทว่าไม่รู้ ‘ทางนั้น’ คิดอะไรอยู่ บังเอิญเจอกันทีไรเป็นต้องเอ่ยปากทักทายตลอด
“มาโมรุคุง อรุณสวัสดิ์”
“มาโมรุคุง กลับบ้านแล้วเหรอ?”
“มาโมรุคุง กินแตงโมไหม? อากาศร้อนแบบนี้ต้องเติมน้ำให้ร่างกายด้วยนะ”
มาโมรุตอบกลับแบบขอไปทีเสมอ ส่วนหนึ่งเพราะไม่คุ้นชินเวลามีคนกระตือรือร้นเข้ามาตีสนิทด้วย ส่วนอีกเหตุผลคือ รำคาญท่าทีกร่างหน่อยๆ ที่ทำอย่างกับว่าเป็นรุ่นพี่อายุมากกว่า
...แต่ช่วยไม่ได้ เพราะก็อายุมากกว่าจริงๆ
แม้ทำเมินใส่ ทางนั้นก็ไม่ยอมเข็ดหลาบ
“โรงเรียน ม.ต้น แถวนี้ กฎโรงเรียนไม่เข้มงวดเหรอ?”
หลังผ่านไปครึ่งเดือน วันหนึ่งลูกชายข้างบ้านก็พูดจาแทงใจดำมาโมรุอย่างนุ่มนวล
เหตุเกิดระหว่างทางไปโรงเรียนตอนเช้า ลูกชายข้างบ้านไปโรงเรียนมัธยมปลายด้วยรถไฟฟ้าเป็นประจำ วันนั้นทั้งสองบังเอิญเดินไปด้วยกันระหว่างทาง
ลูกชายข้างบ้านวิ่งไล่ตามนักเรียนมัธยมต้นในชุดเครื่องแบบเสื้อเชิ้ตสีขาวแขนสั้นคู่กับกางเกงสแล็กสีดำจนเนกไทลายทแยงเส้นใหม่เอี่ยมแกว่งไกว พอตามมาทันข้างหลังก็เอ่ยปากทักทายด้วยประโยคนั้นทันที
“อยากจะพูดอะไร?”
“หมายความตามนั้นแหละ ย้อมผมได้ด้วยเหรอ อาจารย์ไม่ว่าเหรอ”
“ก็เปล่านี่”
ช่วงแรกเหมือนอาจารย์บ่นๆ อะไรสักอย่าง แต่ตอนนี้สถานการณ์สงบดี ส่วนเพื่อนร่วมห้องก็ตีตัวออกห่างมาโมรุตั้งนานแล้ว
คนที่ยังวุ่นวายด้วยก็มีแค่เพื่อนบ้านที่โผล่มากะทันหันเท่านั้นแหละ
“ฟอกสีผมตั้งแต่ ม.ต้น มันไม่ดีต่อผมหรือเปล่า~ อนาคตผมบางไม่รู้ด้วยนะ?”
ลูกชายข้างบ้านที่เป็นนักเรียนมัธยมปลายตัวสูงกว่ามาโมรุ จึงเหมือนอีกฝ่ายก้มหน้าจ้องลงมาทำให้รู้สึกอึดอัดแปลกๆ
“...อย่ามายุ่งน่า”
“อ๊ะ เมื่อกี้แอบอึ้งล่ะสิ เห็นชะงักไปแป๊บหนึ่ง”
น้ำเสียงดีใจที่ได้เห็นปฏิกิริยาขัดกับภาพลักษณ์ของมาโมรุดังมาจากข้างหลัง
“น่ารำคาญ”
คราวนี้มาโมรุตอบกลับทันทีโดยไม่หยุดชะงัก หลังจากนั้นเหมือนอีกฝ่ายยังพล่ามอะไรสักอย่างต่อ ประมาณว่า “เป็นนักเรียน ม.ต้น ก็ควรเอาเงินไปซื้อโน่นซื้อนี่ให้สมกับเป็นนักเรียน ม.ต้น ไม่ดีกว่าเหรอ” แต่เขาเมินใส่ทั้งหมดแล้วรีบเดินสับขาไปข้างหน้า
พอถึงถนนทางแยก “ไปล่ะ แล้วเจอกัน” ทางนั้นโบกมือลา
แล้วเจอกันอะไร ไม่ต้องพูดก็ได้ ทว่าเช้าวันถัดมาดันเจอกันตรงสถานีรถไฟฟ้าอีกแล้ว แถมยังเปลี่ยนมาเรียกชื่อแปลกๆ
“อรุณสวัสดิ์ น้องประหยัดพลังงาน”
“...อะไรน่ะ”
“เห็นไม่ค่อยพูด เลยคิดว่าออมแรงเอาไว้แน่เลย”
พลังงานที่ใช้ในการพูดคุยน่าจะน้อยกว่าเครื่องใช้ไฟฟ้าโหมดสแตนด์บายด้วยซ้ำ แต่เวลาคุยกับลูกชายข้างบ้านระบบต่างๆ กลับปั่นป่วนไปหมด ทำให้รู้สึกเหนื่อยเอามากๆ
มาโมรุกำลังนั่งอยู่บนราวเหล็กกันชนซึ่งติดตั้งเลียบไปกับวงเวียนหน้าสถานีรถไฟฟ้า เนื่องจากเป็นวันหยุดเขาจึงใส่ชุดลำลอง และไม่แน่ใจว่าลูกชายข้างบ้านว่างมากหรืออย่างไรถึงนั่งเบียดเข้ามาบนราวเหล็กความยาวขนาดนั่งได้สองคนพอดิบพอดี มาโมรุสะดุ้งโหยง
“นี่ ขืนมายุ่งกับฉันมากๆ ระวังจะโดนมองเป็นตัวอันตรายเข้าล่ะ”
มาโมรุเผลอพูดจาเหมือนกำลังเป็นห่วง
“ตัวอันตราย?”
