New Release BLY แปล : ติดตามรักจากคลื่นเสียง

อัพเดทข่าวบงกชบุ๊คส์ ความเคลื่อนไหว และกิจกรรมพิเศษ ตลอดจนร่วมสนุกชิงรางวัลพร้อมของรางวัลมากมาย

Moderator: P'Bly, Gals, พี่บี

ตอบกลับโพส
Gals
โพสต์: 1068
ลงทะเบียนเมื่อ: ศุกร์ 13 ก.พ. 2009 3:47 pm

New Release BLY แปล : ติดตามรักจากคลื่นเสียง

โพสต์ โดย Gals »

ติดตามรักจากคลื่นเสียง


1

“ตรงนี้อาจารย์นางิสะได้หนึ่งคะแนนค่า!”
ผู้ช่วยพิธีกรหญิงพูดส่งบทต่อด้วยท่าทีคึกคักสดใส โมริซาวะ นางิสะหันไปมองกล้อง ฉีกยิ้มแข็งทื่อเหมือนกับทุกทีพร้อมพูดน้ำเสียงจริงจัง
“แพนเค้กต้องปิดฝาทอดครับ ที่สำคัญคือควรกลับด้านตอนรู้สึกว่ายังเร็วไปหรือเปล่านะ”
“ด้านหน้าจะยังดิบอยู่สินะคะ”
“ถ้ากลับด้านตอนนี้ ด้านหลังจะทอดออกมาสวยกว่า ตัวแพนเค้กก็พองฟูทั้งชิ้นด้วยครับ”
“จริงด้วย! และนี่คือแพนเค้กที่ทอดเสร็จแล้วค่ะ ความสูงต่างจากแพนเค้กที่ทอดตามบ้านทั่วไปอย่างเห็นได้ชัดเลยนะคะ”
นางิสะเติมเนยกับน้ำเชื่อมลงบนผลงานที่เสร็จสมบูรณ์ “ลองชิมดูสิครับ” เขาเชิญผู้ช่วยพิธีกรตามสคริปต์
“อ๊ะ ได้เหรอคะ? งั้นขออนุญาตชิมนะคะ!”
ผู้ช่วยพิธีกรสาวตักแพนเค้กพอดีคำเข้าปากก่อนเบิกตาโต
“ว้าว นุ่มมาก เหมือนละลายในปากเลย ต่างจากแพนเค้กปกติราวฟ้ากับดิน”
นางิสะไม่รู้จะตอบกลับความคิดเห็นที่โอเวอร์เกินจริงนี้อย่างไรดี เลยได้แต่ยืนเงียบๆ แปะรอยยิ้มบนหน้า และระหว่างนั้นเองการบันทึกเทปรายการก็จบลง
“ขอบคุณทุกคนที่ทำงานเหนื่อยนะครับ!”
เสียงกล่าวขอบคุณจากเหล่าสตาฟรายการดังขึ้นอย่างต่อเนื่อง “ขอบคุณครับ” นางิสะก็พึมพำตอบกลับเช่นกัน
“เหมือนเดิมครับ ทางเราจะรับหน้าที่เก็บล้างทำความสะอาดเอง”
“ขอบคุณมากครับ” นางิสะงึมงำตอบกลับคำพูดของ AD จากนั้นเดินออกจากห้องครัวขึ้นไปยังห้องส่วนตัวบนชั้นสองและหมกตัวอยู่ในนั้นราวกับต้องการหนี ห้องครัวที่บ้านนางิสะเป็นสถานที่ทำงานของแม่ซึ่งเป็นผู้เชี่ยวชาญด้านอาหารชื่อดัง ส่วนนางิสะที่จับพลัดจับผลูเดบิวต์เป็นรุ่นสองเมื่อประมาณหนึ่งปีก่อนก็ใช้ห้องครัวนี้เวลามีถ่ายรายการโทรทัศน์เช่นกัน
หลังเก็บตัวอยู่ในห้องได้สักพักนางิสะก็รู้ตัวว่าลืมโทรศัพท์มือถือไว้ในห้องครัวจึงกลับไปเอา ขณะเดินลงบันไดมาได้ครึ่งทางก็ได้ยินเสียงซุบซิบคุยกันของสตาฟดังมาจากข้างล่าง
“ถ้าเป็นอาจารย์เรโกะละก็ หลังถ่ายรายการเสร็จต้องมีชาเสิร์ฟพวกเราแน่ๆ”
“นิสัยเย่อหยิ่งไม่ใส่ใจคนรอบข้างเป็นคุณสมบัติของคนรุ่นสองไม่ใช่หรือไง?”
พอได้ยินคำพูดนินทาตัวเอง นางิสะก็หยุดยืนนิ่งโดยไม่ตั้งใจ
“เอาจริงๆ แค่ผสมแป้งแพนเค้กตามสูตรที่เขียนไว้หลังถุงแล้วทอดเนี่ย ต้องให้มืออาชีพมาทำให้ดูด้วยเหรอ?”
