New Release BLY แปล : ปราบทมิฬ 2 (เล่มจบ)

อัพเดทข่าวบงกชบุ๊คส์ ความเคลื่อนไหว และกิจกรรมพิเศษ ตลอดจนร่วมสนุกชิงรางวัลพร้อมของรางวัลมากมาย

Moderator: P'Bly, Gals, พี่บี

ตอบกลับโพส
Gals
โพสต์: 1068
ลงทะเบียนเมื่อ: ศุกร์ 13 ก.พ. 2009 3:47 pm

New Release BLY แปล : ปราบทมิฬ 2 (เล่มจบ)

โพสต์ โดย Gals »

บทที่สิบสอง

สุดท้ายจวินโม่ฉิงก็ไม่ได้ส่งตัวอิ๋นฮวนออกไปในทันทีทันใด เพราะเขาบอกว่า...เช่ารถม้าไม่ได้! ท้ายที่สุดแล้วอิ๋นฮวนจึงยังถูกบังคับให้อยู่ต่อจนกระทั่งถึงวันพิธีแต่งงาน
จะว่าไปก็แปลก นับตั้งแต่วันนั้นเป็นต้นมาอิ๋นฮวนก็ไม่ได้กลายเป็น ‘ชิวเหิง’ อีก นี่ทำให้คนเบาใจไปได้ไม่น้อย ทว่าบรรยากาศระหว่างจวินโม่ฉิงกับอิ๋นฮวนจู่ๆ กลับแปลกประหลาดยิ่ง ด้วยนิสัยเย็นชาของจวินโม่ฉิงแล้ว ในเมื่อวันแต่งงานจะมาถึงในอีกไม่นานเขาก็ควรจะอยู่ห่างๆ อิ๋นฮวนเอาไว้ถึงจะถูก แต่ยามนี้เขามักจะทำตรงกันข้ามคือทำ ‘ตัวติด’ กับอิ๋นเพี่ยวอยู่เป็นประจำ นอกจากมิได้นอนร่วมกันแล้ว พวกเขาแทบจะอยู่ด้วยกันตลอดเวลา ถึงระยะห่างจะไม่ได้ใกล้ชิดกัน มิหนำซ้ำทั้งสองก็ยังทำเรื่องของใครของมัน ไม่ข้องแวะกันแม้แต่น้อย นี่ก็ยังเป็นภาพที่เหลือเชื่อมากอยู่ดี
เหล่าข้ารับใช้มองเห็นอยู่ในสายตา มีคนคาดเดาว่าเจ้านายเกิดความคิดมีเลศนัยอันใดหรือไม่ แต่ก็ดูเหมือนจะไม่ใช่ เพราะเขาไม่ได้ดูมีความคิดที่จะเปลี่ยนแปลงวันแต่งงานเลยแม้แต่นิดเดียว ยิ่งไปกว่านั้นอิ๋นเพี่ยวก็ไม่มีทีท่าว่าจะอยู่ต่อไปแต่อย่างใด ช่างแปลกพิลึกพิลั่นยิ่งนัก
วันแต่งงานคืบใกล้เข้ามาทีละวันๆ ท่ามกลางการคาดเดาไปต่างๆ นานาของผู้คน หลังจากเตรียมการมาอย่างเนิ่นนาน ในที่สุดคฤหาสน์สกุลจวินก็ได้ต้อนรับ ‘ฮูหยิน’ คนที่สองในวันที่สายพิรุณพร่างพรมโปรยปราย...

