New Release เหลียนฮวา : นางมารอย่างข้าตกอับมาเป็นคุณหนูป้อแป้

อัพเดทข่าวบงกชบุ๊คส์ ความเคลื่อนไหว และกิจกรรมพิเศษ ตลอดจนร่วมสนุกชิงรางวัลพร้อมของรางวัลมากมาย

Moderator: P'Bly, Gals, พี่บี

ตอบกลับโพส
Gals
โพสต์: 1068
ลงทะเบียนเมื่อ: ศุกร์ 13 ก.พ. 2009 3:47 pm

New Release เหลียนฮวา : นางมารอย่างข้าตกอับมาเป็นคุณหนูป้อแป้

โพสต์ โดย Gals »

นางมารอย่างข้าตกอับมาเป็นคุณหนูป้อแป้

บทที่หนึ่ง

ผิวน้ำใสแวววาวราวคันฉ่องส่องสะท้อนผืนฟ้าสีคราม ต้นหลิวริมน้ำเอนไหว ผลัดใบร่วงลงมาเป็นครั้งคราว ก่อให้เกิดระลอกคลื่นเป็นวง นกแว่นตาขาวหลังเขียวสองสามตัวขับขานบทเพลงอยู่บนยอดไม้ ทิวทัศน์บรรยากาศเช่นนี้ช่างสงบรื่นรมย์ยิ่ง
ทว่าป่ากกริมน้ำกลับเต็มไปด้วยไอสังหาร
ไกลออกไป เด็กสาวเยาว์วัยในชุดสีแดงปราดเปรียวผู้หนึ่งควบม้านำกลุ่มศิษย์ที่ดุร้.ุ่งหน้ามาทางป่ากกนี้อย่างยิ่งใหญ่
ส่วนอีกกลุ่มที่ซุ่มอยู่ในป่านำโดยชายหนุ่มร่างสูงใหญ่ในชุดสีดำ สำแดงวิชาตัวเบาอันน่าเหลือเชื่อกระโดดขึ้นเหนือป่ารกชัฏซึ่งสูงเกือบเท่าตัวคน
“ย่าห์!”
ดวงตาคู่งามของเด็กสาวชุดแดงบนหลังม้าเหลือบเห็นชายชุดดำขวางทางที่จะมุ่งหน้าไป นางรั้งสายบังเหียนหยุดม้าใต้ร่างที่กำลังวิ่งทันที
รูปโฉมของชายหนุ่มชุดดำนุ่มนวลสง่างาม คิ้วเข้มพาดเฉียง ดวงตาเรียวล้ำลึกดุจรัตติกาล หางตาชี้ขึ้นเล็กน้อย สันจมูกโด่งตรงปานรูปสลัก ริมฝีปากบางด้านล่างยกโค้งขึ้นเป็นรอยยิ้มเยาะ
ในมือเขาถือกระบี่กิเลนเหินที่ด้ามจับแกะเป็นลายดวงอาทิตย์แผดจ้า ภายใต้แสงตะวันสีทองเจิดจรัส ตัวกระบี่เผยคมกระบี่สีเงินยวงเยียบเย็นออกมา
สายลมเย็นหอบหนึ่งพัดผ่านผิวน้ำพาให้แขนเสื้อของชายหนุ่มชุดดำส่งเสียงพึ่บพั่บ ผมหางม้าที่มัดไว้เหนือท้ายทอยของเขาถูกลมตีจนยุ่ง เส้นผมดำขลับหลายเส้นปลิวลงมาปรกตา หากแต่มิอาจบดบังไอสังหารเข้มข้นในดวงตาของเขาได้
ชายหนุ่มแค่นเสียงเย็นยะเยือก “วันนี้ที่ริมแม่น้ำหลูฮวาแห่งนี้จะเป็นสถานที่ฝังศพของแม่นาง”
สิ้นเสียง ดรุณีชุดแดงบนหลังม้ายกยิ้มหวาน ดวงหน้ารูปหัวใจกระจุ๋มกระจิ๋มน่ารักโดยกำเนิด เครื่องหน้าทั้งห้าประณีตพริ้มเพรา รอยยิ้มยิ่งงดงามสะท้านใจคน เพียงพอจะล่มบ้านล่มเมือง
ใครเลยจะนึกฝันว่าดรุณีอ้อนแอ้นสดใสมากเสน่ห์นางนี้จะเป็นนางมารร้ายที่แค่ได้ยินชื่อก็ทำให้คนหวาดผวา...เจี่ยงเฉาเสวี่ย
เมื่อราวสามปีก่อนเจี่ยงเฉาเสวี่ยถือดาบหงส์บั่นด้ามแดงเล่มหนึ่งปรากฏตัวขึ้นในยุทธจักร บุกเดี่ยวท้าทายสำนักใหญ่ต่างๆ อาศัยความสามารถของตนคนเดียวทำลายสำนักเล็กๆ ไปเป็นจำนวนมาก ทั้งยังกวาดต้อนผู้รอดชีวิตเข้าไปในสังกัด ก่อตั้งสำนักของตนขึ้นนามว่า ‘สำนักอู่อี๋’
วิชาดาบของเจี่ยงเฉาเสวี่ยเลิศล้ำยิ่ง ทั้งนางยังเป็นอัจฉริยะทางด้านวรยุทธ์อย่างหาตัวจับยากบนโลก ผู้อาวุโสในยุทธภพที่เคยประมือกับนางไม่มีผู้ใดไม่หวาดกลัว
ในเวลาสั้นๆ เพียงสามปี ไฟสงครามลามไปทั่วยุทธภพ
ขอแค่เป็นสำนักที่เจี่ยงเฉาเสวี่ยหมายตา สุดท้ายก็จะต้องจบลงด้วยการถูกกวาดล้างยกสำนัก ชั่วเวลานั้นผู้คนในยุทธภพล้วนอกสั่นขวัญผวา ยังมีคนนับไม่ถ้วนที่รักตัวกลัวตาย ยังไม่ทันรบแพ้ก็ไปสวามิภักดิ์ต่อสำนักอู่อี๋เองก่อนแล้ว
กระทั่งบัดนี้สำนักอู่อี๋ได้กลายเป็นสำนักมารที่ผู้คนในยุทธภพต่างพากันหลีกหนีไปแล้ว
แม้ว่าเจี่ยงเฉาเสวี่ยจะกลายเป็นเจ้าสำนักปกครองคนนับพันแต่นางก็ยังไม่พอใจ กับหลายสำนักใหญ่ที่เหลือในยุทธจักร นางยังคงจ้องตาเป็นมันดุจพยัคฆ์จ้องตะครุบเหยื่อ ไปหยั่งเชิงโจมตีถึงสำนักอยู่หลายคราวหวังจะท้าทาย
ด้วยเหตุนี้หลายสำนักใหญ่ที่เหลืออยู่ในยุทธจักรจึงมิอาจไม่รวมกลุ่มกันคิดหาแผนการรับมือ หาวิธีหยุดยั้งความทะเยอทะยานของนางมารร้ายผู้นี้
“ข้ารู้ว่าเจ้าเป็นใคร”
เจี่ยงเฉาเสวี่ยแย้มยิ้มหวานฉ่ำ น้ำเสียงใสกังวานเสนาะหู ทางหนึ่งนางเล่นสายบังเหียนที่พันมืออยู่ อีกทางก็ตวัดแส้ใส่เงาร่างชุดดำที่ยืนอยู่เบื้องหน้า
“เจ้าเกิดมาหล่อเหลาเช่นนี้ ซ้ำในมือยังถือกระบี่กิเลนเหิน คงจะเป็นหยางโย่วหัวหน้าศิษย์อาวุโสแห่งสำนักฉางหยางสินะ”