“พ่อฉันเป็นยากูซ่า”
“เอ๋ อย่างนั้นเหรอ?”
คำพูดที่ไม่เข้ากับยามเช้าแสนสดใส ขัดกับเมฆคิวมูโลนิมบัส ขาวสูงตระหง่านทำเอาลูกชายข้างบ้านเบิกตาโต
“ไม่รู้สิ แต่ทุกคนพูดแบบนั้น”
“ไม่รู้ ทั้งที่เป็นเรื่องของพ่อตัวเองเนี่ยนะ...”
“พ่อกับแม่หย่ากันตั้งแต่ฉันยังเด็ก จำหน้าพ่อไม่ได้หรอก”
จำได้แค่รางๆ ว่าเป็นผู้ชายเสียงดัง เสียงนั้นตวาดใส่มาโมรุจนถึงวันที่หย่าร้างกับแม่และออกจากบ้านไป ชีวิตซึ่งเหลือกันเพียงสองแม่ลูกอยู่กันสงบสุขแค่ช่วงแรกเท่านั้น พอรู้ตัวอีกทีผู้ชายนิสัยคล้ายพ่อก็เริ่มเข้าๆ ออกๆ บ้านอีกครั้ง
แม่ไม่มีเซนส์เรื่องผู้ชาย แต่ก็ขาดผู้ชายไม่ได้เช่นกัน วันที่แม่ไม่กลับบ้านเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ จนในที่สุดตอนมาโมรุอยู่ชั้นประถมสี่ แม่ก็หายไปดื้อๆ และไม่กลับมาอีกเลย
สาเหตุที่จำช่วงเวลาแน่ชัดไม่ได้เป็นเพราะตอนแรกเขาเข้าใจว่าแม่แค่ออกไปค้างนอกบ้านตามปกติ จึงตั้งหน้าตั้งตารอแม่กลับมา แม่เป็นคนประเภทที่ว่าพอมีคนรักก็มักหลงลืมมาโมรุไป มาโมรุรู้อยู่แล้วจึงไม่ตกใจมาก แต่ก็ใช่ว่าไม่รู้สึกอะไรเลย
เขาใช้ชีวิตอย่างยากลำบาก เงินที่เหลืออยู่ในบ้านเพียงน้อยนิดหมดลงอย่างรวดเร็ว แน่นอนว่าเขาไม่มีเงินจ่ายค่าเช่าห้องและค่าสาธารณูปโภค อาหารกลางวันของโรงเรียนเป็นมื้อเดียวที่ประทังชีวิต และเมื่อเลยกำหนดชำระค่าอาหารกลางวัน ครูก็สังเกตเห็นความผิดปกติ
มาโมรุได้รับความคุ้มครองและย้ายมาอยู่กับยายซึ่งแม่ตัดความสัมพันธ์ด้วยไปนานแล้ว ตอนนั้นเองข่าวลือเริ่มแพร่สะพัดในหมู่เพื่อนบ้าน แม้ไม่มีใครมาพูดกับด้วยโดยตรง แค่ดูจากท่าทีของเพื่อนร่วมห้องก็พอจะเดาได้
แม่ละทิ้งลูก พ่อเป็นยากูซ่า
ไม่สำคัญหรอกว่าความจริงเป็นอย่างไร สิ่งสำคัญคือความคิดของคนรอบข้าง เพราะมันส่งผลโดยตรงทำให้ชีวิตในสถานที่ที่เรียกว่าโรงเรียนเปลี่ยนไป
โลกของโรงเรียนคับแคบยิ่งกว่ารถไฟคนแน่นขบวนเสียอีก และอีกนานเลยกว่ามาโมรุจะโตเป็นผู้ใหญ่จนสามารถใช้ชีวิตเพียงลำพังได้
ที่มาโมรุเปลี่ยนสีผมก็เพื่อสร้างเหตุผลให้ทุกคนตีตัวออกห่างด้วยตัวเอง อาจฟังดูขัดแย้ง แต่ในเมื่อคนรอบข้างต่างตราหน้า มองตนด้วย ‘สายตาแบบนั้น’ งั้นก็ผลักดันภาพลักษณ์นั้นด้วยตัวเองเสียเลย ดีกว่าและสบายใจกว่าเป็นไหนๆ