ในวันนี้ทั่วทั้งคฤหาสน์สกุลจวินต่างอบอวลไปด้วยบรรยากาศมิ่งมงคลแห่งการเฉลิมฉลอง แม้จะฝนตกฟ้าครึ้ม แขกเหรื่อมาร่วมงานไม่มาก แต่ทุกคนในคฤหาสน์ต่างหัวเราะรื่นเริง ไม่ได้รับผลกระทบใดๆ เลยสักนิด
อิ๋นฮวนเห็นทุกคนอารมณ์เบิกบานเปรมปรีดิ์ก็ย่อมดีใจ ท่าทางร้องไห้สะอึกสะอื้นเพราะเขาจะจากไปของสาวใช้พวกนั้นก่อนหน้านี้ยังทำให้เขารู้สึก ‘สะพรึง’ มาจนถึงตอนนี้ เขากลัวการทำให้แม่นางน้อยร้องไห้เป็นที่สุด โดยเฉพาะร้องไห้เพราะตนด้วยแล้ว
คนอื่นๆ เริ่มทำงานยุ่งกันตั้งแต่เช้าตรู่ อิ๋นฮวนก็ยุ่งตามไปด้วยเช่นกัน แต่เขายุ่งกันคนละอย่างกับผู้อื่น เป้าหมายสุดท้ายของการยุ่งวุ่นคือรถม้าคันหนึ่งที่จอดอยู่ตรงประตูข้างของคฤหาสน์สกุลจวิน
วันนี้เป็นวันรับเจ้าสาวของจวินโม่ฉิงและเป็นเวลาที่เขาควรไปจากที่นี่ เมื่อเจ้าสาวเข้าประตูมาในยามบ่าย พอกราบไหว้ฟ้าดินเสร็จสิ้น เขาก็จะไปจากที่นี่ทันที นี่เป็นเรื่องที่ตกลงกันไว้ตั้งแต่แรก
อันที่จริงเขาไม่มีข้าวของมากมายให้ต้องเก็บเอาไปด้วย แต่เพราะมีมนุษยสัมพันธ์ไม่เลว พวกสาวใช้เด็กรับใช้เหล่านั้นจึงพากันมอบสิ่งของต่างๆ ให้อิ๋นฮวนไม่น้อย ก็มิใช่สิ่งของมีค่ามีราคาอันใดหรอก บางอย่างเป็นของมือสองด้วยซ้ำ แต่อย่างไรก็เป็นน้ำใจไมตรีจากผู้อื่น อิ๋นฮวนก็มิได้รังเกียจเดียดฉันท์ จึงรับติดตัวไปด้วยทั้งหมด
เมื่อถึงยามเที่ยง อิ๋นฮวนขนสิ่งของที่จะเอาไปด้วยขึ้นรถม้าทั้งหมด ต่อมาเปลี่ยนชุดตัวนอกที่เปียกชื้นเล็กน้อยออก ยกน้ำต้มน้ำร้อนอาบด้วยตนเอง เปลี่ยนมาสวมใส่ชุดเรียบๆ สะอาดสะอ้านชุดหนึ่ง หลังจากนั้นก็ยกเก้าอี้ตัวหนึ่งมานั่งชิดริมหน้าต่าง มือทั้งสองข้างเท้าคาง มองหยาดพิรุณนอกหน้าต่างอย่างเหม่อลอย รอคอยให้เวลาผ่านไปอย่างเงียบเชียบ
หากไม่พูดถึงการค้า อิ๋นฮวนคิดว่าตนเป็นคนที่ชอบเสพสุขคนหนึ่ง เมื่อเห็นนายบำเรอคนอื่นประจบประแจงหาเงินสุดชีวิต มีทั้งคนที่อยากจะไถ่ตัวให้ตนเอง คนที่อยากใช้โอกาสนี้ลืมตาอ้าปาก เป้าหมายในชีวิตของเขาก็แลดูจืดชืดกว่ามากโข
เขาไม่เคยคิดจะออกจากเส้นทางสายอาชีพนี้ และไม่เคยคิดจะเกาะคนมีเงินเพื่อไต่เต้า เป้าหมายของเขาก็แค่หาเงินเลี้ยงตัวเองเท่านั้น ได้มีชีวิตอยู่ มีข้าวกิน มีเงินเล็กๆ น้อยๆ ไปซื้อของกินเล่นและสุราเลิศรสแก้กระหายก็พอแล้ว ที่ผ่านมาชีวิตเช่นนี้ถือว่าดีมาก และเขาก็พึงพอใจมากเช่นกัน
เถ้าแก่น้อยมักพร่ำบ่นในความเอ้อระเหยลอยชายของเขาอยู่ประจำ บอกว่าเกิดเป็นคนต้องแสวงหาความก้าวหน้า แต่เมื่อเห็นตัวอย่างจากน้องชายแล้ว ยังจะให้เขาแสวงหาความก้าวหน้าไปถึงไหนกันอีกเล่า?
