New Release BLY แปล : เติมเต็มหัวใจ ~YES OR NO คนที่ใช่ ใครที่ชอบ~

อัพเดทข่าวบงกชบุ๊คส์ ความเคลื่อนไหว และกิจกรรมพิเศษ ตลอดจนร่วมสนุกชิงรางวัลพร้อมของรางวัลมากมาย

Moderator: P'Bly, Gals, พี่บี

ตอบกลับโพส
Gals
โพสต์: 1068
ลงทะเบียนเมื่อ: ศุกร์ 13 ก.พ. 2009 3:47 pm

New Release BLY แปล : เติมเต็มหัวใจ ~YES OR NO คนที่ใช่ ใครที่ชอบ~

โพสต์ โดย Gals »

เติมเต็มหัวใจ ~YES OR NO คนที่ใช่ ใครที่ชอบ~

ท่ามกลางห้วงนิทราสั้นๆ ซาคาเอะรู้สึกเหมือนเห็นภาพฝัน เป็นฝันไร้สีสันเช่นเคย ภายในโลกสีขาวดำ รู้สึกเหมือนหมอนั่นพูดอะไรบางอย่าง เหมือนจะสำคัญมากเสียด้วย ...ไม่มีทาง สิ่งที่หมอนั่นมอบให้จะเป็นของสำคัญสำหรับฉันไปได้อย่างไร เพราะฉะนั้นฉันไม่ต้องการ ไม่อยากฟัง ไม่อยากเห็น
ต้องปิดกั้นไว้

ความรู้สึกซึ่งตกค้างจากฝันอันคลุมเครือและความนึกคิดของตนเองที่แล่นปราดขึ้นมาแวบหนึ่งทำให้ซาคาเอะหงุดหงิดจนสบถกับตัวเองว่า “โธ่เว้ย...” เมื่อลืมตาขึ้นก็เห็น ‘หมอนั่น’ แบบมีสีสันอยู่หน้าเตียง จังหวะที่สะดุ้งเบาๆ ที่นอนซึ่งเอนอยู่ราวหกสิบองศาก็ส่งเสียงเอี๊ยดอ๊าด
“อรุณสวัสดิ์”
ชิตาระยกมือข้างหนึ่ง เอ่ยด้วยน้ำเสียงเหมือนกับการที่เขามาอยู่ที่นี่ช่างเป็นเรื่องปกติธรรมดา
“...มาทำอะไรในที่แบบนี้”
“นั่นมันคำพูดของฉันต่างหาก” ชิตาระสวน
“นายนั่นแหละทำอะไรของนาย”
จะโดนว่าอย่างนั้นก็ช่วยไม่ได้ รายการวาไรตี้ที่ซาคาเอะรับผิดชอบในฐานะโปรดิวเซอร์เกิดปัญหาวุ่นวาย ประกอบกับความเหนื่อยล้า การทำงานหนัก และการไม่ใส่ใจสุขภาพ ทำให้เขาล้มพับจนต้องเรียกรถพยาบาลมารับ แต่นั่นไม่ใช่ปัญหา เขาเป็นคนประเภทที่ตราบใดที่ยังไม่ถึงขั้นร่างกาย ‘ทำไม่ไหว’ ก็จะไม่สามารถคิดว่า ‘ไม่ต้องทำแล้ว’ ได้ ดังนั้นการที่ร่างกายเหยียบเบรกกะทันหันอย่างนี้จึงช่วยให้ได้พักผ่อนในที่สุด ปัญหาคือการที่ชายคนนี้มีส่วนร่วมในเหตุการณ์ที่ตนถูกนำส่งโรงพยาบาลต่างหาก แน่นอนว่าซาคาเอะไม่อยากให้เห็นตอนที่ตนอ่อนแอ ยิ่งไปกว่านั้นแววตาของชิตาระยังฉายแววโกรธปนระอาจนน่ารำคาญ นายมีสิทธิ์โกรธฉันซะที่ไหนกันเล่า
“หนวกหู”
“อย่าพูดแบบนั้นกับนาวาดะล่ะ”
ชิตาระเตือนด้วยสีหน้าเข้มงวด
“นาวาดะเป็นห่วงนายมากจริงๆ”
พอโดนหยิบยกชื่อนาวาดะ ชินขึ้นมาอย่างนั้น ซาคาเอะก็ยิ่งรู้สึกเสียเปรียบเพราะไม่ใช่เรื่องของตัวเอง ถึงจะเคยโขกสับ ใช้งานเยี่ยงขี้ข้า ปั่นหัวไปมาตามอารมณ์ แต่เขาก็คอยดูแลเด็กคนนั้นในแบบของตัวเองมาตลอด ชิตาระคงมองเรื่องนั้นออกทะลุปรุโปร่ง รวมถึงเรื่องที่สุดท้ายก็อบรมสั่งสอนได้ไม่ดีนักด้วย
“เมื่อกี้หมอนั่นมา เลยได้คุยกัน”
“เหรอ คุยอะไร?”