ได้ฟังดังนั้นแววตาของชายหนุ่มชุดดำค่อยๆ เย็นชาลง รอยยิ้มบางที่มุมปากยิ่งเยาะหยันเยียบเย็น
นัยน์ตาคู่นั้นของเขาราวกับกระเบื้องเคลือบสีดำ ใสกระจ่างดั่งคันฉ่อง จ้องมองตรงมาที่เจี่ยงเฉาเสวี่ย
“ในเมื่อเอ่ยเช่นนี้ เจ้าก็คือเจ้าสำนักอู่อี๋ เจี่ยงเฉาเสวี่ยจริงๆ”
“ใช่ ข้าคือเจี่ยงเฉาเสวี่ย”
ดรุณีชุดแดงบนหลังม้ายังคงยิ้มหวาน ไม่หวั่นเกรงต่อไอสังหารที่แผ่ออกมาจากร่างของหยางโย่วแม้แต่น้อย
หยางโยว่ยิ้มเอ่ยอย่างเจรจาก่อนค่อยใช้กำลัง “ร้อยคำลือไม่สู้หนึ่งพบหน้า เดิมคิดว่าเจ้าสำนักเจี่ยงมีสามเศียรหกกร นึกไม่ถึงเลยว่าวันนี้ได้พบ ที่แท้เจ้าสำนักเจี่ยงกลับอ้อนแอ้นอรชร รูปโฉมเหนือล้ำยิ่งกว่าโฉมสะคราญอันดับหนึ่งของเมืองหลวงเสียอีก”
ฟังจบเจี่ยงเฉาเสวี่ยหัวเราะคิก เสียงหัวเราะดุจระฆังเงินน่ารักน่าถนอม หน้าตางดงาม คิ้วตายิบหยี ไม่อาจนำมาเชื่อมโยงเข้ากับนางมารร้ายแห่งยุทธภพได้จริงๆ
“หยางโยว่ เจ้าแบกรับชื่อเสียงอันทรงเกียรติของหัวหน้าศิษย์อาวุโสแห่งสำนักฉางหยาง ดูเที่ยงธรรมน่านับถือ พออ้าปากทีกลับมาเกี้ยวพานหญิงสาวเช่นข้า จิ๊ๆๆ คนเรานี่ตัดสินกันด้วยหน้าตาไม่ได้จริงๆ”
หยางโยว่ตอบอย่างไม่ถือสา “ข้าหาได้เกี้ยวพาน แต่ประชดประชันต่างหาก เพียงแต่เจ้าสำนักเจี่ยงฟังไม่ออกเท่านั้น”
เจี่ยงเฉาเสวี่ยหัวเราะเสียงเย็น “กับอีแค่ศิษย์อาวุโสของสำนักฝ่ายธรรมะเลื่องชื่อผู้หนึ่ง ไม่ไสหัวกลับไปฝึกกระบี่ให้ดี กลับวิ่งโร่มาที่นี่ดักโจมตีสำนักอู่อี๋ของข้า มันไม่น่าขันไปหน่อยรึ”
หยางโยว่กดมุมปากหุบยิ้ม เปลี่ยนสีหน้าเป็นเคร่งขรึมก่อนเอ่ย “หลายปีมานี้เจ้าสำนักเจี่ยงหาเรื่องสำนักใหญ่ต่างๆ โดยไร้เหตุผลนับครั้งไม่ถ้วน ประกาศจะรวมยุทธภพเป็นหนึ่ง ใช้กำลังกำเริบเสิบสาน กำจัดสำนักใหญ่แต่ละแห่ง เข่นฆ่าผู้บริสุทธิ์ การกระทำอุกอาจยั่วโทสะคนเช่นนี้ช่างทำให้คนไม่อาจทนดูได้จริงๆ”
เจี่ยงเฉาเสวี่ยเหวี่ยงแส้ม้าลงบนพื้น เงาร่างแบบบางแคล่วคล่องดั่งนกบาทหลวงแดงสะกิดปลายเท้าเบาๆ ชุดสีแดงก็พลิ้วสะบัดกลางหาวราวกับสายรุ้งเส้นหนึ่ง เพียงชั่วพริบตานางลงมายืนอยู่หน้าหยางโย่วแล้ว
หยางโย่วลอบตกใจ แววตายิ่งระแวดระวังมากขึ้น
แม้จะเคยได้ยินวีรกรรมของเจี่ยงเฉาเสวี่ยมาจากปากผู้อาวุโสในยุทธภพไม่น้อย แต่เขาคิดไม่ถึงจริงๆ ว่าวิชาตัวเบาของคนผู้นี้จะยอดเยี่ยมถึงเพียงนี้ แทบจะเทียบได้กับผู้อาวุโสที่มีวรยุทธ์ล้ำลึกเลยทีเดียว
เจี่ยงเฉาเสวี่ย...มีความเป็นมาอย่างไรกันแน่?
ทอดมองไปทั่วยุทธภพกว้างใหญ่ เหตุใดจึงไม่มีผู้ใดรู้ว่านางมาจากไหน แล้วอาจารย์คือผู้ใด นางเหมือนโผล่ขึ้นมาดื้อๆ ทั้งสืบหาอดีตไม่พบ ทั้งไม่อาจล่วงรู้ว่าเกิดและเติบโตที่ใด
มองสีหน้าสงบเยือกเย็นเช่นขุนเขาที่ฝนตั้งเค้าของหยางโยว่ ดวงหน้าเล็กรูปหัวใจของเจี่ยงเฉาเสวี่ยยังคงประดับรอยยิ้มหวาน หลังจากยกมือเรียวทั้งสองขึ้นเท้าเอว เงาร่างเล็กที่สูงแค่อกของหยางโยว่ก็เดินวนไปวนมาอยู่กับที่ ดวงตาใสกระจ่างคู่นั้นชำเลืองมองหยางโย่วเป็นระยะ แววตาคล้ายกำลังมองดูอย่างหยอกเย้า แต่ก็คล้ายกำลังประเมินอย่างดูแคลน
“ข้ากำลังขบคิดว่าสำนักฉางหยางที่เป็นถึงผู้นำยุทธจักรจะคิดหาลูกไม้ชาญฉลาดอันใดมารับมือกับข้า คิดซ้ายคิดขวาสารพัดก็คิดไม่ถึงเลยว่าเจ้าสำนักกับเหล่าผู้อาวุโสสำนักฉางหยางจะขี้ขลาดกลัวตายเช่นนี้ ถึงขนาดยอมหดหัวส่งศิษย์อาวุโสมาดักซุ่มสังหารแต่ไม่ขอสู้กับข้าอย่างองอาจผ่าเผยสักตั้ง”
หยางโย่วหัวเราะเสียงเย็น “ฆ่าไก่ไยต้องใช้มีดฆ่าวัว แค่ข้าคนเดียวก็พอต่อกรกับเจ้าแล้ว”
เจี่ยงเฉาเสวี่ยหัวเราะร่วนเสียงใส พวงแก้มซับสีแดงเรื่อราวตื่นเต้นกับการประลองเลือดสาดที่กำลังจะมาถึง
“หยางโย่ว เจ้ากล้าหาญใช้ได้นะ ถึงกับคิดว่าอาศัยเจ้าผู้เดียวก็จะสังหารข้าได้?”
“ถูกต้อง วันนี้ข้าจะให้เจ้าสำนักเจี่ยงผู้เลื่องชื่อจบชีวิตลงที่นี่!”
ถ้อยคำนี้ประกาศกร้าว พริบตาถัดมาก็เห็นหยางโย่ววาดกระบี่กิเลนเหินในมือ ทะยานร่างขึ้นด้วยวิชาตัวเบา
เห็นดังนั้นบรรดาศิษย์สำนักอู่อี๋ที่ตามหลังเจี่ยงเฉาเสวี่ยก็ตะโกนเสียงสูง “คุ้มกันเจ้าสำนัก!”
