New Release BLY แปล : รักนี้ไม่ใช่พรหมลิขิตหรอกนะ

อัพเดทข่าวบงกชบุ๊คส์ ความเคลื่อนไหว และกิจกรรมพิเศษ ตลอดจนร่วมสนุกชิงรางวัลพร้อมของรางวัลมากมาย

Moderator: P'Bly, Gals, พี่บี

ตอบกลับโพส
Gals
โพสต์: 1068
ลงทะเบียนเมื่อ: ศุกร์ 13 ก.พ. 2009 3:47 pm

New Release BLY แปล : รักนี้ไม่ใช่พรหมลิขิตหรอกนะ

โพสต์ โดย Gals »

รักนี้ไม่ใช่พรหมลิขิตหรอกนะ


“เธอคิดอยู่แล้วสินะว่าเราจะลงเอยกันแบบนี้?”
“ไม่ใช่นะ! ...แต่ว่า”
“แต่อะไร?”
“รู้สึกว่าฉันจะชอบนายตั้งแต่ก่อนได้พบกันเสียอีก”
“ไม่เห็นจะเข้าใจเลย”
“เดี๋ยวก็เข้าใจเองแหละมั้ง?”
“เหรอ”
“เพราะเราจะอยู่ด้วยกันตลอดไปแล้วนี่นา”
“อืม”

“...เอ้า คัต! ขอเช็กภาพก่อนนะครับ!”
สิ้นเสียงสั่งคัตของผู้กำกับ บรรยากาศที่ถูกสร้างขึ้นมาในฉากเมื่อครู่ก็สลายไปในชั่วพริบตา คนกลุ่มหนึ่งไปรวมกันอยู่หน้าจอมอนิเตอร์เล็กๆ และเริ่มพูดคุยออกความเห็นกัน “ออกมาดูดีนะเนี่ย” “ความรู้สึกที่ได้จากเทก 2 ดีกว่าเยอะเลย” “พอถ่ายด้วยโหมดแมนนวลแล้วก็ได้อารมณ์อีกแบบหนึ่งนะครับ” จากนั้นก็พยักหน้าให้กันก่อนจะมีเสียงประกาศข้อสรุปออกมาว่า “OK ครับ เลิกกองได้!”
“ขอบคุณที่เหนื่อยนะครับ/คะ...!”
บรรยากาศสบายๆ ปกคลุมไปทั่วพื้นที่โดยสมบูรณ์ รอยยิ้มปรากฏขึ้นบนใบหน้าของเหล่าชายหญิงที่อยู่หน้ากล้อง
อา ตอนนี้แหละที่น่ารักที่สุดเลย ซุมิคิดขณะจ้องมองเหตุการณ์นั้นจากบริเวณรอบนอก นั่นอาจเป็นเพราะเขารู้ดีว่าสิ่งที่เห็นมาตลอดจนกระทั่งเมื่อครู่เป็นแค่ ‘การแสดง’ แต่ก็เคยได้ยินมาเหมือนกันว่าแม้แต่ในการถ่ายภาพนิ่ง สีหน้าสบายๆ ของผู้คนหลังจากกดชัตเตอร์ไปแล้วนั่นแหละที่เป็นธรรมชาติและดีที่สุด
ซุมิส่งเสียงกล่าวคำว่า “ขอบคุณครับ” ท่ามกลางผู้คนที่กำลังพูดคุยล่ำลากัน พลางค้อมศีรษะให้พวกเขาขณะที่เดินเข้าไปหาผู้จัดการของนักแสดง
“ขอบคุณที่เหนื่อยกันนะครับวันนี้ เอ่อ ภาพบรรยากาศเบื้องหลังการถ่ายทำครั้งนี้จะขอนำไปลงในเว็บไซต์ของเราด้วยนะครับ...”
“อ๋อ ได้ครับ เดี๋ยวทางนี้จะส่งฟุตเทจที่มีไปให้ด้วย ยังไงถ้าคุณทำหน้าตัวอย่างที่จะลงในเว็บไซต์เสร็จแล้วรบกวนส่งให้ทางเราเช็กด้วยนะครับ”
“ครับ รบกวนด้วยนะครับ”
“...จริงๆ แล้วผมก็เพิ่งสมัครสมาชิกไปเมื่อไม่นานมานี้เองครับ”
เว็บไซต์ของคุณน่ะ ผู้จัดการจบส่วนท้ายของประโยคด้วยน้ำเสียงแผ่วเบาราวกับกำลังพูดถึงสมาคมลับหรืออะไรสักอย่าง
“อ้อ...อย่างนั้นหรือครับ?”
“พอดีมีคนรอบๆ ตัวหลายคนเทียวมาบอกว่ามันดีน่ะสิครับ...แต่ผมก็ไม่ได้กะใช้งานจริงจังอะไรอยู่แล้ว แค่รู้สึกว่าสมัครไว้หาเพื่อนก็ดีเหมือนกัน ผมเลยใช้แต่ฟีเจอร์โซเชียลมีเดียที่มันฟรีอยู่ครับ”
“อ๋อ หลายๆ ท่านก็ใช้ฟีเจอร์นั้นเหมือนกันครับ มันเป็นฟีเจอร์ที่ให้ลูกค้าได้ทดลองใช้จริงก่อนจะไปจ่ายเงินใช้ฟีเจอร์หลัก หมายถึงฟีเจอร์หาคู่แต่งงานน่ะครับ”
การให้ลูกค้าได้ทดลองใช้และสนุกกับเครื่องมือง่ายๆ ก่อนที่จะเชิญชวนไปสู่ส่วนหลักนั้นเป็นวิธีการทางธุรกิจที่ธรรมดาสามัญมากๆ แต่ก็ความธรรมดานี่แหละที่พิสูจน์ว่ามันมีประสิทธิภาพ
“แต่มีคำถามที่ต้องตอบเยอะเลยนะครับ เห็นแล้วอุทานว่า โอ้โห ถามเยอะขนาดนี้เชียว แบบนี้เลย”
“ใช่ครับ เพราะเราต้องมีข้อมูลของผู้ใช้โดยละเอียดเท่าที่จะทำได้เพื่อการจับคู่เพื่อนคุยที่เหมาะสม แล้วก็คัดกรองคนที่มาหาคู่นอนเฉยๆ ด้วย...แน่นอนว่าข้อมูลที่เผยแพร่เป็นสาธารณะจะมีแค่บางส่วนเท่านั้นครับ แต่ถ้าเป็นในส่วนของฟีเจอร์หาคู่แต่งงานละก็ มีคำถามเยอะกว่านี้อีกเท่าตัวเลยครับ”
“จริงเหรอครับ?”