“ลืมแล้ว”
“แบบนั้นก็แย่สิ อย่าลืมให้หมอตรวจสมองด้วย ใช้ที่เปิดกระป๋องหรืออะไรก็ได้ไขเปิดซะ”
หมอนี่โกรธอยู่จริงๆ นั่นแหละ น้ำเสียงร่าเริงนั้นเต็มไปด้วยหนาม เสียดแทงกันด้วยท่าทีที่ดูเผินๆ เหมือนจะยิ้มแย้มแจ่มใสและเป็นมิตร เป็นทักษะที่ซาคาเอะไม่มี ชายคนนี้โกรธที่ซาคาเอะทำอะไรบ้าระห่ำ พูดอีกอย่างก็คือเป็นห่วง ...แต่ว่าแล้วไงล่ะ? เขาไม่รู้ว่าควรรับความเป็นห่วงของชิตาระเอาไว้อย่างไรดี อันที่จริงเขาไม่รู้ด้วยซ้ำว่าควรรับไว้หรือเปล่า เพราะอย่างนั้นเขาจึงจงใจเบี่ยงเบนทิศทางของบทสนทนา
“ถ้าชินบอกว่าอยากลาออกก็ห้ามไว้ที หมอนั่นเป็นทีมงานในรายการของนายด้วย ต้องดูแลให้ดี”
“เขาพูดอย่างนั้นเหรอ?”
“ไม่ได้พูดชัดเจน แต่ก็เป็นไปได้ อย่าปล่อยให้ลาออกแล้วกัน มันน่าเสียดาย”
ชินเคยบอกว่าอยากเข้าวงการนี้เพราะปลื้มซาคาเอะสมัยเป็นไดเรกเตอร์ (พูดให้ถูกต้องคือ ปลื้มรายการที่ซาคาเอะทำ) ถึงจะคิดว่าผิดพลาดตั้งแต่แรกเริ่มแล้ว แต่ไม่ว่าซาคาเอะจะทำตัวจองหองแค่ไหน ความปลาบปลื้มของชินก็ไม่เคยเสื่อมคลาย มีแค่ชินที่ตามหลังซาคาเอะมาด้วยแววตาที่ไม่เคยเปลี่ยนแปลง เพราะอย่างนั้นถึงได้พลาดจังหวะที่จะโผบินจากรังออกไปยืนด้วยลำแข้งตัวเองเสียสนิท แต่ถ้าเป็นตอนนี้ยังทันเวลา นี่คือโอกาสที่ชินจะก้าวออกจากของเลียนแบบที่ด้อยกว่าของโซมะ ซาคาเอะไปเป็นไดเรกเตอร์เต็มตัว ถึงจะน่าหงุดหงิด แต่ซาคาเอะก็ยอมรับว่า หากพูดถึงการมองฝีมือกับลักษณะเฉพาะตัวของแต่ละบุคคลและบ่มเพาะให้เติบโตแล้ว ชิตาระมีทักษะนั้นเหนือกว่าตนมากโข ทว่าไม่รู้เป็นเพราะอ่านใจซาคาเอะออกแล้วไม่ชอบใจหรืออย่างไร อีกฝ่ายจึงพูดหน้าตาเฉยว่า “นั่นมันเรื่องที่เจ้าตัวต้องตัดสินใจเองซะด้วยสิ~”
“เฮ้”
“และฉันก็คิดว่าเขาคงไม่พูดอย่างนั้นหรอก พนันกันไหม เดิมพันด้วยอะไรดี?”
“บุหรี่”
“ถูกจัง”
“ไปซื้อมา”
“ทำไมต้องซื้อด้วยล่ะ”
ชิตาระยืนขึ้น เอ่ยว่า “อากาศดีนะ” ก่อนเปิดม่านจนสุด
“เจ้าบ้า หยุดนะ”
แสงเจิดจ้าเล่นเอาตาพร่า
“ปิดซะ”
“ตอนเช้าๆ ควรอาบแสงธรรมชาติ วันนี้ฉันยังขี่จักรยานมาที่นี่เลย”
“ร้อนตับแลบอย่างนี้เนี่ยนะ รสนิยมพิลึก”
“จักรยานติดมอเตอร์ทุ่นแรงน่ะ”
“เห่ยชะมัด”
ระหว่างที่กะพริบตาเพราะโดนแสงแยงตาปุบปับ มือของชิตาระก็ยื่นมาบังแสง ก่อนจะแนบเข้าปิดตาซาคาเอะสนิทโดยไม่ทันได้ปัดออก
“ดูเหมือนหูจะได้ยินชั~ดแจ๋วเลยนี่นา งั้นก็ดีแล้ว”
“...บอกว่าหนวกหูไงเล่า”
นั่นมันเรื่องสมัยไหนกัน พอโล่งอกที่โดนบังแสงจนลืมขัดขืนไปชั่วขณะ คราวนี้สิ่งที่นุ่มนวลกว่าฝ่ามือก็ประทับลงปิดปาก
ซาคาเอะกำหมัดแน่นแล้วเหวี่ยงออกไปสุดแรง แต่อีกฝ่ายหลบทันหวุดหวิด ฝ่ามือที่ปิดอยู่เลื่อนหลุดออก ทำให้ตรงหน้าพลันสว่างขึ้นมาอีกครั้ง เม็ดทรายสีดำผุดวับวาบอยู่ในสายตา
“ทำอะไรของนาย ขยะแขยง!”