เกิดความชุลมุนวุ่นวาย ศิษย์สำนักใหญ่ต่างๆ ที่ซุ่มซ่อนอยู่ในดงต้นกกกระโดดออกมาคนแล้วคนเล่า ขัดขวางการโจมตีของศิษย์สำนักอู่อี๋
ทางด้านริมแม่น้ำหลูฮวา หยางโย่วเสือกกระบี่แทงเข้าใส่อกของเจี่ยงเฉาเสวี่ย...
เจี่ยงเฉาเสวี่ยคลี่ยิ้มอย่างไม่หวั่นเกรง ทว่าชั่วขณะก่อนที่ปลายกระบี่จะสัมผัสอกของนาง นางเบี่ยงไหล่ซ้ายไปด้านหลังเล็กน้อย เท้าขวาขยับออกด้านข้าง เอวอ่อนราวกับงูโค้งตาม อาภรณ์พลิ้วไหวเป็นดั่งบุปผาแดงไหวเอนตามสายลมหลบคมกระบี่ของหยางโยว่ด้วยความว่องไว
กระบี่ของหยางโย่วแทงวืด ระหว่างกำลังจะรวบรวมกำลังภายใน สองขาใต้กระโปรงแดงของเจี่ยงเฉาเสวี่ยก็แยกออกเป็นท่านั่งม้า ชักดาบหงส์บั่นที่แบกไว้บนหลังออกมา ชี้ปลายดาบเข้าใส่หยางโยว่ผู้ยืนหันหลังให้กับแม่น้ำหลูฮวา
เจี่ยงเฉาเสวี่ยส่งยิ้มหวานเชื่อม เสียงใสดุจระฆังเงินลอยมากับสายลม
“แม่น้ำหลูฮวา ทิวทัศน์ที่นี่งดงามยิ่งนัก เมื่อก่อนท่านแม่ของข้ามักจะพาข้ามาเก็บต้นกกที่นี่ แล้วท่านแม่ยังถักมาลัยบุปผาให้ข้าด้วย ทำให้ข้ามีความสุขมาก”
ท่านแม่? หยางโย่วแววตาสั่นไหวแต่ยังถามขึ้นโดยที่หน้าไม่เปลี่ยนสี “ท่านแม่ของเจ้าคือผู้ใด”
เจี่ยงเฉาเสวี่ยยังคงหัวเราะกับตัวเองจนคิ้วตายิบหยี ในรอยยิ้มกลับเผยความดุร้ายสายหนึ่งออกมา
สองเท้าในรองเท้าผ้าไหมปักลายสีแดงกระทืบลง ร่างแบบบางทะยานขึ้นกลางอากาศ ดาบหงส์บั่นในมือร่ายรำสำแดงเพลงดาบบงการหงส์ที่หายสาบสูญจากยุทธภพไปนานออกมา หยางโย่วมองอย่างตกตะลึง
เหตุที่หยางโย่วจำเพลงดาบที่สาบสูญนี้ได้คงเป็นเพราะผู้อาวุโสบางท่านในสำนักที่ล่วงลับไปแล้วเคยเล่าถึงเพลงดาบนี้ให้เขาฟังสมัยที่ยังมีชีวิตอยู่
แต่น่าเสียดายที่เพลงดาบชุดนี้ต้องใช้ร่วมกับดาบหงส์บั่น หากเปลี่ยนเป็นดาบธรรมดา พลานุภาพของมันจะลดลงอย่างใหญ่หลวง
นอกจากความตื่นตะลึงในใจหยางโย่ว เจี่ยงเฉาเสวี่ยกวัดไกวดาบหงส์บั่นในมือพุ่งตรงเข้าหาเขาอีกครั้ง
ขณะที่เขาคิดจะหลบกลับต้องผิดคาด เรือนร่างของเจี่ยงเฉาเสวี่ยโอนอ่อนไร้ที่เปรียบ นางหมุนตัวไปด้านข้าง ดาบหงส์บั่นด้ามแดงในมือประดุจงูที่ปราดเปรียวแทงเข้าใส่เขาตรงๆ เช่นนี้เอง
หยางโย่วใจหดวูบ ยกกระบี่กิเลนเหินในมือขึ้นต้านโดยพลัน
ถึงกระนั้นก็สายไปก้าวหนึ่ง
ดาบหงส์บั่นในมือเจี่ยงเฉาเสวี่ยแทงฉึกเข้าไปในบ่าซ้ายของเขา!
ในเวลานี้คนทั้งสองใกล้กันถึงขีดสุด ใกล้เสียจนหยางโย่วสัมผัสได้ถึงลมหายใจที่เจี่ยงเฉาเสวี่ยปล่อยออกมา ชัดเจนว่าเป็นลมหายใจของผู้มีกำลังภายในล้ำลึก
ยิ่งกว่านั้นคนทั้งสองใกล้กันเช่นนี้ ใกล้เสียจนหยางโย่วมองเห็นลักยิ้มและดวงตาคู่สวยเปี่ยมชีวิตชีวาบนใบหน้าของเจี่ยงเฉาเสวี่ยได้อย่างชัดเจน
หยางโย่วจ้องมองเจี่ยงเฉาเสวี่ยด้วยประกายตาเจิดจ้า แล้วริมฝีปากบางของเขาก็พลันขยับยกเป็นรอยยิ้มบางๆ
ชายหนุ่มชุดดำสง่าผ่าเผย หว่างคิ้วแฝงความดื้อรั้นอหังการ รอยยิ้มยิ่งหล่อเหลากระจ่างตาประหนึ่งลมวสันต์อ่อนๆ พัดผ่านหน้าพาให้ผ่อนคลายสบายใจ
เจี่ยงเฉาเสวี่ยถึงกับเหม่อลอยไปชั่วขณะ และยิ่งคาดไม่ถึงว่าพริบตาที่นางเสียสมาธิไปนี้ หยางโย่วจะแทงกระบี่กิเลนเหินเข้าใส่ท้องของนาง
“เจ้า!”
ความเจ็บปวดแผ่กระจายออกมาจากตำแหน่งบาดแผลที่หลั่งโลหิต เจี่ยงเฉาเสวี่ยหน้าเปลี่ยนสี ดวงหน้าเล็กน่ารักเปลี่ยนเป็นโกรธเกรี้ยว เพิ่มน้ำหนักมือขึ้น ปักดาบหงส์บั่นลึกเข้าไปในไหล่ซ้ายของหยางโย่วอีกเล็กน้อย
หยางโย่วไม่ยอมแพ้ เพิ่มกำลังขึ้นเช่นกัน กระบี่กิเลนเหินแทงทะลุเอวแบบบางของนาง พริบตานั้นเลือดหยดลงจากปลายกระบี่ กลิ่นคาวคลุ้งฉุนจมูกลอยอวลในอากาศ
เจี่ยงเฉาเสวี่ยอยากผลักหยางโย่วออก แต่อย่างไรนางก็ไม่อาจหลุดจากกระบี่กิเลนเหินที่ปักทะลุเอวของตนอยู่ได้
หยางโย่วพูดยิ้มๆ “เจ้าสำนักเจี่ยง เจ้าโดนกระบี่กิเลนเหินของข้าไปแล้ว อย่าสิ้นเปลืองกำลังอีกเลย”
“หยางโย่ว เจ้าลูกเต่าสารเลวนี่!”