ครั้นอิ๋นฮวนนึกถึงน้องชายก็พานคิดไปถึงบุรุษที่ใช้ชีวิตร่วมกับเขาช่วงนี้ตลอดเวลาผู้นั้นอย่างไม่รู้ตัว
พูดกันตามจริงแล้ว จวินโม่ฉิงก็ไม่ใช่คนชั่วช้าสามานย์ที่มิอาจให้อภัยได้ ก็แค่คนหัวทึบกอปรกับเย็นชาไปสักหน่อย เขาหล่อเหลาร่ำรวย เก่งกาจมีความสามารถ ทุกเรื่องล้วนจัดการได้อย่างสมบูรณ์แบบ ไม่แปลกที่ชิวเหิงจะหลงใหลเขาจนไม่ยอมรามือ
อิ๋นฮวนแทบจะจินตนาการได้ว่า เมื่อปีนั้นพอชิวเหิงมีลูกแล้ว จวินโม่ฉิงเอาใจใส่ดูแลเขาอย่างห่วงหาอาทรเพียงไร ทว่าสิ่งที่บุรุษคนนั้นรักมีเพียงลูกของตนเอง แต่ชิวเหิงกลับโง่เขลาเหมารวมตัวเองเข้าไปด้วย ดังนั้นต่อมาเด็กหัวแข็งคนนี้ถึงได้มีจุดจบเช่นนั้น
เขาไม่อยากเป็นเหมือนชิวเหิง ดังนั้นเนิ่นนานก่อนหน้านี้ในตอนที่ยังไม่ได้พบกับจวินโม่ฉิง เขาก็ไม่มีความคาดหวังใดๆ ต่อใครอีกแล้ว
มีเงิน นั่นก็ไม่ใช่ของเขา มีรัก นั่นก็มิใช่ของเขาเช่นกัน ในสายตาของคนอื่น สถานะของเขามีได้เพียงสองอย่างเท่านั้น...เครื่องมือระบายความใคร่และตัวแทน
นี่ก็ไม่ใช่เรื่องแย่ อย่างน้อยก็ไม่ต้องกังวลว่าจะถูกหักหลังหรือว่า...ทอดทิ้ง
พอเรื่องที่คิดมีมากขึ้นอิ๋นฮวนก็ค่อยๆ รู้สึกเหนื่อยล้า เขาหาวหวอดหนึ่งที คิดว่ายังมีเวลาอยู่นิดหน่อยจึงฟุบปิดตาหลับริมหน้าต่างไปเสียดื้อๆ
ระหว่างที่สะลึมสะลือไม่ได้สติก็ดูเหมือนจะมีเสียงเปิดประตูดังขึ้น ทว่าอิ๋นฮวนลืมตาไม่ขึ้น ต่อมาก็มีความเคลื่อนไหวอยู่พักหนึ่ง ราวกับมีคนเข้ามาใกล้ๆ แล้วพูดบางอย่างที่ข้างหูเขา อิ๋นฮวนสัมผัสได้ถึงไอร้อนสายหนึ่ง แต่ได้ยินไม่ชัดว่าเขาพูดอะไรบ้าง
ต่อมาร่างกายก็โซเซโงนเงน คนผู้นั้นดูเหมือนจะชอบยุ่งเรื่องชาวบ้านยิ่ง แม้กระทั่งเขานอนตรงไหนยังเข้ามาเจ้ากี้เจ้าการ ไม่นานนักอิ๋นฮวนก็สัมผัสได้ว่าตนเองนอนลงบนตั่งเตียงอ่อนนุ่ม อีกทั้งหน้าต่างซึ่งเดิมทีเปิดอยู่ก็ถูกปิดลงเช่นเดียวกัน
อิ๋นฮวนมิอาจขยับเขยื้อน ทว่าความคิดความรู้สึกกลับยังคงแจ่มชัดอยู่ ในขณะที่คนผู้นั้นลุกขึ้นจะจากไป เขาพยายามออกแรงลืมตาขึ้นเล็กน้อย แม้จะมองเห็นผู้มาเยือนได้ไม่ชัด แต่ยังสามารถเห็นสีแดงแสบตานั้นค่อยๆ ก้าวเดินออกไปจากห้องได้อย่างรำไร
ที่แท้ก็เขานี่เอง...