“เดิมพันไง ฉันชนะแน่นอนอยู่แล้ว เพราะงั้นเลยให้จ่ายล่วงหน้าซะเลย”
ชิตาระแผ่สองมือกระดิกนิ้วข้างๆ ใบหน้าแล้วหัวเราะ
“นายเลิกสูบบุหรี่เถอะ”
“หา?”
“มันขม”
“เรื่องของฉัน”
ซาคาเอะนิ่วหน้า ทำท่าจะขว้างหมอนใส่ แต่พยาบาลเข้ามาพร้อมเสียงทักทาย “อรุณสวัสดิ์ค่า” เสียก่อน
“โซมะซัง ได้เวลาไปตรวจแล้วนะคะ”
“อ๊ะ ฝากด้วยครับ”
ชิตาระยืนขึ้นอย่างเป็นมิตร โพล่งทิ้งท้ายตามอำเภอใจว่า “ถ้าเป็นไปได้ก็ช่วยกักตัวไว้ที่นี่สักสามเดือนนะครับ” แล้วออกไปจากห้อง ซาคาเอะฟาดหมอนในมือใส่ตักตัวเอง แสงแดดปลายฤดูร้อนที่เอ่อล้นเต็มห้องผู้ป่วยทำให้อยากหลับตาจนแทบทนไม่ไหว

“แกคิดว่าตัวเองเป็นใครหา!”
เพล้ง ประตูห้องสูบบุหรี่แตกพร้อมเสียงแหลมสูงเกินคาด กระจกในกรอบโลหะที่เสริมลวดเป็นลายตารางเกิดรูโบ๋บิดเบี้ยว ทว่าสิ่งที่ดูไม่จืดที่สุดก็คือ การที่ตัวการผู้เตะประตูร้องว่า “แย่ละสิ” แล้วรีบเผ่นออกจากไปห้องอย่างเก็บงำความตื่นตกใจต่อเหตุการณ์เหนือความคาดหมายไม่มิด สงสัยเจ้าตัวคงแค่อยากเตะแรงๆ สักที คิดว่าฉันจะตกใจกลัวแล้วก้มหัวขอโทษขอโพยว่า ‘ผมจะทำตัวดีๆ ขอโทษครับ’ หรือไงกัน? สมองน้อยเกินไปแล้วมั้ง เห่ยชะมัด ซาคาเอะก่นด่าในใจพลางระบายควันบุหรี่ ว่าแต่ไอ้นี่จะทำไงดี คงไม่กลายเป็นความผิดของฉันใช่ไหม
“อะ เอ่อ”
“มีอะไร”
AD เคราะห์ร้ายที่บังเอิญอยู่ในเหตุการณ์ตัวสั่นงันงกถามว่า “ทำไงดีครับเนี่ย”
“จะไปรู้เรอะ ปกติก็น่าจะไปบอกคนดูแลความปลอดภัยหรือคนดูแลสถานที่มั้ง แต่ตัวต้นเหตุอาจบอกแล้วก็ได้”
“อ๊ะ นั่นสินะครับ งั้นผมจะไปหยิบไม้กวาดกับที่โกยผง”
เหลือซาคาเอะอยู่คนเดียวในห้อง เขาถือโอกาสนี้ทอดสายตามองนอกหน้าต่างพลางละเลียดบุหรี่ การเกิดรูโหว่หมายความว่าห้องสูบบุหรี่แห่งนี้ไม่สามารถทำหน้าที่ของมันได้อีกแล้ว แต่เขาไม่สนใจ เมื่อดื่มด่ำกับเวลาพักจนพอใจและออกมาข้างนอกก็พบพนักงานสถานีรุ่นพี่ (แต่ในนาม) ที่เดือดสุดขีดเมื่อครู่กำลังยืนคอตกอยู่มุมทางเดิน ท่าทางเจี๋ยมเจี้ยมไม่เหลือวี่แววความเกรี้ยวกราดก่อนหน้านี้ ส่วนอีกคนที่ประจันหน้ากันอยู่คือโปรดิวเซอร์รายการข่าวภาคเย็น แสดงว่าเจ้าตัวไปสารภาพผิดเองแต่โดยดี คงคิดจะปรึกษาหัวหน้าโดยตรงเพื่อให้ช่วยจัดการอย่างละมุนละม่อมกระมัง
“ผมไม่คิดว่ากระจกจะแตก... ขอโทษครับ”
“อืมม”
คนร้ายตัวหดลีบ ตรงข้ามกับโปรดิวเซอร์ที่เกาคางแกรกๆ อย่างเฉื่อยชาก่อนพูดอย่างสบายอารมณ์ว่า “เอาเถอะ กระจกมันแตกได้นี่เนอะ” เล่นเอาซาคาเอะเผลอพ่นพรืดจนโดนจับได้ว่ายืนฟังอยู่
“โซมะ แก...”
