New Release เหลียนฮวา : สาวน้อย CSI แห่งศาลต้าหลี่ 1 (2 เล่มจบ)

อัพเดทข่าวบงกชบุ๊คส์ ความเคลื่อนไหว และกิจกรรมพิเศษ ตลอดจนร่วมสนุกชิงรางวัลพร้อมของรางวัลมากมาย

Moderator: P'Bly, Gals, พี่บี

ตอบกลับโพส
Gals
โพสต์: 1072
ลงทะเบียนเมื่อ: ศุกร์ 13 ก.พ. 2009 3:47 pm

New Release เหลียนฮวา : สาวน้อย CSI แห่งศาลต้าหลี่ 1 (2 เล่มจบ)

โพสต์ โดย Gals »

สาวน้อย CSI แห่งศาลต้าหลี่ 1

...ต้าหลี่ดาวสองดวง ในประตูวัง รับผิดชอบคดีอาญาจำคุก
(คัมภีร์ดาราศาสตร์กันสือ)

[คดีหูปิ่ง ]
ฉางอัน
...กฎราชวงศ์ถัง ไม่พ้นยามอู่ กลองตลาดไม่ดัง ตลาดตะวันตกและตะวันออกห้ามเปิด ก่อนดวงตะวันตกเจ็ดเค่อ ฆ้องรัวสามร้อย ร้านรวงต้องเก็บโต๊ะเก็บแผง
ทว่าวันนี้ฝนตกเหมือนฟ้ารั่ว ตามตรอกตลาดที่ยามปกติคึกคักจอแจจึงเงียบเหงาอย่างน้อยครั้งจะเป็น
ร้านขายของกินท้ายตรอกที่ไม่สะดุดตาร้านหนึ่งในตลาดตะวันตกมีหญิงชราหลังโก่งคนหนึ่งกำลังนวดแป้งทำหูปิ่ง
หูปิ่งห่อไส้เนื้อสับ พรมน้ำเพื่อให้กรอบ ใส่เตาอบรอเนื้อสุกเป็นใช้ได้...ไม่เพียงเป็นอาหารที่พ่อค้าชาวหูผู้ออกเดินทางตามเส้นทางสายไหมโปรดปราน เจ้าหน้าที่หลายคนหลังเลิกงานก็มาซื้อกลับไปกินเป็นอาหารที่บ้านเช่นกัน
ขณะที่เนื้อแกะและแป้งเกรียมส่งกลิ่นหอมอบอวล เจ้าหน้าที่ตัวน้อยร่างผอมในชุดขุนนางสีฟ้าเขียวก็วิ่งเข้ามาในร้านอย่างลิงโลด สะบัดเม็ดฝนบนร่มกระดาษน้ำมันวางพิงด้านข้าง ตามด้วยวางป้ายปลา แสนหนักที่เอวลงบนโต๊ะอย่างคุ้นชิน จากนั้นนั่งลงด้วยท่าทางผึ่งผาย
“โอย! หิวจะตายอยู่แล้ว วันนี้ข้าขอเพิ่มอีกแผ่น”
แผ่นหลังของหญิงชราชะงัก ขานรับงึมงำฟังไม่ชัดคำหนึ่ง จากนั้นค่อยๆ คีบหูปิ่งแผ่นใหญ่ออกมาจากในเตาสองลูก พร้อมกับเทสุราหมักที่หมักเองออกมาชามหนึ่ง ยกเดินตัวสั่นหงึกหงักมาให้
ป้าใหญ่อายุเยอะมากแล้ว แต่ยังทาชาดบนใบหน้าที่เต็มไปด้วยริ้วรอยตามมารยาทอันดี ผมสีเทารวบเก็บเรียบร้อย หญิงชราหลังค่อมก้มศีรษะ วางแป้งกับสุราลงบนโต๊ะ ค้อมตัวเล็กน้อยแล้วค่อยๆ เดินกลับไปทำแป้งที่หลังร้านต่อ
เจ้าหน้าที่ตัวน้อยที่หิวจนกระเพาะร้องโครกครากมองหูปิ่งที่ถูกอบจนหอมเหลืองกรอบกับสุราหมักสีเขียวบนโต๊ะ กำลังจะเอื้อมหยิบแต่ชะงักไปเล็กน้อย จากนั้นค่อยยื่นมาหยิบหูปิ่งแผ่นแข็งที่ยังร้อนลวกมือแผ่นหนึ่งแล้วยิ้มนิดๆ ถามว่า “ป้าใหญ่ เหตุใดวันนี้จึงไม่มีลูกค้าเลย”
หญิงชรานวดแป้งในมือเสียงตุ้บๆ เสียงแหบพร่าแว่วมาเบาๆ “ท่านอาจยังไม่รู้ ได้ยินว่าที่ตรอกหวายเต๋อมีหอสุราชาวหูเปิดใหม่ คนย่อมแห่ไปที่นั่นเป็นธรรมดา หากไม่ต้องเฝ้าร้านข้าคงไปกับคนอื่นเช่นกัน”
“ที่แท้ก็เป็นเช่นนี้ ข้านึกว่าฝนตกหนักเลยไม่มีคนเสียอีก” เจ้าหน้าที่ตัวน้อยฉีกหูปิ่งร้อนกรุ่น กลิ่นหอมเกรียมและกลิ่นเนื้อแกะอันคุ้นเคยโชยเตะจมูก...
แต่น่าเสียดายแล้ว หูปิ่งนี่อยู่ในเตาอบนานไปหน่อย แป้งชั้นนอกที่ปกติต้องกรอบจึงแข็งไป
เจ้าหน้าที่ตัวน้อยมองประเมินรอบด้านเงียบๆ ร้านนี้อยู่ในซอกหลืบท้ายตรอกตลาดตะวันตก ท่ามกลางร้านเครื่องประดับ ร้านเครื่องเทศ ร้านขายม้า ร้านผ้าไหม และหอสุรานับพัน ที่นี่เหมือนถูกกลืนหายไป เสียงอึกทึกและความวุ่นวายจากตลาดครึกครื้นด้านนอกเสมือนถูกกั้นไว้ราวจันทร์กลางน้ำ ผกาในคันฉ่อง ชั่วขณะที่ตกอยู่ในภวังค์ สายลมก้อนเมฆก็พัดสลาย...
แต่เพราะความเงียบสงบท่ามกลางความจอแจวุ่นวายนี้ รวมกับฝีมือการทำหูปิ่งของป้าใหญ่ ทำให้มีลูกค้ามาเยี่ยมเยียนไม่ขาดสาย
ภายในร้านมีเพียงไม่กี่โต๊ะ แต่ทุกโต๊ะถูกเช็ดจนสะอาดเอี่ยมอ่อง นอกจากกลิ่นหอมของหูปิ่งไส้เนื้อเข้มข้น ในอากาศยังมีกลิ่นเปรี้ยวแสบจมูกของน้ำส้มสายชูผสมอยู่ด้วยจางๆ
หากจมูกของเจ้าหน้าที่ตัวน้อยไม่ได้ไวเหมือนสุนัขก็คงจะดมไม่ออก
เจ้าหน้าที่ตัวน้อยถอนใจทีหนึ่ง รู้สึกลังเลอยู่บ้าง...
โต้รุ่งมาตั้งแต่เมื่อคืนจนถึงตอนนี้ อย่าว่าแต่น้ำแกง แป้งอบ หรือข้าวเลย กระทั่งน้ำลายยังไม่มีเวลากลืน หากเป็นไปได้ ก็อยากจะก้มหน้าก้มตากินแป้งสองก้อนนี่ให้หมด เคี้ยวกร้วมๆ ลงท้องก่อนแล้วค่อยสนเรื่องอื่น
“แต่ก็น่าเสียดายแล้ว...” เจ้าหน้าที่ตัวน้อยพึมพำกับตัวเอง
มือหยาบเปื้อนแป้งของหญิงชรากดลึกลงในก้อนแป้ง ศีรษะก้มต่ำคล้ายกำลังคิดอะไร และคล้ายกำลังรอคอยบางอย่าง...
เจ้าหน้าที่ตัวน้อยวางหูปิ่งที่ฉีกครึ่งลง ฉับพลันหันมายิ้มให้หญิงชรา