ปากสบถอย่างดุเดือด แล้วเจี่ยงเฉาเสวี่ยก็ขยับตัวจะดึงดาบหงส์บั่นที่ปักลึกอยู่ในไหล่หยางโย่วออก ตั้งใจว่าจะตัดแขนข้างที่กุมกระบี่ของเขาทิ้งไปด้วยในคราวเดียว
แต่ไม่คาดคิด หยางโย่วกลับชิงเข้าใจเจตนาของนางได้ก่อน เขากางแขนออกโอบนางเข้าไปในอ้อมกอดโดยปราศจากสัญญาณเตือนใดๆ
เจี่ยงเฉาเสวี่ยแข็งทื่อไปทั้งร่าง กำลังจะดิ้นรนออกจากอ้อมแขนของหยางโย่ว เท้าของเขากลับก้าวถอยไปด้านหลัง
เมื่อตระหนักถึงเจตนาของเขา เจี่ยงเฉาเสวี่ยหรี่ตาแคบ ส่งเสียงตวาด “หยางโย่ว เจ้าบ้าไปแล้วหรือ เจ้าอยากตายก็ไปตายสิ แต่ข้าไม่อยากตาย!”
หยางโย่วกระตุกมุมปาก ยิ้มเอ่ยด้วยสายตาเย็นยะเยือก “วันนี้หากข้าต้องตายจริงก็จะขอลากเจ้าสำนักเจี่ยงไปด้วย เป็นเช่นนี้แล้วบนทางไปปรโลกก็จะมีคนงามเคียงข้าง ข้าจะยอมโดดเดี่ยวได้อย่างไร”
เจี่ยงเฉาเสวี่ยลอบใจสั่น นางเริ่มดิ้นรนสุดกำลัง โชคร้ายที่แขนคู่ที่โอบรอบเอวนางไว้เป็นเหมือนโซ่เหล็กกล้าที่มัดตายเส้นหนึ่ง ไม่ว่านางจะเค้นกำลังภายในอย่างไรก็สลัดไม่หลุด
“เจ้าลูกเต่าสารเลว...”
ยังไม่ทันสิ้นเสียงคำราม เจี่ยงเฉาเสวี่ยที่ถูกหยางโย่วกอดรัดแน่นพร้อมกับถอยหลังไปก้าวแล้วก้าวเล่าก็ถูกพาตกลงไปในแม่น้ำหลูฮวาทั้งคู่
“เจ้าสำนัก!”
ก่อนที่จะตกลงไปในแม่น้ำเย็นเฉียบยังได้ยินเสียงตะโกนด้วยความหวาดหวั่นขวัญผวาของศิษย์สำนักอู่อี๋ลอยมาแว่วๆ
ใต้ผิวน้ำที่แตกกระจาย เจี่ยงเฉาเสวี่ยกับหยางโย่วยังคงสู้กันอุตลุด
นางไม่ยอมปล่อยมือจากด้ามดาบ ได้แต่ใช้มืออีกข้างซัดลงไปบนอกของหยางโย่ว
หยางโย่วโดนฝ่ามือของนางเข้าไปก็กระอักเลือดคาวออกจากปาก เลือดสดๆ ละลายไปกับน้ำในแม่น้ำอย่างรวดเร็ว เลือดเป็นสายลอยผ่านหน้าของนางไป
แม้จะเป็นเช่นนั้นมือของหยางโย่วก็ยังโอบรอบร่างแน่งน้อยของนางแน่น ให้ตายก็ไม่คลายออก
จากนั้นหยางโย่วดึงกระบี่กิเลนเหินออกจากเอวนาง แทงเข้าใส่อกซ้ายของนางอย่....
ชั่วขณะนั้นเลือดสดๆ แผ่ขยายกว้าง พริบตาเดียวก็ย้อมแม่น้ำเป็นสีแดง
ห้วงก่อนตายเจี่ยงเฉาเสวี่ยเบิกตาคู่สวยกว้าง ปล่อยมือออกจากดาบหงส์บั่นที่พกติดกายไม่ห่างมานานปี และด้วยเรี่ยวแรงที่เหลือเพียงน้อยนิด นางใช้กำลังภายในเฮือกสุดท้ายฟาดลงไปบนอกของหยางโย่ว...
ก่อนจะสิ้นสติไปเจี่ยงเฉาเสวี่ยเหลือบเห็นหยางโย่วกระอักเลือดสดๆ ออกมาคำโต นางจึงหลับตาลงด้วยความพึงพอใจ ปล่อยให้ร่างกายที่เจ็บปวดเกินทนจมลงไปเรื่อยๆ สู่ก้นแม่น้ำ กลายเป็นอาหารของกุ้งปลาในแม่น้ำ

***

...ใครกำลังสวดคาถาพิสดารอะไร?
ตามเสียงสวดมนต์นุ่มนวลเป็นจังหวะ เจี่ยงเฉาเสวี่ยเปิดเปลือกตาขึ้นเบาๆ ทันทีที่ได้สติกลับมานางก็เข้าสู่สถานะพร้อมต่อสู้อีกครั้ง มือคลำไปที่เอว...
ขอบสายรัดเอวของนางซ่อนกระบี่อ่อนไว้เล่มหนึ่ง แม้ไม่นับว่าคมกริบ แต่ด้วยพื้นฐานกำลังภายในของนาง คิดจะใช้กระบี่อ่อนเล่มนี้ฆ่าคนย่อมเป็นเรื่องง่ายดายดุจพลิกฝ่ามือ
“อวี่เจา ในที่สุดเจ้าก็ฟื้นเสียที!”
เสียงของสตรีดังขึ้นใกล้ตัวยิ่ง เจี่ยงเฉาเสวี่ยเย็นวูบในใจ เอื้อมมือไปจับสายรัดเอวพร้อมงอเข่าเด้งตัวขึ้นนั่ง
ทว่าเมื่อนางคลำไปที่เอวกลับต้องตื่นตระหนกหลังค้นพบว่ากระบี่อ่อนใต้สายรัดเอวหายไปอย่างไร้ร่องรอย อีกทั้งเสื้ออ๋าว สีชมพูปักลายดอกไม้กับกระโปรงจีบยาวสีเขียวเข้มบนร่างก็ต่างจากชุดสีแดงคล่องตัวที่นางชอบใส่โดยสิ้นเชิง
แย่แล้ว นางติดกับดัก!
เมื่อความคิดนี้แล่นปราดขึ้นมา มือสั่นๆ ข้างหนึ่งก็เอื้อมมาทางด้านบน เจี่ยงเฉาเสวี่ยผู้มีใจระวังตัวยิ่งยวดพลันเหยียดแขนออกไปคว้ามือที่จะแตะเรือนผมนางไว้หมับ
พร้อมกันนั้นนางเงยหน้าขึ้นอย่างรวดเร็ว ดวงตาวาววับจ้องมองสตรีโฉมงามที่ออกเรือนแล้วซึ่งยืนอยู่ข้างเตียงปาปู้ ไม้เนื้อแดง
เผชิญกับสายตาเย็นชาไร้ปรานีของนาง สตรีสะคราญโฉมผู้นั้นตื่นตกใจ ริมฝีปากสั่นไม่หยุด น้ำตาร่วงเผาะ
“เจาเอ๋อร์...เจ้า...นี่เจ้าเป็นอะไรไป หรือว่าเจ้าไม่เต็มใจแต่งเข้าจวนรุ่ยอ๋องจริงๆ ถึงขั้นคิดไม่ตกฆ่าตัวตาย?”
ฟังถ้อยคำเจือเสียงสะอึกสะอื้นของสตรีโฉมงาม เจี่ยงเฉาเสวี่ยอดขมวดคิ้วเล็กๆ ไม่ได้ ในดวงตายังคงฉายประกายเย็นยะเยือก ไม่ลดลงแม้สักครึ่งเสี้ยว
“ท่านป้าท่านนี้ นี่ท่านกำลังพูดเลอะเทอะอะไร ข้าฟังไม่รู้เรื่องเลยสักคำ”
ได้ยินดังนั้นสตรีโฉมงามผู้ร่ำไห้ดุจดอกสาลี่ต้องหยาดพิรุณตะลึงงันไปชั่วขณะ มองร่างกระฉับกระเฉงที่นั่งคุกเข่าอยู่บนตั่งยาว ใบหน้านิ่งสงบและเยือกเย็นอย่างน่าประหลาด ไม่คล้ายกำลังโมโหตนหรือว่าเสแสร้งแม้แต่น้อย สตรีโฉมงามพลันสับสนกระวนกระวาย
“เจาเอ๋อร์ จะ...เจ้าจำแม่ไม่ได้แล้ว?”