“เรามีการจดจำเสียงพูดด้วยครับ กระบวนการลงทะเบียนจึงต้องทำผ่านการสนทนาแทนการพิมพ์กรอกข้อมูล ดังนั้นผมคิดว่าคงไม่ได้ซีเรียสขนาดนั้นหรอกครับ”
“เหรอครับ งั้นไว้ถ้าผมอยากแต่งงานจริงจังเมื่อไรน่าจะได้ใช้บริการนะครับ”
“ไว้ลองดูนะครับ”
“จะว่าไป คุณมิคาเงะล่ะครับเป็นยังไงบ้าง?”
“เอ๋?”
“เจอคู่แต่งงานจากเว็บไซต์บ้างหรือยังครับ? ก็แหม ที่คุณพูดมาเมื่อกี้เป็นคำโฆษณาจากฝ่ายประชาสัมพันธ์นี่นา คงต้องขอฟังหูไว้หูแหละครับ”
“ยังครับ”
ซุมิสารภาพตามตรง
“ตอบแบบนั้นจะดีเหรอครับ?”
“ผมเพิ่งเข้าทำงานในบริษัทนี้เมื่อปีที่แล้วเองครับ สมัครสมาชิกเว็บไซต์มาได้แค่ครึ่งปีเอง อีกอย่างการลองจับคู่เยอะๆ ก็ใช่ว่าจะเจอคนที่ใช่ด้วยครับ...”
“งั้นเหรอครับ...”
ตอบแบบขี้โม้หน่อยจะดีกว่าไหมเนี่ย? แต่ถ้าฉันโกหกก็คงไม่เนียนอยู่ดีแหละมั้ง...ในขณะที่ลังเลอยู่นั้น อีกฝ่ายก็พูดขึ้นมาว่า “ไว้เจอกันนะครับ” แล้วเดินจากไป ระหว่างที่ซุมิอยู่บนรถไฟเพื่อมุ่งหน้ากลับไปยังบริษัทก็คิดทบทวนถึงสตอรีบอร์ดโฆษณาไปเรื่อยๆ ตอนที่ถ่ายทำกัน สมองของซุมิยังว่างเปล่าคิดอะไรไม่ออก แต่ตอนนี้เขาวางแผนจะเพิ่ม CG ฉากบรรยากาศแบบวันสิ้นโลกเข้าไปด้วยโดยใช้คอนเซปต์ ‘ใครๆ ก็เป็นอดัมกับอีฟได้’ แล้วก็ใช้ภาพของคู่รักที่ไม่ว่าในสถานการณ์ใดๆ ก็จะเดินหน้าไปสู่อนาคตด้วยกันอย่างเข้มแข็งเป็นสัญลักษณ์...ซุมิรู้สึกเหมือนว่าจะเข้าใจ แต่ก็ไม่เข้าใจว่าสิ่งที่ตัวเองอยากจะสื่อคืออะไรแน่ เขายกเอกสารขึ้นมาบังขณะอ้าปากหาว วิวด้านนอกหน้าต่างรถไฟฝั่งตรงข้ามเป็นภาพแนวต้นซากุระที่ไหนสักแห่งหนึ่ง ขณะนี้เป็นฤดูใบไม้ผลิ จะว่าไปแล้วที่ซุมิง่วงขนาดนี้คงเป็นเพราะเมื่อคืนมีเสียงแมวจรจัดในฤดูสืบพันธุ์ครวญครางดังสนั่นอยู่นอกแมนชันจนไม่ได้นอน เป็นสัตว์น่ะดี สบายจะตาย แค่ทำตามสัญชาตญาณกับพันธุกรรมที่รับสืบทอดมาก็ดำรงชีวิตอยู่ได้แล้ว แต่มนุษย์นี่สิ รอให้เจอคนที่ใช่ในเวลาที่ใช่มันไม่ค่อยจะได้ผล จนต้องให้คนอื่นแนะนำให้บ้างล่ะ นัดบอดบ้างล่ะ ต้องอุตส่าห์สมัครเว็บหาคู่แต่งงานบ้างล่ะ ถ้าเป็นอดัมกับอีฟตัวจริงละก็ ทางกายภาพแล้วมีแค่พวกเขาสองคนที่เป็นมนุษย์ ดังนั้นคงไม่มีตัวเลือกให้มานั่งกังวลกันหรอกมั้ง
มันก็ไม่ใช่ว่าคนเราไม่แต่งงานไม่ได้หรอกนะ แต่ตามแนวทางของสังคมแล้วการแต่งงานถือเป็นสิ่งที่พึงปรารถนา เพราะหากคนไม่แต่งงานก็จะนำไปสู่ปัญหาเรื่องอัตราการเกิดลดลง เงินบำนาญ และกระทบต่อโครงสร้างสังคมในที่สุด พอซุมินั่งคิดถึงเรื่องที่ยังรู้สึกว่าไกลตัวสำหรับคนอายุยี่สิบสามปีอย่างเขา ความง่วงก็ดูจะยิ่งทวีความรุนแรงขึ้นกว่าเก่า เขาครึ่งหลับครึ่งตื่น มองเห็นท้องฟ้าสีสันอ่อนโยนผ่านทางเปลือกตาที่เดี๋ยวปรือเดี๋ยวเปิดกว้างเป็นระยะๆ พร้อมกับสัปหงกจนรู้สึกเหมือนหัวจะหล่นหายไปจากบ่า ตอนนั้นเองที่เสียงแจ้งเตือนจากไลน์ปลุกเขาให้ตื่นขึ้น เป็นข้อความตอบกลับจากหัวหน้าหลังจากซุมิส่งข่าวไปบอกว่าการถ่ายทำเสร็จสิ้นแล้ว ทันทีที่เห็นตัวหนังสือบนหน้าจอเขียนว่า ‘กลับบ้านเลยก็ได้นะ’ ซุมิก็ตาสว่างทันที
