New Release BLY แปล : หลงเหลือเพียงครึ่งหัวใจ 1

อัพเดทข่าวบงกชบุ๊คส์ ความเคลื่อนไหว และกิจกรรมพิเศษ ตลอดจนร่วมสนุกชิงรางวัลพร้อมของรางวัลมากมาย

Moderator: P'Bly, Gals, พี่บี

ตอบกลับโพส
Gals
โพสต์: 1068
ลงทะเบียนเมื่อ: ศุกร์ 13 ก.พ. 2009 3:47 pm

New Release BLY แปล : หลงเหลือเพียงครึ่งหัวใจ 1

โพสต์ โดย Gals »

[หลงเหลือเพียงครึ่งหัวใจ]
Kokoro wo hanbun nokoshita mamamde iru


จู่ๆ ก็ฉุกคิดขึ้นมา
ตัวผมเริ่มต้นจากที่ไหน
สติที่เป็นผมเริ่มต้นเมื่อไร สิ้นสุดเมื่อไร แล้วตัวผมจะเกิดซ้ำอีกกี่ครั้ง
ประมาณหนึ่งปีครึ่งก่อนหน้านี้ ผมได้เริ่มต้น ‘ตัวผม’ คนใหม่

◇◇◇

ร้านกาแฟ ‘คะแนรี’ เป็นร้านที่ชิซุราอิ มาซาฟุมิมาเป็นประจำด้วยความถี่ประมาณสัปดาห์ละสองถึงสามครั้ง
ใช้เวลาเดินเท้าจากบ้านยี่สิบนาที แม้ไม่ใช่ระยะทางใกล้ๆ เลย แต่เพราะโดนบรรยากาศดีๆ กับความอร่อยของกาแฟดึงดูด เขาจึงมาเป็นประจำ
ร้านตั้งอยู่บนเนินในย่านที่อยู่อาศัย วิวจากหน้าต่างก็ไม่เลว หากก้มลงมองจะเห็นชุมชนพลุกพล่านซึ่งมีสถานีรถไฟฟ้าเป็นศูนย์กลาง และหากมองตรงไปข้างหน้าจะเห็นทะเลของโยโกฮามะที่อยู่ห่างไกลออกไป
เขามาเยือนร้านนี้ครั้งแรกตอนต้นฤดูร้อน ถ้าเทียบกับการมองทะเลสร้างคลื่นสีขาวทรงพลังในระยะประชิด การเหม่อมองภาพสีฟ้าระยะไกลผ่านหน้าต่างไม้ช่องกระจกนั้นดึงดูดใจชิซุราอิมากกว่า ปลายมีนาคมที่อากาศหนาวเย็นอย่างตอนนี้ ทิวทัศน์เบื้องหน้าจะเบลอเล็กน้อยเนื่องจากมองผ่านไอน้ำควบแน่นติดกระจก
ตัวร้านเป็นอาคารสไตล์ตะวันตกขนาดเล็กให้กลิ่นอายเหมือนอยู่ต่างประเทศ ตัวอาคารน่าจะเก่าแก่พอสมควร แต่เพราะได้รับการบำรุงรักษาเป็นอย่างดีจึงดูไม่ทรุดโทรม สัมผัสได้ถึงบรรยากาศสไตล์เรโทร ทั้งสง่างามและดูมีรสนิยม
เข้ากันได้ดีกับร้านกาแฟ
ผนังสีเฟรนช์วานิลลาที่ไม่ใช่สีขาว กรอบหน้าต่างสีเขียวตุ่นที่จะมองว่าเป็นสีเขียวอ่อนก็ได้จะมองว่าเป็นสีฟ้าก็ใช่ โต๊ะกับพื้นไม้สีดาร์กบราวน์ค่อนไปทางดำ สร้างบรรยากาศชวนผ่อนคลายกำลังดี
ก่อนหน้านี้ชิซุราอิบังเอิญได้ยินบทสนทนาของลูกค้า ว่ากันว่าสมัยก่อนแถวนี้เฟื่องฟูไปด้วยสถาปัตยกรรมสไตล์ตะวันตก แต่กาลเวลาผ่านไปเหลือแค่บ้านหลังนี้ที่ตั้งอยู่โดดเดี่ยว ถูกทิ้งให้รกร้างว่างเปล่าสภาพผุพัง ก่อนได้รับการบูรณะใหม่และกลายเป็นร้านแห่งนี้ในที่สุด
ที่นี่เป็นอาคารสองชั้น ส่วนของชั้นหนึ่งเป็นร้านกาแฟ
ชั้นสองน่าจะเป็นที่พักของเจ้าของร้าน ชายหนุ่มวัยยี่สิบกลางๆ ซึ่งอ่อนเยาว์เกินกว่าจะเรียกว่ามาสเตอร์ เขาสวมเสื้อเชิ้ตสีเทารีดลงแป้งเรียบกริบคู่กับกางเกงสแล็กสีดำเสมอราวกับเป็นเครื่องแบบประจำตัว
แม้ตัวสูงโปร่ง แต่รูปร่างบึกบึนสมชายชาตรีพอเหมาะกับส่วนสูง ผมเส้นหนาสีดำสนิทถูกหวีไปข้างหลังแบบสบายๆ เสียงทุ้มต่ำแสนคุ้นเคยก้องกังวานในหูเป็นประจำ
“ยินดีต้อนรับครับ”
ทันทีที่ชิซุราอินั่งลงตรงที่นั่งริมหน้าต่าง วันนี้มาสเตอร์ก็เอาน้ำเย็นมาเสิร์ฟแบบได้จังหวะพอดีเหมือนเคย
คงกะจังหวะให้พอดีจริงๆ ละมั้ง เพราะไม่ว่าเป็นฤดูร้อนที่นั่งเก้าอี้ทันที หรือฤดูหนาวที่ต้องถอดเสื้อโคตออกก่อน เสียงจะเป็นจังหวะเดียวกันเสมอ
“ออริจินัลเบลนด์ร้อน ไม่ใส่นมครับ”
นี่คือออร์เดอร์ประจำของชิซุราอิแบบไม่ต้องเปิดเมนู หากเป็นเวลาอาหารกลางวันเขาจะสั่งเซตแซนด์วิช ทว่าตอนนี้เป็นเวลาบ่ายสาม
หลังชิซุราอิแจ้งออร์เดอร์ ชายหนุ่มตอบกลับว่า “รับทราบครับ” หากคำนวณคร่าวๆ บทสนทนาเช่นนี้น่าจะเกิดขึ้นซ้ำประมาณหนึ่งร้อยครั้งได้แล้ว แต่ถึงอย่างนั้นประโยคที่ว่า ‘เอาเหมือนเดิมใช่ไหมครับ’ ก็ไม่เคยหลุดออกจากปากของอีกฝ่าย
ไม่ใช่ว่าอยากให้ปฏิบัติต่อตนเป็นพิเศษในฐานะลูกค้าประจำหรอก แต่นี่เป็นจุดที่ทำให้เขาผิดหวังกับร้านนี้นิดหน่อย