เจี่ยงเฉาเสวี่ยอึ้งงันเล็กน้อยในทีแรก ก่อนจะหัวเราะหยัน “ท่านป้า พูดจามั่วซั่วอะไรของท่าน ถึงท่านแม่ข้าจะยังอยู่บนโลกนี้ แต่หน้าตาก็ไม่เหมือนท่านเสียหน่อย ถ้าข้าไม่รู้แม้กระทั่งว่ามารดาผู้ให้กำเนิดตัวเองหน้าตาเป็นอย่างไร จะไม่ถือว่ามีชีวิตมาเสียเปล่าหรอกรึ”
สตรีโฉมงามนิ่งอึ้ง เพราะนางไม่เคยเห็นบุตรีที่มีนิสัยขี้ขลาดมาตั้งแต่เด็ก ไม่ว่ากับใครก็เออออรับคำอยู่เสมอกล่าววาจาห้าวหาญเด็ดขาดเช่นนี้มาก่อน
สตรีโฉมงามกำลังจะเปิดปากถามให้กระจ่าง ฉับพลันนั้นประตูห้องก็ถูกผลักเปิด สตรีอีกนางซึ่งแต่งกายหรูหราสูงศักดิ์เดินเข้ามาในห้องอย่างสง่าผ่าเผยพร้อมกับกลุ่มแม่นมที่รายล้อม
เห็นดังนั้นสตรีโฉมงามรีบร้อนรวบแขนเสื้อคุกเข่าลง น้ำเสียงสั่นเครือชัดเจน คารวะสตรีสูงศักดิ์ผู้นั้นด้วยใจว้าวุ่นตื่นกล้ว
“อนุหวังซื่อ ได้พบเจอเว่ยฮูหยิน ขอคารวะฮูหยินกั๋วกง ”
สตรีสูงศักดิ์ที่ถูกเรียกขานว่าเว่ยฮูหยินมีรูปโฉมไม่สามัญ เพียงแต่เมื่อเทียบกับหวังซื่อผู้ขี้ขลาดคนนี้แล้วยังด้อยกว่าอยู่หลายส่วน...เจี่ยงเฉาเสวี่ยประเมินสถานการณ์ตรงหน้าไปพลาง บ่นพึมพำในใจไปพลาง
ตกลงเกิดเรื่องอะไรขึ้นกันแน่ ไม่ใช่ว่านางควรถูกฝังอยู่ก้นแม่น้ำหลูฮวาไปแล้วหรือ? คนเหล่านี้มันอะไรกัน ไฉนมีความสามารถยิ่งใหญ่ ถึงกับลากตัวนางขึ้นมาจากก้นแม่น้ำได้?
ช้าก่อน
เจี่ยงเฉาเสวี่ยชะงัก ตามด้วยปลดสายรัดเอวออก ไม่นำพาว่ามีคนอีกโขยงอยู่ในเหตุการณ์ นางถอดเสื้ออ๋าวสีชมพูออกอย่างเปิดเผยเป็นธรรมชาติ จากนั้นถกเสื้อชายตัวในขึ้นพิศดูช่วงเอวของตนอย่างละเอียด
เห็นเพียงผิวเนื้อช่วงเอวของนางเรียบเนียนไร้ที่ติ อย่าว่าแต่บาดแผล แม้แต่รอยแผลเป็นสักครึ่งเสี้ยวก็ไม่มีให้เห็น
ไม่ใช่ว่านางถูกสองกระบี่นั้นของหยางโย่วเข้าหรอกหรือ? เหตุใดยามนี้ร่างกายของนางจึงครบถ้วนสมบูรณ์ดีราวกับไม่เคยได้รับบาดเจ็บใดๆ เสียอย่างนั้น...
การเคลื่อนไหวของเจี่ยงเฉาเสวี่ยคล่องแคล่วเฉียบขาด จมอยู่กับความคิดของตัวเอง ไม่ได้สังเกตว่าเว่ยฮูหยินเดินมาถึงหน้าเตียงของนางแล้ว
เว่ยฮูหยินขมวดเรียวคิ้วทั้งสองที่วาดไว้อย่างประณีตแน่น นิ้วที่ทาเล็บสีแดงชี้ใส่เจี่ยงเฉาเสวี่ยอย่างโกรธขึ้ง
“เหยียนอวี่เจา นี่มันกิริยาอะไรของเจ้า?! ตามากมายหลายคู่ขนาดนี้จับจ้องอยู่ เจ้ายังถึงกับเปลื้องผ้าผ่อนได้ราวกับมองไม่เห็น เจ้านี่ช่างไร้ยางอายจริงๆ!”
แม้บนร่างของเจี่ยงเฉาเสวี่ยจะสวมเพียงเสื้อพาดอกสีขาวดุจหิมะปักลายดอกบัวสีชมพูชิ้นเดียว นางก็ไร้ซึ่งความสะเทิ้นอายใดๆ เพียงเงยดวงหน้าเล็กเย็นชาขึ้นมองประเมินเว่ยฮูหยินตั้งแต่หัวจรดเท้าด้วยสีหน้าไร้อารมณ์
เว่ยฮูหยินซึ่งไม่เคยเห็นเหยียนอวี่เจามีท่าทีเช่นนี้มาก่อนอึ้งค้างไปชั่วขณะ
“ฮูหยินท่านนี้ เมื่อครู่ท่านเรียกข้าว่าอะไรนะ ข้าฟังไม่ถนัด ท่านเรียกอีกครั้งซิ”
เจี่ยงเฉาเสวี่ยหรี่ดวงตากลมโตเป็นประกายลง ยกยิ้มหวาน น้ำเสียงกลับชวนให้คนหนาวสั่น
เว่ยฮูหยินถูกท่าทางของนางข่มขวัญ นานพักใหญ่กว่าจะได้สติกลับมา นางเบิกตากว้างอย่างไม่อยากเชื่อ
“เหยียนอวี่เจา นี่เจ้าไปกินดีหมีหัวใจเสือมารึ ถึงกับกล้าพูดกับข้าเช่นนี้?!”
เผชิญกับการตำหนิเสียงกร้าวของเว่ยฮูหยิน เจี่ยงเฉาเสวี่ยทำราวกับไม่ได้ยิน เพียงมีสีหน้าครุ่นคิดกับชื่อ ‘เหยียนอวี่เจา’ นี้
จากนั้นเจี่ยงเฉาเสวี่ยก็สวมเสื้ออ๋าวเองโดยไม่แยแสแววตาประหลาดใจของทุกคนในที่นั้น เท้าเล็กขาวเนียนเปล่าเปลือยทั้งสองเหยียบลงบนหินปูพื้นสีขาวที่ติดจะเย็นเล็กน้อย
นางกวาดตามองด้านในห้องรอบหนึ่ง สุดท้ายจึงมาหยุดหน้าคันฉ่องประทินโฉมแกะสลักลายหรูอี้ เพ่งพินิจเครื่องหน้าของตนผ่านคันฉ่องทองแดงบานนั้น
ดวงหน้าที่สะท้อนอยู่ในกระจกคือใบหน้าที่นางคุ้นเคยที่สุด...แต่ถ้ามองดูดีๆ ก็ยังสังเกตเห็นความแตกต่างเล็กๆ บางประการได้
ทันใดนั้นเจี่ยงเฉาเสวี่ยก็หมุนตัวแล้วลูบผ่านร่างกายท่อนบนคล้ายพยายามจับความรู้สึก ต่อด้วยลูบกระโปรงผ้าไหมท่อนล่างเบาๆ ครั้นนางคิดจะสำแดงวิชาตัวเบากลับต้องผิดคาดหลังค้นพบว่าตนไม่อาจใช้ออกมาได้แล้ว
“เจาเอ๋อร์ เจาเอ๋อร์! นี่เจ้าตกใจจนโง่ไปแล้วหรือ ท่านนี้เป็นถึงนายหญิงจวนจงกั๋วกงของพวกเราเชียวนะ! เจ้าร้อยมิอาจพันมิอาจเสียมารยาทกับฮูหยิน!”