ซุมิมีนัดกินข้าวมื้อเย็นพอดี ไม่ใช่นัดที่ทำให้ใจเต้นตึกตักอะไรเพราะเป็นนัดกับน้องสาวและแฟนหนุ่มของเธอ แต่พอเขาเปลี่ยนขบวนรถไฟแล้วนั่งมาจนถึงสถานีที่นัดหมายไว้ก็ยังเหลือเวลาอีกตั้งชั่วโมง เขาจึงแวะร้านหนังสือ ซื้อหนังสือการ์ตูน และไปนั่งอ่านอยู่ในคาเฟหน้าสถานีเป็นการฆ่าเวลา ซุมิที่เงยหน้าขึ้นจากหนังสือการ์ตูนหลังอ่านจบตอนก็เห็นว่ามีผู้คนเดินไปมาอยู่ข้างนอกร้าน ผ่านหน้าเขาซึ่งใช้บริการที่นั่งโซนเคาน์เตอร์นี้โดยมีเพียงกระจกใสของคาเฟกั้นไว้อย่างไม่ขาดสาย เมื่อสติกลับมาสู่โลกแห่งความเป็นจริงแล้ว โสตประสาทก็กลับมารับรู้เสียงดนตรีและเสียงพูดคุยจากผู้คนในร้านอีกครั้ง
ท้องฟ้ายามพลบค่ำซึ่งอยู่อีกฟากของกระจกใสนั้นเป็นสีน้ำเงินทำให้ผู้คนยิ่งดูเหมือนปลาในตู้ ไม่สิ ถ้ามองเข้ามาจากข้างนอกละก็คนในร้านคงจะเหมือนเสียยิ่งกว่า และเนื่องจากยังเป็นช่วงโพล้เพล้ แสงไฟถนนและแสงจากสัญญาณจราจรจึงยังดูนวลสลัวราวกับมีผิวน้ำบางๆ เคลือบทับเอาไว้ ท่ามกลางฝูงชนที่มีทั้งหญิงชาย หนุ่มสาวและคนชรา สายตาเจ้ากรรมของซุมิก็ดันเลือกมองแต่คนที่เดินมาเป็นคู่ ภายใต้คืนฟ้าใสในฤดูใบไม้ผลิช่วงสุดสัปดาห์ซึ่งอากาศไม่ร้อนไม่หนาวจนเกินไปอย่างนี้ แม้ว่าต้นไม้ที่ปลูกเรียงรายตามทางเดินจะยังไม่ผลิดอก มีเพียงใบใหม่สีเขียวอ่อนเท่านั้น แต่ก็ทำให้ทิวทัศน์ในบริเวณนี้สวยงามมากแล้ว เหล่าคู่รักที่เดินควงกันมาถึงได้ดูมีความสุขเหลือเกิน ทั้งที่คืนนี้ก็เป็นแค่คืนวันศุกร์ธรรมดาๆ ไม่ได้มีโอกาสพิเศษอะไรอย่างช่วงคริสต์มาสหรือโกลเดินวีกเลยแท้ๆ แต่ไม่ว่าจะเป็นผู้คนที่กำลังเดินทางกลับบ้านในช่วงเวลาเร่งด่วน สาวๆ ที่เครื่องสำอางหลุดหมดแล้ว หรือแม้แต่คนที่โดนรองเท้ากัด คืนนี้เป็นช่วงเวลาที่พวกเขาจะได้ปลดเปลื้องภาระหน้าที่ต่างๆ ที่ทำซ้ำไปซ้ำมาตลอดทั้งสัปดาห์ ช่างเป็นภาพที่ซื่อตรงและเปล่งประกายเหลือเกิน แล้วตัวฉันที่นั่งเหม่อมองความเนืองแน่นอย่างโดดเดี่ยวอยู่นี่ล่ะ ก็คงเป็นแค่คนนอกที่อยากได้อยากมีเหมือนชาวบ้านเขาเท่านั้นเองสินะ พอคิดแบบนั้นแล้วซุมิก็รู้สึกละอายใจตัวเองขึ้นมาเสียอย่างนั้น
คงเป็นเพราะกลิ่นอายของฉากรักโรแมนติกที่นำแสดงโดยหนุ่มหล่อสาวสวยในสตูดิโอยังคงตราตรึงละมั้ง หรือไม่ก็คงเป็นผลจากเรื่องราวในโลกสองมิติที่อ่านมาตลอดจนถึงเมื่อกี้นั่นแหละ เลยทำให้พานคิดไปว่า ถ้าตอนนี้มีใครสักคนอยู่ข้างๆ กันก็คงดี ดื่มกาแฟที่เย็นชืดไปแล้วด้วยกัน พลางคุยเรื่องจิปาถะอย่างเช่น สุดสัปดาห์แบบนี้คนเยอะจังเลยเนอะ หรือไม่ก็ สัปดาห์หน้าจะยังไปดูซากุระทันอยู่ไหม แต่ ‘ใครสักคน’ ที่ว่านั้น แม้ซุมิจะพยายามจินตนาการให้เป็นรูปธรรมแค่ไหน ในหัวของเขาก็เห็นเพียงเงารูปคนที่ถูกวาดด้วยชอล์กสีขาวกำลังวูบไหวไปมาเท่านั้นเอง
‘หนูถึงร้านแล้ว เข้ามารอข้างในแล้วนะ’ น้องสาวส่งข้อความมาทางไลน์ว่าอย่างนั้น ซุมิจึงเก็บสัมภาระต่างๆ ใส่กระเป๋า แต่เพราะรีบร้อนเขาจึงพลาดชนถ้วยกระดาษล้มคว่ำตอนที่ลุกขึ้นยืน
“อ๊ะ”
น้ำกาแฟสูงสองสามเซนติเมตรที่ยังเหลืออยู่ในถ้วยใบนั้นหกลงบนเคาน์เตอร์ ซุมิรีบเอากระดาษเช็ดปากที่ได้มาพร้อมถ้วยกาแฟซับเอาไว้ จากนั้นลูกค้าซึ่งนั่งห่างออกไปหนึ่งที่นั่งก็ยื่นกระดาษทิชชูมาให้
“เชิญค่ะ”
“เอ่อ ขอโทษนะครับ ไม่ได้เปื้อนคุณไปด้วยใช่ไหมครับ?”