“นี่”
ชายหนุ่มเหยียดขาทิ้งน้ำหนักตัวลงบนท่อ ไม่มีทีท่าว่าจะลุกขึ้น มาโมรุเห็นแล้วตกใจเล็กน้อย
“นายฟังที่คนอื่นพูดบ้างหรือเปล่า? ยังทำตัวตามสบายอยู่ได้อีก”
“ฟังอยู่ แล้วไงล่ะ ต่อให้เป็นตัวอันตราย เป็นลูกชายยากูซ่า หรือมีแนวโน้มหัวล้านก็ไม่เห็นเป็นอะไรเลย เอาจริงๆ ฉันเป็นตัวอันตรายกว่าตั้งเยอะ”
มาโมรุจดจ้องคนข้างๆ ที่พูดจาแฝงความนัย อีกฝ่ายไม่มีท่าทีหวั่นไหวแม้แต่น้อย สายตาพุ่งตรงไปยังแถวรถยนต์ที่แล่นเข้าออกรอบวงเวียน
“ว่าแต่ทำอะไรอยู่เหรอ?”
“เอ๋?”
“เปล่า เห็นออกมาข้างนอกแต่เช้าทั้งที่เป็นวันเสาร์ เลยสงสัยว่ามาทำอะไรน่ะ ส่วนฉันมาซื้อของ กำลังจะกลับ แต่ของที่ว่าก็แค่ถ่านไฟฉายสองก้อน”
เขาชูถุงพลาสติกใบเล็กจิ๋วให้ดู แล้วมาโมรุก็เผลอตอบไปตามความจริง
“...เอาของที่ยืมมาคืนเจ้าของ”
“ของที่ยืมมา?”
สิ่งที่อยู่ในกระเป๋าเสื้อเชิ้ตซึ่งสวมทับเสื้อกล้ามคือผ้าเช็ดหน้า มาโมรุใส่มันไว้ตรงนั้นเพื่อป้องกันการยับและโดนเหงื่อ เป็นผ้าเช็ดหน้าสีชมพูที่ดูอย่างไรก็รู้ว่าเป็นของผู้หญิง
ช่วงต้นฤดูใบไม้ผลิมีหิมะตกหลงฤดู เขาช่วยเด็กสาวคนหนึ่งที่ลื่นล้มบนพื้นน้ำแข็งเกาะ ทำให้กางเกงตัวเองพลอยเปียกไปด้วย เธอจึงให้ยืมผ้าเช็ดหน้ามา ทว่าหลังจากนั้นเขาก็พลาดโอกาสคืนผ้าเช็ดหน้าให้เจ้าของจนล่วงเลยมาถึงตอนนี้
เรื่องก็มีแค่นั้นแหละ เป็นเรื่องธรรมดาที่เกิดขึ้นบ่อยๆ...หรือเปล่าไม่แน่ใจ
“ปกติเขาจะเดินผ่านตรงนี้ทุกเช้า แต่ช่วงนี้ไม่เห็นเลย”
เด็กสาวคนนั้นเป็นนักเรียนโรงเรียนมัธยมต้นเอกชนละแวกนี้ เห็นเครื่องแบบแวบเดียวก็รู้แล้ว เพราะเป็นเครื่องแบบนักเรียนปกกะลาสีสไตล์คุณหนูที่สาวๆ น่าจะชื่นชอบ
จากที่บังเอิญได้ยินบทสนทนาระหว่างรอสัญญาณไฟจราจร เหมือนเธอจะเรียนอยู่ระดับชั้นเดียวกับมาโมรุ
ลูกชายข้างบ้านฟังเรื่องเล่าพลางตอบรับเป็นช่วงๆ แต่แล้วจู่ๆ ก็ทำเสียง “หืม?” พร้อมทำหน้าฉงน
“ถ้าเห็นบ่อยๆ ทำไมถึงไม่รีบคืนไปล่ะ อยู่ใกล้กันขนาดได้ยินเสียงคุย ทำไมถึงคิดจะคืนให้เขาเอาป่านนี้...”