หญิงชราตัวชา พริบตาต่อมาก็เห็นโต๊ะเตี้ยตัวหนึ่งลอยมายังศีรษะของตัวเอง!
พริบตานั้นหญิงชราหยัดตัวขึ้น กระโดดหลบกระฉับกระเฉงก่อนฟาดมือใส่โต๊ะเตี้ยตัวนั้นแตกเป็นสองเสี่ยง เสียงไม้แตกดังสนั่น ไม่รู้ว่าเจ้าหน้าที่ตัวน้อยปราดเข้ามาใกล้ ‘นาง’ ตั้งแต่เมื่อไร อีกฝ่ายสะบัดแขนเสื้อ กลิ่นหอมแปลกๆ บางอย่างก็ลอยออกมา
หญิงชราพลันตัวอ่อนยวบ มองเจ้าหน้าที่ตัวน้อยหน้าตาหมดจดที่ตัวเล็กกว่าตัวเองหนึ่งช่วงศีรษะตรงหน้าอย่างเหลือเชื่อ...สามารถล้มตนได้ในพริบตา?
เป็นไปได้อย่างไร ทำได้อย่างไร
ภายใต้สายตาตกตะลึงแกมเดือดดาลของหญิงชรา เจ้าหน้าที่ตัวน้อยที่ยิ้มตาหยีสีหน้าพลันชะงัก นางยกมือขึ้นจะบีบขากรรไกรของหญิงชรา แต่สุดท้ายอีกฝ่ายกัดฟันกรามแตกอยู่ดี!
เรือนร่างสูงใหญ่ของหญิงชราชักเกร็งก่อนจะแน่นิ่งไป โลหิตไหลออกมาทางปากและจมูก เนื้อหนังปริแตก ลิ้นจุกปาก...เพียงพริบตาก็ขาดใจ
จากประสบการณ์ที่ผ่านมา นี่น่าจะเป็นพิษของเห็ดชนิดหนึ่ง หลังนำเห็ดชนิดนี้มาอบให้แห้งแล้วบดรวมกับน้ำผึ้ง จากนั้นปิดผนึกด้วยขี้ผึ้ง เอาซ่อนไว้ในซอกฟันกราม ครั้นเกิดเหตุฉุกเฉินก็กัดขี้ผึ้งให้แตก พิษเห็ดจะทำปฏิกิริยากับน้ำลายอย่างรวดเร็วทำให้สิ้นใจในทันที
นี่เป็นวิธีที่มือสังหารชอบใช้กัน
เจ้าหน้าที่ตัวน้อยมองศพที่พื้นด้วยสีหน้าหนักอึ้ง เดิมอยากจะควักถุงมือหนังกวางที่เย็บเองซึ่งพกติดตัวไว้ตลอดเวลาออกมาจากอกเสื้อแล้วชันสูตรศพเลย แต่เมื่อคิดอีกที ที่นี่เป็นสถานที่เกิดเหตุ หากไม่ระวังอาจจะกลายเป็น ‘ผู้ต้องสงสัย’ โดยไม่รู้เนื้อรู้ตัว...ทำตามกฎปฏิบัติก็แล้วกัน!
ส่วนป้าใหญ่ชุยที่เป็นเจ้าของร้านตัวจริงคงจะไม่รอดแล้ว
เจ้าหน้าที่ตัวน้อยพยายามข่มความคิดที่อยากออกตามหาป้าใหญ่ชุย พร่ำเตือนตัวเองให้ระลึกถึงฐานะของตัวเองในยามนี้ให้ดี จึงหยิบร่มมากางแล้วเดินออกจากร้านด้วยความระมัดระวัง เดินไปตามพื้นเจิ่งน้ำ ในตรอกฉางอันที่นับสามบ้านเป็นหนึ่งช่วง สี่บ้านเป็นหนึ่งละแวก ร้อยครัวเรือนเป็นหนึ่งชุมชน ห้าชุมชนเป็นหนึ่งเขต สามารถตามหาผู้สืบสวนประจำพื้นที่ (ผู้ปฏิบัติงานสืบสวนระดับล่างสุด) นี้ได้ไม่ยาก
เดิมนางอยากจะเชิญผู้สืบสวนไปแจ้งเรื่องที่ที่ว่าการเมืองหลวงด้วยกัน ทว่าผู้สืบสวนคนนั้นฟุบกับโต๊ะอยู่ในศาลาหลังเล็ก กลิ่นสุราฉุนกึกพานให้เข้าใจผิดว่าเขาดื่มสุราจนเมามาย แต่ความจริงนั้นได้สิ้นใจไปแล้ว
ร่างของเขายังอุ่นอยู่ ยังไม่มีรอยเขียวช้ำหลังตาย เดาว่าน่าจะเพิ่งเสียชีวิตได้ราวหนึ่งก้านธูป
สาเหตุการตายของผู้สืบสวนคือช่วงคอถูกหักด้วยแรงมหาศาล นางนึกถึง ‘ป้าใหญ่ชุยตัวปลอม’ ขึ้นมา จากแรงที่เขาใช้ผ่าโต๊ะตัวเตี้ยเมื่อครู่ก็เดาได้ไม่ยากว่าคนลงมือคือใคร
แต่เรื่องราวทั้งหมดก็ยังไม่กระจ่าง...
นางก้มหน้าครุ่นคิด คนร้ายน่าจะสังหารผู้สืบสวนเงียบๆ ก่อน จากนั้นค่อยปลอมตัวเป็นป้าใหญ่ชุยไปนวดแป้งอยู่ในร้าน เดิมหูปิ่งที่ป้าใหญ่ชุยตัวจริงใส่ลงไปในเตาต้องอบเพียงครึ่งถ้วยชา แล้วเอาออก แต่เพราะป้าใหญ่ชุยตัวปลอมมาแทน แป้งจึงถูกทิ้งอยู่ในเตานานเกินไป ทำให้ตัวแป้งด้านนอกที่ควรกรอบกลับแข็งกระด้าง
ถึงป้าใหญ่ชุยจะอายุมากแต่มือเท้ายังคล่องแคล่วดี นางภูมิใจกับหูปิ่งที่กรอบนอกนุ่มใน ไส้หอมแป้งพองกลมของตัวเองเป็นที่สุด แล้วจะปล่อยให้หูปิ่งของตัวเองไหม้ได้อย่างไร
ที่นางเอะใจเพราะหูปิ่งแข็งเกินไป กอปรกับที่ทุกครั้งมานางจะซัดหูปิ่งทีเดียวสามแผ่นใหญ่ แต่วันนี้นางบอกว่า ‘วันนี้ข้าขอเพิ่มอีกแผ่น’ กลับได้หูปิ่งมาทั้งหมดแค่สองแผ่น...
เดาว่าแม้แต่คนร้ายก็ยังไม่รู้ว่าตัวเองสิ้นท่าให้เจ้าหน้าที่ตัวน้อยกะเพาะยักษ์คนหนึ่งได้อย่างไร
...เช่นนั้นการที่เขาเลือกสังหารผู้สืบสวนที่อาจทำให้สถานการณ์เปลี่ยนไป แล้วเสียเวลามาปลอมเป็นป้าใหญ่ชุย ทำถึงขั้นนี้เขากำลังรอการมาเยือนของใคร แล้วเป้าหมายคืออะไร?
น่าเสียดายที่ฝนห่าใหญ่ชะล้างร่องรอยของคนร้ายไปจนหมด เดิมเรื่องก็ยุ่งยากพออยู่แล้ว
“...แย่ละ!” สีหน้าของนางเปลี่ยนไปเล็กน้อย รีบหันตัววิ่งกลับมาที่ร้าน
โต๊ะตัวเตี้ยที่ถูกผ่าเป็นสองท่อนยังอยู่ แต่ศพของมือสังหารที่กินพิษเข้าไปหายไปแล้ว
และสิ่งที่หายไปอีกอย่างคือป้ายปลาแสดงฐานะของนางที่เมื่อครู่โยนไว้บนโต๊ะ แต่ตกไปตอนที่ปาโต๊ะใส่มือสังหาร...
“shit” เจ้าหน้าที่หน้าตาหมดจดสบถออกมาอย่างหัวเสียสุดขีด ก่อนจะยกมือแปะหน้าผากแล้วพึมพำอย่างหมดแรง “ต้องถูกเจ้าหลี่เหิงนั่นเล่นงานอีกแล้ว”