สตรีโฉมงามนามหวังซื่อคุกเข่าลงกับพื้น ร้องขึ้นด้วยสีหน้าที่เต็มไปด้วยความกังวล
ไหนเลยเจี่ยงเฉาเสวี่ยจะมีแก่ใจไปสนใจคนเหล่านี้ นางหมุนรอบตัวเองอยู่กับที่ ยกมือเนียนนุ่มขึ้นวาดเบาๆ กลางอากาศหวังจะส่งกำลังภายในออกมา ทว่าจะอย่างไรก็ไม่อาจเรียกออกมาได้
เจี่ยงเฉาเสวี่ยมึนงง ดวงหน้างดงามย้อมด้วยสีขาวซีดในพริบตา นางจ้องมองตัวเองในกระจก รู้สึกถึงหายนะครั้งใหญ่ขึ้นมาในบัดดล
“เหยียนอวี่เจา ข้าคุยกับเจ้าอยู่ เจ้าไม่ได้ยินรึ?”
เสียงบริภาษแหลมสูงของเว่ยฮูหยินครั้งนี้ ในที่สุดก็ดึงให้เจี่ยงเฉาเสวี่ยเหลือบมองได้สำเร็จ
นางขมวดคิ้วเล็กน้อยมองใบหน้าของแต่ละคนในห้องอีกครั้ง อึดใจสั้นๆ ต่อมาพลันเยือกเย็นลงอย่างรวดเร็ว
ดูท่านางไม่เพียงตายอยู่ที่แม่น้ำหลูฮวา ยามนี้ไม่รู้อยู่ที่ไหน ซ้ำยังถูกคนบางพวกเข้าใจผิดว่าเป็นแม่นางที่ชื่อเหยียนอวี่เจาอีกด้วย
แต่ว่าเรื่องนี้ไม่สมเหตุสมผลเอาเสียเลย เหตุใดบนตัวของนางถึงไม่มีรอยแผลจากกระบี่เลยเล่า
หรือว่า...หรือว่านางจะตายไปแล้วจริงๆ ที่แม่น้ำหลูฮวา แค่อาศัยกายเนื้อของเหยียนอวี่เจาหวนชีพคืนวิญญาณเท่านั้น?
วิชาย้ายวิญญาณพรรค์นี้ ในอดีตเจี่ยงเฉาเสวี่ยเคยได้ยินมารดาเอ่ยถึง ในยุทธภพมีผู้สูงส่งที่เชี่ยวชาญวิชานี้อยู่จริงๆ แต่ปัจจุบันผู้สูงส่งเหล่านี้ส่วนใหญ่ละสังขารไปแล้ว วิชาย้ายวิญญาณที่ล้ำเลิศโดดเด่นถึงเพียงนี้ไม่ใช่สิ่งที่คนธรรมดาจะทำความเข้าใจได้ด้วยตัวเอง ย่อมค่อยๆ สูญหายไปเป็นธรรมดา
“หรือว่า...ท่านแม่รู้วิชาย้ายวิญญาณ?” เจี่ยงเฉาเสวี่ยพึมพำกับตัวเองอย่างเข้าใจขึ้นมาฉับพลัน
“เหยียนอวี่เจา เวลานี้เจ้าจะกลายเป็นชายาซื่อจื่อ ของจวนรุ่ยอ๋อง ก็เลยไม่เห็นฮูหยินจงกั๋วกงอย่างข้าคนนี้อยู่ในสายตาใช่หรือไม่?”
ได้ยินคำถามกระทบกระแทกแดกดันประโยคนี้ เจี่ยงเฉาเสวี่ยค่อยสงบสติลงได้ในที่สุด ย้อนถามเว่ยฮูหยินอย่างเย็นชาว่า “ตอนนี้ปีอะไร”
ถ้อยคำนี้กล่าวออกมา คนทั้งหมดตกตะลึง
หวังซื่อพูดด้วยสีหน้าตื่นตระหนก “เจาเอ๋อร์ สมองของเจ้าถูกกระแทกเสียหายไปแล้วจริงๆ หรือ ตอนนี้ปีเซิ่งเหรินที่ห้าอย่างไรเล่า!”
แววตาของเจี่ยงเฉาเสวี่ยเต็มไปด้วยความว่างเปล่า ถามต่อไปอีกว่า “เซิ่งเหรินที่ห้า?...แล้วฮ่องเต้องค์ปัจจุบันคือผู้ใด”
บรรดาสตรีในที่นั้นหน้าเปลี่ยนสีกันยกใหญ่ เว่ยฮูหยินตวาดด้วยใบหน้าซีดเผือด “เหยียนอวี่เจา เจ้าไม่ใช่แค่สมองถูกกระแทกจนเสียหาย ประสาทก็โดนกระแทกจนไม่เหลือแล้วใช่หรือไม่?! เจ้ามีฐานะอะไรถึงกับพูดจาล่วงเกินฝ่าบาท!”
หวังซื่อตะลีตะลานลุกขึ้นมาตรงหน้าเจี่ยงเฉาเสวี่ย กดตัวนางลงกับพื้นบังคับให้นางคุกเข่าลง
ดวงหน้าเล็กของเจี่ยงเฉาเสวี่ยฉายแววโกรธเกรี้ยว ผลักหวังซื่อออกไป ไอสังหารปะทุขึ้นในดวงตา
ภาพนี้ทำให้คนที่เห็นอึ้งงันไปกันหมดอีกครั้ง
เห็นจิตสังหารแจ่มชัดในดวงตาของบุตรี หวังซื่อพลันหนาวเยือกจนสั่นสะท้าน ยิ่งทึ่มทื่อไปโดยสิ้นเชิง
“เจาเอ๋อร์...นี่เจ้าเกลียดแม่แล้วหรือ เจ้าเกลียดที่แม่ไม่ปกป้องเจ้า ให้เจ้าแต่งเข้าจวนรุ่ยอ๋องแทนคุณหนูใหญ่ เจ้าถึงได้ตัดสินใจคิดสั้นใช่หรือไม่”
ต้องขอบคุณคำสารภาพนี้ของหวังซื่อ เจี่ยงเฉาเสวี่ยจึงได้พอเข้าใจที่มาที่ไปของเรื่องเสียที
“เจาเอ๋อร์ เจ้าต้องเห็นใจแม่นะ เรื่องนี้แม่ทำอะไรไม่ได้จริงๆ!” หวังซื่อร้องห่มร้องไห้กอดเจี่ยงเฉาเสวี่ย
เว่ยฮูหยินมองอยู่ข้างๆ ด้วยความเย็นชา ซ้ำร้ายนางยังเอ่ยแดกดันขึ้นมาโดยปราศจากความเห็นอกเห็นใจ “น้องหญิง เจ้าจะร้องไห้หาอะไร คนไม่รู้เรื่องเห็นเจ้าคร่ำครวญเยี่ยงนี้ ระวังเขาจะคิดว่าเจ้ากำลังร้องไห้ไว้ทุกข์!”