อีกฝ่ายเอียงศีรษะ จากนั้นก็ทำหน้า ‘อ๊ะ’
“เข้าใจแล้ว”
“...อะไร?”
“ความรักสินะ”
“มะ ไม่ใช่”
“เธอไม่ได้อยากคืนผ้าเช็ดหน้า แต่อยากเจอผู้หญิงคนนั้นต่างหาก ใช่ไหมล่ะ?”
“บอกแล้วไงว่าไม่ใช่!”
ลูกชายข้างบ้านไม่ได้ยิ้มเยาะแบบมีเลศนัย แต่ก็ไม่มีทีท่าว่าจะยอมล่าถอยง่ายๆ เช่นกัน
“ดูสิ หน้าแดงใหญ่เลย”
“พะ เพราะนายพูดจาแปลกๆ ต่างหาก”
“ได้นะ เดี๋ยวฉันช่วยหา”
“ไม่ได้ และไม่จำเป็นต้องช่วยด้วย...เฮ้ย ทำอะไรน่ะ”
มาโมรุต่อต้านพลางมองสิ่งที่ลูกชายข้างบ้านค่อยๆ ล้วงออกมาจากกระเป๋ากางเกงอย่างประหลาดใจ มันคือสมุดโน้ตสันห่วงเล่มเล็ก คลิก อีกฝ่ายกดปากกาลูกลื่นแบบกดที่หยิบออกมาพร้อมกัน
“จำเป็นต้องจดบันทึกด้วยเหรอ?”
“อืม? ก็เป็นเรื่องสำคัญนี่นา”
...เรื่องสำคัญ นี่คิดจะจดบันทึกว่าตนตกหลุมรักเด็กสาวเจ้าของผ้าเช็ดหน้าอย่างนั้นเหรอ
มาโมรุนึกอยากกระชากสมุดโน้ตและฉีกเป็นชิ้นๆ แต่ลูกชายข้างบ้านคงสัมผัสได้ถึงออราอันตราย จึงหมุนตัวหันหลังมาทางนี้
กระดูกสะบักลอยชัดเจนผ่านเสื้อเชิ้ต ร่างกายบอบบางจนอดสงสัยไม่ได้ว่า หรือลำตัวแนวขวางยืดขยายไม่ทันการเจริญเติบโตของลำตัวแนวตั้ง ทั้งที่ภายนอกดูเหมือนเป็นคนอ่อนแอ แต่ความจริงเป็นผู้ชายนิสัยประหลาด ขนาดเมินใส่ก็ยังไม่เข็ดหลาบ เข้ามาชวนคุยด้วยตลอด
ไม่รู้เลยว่ากำลังคิดอะไรอยู่ เป็นคนที่เดาทางได้ยาก
มายุ่งกับคนอย่างตนไม่น่ามีอะไรสนุก ถึงกำลังหาคนอยู่ก็เถอะ แต่ก็แค่นั่งเหม่อมองอยู่หน้าสถานีรถไฟฟ้าอย่างที่เห็นเท่านั้น
“ไม่เห็นเขามานานเท่าไรแล้ว?”
“...ประมาณหนึ่งเดือน สงสัยย้ายบ้านไปแล้วมั้ง เคยได้ยินเขาคุยกับเพื่อนว่าลงเรียนพิเศษสถาบันกวดวิชาหน้าสถานี เดาว่าน่าจะเรียนช่วงสุดสัปดาห์เลยลองมาดู”
พออธิบายออกมาเป็นคำพูด มาโมรุก็รู้สึกเหมือนตัวเองเป็นสตอล์กเกอร์อย่างไรไม่รู้ ถ้าเป็นเด็กหนุ่มความประพฤติดีนิสัยร่าเริงก็ว่าไปอย่าง แต่นี่ดันเป็นคนที่เพื่อนร่วมห้องหลีกเลี่ยงคบหาด้วย มาคิดๆ ดู สาเหตุที่ผู้หญิงคนนั้นให้ยืมผ้าเช็ดหน้าอาจเพราะหวาดกลัวไม่อยากมีปัญหาภายหลังโทษฐานทำให้เสื้อผ้าของเขาเปียกก็เป็นได้
ลูกชายข้างบ้านที่นั่งอยู่ข้างๆ หันมาทำหน้าเคร่งขรึม ราวกับต้องการปฏิเสธความคิดแย่ๆ ที่วนเวียนอยู่ในสมองของมาโมรุ
“ถ้าย้ายบ้านแต่ยังมาเรียนพิเศษได้ งั้นก็ไม่น่าย้ายโรงเรียนนะ เป็นโรงเรียนเอกชนใช่ไหม?”