***

ห้องชันสูตรศพลำดับห้า ณ ศาลต้าหลี่

บุรุษรูปร่างสูงใหญ่ในชุดสีม่วงคนหนึ่งยืนเอามือไพล่หลังมองศพบุรุษซีดขาวบนโต๊ะ
“เรียนใต้เท้า” เจ้าหน้าที่ชันสูตรศพอาวุโสกล่าวอย่างเคารพนบนอบ “ศพไร้นามศพนี้สูงเจ็ดฉื่อ แปดชุ่น อายุประมาณสามสิบ ช่วงบ่าหนาด้าน ฝ่าเท้าบานใหญ่ น่าจะเป็นพวกกุลีของพ่อค้าเร่ ลิ้นของเขาไม่จุกปาก รอบคอไม่มีรอยรัด ไม่ได้ผูกคอตาย ข้าน้อยใช้กากน้ำส้มสายชูเช็ดทั่วทั้งตัวของเขา จากนั้นรมด้วยถ่านแล้วตรวจสอบโดยส่องผ่านร่มกระดาษน้ำมันสีแดง แต่ไม่พบบาดแผลภายนอก”
วันนี้ฟ้าครึ้มฝนตก ไม่มีแดดออก ทำได้เพียงใช้ถ่านรมแทน
ใบหน้าหล่อเหลาของบุรุษร่างสูงใหญ่ถูกบังอยู่หลังผ้าเช็ดหน้าผ้าไหมสีขาวรมกลิ่นอ้ายเฉ่า คิ้วเข้มขมวดเล็กน้อย สายตาหยุดลงยังจุดหนึ่งบนร่างศพบุรุษซีดเซียว
“ยามเที่ยงคืนเที่ยงวันตะวันขึ้นตะวันตกจิกนิ้วกลาง ยามเช้าบ่ายค่ำดึกสงัดฝ่ามือแบ ยามเช้ามืดสายเย็นดึกฝ่ามือกำ บ่งชี้เวลาตาย...” เจ้าหน้าที่ชันสูตรศพอาวุโสรับรู้ได้ถึงความเข้มงวดเย็นชาจากแววตาของใต้เท้าหนุ่ม เหงื่อเม็ดเป้งซึมตามหน้าผากอย่างห้ามไม่อยู่ รีบท่องหนึ่งในสูตรการชันสูตรศพของศาลต้าหลี่ออกมา ก่อนจะพูดต่อว่า “ใต้เท้า...วินิจฉัยได้ว่าผู้ตายตายในช่วงเช้ามืดสายเย็นดึก...เพียงแต่ มะ ไม่รู้สาเหตุการตายที่แน่ชัดขอรับ”
“ไม่แน่ชัด?” บุรุษร่างสูงใหญ่เลิกคิ้ว นัยน์ตาลุ่มลึกขึ้น
เจ้าหน้าที่ชันสูตรศพอาวุโสรีบคุกเข่าประสานมือขึ้นกล่าวว่า “เรียนใต้เท้า ข้าน้อยพิสูจน์โดยใส่เหรียญเงินเข้าไปในปากผู้ตาย จากนั้นเอาออกมาล้างด้วยน้ำฝักสบู่แล้ว แต่ครึ่งชั่วยาม ผ่านไปเหรียญเงินก็ยังไม่เปลี่ยนเป็นสีดำ และตรวจดูตั้งแต่หนังศีรษะยันฝ่าเท้า ถึงกระนั้นก็ไม่พบร่องรอยของมีคมแทงเข้าผิวหนังแต่อย่างใด”
เจ้าหน้าที่ชันสูตรศพอาวุโสเสียงสั่นด้วยความกลัว “บนตัวของผู้ตายไม่มีกลิ่นสุรา แม้ใบหน้าจะบิดเบ้ด้วยความทรมานแต่ไม่พบรอยกดทับ ไม่เหมือนถูกคนใช้ของนุ่มๆ กดปิดใบหน้าจนขาดอากาศหายใจตาย”
ตระกูลของเขาเป็นเจ้าหน้าที่ชันสูตรศพกันมาทุกรุ่น ในสายตาคนนอก อาชีพเจ้าหน้าที่ชันสูตรศพเป็นอาชีพชั้นต่ำ ที่ผ่านมาส่วนใหญ่คนขายเนื้อจะเป็นคนทำหน้าที่นี้ หากมิใช่ตอนเริ่มก่อตั้งราชวงศ์ได้กำหนดกฎหมายเข้มงวด ฮ่องเต้ทรงให้ความสำคัญกับตุลาการทั้งสาม มากขึ้น ค่าตอบแทนของเจ้าหน้าที่ชันสูตรศพก็คงไม่เพิ่มมากขึ้นเช่นนี้
ไม่ง่ายเลยกว่าเจ้าหน้าที่ชันสูตรศพอาวุโสจะถูกแต่งตั้งจากกรมอาญามายังศาลต้าหลี่ เขาจึงทุ่มเททำงานอย่างหนัก ไม่มีวันใดที่ประมาทละเลย เมื่อได้รับ ‘คดีพิสดาร’ นี้จากกรมอาญา เขาพยายามใช้ประสบการณ์ทั้งหมดที่มีหาร่องรอยจากร่างผู้ตาย เขาผ่าร่างออกชันสูตรก็แล้ว แต่ไม่พบว่าอวัยวะภายในทั้งห้า มีร่องรอยจากการถูกพิษหรือร่องรอยของการจมน้ำแต่ประการใด
ใบหน้าของผู้ตายบิดเบ้อย่างทรมาน หากบอกว่าเห็นผีตกใจขวัญกระเจิงจนถุงน้ำดีแตกยังพอเข้าเค้า แต่นี่ถุงน้ำดีของเขาก็ยังอยู่ดี ทุกอย่างปกติจน...ไม่ปกติ
ผู้อาวุโสจางเจ้าหน้าที่ชันสูตรศพอาวุโสคนแรกของศาลต้าหลี่เปิดคดีเก่าๆ มาเทียบเคียงจนหมด เค้นน้ำสมองจนไม่เหลือ แต่ก็วินิจฉัยไม่ได้ว่าคนผู้นี้ตายด้วยสาเหตุใด
“เจ้าได้จดลงในบันทึกชันสูตรหรือไม่ว่าตาขาวกับปอดของเขามีอาการบวมและปรากฏจ้ำเลือด” บุรุษร่างสูงใหญ่ค่อยๆ สืบเท้ามาใกล้ ปลายนิ้วงดงามราวกระบี่หยกแตะลงบนใบหน้าบิดเบ้ที่ปากอ้ากว้างเพื่อหายใจของผู้ตาย ตาขาวที่เหลือกขึ้นมีจ้ำเลือดเล็กน้อย “ในเมื่อมีจ้ำเลือดและมีอาการบวม ก็แสดงว่าก่อนตายถูกกดทับ นี่ไม่ตรงกับการขาดอากาศหายใจตายตรงไหนกัน”