ให้ตายเถอะ เดือดขึ้นมาอีกแล้วเรอะ ไม่รู้จักเข็ดซะบ้าง
“เอาน่า ใจเย็นก่อน ฉันจะรายงานเบื้องบนว่าเป็นอุบัติเหตุที่คาดไม่ถึง โอจิไอไปได้แล้ว แต่เดี๋ยวอาจต้องเขียนเอกสารส่งทีหลังด้วย”
“...ครับ”
“เอ้า ต่อไปก็ตาเธอ มาคุยกันหน่อยซิ”
พอโดนกวักมือเรียก ซาคาเอะก็ทำหน้าบ่งบอกว่า ‘ยุ่งยากน่ารำคาญ’ โดยไม่เกรงใจ แต่อีกฝ่ายบอกว่า “ใช้เวลาแป๊บเดียว” อย่างไม่แยแส
“จะว่าไปแล้ว เราเพิ่งเคยเจอหน้ากันเป็นเรื่องเป็นราวครั้งแรกสินะ”
“ครับ ผมทำอยู่สมาคมนักข่าวจนถึงเมื่อวาน”
คนรอบข้างแนะว่าให้หาเวลามาทักทาย แต่ในเมื่อหาเวลาไม่ได้สักทีมันก็ช่วยไม่ได้
“งั้นก็ นี่”
นามบัตรที่ยื่นมาตรงหน้าเขียนว่า ‘ชิตาระ โซสึเกะ เจเนรัลโปรดิวเซอร์ ‘เดย์เอดจ์’ อาซาฮิทีวี’ แน่นอนว่าซาคาเอะย่อมรู้จักชื่อระดับท็อปของรายการที่ตนกำลังจะย้ายไปทำ เขาพึมพำว่า “อา” พลางรับนามบัตรมายัดใส่กระเป๋าสูททันที
“นามบัตรใหม่ของผมยังทำไม่เสร็จ เอาอันที่ระบุตำแหน่งผู้สื่อข่าวประจำกรมตำรวจนครบาลไปก่อนไหมครับ?”
“ไม่ต้อง ไม่เป็นไร โซมะ ซาคาเอะคุงใช่ไหม ว่าแต่เมื่อกี้หัวเราะทำไม?”
“ก็ต้องหัวเราะสิครับ คำพูดประเภท ‘ของที่จับต้องได้ย่อมแตกสลายในสักวัน’ พรรค์นั้น มันก็แค่คำปลอบที่เหมือนจะใจดีแต่จืดชืดสุดขีด แต่เอาเถอะ ค่ากระจกไม่ต้องออกเองอยู่แล้ว แถมยังเป็นเรื่องของคนอื่น จะใจกว้างส่งเดชแค่ไหนก็ได้สินะ”
ชิตาระที่น่าจะแก่กว่าตนร่วมสิบปีไม่โกรธแม้แต่น้อย ทั้งยังถามต่อว่า “สนิทกับโอจิไอเหรอ?”
“สนิทก็แย่แล้ว”
“โอจิไอจับตาดูโซมะอยู่ พอรู้ว่าเธอจะย้ายมาทำข่าวเย็น เขาเลยแนะนำแผนงานให้ แต่ดูเหมือนว่าเขาจะเผลอฉุนขึ้นมาเพราะเธอไม่ยอมทำตามสักอย่าง”
“ไร้สาระ”
ซาคาเอะถ่มถุย
“หมอนั่นยัดเยียดเนื้อหาที่ทางนี้ไม่อยากทำสักนิดมาให้ แล้วยังส่งเมลมาซักไซ้อีกว่านัดเวลารึยัง เขียนแผนงานรึยัง ผมเองก็งานยุ่งเหมือนกัน ที่สำคัญแค่เนื้อหาใน VTR ที่จะทำน่ะ ผมหาเองได้”
“เธอเพิ่งทำงานปีที่สอง แถมเพิ่งเคยประจำในรายการครั้งแรก เขาแค่เป็นห่วงในแบบของเขา”
“ยุ่งไม่เข้าเรื่อง คงเป็นคนประเภทที่พอเห็นเด็กไม่ไปโรงเรียนก็ส่งจดหมายถึงบ้านทุกวันว่า ‘มาโรงเรียนเร็วๆ นะ’ แล้วเคลิ้มอยู่คนเดียวล่ะสิ เดิมทีอายุก็ห่างกันแค่สามปีแท้ๆ ยังมีหน้ามาทำวางมาดเป็นรุ่นพี่ ระบบความคิดนั่นมันพิลึกสิ้นดี ถ้ามีเวลาว่างมาจุ้นเรื่องคนอื่นก็หัดเอาเวลาไปทบทวน VTR น่าเบื่อของตัวเองดีกว่าไหม อย่างเรื่องแท็กซี่คนท้องหรือนักเปียโนตาบอดก่อนหน้านี้น่ะ วัตถุดิบไม่เลวเลยแท้ๆ แต่องค์ประกอบกับสคริปต์บทบรรยายเละทะไม่เป็นท่า โคตรของโคตรห่วย”
“นินทาน้ำไหลไฟดับเลยนะ”
“แล้วผมพูดอะไรผิดรึเปล่า?”