“หมายความว่าเขาไม่มาเรียนพิเศษแล้วด้วยเหรอ?”
“อืม เขาไม่มาโรงเรียนจริงๆ หรือเปล่า? หรือแค่เปลี่ยนเส้นทางรถไฟฟ้า”
“แต่นี่เป็นสถานีที่ใกล้โรงเรียนเขามากที่สุดนะ”
“หลังลงรถไฟฟ้าแล้ว ทางออกฝั่งตรงข้ามใกล้โรงเรียนมากกว่าไหม? ช่องตรวจตั๋วมีแค่ช่องเดียวเหรอ?”
“อ๊ะ...”
อาจไม่สะดุดตานัก แต่มีช่องตรวจตั๋วไร้คนเฝ้าสำหรับผู้อาศัยอยู่ด้านหลังสถานี
แต่เนื่องจากโรงเรียนกวดวิชาตั้งอยู่ในอาคารย่านชุมชนด้านหน้า มาโมรุจึงตัดสินใจนั่งรอตรงนี้ต่อไป
“เขาเรียนกวดวิชากี่โมง?”
“ไม่รู้สิ”
“มานั่งรอทั้งที่ไม่รู้เนี่ยนะ? อดทนเก่งดีจัง”
น้ำเสียงตกใจสั่นสะเทือนทั้งโสตประสาทและหัวใจ
“โทษทีแล้วกัน พอดีเป็นพวกยึดติด”
“ฉันไม่ได้พูดแบบนั้นสักหน่อย แค่คิดว่าพลังความรักนี่มันสุดยอดเลย”
“...เปล่า แค่ชินกับการรอคอยแล้วก็เท่านั้น”
คราวนี้มาโมรุไม่ได้ปฏิเสธความรู้สึกของตัวเองอย่างเด็ดขาด ใช่ว่าไม่รู้ตัวเลย เขาเคยครุ่นคิดถึงสาเหตุอยู่เหมือนกัน ว่าทำไมถึงเอาแต่มองหาเด็กสาวเจ้าของผ้าเช็ดหน้า
ระหว่างรอ เนื่องจากไม่มีอะไรทำมาโมรุจึงคุยสัพเพเหระกับลูกชายข้างบ้านไปเรื่อย เอาจริงๆ เขาไม่ได้พูดอะไรเท่าไร ทางนั้นเป็นฝ่ายชวนคุยมากกว่า พอท้องหิวก็เข้าไปหาอะไรกินในร้านสะดวกซื้อตรงหน้า ตกบ่ายอากาศร้อนก็ซื้อไอศกรีมกับเครื่องดื่มมาดับกระหาย เหมือนกิจกรรมทั่วไปที่นักเรียนมัธยมต้นมัธยมปลายมักทำหลังเลิกเรียน
เพียงแต่เป็นวันเสาร์
“หรือว่าที่โรงเรียน ม.ปลาย นายเป็นพวกไม่มีเพื่อนคบ?”
มาโมรุเอ่ยปากถามขณะถือไม้ไอศกรีมที่กินหมดแล้วและไม่รู้จะจัดการอย่างไรดี คนข้างๆ ยื่นถุงพลาสติกมาให้
“ทำไมถึงคิดแบบนั้นล่ะ?”
“เห็นมาอยู่กับฉันแบบนี้ เลยสงสัยว่าคงไม่มีเพื่อน”
“แม่บอกให้เราสนิทสนมกันเอาไว้ไง”
“หืม ทำตามคำสั่งด้วย? เอาจริงเอาจังเหลือเกินนะ”
มาโมรุผิดหวังเล็กน้อย แต่ก็ไม่ได้คาดหวังตั้งแต่แรกอยู่แล้วว่าสาเหตุที่อีกฝ่ายเข้าหา มาชวนคุยโน่นนี่ เป็นเพราะถูกใจ อยากเป็นเพื่อน
“คนเอาจริงเอาจังคือเธอต่างหาก เป็นห่วงเขามากขนาดนั้น ใจดีจังเนอะ”
“มะ ไม่ได้เป็นห่วงสักหน่อย แล้วก็ไม่เคยมีใครบอกว่าฉันเป็นพวกเอาจริงเอาจังหรือว่าใจดีด้วย...อ๊ะ”
“เอ๋?”