เจ้าหน้าที่ชันสูตรศพอาวุโสรู้ว่าตั้งแต่ใต้เท้าดำรงตำแหน่งผู้ว่าการศาลต้าหลี่ก็พาศาลต้าหลี่ไขคดีประหลาดและคดีที่ยังไม่คลี่คลายหลายคดี เนตรอินทรีของเขาเหมือนคบไฟ การที่เขาวินิจฉัยเช่นนี้แสดงว่ามั่นใจแล้วเก้าส่วน เพียงแต่เจ้าหน้าที่ชันสูตรศพอาวุโสที่หัวไม่ค่อยไวยังไม่เข้าใจว่าทำได้อย่างไร และยังนึกอาวุธที่ใช้ลงมือไม่ออก
“แต่...ในเมื่อเป็นการขาดอากาศหายใจตาย เหตุใดตามใบหน้าจึงไม่มีร่องรอย มือเท้าก็ไม่มีร่องรอยการถูกมัด?”
“ที่มือเท้าไร้รอยรัด ผู้ตายอาจถูกผ้าห่มผืนหนาหรือผ้าฝ้ายพันตัวเอาไว้ ใบหน้าไร้บาดแผลแต่กลับขาดอากาศหายใจ คิดว่าน่าจะใช้วิธีแปะกระดาษเปลือกหม่อนบนใบหน้า ปิดปากปิดจมูกแล้วพรมน้ำให้ชุ่มทีละชั้น วิธีการลงโทษนี้เรียกว่าการแปะหน้ากากเทพ ”
เสียงใสกังวานของคนผู้หนึ่งดังขึ้นที่หน้าประตู
ผู้ว่าการศาลต้าหลี่ เจ้าหน้าที่จดบันทึก และเจ้าหน้าที่ชันสูตรศพอาวุโสที่กำลังหน้าดำคร่ำเครียดกลั้นหายใจเพ่งสมาธิได้ยินเสียงก็หันมองทางประตูพร้อมกันโดยมิได้นัดหมาย ทันใดนั้นทุกคนก็ถอนใจโล่งอก หัวคิ้วคลี่คลายรอยยิ้มปรากฏ
“ผู้ตรวจสอบเฉา ท่านกลับมาแล้วหรือ!”
เจ้าหน้าที่หน้าตาหมดจดฉีกยิ้มยิงฟันให้พวกเขา แต่เมื่อสายตาสบเข้ากับดวงตาลุ่มลึกคล้ายยิ้มทว่าไม่เห็นรอยยิ้มของบุรุษร่างสูงใหญ่ผู้เป็นผู้ว่าการศาลต้าหลี่ที่อายุน้อยที่สุดในประวัติศาสตร์ของศาลต้าหลี่ ใต้เท้าหลี่เหิง รอยยิ้มของนางชะงักทันใด ใบหน้าปรากฏแววร้อนตัวน่าสงสัยขึ้นมาแทน
“อะแฮ่ม” เฉาจ้าวจ้าวรีบก้มศีรษะ ประสานมือค้อมกายคารวะท่าทีจริงจังเป็นการเป็นงาน เชื่อฟังอยู่ในโอวาทต่อหลี่เหิง “คารวะใต้เท้า”
หลี่เหิงยกมือแกะผ้าเช็ดหน้าที่มัดเป็นปมหลังศีรษะออก เนตรงามจับนิ่งที่ใบหน้าของนาง เพียงมองปราดเดียวก็เห็นถึงความผิดปกติ “ต่อสู้กับผู้อื่นมา?”
เฉาจ้าวจ้าวชินนานแล้วที่เจ้านายของตัวเองมีสายตาคมกริบอย่างเชอร์ล็อก โฮล์มส์ และมีจมูกเหมือนหมาป่า...นางยิ้มกระดาก ทำขวัญกล้าสารภาพเอง
“ใต้เท้า เอ่อ ข้าน้อยมีเรื่องสำคัญจะรายงาน...”
หลี่เหิงหล่อเหลาสุขุมและสง่างามอยู่เสมอ ในความเคร่งขรึมเจือด้วยกระแสน่าครั่นคร้าม แต่เมื่อเผชิญหน้ากับ ‘เจ้าตัวเล็ก’ จอมขี้เกียจชอบยิ้มแฉ่งนี่ เขามักรู้สึกเหมือนมีเปลวเพลิงลุกพึ่บพั่บในใจเสมอ
เขารักษาจรรยาจารีต มีความเป็นสุภาพบุรุษ แต่เมื่อเห็นแก้มป่องๆ อมชมพูยิ้มทึ่มทื่อของเจ้าตัวเล็กกับท่าทางที่ไม่รู้ว่ากำลังคิดอะไรพิเรนทร์ๆ อีก มือของเขาก็คันขึ้นมาอย่างประหลาด อยากบีบแรงๆ สักทีหนึ่งเพื่อเป็นการเตือนว่าอย่าได้ใจไปนัก
หลี่เหิงสูดหายใจลึก แผ่นอกหนากว้างกระเพื่อมอย่างแรงทีหนึ่ง เขายับยั้งชั่งใจเอาไว้ได้ ถามขึ้นเสียงเรียบว่า “ว่ามา เจ้ารู้ได้อย่างไรว่าคนผู้นี้ถูกสังหารด้วยวิธีการแปะหน้ากากเทพ”
เฉาจ้าวจ้าวชะงัก ดวงตากลิ้งกลอกไปเรื่อยอย่างร้อนตัว “เรื่องนั้น ข้าน้อยจำได้รางๆ ว่าเคยอ่านเจอจากบันทึกโบราณสักเล่มหนึ่ง”
“บันทึกโบราณเล่มไหน”
เทพเจ้ากูเกิลจ้ะ
นางยิ้มกระดากกว่าเดิม ยกมือลูบศีรษะบอกว่า “ละ ลืมแล้ว ฮ่าๆๆ!”
คงจะให้ยอมรับออกไปตามตรงไม่ได้กระมังว่าตัวเองสนใจนิยายแนวสืบสวนสอบสวนตั้งแต่ยังเด็ก พอโตมายังตามซีรีส์ CSI ไขคดีปริศนาโดยไม่พลาดเลยสักตอน...