“เอาเถอะน่า กรณีของอาจารย์นางิสะ ต่อให้เป็นสูตรอาหารเรียบง่ายไม่มีอะไรพลิกแพลงก็ยังมีคนดูอยู่ดี”
“หน้าตาเป็นตัวชูโรงสินะ? ค่ามาตรฐานหน้าตาสูงระดับไอดอลทีเดียว”
“ถึงจะทำหน้าบอกบุญไม่รับจวนเจียนเป็นอุบัติเหตุระหว่างออกอากาศก็เถอะ”
“อาจารย์เรโกะเองก็จวนเจียนจะเป็นอุบัติเหตุระหว่างออกอากาศเหมือนกัน แต่คนละความหมาย?”
เหล่าสตาฟพากันหัวเราะสนุกสนาน เปรียบเทียบนางิสะกับแม่ผู้มีคาแรกเตอร์สดใสนำเสนออาหารแปลกใหม่โดดเด่นไม่เหมือนใคร หลังสิ้นเสียงหัวเราะ นางิสะได้ยินเสียงเหมือนพวกเขากำลังยัดอะไรเข้าปาก
“แต่แพนเค้กนี่อร่อยจริงๆ”
“ว้าว ความนุ่มนี่มันอะไรกัน!”
นางิสะรู้สึกร้อนรุ่มกับบทสนทนาเผยความในใจของเหล่าสตาฟที่ไม่รู้ว่ากำลังด่าหรือชมอยู่กันแน่ เขาตัดใจไม่ลงไปเอาโทรศัพท์มือถือและย้อนกลับเข้าห้องตัวเองเงียบๆ
นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่นางิสะโดนนินทาลับหลัง ตลอดหนึ่งปีที่ผ่านมานี้ ไม่ว่าไปที่ไหนเขาจะโดนพูดตลอดว่า “เพราะเป็นรุ่นสอง” บ้างล่ะ “เป็นถึงรุ่นสอง” บ้างล่ะ ทั้งที่ไม่ได้มาเป็นผู้เชี่ยวชาญด้านอาหารรุ่นสองเพราะชอบสักหน่อย
นางิสะตระหนักว่าตัวเองเป็นมนุษย์ไม่ได้เรื่องตั้งแต่จำความได้แล้ว เขาเกิดมาเป็นลูกคนเดียวของพ่อศัลยแพทย์ระบบประสาทชื่อดัง กับแม่ผู้เชี่ยวชาญด้านอาหารผู้มีความสดใสเป็นจุดขาย แต่เป็นเรื่องน่าเสียดายที่จุดแข็งของพ่อกับแม่ไม่ได้ตกทอดมาถึงตัวเขาเลย
นางิสะเป็นคนเข้ากับคนยากมาตั้งแต่เด็ก เขาไม่ถนัดเรื่องการสื่อสาร และการมีพ่อแม่เป็นคนดังในสังคมทำให้คนทั่วไปมักทึกทักไปว่าลูกชายต้องเป็นเด็กเฉลียวฉลาดแน่ๆ แต่นั่นกลับยิ่งเพิ่มแรงกดดัน กระตุ้นนิสัยเข้ากับคนยากให้หนักหนายิ่งกว่าเดิม
นางิสะพยายามใช้ชีวิตไม่ให้โดดเด่น ไม่ให้ใครเข้ามาพูดคุยด้วย เขาข้ามผ่านชีวิตวัยเรียนมาได้แบบถูๆ ไถๆ แต่พอเข้าสู่วัยทำงานก็โดนรุ่นพี่ที่คอยสอนงานให้จับตามองเป็นพิเศษและโดนดุด่าทุกวี่วัน
นางิสะเป็นคนพูดเสียงเบา หน้าตาไม่ยิ้มแย้ม ความสามารถด้านการสื่อสารต่ำเตี่ยเรี่ยดิน
ช่วงแรกที่โดนตำหนิ เขาคิดว่าสมควรแล้วที่โดนโมโหไปเสียทุกอย่าง แม้นึกย้อนกลับไปตอนนี้ก็ยังรู้สึกว่าทั้งหมดเป็นความผิดของตัวเองร้อยเปอร์เซ็นต์ แต่นางิสะก็พยายามในแบบของตัวเองจนหัวหน้ากับคู่ค้าบางคนเอ็นดูเขาบ้างเหมือนกัน แต่มีรุ่นพี่คนนั้นคนเดียวที่ไม่ว่าเขาจะพยายามอย่างไรก็ไม่เคยพอใจสักที
ที่หัวหน้าผู้หญิงถูกใจนายก็เพราะหน้าตาเท่านั้นบ้างล่ะ คนกากๆ ทำอะไรก็ออกมากากๆ บ้างล่ะ คำตำหนิเพิ่มระดับความรุนแรงมากขึ้น ทั้ง “นายมันเป็นตัวถ่วงบริษัท” “ชีวิตนายมีความหมายอะไรด้วยเหรอ?” นางิสะโดนถ้อยคำเหล่านี้สาดใส่ทุกวันจนสุดท้ายก็ทนไม่ไหว ทรุดลงกลางที่ทำงานเพราะเป็นแผลในกระเพาะอาหารและถูกหามส่งโรงพยาบาล เขาจึงตัดสินใจลาออกไปทั้งอย่างนั้นเลย