สายตาของมาโมรุจับจ้องฝูงชนซึ่งหลั่งไหลออกมาจากอาคารสถานี
เด็กสาวที่ตามหาเดินปะปนอยู่ในฝูงชนนั้น เสื้อผ้าหน้าผมแตกต่างจากภาพที่วาดในใจเล็กน้อย
เธอไม่ได้สวมชุดนักเรียนปกกะลาสี แต่เป็นเสื้อเบลาส์กับกระโปรงสั้นทรงพลิ้ว ส่วนทรงผมก็ไม่ใช่ผมเปียสองข้าง เส้นผมที่ปล่อยยาวสลวยเด้งตามจังหวะการเดิน
“หรือว่าผู้หญิงคนนั้น...”
ลูกชายข้างบ้านอ้าปากหวอไม่ได้พูดอะไรต่ออีก
มาโมรุก็ไม่ได้พูดอะไรเช่นกัน
เด็กสาวเดินผ่านพวกเขาไปโดยไม่ได้สนใจ เธอแหงนมองชายแปลกหน้าที่เดินอยู่เคียงข้าง ดวงตากลมโตซึ่งกำลังจดจ้องชายคนนั้นทอประกายเจิดจ้า

“แบบนี้ดีแล้วเหรอ?”
ตอนที่อีกฝ่ายเอ่ยปากถาม พวกเขาเดินออกจากสถานีรถไฟฟ้ามาได้พอสมควรแล้ว
ลูกชายข้างบ้านที่ปกติพูดน้ำไหลไฟดับเงียบมาตลอดจนถึงตอนนี้
ไม่ต้องถามว่า ‘เรื่องอะไร?’ ก็รู้อยู่แก่ใจ สรุปว่าไม่ได้คืนผ้าเช็ดหน้าให้เด็กสาว มันยังอยู่ในกระเป๋าเสื้อเชิ้ตของมาโมรุตามเดิม
บรรยากาศไม่เป็นใจให้หยิบผ้าเช็ดหน้าที่ยืมมาเมื่อหลายเดือนก่อนออกมาคืนเจ้าของเลย ไม่ว่าคนที่มาด้วยกันเป็นแฟนหนุ่มหรือเป็นแค่เพื่อนสถาบันกวดวิชา สำหรับเด็กสาวแล้วเขาคนนั้นคือคนพิเศษ และช่วงเวลานั้นคือช่วงเวลาพิเศษโดยไม่ต้องสงสัย
“ดีแล้ว เหมือนทางนั้นลืมไปแล้วด้วย”
“ไม่มีทางลืมหรอก เวลาใครสักคนมีน้ำใจกับเรามันดีใจมากเลยนะ ไม่น่าลืมกันได้ง่ายๆ หรอกมั้ง? ปกติแล้ว...ต้องยังจำได้แน่นอน”
...อาจเป็นแบบนั้นก็ได้
อาจเป็นแบบนั้นจริงๆ แหละ
มาโมรุหันไปมองชายหนุ่มซึ่งกำลังเดินหน้าเจื่อนเล็กน้อย และคิดอย่างนั้นจากใจ
ตัวเขาเองก็คงไม่มีวันลืมเหตุการณ์วันนี้
เหตุการณ์ที่คนข้างบ้านจอมจุ้นมาช่วยหาคน
“ไม่กลับบ้านเหรอ?”
ปกติมาโมรุจะเดินสับขารัวเหมือนต้องการสลัดอีกฝ่ายให้หลุดเพราะรำคาญ แต่ตอนนี้เขาเดินช้าๆ มุ่งหน้าไปทางอ้อม
“ทางนี้ดีกว่า”
มาโมรุไม่ได้บอกว่าดีกว่าอย่างไร แต่หลังเดินเลียบแม่น้ำขึ้นมาบนสะพาน ปฏิกิริยาตามที่คาดไว้ก็ดังมาจากข้างหลัง
“ว้าว เห็นทะเลด้วย!”
ทะเลอยู่ห่างจากเมืองไปเล็กน้อย สะพานบนเนินสูงแห่งนี้สามารถมองเห็นแม่น้ำกับทะเลส่วนหนึ่งที่อยู่สุดปลายทิวทัศน์เมือง
ทะเลสีคราม วันที่อากาศดีจะทอประกายระยิบระยับราวกับแก้วหรือกระจก
มาโมรุถูกใจสถานที่แห่งนี้
ดูเหมือนลูกชายข้างบ้านก็ถูกใจเช่นกันถึงได้หยุดเดิน วางมือทั้งสองข้างบนราวสะพานหินแล้วพึมพำ
“ทะเลที่มองจากไกลๆ นี่ดีจัง”
อีกฝ่ายหรี่ตาสู้แสงอาทิตย์ที่เริ่มเบนไปทางทิศตะวันตก
“ทะเลเนี่ย ไม่รู้ทำไมเห็นแล้วรู้สึกตื้นตันใจบอกไม่ถูกเนอะ ว่าไหม?”