วิธีการฆ่าที่ไม่เหมือนใครและน่ากลัวอย่าง ‘แปะหน้ากากเทพ’ เพราะเห็นบ่อยๆ ในซีรีส์จึงนึกสนใจขึ้นมา เลยทำการค้นหาประวัติความเป็นมาของมันจากกูเกิล
เรื่องนี้เกิดในยุคกษัติย์ก่อตั้งราชวงศ์หมิงฮ่องเต้จูหยวนจาง เพื่อที่จะกำจัดคนลับๆ โดยไม่ตกเป็นที่สงสัยและประเด็นของคนภายนอก จึงคิดค้นวิธีลงโทษที่ทำให้คนหยุดหายใจชั่วคราว...ไม่ถูกสิ ตลอดกาลนี้ขึ้นมา
ตอนนี้เพิ่งจะราชวงศ์ถัง น้องชายอย่างราชวงศ์หมิงยังอยู่หลังพี่ชายทั้งสองอย่างราชวงศ์ซ่งและราชวงศ์หยวน หรือเป็นเวลาอีกกว่าเจ็ดร้อยปีให้หลังนู่น
เฮ้อ ยุคโบราณไม่ว่าราชวงศ์ไหน ข้ามเรื่องนิยายเดินทางข้ามเวลาในอุดมคติไป อันที่จริงไม่ใช่เรื่องง่ายเลยที่นักเดินทางข้ามเวลาจะมีหน้ามีตาขึ้นมาในยุคสมัยที่ไม่คุ้นเคย
สิ่งแรกที่ต้องจำใส่ใจเลยคือ ห้ามต่อต้านเรื่องอำนาจของราชวงศ์และระบบชนชั้นเด็ดขาด
หากไปล่วงล้ำ สามารถกลับบ้านเกิดได้ตลอดเวลา
แต่เรื่องน่ายินดีก็คือ ภาษาทางการของราชวงศ์ถังคล้ายคลึงกับภาษาท้องถิ่นแถบเหอลั่ว ภาษาฮกเกี้ยนในยุคปัจจุบัน และ ‘ภาษาจงหยวน’ ที่เพิ่มกลิ่นอายชั้นสูง สำหรับหญิงสาวที่พูดภาษาไต้หวันได้คล่องปรื๋ออย่างนางจึงรู้สึกเป็นกันเองอย่างมาก ทำให้นางพูดได้อย่างรวดเร็ว
อีกอย่างราชวงศ์ถังบ้านเมืองแข็งแกร่ง แว่นแคว้นต่างๆ เดินทางมาคารวะไม่ขาดสาย มีทั้งชาวหูที่เดินทางจากแคว้นต่างๆมาทำการค้า หรือผู้ที่เดินทางมาอัญเชิญพระไตรปิฎกยังฉางอัน บ้างก็มาคารวะอาจารย์ฝากตัวเป็นศิษย์ บ้างก็มาศึกษาหาความรู้...ภาษาต่างๆ จึงปรากฏอยู่ทั่วฉางอัน ชินจนไม่รู้สึกแปลกแล้ว
บางครั้งอยู่ในตรอกตลาดฉางอันแสนคึกคักนางยังเผลอคิดว่าตัวเองกำลังอยู่ในสถานีรถไฟใต้ดินไทเป หรือไม่ก็อยู่ที่สนามบินนานาชาติเถาหยวน ที่ได้ยินนักท่องเที่ยวจากนานาชาติส่งเสียงพูดคุยจ๊อกแจ๊กเดินผ่านนางไป...
ผู้คนทั่วโลกต่างบอกว่าสถานีรถไฟใต้ดินไทเปคือเขาวงกตขนาดใหญ่ และก็เพราะนางเดินลอยชายอยู่ในเขาวงกตแห่งนั้น หาทางออกที่จะเปลี่ยนจากรถไฟความเร็วสูงไปรถไฟใต้ดินไม่เจอ ในจังหวะที่หันซ้ายหันขวานั่นเอง
นางก็เหยียบลงบนอุจจาระของม้า!
ฟังไม่ผิด ซ้ำเป็นอุจจาระสดๆ ใหม่ๆ ยังร้อนควันกรุ่นที่อาชาเหงื่อโลหิตม้าพาหนะลูกรักของใต้เท้าหลี่ หลี่เหิง ผู้ได้รับการขนานนามว่าเป็นผู้มากความสามารถอันดับหนึ่งของต้าถังเพิ่งจะ ‘เผละ’ ออกมา
ความทรงจำไม่น่าอภิรมย์ ภาพที่ติดตายิ่งไปใหญ่
“ยืนบื้ออะไรอีกแล้ว” เสียงทุ้มต่ำคุ้นหูดังขึ้นเหนือศีรษะของนางอย่างไม่สบอารมณ์
“กำลังคิดว่าเวรกรรมข้ามภพข้าม...มาได้ไกลขนาดนี้เลยหรือ” นางพึมพำตอบกับตัวเองได้ครึ่งประโยคก็รู้สึกเสียวสันหลังวาบ ครั้นแหงนหน้าเห็นบอสใหญ่แสนฉลาดของศาลต้าหลี่ที่สูงกว่าตัวเองเกินกว่าหนึ่งช่วงศีรษะก็รีบกลืนคำว่า ‘มิติ’ ลงท้องไป “ไม่มีอะไร”
“ถ้ามีเวลาก็หาบันทึกโบราณเล่มนั้นมาให้ข้า ‘เปิดหูเปิดตาหน่อย’ ” คำพูดของเขามีความนัยแฝงอยู่
“ฮ่าๆ แน่นอนๆ” นางลอบปาดเหงื่อเย็น
หลี่เหิงหิ้วคอเสื้อของนางขึ้นเบาๆ “มา มาพูดเรื่องแปะหน้ากากเทพต่อ”
“นี่ ช้าก่อน!” เฉาจ้าวจ้าวหนีไม่ทัน นางถูกมือใหญ่เรียวยาวงดงามคว้าตัวเอาไว้ จึงทำได้เพียงลอบเหลือกตาขาวอย่างไม่สบอารมณ์ แต่ปากกลับรีบพูดว่า “ข้าน้อยจะแจ้งคดี!”