ซาคาเอะถามกลับโดยนึกว่าอีกฝ่ายซึ่งมีสถานะเป็นเจ้านายคงตักเตือนว่า พอเถอะน่า หรือ พูดแรงเกินไปแล้ว แต่ชิตาระกลับส่ายศีรษะตอบว่า “เปล่า”
“โซมะพูดถูก ต่อให้ตัดเรื่องอายุออกไป โอจิไอก็ยังอ่อนหัดจริงๆ คงเพราะอย่างนั้นเขาเลยอยากฝึกเด็กใหม่มีพรสวรรค์อย่างเธอให้เชื่อง ตัวเองจะได้เก่งขึ้นไปด้วย แต่การทำ VTR มันมีส่วนที่อาศัยเซนส์อยู่มาก จุดนั้นอาจคาดหวังในตัวเขาไม่ค่อยได้ ถึงอย่างนั้นเขาก็เป็นบุคลากรที่มีประโยชน์หลายอย่างนะ อย่างในการถ่ายทำที่ใช้แรงงาน หรือเวลาอยู่โยงทำข่าวนานๆ ก็ใจสู้ดี”
คำกล่าวนั้นตรงไปตรงมาผิดคาดจนซาคาเอะสับสนเล็กน้อย อะไรของหมอนี่นะ
“ปากร้ายกว่าผมอีก”
“ไม่หรอก ฉันยังแพ้โซมะ”
“ว่าแต่พูดโพล่งให้พนักงานปลายแถวที่เพิ่งเข้ามาใหม่ฟังหมดเปลือกแบบนั้นจะดีเหรอครับ”
“เอ๊ะ จะเอาเรื่องนี้ไปเล่าให้โอจิไอฟังเหรอ?”
“ผมไม่สนหรอก”
“ใช่ไหมล่ะ? นอกจากนั้นนะ ฉันว่าถ้าอีกฝ่ายเป็นโซมะ ต่อให้ใช้ลมปากพูดกลบเกลื่อนไป เธอก็คงจับได้ทันทีอยู่ดี”
สีหน้านั้นยิ้มแย้ม แต่ซาคาเอะอ่านใจชายคนนี้ไม่ออก ไม่มีอะไรพิสูจน์ได้ว่าถ้อยคำที่พูดกับตนมาจากใจจริง หนึ่งปีที่ทำข่าวกรมตำรวจนครบาลช่วยสร้างภูมิคุ้มกันบุคคลพึงระวังได้พอสมควร แต่คนประเภทนี้มีอยู่ทุกที่ เท่าที่บังเอิญได้ยินมา ชื่อเสียงของชิตาระ โซสึเกะในฝ่ายข่าวถือว่าดีเยี่ยม ทั้งไม่โกรธโดยไร้เหตุผล ไม่บังคับให้ลูกน้องแสดงโชว์ในงานดื่มสังสรรค์ ออกคำสั่งสอดคล้องกับนโยบาย ช่วยอธิบายงานอย่างดี ...อันที่จริงก็ไม่ใช่ข้อดียิ่งใหญ่อะไร เพียงแต่คนที่ทำเรื่องง่ายๆ แค่นั้นไม่ได้ดันมีเยอะเท่านั้นเอง
“ฉันเคยดู VTR ที่โซมะทำเมื่อปีก่อนด้วย อันที่ฉายในทอล์กโชว์วันเสาร์”
ชิตาระบอก
“เรื่องมรดกทางวัฒนธรรมที่เปิดให้เข้าชมเป็นพิเศษน่ะ”
“อ้อ อันที่น่าเบื่อแทบตายนั่น”
นั่นเป็น VTR ยาวเกินห้านาทีชิ้นแรกของซาคาเอะ การถ่ายทำที่วัดนั้นน่าหงุดหงิดเป็นที่สุด ยิ่งเป็นวัดดังก็ยิ่งทำตัววางโต (ยิ่งกว่าซาคาเอะ) ทั้งหาเรื่องขูดรีดค่าถ่ายทำ ห้ามสาดไฟเพราะภาพวาดบนประตูเลื่อนจะเสื่อมสภาพ ห้ามวางขาตั้งกล้องเพราะเสื่อทาทามิจะเป็นรอย เอาแต่เรียกร้องอะไรเหลวไหล ตอนนั้นไดเรกเตอร์ที่รับผิดชอบโดนใช้ไปทำงานชิ้นอื่น งานนั้นเลยถูกโยนมาให้ซาคาเอะที่บังเอิญว่างอยู่พอดีแบบปุบปับ บทกับทีมงานฝ่ายเทคนิคมีพร้อมอยู่แล้ว แต่สุดท้ายซาคาเอะที่รับหน้าที่แทนก็เมินบทดั้งเดิมสนิทแล้วถ่ายทำกับตัดต่อตามใจชอบ