หากเห็นใครสักคนเผชิญสถานการณ์เหล่านี้ แม้แต่ตัวนางิสะเองก็คงคิดว่านี่เป็นการข่มเหงรังแกในที่ทำงานชัดๆ แต่พอเป็นเรื่องของตัวเองเขากลับไม่สามารถวิเคราะห์ได้อย่างถูกต้อง เพราะการโดนรุ่นพี่ตำหนิเป็นสิ่งที่เจอประจำมาตั้งแต่สมัยก่อนแล้ว เขาจึงรู้สึกว่ารุ่นพี่ไม่ได้ผิดอะไร ทั้งหมดเป็นเพราะตัวเขาไม่ได้เรื่องเอง
พ่อกับแม่ของนางิสะเป็นคนง่ายๆ สบายๆ ทั้งคู่ พวกเขามอบความรักให้นางิสะซึ่งเป็นลูกคนเดียว แต่ในขณะเดียวกันก็รักอาชีพของตัวเองและงานยุ่งอย่างที่สุด พวกเขาไม่ค่อยเข้ามายุ่มย่ามเรื่องส่วนตัวของนางิสะมาตั้งแต่สมัยเด็ก แม้ลูกชายไม่ยอมปริปากเล่าให้ฟังว่าเจออะไรที่ทำงานก็ไม่ได้จู้จี้สืบเสาะ
“ลูกแค่คนเดียว พ่อกับแม่เลี้ยงได้ไปตลอดชีวิต นอนพักผ่อนอยู่บ้านจนกว่าอาการจะกลับเป็นปกตินะ” นี่คือจุดยืนของทั้งสอง
แม้จะกลับมาอาศัยอยู่บ้านเกิดและกลายเป็นนีต แบบพ่อแม่อนุมัติ แต่นางิสะเป็นพวกทนอยู่เฉยๆ ไม่ได้ ขอให้ได้ทำงานเล็กๆ น้อยๆ ก็ยังดี ช่วงแรกเขาจึงอาสาช่วยงานบ้าน รับหน้าที่ทำงานบ้านแทนพ่อแม่ซึ่งงานยุ่งมาตั้งแต่เขายังเด็กแล้ว ด้วยเหตุนี้เขาเลยถนัดและชอบทำงานบ้านทุกอย่าง
จะว่าไปไม่ใช่แค่จุดแข็งเท่านั้น แม้แต่จุดอ่อนของพ่อกับแม่ก็ไม่ได้ตกทอดมาถึงตัวนางิสะด้วย พ่อกับแม่ของเขาไม่ถนัดงานบ้านและการเก็บกวาดเอาเสียเลย
นางิสะจัดเก็บห้องอ่านหนังสือของพ่อ ขัดถูห้องครัวซึ่งเป็นสถานที่ทำงานของแม่จนเงาวับ แถมยังดัดแปลงให้ใช้งานง่ายขึ้นด้วย เขาถนัดเรื่องเอากล่องเปล่ากับขวดเปล่าสวยๆ มาประยุกต์รังสรรค์เป็นที่เก็บของที่ทั้งมองเพลินและใช้งานสะดวก
วันที่แม่มีถ่ายรายการในห้องครัว นางิสะจะเอาดอกไม้สดหรือของตกแต่งมาวางประดับ บ้างก็ให้คำแนะนำเรื่องสีภาชนะที่จะใช้
แล้วการช่วยงานของนางิสะก็เข้าตาโปรดิวเซอร์รายการเข้า ไม่กี่ปีมานี้เทรนด์ผู้เชี่ยวชาญด้านอาหารชายรุ่นสองกำลังมาแรง แจ้งเกิดในวงการไปแล้วหลายคน แถมนางิสะยังมีองค์ประกอบซึ่งน่าจะเป็นที่ชื่นชอบของสาวๆ ไม่ว่าจะเป็นหน้าตาหรือไลฟ์สไตล์
ตอนแรกที่โดนร้องขอให้ออกรายการอาหารของแม่ นางิสะปฏิเสธทันที การยืนท่ามกลางแสงสปอตไลต์กับการโดนโจษจันว่าได้ดิบได้ดีเพราะบารมีพ่อแม่ ทั้งสองอย่างล้วนเป็นสถานการณ์ที่ทำให้นางิสะกระอักกระอ่วนใจอย่างที่สุด
ทว่าหลังลาออกจากงานและเก็บตัวอยู่บ้านได้หนึ่งปี คนนิสัยเอาจริงเอาจังอย่างนางิสะก็เริ่มร้อนรนว่าอยู่แบบนี้ต่อไปเรื่อยๆ จะดีจริงๆ เหรอ เขาโตเป็นผู้ใหญ่แล้ว สุขภาพร่างกายก็แข็งแรงดี แต่กลับใช้ชีวิตเรื่อยเปื่อยไปวันๆ แบบนี้มันน่าอายยิ่งกว่าได้ดิบได้ดีเพราะบารมีพ่อแม่หรือเปล่า
โปรดิวเซอร์ตื๊อนางิสะทุกครั้งที่เจอหน้า นี่ตนกลับมาอาศัยบ้านเกิดเกาะพ่อแม่กินไม่พอ ยังทำตัวเสียมารยาทกับเพื่อนร่วมงานเก่าแก่ของแม่อีก นางิสะรู้สึกแย่กับตัวเอง