“กล่าวเช่นนี้คุณหนูใหญ่ที่ท่านเรียกก็คือบุตรีของเว่ยฮูหยินผู้นี้?” เจี่ยงเฉาเสวี่ยตั้งสติ พยายามหาความเชื่อมโยงระหว่างคนเหล่านี้
“ใช่สิ! หรือแม้แต่เรื่องพวกนี้เจ้าก็ลืมไปแล้ว?” หวังซื่อสะอึกสะอื้นตอบ
เว่ยฮูหยินเอ่ยด้วยน้ำเสียงเยียบเย็น “ข้าว่าอวี่เจามีสติรู้ตัวดี แววตาก็สดใส ดูไม่เหมือนสมองกระทบกระเทือนจนโง่งมสักนิด แปดส่วนคงแกล้งทำกระมัง หรือว่ากระทั่งตัวเจ้าที่เป็นบุตรีอนุจวนจงกั๋วกงเจ้าก็ลืมไปแล้ว?”
บุตรีอนุจวนจงกั๋วกง?
นางโตมาป่านนี้ไม่เคยได้ยินปีเซิ่งเหรินที่ห้า ยังมีจงกั๋วกงอะไรนี่มาก่อน ที่นี่จะต้องไม่ใช่โลกและยุคสมัยที่นางอยู่แต่เดิมแน่ๆ...
เจี่ยงเฉาเสวี่ยข่มความรู้สึกว้าวุ่นสับสนในใจไว้ มองข้ามใบหน้าอัปลักษณ์ของเว่ยฮูหยินไป เอ่ยถามหวังซื่อที่ยังคงกอดตนไว้แน่น
“ท่านป้าหวัง ข้าขอถามท่าน ฮ่องเต้องค์ปัจจุบันใช่สกุลหลี่หรือไม่”
หวังซื่อแก้คำอย่างไม่อยากเชื่อ “สกุลหลี่? ฝ่าบาทองค์ปัจจุบันจะสกุลหลี่ได้อย่างไร ราชวงศ์สกุลหลี่เป็นเรื่องตั้งแต่ร้อยปีก่อนแล้ว ยามนี้สกุลซูต่างหากที่เป็นราชวงศ์!”
เจี่ยงเฉาเสวี่ยมองด้วยแววตาว่างเปล่า “ร้อยปีก่อน? มันจะเป็นไปได้อย่างไร...”
เห็นบุตรีท่าทางสติไม่อยู่กับร่องกับรอย ไม่รู้ปีนี้ปีอะไรแบบนี้ หวังซื่อพลันร้องไห้หนักกว่าเดิม นางรีบหันไปหาเว่ยฮูหยิน โขกศีรษะอ้อนวอน “ขอฮูหยินได้โปรดเชิญหมอมารักษาเจาเอ๋อร์ด้วยเจ้าค่ะ เจาเอ๋อร์โดนกระแทกจนโง่งมไปแล้ว!”
เว่ยฮูหยินสะบัดแขนเสื้อ กระตุกยิ้มเย็นเอ่ยว่า “นางโง่ไปแล้วก็ดี พรุ่งนี้ตอนแต่งงานจะได้ไม่ต้องรนหาที่ตาย แค่นั่งอยู่ในเกี้ยว ให้บ่าวรับใช้ยกเข้าไปในจวนรุ่ยอ๋องแต่โดยดี”
พอจบคำนอกห้องก็มีเสียงรายงานสั่นๆ อย่างขลาดกลัวของบ่าวรับใช้หญิงที่เฝ้าประตูลอยเข้ามา...
“เรียนฮูหยิน คนจากทางจวนรุ่ยอ๋องมา บอกว่าได้ยินเรื่องที่คุณหนูอวี่เจาชนเสาฆ่าตัวตาย จึงมาตรวจสอบด้วยตัวเองเจ้าค่ะ”
ชนเสาฆ่าตัวตาย
เจี่ยงเฉาเสวี่ยยกมือขึ้นด้วยสีหน้าข้องใจ คลำบริเวณหน้าผาก เจอก้อนปูดนูนอย่างที่คิดจริงๆ
พอคลำเจอแล้วความปวดแปลบอันแปลกประหลาดก็แพร่กระจายไปทั่วอย่างรวดเร็ว นางสะท้านเฮือกอย่างห้ามไม่อยู่ คล้ายจะไม่ได้รู้สึกเจ็บแปลบลึกๆ แบบนี้มานานเหลือเกินแล้ว
นางสามขวบฝึกยุทธ์ ห้าขวบฝึกปราณ หกขวบเริ่มสะสมกำลังภายใน ในปีที่อายุเต็มเจ็ดขวบก็เรียนรู้การจับดาบหงส์บั่นที่หนักอึ้ง แม้นางจะเป็นอัจฉริยะด้านการฝึกยุทธ์โดยกำเนิด แต่เผชิญกับการฝึกฝนหฤโหดของท่านแม่นางก็แทบจะกินโลหิตจากบาดแผลของตัวเองเป็นอาหารเสริมเลยทีเดียว
ยิ่งกว่านั้นเพื่อที่จะเรียนรู้วิชายุทธ์ เคล็ดวิชาหมัดมวยอันเป็นเอกลักษณ์ในมือท่านแม่ นางยังฝึกจนแม้แต่เอวยังไม่อาจยืดให้ตรงได้ บางครั้งจะลุกขึ้นยังต้องใช้ท่อนล่างคลานเอาด้วยซ้ำ
...ให้คิดคำนวณพันหมื่นตลบนางก็คิดไม่ถึงเลยว่าตนจะถึงกับย่อยยับในมือของหยางโยว่ โทสะนี้จะให้นางกล้ำกลืนไว้ได้อย่างไรกัน!
ยามนี้นางสูญเสียวรยุทธ์ทั้งหมดไป กลายเป็นบุตรีอนุจวนจงกั๋วกงที่อ่อนแอไร้ที่พึ่งคนนี้ นางควรทำอย่างไรดี?
ความคิดของเจี่ยงเฉาเสวี่ยสับสนวุ่นวายไปหมด นางลุกพรวดขึ้นไปนั่งลงบนเก้าอี้กลมหน้าคันฉ่องประทินโฉม มองดวงหน้าเล็กงามล้ำในคันฉ่องทองแดง ชั่วขณะนั้นพลันเกิดความรู้สึกแปลกหน้ายิ่งยวด
ไร้วรยุทธ์ ไร้กำลังภายใน ไม่มีดาบหงส์บั่น นางควรจะใช้ชีวิตต่อไปอย่างไร?
เจี่ยงเฉาเสวี่ยจมอยู่ในภวังค์ความคิด ไม่ตระหนักเลยว่าทุกคนในห้องปั่นป่วนเละเทะกลายเป็นโจ๊กหม้อหนึ่งไปแล้ว
เว่ยฮูหยินสั่งการด้วยสีหน้าเยือกเย็น “รีบทำความสะอาดให้นาง แล้วพาตัวไปที่โถงหลัก”
“เจ้าค่ะ” สตรีในห้องไม่กล้าชักช้า คุกเข่ารับคำสั่งทันที
หลังจากออกคำสั่งเสร็จ เว่ยฮูหยินก็ออกไปกับแม่นมคนสนิทสองนาง
เว่ยฮูหยินจากไปไม่นาน แม่นมกับสาวใช้กลุ่มหนึ่งก็ตั้งวงล้อมรอบเจี่ยงเฉาเสวี่ยทันควัน
พวกนางกำลังจะก้าวขึ้นหน้า กลับเห็นเจี่ยงเฉาเสวี่ยตวัดตาคู่สวยมองอย่างเย็นชา ไอสังหารน่าหวาดหวั่นคุกรุ่นในแววตา
เห็นดังนั้นเหล่าสตรีที่แต่ไหนแต่ไรไม่เคยเห็นคุณหนูรองผู้เป็นลูกอนุอยู่ในสายตาก็ต้องตะลึงงันกันถ้วนหน้า
“ใครกล้าแตะตัวข้า ข้าจะตัดมือคนนั้น!”