“ไม่เปื้อนค่ะ คุณใช้ให้หมดเลยก็ได้นะคะ มันใกล้จะหมดแล้วด้วย”
อีกฝ่ายว่าพลางส่งยิ้มกลับมา เธอคนนี้น่าจะอายุมากกว่าซุมินิดหน่อย เป็นพี่สาวที่สวยมากๆ จนทำเอาซุมิพูดติดอ่างไปหมด “ขะ ขอบคุณครับ” เขาตอบกลับและรับทิชชูมาเช็ดกาแฟบนเคาน์เตอร์ ขณะที่เช็ด ความคิดที่ว่า หรือนี่จะเป็นการ ‘เจอเนื้อคู่โดยบังเอิญ’ ? ผุดขึ้นมาในหัว ฉากแรกในการ์ตูนที่อ่านเมื่อกี้นี้ก็เป็นฉากที่ตัวละครทำของหกเหมือนกัน ถึงจะเป็นชามคิตสึเนะอุด้ง แทนที่จะเป็นถ้วยกาแฟก็เถอะ...ทว่าหญิงสาวคนนั้นกลับละสายตาไปจากซุมิโดยไม่พูดอะไร ก่อนจะหันไปโบกไม้โบกมืออย่างดีใจให้ชายหนุ่มนอกกระจกร้านที่กำลังเดินใกล้เข้ามา
นั่นสินะ เรื่องมันคงไม่ง่ายขนาดนั้นหรอก มันก็แค่ภาพเพ้อฝันที่เกิดขึ้นเพียงชั่วพริบตาเท่านั้นแหละ และต่อให้เธอไม่ได้นัดชายหนุ่มที่ไหนเอาไว้ก็เถอะ คนอย่างฉันคงไม่กล้าพอจะเข้าไปคุยหรือขอช่องทางติดต่อจากเธอหรอก ซุมิคิดขณะยัดทุกอย่างยกเว้นถาดลงไปในถังขยะที่มีป้ายเขียนไว้ว่า ‘กระดาษ’
เสียงแห้งๆ ของกระดาษที่ร่วงหล่นลงไปในถังถูกแทรกด้วยเสียงของหญิงสาวที่พูดขึ้นมาว่า “ขอให้เธอโชคดีนะ” นั่นทำให้ซุมิเคลื่อนสายตาไปยังที่นั่งข้างๆ กันโดยอัตโนมัติด้วยความรู้สึกสงสัยว่า ทำไมเธอถึงน้ำตาซึมอย่างนั้นล่ะ
“ขอโทษนะ ฉันลืมเอากุญแจมาคืนให้เธอ”
“ไม่เป็นไร ทิ้งไปเถอะ”
“...เข้าใจแล้ว”
บทสนทนาระหว่างหนุ่มสาวซึ่งนั่งหันหน้าเข้าหากันอยู่ที่โต๊ะสำหรับสองคนนั้นคงเป็นการบอกเลิกกันไม่ผิดแน่ ตอนที่ซุมิตัดสินใจว่าจะรีบออกไปจากตรงนี้เพราะรู้แน่แล้วว่าถึงอยู่ต่อไปก็มีแต่จะอึดอัดใจเปล่าๆ ฝ่ายหญิงก็คว้าถ้วยกระดาษขึ้นมาแล้วสาดของเหลวข้างในใส่ฝ่ายชาย
“ลาก่อน”
โชคดี จะว่าอย่างนั้นก็คงพูดได้ไม่เต็มปากเท่าไร แต่โชคดีที่ของเหลวในถ้วยเป็นน้ำเปล่าไม่ใช่กาแฟ อย่างไรก็ตามซุมิที่ได้เห็นจังหวะสาดน้ำนั้นก็เกือบจะส่งเสียงร้องออกไปอย่างลืมตัวจนต้องยกมือขึ้นมาปิดปากเอาไว้ แล้วเดินหนีออกมาจากร้าน
ทั้งที่มีภาพแห่งความสุขของคู่รักคู่แล้วคู่เล่าผ่านไปมาอยู่ข้างนอกหน้าต่างคาเฟแห่งนี้แท้ๆ ซุมิกลับได้พบเจอเหตุการณ์ที่ดูราวกับละครโศกในชีวิตจริงไปพร้อมกันด้วย และนั่นทำให้เขารู้สึกตื่นเต้นอย่างไรชอบกล
แต่ก็ดูเป็นคู่ที่เหมาะกับบทสนทนาบอกเลิกกันจริงๆ นั่นแหละ ซุมิคิดทบทวนถึงสิ่งที่เพิ่งเจอมาระหว่างที่เดินอยู่คนเดียว ถึงจะเป็นแค่การนึกภาพง่ายๆ แบบที่ทั้งสองคนเมื่อครู่กลายเป็นเพียงภาพวาด ใบหน้าด้านข้างที่แสนเย็นชากับน้ำเสียงไร้เยื่อใยที่พูดว่า “ทิ้งไปเถอะ” ของชายคนนั้นยังชัดเจน เป็นบรรยากาศที่จะเรียกว่าเยือกเย็นก็ไม่ใช่ จะเรียกว่าไร้อารมณ์ก็ไม่ขนาดนั้น เป็นความรู้สึกเหมือนกับเวลาบังเอิญแตะโดนแก้วน้ำเย็นจัดที่ไม่มีหยดน้ำเกาะรอบแก้วเลยสักหยดและทำให้อุณหภูมิร่างกายลดต่ำลงเล็กน้อย นั่นคือสิ่งที่ประทับอยู่ในความทรงจำของซุมิ ชัดเจนยิ่งกว่าภาพของขนตางามงอนหรือสีลิปสติกของผู้หญิงที่นั่งก้มหน้าอยู่ตรงที่นั่งด้านในเสียอีก

ขณะนี้เริ่มค่ำลงแล้ว ซุมิแหวกว่ายฝ่าฝูงชนคลาคล่ำบนถนนมาจนถึงร้านอาหาร เขาเข้าไปในร้านและมองหาโต๊ะของน้องสาวกับแฟน
“พี่คะ ทางนี้ค่ะ พวกหนูรอจนเริ่มกินข้าวก่อนแล้วนะเนี่ย...”