ถ้าลูกค้ามาติดต่อกันเป็นเวลาสิบเดือน ไม่ว่าอย่างไรเจ้าของร้านก็ต้องจำได้หรือเปล่า บุคลิกของชายหนุ่มดูเป็นคนสงบเยือกเย็น แม้ไม่เคยรู้สึกว่าไร้มารยาท แต่เขาจะพูดเฉพาะเมื่อจำเป็นจริงๆ เท่านั้น ชายหนุ่มบริการชิซุราอิเสมือนเป็นลูกค้าแปลกหน้าที่เพิ่งมาร้านนี้เป็นครั้งแรก ถ้าบอกว่าข้างในเป็นหุ่นยนต์ก็ยังเชื่อ
“สวัสดีครับ~ วันนี้ก็อากาศเย็นเนอะ ไม่อยากเชื่อเลยว่าซากุระเริ่มบานแล้ว~”
พนักงานพาร์ตไทม์เดินผ่านพร้อมส่งเสียงทักทาย ที่ชิซุราอิรู้สึกว่ามาสเตอร์เย็นชาอาจเพราะนำไปเปรียบเทียบกับพนักงานพาร์ตไทม์ซึ่งเป็นมิตรมากกว่าแบบคนละชั้นก็เป็นได้
พนักงานในร้านมีมาสเตอร์กับพนักงานพาร์ตไทม์อีกหนึ่งคน พนักงานพาร์ตไทม์คนนี้เป็นฟรีแลนซ์วัยยี่สิบปี อาศัยอยู่แชร์เฮาส์ซึ่งกำลังฮิตมากในปัจจุบัน ตั้งอยู่ห่างจากที่นี่หนึ่งสถานีรถไฟฟ้า แต่เดินทางมาทำงานด้วยจักรยานยนต์ ข้อมูลเหล่านี้เจ้าตัวมารายงานให้ชิซุราอิฟังเองโดยไม่ได้ถามไถ่
เป็นชายปากกว้าง พูดเก่ง
“วันนี้ก็ทำงานเหรอครับ~?”
อีกฝ่ายเอ่ยปากถามเมื่อเห็นชิซุราอิหยิบคอมพิวเตอร์โน้ตบุ๊กออกมาจากกระเป๋าสะพายไหล่
“เอ๋?”
“เห็นบางทีก็ใช้คอมพิวเตอร์ด้วย เลยเดาว่าคงทำงานละมั้ง แต่ถ้าเข้าใจผิดต้องขอโทษด้วยครับ”
“อ๊ะ เปล่า ก็ใช่ครับ...มีงานเขียนนิดหน่อย...”
“กะแล้วเชียว! เป็นนักเขียนนิยายเหรอครับ!?”
“มะ ไม่ใช่ครับ แค่เขียนบทความแนะนำร้านคาเฟ ”
ชิซุราอิรีบร้อนปฏิเสธไปหน่อยเลยเผลอหลุดปากออกไป
เขาเผลอพูดจาให้ตัวเองดูดี ทั้งที่สถานการณ์ปัจจุบันเป็นนักเขียนที่ส่งบทความให้นิตยสารเพียงเดือนละหนึ่งถึงสองบทความและได้ค่าตอบแทนเล็กน้อยเท่านั้น อวดอ้างว่าเป็นอาชีพนี่ช่างไม่เจียมเนื้อเจียมตัวเสียเลย
จุดเริ่มต้นของงานนี้คือค้นหาตัวตน
ไม่ได้มีความหมายอะไรลึกซึ้ง เขากำลังตามหาว่าตัวเองเป็นใครมาจากไหน
ชิซุราอิไม่มีความทรงจำในอดีต ประมาณหนึ่งปีครึ่งก่อนหน้านี้เขาล้มอยู่ข้างถนนและตกอยู่ในภาวะสูญเสียความทรงจำ ศีรษะโดนกระแทกอย่างรุนแรงจนหมดสติ โชคดีไม่ถึงแก่ชีวิต แต่พอลืมตาตื่นขึ้นในโรงพยาบาลที่โดนหามส่งไปนั้น พบว่าความทรงจำซึ่งควรมีอยู่กลับหายไป พูดง่ายๆ คือ ‘ความจำเสื่อม’
ตอนยังไม่คุ้นชิน แม้แต่ภาพสะท้อนตัวเองในกระจกเขายังคิดว่าเป็นคนอื่น
ตัวสูงกว่าค่าเฉลี่ยเล็กน้อย รูปร่างผอม แม้เป็นคนญี่ปุ่นแท้แต่เส้นผมและดวงตาเป็นสีน้ำตาล หน้าตาเรียกว่าดีใช้ได้ แต่กลับดูเหมือนคนอมทุกข์ตลอดเวลา อาจเพราะสีผิวที่ขาวเกินไปสำหรับผู้ชายและสายตาหม่นหมองไม่ชวนมองก็เป็นได้
แต่คนไม่มีความทรงจำ ใครจะไปทำหน้าร่าเริงได้ล่ะ
ชิซุราอิ มาซาฟุมิ อายุยี่สิบเจ็ดปี ชอบกาแฟ งานอดิเรกคือตะลอนร้านคาเฟตามตรอกซอกซอย
ข้อมูลเหล่านี้ไม่ได้ออกมาจากสมองของตัวเอง แต่รู้จากสมุดโน้ตที่ตัวเขาเคยจดบันทึกแบบแอนาล็อกเป็นประจำแทบทุกวัน
จะเรียกว่าโชคดีได้ไหมนะ สถานที่ที่ล้มคือหน้าบ้านของตัวเองซึ่งอาศัยอยู่คนเดียว
ทำให้รู้ว่าบ้านตัวเองอยู่ไหน แต่ไม่รู้ว่าตัวเองเป็นมนุษย์เช่นไร
ชิซุราอิอาศัยสมุดโน้ตซึ่งแฝงไปด้วยข้อมูลอ้อมๆ ประหนึ่งคำใบ้ไล่ตะเวนไปตามสถานที่ต่างๆ ที่น่าจะมีความเชื่อมโยงกับตัวเองในอดีต กลายเป็นว่าสถานที่ที่เขาตะลอนไปมากที่สุดคือบรรดาร้านคาเฟ ตนในอดีตคงเคยยึดเป็นงานอดิเรก วันหนึ่งชิซุราอิบังเอิญเห็นประกาศรับสมัครนักเขียนนิตยสารจึงลองนำบทความรีวิวที่ตัวเองจดบันทึกเอาไว้ส่งไปสมัครดู เลยทำให้ได้สิ่งที่เรียกว่า ‘งาน’ ซึ่งสามารถเอามาสร้างภาพลักษณ์ให้ตัวเองดูดีได้
“เป็นนักเขียนบทความเหรอ! นิตยสารไหนครับ? มีขายในร้านหนังสือไหม?”
คำว่าเป็นกันเองกับพยายามตีสนิทแบ่งกั้นด้วยเส้นบางๆ