“จะแจ้งคดีไปแจ้งที่ที่ว่าการเมืองหลวง” หลี่เหิงบอกเสียงเรียบ “ราชสำนักมีสามฝ่ายหกกรมยี่สิบสี่กอง แต่ละกรมกองมีหน้าที่ต่างกัน ศาลต้าหลี่รับผิดชอบการสืบสวนสอบสวนเหล่าขุนนางส่วนกลางที่กระทำความผิดกับคดีที่มีโทษจำคุกขึ้นไป ซึ่งเกิดในเมืองหลวง ส่วนคดีปริศนาในท้องถิ่นที่ยังไม่ได้รับการคลี่คลาย...เจ้าในฐานะเจ้าหน้าที่ตรวจสอบของศาลต้าหลี่ไม่รู้หรือ?”
นางบอกงึมงำ “ข้าน้อยต้องรู้อยู่แล้ว เมื่อครู่ก็ไปแจ้งที่ที่ว่าการเมืองหลวงแล้ว เพียงแต่...”
เขาเลิกคิ้วเป็นการถาม
เฉาจ้าวจ้าวนึกถึงเจ้าหน้าที่ทางการกับเจ้าหน้าที่เสมียนที่จ้องนางอย่างสงสัยในที่ว่าการเมืองหลวงเมื่อครู่ นางทั้งไม่สามารถนำป้ายปลาที่ใช้แสดงฐานะตนออกมาแสดงได้ และในร้านขายหูปิ่งก็ไม่มีทั้งศพของป้าใหญ่ชุยตัวจริงและป้าใหญ่ชุยตัวปลอม...
หากมิใช่เพราะนางยังสวมชุดเจ้าหน้าที่ขั้นเก้าสีฟ้าเขียว เกรงว่าคงถูกเจ้าหน้าที่ทางการจับฐานแจ้งความเท็จและถูกโบยทำโทษไปสามไม้แล้ว
อีกทั้งตอนนี้เจ้าหน้าที่ทางการที่ที่ว่าการเมืองหลวงส่งมายังรออยู่นอกศาลต้าหลี่...แม้พวกเขาจะเห็นว่านางทักทายผู้คนเดินอาดๆ เข้าประตูใหญ่ของศาลต้าหลี่มาได้จริง ความสงสัยและที่ดูหมิ่นไว้ถูกแทนที่ด้วยความตะลึงเรียบร้อย แต่หากหลี่เหิงไม่รับการรายงาน (อุทธรณ์) ของนาง นางที่เป็นเจ้าหน้าที่ขั้นเก้าตัวเล็กๆ คนหนึ่งซึ่งยังเรียกว่าเป็นขุนนางไม่ได้ด้วยซ้ำ คงไม่พ้นได้เข้าโปรแกรมท่องเที่ยวสามวันสองคืนที่คุกใหญ่กรมอาญา
แถมนี่ยังเป็นคดีลึกลับที่จัดการได้ยากเพราะตายไม่พบศพอยู่ไม่พบร่าง...
เฉาจ้าวจ้าวออกอาการอีหลักอีเหลื่อ ตอนนี้คงกลัวถูกด่าไม่ได้แล้ว นางรีบเล่าเรื่องที่เกิดขึ้นในร้านขายหูปิ่งเมื่อครู่อย่างละเอียด
คิ้วคมเข้มราวน้ำหมึกพาดเฉียงของหลี่เหิงกระตุกทีหนึ่ง ประกายในดวงตาสาดวูบ เขาปล่อยมือทันใด “ไปกันเถอะ”
“ไปที่ใด” นางถูลำคอเล็กขาวราวหิมะของตัวเอง ไม่ทันสังเกตเห็นว่าแพขนตางอนยาวราวขนเป็ดของหลี่เหิงหลุบลงอย่างรวดเร็วคล้ายกำลังปกปิดบางอย่าง
“สืบคดี!”
ร่างสูงหล่อเหลาปราดเปรียวนั้นเผยความสง่าและสูงส่งจากภายใน เฉาจ้าวจ้าวที่ตามอยู่ด้านหลังเขาถูกความหล่อของเขา แค่ก ถูกชายชุดของเขาสะบัดใส่เอาอีกครั้งอย่างหลบไม่พ้น...นางกะพริบตา พยายามไม่สนใจพวงแก้มที่ร้อนขึ้นมาของตัวเอง และหัวใจที่ดิ้นตายไปแล้วไม่รู้กี่ครั้ง นางสูดหายใจลึกเพื่อปรับสภาพอารมณ์ของตัวเองก่อนจะระบายออกยาวเหยียด
เจ้าหน้าที่ศาลต้าหลี่ เจ้าหน้าที่จดบันทึกที่กำลังอ้าปาก และเจ้าหน้าที่ชันสูตรศพอาวุโสมองตามอย่างร้อนรน หลี่เหิงสั่งเสียงเนิบทั้งที่ไม่หันกลับมาว่า
“...คนผู้นี้ช่วงไหล่และคอแข็งด้าน ฝ่าเท้าหนาผิดรูป ง่ามนิ้วโป้งกับนิ้วชี้มีร่องรอยการเสียดสีมาเป็นเวลานาน ซึ่งสอดคล้องกับลักษณะของพวกกุลี นิ้วเท้าและเล็บเท้าเปื่อย แสดงให้เห็นว่าสัมผัสกับบริเวณที่อับชื้นและขึ้นรามานาน ซ้ำสีผิวของเขายังซีดเซียวอย่างคนไม่ได้รับแสงอาทิตย์เป็นเวลานาน คล้ายถูกกักขังในที่มืดอับชื้นทั้งยังต้องทำงานแบกหาม พวกเจ้าจงไปยื่นหนังสือของศาลต้าหลี่ขอเข้าตรวจสอบรายชื่อกุลีแถบคลองกว่างอี้ที่ลาออกหรือหายตัวไปโดยไม่บอกกล่าวภายในครึ่งปีที่ผ่านมา”
“ขอรับ!” ดวงตาของทุกคนพลันเป็นประกาย
“สั่งให้ที่ว่าการเมืองหลวงส่งรายงานคดีคนหายภายในช่วงครึ่งปีในเขตว่านเหนียน ฉางอัน ซินเฟิง และอีกยี่สิบสองอำเภอที่พวกเขาดูแลอยู่มาที่ศาลต้าหลี่ก่อนยามเฉิน วันพรุ่งนี้ด้วย”
“ขอรับ!”