“ไง โค ไม่ได้เจอกันนานเลยนะ”
“วันนี้ก็เหนื่อยหน่อยนะ นายจะดื่มอะไร? มาโกะ ขอเมนูเครื่องดื่มทีสิ”
“ค่า...”
โคเป็นเพื่อนกับซุมิมาตั้งแต่สมัยเข้าโรงเรียนประถม เลยได้รู้จักน้องสาวที่อ่อนกว่าพวกเขาสองปีไปด้วย พวกเขาอยู่ด้วยกันเหมือนพี่น้องสามคนมาตลอด ดังนั้นพอโคได้พ่วงตำแหน่ง ‘แฟนของน้องสาว’ หลังจากที่ทุกคนเติบโตขึ้นเป็นวัยรุ่นแล้วซุมิก็รู้สึกกระอักกระอ่วน แต่ถ้าสองคนนี้แต่งงานกัน โคก็จะกลายเป็นคนในครอบครัวทั้งทางพฤตินัยและนิตินัย ถึงตอนนั้นซุมิคิดว่าเขาคงจะโล่งใจแปลกๆ เหมือนในที่สุดทุกอย่างก็เข้าที่เข้าทาง
หลังจากที่ทุกคนชนแก้วกันอีกครั้งเมื่อเบียร์ที่ซุมิสั่งไปมาเสิร์ฟที่โต๊ะ มาโกะก็เอ่ยถามขึ้นว่า “วันนี้งานยุ่งหรือเปล่า?”
“ไม่เท่าไร แค่เข้าไปดูการถ่ายทำโฆษณา เสร็จแล้วก็ตรงมาที่นี่เลย”
“โอ้โห~ พี่เราได้งานเท่น่าดูเลยน้า”
“เปล่าหรอก...รุ่นพี่ที่รับผิดชอบเขาต้องไปทำงานที่ต่างจังหวัดพี่ก็เลยไปแทนเฉยๆ แค่ไปกินของว่างแล้วก็โค้งให้คนนู้นคนนี้เท่านั้นแหละ”
“ช่วงนี้ฉันเห็นบริษัทนายในทีวีด้วยนะ รู้สึกว่าจะเป็นการแนะนำตัวของท่านประธานบริษัทคนดังคนนั้นน่ะ”
โคพูดขึ้น
“อ๋อ...ที่ออนแอร์ตอนดึกๆ หน่อยสินะ แต่ก็แค่ห้านาทีเองไม่ใช่เหรอ?”
“ทั้งที่เป็นธุรกิจเงินร่วมลงทุนน้องใหม่แท้ๆ แต่เห็นว่าผลประกอบการค่อนข้างดีเลยนี่นา”
“อื้อ ก็ในตอนนี้น่ะนะ”
“แต่แบบนี้มันหลอกลวงไม่ใช่เหรอ?”
น้องสาวแทรกขึ้นมา
“ก็เล่นให้คนที่ไม่เคยมีแฟนเลยตลอดยี่สิบสามปีมาเป็นฝ่ายประชาสัมพันธ์เว็บไซต์หาคู่แต่งงานเนี่ยนะ...”
“เรื่องนั้นมันไม่เกี่ยวสักหน่อย”
“อุ๊ย ขอโทษที ต้องบอกว่ายี่สิบสามปีกับอีกสิบเดือนถึงจะถูก”
“ช่างเถอะน่า แล้วเรื่องที่ต้องขอโทษก็ไม่ใช่เรื่องนั้นด้วย!”
“ทั้งที่นายก็ไม่น่าจะหาแฟนยากตรงไหนเลยน้า”
โคเองก็ดูจะใส่ใจเรื่องนี้ไม่น้อยขณะหยิบที่คีบอาหารขึ้นมาเพื่อแบ่งสลัดให้แต่ละคน
“อ๊ะ โค เดี๋ยวก่อนนะ ขอฉันถ่ายรูปสลัดนี่ก่อน”
“นายเล่นอินสตาแกรมด้วยเหรอ?”
“ประมาณนั้น เหตุผลครึ่งหนึ่งก็เพราะเรื่องงานนั่นแหละ เอาไว้เชื่อมข้อมูลกับโซเชียลมีเดียของบริษัทน่ะ”
“เหรอ...รุ่นพี่ที่ทำงานฉันก็ใช้บริการเว็บไซต์หาคู่แต่งงานเหมือนกัน เห็นเขาบอกว่าวันๆ มีอีเมลส่งมาเพียบเลยล่ะ”
“ของบริษัทเราไม่ได้เป็นแบบนั้น เราใช้ AI ในการช่วยจับคู่โดยใช้ข้อมูลที่สมาชิกกรอกไว้ในหน้าข้อมูลส่วนตัวบนเว็บไซต์ เช่นอาหารที่กินในแต่ละวัน หนังที่ไปดูมาอะไรพวกนี้เป็นพื้นฐาน เพื่อวิเคราะห์หาคนที่มีความสนใจใกล้เคียงกัน แล้วระบบถึงจะแจ้งเตือนให้สมาชิกดูว่า ‘สนใจหรือไม่?’ ถ้าทั้งสองฝ่ายโอเคถึงจะสามารถเห็นข้อมูลส่วนตัวและเริ่มพูดคุยกันโดยตรงได้ ถือว่าคัดกรองได้พอสมควรตั้งแต่ขั้นตอนแรกเลยล่ะ”
ดังนั้นมันก็เลย...มีกรณีที่ผ่านไปตั้งเดือนสองเดือนแล้วยังไม่มีแจ้งเตือนเข้ามาเลยบ้างเหมือนกัน อย่างซุมิที่ใช้จนหมดช่วงทดลองใช้ฟรี จนสมัครสมาชิกก็แล้วยังมีแจ้งเตือนเข้ามาแค่หยิบมือ และตัวเขาก็อยากจะเชื่อว่ามันเป็นเพราะ AI กำลังพยายามวิเคราะห์ข้อมูลให้แม่นยำมากที่สุด มากกว่าจะเป็นเพราะความนิยมของตัวเองในตลาดหาคู่นั่นแหละที่ต่ำเกินไป
“แต่สมาชิกที่ใช้งานเว็บไซต์พวกนี้น่าจะอยากมีตัวเลือกเยอะๆ ไม่ใช่เหรอ?”