“หมายความว่าไง?”
“ยกตัวอย่างเช่น เวลานั่งรถไฟแล้วเห็นภูเขานอกหน้าต่างก็ไม่ได้รู้สึกคึกคักสักเท่าไร แต่พอเห็นทะเลจะแบบว่า ‘ว้าว ทะเล~’ ประมาณนี้ใช่ไหมล่ะ”
“อ้อ จะว่าไปก็จริง”
ทั้งที่เติบโตในประเทศที่มีทะเลรายล้อม ไม่ใช่แผ่นดินใหญ่ที่ไม่รู้จักทะเลสักหน่อย จะว่าแปลกก็แปลกเหมือนกัน
อาจเป็นความคิดถึงละมั้ง ว่ากันว่าสิ่งมีชีวิตเกิดจากท้องทะเล ดังนั้นจึงมีความเป็นไปได้ว่าทะเลคือสิ่งพิเศษระดับ DNA เช่นเดียวกับสัญชาตญาณแสวงหาอากาศและน้ำเพื่อดำรงชีพ
ต่อให้ไม่มีในความทรงจำก็เถอะ
...คิดอะไรเนี่ย มาโมรุอายเกินกว่าจะถ่ายทอดออกมาเป็นคำพูด ขณะยืนนิ่งเงียบมองไปทางทะเลที่เห็นแล้ว ‘ตื้นตันใจ’ ชายคนข้างๆ ก็หยิบสมุดโน้ตออกมาจากกระเป๋ากางเกง
“อะไร จดบันทึกอีกแล้ว? เส้นทางแค่นี้ไม่หลงง่ายๆ หรอก”
“มันสำคัญ เลยต้องจดเอาไว้”
มาตรฐานคัดกรองเรื่องสำคัญค่อนข้างต่ำ
เส้นทางง่ายๆ แค่นี้ แม้แต่ยายซึ่งช่วงนี้บ่นว่าลืมโน่นลืมนี่บ่อยขึ้นยังจำได้โดยไม่ต้องจดบันทึกเลย
ดูท่าคงสัมผัสได้ถึงสายตาของมาโมรุ ชายหนุ่มที่วางสมุดโน้ตลงบนราวสะพานเลยพยายามเปลี่ยนเรื่องคุย
“จะตะโกนว่า ‘บ้าเอ๊ย’ จากตรงนี้ก็ได้นะ?”
“ทำไมต้องทำด้วย?”
“เศร้าเรื่องเจ้าของผ้าเช็ดหน้าอยู่ไม่ใช่เหรอ”
“เปล่าสักหน่อย”
“เด็ก ม.ต้น ทำเป็นเก๊ก ไม่น่ารักเลย”
“ไม่ได้ทำเป็นเก๊ก เปล่าจริงๆ”
มาโมรุไม่ได้เศร้าจริงๆ
รักครั้งแรก อกหักครั้งแรก มันก็ควรเศร้าอยู่หรอก แต่เขากลับรู้สึกแจ่มใสอย่างบอกไม่ถูก
ที่เอาแต่ครุ่นคิดถึงเด็กสาวคนนั้น อาจเพราะจู่ๆ ก็ไม่เจอตัวเธอแล้วมากกว่า ความคิดที่ว่าจะคืนของให้เมื่อไรก็ได้กลับไม่สามารถทำได้แล้ว
คืนสิ่งที่ยืมมาแก่เจ้าของ ทั้งสิ่งที่มีรูปร่างและไม่มีรูปร่าง เมื่อทำเช่นนั้น ‘บางสิ่งบางอย่าง’ จะวนเวียนไปมาระหว่างคนสองคน และทำให้ความไว้วางใจค่อยๆ ผลิบานขึ้น
ต่างจากแม่ที่ไม่เคยสอนอะไรเลย ยายสอนมาโมรุมากมาย
รวมถึงเรื่องที่ยากจะบอกได้ว่าสามารถเอาไปใช้จริงๆ ได้ด้วย
“นี่ เราลงไปข้างล่างจากตรงนั้นได้หรือเปล่า?”