การที่พนักงานล้ำเข้ามาในพื้นที่ส่วนตัวของลูกค้ามันยังไงๆ อยู่ แต่ถ้าช่วยให้นิตยสารหัวเล็กๆ ขายดีขึ้นได้สักนิดอาจเป็นเรื่องดีก็ได้ ชิซุราอิจึงบอกชื่อนิตยสารไป
“ขอโทษที่ให้รอครับ”
ระหว่างสนทนาอยู่นั้นมาสเตอร์ก็นำกาแฟมาเสิร์ฟ ท่วงท่ากิริยาสุภาพไร้ที่ติ ทว่าขาดแคลนรอยยิ้มเหมือนเดิมไม่เปลี่ยน
...ถ้าเอาสองคนนี้มารวมกันแล้วหารสองน่าจะลงตัวพอดี
ชิซุราอิคิดขณะยกถ้วยกาแฟจรดริมฝีปาก
หลังดื่มไปหนึ่งอึกเขาก็ร้องครางในใจ
อร่อย ทั้งที่เป็นกาแฟที่ดื่มมาแล้วนับร้อยครั้งแต่เขาก็ยังรู้สึกเช่นนั้นจากใจจริง รวมถึงรู้สึกยอมจำนนด้วย กาแฟคือสาเหตุที่ทำให้ชิซุราอิแวะเวียนมาร้านนี้เป็นประจำ แม้ไม่ค่อยพอใจอัธยาศัยของมาสเตอร์ก็ตาม
ที่บอกว่ามาสเตอร์คือหุ่นยนต์คงต้องถอนคำพูดเสียแล้ว เพราะถ้วยแห่งความสุขสูงสุดนี้เกิดจากความพิถีพิถันของมนุษย์ตั้งแต่ขั้นตอนคัดเลือกเมล็ดกาแฟไปจนถึงการดริป
กาแฟทั่วไปของร้านนี้มาสเตอร์จะเป็นคนบดเองด้วยมือ โดยจะบดใหม่ทุกครั้งตามออร์เดอร์ลูกค้า เป็นความหรูหราที่พบได้เฉพาะร้านค้าซึ่งบริการแบบเรื่อยๆ สบายๆ ลูกค้าไม่มีวันเต็ม
เมนูกาแฟเบลนด์ จะมีให้เลือกสองประเภท ได้แก่ เบลนด์ทั่วไปกับออริจินัลเบรนด์ ทั้งที่น่าจะเป็นออริจินัลของร้านนี้ทั้งสองอย่าง แต่ที่ชื่อต่างกันอาจมีเหตุผลที่เหมาะสมก็เป็นได้
แล้วก็ต่างกันจริงๆ ‘เบลนด์’ มีรสชาติที่โดนใจคนทั่วไป ในขณะที่ ‘ออริจินัล’ มีเอกลักษณ์เฉพาะตัวมากกว่าเล็กน้อยซึ่งตรงกับความชอบของชิซุราอิเข้าอย่างจัง นี่จึงกลายเป็นออร์เดอร์ประจำของเขาไปในที่สุด
ความอ่อนเยาว์ของมาสเตอร์คงออกมากับรสชาติละมั้ง
ชายหนุ่มกลับไปหลังเคาน์เตอร์และเริ่มทำกาแฟปรุงแต่งที่มีลูกค้าสั่งเพิ่ม ผู้หญิงสามคนที่นั่งโต๊ะตัวใหญ่ด้านในคือสมาชิกลูกค้าประจำที่ชิซุราอิเองก็เห็นหน้าอยู่บ่อยๆ พวกหล่อนชอบแอบมองไปทางมาสเตอร์แล้วกระซิบกระซาบอะไรบางอย่าง
สิ่งที่ช่วยผ่อนคลายจิตใจของเหล่ามาดามโดยรอบนั้นเหมือนจะไม่ใช่แค่กาแฟเพียงอย่างเดียว แต่รวมถึงลุกส์ของมาสเตอร์หนุ่มผู้เงียบขรึมด้วย
จะว่าไปใบหน้าก็หล่อจริงๆ ใบหน้าด้านข้างยามก้มลงเล็กน้อยขณะชงกาแฟเผยให้เห็นจมูกโด่งโดดเด่น ดวงตาที่หางตาชี้ขึ้นเล็กน้อยสะท้อนความสุขุมเยือกเย็น
“จริงด้วย คราวหน้าแนะนำที่นี่ให้ด้วยสิครับ!”
เสียงของเด็กหนุ่มพนักงานพาร์ตไทม์ดังขึ้นกะทันหัน ทำเอาชิซุราอิถึงกับสะดุ้งโหยง
“เอ๋?”
“คุณลูกค้าเขียนบทความแนะนำร้านคาเฟไม่ใช่เหรอ? ถ้าแนะนำที่นี่ด้วย ร้านนี้อาจขายดีขึ้นก็ได้นะ”
“ร้านนี้...เอ่อ แบบว่า”
“อ๊ะ เพราะที่นี่เป็นร้านกาแฟเหรอครับ? คนมองร้านคาเฟกับร้านกาแฟต่างกันอย่างที่คิดจริงๆ”
“เหมือนกันแหละครับ”
ถ้าลงรายละเอียดก็ต่างกันจริงๆ นั่นแหละ แต่ในบริบทของคำศัพท์ ตอนนี้ถูกใช้แบบกำกวมอยู่
“ถ้าอย่างนั้นช่วยเขียนให้หน่อยสิครับ!”
“แต่...”
“แบบนั้นจะเป็นการรบกวนหรือเปล่า”
ขณะชิซุราอิอึกอักพูดอะไรไม่ออกอยู่นั้น ชายหนุ่มหลังเคาน์เตอร์ผู้ปกติไม่เคยปริปากก็เอ่ยแทรกเข้ามา นึกว่าเขาไม่ได้ฟังบทสนทนาเสียอีก
“อ๊ะ...จริงด้วยเนอะ ตื๊อให้เขียนแนะนำแบบนี้ไม่ถูกจริงๆ”
พนักงานพาร์ตไทม์โดนตำหนิ แม้ทำหน้าจ๋อยแต่ก็ยอมเข้าใจโดยดี
“ขอโทษที่เสียมารยาทครับ”
“ไม่เป็นไรครับ”
มาสเตอร์หันมาสบตาพร้อมกล่าวขอโทษ แล้วบทสนทนานี้ก็จบลงอย่างง่ายดาย ทว่าชิซุราอิกลับรู้สึกกระอักกระอ่วนอย่างที่สุด
ที่เมื่อครู่ตนอึกอักไม่ใช่เพราะร้านนี้ไม่ควรค่าแก่การแนะนำสักหน่อย แต่ต้องถูกตีความเป็นแบบนั้นไปแล้วแน่ๆ
ชิซุราอิอยากแก้ตัวแต่ไม่มีโอกาส ด้วยความที่อีกฝ่ายมีกำแพงหนาจึงยากที่จะเข้าไปชวนคุยด้วย นี่จึงเป็นครั้งแรกที่ชิซุราอิรู้สึกว่าการที่มาสเตอร์พูดน้อยช่างเป็นอุปสรรคเหลือเกิน