“ฉันว่าคงไม่มีใครถ่ายพระพุทธรูปที่เป็นสมบัติชาติออกมาดูหมิ่นขนาดนั้นอีกแล้ว”
“นิชิคิโดะซังเป็นคนถือกล้อง”
“นิชิคิโดะซังนั่นแหละเล่าว่าโดนสั่งให้ถ่ายออกมาหยาบคาย เห็นบ่นด้วยว่าลำบากมากเพราะทะเลาะกันเรื่องแสงกับองค์ประกอบภาพทุกขั้นตอน”
“ตาแก่ปากมากเอ๊ย”
“เธอเป็นเด็กใหม่คนแรกเลยมั้งที่กล้าทะเลาะกับนิชิคิโดะซัง แถมยังใช้เพลงประกอบจากเบลดรันเนอร์ อีกต่างหาก”
“ก็พระพุทธรูปมันน่าอึดอัดใจนี่ครับ มีมือตั้งเป็นสิบยี่สิบมือ บางทีก็มีหัวเล็กๆ ติดอยู่ตรงหัว แค่หน้าตาก็หลุดโลกแล้ว ไม่ต้องพูดถึงความศักดิ์สิทธิ์หรอก ถ้ามองดูโดยตัดความคิดฝังหัวว่ามันเก่าแก่ หายาก หรือน่าบูชาออกไป ดูอย่างไรก็เป็นแค่วัตถุที่สร้างโดยคนเพี้ยนชัดๆ”
เพราะอย่างนั้นซาคาเอะจึงอยากถ่ายทอดความรู้สึกดังกล่าวลงไปในวิดีโอ ตอนโชว์พรีวิวก็โดนตำหนิหนักอยู่หรอก แต่เขายืนกรานว่าจะไม่แก้มากไปกว่านี้เพราะงานยุ่ง จากนั้นก็ไม่ได้สนใจมันอีก รู้ตัวอีกที VTR ก็ออกอากาศแล้ว คงเป็นเพราะไม่มีอย่างอื่นจะนำไปออกแทน ได้ยินว่าทางวัดโกรธจัดโวยวายว่า “บาปหนานัก อย่าหวังว่าจะได้มาถ่ายทำที่นี่อีก” แต่นั่นไม่ใช่เรื่องที่เขาจะสนใจ
“พอดีเบื้องบนบอกว่าให้ทำได้อย่างอิสระน่ะครับ”
“ ‘อิสระ’ ที่มอบให้เด็กใหม่มีความหมายเหมือนให้ไข่ฟองหนึ่งแล้วจะเอาไปทำไข่ดาวหรือไข่เจียวก็ได้ตามใจ แต่ผลงานของเธอมันดันกลายเป็นอาหารสร้างสรรค์ที่ใส่แค่สารสกัดจากไข่มาพอเป็นพิธีนี่สิ”
ไม่ใช่เรื่องที่ซาคาเอะจะสนใจอีกนั่นแหละ
“วันที่ดู VTR นั่น ฉันฝันเห็นพระพุทธรูปสีสันสดใส มันเหมือนกับว่าสมัยสร้างเสร็จใหม่ๆ พระพุทธรูปที่ดูเก่าแก่ตอนนี้มีสีแบบนั้น ฉันว่ามันสุดยอดมาก นี่ต้องเป็นเวทมนตร์ของ VTR เธอแน่ๆ ...ไม่ถ่อมตัวหน่อยเหรอ?”
“อยากให้ผมถ่อมตัวเหรอ”
ซาคาเอะหาวพลางถามส่งๆ
“แต่ฝันของผมเป็นสีขาวดำทุกครั้งเลยนะ”
“อา งั้นเธอคงเค้นมันออกมาหมดแล้วละมั้ง ศึกษาภาพเคลื่อนไหวกับตัดต่อมาตั้งแต่สมัยเรียนเลยรึเปล่า?”