อิ๋นฮวนรู้สึกเหมือนริมฝีปากของตนคล้ายกับยกขึ้นเล็กน้อย แม้ว่าตัวเขาเองจะไม่รู้เหมือนกันว่ามีอันใดให้ดีอกดีใจ
สายฝนที่ด้านนอกยังคงโปรยปราย ท่ามกลางเสียงฝนซู่ซ่าก็ยังได้ยินเสียงฝีเท้าอันรีบร้อนเจือแทรกอยู่เช่นกัน สติสัมปชัญญะของอิ๋นฮวนค่อยๆ แจ่มชัดขึ้น แต่น่าแปลกที่เขากลับลืมตาไม่ได้ หยัดกายไม่ขึ้น มิอาจกระดิกกระเดี้ยได้เหมือนกับถูกผีอำอย่างที่ผู้คนเล่าลือกัน
ด้วยความจนใจอิ๋นฮวนทำได้เพียงภาวนาอย่างเงียบๆ ให้จวินโม่ฉิงกราบไหว้ฟ้าดินเสร็จสิ้นไวๆ จะได้สั่งให้คนมาแบกเขาออกไป แต่รอแล้วรอเล่า ไม่รู้ว่าเป็นเพราะเวลาผ่านไปอย่างเชื่องช้าหรือเขาใจร้อนเกินไป แต่ดูเหมือนผ่านไปเนิ่นนานก็ยังไม่มีคนเข้ามาปลุกให้เขาตื่นเสียที
ในเมื่อไม่มีคนมา อิ๋นฮวนก็ทำได้แค่รอต่อไปเรื่อยๆ ด้วยความเบื่อหน่าย เสียงสายฝนดังสะท้อน ไม่รู้เพราะเหตุใดวันนั้นของเมื่อหลายปีก่อนจึงราวกับค่อยๆ ปรากฏขึ้นตรงหน้าอีกครั้ง
สีแดง...
ไม่ใช่ชุดแต่งงาน แต่เป็นเสื้อผ้าที่อาบย้อมสีโลหิตแดงฉาน...
เสียงหยดแหมะๆ...
มิใช่น้ำฝน แต่ว่าเป็นหยาดน้ำตาที่ไหลรินไม่สิ้นสุด...
เดิมทีอิ๋นฮวนคิดว่าตนเองจำไม่ค่อยได้ แต่ตอนนี้กลับดูเหมือนจะไม่ใช่อย่างนั้น
ในความทรงจำยังคงสะท้อนภาพเหตุการณ์วันนั้นให้เห็นอย่างชัดเจน หลังจากเด็กหนุ่มผู้อ่อนแอบอบบางประสบกับชะตากรรมที่โหดร้ายเกินกว่ามนุษย์คนหนึ่งจะรับไหว นอนเปลือยเปล่าอยู่บนพื้น ร่างกายสั่นเทิ้มเล็กน้อยมิอาจขยับเขยื้อนได้
ข้างนอกห้องมีเสียงคนดังแว่วเข้ามาอีกครั้ง แต่ว่าเขาได้ยินเนื้อหาไม่ชัด ต่อมาทันใดนั้นก็มีชายฉกรรจ์หลายคนบุกเข้ามา แม่เล้าเดินตามอยู่ข้างหลัง พวกเขาแบกเด็กหนุ่มขึ้นมาอย่างไม่พูดพร่ำทำเพลง แม่เล้ามายืนอยู่ตรงหน้าเด็กหนุ่ม ตามมาด้วยเสียงดังเอะอะโวยวาย หลังจากแม่เล้าพูดอันใดก็มิอาจรู้ได้ เด็กหนุ่มก็ค่อยๆ เงยหน้าขึ้นมาเล็กน้อย...