“ขอบคุณมากครับ”
ชิซุราอิหันหลังให้เสียงที่คุ้นเคยก่อนเดินออกจากร้านทั้งที่ยังอึดอัดใจอยู่
ทันใดนั้นลมหนาวก็ปะทะใบหน้า
นี่เป็นร้านที่ถูกใจก็จริง แต่นอกจากความไร้มนุษยสัมพันธ์ของมาสเตอร์แล้ว อีกอย่างที่เขาไม่ค่อยชอบใจนักก็คือลมที่พัดขึ้นทางลาดอย่างนี้ สายลมจากทะเลทำให้อุณหภูมิร่างกายลดลงอย่างรวดเร็ว
ทิวทัศน์ยังดูหนาวเย็นเหมือนเคยจนแทบไม่อยากเชื่อข่าวซากุระบาน สงสัยเพิ่งเริ่มบานละมั้ง วิวในเมืองจึงยังไม่มีสีสันทำนองนั้น
ชิซุราอิสวมถุงมือ กอดเสื้อโคตให้กระชับตัวก่อนเดินลงเนินรวดเร็วเหมือนกลิ้งลงไป พอถึงสี่แยกระหว่างทางเขารีบก้มหน้างุด สาเหตุที่เขามักก้มหน้าเช่นนี้เสมอไม่ใช่เพราะอากาศหนาว แต่เป็นเพราะมองเห็นกระดานข่าวต่างหาก
กระดานข่าวเล็กๆ ในสถานที่สะดุดตาหน่อยๆ นอกจากข้อมูลป้องกันอาชญากรรมรายเดือนแล้วยังมีโปสเตอร์อาชญากรที่ตำรวจกำลังตามล่าตัวติดอยู่ด้วย
‘โจรลอบวางเพลิง’ ตัวอักษรพิมพ์ด้วยฟอนต์สไตล์กอทิกสีดำตรึงตา ส่วนภาพคนร้ายนั้นแม้มองไม่ชัด แต่ทั้งใบหน้าและรูปพรรณสัณฐานคล้ายชิซุราอิมากจนหัวใจเขาเต้นระรัวทุกครั้งที่มองเห็น
แค่ทรงผมกับรูปร่างคล้ายกันเท่านั้นแหละ
ไม่มีทางเป็นไปได้หรอก แม้ใจหนึ่งคิดเช่นนั้น แต่จุดอ่อนของชิซุราอิคือเวลาเจอคนหน้าตาคล้ายกับตัวเอง เขาไม่สามารถหัวเราะร่าเหมือนคนทั่วไปได้
พอไม่มีความทรงจำ ย่อมไม่มีหลักฐานยืนยันความเป็นมนุษย์ของตัวเอง
ตนเป็นคนดี หรือเป็นคนเลว
กระดานข่าวเก่าๆ ไร้สิ่งปกคลุม ดูเหมือนหมุดหลุดไปหนึ่งตัว โปสเตอร์สั่นพึ่บพั่บตามแรงลม ชิซุราอิมองตัวอักษรสไตล์กอทิกเต้นระบำขณะคิดเพ้อเจ้อเล่นๆ ในใจว่า ‘ถ้าปลิวไปได้ก็คงดี’ ก่อนก้าวขาเดินลงเนินต่อ
บ้านของชิซุราอิตั้งอยู่อีกฟากของทางหลวง
หลังข้ามสะพานลอยและเดินเท้าต่ออีกประมาณสิบนาทีจะถึงย่านที่อยู่อาศัย
เขาอาศัยอยู่อะพาร์ตเมนต์สองชั้นราคาถูกหน้าตาสุดแสนธรรมดา เรียกได้ว่าจุดเด่นคือไม่มีอะไรโดดเด่นพอจะหยิบยกมาบรรยายได้ อะพาร์ตเมนต์แห่งนี้ถูกกลบมิดกลมกลืนไปกับสภาพแวดล้อม
ต่อให้ถูกรื้อถอนกะทันหัน คนแถวนี้คงแค่ฉงนว่าทำไมทิวทัศน์แถวนี้ถึงดูแปลกตาไปเล็กน้อย แต่คงไม่มีใครล่วงรู้ว่าอาคารหายไปทั้งหลัง เป็นที่อยู่อาศัยซึ่งเหมือนกับตนไม่มีผิด
“อ้าว ชิซุราอิซัง”
ตอนชิซุราอิกำลังจะเข้าห้องที่อยู่ริมสุดของชั้นหนึ่ง ชายชราที่เดินเลี้ยวมุมมุ่งหน้ามาทางนี้ก็ส่งเสียงทักทาย
หนึ่งคนกับหนึ่งตัว สุนัขพันทางตัวเล็กสีน้ำตาลเห็นชิซุราอิก็เห่าโฮ่งทันที เสียงเห่าเพียงหนึ่งครั้งเหมือนเป็นคำทักทายมากกว่าคำขู่ หางของมันกวัดแกว่งซ้ายขวาสบายๆ
มันคงคิดว่านี่คือมนุษย์ที่เจ้านายเอ็นดูละมั้ง หนึ่งปีครึ่งก่อนหน้านี้ตอนชิซุราอิล้มอยู่หน้าอะพาร์ตเมนต์ ผู้ที่บังเอิญผ่านมาเห็นและช่วยเรียกรถพยาบาลให้ก็คือชายชราที่กำลังพาสุนัขเดินเล่นคนนี้แหละ