++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++
เล่ม 1
เดินอยู่ในเขาวงกตสถานีรถไฟใต้ดินไทเปอยู่ดีๆ ก็ทะลุมิติมาราชวงศ์ถัง ซ้ำยังเหยียบอึม้าของหลี่เหิงผู้ว่าการศาลต้าหลี่เข้าเต็มเปา และนับแต่ถูกหลี่เหิงเก็บได้คราวนั้นเฉาจ้าวจ้าวนางพยาบาลห้องฉุกเฉินก็จับพลัดจับผลูพึ่งใบบุญการเป็นสาวกตัวแม่ซีรีส์ CSI กลายเป็นเจ้าหน้าที่ศาลต้าหลี่แบบงงๆ คอยติดตามหลี่เหิงขึ้นเขาลงห้วยไขคดีไปทั่วหล้า...
ได้ใกล้ชิดใต้เท้าหลี่ผู้หล่อเหลาเย็นชาที่แค่มองก็กินข้าวได้วันละสามถ้วยใหญ่เช่นนี้ ทว่าเรื่องความรักกลับทำได้แค่คิด เพราะสิ่งสำคัญตอนนี้คือไขคดีประหลาด ทั้งคดีหูปิ่ง คดีผีดิบชุดแดง นางกับใต้เท้าหลี่ช่วยกันสืบคดีอย่างสุดความสามารถ แต่กลับพบว่าคดีมีส่วนเกี่ยวข้องกับการก่อกบฏเมื่อยี่สิบปีก่อน!?