“เปล่า... แต่ผมดูหนังบ่อย”
“อย่างนี้นี่เอง ฉันก็ชอบดูหนัง ไปดูกับเด็กที่ห้องออกแบบบ่อยๆ คราวหน้าไปด้วยกันไหม”
“ไม่ไปหรอกครับ”
“ทำไมล่ะ”
“เพราะผมไม่เข้าใจว่าจะคบค้ากับคนที่บริษัทนอกเวลางานไปเพื่ออะไร”
ขณะที่ปากพูดอย่างนั้นซาคาเอะก็นึกอัศจรรย์ใจที่ตนพูดคุยกับคนที่เพิ่งพบหน้าครั้งแรก มิหนำซ้ำยังเป็นเจ้านายได้ยืดยาวขนาดนี้ บรรยากาศสบายๆ ที่ประมาทไม่ได้ของชิตาระทำให้สัญชาตญาณบอกว่าชายคนนี้ไม่ใช่ ‘คนอ่อนโยนใจดี’ ขนาดที่ทุกคนชมโดยเด็ดขาด นั่นอาจเป็นสิ่งที่ตรึงเท้าซาคาเอะไว้ตรงนี้ก็เป็นได้
“พูดเหมือนปกติมีคนคบค้านอกบริษัทเลยนะ คนอย่างเธอไม่มีทางมีเพื่อนหรอก”
นั่นไง พูดแบบนั้นได้หน้าตาเฉย คนบางประเภทก็ชอบวางก้ามข่มขู่อย่างไม่ยอมแพ้ต่อพิษร้ายของซาคาเอะ เขาชินชากับคนประเภทนั้นแล้ว แต่ดูเหมือนชิตาระจะต่างออกไป ชายคนนี้ไม่มีความแข็งกร้าวแปลกๆ อย่างคนพวกนั้น
“เอาเป็นว่าจากนี้ไปเราต้องทำงานในรายการเดียวกัน ฝากตัวด้วยล่ะ ฉันดีใจนะ เพราะอยากลองทำงานกับโซมะ ซาคาเอะมานานแล้ว”
ซาคาเอะนิ่งเงียบเพราะไม่ได้รู้สึกอย่างนั้นเป็นพิเศษ อีกฝ่ายถามขึ้นว่า “อยากเป็นผู้สื่อข่าวประจำกรมตำรวจไปตลอดมากกว่าเหรอ?” พร้อมมองด้วยสายตาคล้ายจะทดสอบ
“เปล่า”
“ฉันก็ว่างั้น เธอไม่เหมาะหรอก พูดให้ชัดเจนเลยก็ได้ว่าเลือกคนไม่ถูกกับงาน”
จริงอยู่ที่งานนั้นไม่สนุกเลย แต่ซาคาเอะก็หน้าหงิกเพราะรู้สึกเหมือนโดนวิจารณ์ความสามารถ
“ทำไมล่ะ”
“เธอไม่ใช่คนประเภทที่จะวิ่งรอกไปก้มหัวขอข่าวตอนกลางค่ำกลางคืนใช่ไหมล่ะ”
“ถ้ามันเป็นงานก็ต้องทำอยู่แล้ว ชอบหรือเปล่าไม่ใช่ปัญหา”
“เหรอ แปลว่าเธอตั้งใจทำงานอย่างดีแต่ก็ยังโดนหัวหน้าแผนกสืบสวนที่หนึ่งรังเกียจว่า ‘ไอ้เด็กแก่แดด’ สินะ”
แทงใจดำจนทั้งน่าขยะแขยงและน่าโมโห
“คนสายตาคมกริบอย่างโซมะทำข่าวตำรวจไม่ได้หรอก คนสบายอารมณ์ท่าทางหัวทึบต่างหากที่มีโอกาสล้วงข่าวจากตำรวจได้มากกว่าที่คิด เพราะตำรวจเองก็คอยระวังคนที่ดูเหมือนจะมาเปิดโปงเรื่องอื้อฉาวของตัวเองอยู่”
“แล้วคนที่พูดจาขวานผ่าซากด้วยหน้าตาสบายอารมณ์ล่ะ?”
“หืม?”
“เหมือนนายไง”
ชิตาระไม่คลายยิ้มทั้งที่โดนเรียกว่านาย เอ่ยทิ้งท้ายว่า “สิบโมงมีนัดพบปะและประชุมกับทีมงาน ห้องประชุม A นะ” ก่อนจะจากไป ซาคาเอะนึกอยากสูบบุหรี่ขึ้นมาอีก พอย้อนกลับมาที่ห้องสูบบุหรี่ก็พบว่าประตูที่แตกมีกระดาษลังติดอยู่ตั้งแต่เมื่อไรไม่รู้ พร้อมด้วยข้อความ ‘ห้ามใช้งาน!’ สีแดงตัวโต ยุ่งยากชะมัด เขาใช้มือกำนามบัตรที่เพิ่งได้มาหมาดๆ ขอบกระดาษบาดมือจนเจ็บแปลบ

ทั้งที่ยังไม่ทันเข้าหน้าฝน แต่วันนี้อากาศกลับชื้น มีฝนตกปรอยๆ หลายระลอกชวนให้รำคาญใจเพราะลังเลว่าจะกางร่มดีหรือไม่ หลังเสร็จจากรายการข่าวเย็นแล้วซาคาเอะไปทำข่าวอื่นอีกหนึ่งชิ้น จากนั้นค่อยไปดื่มจนเกือบขึ้นวันใหม่แล้วมุ่งหน้าไปโรงภาพยนตร์ที่ฉายหนังโต้รุ่ง แต่ความรู้สึกสะอิดสะเอียนยังไม่ลดลงสักนิด
“หนังเริ่มฉายแล้ว แน่ใจนะครับว่าจะเริ่มดูจากกลางเรื่อง?”