ในชั่วพริบตานั้นอิ๋นฮวนก็ได้เห็นว่า เด็กหนุ่มกำลังยิ้ม!
ทว่ารอยยิ้มของเขาดูเหมือนจะยั่วโทสะแม่เล้าขึ้นมาในทันใด หลังจากแม่เล้าส่ายศีรษะก็หมุนกายเดินจากไป ส่วนชายฉกรรจ์กลุ่มนั้นกรูล้อมเข้ามาทันที คนหนึ่งในนั้นเงื้อดาบในมือขึ้น หลังจากนั้น...
“.....”
อิ๋นฮวนลืมตาขึ้นมาในบัดดล ลุกขึ้นจากเตียงทันใด ในดวงตาเต็มไปด้วยเส้นเลือดฝอย มุมปากประดับรอยยิ้มแปลกประหลาด...
“ของๆ ข้า...ข้าจะทวงคืนมา!”

***

ยิ่งเสียงตีฆ้องตีกลองใกล้เข้ามา ที่หน้าประตูคฤหาสน์สกุลจวินก็เริ่มมีชาวบ้านที่มารอชมความคึกคักสนุกสนานเข้ามาห้อมล้อมมุงดูไม่น้อย แม้จะยังคงมีฝนตกพรำๆ ทว่าการจัดพิธีแต่งงานที่นานทีจะได้เห็นนี้ยังคงดึงดูดผู้คนได้มากมาย เกี้ยวเจ้าสาวเคลื่อนตัวเข้ามาจากนอกเมือง ตีฆ้องร้องป่าวมาตลอดทาง ช่างครื้นเครงรื่นเริงเป็นหนักหนา
ฮวาหลี อิงลั่ว จื่อถาน ปี้เหยา สาวใช้ทั้งสี่คนยืนแจกซองอั่งเปางานแต่งอยู่ที่นอกประตู ขอแค่เป็นคนที่มาร่วมชมพิธีต่างก็ได้รับอั่งเปาคนละหนึ่งซองเป็นการร่วมแบ่งปันความเป็นสิริมงคลแบ่งปันความสนุกสนานร่วมกัน เมื่อเกี้ยวเจ้าสาวมาถึงหน้าประตูคฤหาสน์สกุลจวิน สาวใช้ทั้งสี่ก็ถอยกลับเข้าไปในจวน ผู้คนก็หลีกทางให้เกี้ยวเจ้าสาวผ่านไปเช่นเดียวกัน
เกี้ยวเจ้าสาวหยุดลงหน้าประตูคฤหาสน์สกุลจวิน ครู่หนึ่งข้ารับใช้ทุกคนในคฤหาสน์สกุลจวินต่างมารวมตัวกันอยู่ที่ลานหน้าประตู จวินโม่ฉิงเองก็ค่อยๆ เดินเข้าไปหาเกี้ยวเจ้าสาวอย่างเชื่องช้า ต้อนรับฮูหยินคนใหม่แห่งคฤหาสน์สกุลจวินผู้นี้
บิดามารดาของเจ้าสาวมิได้มาด้วย เหมือนว่าวันนี้ก็เป็นวันรับสะใภ้คนใหม่ของสกุลสื่อเช่นกัน พวกเขามิอาจปลีกตัวมาได้จึงจำต้องปล่อยให้บุตรสาวกล้ำกลืนฝืนทนไปก่อน
ทว่าเรื่องพวกนี้หามีผู้ใดใส่ใจไม่...เตะเกี้ยว รับเจ้าสาว ข้ามเตาไฟ ทุกอย่างล้วนยังคงดำเนินไปตามระเบียบพิธีการ