โปรดิวเซอร์อุตส่าห์เอ็นดูมนุษย์ไม่ได้เรื่องอย่างตน ที่จริงควรซาบซึ้งใจต่างหาก และนี่อาจเป็นโอกาสได้ทดสอบความกล้าก่อนออกไปหางานใหม่อีกครั้งก็เป็นได้ เมื่อคิดได้ดังนั้นนางิสะจึงตัดสินใจรับข้อเสนอภายใต้เงื่อนไขว่าแค่ครั้งเดียวพอ
นางิสะออกรายการสดในฐานะผู้ช่วยของแม่ โดยเป็นผู้รับผิดชอบหลักในเมนูของหวานอย่างเดียว ซึ่งเป็นเมนูเจลลีง่ายๆ จากผลไม้ตระกูลส้มหลากชนิด นางิสะตื่นเต้นมาก แถมสมองยังว้าวุ่นกับลำดับขั้นตอนที่ตัวเองต้องจัดการ ทำให้เขาเผลอนิ่งเงียบและแสดงหน้าไร้อารมณ์โดยไม่ได้ตั้งใจ เรียกว่าอยู่ในระดับอุบัติเหตุระหว่างออกอากาศเกือบตลอดทั้งรายการเลยทีเดียว
แบบนี้คงไม่มีโปรดิวเซอร์คนไหนมาร้องขอให้ออกรายการอีกเป็นครั้งที่สองแน่ ใจหนึ่งก็โล่งอก แต่ความรู้สึกรังเกียจตัวเองกลับอยู่เหนือกว่า จนเหมือนกระเพาะอาหารจะเป็นแผลขึ้นมาอีก ทว่าพฤติกรรมของนางิสะกลับเรียกกระแสให้รายการได้อย่างคาดไม่ถึง เหมือนคนดูจะชื่นชอบสิ่งที่คาดเดาไม่ได้มากกว่าความราบรื่นตามแผนการที่วางเอาไว้ คาแรกเตอร์ไม่คุ้นชินกับโทรทัศน์ของนางิสะถูกอกถูกใจคนดูเป็นอย่างมาก
คำร้องขอให้ออกรายการเข้ามาอย่างต่อเนื่อง และไม่ใช่แค่รายการอาหารเท่านั้น มีกระทั่งงานให้สัมภาษณ์เรื่องการตกแต่งห้องครัวภายในบ้าน สัมภาษณ์เรื่องชีวิตความเป็นอยู่ส่วนตัว หลังจากนั้นไม่นานไลฟ์สไตล์ของนางิสะก็ถูกตีพิมพ์ออกมาในหนังสือกึ่งนิตยสาร
‘ผู้ชายก็อยากใช้ชีวิตชิลๆ เหมือนกัน’ ‘ไลฟ์สไตล์ดีๆ ของหนุ่มผู้อาศัยอยู่บ้านเกิด’ คือชื่อหนังสือสองเล่มที่บรรณาธิการผู้ดูแลตั้งให้ แต่นางิสะไม่ได้รู้สึกชิลด้วยเลย เขาคิดว่าโตจนป่านนี้แล้วยังอาศัยอยู่บ้านเกิดเป็นเรื่องน่าอับอายด้วยซ้ำ แต่ไม่รู้ทำไมในสังคมถึงมีคนที่ยอมรับและชื่นชอบเรื่องเหล่านี้อยู่ด้วย นางิสะได้แต่สับสน

วันที่มีถ่ายรายการนางิสะจะรู้สึกเหน็ดเหนื่อยเป็นพิเศษ ไม่รู้เป็นเพราะกดดันมากเกินไปหรือเปล่า เขาเผลองีบหลับบนเตียง ตื่นมาอีกทีก็เป็นเวลากลางดึกแล้ว พ่อมีประชุมสัมมนาวิชาการ ส่วนแม่เดินทางไปถ่ายรายการโทรทัศน์ที่ยุโรป ภายในบ้านจึงเงียบสงัด
จะว่าไปวันนี้เป็นวันอังคารนี่นา เขารีบเปิดโทรทัศน์ อะนิเมะที่ออกอากาศในช่วงเวลานี้เป็นสิ่งที่นางิสะตั้งตารอ
ตอนกลางดึกมีอะนิเมะออกอากาศหลายเรื่องทีเดียว นางิสะเพิ่งรู้ข้อเท็จจริงนี้ระหว่างใช้ชีวิตแบบนีต หากดูรายการข่าวหรือรายการแนวสังคม นางิสะจะรู้สึกหดหู่ใจ เพราะมันตอกย้ำให้รู้ว่าตัวเองหลุดออกมาจากสังคมที่เอาจริงเอาจังแล้ว ด้วยเหตุนี้เขาจึงเปิดแต่รายการขายสินค้าและอะนิเมะ ปล่อยให้เสียงไหลไปเรื่อยๆ แทนแบ็กกราวนด์มิวสิก