ชายหนุ่มชี้ไปทางบันไดทอดลงไปริมตลิ่งที่เจออยู่ระหว่างดงต้นกกสีเขียวชอุ่มสมเป็นฤดูร้อน ช่วงนี้ฝนไม่ตกปริมาณน้ำเลยน้อย แต่ผิวน้ำยังทอประกายระยิบระยับไม่ต่างจากท้องทะเลที่อยู่ไกลออกไป
ระยิบระยับราวกับกำลังเชื้อเชิญทั้งสอง
ระหว่างเดินลงบันไดหินฝ่าดงต้นกกปลายใบแหลมทิ่มแทงเหมือนหอกอยู่นั้น มาโมรุก็เอ่ยปากในสิ่งที่คิดขึ้นมาได้
“ถ้านายต้องการตามหาคน ฉันจะช่วยเอง”
“เอ๋?”
“ไม่ว่าเป็นคนรักที่ยังมีชีวิตอยู่ รักแรก หรืออะไรก็ได้ทั้งนั้น เมื่อไรที่นายอยากเจอใคร ฉันจะช่วยตามหา”
ดูเหมือนคำประกาศกร้าวแบบไม่มีปี่มีขลุ่ยจะสร้างความประหลาดใจให้ไม่น้อย ชายหนุ่มนิ่งเงียบไปครู่หนึ่งก่อนหัวเราะ “ฮ่าๆ” ออกมา
“ตอบแทนเรื่องวันนี้เหรอ? ซื่อตรงดีจัง อืม แต่ถ้าฉันมีรักแรกจริงๆ ก็ใช่ว่าไม่อยากเจอนะ”
“หมายความว่ายังไม่มีเหรอ?”
“นั่นสิ ยังไงดีล่ะ”
“ฮ่าๆ” ชายหนุ่มหัวเราะอีกครั้ง เหมือนบ่ายเบี่ยงไม่ยอมตอบ มาโมรุขุ่นเคืองใจ ตั้งแต่เมื่อไรไม่รู้ที่เขาอยากรู้อยากเห็นเรื่องของลูกชายข้างบ้านขึ้นมา ทั้งที่ก่อนหน้านี้ไม่เคยสนใจจนรู้สึกรำคาญนิดหน่อยด้วยซ้ำ
“ถ้าจะตอบแทนฉันละก็ อยากให้เรียกกันด้วยชื่อมากกว่า”
“ชื่อ?”
“ไม่ใช่ ‘นาย’ ฉันชื่อมาซาฟุมิ”
เป็นคำแนะนำที่สมเหตุสมผล แต่การจะเปลี่ยนวิธีเรียกใหม่ต้องอาศัยความกล้าระดับหนึ่งด้วย
“มาซาฟุมิ”
แล้วต้องต่อท้ายด้วยซังไหม มาโมรุลังเลอยู่เสี้ยววินาทีก่อนเอ่ยชื่อออกมา ดูเหมือนเรียกแค่ชื่อห้วนๆ ก็ไม่มีปัญหาอะไร ลูกชายข้างบ้านยิ้ม
ไม่ใช่แค่ไม่มีปัญหา เหมือนดีใจด้วยซ้ำ
พอออกมายังริมแม่น้ำกว้าง สายลมก็พัดปะทะ ต้นกกแกว่งไกวไปมา แสงอาทิตย์สะท้อนผิวน้ำแยงตา มาซาฟุมิซึ่งกำลังจดจ้องมาโมรุอยู่ร้อง “ว้าว” ออกมา
เหมือนวินาทีที่มองเห็นทะเล
“เส้นผมของเธอสะท้อนแสงด้วย เห็นเป็นสีทองล่ะ”




++++++++++++++++++++++++++++++++
แม้อาศัยอยู่กับคุอนซึ่งเป็นคนรัก แต่ชิซุราอิกลับโดนนาคากามิดึงดูดแบบไม่อาจหักห้ามใจได้ ชิซุราอิสูญเสียความทรงจำและสงสัยว่านาคากามิคืออดีตคนรักของตัวเอง ทว่านาคากามิตอบปฏิเสธ และระหว่างนั้นชิซุราอิก็ได้รู้ความจริงว่าคุอนแอบดัดแปลงไดอารีและสวมรอยเป็นคนรัก ถ้าอย่างนั้น ‘M’ คนรักที่อยู่เคียงข้างเขามาตลอดคือใครกันแน่ แท้จริงแล้วชิซุราอิกับนาคากามิรู้จักกันครั้งแรกเมื่อสิบกว่าปีก่อน สมัยทั้งคู่ยังเป็นนักเรียน... ภาคระลึกความหลัง ค้นพบความจริงเบื้องหลังความรักและการพลัดพรากอันแสนยาวนาน!!

รูปภาพ

ตอบกลับโพส

ย้อนกลับไปยัง “Bongkoch Books News & Activities”