ได้ยินแล้วคนทั้งหมดตกใจจนหน้าขาวซีด ถอยหลังไปก้าวใหญ่อย่างพร้อมเพรียง
ยังคงเป็นหวังซื่อที่ก้าวเข้ามาอย่างไม่กลัวตาย ร้องไห้คร่ำครวญวิงวอน “เจาเอ๋อร์ เจ้าอย่าเป็นแบบนี้อีกเลย คนของจวนรุ่ยอ๋องมาแล้ว พวกเราจะล่วงเกินไม่ได้เป็นอันขาด!”
เจี่ยงเฉาเสวี่ยที่นั่งอยู่บนเก้าอี้กลมเอ่ยถามด้วยรอยยิ้มน่ารัก “แล้วจวนรุ่ยอ๋องเป็นตัวอะไรกัน เหตุใดจึงไม่อาจล่วงเกินได้”
ในความน่ารักนี้มีทั้งน้ำคำและท่าทีข่มขู่ ทำให้ทุกคนมองค้างด้วยความสับสนอีกครั้ง
นี่...นี่ใช่คุณหนูรองจวนจงกั๋วกงที่อะไรก็เออออรับคำหมดคนนั้นหรือ? ใครที่รู้จักเหยียนอวี่เจาเห็นนางเป็นเช่นนี้ต้องจำไม่ได้กันทั้งนั้น
หวังซื่อกลัวนางจะพูดโพล่งไม่ระวังปากล่วงเกินจวนรุ่ยอ๋องเข้า จึงรีบอ้าปากตอบ “รุ่ยอ๋องคือญาติผู้พี่สายตรงของฝ่าบาทองค์ปัจจุบันอย่างไรเล่า! รุ่ยอ๋องเป็นบุคคลที่ฮ่องเต้โปรดปรานอย่างมาก ทั้งยังเป็นมหาบัณฑิตในเน่ยเก๋อ กล่าวได้ว่ารุ่ยอ๋องเป็นผู้ที่อยู่ใต้คนผู้เดียว อยู่เหนือคนนับหมื่น!”
สาธยายจบ ข้างนอกก็มีเสียงเร่งเร้าของบ่าวรับใช้ดังขึ้นอีกครั้ง...
“หวังฮูหยิน รุ่ยอ๋องซื่อจื่อมาเยี่ยมดูอาการบาดเจ็บของคุณหนูรองด้วยตัวเอง ท่านรีบให้คุณหนูรองออกมาพบรุ่ยอ๋องซื่อจื่อสักหน่อยเถอะเจ้าค่ะ”
“รุ่ยอ๋องซื่อจื่อ?” เจี่ยงเฉาเสวี่ยรู้สึกขบขันจนแค่นหัวเราะออกมา “ทำไม ที่แท้คนที่ข้าต้องแต่งด้วยไม่ใช่รุ่ยอ๋อง แต่เป็นรุ่ยอ๋องซื่อจื่อหรอกหรือ”
“เจาเอ๋อร์ เจ้าเป็นอะไรไปกันแน่?” หวังซื่อร้อนใจจนร้องไห้ออกมาอีกหน
แม่นมอาวุโสซึ่งค่อนข้างมีอายุผู้หนึ่งที่อยู่ด้านข้างพลันเอ่ยปากขึ้นมา “หรือคุณหนูรองจะถูกผีเข้า?”
เจี่ยงเฉาเสวี่ยชะงัก กลอกตารอบหนึ่งแล้วปรายตามองแม่นมอาวุโส นางยกริมฝีปากขึ้นพูดด้วยน้ำเสียงน่ารักน่าเอ็นดู “ถ้าข้าถูกผีเข้าจริง ข้าจะทำลายจวนจงกั๋วกงให้ราบเลย ท่านว่าดีหรือไม่”
แม่นมอาวุโสถูกแววตาคุกรุ่นด้วยไอสังหารของนางทำให้นิ่งค้าง สั่นเทิ้มไปทั้งร่างอย่างไม่อาจควบคุม
ด้านนอกมีเสียงแหลมสูงกระหืดกระหอบของบ่าวรับใช้อีกคนดังขึ้น...
“อนุหวัง ท่านรีบจัดการทำความสะอาดให้คุณหนูรองเร็วเข้า รุ่ยอ๋องซื่อจื่อกำลังจะขึ้นมาเยี่ยมคุณหนูรองบนหอปี้ซิงแล้ว”
ไม่ผิดจากที่คิด สิ้นเสียงแหลมสูงนี้ของบ่าวรับใช้ ในสวนด้านนอกก็แว่วเสียงเว่ยฮูหยินประจบประแจงใครบางคนลอยมา
ทุกคนในห้องหน้าเปลี่ยนสีในบัดดล อยากจะก้าวเข้ามาช่วยเจี่ยงเฉาเสวี่ยหวีผมผลัดผ้ากันคนละไม้คนละมือ
ใครจะคาดคิด เจี่ยงเฉาเสวี่ยกลับฉวยปิ่นมุกติดมือมา ข่วนใบหน้าของแม่นมไปหลายคน
พริบตาเดียวเสียงกรีดร้องโวยวายดังระงม
ในเวลาเดียวกันด้านนอกก็มีเสียงทุ้มลึกที่คุ้นเคยดังขึ้น...
“ด้านในเกิดเรื่องอะไรขึ้น เหตุใดมีคนร้องโหยหวนเช่นนี้?”
เจี่ยงเฉาเสวี่ยแข็งทื่อไปทั้งร่าง ดวงตาวาววามเบิกกว้าง มือบางที่ถือปิ่นมุกกระชับแน่นขึ้นเรื่อยๆ แน่นจนแทบสั่นระริก
...เสียงนี้! ไม่ผิดแน่ ต่อให้นางกลายเป็นผีก็ไม่มีทางลืมเสียงของคนผู้นี้!



+++++++++++++++++++++++
ระหว่างต่อสู้เป็นตายกับหยางโย่วศิษย์เอกสำนักฝ่ายธรรมะ เจี่ยงเฉาเสวี่ยเจ้าสำนักหญิงฝ่ายอธรรมถูกเขาลากตกแม่น้ำไปพร้อมกัน เมื่อลืมตาอีกครั้งก็พบว่าวิญญาณนางมาเข้าร่างของคนในอีกร้อยปีให้หลัง จากนางมารร้ายวรยุทธ์สูงล้ำที่ผู้คนครั่นคร้ามต้องมาไร้ซึ่งวรยุทธ์หลุดจากยุทธภพ กลายเป็นบุตรีอนุที่บิดาไม่รักมารดาไม่มีที่ยืนในจวนขุนนางใหญ่
ส่วนหยางโย่วนั้นมาเข้าร่างผู้สืบทอดตำแหน่งรุ่ยอ๋องคู่หมั้นหมายของนาง น่าตายนัก! ขณะหาทางกลับไปพวกเขาทั้งคู่ที่เดิมเป็นศัตรูคู่อาฆาตจึงต้องแสร้งเป็นสามีภรรยาเพราะสถานการณ์บีบบังคับ เพียงแต่ไม่รู้สมองส่วนไหนของเขามีปัญหาถึงเอาแต่ดึงดันจะเปลี่ยนละครปลอมๆ ที่เล่นกับนางให้เป็นจริงอยู่ได้...


รูปภาพ

ตอบกลับโพส

ย้อนกลับไปยัง “Bongkoch Books News & Activities”