อะนิเมะที่นางิสะชอบคือ ‘ขบวนการผู้พิทักษ์กลางดึกโมเอะรุนเจอร์’ ตามชื่อเรื่องเลย เป็นอะนิเมะแอ็กชันฮีโร่แนวตลกขบขัน เนื่องจากนางิสะเริ่มดูหลังจากออกอากาศไปแล้วจึงไม่รู้เนื้อหาโดยละเอียด ในกลุ่มฮีโร่ผู้ผดุงความยุติธรรมห้าคนเป็นผู้หญิงไปแล้วสี่คน จะเรียกว่าเป็นอะนิเมะแนวฮาเร็มก็ได้ มีทั้งคาแรกเตอร์สไตล์น้องสาว สไตล์ทอมบอย สไตล์เซ็กซี่ และสไตล์เพื่อนสมัยเด็ก เมมเบอร์หญิงแต่ละคนจะใช้ความสามารถพิเศษที่เหมาะสมกับคุณสมบัติตัวเองปราบเหล่าศัตรูร้าย แต่ที่นางิสะชื่นชอบมากที่สุดคือเมมเบอร์เรด ผู้ชายเพียงคนเดียวในกลุ่ม เขาเป็นตัวตลกของเรื่อง โดนสาวๆ ปั่นหัวตลอดเวลา ในขณะเดียวกันหากสาวๆ ตกอยู่ในอันตราย เขาจะยอมเอาตัวเข้าแลกเพื่อปกป้องสาวๆ และความสงบสุขของโลก ทั้งที่ความจริงเท่เอามากๆ แต่เขากลับจงใจทำตัวเป็นตัวตลก นางิสะสัมผัสได้ถึงความเป็นชายชาตรีเลยใจสั่นไปกับตัวละครนี้
คาแรกเตอร์ที่ออกแบบมาว่าชอบแล้ว แต่นางิสะชอบเสียงพากย์ยิ่งกว่าอีก ส่วนมากเขาเลยมักฟังเสียงพลางนอนสะลึมสะลือมากกว่าจดจ้องหน้าจอตลอดเวลา
บางครั้งนางิสะก็ได้ยินเสียงที่น่าจะเป็นนักพากย์คนเดียวกันนี้บรรยายในโฆษณาบ้าง รายการวาไรตี้บ้าง และเขาจะหูผึ่งตั้งใจฟังทุกครั้งที่ได้ยิน
ถึงอย่างนั้นนางิสะก็ไม่เคยคิดอยากรู้ชื่อหรือประวัติเจ้าของเสียงนี้เลย
หลังจับพลัดจับผลูมาเป็นผู้เชี่ยวชาญด้านอาหาร นางิสะเคยค้นหาชื่อตัวเองในอินเทอร์เน็ตเพียงครั้งเดียว เขาเจอคำด่าทอเยาะเย้ยหลายข้อความ หลังจากนั้นก็หวาดกลัวไม่กล้าค้นหาชื่อตัวเองอีก แถมยังลามไปถึงไม่กล้าค้นหากระทั่งคนและสิ่งของที่ตัวเองชื่นชอบด้วย
อีกเหตุผลหนึ่งคือ นางิสะไม่อยากให้เจ้าของเสียงที่ชื่นชอบมีตัวตนในความรู้สึกของตัวเอง
นางิสะสงสัยรางๆ ว่าตัวเองอาจเป็นไบเซ็กชวลหรือไม่ก็เกย์ เดิมทีเขาเป็นคนมีอารมณ์รักใคร่และความปรารถนาทางเพศเบาบางมาแต่ไหนแต่ไรแล้ว ตลอดยี่สิบสี่ปีนับตั้งแต่เกิดมาเขาไม่เคยคบหาใคร แต่สมัยมัธยมปลายมีคนคนหนึ่งสามารถดึงดูดความสนใจเขาได้เล็กน้อย ซึ่งคนคนนั้นเป็นผู้ชาย แถมตอนนั้นสิ่งที่ทำให้นางิสะหลงเสน่ห์มากที่สุดคือเสียงของอีกฝ่ายเช่นกัน
นางิสะสัมผัสได้ถึงเสน่ห์เฉพาะตัวของเสียงคนเป็นครั้งคราวมาตั้งแต่สมัยก่อนแล้ว ตอนเป็นเด็กเขาชอบความยาวคลื่นเสียงของนักแสดงเด็กอายุรุ่นราวคราวเดียวกันในโฆษณามิโซะและช็อกโกแลตที่ฟังแล้วสบายใจดี นางิสะจึงตั้งใจฟังทุกครั้งที่โฆษณาเหล่านั้นปรากฏบนหน้าจอโทรทัศน์
เขาเป็นพวกคลั่งไคล้เสียง แถมยังชอบเพศเดียวกันอีกต่างหาก หรือนี่จะเป็นอุปนิสัยผิดธรรมดา นางิสะเพิ่งตระหนักได้เอาป่านนี้
แต่สมัยมัธยมปลายเขาไม่ได้คิดอะไรลึกซึ้งเท่าไร วันหนึ่งไม่รู้อะไรดลใจให้นางิสะสารภาพออกไปว่าชอบเสียงของผู้ชายคนนั้น อีกฝ่ายตัวแข็งทื่อไปเสี้ยววินาทีก่อนบอกว่า “พูดอะไรน่ะ โคตรน่าขยะแขยง” ด้วยสีหน้าดุจกำลังมองของน่าขนลุก เขาไม่ได้สารภาพรักเสียหน่อย แค่อยากชมเสียง แต่ความผิดปกติบางอย่างอาจซึมออกมาให้เห็นโดยไม่รู้ตัวก็เป็นได้