จวินโม่ฉิงยืนอยู่ในห้องโถงทำพิธี มือทั้งสองข้างประคองกล่องผ้าดิ้นใบหนึ่งเอาไว้ จ้องมองเจ้าสาวเดินมาทางตนเองด้วยจิตใจไม่อยู่กับเนื้อกับตัว
สกุลจวินมีกฎระเบียบที่มิได้เขียนเป็นลายลักษณ์อักษรอยู่ข้อหนึ่ง นั่นก็คือในวันที่สะใภ้คนใหม่ของเจ้าบ้านแต่งเข้าคฤหาสน์สกุลจวิน ก่อนจะกราบไหว้ฟ้าดินเจ้าบ้านสกุลจวินจะต้องมอบสมบัติประจำตระกูล ‘เหยาเฟิ่ง’ ให้กับเจ้าสาวด้วยตนเอง เพื่อเป็นการแสดงออกว่าในอนาคตจะมีลูกหลานสืบสกุลไม่ขาดสาย เจริญรุ่งเรืองเฟื่องฟู
จวินโม่ฉิงมิได้สนใจเรื่องพวกนี้ แต่กลับรู้สึกอึดอัดไม่ค่อยสบายใจอยู่นิดๆ
สตรีที่เขาแต่งเข้าบ้านในวันนี้แข็งแรงไร้โรคภัย พูดอีกนัยก็คือคืนนี้เขาจะต้องเข้าหอกับนาง พอคิดถึงตรงนี้จวินโม่ฉิงก็รู้สึกอึดอัดขึ้นมาอย่างห้ามไม่อยู่ ในขณะเดียวกันก็อดคิดถึงราตรีอันบ้าคลั่งก่อนหน้านี้ไม่นานขึ้นมามิได้...
“นายน้อย นายน้อย ใกล้ถึงฤกษ์งามยามดีแล้วขอรับ กล่องผ้าดิ้นนี้...”
“...!”
ครั้นถูกหมิงชิงเอ่ยเตือน จวินโม่ฉิงถึงค่อยได้สติกลับมา
ในยามนี้เจ้าสาวมายืนอยู่ตรงหน้าเขาแล้ว ผู้ดำเนินพิธีก็กำลังรอให้จวินโม่ฉิงส่งมอบของที่อยู่ในมือเช่นกัน
จวินโม่ฉิงมองดูกล่องผ้าดิ้นในมือพร้อมกับผงะอึ้งไปพักหนึ่ง จากนั้นสูดหายใจเข้าลึกๆ สุดท้ายก็ยื่นกล่องผ้าดิ้นออกไปอย่างช้าๆ
“ว้าย!”
ในชั่วขณะที่เจ้าสาวจะแตะโดนกล่องผ้าดิ้นนั้น จู่ๆ ก็มีเสียงดังเจี๊ยวจ๊าวลอยแว่วมาจากนอกโถงทำพิธี จวินโม่ฉิงหยุดการเคลื่อนไหว ทุกคนในห้องโถงต่างหันมองออกไปข้างนอกอย่างห้ามไม่อยู่
“คุณชาย? เขามาทำอะไรที่นี่?” หมิงชิงพูดพึมพำกับตนเอง
สาวใช้ทั้งสี่ซึ่งยืนอยู่อีกด้านก็แอบร่ำร้องในใจว่าแย่แล้วเช่นกัน
เสื้อผ้าเรียบๆ ที่อิ๋นฮวนสวมใส่ในวันนี้มีสีสันหม่นหมอง ไม่เข้ากับพิธีแต่งงานเลยสักนิด เขาค่อยๆ เดินจากหน้าประตูจนใกล้เข้ามาเรื่อยๆ อย่างโซซัดโซเซ ไม่หวั่นเกรงคำติฉินนินทาของผู้คนโดยรอบ เดินตรงเข้าไปหาจวินโม่ฉิง
ท่าทางเช่นนี้ใครเห็นก็รู้ว่าไม่มีเรื่องดีแน่!