เล่ม 2
หลี่เหิงผู้ว่าการศาลต้าหลี่ถือกำเนิดในตระกูลใหญ่สูงศักดิ์ ถูกฮ่องเต้อบรมเลี้ยงดูตั้งแต่เด็ก ความสามารถรอบด้าน ตัดสินพิจารณาคดีได้อย่างเชี่ยวชาญ เส้นทางขุนนางรุ่งโรจน์ก้าวไกล ทว่าประสบการณ์ด้านความรักนั้นกลับเหมือนกระดาษเปล่า...โชคดีที่เฉาจ้าวจ้าวหญิงสาวที่เขามีใจให้ต้องตามติดอยู่ข้างกายไขคดีไปกับเขา เช้ามาทำงานด้วยกัน เย็นกลับจวนกินข้าวพร้อมกัน...กินไปกินมาก็คงมีสักวันที่กินจนได้นางเป็นภรรยากระมัง?
แต่เรื่องสำคัญตอนนี้คือคดีถลกหนังกลับมีความเกี่ยวโยงกับคดีผีดิบชุดแดงและคดีหูปิ่งที่เกิดไปก่อนหน้า...เขาจำเป็นต้องเร่งสืบหาตัวผู้บงการที่อยู่เบื้องหลังเพื่อขัดขวางแผนการร้ายซึ่งก่อตัวราวคลื่นพายุบ้าคลั่งที่พร้อมซัดกระหน่ำ!




รูปภาพ รูปภาพ

ตอบกลับโพส

ย้อนกลับไปยัง “Bongkoch Books News & Activities”