อาจเพราะเคยเจอเหตุการณ์เช่นนั้นด้วย นางิสะในตอนนี้จึงไม่อยากให้เจ้าของเสียงที่ตัวเองชื่นชอบมีตัวตนจริง เขาอยากฟินกับเสียงในฐานะเสียงจากโลกอื่นที่ดังมาจากอีกฟากของโทรทัศน์ ในฐานะเสียงของตัวตนสมมติที่ไม่มีอยู่จริงเช่นเดียวกับอะนิเมะ
นางิสะนอนหลับตาบนเตียงฟังเสียงไพเราะซึ่งมีน้ำหนักแข็งกร้าวสลับอ่อนนุ่มตามจังหวะการแสดง สุดยอดเลย เขาประทับใจ แค่เสียงก็ทำให้คนใจสั่นได้ขนาดนี้ เทียบกับงานของตัวเองที่ได้มาเพราะบารมีพ่อแม่ โดนทั้งสตาฟและคนบนโลกออนไลน์ติฉินนินทา ทำผลงานออกมาแบบหวุดหวิดเป็นแค่โชว์ตลก ช่างแตกต่างกันราวฟ้ากับดิน
‘ฉันเกิดมาเพื่อปกป้องผู้หญิงทุกคน’
เมมเบอร์เรดเอ่ยบทพูดประจำตัวด้วยเสียงทุ้มต่ำ นางิสะนอนกอดหมอนบิดตัวอยู่บนเตียง เหล่าเมมเบอร์หญิงพากันยิงมุกสบประมาทบทพูดประจำตัวขี้เก๊กเชยเฉิ่มนั่น นี่ก็เป็นฉากประจำเช่นกัน
ทั้งพิงก์ เยลโลว์ บลู กรีน ช่างมีชีวิตที่น่าอิจฉาเหลือเกิน นางิสะฉุนเฉียว ถ้าถูกเรดจ้องมองในระยะประชิดแบบนั้นและพูดอย่างนั้นใส่บ้าง เราคงเลือดกำเดาไหลหมดสติไปแล้ว
นี่คิดอะไรอยู่เนี่ย นางิสะได้สติและรู้สึกแย่กับตัวเอง ผู้เชี่ยวชาญด้านอาหารกึ่งนีตที่ออกหนังสือ ‘ผู้ชายก็อยากใช้ชีวิตชิลๆ เหมือนกัน’ เขินเสียงนักพากย์ชายจนตัวบิด ถ้าคนในสังคมรู้เข้าคงมีแต่รู้สึกขยะแขยง ต้องปิดบังรสนิยมนี้ไม่ให้ใครรู้เป็นอันขาด
โฆษณาแผ่นบลูเรย์ขบวนการผู้พิทักษ์ฉายคั่นระหว่างรายการ พอรู้ว่ามีแถมดรามา CD พิเศษเฉพาะวางจำหน่ายครั้งแรกด้วย นางิสะก็อยากจองขึ้นมาตัวสั่น แต่เขาต้องอดทนไว้ อย่าถลำลึกมากไปกว่านี้ แค่ฟังเสียง ให้เสียงเยียวยาจิตใจแบบนี้แหละกำลังดีแล้ว

สมาชิกครอบครัวสามคนจะรับประทานอาหารเช้าด้วยกันในวันธรรมดา นี่เป็นกฎของบ้านโมริซาวะมาตั้งแต่สมัยนางิสะยังเป็นเด็ก แม้ตอนนี้ลูกชายคนเดียวโตเป็นผู้ใหญ่แล้วกฎนี้ก็ยังไม่เปลี่ยนแปลง ถึงวันที่สมาชิกครอบครัวอยู่กันพร้อมหน้าพร้อมตาในหนึ่งเดือนจะมีเพียงไม่กี่ครั้งก็ตาม
หน้าที่เตรียมอาหารเช้าส่วนมากเป็นของนางิสะ เนื่องจากช่วงนี้อากาศเริ่มร้อนขึ้นเขาจึงเปลี่ยนถาดรองจานธรรมดามาเป็นถาดเปลือกหอยจับคู่กับแก้วเล็กๆ และจานศิลาดลสีสันสดใสให้เข้ากับฤดูร้อน การผสมผสานรังสรรค์บรรยากาศของฤดูกาลเป็นงานที่นางิสะชื่นชอบ ขนมปังทรงกลมไส้ไข่เจียวเยิ้มอบใหม่ มะเขือเทศจิ๋วหมักในน้ำซอส เขาใส่แยมพีชแฮนด์เมดเปรี้ยวน้อยลงในโยเกิร์ตของพ่อผู้ไม่ชอบกินรสเปรี้ยว ขณะนางิสะเทกาแฟที่ชงเสร็จใส่ถ้วยพร้อมนมอุ่นๆ อยู่นั้นพ่อก็เงยหน้าขึ้นจากหนังสือพิมพ์เผยรอยยิ้ม
“อาหารเช้าของนางิสะคุงน่าดึงดูดยิ่งกว่าโรงแรมหรูที่ไหนๆ เสียอีก”
“ขอบคุณครับ”
“ว้าว แยมนี่ทำจากลูกพีชที่มีคนให้เป็นของขวัญสินะ?”