เพราะถูกชายชราช่วยไว้ แม้ความทรงจำไม่หวนกลับมาอย่างน้อยชิซุราอิก็ได้รู้ว่าตนเพิ่งย้ายมาอยู่ห้องริมสุดชั้นหนึ่งในอะพาร์ตเมนต์เดียวกัน
“สวัสดีครับ”
ชิซุราอิยิ้มพลางก้มศีรษะเล็กน้อย “วันนี้อากาศเย็นนะครับ” หลังแลกเปลี่ยนบทสนทนาสัพเพเหระและลูบหัวสุนัขหนึ่งที พวกเขาต่างก็แยกย้ายเข้าห้องของตัวเอง
ชิซุราอิเดินเข้าห้องที่อาศัยอยู่เพียงลำพัง อาศัยอยู่คนเดียวเปล่าเปลี่ยวหรือเปล่านั้น กระทั่งเรื่องนี้เขาก็ไม่อาจรู้ได้
สภาพปัจจุบันถือว่าพอเป็นระเบียบ แต่หากย้อนกลับไปตอนเหยียบเข้าห้องที่ไม่รู้จักแห่งนี้เป็นครั้งแรกหลังสูญเสียความทรงจำ สภาพห้องรกรุงรังไปหมด ลังกระดาษกองพะเนิน ไร้หลักฐานการใช้ชีวิต เหมือนเพิ่งย้ายเข้ามาอาศัยอยู่จริงๆ
มีเพียงมุมหนึ่งของตู้เก็บของเท่านั้นที่จัดเป็นระเบียบเรียบร้อยผิดหูผิดตา บนชั้นวางของติดล้อเล็กๆ มีหนังสือเรียงอยู่แน่นขนัด กระเป๋าทรงบอสตันวางอยู่ข้างหลังราวกับตั้งใจซ่อนมันเอาไว้
สิ่งที่ฝังอยู่ในกองเสื้อผ้าข้างในกระเป๋าคือสมุดบัญชีธนาคารสภาพใหม่เอี่ยม
ชื่อบัญชี ‘ชิซุราอิ มาซาฟุมิ’ เงินฝากสามสิบล้านเยน ฝากเข้าแค่ครั้งเดียว ทั้งยังมีกระดาษโน้ตตัวอักษรหวัดๆ ระบุรหัสผ่านพร้อมข้อความ ‘เงินของตัวเอง’ ติดอยู่ด้วย สงสัยเขียนไว้เผื่อความจำเสื่อมละมั้ง
จากที่อ่านในไดอารี เหมือนนี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่ความจำเลือนหาย เขาเคยสูญเสียความทรงจำประมาณหกปีก่อนตอนอายุยี่สิบเอ็ด และไดอารีสมัยนั้นก็ยังเขียนบันทึกว่าตนเคยมีประสบการณ์ความจำเสื่อมก่อนหน้านั้นอีกด้วย
นี่ตนเคยสูญเสียความทรงจำไปแล้วกี่ครั้ง
ชิซุราอิไม่รู้รายละเอียดเกี่ยวกับเงินจำนวนมหาศาลในสมุดบัญชี
รู้แค่ว่าตอนนั้นตัวเขาน่าจะรีบร้อนมาก
เหมือนกับกำลังหลบหนี
ไม่เพียงเท่านั้น อะพาร์ตเมนต์เงียบสงบขนาด 1K แห่งนี้ยังดูไม่เหมือนสถานที่ที่คนไม่เดือดร้อนเรื่องเงินอยากมาอาศัยอยู่เลย พอลองตรวจสอบดูก็พบว่าอะพาร์ตเมนต์แห่งนี้ไม่มีบริษัทดูแลจัดการทั้งที่เป็นยุคสมัยนี้แล้ว และหากไม่ต้องการให้ใครมาเซ็นค้ำประกัน ก็ต้องจ่ายค่าเช่าล่วงหน้าหนึ่งปี
แน่นอนว่าคนจ่ายเงินคือตัวเขาเอง
ชิซุราอิปลดผ้าพันคอกับถอดเสื้อโคตออกเพื่อเตรียมเปลี่ยนเสื้อผ้า แล้วถอนหายใจอยู่ในห้องที่ไม่มีใคร
พอถอดกางเกงผ้าลูกฟูกสีเบจออกมันจะปรากฏให้เห็น รอยแผลเป็นขนาดใหญ่ที่ขาขวา ราวกับลิ้นแห่งเปลวเพลิงเคยไล้เลียจากปลายเท้าขึ้นมา หลงเหลือเป็นรอยแผลเป็นบิดย่นน่าเกลียดเกาะอยู่ที่น่อง
...ถ้าไม่มีเจ้านี่คงไปไหนมาไหนได้อย่างสบายใจกว่านี้
แล้วภาพโปสเตอร์ก็แวบเข้ามาในสมอง
ตนเป็นใครกันแน่ เป็นมนุษย์ที่ชื่อชิซุราอิ มาซาฟุมิจริงๆ เหรอ แล้วมาจากที่ไหน ทำไมถึงมาอยู่ที่นี่
แม้อยากรู้ความจริง ขณะเดียวกันก็กลัวความจริง และบางทีความกลัวอาจอยู่เหนือกว่าเล็กน้อย
ชิซุราอิเคลือบแคลงสงสัยตัวเองไปเสียทุกอย่างจนลังเลที่จะเดินดุ่มเข้าไปพึ่งพาตำรวจ