“เริ่มตรงไหนก็ช่างเถอะ”
ซาคาเอะไม่อยากหอบความรู้สึกแย่ๆ นี้กลับบ้าน เขาซื้อตั๋วโดยไม่แม้แต่จะดูรายละเอียดหนังที่ฉายแล้วเข้าไปนั่งริมแถวหลังสุด ไม่รู้ว่าเพราะเป็นวันศุกร์หรือเพราะฝนตก โรงหนังขนาดเล็กจุร้อยคนจึงมีคนนั่งอยู่ราวครึ่งหนึ่ง เยอะเกินไปสำหรับซาคาเอะ เพราะโรงหนังในอุดมคติของเขาคือโรงที่มีตนเป็นคนดูเพียงผู้เดียว
ซาคาเอะกอดอก หันหน้าเข้าหาหน้าจอขนาดเล็ก (จนให้ความรู้สึกเหมือนทีวีจอใหญ่) เขาเคยดูหนังขาวดำเรื่องนี้มาก่อน รู้สึกจะชื่อ ‘แอบพบในฝนพรำ ’ เหมาะกับอากาศตอนนี้พอดี เมื่อเรื่องราวดำเนินมาถึงตรงที่แอนน์ผู้เป็นนางเอกบังเอิญไปเห็นเหตุการณ์ฆาตกรรม เปลือกตาของซาคาเอะก็เริ่มหย่อน เขาสัปหงกในท่ากอดอก ไม่ใช่ว่าหลับเพราะเป็นหนังที่เคยดู แต่การงีบหลับในโรงหนังเป็นเรื่องปกติของเขา สำหรับซาคาเอะแล้วภาพยนตร์ไม่ได้ดึงดูดใจ ไม่ว่าบท การแสดง หรือเทคนิคพิเศษ มันเหมือนกับโทรทัศน์ที่เปิดทิ้งไว้ตอนกลางดึกโดยไม่คิดอะไรมากกว่า ไร้ซึ่งความสนใจพิเศษหรือความกระตือรือร้น เนื้อหาจะเป็นรายการขายของ วาไรตี้ หรือละครเห่ยๆ ก็ช่าง เปิดทิ้งไว้แล้วออกไปข้างนอกบ้าง ทำอย่างอื่นบ้าง บางครั้งก็หลับกลางคัน เป็นแค่ส่วนหนึ่งของชีวิตประจำวันอันแสนธรรมดา ไม่มีทั้งความรู้หรือทฤษฎีภาพยนตร์ให้กล่าวถึง ไม่ว่าจะดูอะไรสิ่งสุดท้ายที่เหลืออยู่คือสี แม้เป็นหนังขาวดำก็ไม่เว้น ไม่ใช่ทั้งบทพูด ความงดงามของภาพเคลื่อนไหว หรือฉากจบอันน่าตกตะลึง มีเพียงสีสันที่แตกต่างกันไปของหนังแต่ละเรื่องเท่านั้นที่จะถูกเก็บสั่งสมไว้ คำว่า ‘พระพุทธรูปสีสันสดใส’ ของชิตาระพลันแวบขึ้นมา จากนั้นสายตาและหัวสมองก็ดับมืด






+++++++++++++++++++++++++++++++
ปีที่สองหลังเข้าทำงานในบริษัท ซาคาเอะโดนโยกย้ายมาเป็นไดเรกเตอร์ประจำรายการข่าวช่วงเย็น ความที่นิสัยเสียสุดขีดทำให้เจ้าตัวเป็นที่รังเกียจของรอบข้าง ทว่าโปรดิวเซอร์อย่างชิตาระกลับยอมรับทั้งพรสวรรค์และนิสัยนั้นของซาคาเอะจนยอมปล่อยให้อยู่อย่างอิสระ ทั้งสองและมุตสึโตะที่ทำงานอยู่ห้องออกแบบมักไปดูหนังรอบดึกหรือดื่มเหล้าด้วยกันเสมอ ความสัมพันธ์เช่นนั้นดำเนินเรื่อยมา แต่แล้ววันหนึ่งกลับเกิดเหตุการณ์ที่ทำลายวันคืนอันสงบสุขจนย่อยยับ... ซาคาเอะกับชิตาระจะกลบช่องว่างและความสูญเสียใน 11 ปีที่ผ่านมาอย่างไร? เชิญพบกับภาคพิเศษของซีรีส์ยอดนิยมเล่มที่ 3!!

รูปภาพ

ตอบกลับโพส

ย้อนกลับไปยัง “Bongkoch Books News & Activities”