แม่ชะโงกมองแยมในขวดแก้ว
“ผมเห็นมันใกล้เสียแล้วเลยเอาทั้งหมดไปต้มใส่ขวดเปล่า ไม่เป็นไรใช่ไหมครับ?”
“ช่วยได้มากเลย อืม หวานกำลังดี อร่อยมาก นี่ แม่ขอขวดหนึ่งเป็นของฝากติดไม้ติดมือไปให้คนที่ทำงานด้วยกันวันนี้ได้หรือเปล่า?”
“เอาเลยครับ”
ครอบครัวของนางิสะมักได้รับของขวัญมากมายทั้งที่สมาชิกมีเพียงไม่กี่คน การเอาของสดมาแปรรูปก่อนเสียก็เป็นหนึ่งในหน้าที่ของนางิสะเช่นกัน
แม่ถนัดทำอาหารที่เปี่ยมล้นไปด้วยความคิดสร้างสรรค์ระดับสามารถสร้างแรงบันดาลใจได้ การทำขนมปังหรือแยมซึ่งมีขั้นตอนยุ่งยากเหมือนไม่ค่อยถูกจริตแม่นัก
ตรงข้ามกับนางิสะ เขาชอบงานที่ต้องอาศัยความละเอียดลออ อย่างบ๊วยนันโค ที่ได้รับมาเยอะมากก่อนหน้านี้เขาก็เอาไปทำบ๊วยดอง น้ำเชื่อมบ๊วย และแยมบ๊วย การได้ทำงานบ้านแบบเรื่อยๆ เงียบๆ เพียงลำพังสร้างความอิ่มเอมใจสุดจะพรรณนา
“อืม ขนมปังนี่ก็อร่อย นางิสะคุงต้องเป็นเจ้าสาวที่ดีแน่ๆ”
พ่อซึ่งไม่รู้รสนิยมทางเพศของนางิสะเล่นมุกตลกแบบไม่ได้คิดอะไร นางิสะยิ้มกระตุก ในขณะที่แม่ตีต้นขาพ่อเบาๆ
“เพราะทำอาหารเก่งเลยเป็นเจ้าสาวที่ดี คุณนี่เลิกยึดติดกับความคิดล้าหลังแบบนั้นได้แล้ว สมัยนี้น่ะ แม้แต่เด็กผู้ชายเองก็เถอะ ถ้าทำงานบ้านง่ายๆ ไม่เป็นก็ไม่มีใครเลือกเป็นเจ้าบ่าวหรอก”
“ไม่ว่าแบบไหนยังไงอนาคตของนางิสะคุงก็สงบสุขอยู่ดีแหละ”
ดูเหมือนพ่อกับแม่จะตามใจลูกชายที่โตเป็นหนุ่มคนนี้มากไปหน่อย สิ่งสำคัญในฐานะบุคคลของสังคม คือการมีอิสรภาพทางการเงินและมีจิตใจแข็งแกร่งมากกว่าความสามารถเรื่องงานบ้านหรือเปล่า
หากคนอื่นมองเข้ามา ต้องคิดว่าสถานการณ์ปัจจุบันของตนเป็นผลมาจากถูกพ่อแม่ตามใจเป็นแน่ นี่ก็เป็นจุดที่ทำให้นางิสะรู้สึกผิด แน่นอนว่าสภาพแวดล้อมและการอบรมสั่งสอนมีผลหล่อหลอมลักษณะนิสัยของมนุษย์ แต่นางิสะคิดว่ากรณีของตนนั้นส่วนใหญ่เป็นนิสัยที่มีติดตัวมาตั้งแต่เกิด ทั้งสติปัญญาและอุปนิสัย ตัวเขาไม่มีอะไรคล้ายพ่อกับแม่เลย ถ้าเป็นผู้ปกครองคนอื่นๆ เมื่อถึงจุดจุดหนึ่งคงเอือมระอาและโมโหเป็นฟืนเป็นไฟไปแล้ว แต่พ่อแม่ของนางิสะไม่เป็นเช่นนั้น ทั้งตอนนางิสะสอบเข้ามหาวิทยาลัยที่เลือกอันดับหนึ่งไม่ได้ หรือตอนลาออกจากงานซมซานกลับมาอาศัยบ้านเกิด พ่อกับแม่ไม่เคยแสดงท่าทีผิดหวังเลย พวกเขาคอยส่งสายตาอบอุ่นให้นางิสะในระยะห่างที่เหมาะสมเสมอ
นางิสะคิดว่าที่ตนเป็นเช่นนี้ไม่ใช่เพราะถูกพ่อแม่ตามใจ แต่เป็นเพราะพ่อแม่คอยตามใจจึงก้าวมาถึงระดับนี้ได้ต่างหาก
เขาอยากตอบแทนบุญคุณพ่อแม่ให้ได้สักวัน นางิสะครุ่นคิดพลางหั่นขนมปังทรงกลมอุ่นๆ ออกเป็นสองส่วนและใส่มะเขือเทศหมักซอสเย็นๆ เข้าไป น้ำซอสที่หอมมะกอกกับสมุนไพรซึมเข้าเนื้อขนมปัง อร่อยจนบรรยายไม่ถูกทีเดียว
“ว้าว ดีจัง วิธีกินแบบนี้เอาไปทำในรายการใหม่ด้วยสิ?”