เอาเป็นว่าลองตรวจสอบข้อมูลด้วยตัวเองก่อนแล้วกัน และระหว่างเดินตะลอนๆ ไปทั่วนั้นความทรงจำใหม่ๆ ก็เริ่มสะสมเข้ามาในสมองอันใหม่เอี่ยม เกิดเป็นจิตสำนึกของ ‘ตนในปัจจุบัน’
อย่างวันนี้ก็เช่นกัน เขาเพิ่มหัวข้อ ‘ทั้งที่เกือบตกงานแต่กลับอวดเก่งว่าเป็นนักเขียนบทความ’ ลงไปในตัวตนนั้นด้วย
ขณะจะหยิบสเวตเตอร์มีฮูดสีน้ำเงินเข้มสำหรับใส่อยู่บ้านขึ้นสวมศีรษะ ชิซุราอิยื่นมือจับหน้าอกของตัวเอง
เขาดึงสายโซ่ที่สัมผัสปลายนิ้ว ตรวจสอบสิ่งที่ห้อยลงมาจากคอ มันคือ USB เมมโมรีสีแดงสะดุดตาที่เตรียมไว้สำหรับ ‘เหตุฉุกเฉิน’ ครั้งต่อไป เป็นสิ่งที่เขาใส่ติดตัวไว้ตลอดไม่เคยห่างกาย
เป็นเพราะตนในอดีตทำอะไรไม่รัดกุม ชิซุราอิจึงไม่สามารถรู้ตัวตนของตัวเองจนตกอยู่ในสภาพเช่นนี้
หากร่างกายสุ่มเสี่ยงสูญเสียความทรงจำง่ายกว่าคนทั่วไปก็จำต้องเตรียมพร้อมให้มากที่สุด
ถ้าจดบันทึกใส่สมุดโน้ตคงพกพาไปไหนมาไหนทั้งหมดลำบาก แต่หากเป็นข้อมูลดิจิทัล แม้ขนาดใหญ่ขึ้นก็ยังพกพาได้ง่าย
ภายใน USB แน่นอนว่ามีที่อยู่ รวมถึงข้อมูลทั้งหมดที่รู้เกี่ยวกับตัวเอง พูดง่ายๆ คือมันเป็นเหมือนโปรแกรมกู้ข้อมูลเพื่อกู้คืน ‘ตนในปัจจุบัน’ กลับมานั่นเอง
บรรยายเสียยิ่งใหญ่อลังการ ความจริงสิ่งเดียวที่เขาคอยอัปเดตอยู่เสมอมีเพียงไดอารีบอกเล่าชีวิตประจำวันที่ไม่มีอะไรน่าสนใจเท่านั้น
ชิซุราอิหันหน้าเข้าหาโต๊ะเรียบๆ ไร้ลิ้นชักริมผนัง หยิบคอมพิวเตอร์โน้ตบุ๊กออกมาจากกระเป๋าและกำลังจะเปิดเครื่อง แต่จู่ๆ เขาก็ดึงสมุดเล่มหนึ่งออกมาจากชั้นวางหนังสือ
ไดอารีที่ตนคนก่อนบันทึกเอาไว้มีทั้งหมดสามเล่ม ความจริงมันไม่ได้ดูดีพอจะเรียกว่าไดอารีได้หรอก เป็นเพียงสมุดโน้ตสันห่วงธรรมดาๆ
ถึงเรียกว่าไดอารีก็เถอะ แต่เนื้อหากลับกระโดดข้ามไม่ต่อเนื่อง วันที่ไม่ได้เขียนมีมากกว่าวันที่เขียน เหมือนเป็นบันทึกประจำสัปดาห์มากกว่าบันทึกประจำวัน บางทีตนอาจไม่ค่อยชอบเขียนหนังสือสักเท่าไร
ความทรงจำหายไปปี 2015
ชิซุราอิเปิดบันทึกตอนฤดูใบไม้ผลิเมื่อสองปีก่อน
มีเขียนไว้ว่าไปดูดอกไม้ ในบรรดาต้นซากุระที่เรียงรายอยู่ในสวนสาธารณะมีซากุระย้อยอยู่เพียงต้นเดียวซึ่งเป็นจุดถ่ายรูปยอดนิยม ตัวเขาเองก็ไปต่อแถวกับฝูงชนเพื่อถ่ายรูปตามความปรารถนาของผู้ชายที่มาด้วยกัน
สงสัยคงเป็นช่วงท้ายของซากุระบาน ตนจึงเขียนเชิงบ่นว่าทุกครั้งที่ลมพัดกลีบซากุระจะปลิวว่อนราวกับหิมะและร่วงตกลงบนศีรษะ
ไม่สิ ไม่ใช่บ่น เป็นเกริ่นนำต่างหาก
หรือไม่ก็ทำเป็นกลบเกลื่อนไม่ให้รู้ว่าเขิน
‘ผมบอก “ขอบคุณนะ” แต่ดูเหมือนจะส่งไปไม่ถึง M ผมไม่ได้ขอบคุณที่เขาช่วยปัดกลีบดอกไม้ออกจากหัวให้สักหน่อย
ขอบคุณที่คอยอยู่เคียงข้างผม
ขอบคุณที่คอยซัปพอร์ตผม
ทุกกลีบซากุระที่คุณหยิบออกจากหัวให้ ผมคิดในใจทุกครั้ง หรือความรู้สึกนี้มันเรียกว่าความรัก ความรักที่ผมมีให้คนชื่อ M
ขอบคุณที่ช่วยสอนมนุษย์ไม่สมบูรณ์อย่างผมให้รู้จักความรัก
ผมก็รักคุณเช่นกัน’