“เหมือนจะไม่ใช่อย่างนั้นซะทีเดียวนะ มีคนเล่าว่า จากประสบการณ์ที่เคยทำงานในซูเปอร์มาร์เกตที่อเมริกา ถ้าเปรียบเทียบกันระหว่างตอนที่มีแยมยี่สิบสี่ยี่ห้อกับตอนที่มีแยมแค่หกยี่ห้อเรียงรายอยู่บนชั้นวางสินค้า ตอนที่มีแค่หกยี่ห้อทำยอดขายได้ดีกว่านะ”
ซุมิบอกไปตามที่มีเขียนอยู่บนใบปลิวโฆษณาของบริษัท
“อย่างนี้นี่เอง ถ้าตัวเลือกเยอะเกินไปก็จะทำให้ลังเลจนตัดสินใจไม่ได้สินะ”
“ใช่”
“ยังไงก็เถอะ ชื่อบริษัทนายฟังดูประชดประชันนิดหน่อยนะว่าไหม? ชื่อ ‘สเตรนจ์เลิฟ’ ใช่หรือเปล่า?”
“เวลารับโทรศัพท์ไม่เขินบ้างเหรอ?”
น้องสาวพูดปนหัวเราะ
“ต้องพูดว่า ‘สวัสดีครับ บริษัทสเตรนจ์เลิฟครับ’ แบบนี้ใช่ไหมล่ะ?”
“เปล่า เลี่ยงไปใช้ตัวย่อว่า SL แทน”
“ขี้โกงนี่นา~ แต่จะว่าไป ถ้างานไม่ยุ่งก็ไม่น่าจะมาสายนะพี่”
“พี่มาถึงเร็วก็เลยนั่งอ่านการ์ตูนเพลินไปหน่อยน่ะ”
แล้วก็มัวแต่นั่งมองโลกของเหล่าคู่รักทั้งหลายด้วย ซุมิคิดในใจ แต่ให้ตายก็ไม่กล้าบอกหรอก
“เอ๋...อย่าบอกนะว่าพี่ยังอ่านการ์ตูนสาวน้อยอยู่น่ะ? เลิกอ่านได้แล้วมั้ง น่าอายออก!”
“พี่ห่อกระดาษปิดหน้าปกเอาไว้หรอกน่า!”
“นายอ่านเรื่องอะไร?” โคถาม “ ‘เจ็ดวันแสนหวานกับการพบพานแห่งพรหมลิขิต’ เล่มใหม่ล่าสุด” ซุมิตอบไปอย่างนั้นทำให้คนฟังหัวเราะกันยกใหญ่
“เรื่องที่เขากำลังจะเอาไปทำเป็นหนังสินะ จะไปดูไหม?”
“ไม่ล่ะ ไปดูหนังรักคนเดียวมันก็ยังไงๆ อยู่...”
“ถ้ามีแฟนสักคนพี่ก็คงพาเขาไปดูด้วยกันได้เนอะ”
“ถึงจะมีแฟน แต่เขาอาจเป็นสาวที่ชอบการ์ตูนต่อสู้เหมือนเธอก็ได้นะ”
“ก็เพื่อไม่ให้เป็นแบบนั้น พี่ถึงใช้เว็บไซต์จับคู่ให้อยู่ไม่ใช่เหรอ? พี่คะ โลกนี้น่ะมีผู้หญิงตั้งสามสิบห้าล้านคนเชียวนะ?”
“แต่เขาก็เพิ่งเรียนจบมาได้แค่สองปี จะคิดเรื่องแต่งงานจริงจังคงยากแหละ เขาว่ากันว่าเป็นธรรมดาที่ผู้ชายจะอยากใช้ชีวิตอิสระไปเรื่อยๆ จนกว่าจะอายุสามสิบด้วยนะ”
ตอนที่ดูท่าซุมิจะเถียงในสิ่งที่น้องสาวพูดมาไม่ได้ โคจะช่วยพูดสนับสนุนเขาเสมอ
“เรื่องนั้นมันก็เป็นสิทธิเสรีภาพส่วนบุคคลจริงๆ นั่นแหละ แต่ถ้าพี่ยังแก่ขึ้นทุกปีๆ โดยไม่มีแฟน เอาแต่ใจเต้นตึกตักจากการอ่านการ์ตูนสาวน้อยอยู่แบบนี้จนอายุสี่สิบแล้วมีหน้ามาพูดว่า ‘อยากแต่งงานกับสาวทรงโตที่ยังโสดยังซิง’ ละก็ ฉันฆ่าพี่แน่”
“ถึงตอนนั้นแล้วฉันจะห้ามมาโกะเอง”
“ฉันไม่มีวันพูดแบบนั้นแต่แรกอยู่แล้วล่ะ...”

หลังจากไปดื่มกันต่อทั้งหมดสามร้านมาโกะก็แยกตัวกลับไป แต่โคติดสอยห้อยตามมาค้างคืนกับซุมิ เพราะว่าทั้งสองคนมีกำหนดการแต่งงานกันในปีหน้านี้แล้ว โคจึงอยากจะหารือกับซุมิเรื่องกิจกรรมในงานและปาร์ตี้หลังจบพิธีการเอาไว้ก่อน โคเป็นประเภทที่มีความหนักแน่นมั่นคงมาตั้งแต่สมัยก่อนแล้ว นี่คงเป็นสาเหตุที่ทำให้น้องสาวเห็นว่าซุมิเป็นคนที่พึ่งพาอะไรไม่ค่อยได้กระมัง
“โอ้โห สุดยอด มันเพิ่มขึ้นอีกแล้วหรือเปล่าเนี่ย?”