แม่พูดยิ้มแย้ม
“...รายการใหม่?”
“อ๊ะ จริงด้วย แม่ลืมบอกไป กอนโด้ซังมาปรึกษาแม่ว่าอยากได้นางิสะไปเป็นผู้ดำเนินรายการหลักของรายการอาหารห้านาทีช่วงกลางดึกน่ะ”
“เอ๋...”
นางิสะตัวแข็งทื่อโดยไม่รู้ตัว กอนโด้คือโปรดิวเซอร์ที่ชักชวนและผลักดันนางิสะเข้าสู่วงการ แม้เป็นรายการกลางดึกก็เถอะ แต่หน้าที่ผู้ดำเนินรายการหลักมันหนักหนาเกินไป ตอนนี้นางิสะออกรายการโทรทัศน์บ้างก็จริง แต่แค่สลับทำบางเมนูกับแม่ และออกช่วงทำอาหารของรายการข่าวตอนเช้าเป็นครั้งคราวเท่านั้น
“ผู้ดำเนินรายการหลัก...”
นางิสะพึมพำสีหน้าไร้ความรู้สึก น้ำเสียงแฝงด้วยความหนักใจ พ่อซึ่งนั่งอยู่ข้างๆ เอ่ยแทรกยิ้มแย้ม
“ถ้านางิสะคุงไม่สนใจทำ จะปฏิเสธก็ได้นะ”
“ใช่ ไม่จำเป็นต้องฝืนเลย อื้อ ซอสออกหวานนิดหน่อย เข้ากับขนมปังดีจริงๆ”
แม่ทาซอสสอดไส้ขนมปังเลียนแบบนางิสะก่อนเคี้ยวแก้มตุ่ยท่าทีมีความสุข
หากตรงนี้พ่อกับแม่พูดว่า ‘อุตส่าห์ได้รับโอกาสมาทั้งที ต้องทำให้ได้สิ’ นางิสะอาจอยากหันหลังหนีมากกว่านี้ แต่คงเพราะพ่อแม่คอยตามใจในทุกๆ เรื่องจึงส่งผลตรงข้ามทำให้นางิสะรู้สึกถึงอันตราย
คนสภาพกึ่งนีตมีสิทธิ์พูดว่าไม่สนใจทำด้วยเหรอ ตนจะทำ ต้องทำเท่านั้น
“ไม่รู้ว่าคนอย่างผมทำรอดหรือเปล่า แต่จะลองคุยดูแล้วกัน”
นางิสะบอก แหม ดีจัง แม่หยิบโทรศัพท์ออกมาและกดหน้าจอคล่องแคล่ว
นางิสะมองแม่พลางครุ่นคิดในใจ จะพึ่งบารมีพ่อแม่ ให้พ่อแม่ตามใจแบบนี้ต่อไปไม่ได้ สักวันหนึ่งตนต้องออกไปหางานทำให้เป็นเรื่องเป็นราว




++++++++++++++++++++++++++++++++++
นางิสะจับพลัดจับผลูมาเป็นผู้เชี่ยวชาญด้านอาหารและกำลังจะมีรายการ TV เป็นของตัวเอง แต่นางิสะอ่อนหัดด้านการสื่อสาร ในรายการใหม่นี้จึงแคสติงเสียงพากย์ให้มาช่วยดำเนินรายการด้วย นางิสะตกใจทันทีที่ได้ยินเสียงของนักพากย์โยโกตะ เพราะนี่คือเสียงเมมเบอร์เรดจากอะนิเมะยามดึกที่ติดตามดูประจำ โยโกตะเข้าหานางิสะอย่างเป็นกันเอง แม้รู้สึกประหม่าจนทำตัวไม่ถูกนางิสะก็สนุกกับการถ่ายทำรายการมาก และในที่สุดเขาก็เริ่มมุ่งมั่นกับงานของตัวเอง ทว่าในขณะที่ระยะห่างกับโยโกตะค่อยๆ ลดลงนั้น ความรู้สึกมากกว่าแฟนคลับผู้ชื่นชอบเสียงกลับผุดขึ้นในใจของนางิสะ...?

รูปภาพ

ตอบกลับโพส

ย้อนกลับไปยัง “Bongkoch Books News & Activities”