ตกกลางคืน ชิซุราอิออกไปซื้ออาหารค่ำ
ชีวิตประจำวันเรียบง่ายที่เกิดขึ้นซ้ำๆ ทุกวัน ชีวิตแต่ละวันของชิซุราอินั้นน่าเบื่อไร้รสชาติ ขนาดที่ว่าหากสลับเมื่อวานกับวันนี้ หรือหนักกว่านั้น ต่อให้สลับเดือนที่แล้วกับเดือนนี้ก็ยังไม่มีอะไรเสียหาย
ชิซุราอิทำอาหารเองด้วย แต่วันนี้เขาตัดสินใจกินข้าวกล่อง ถ้าไปตอนร้านจวนเจียนปิดจะซื้อได้แบบลดครึ่งราคา เขาเดินอยู่บนถนนหน้าสถานีด้วยความรู้สึกมีชัยเล็กๆ ในใจ
แม้เป็นย่านร้านค้าไม่ใหญ่นัก แต่เทียบกับละแวกบ้านแล้ว ทั้งแสงสว่างละลานตา ทั้งเสียงพูดคุยสนุกสนานของผู้คนที่เดินขวักไขว่ไปมาเรียกได้ว่าสว่างเจิดจ้าเลยทีเดียว
ตอนกลางคืนอากาศหนาวเย็นยิ่งกว่าเดิม ชิซุราอิเดินห่อไหล่ก้มหน้าตามสัญชาตญาณและเริ่มเดินข้ามสะพานลอยตรงสี่แยกในท่าห่อไหล่อย่างนั้น รถยนต์หลายคันเร่งสปีดขับว่อนอยู่ใต้ฝ่าเท้า ไฟหน้ารถสว่างไสวราวกับสายธารประกายแสง
จู่ๆ เขาก็รู้สึกเหมือนมีสายตาจับจ้อง
ชายหนุ่มคนหนึ่งกำลังเดินขึ้นบันไดฝั่งตรงข้าม กางเกงยีนสีดำกับแจ็กเกตหนังสีดำ แม้สีเครื่องแต่งกายกลมกลืนไปกับความมืด แต่สาเหตุที่ดึงดูดสายตาของตนได้นั้นเป็นเพราะรูปร่างสูงโปร่ง
ชายหนุ่มไม่ได้มองมาทางนี้ ทว่าชิซุราอิแอบมองใบหน้าอีกฝ่ายขณะเดินสวนกันตรงทางลงบันได หน้าตาคุ้นๆ เหมือนเคยเห็นที่ไหนมาก่อน
นี่เป็นครั้งแรกในเมืองนี้...ไม่สิ ครั้งแรกไม่ว่าที่ไหนก็ตาม เขาไม่เคยเจอใครที่รู้สึกคุ้นหน้ามาก่อนเลย
หัวใจพลันเต้นกระดอน
นี่อาจเป็นคนรู้จัก
ชิซุราอิรู้สึกหวั่นไหวมากกว่าดีใจ ร่างนั้นแฉลบผ่านไปราวกับลมกระโชก ชิซุราอิหมุนตัวอย่างแรงตั้งใจจะหันไปมอง แต่แล้วเขาก็ต้องร้องเสียงหลงจนน่าสมเพช
“เหวอ...”
เท้าของเขาลื่นไถล สะพานลอยแห่งนี้ขอบเป็นโลหะทำให้ลื่นง่าย ยิ่งเป็นวันฝนตกด้วยแล้วเรียกได้ว่าเดินไปเสียวสันหลังวาบไป
ปลายเท้าสะบัดขึ้นดันร่างกายให้เอนไปข้างหลัง หน้าแหงนมองข้างบนโดยไม่สนเจตนารมณ์ของตัวเอง
แม้ถูกเมฆหนาทึบบดบัง แต่ดวงจันทร์ก็พยายามเฉิดฉายเห็นเป็นแสงนวลสลัว
สีแดงลอยแวบอยู่เบื้องหน้า USB ที่เขาอัปเดตข้อมูลและรีบร้อนสวมคอก่อนออกมาจากบ้านกำลังลอยอยู่กลางอากาศ ด้วยความคิดที่ว่าไม่ว่าเกิดอะไรก็ต้องคว้าเอาไว้ก่อน ชิซุราอิจึงเอื้อมมือพยายามคว้าสิ่งนั้นเอาไว้ แล้วเขาก็จินตนาการภาพตัวเองตกบันได
เสียงทื่อๆ กับความเจ็บปวดฟาดร่างกายอย่างเต็มแรง จากนั้น...
แรงกระแทกกลับไม่ได้แล่นผ่านเข้ามายังศีรษะ สิ่งที่โดนกระแทกมีแค่สะโพก อะไรบางอย่างรองรับศีรษะของเขาเอาไว้ ไม่ใช่โลหะเย็นเฉียบ ไม่ใช่คอนกรีตแข็งโป๊ก แล้วเสียงของใครบางคนก็ดังมาจากด้านหลัง
“ไม่เป็นไรใช่ไหมครับ?”
“อ๊ะ...”
ชายที่เดินสวนกันเมื่อกี้
ชิซุราอิเข้าใจสถานการณ์ทันที อีกฝ่ายยื่นมือมาประคองศีรษะเขาเอาไว้ได้ทันท่วงทีนั่นเอง
ชิซุราอิในสภาพตกตะลึงรีบร้อนกล่าวขอบคุณ
“ขะ ขอบคุณมากครับ ผมไม่เป็นไร”
ต่อให้ตนเป็นคนปฏิกิริยาตอบสนองไวขนาดไหน ถ้าอีกฝ่ายไม่กระโดดเข้ามาช่วยคงไม่ทันกาลแน่
เขามองมือของชายหนุ่มที่โน้มตัวอยู่ สีแดงซึมออกมาจากหลังมือ