โคเอ่ยขึ้นขณะไล่สายตามองสันหนังสือการ์ตูนสาวน้อยที่เรียงรายอยู่บนชั้นหนังสือของซุมิ
“ถ้าเรื่องที่ชอบยังไม่จบก็ต้องตามซื้อต่อไปเรื่อยๆ สิ”
“ซื้อแบบอีบุ๊กก็ได้นี่นา”
“แต่ซื้อเป็นเล่มมันอิ่มใจกว่านะ ภาพน่ารักๆ แบบนี้น่ะ ความรู้สึกก็คงคล้ายๆ กับการสะสมของกระจุกกระจิกทั่วไปนั่นแหละมั้ง”
สิ่งของรอบตัวซุมิไม่ได้เป็นลายดอกไม้ ดวงดาว หรือสัตว์ตัวเล็กๆ อะไรแบบนั้นหรอก เขาแค่อยากจะสื่อว่าหนังสือการ์ตูนเนี่ยเป็น ‘กรณีพิเศษ’ เท่านั้นเอง
“ฉันแปลกขนาดนั้นเลยเหรอ?”
“มันเป็นงานอดิเรกของนายนี่นา เพราะงั้นก็ไม่ได้ผิดอะไรหรอก แต่ที่น่าเป็นห่วงคือฉันไม่เห็นหนังโป๊เลยสักแผ่นมากกว่า”
“ก็ไม่ใช่ว่าไม่เคยดูหรอกนะ แต่...”
“แต่?”
ซุมิเว้นช่วงก่อนจะสารภาพออกมาอย่างแผ่วเบาว่า
“มะ มันโจ่งครึ่มมากเกินไป...ก็เลย...คิดว่าไม่ดูดีกว่า”
นี่นาย โคพูดแล้วหยุดชะงักไปแค่นั้น เขายกมือขึ้นกดที่หว่างคิ้วอย่างกลุ้มใจ
“นายเป็นเด็ก ม.ต้น หรือไงเนี่ย”
“ก็บอกว่าไม่ใช่ไม่เคยดูไงเล่า! อย่าไปบอกมาโกะนะ เดี๋ยวยัยนั่นมาล้อฉันอีก!”
ซุมิย้ำกับโคอีกหลายครั้งก่อนจะถ่ายรูปหน้าปกของการ์ตูนเล่มใหม่ที่เพิ่งซื้อมาวันนี้และอัปโหลดลงในโซเชียลมีเดีย
“นั่นก็เพื่อเชื่อมข้อมูลกับโซเชียลมีเดียของบริษัทที่คุยกันเมื่อกี้เหรอ”
“อืม”
“ถ้าอัปรูปหนังสือการ์ตูน ระบบก็จะแนะนำสาวๆ ที่ชอบหนังสือการ์ตูนเหมือนกันมาให้งั้นเหรอ?”
“มันไม่ได้เจาะจงขนาดนั้นหรอก น่าจะมีคนที่ไม่ค่อยสนใจงานอดิเรกของอีกฝ่าย หรืออะไรทำนองนั้นมาด้วยมั้ง? ฉันเองก็ไม่รู้เรื่องโครงสร้างของระบบโดยละเอียดหรอก แต่ดูเหมือน AI จะวิเคราะห์ข้อมูลมาแบบนั้นแหละ”
แม้ว่า AI ต้องการเพียงข้อมูลเกี่ยวกับอาหารที่ซุมิสู้อุตส่าห์ไปกินที่ร้านกับบันทึกเรื่องของที่ซื้อมาเท่านั้น แต่เขาได้ยินว่าแนวโน้มและการวิเคราะห์จะดีขึ้นหากระบบสามารถตรวจจับข้อความที่โพสต์เกี่ยวกับความคิดในชีวิตประจำวัน สำนวนภาษา หรือหัวข้อที่ชอบพูดถึงด้วย ส่วนตัวซุมิเองก็ใช่ว่าไม่อยากแต่งงาน แต่ตอนนี้เขาไม่มีแรงจูงใจหรือความจำเป็นใดๆ ที่จะกระตือรือร้นกับเรื่องนี้ ที่เขาทำอยู่ทุกวันก็เพราะมันเป็นส่วนหนึ่งของงานและสำนึกในหน้าที่เท่านั้น
“นายหาบริษัทรับจัดงานแต่งงานไว้หรือยังนะ? ถ้าเป็นบริษัทในเครือบริษัทฉันละก็ มีหลายแพ็กเกจเลยล่ะ”
“อื้อ ฉันอยากปรึกษานายเรื่องนั้นด้วยเหมือนกัน”
โคหยิบใบปลิวสถานที่จัดงานแต่งงานออกมาจากกระเป๋าและเริ่มคุยกับซุมิเรื่องค่าใช้จ่ายและทำเลที่ตั้ง ทำให้ซุมิเห็นแล้วว่าเพื่อนสมัยเด็กคนนี้เติบโตเป็นผู้ใหญ่ที่พึ่งพาได้จริงๆ แม้ว่าทุกคนจะมีเวลาในแต่ละวันอย่างจำกัดเหมือนๆ กัน แต่โคก็มีเวลาสำหรับช่วยน้องสาวของเขาวางแผนและเก็บออมเงินสำหรับงานแต่งงานกันสองคนเสมอ
“ซุมิมีแบบไหนแนะนำไหม?”
“เอ่อ...เห็นว่าคุณย่าของโคขาไม่ค่อยดีแล้วเลยไม่รู้ว่าจะมาร่วมพิธีได้หรือเปล่าใช่ไหม? ฉันอยากแนะนำแพ็กเกจที่มี VR เพราะสามารถร่วมงานจากที่บ้านได้ด้วย”
“เอ๋ VR ที่ว่าเนี่ย คือแบบที่มีแว่นตาให้ใส่น่ะเหรอ? ให้ย่าฉันใส่อันนั้นอะนะ? นึกภาพตามแล้วเท่ดีเหมือนกันแฮะ ให้ความรู้สึกเหมือนอยู่ในโลกอนาคตแบบสุดๆ เลย”
ซุมิลองคิดว่าอีกห้าปี ไม่สิ อีกสิบปีหลังจากนี้เขาก็อาจจะอยู่ในสถานการณ์ที่ไม่ต่างจากเพื่อนก็ได้ แต่ถึงอย่างนั้นก็ไม่เห็นภาพชัดเจนใดๆ แน่นอนว่ารวมถึงภาพใบหน้าเจ้าสาวในอนาคตของเขาด้วย
“จะว่าไปแล้วเมื่อราวๆ ห้าปีก่อน มีดาราหญิงคนหนึ่งหาคู่แต่งงานได้เพราะบริษัทที่นายทำงานอยู่ด้วยนี่นา”
“ใช่ มีอยู่”
ซุมิเคยได้ยินมาว่ามันเป็นการจับคู่โดย AI ที่เป็น ‘พรหมลิขิตระดับหนึ่งในล้าน’ จนทำให้คำว่า ‘การแต่งงานแห่งพรหมลิขิต’ ได้เข้าชิงรางวัลคำศัพท์ยอดฮิตในปีนั้นเลยทีเดียว และทำให้ชื่อของเว็บไซต์หาคู่แต่งงาน ‘สเตนจ์เลิฟ’ กลายเป็นที่รู้จัก ถือเป็นผลงานชิ้นโบแดงที่เพิ่มจำนวนผู้ใช้บริการได้อย่างล้นหลาม
“เรื่องนั้นน่ะว่ากันตรงๆ เลยก็คือฉันสงสัยอยู่เหมือนกันว่าเป็นการจัดฉากหรือเปล่า ความจริงมันเป็นยังไงเหรอ?”