“เลือด...ขะ ขอโทษครับที่ทำให้บาดเจ็บ!”
สงสัยครูดบันไดแน่เลย
“ถลอกนิดหน่อยเองครับ”
“แต่!”
ชิซุราอิแตกตื่น เขามองไปรอบๆ แล้วก็นึกขึ้นได้ว่ามีร้านขายยาอยู่ตรงหัวมุมสี่แยก ตอนนี้น่าจะยังเปิดอยู่
ชายหนุ่มบอกชิซุราอิที่กำลังตื่นตระหนกเต็มที่ เสียงไม่ร้อนรนแต่กลับฟังดูสบายๆ ด้วยซ้ำ
“แค่นี้เอง สบายมากครับ บ้านผมอยู่ใกล้แค่นี้...อ๊ะ คุณเองก็รู้จักบ้านผมนี่”
พอถูกบอกเช่นนั้นชิซุราอิถึงเพิ่งตระหนักได้ในตอนนั้นว่าทำไมตนถึงคุ้นหน้าผู้ชายคนนี้นัก แถมเสียงพูดยังคุ้นหูอีกต่างหาก
เขาคือมาสเตอร์ร้านกาแฟ ‘คะแนรี’ ที่ตนเพิ่งไปมาเมื่อตอนบ่ายนี่เอง
ทำไมถึงมองไม่ออกในทันทีนะ
ลักษณะของเขาต่างจากตอนอยู่ในร้าน เสื้อผ้าสบายๆ เหมาะกับวัยสร้างความสับสนให้ มีเพียงความรู้สึกคลับคล้ายคลับคลาเท่านั้นที่ครอบงำสมอง
“อะ เอาเป็นว่า เดี๋ยวผมไปซื้อปลาสเตอร์ปิดแผลหรืออะไรมาให้ ช่วยรออยู่ตรงนี้ก่อนได้ไหมครับ?”
ถึงบ้านอยู่แถวนี้ก็เถอะ แต่ทำคนบาดเจ็บจะให้บอกว่า ‘งั้นขอตัวก่อนนะครับ’ แล้วเดินจากไปเลยก็ทำไม่ได้
แม้ลังเลแต่สุดท้ายชายหนุ่มก็พยักหน้ารับ ชิซุราอิเห็นดังนั้นจึงรีบบึ่งไปร้านขายยาทันที
เขาซื้อปลาสเตอร์ปิดแผลกับน้ำยาฆ่าเชื้อ พอกลับมาที่เดิมก็พบว่าชายหนุ่มกำลังยืนนิ่งไม่ขยับไปไหนอยู่บนสะพานลอยใต้ท้องฟ้าอันหนาวเหน็บเหมือนสุนัขรอเจ้าของ ถึงจะใช้เวลาไม่นาน แต่ชิซุราอิก็รู้สึกผิดขึ้นมาที่ทำให้อีกฝ่ายต้องรอ
“ขอโทษจริงๆ ครับ”
แล้วเขาก็เริ่มปฐมพยาบาล
ดูเหมือนแผลไม่ลึกมาก เลือดก็หยุดไหลแล้ว ชิซุราอิโล่งอก แม้ผึ่งลมเย็นๆ แต่มืออันใหญ่โตกลับอบอุ่น หรือบางทีอาจเพราะมือของตนเย็นเฉียบเกินไปก็เป็นได้
“ผมต่างหากครับ ขอโทษที่ทำให้เป็นกังวล”
“ไม่เลย คุณช่วยผมไว้ ผมไม่ทันระวัง...”
“อันนั้นคืออะไรเหรอครับ?”
“เอ๋?”
ชายหนุ่มถามโพล่งออกมาในท่ายื่นมือตามที่ชิซุราอิร้องขอ ดูท่าการยืนให้คนอื่นแปะปลาสเตอร์บนสะพานลอยคงเป็นสถานการณ์แปลกประหลาด แม้แต่คนที่ปกติพูดน้อยยังไม่อาจทนนิ่งอยู่เฉยๆ ได้
“อันนั้นครับ สีแดงๆ เห็นคุณกำเอาไว้ตลอด ผมเลยสงสัย...”
สิ่งที่สายตาจับจ้องอยู่คือ USB ที่ห้อยลงมาจากคอของชิซุราอิ อุปกรณ์ทำจากสเตนเลสทนทานรูปทรงสี่เหลี่ยมแบนนี้ หากมองผิวเผินอาจดูเหมือนเครื่องประดับ
“อ๋อ อันนี้...สายช่วยชีวิตครับ”
ชิซุราอิเองก็ไม่เข้าใจเหมือนกันว่าทำไมถึงตอบไปแบบนั้น





++++++++++++++++++++++++++++++++++
ชิซุราอิ มาซาฟุมิมีความทรงจำแค่หนึ่งปีครึ่งที่ผ่านมา เขาซึ่งเป็นโรคสูญเสียความทรงจำง่ายกว่าคนทั่วไปคอยเขียนไดอารีทุกวัน พร้อมตามหา ‘M’ อดีตคนรักของตัวเอง วันหนึ่งมีเหตุการณ์บางอย่างทำให้ชิซุราอิได้มาสนิทสนมกับนาคากามิ มาสเตอร์ร้านกาแฟที่เขาเป็นลูกค้าประจำ นาคากามิเสนอตัวช่วยตามหา ‘M’ ทว่าระหว่างนั้นเองชิซุราอิรู้สึกสนใจนาคากามิมากขึ้นเรื่อยๆ และขณะเดียวกันก็เริ่มสงสัยว่า...หรือนาคากามิ มาโมรุคนนี้แหละคือ ‘M’ ...? ซีรีส์ดรามาเรื่องยาวเปิดฉากขึ้นแล้ว!!

รูปภาพ

ตอบกลับโพส

ย้อนกลับไปยัง “Bongkoch Books News & Activities”