“ไม่รู้สิ...ไม่มีทางที่พนักงานชั้นผู้น้อยอย่างฉันจะได้รู้หรอกว่าความจริงเป็นยังไง แถมประธานบริษัทก็ดูเป็นคนน่ากลัวด้วย ไม่กล้าไปถามหรอก”
“ก็จริงนะ ตอนที่เขาออกทีวีฉันถึงกับต้องดูให้ดีๆ อีกครั้งเลยล่ะว่า คนนี้น่ะเหรอประธาน?”
“ใช่ไหมล่ะ? แต่นอกจากครั้งนั้นแล้วก็ไม่มีอีกเลยนะ ‘พรหมลิขิต’ ที่ว่า”
“ถ้ามันเกิดขึ้นกับนายล่ะ นายจะทำยังไง?”
โคถาม
“นายจะเชื่อในพรหมลิขิต แล้วแต่งงานกับเขาเลยไหม?”
“ไม่อะ ไม่มีเงินจะแต่ง”
“ปัญหามันไม่ได้อยู่ตรงนั้นสักหน่อย”
“แต่อย่างฉันจะไปเอาเงินมาจากไหนล่ะ ซื้อหวยก็เคยถูกแค่สามร้อยเยนเอง”
“มันไม่ขนาดนั้นหรอกน่า”
“ก่อนที่จะคิดเรื่องแต่งงาน ฉันอยากมีความรักดูก่อน”
ซุมิพึมพำพลางจ้องมองหน้าปกหนังสือการ์ตูนไปด้วย เขาจึงได้รับคำแนะนำอย่างจริงจังจากโคว่า “หยุดเถอะ”
“นายคงไม่ได้แอบคบกับอาจารย์ แอบคบกับตำรวจ หรือแอบอยู่กินก่อนแต่งกับเพื่อนร่วมห้องหรอกนะ?”
“เดี๋ยวก่อนเลย ทำไมฉันถึงรับบทเด็กสาว ม.ปลาย อย่างนั้นเล่า!? ที่สำคัญคือฉันไม่ได้อยากมีความรักในสถานการณ์อะไรแบบนั้น แต่อยากมีความรักที่เข้ามาเติมเต็มหัวใจหรืออะไรทำนองนั้นต่างหาก!”
“ที่นายคิดนั่นน่ะสาว ม.ปลาย เต็มตัวเลยล่ะ ให้ตายเถอะ”
นอนได้แล้ว ซุมิตัดจบบทสนทนาไว้แค่นั้น
ความปรารถนาเรื่องรักๆ ใคร่ๆ คงเป็นสิ่งที่ไม่เหมาะกับพนักงานบริษัทหนุ่มซึ่งห่างไกลจากคำว่าเด็กสาว ม.ปลาย แต่คนเราก็ต้องมีเรื่องที่ทำให้ใจเต้นตึกตักจนแทบทนไม่ไหว ทว่าแปรเปลี่ยนเป็นแรงผลักดันให้สามารถพยายามทำได้ทุกอย่างบ้างไม่ใช่เหรอ ฉันเองก็อยากจะลิ้มรสความรู้สึกนั้นดูเหมือนกัน ซุมิคิด แม้ว่าเขาจะไม่ได้เติบโตขึ้นมาบนเกาะร้างห่างไกลผู้คน แต่ก็ไม่เคยได้รู้จักกับความรู้สึกแบบนั้นมาก่อน และแม้จะมีคำกล่าวว่าการแต่งงานเป็นจุดออกสตาร์ตหาใช่เส้นชัยไม่ก็ตามที สภาพของเขาในตอนนี้ก็อาจเรียกได้ว่าไม่มีแม้แต่รองเท้ากีฬาให้ใส่ไปยืนที่จุดออกสตาร์ตนั่นเลยด้วยซ้ำ





++++++++++++++++++++++++++++++++++++
ซุมิ ชายหนุ่มที่ทำงานในฝ่ายประชาสัมพันธ์ของบริษัทแอปพลิเคชันหาคู่ผู้ไม่เคยมีประสบการณ์ด้านความรักมาก่อน วันหนึ่งเขาถูกประธานบริษัทเรียกตัวไปพบเพื่อแจ้งให้ทราบว่า เขาได้พบกับคู่ที่เหมาะสมกันในระดับ ‘หนึ่งในล้าน’ คนคนนั้นก็คือคาโดวากิ นิเระ ที่ทำงานในตำแหน่งผู้พัฒนาแอปพลิเคชันของบริษัทเดียวกัน และเป็นผู้ชาย ซุมิปฏิเสธทันที ทว่านิเระแย้งขึ้นว่า “AI ไม่เคยโกหก” จนนำไปสู่การลองคบหาดูใจกันจริงๆ ทั้งที่ซุมิไม่เคยคิดมาก่อนว่าจะชอบเพศเดียวกันได้ แต่เขากลับเริ่มสนใจในตัวนิเระที่ดูห่างเหินแม้ว่าทั้งสองจะอยู่ใกล้ชิดกันขึ้นมาเสียอย่างนั้น....?

รูปภาพ

ตอบกลับโพส

ย้อนกลับไปยัง “Bongkoch Books News & Activities”