“ท่านอา?” เชียนเฉิงร่วมชมพิธีอยู่อีกด้าน อดมิได้ที่จะส่งเสียงเรียกเช่นเดียวกัน
แต่ว่าอิ๋นฮวนดูเหมือนจะไม่ได้ยินเสียงของเขา ยังคงเดินตรงไปข้างหน้า ฝีเท้าของเขาไม่มั่นคง ประเดี๋ยวซวนเซประเดี๋ยวโงนเงน ดูแล้วช่างแปลกประหลาดยิ่งนัก
จวินโม่ฉิงมิได้เอ่ยอันใด เขาเลิกคิ้วเล็กน้อยพลางมองดูอิ๋นฮวน ทว่ามิได้ห้ามปราม
ยิ่งอิ๋นฮวนเข้ามาใกล้มากขึ้น หมิงชิงกับจวินโม่ฉิงต่างก็ได้ยินสุ้มเสียงผะแผ่วของเขา “นายน้อย...ข้า...ไม่ได้...”
“นายน้อย นี่มัน?” หมิงชิงกำลังจะส่งเสียงขัดจังหวะ แต่กลับถูกจวินโม่ฉิงห้ามเอาไว้
“เงียบ!”
ทุกคนที่อยู่ในเหตุการณ์ต่างตะลึงอึ้งงันไป เสียงจุดประทัดเสียงตีฆ้องก็ค่อยๆ หยุดลง ทุกคนต่างมองดูภาพเหตุการณ์ที่เหมือนกับละครฉากนี้ ไม่มีใครรู้ว่าควรจะทำเช่นไรดี
ในระหว่างที่ลนลานทำอันใดไม่ถูกกันอยู่นั้นอิ๋นฮวนก็เดินมาถึงตรงหน้าจวินโม่ฉิง เขาค่อยๆ เงยหน้าขึ้นมา หางตาเอ่อคลอด้วยหยาดน้ำตาทว่านัยน์ตากลับอัดแน่นไปด้วยความอับจนปัญญา
“นายน้อย...จวิน...” พูดจบเขาก็ยื่นมือออกไปอย่างแช่มช้า
ครั้นจวินโม่ฉิงเหลือบตามองก็สังเกตเห็นความผิดปกติ แต่ว่าเขามิได้ส่งเสียงออกมา ปล่อยให้อาวุธคมกริบในมือของอิ๋นฮวนจ่อลงบนแผ่นอกของตนเองอย่างช้าๆ
“ข้ารู้ว่า...ไม่คู่ควร...แต่ก็...ห้ามไม่ได้...ข้าขอโทษ...”
มือของอิ๋นฮวนสั่นสะท้านนิดๆ กริชสั้นในมือกลับหยุดนิ่งมิได้ปักเข้าในแผ่นอกของจวินโม่ฉิง ระยะห่างของทั้งสองแทบจะแนบชิดติดกันจึงไม่มีผู้ใดเห็นชัดเจนว่าพวกเขาทำอันใดอยู่กันแน่
เมื่อเห็นใบหน้าที่คุ้นเคยตรงหน้า จวินโม่ฉิงก็รู้สึกเหมือนกับอิ๋นฮวนกำลังต่อสู้กับบางอย่างอยู่ และเพราะเหตุนี้นี่เองการเคลื่อนไหวของเขาถึงได้เชื่องช้าขนาดนี้
“ไม่เกลียดข้าหรือ?” จวินโม่ฉิงเอ่ยถามด้วยใบหน้าไม่เปลี่ยนสี
พออิ๋นฮวนถูกถาม ทั่วทั้งสรรพางค์กายก็ชะงักนิ่งไปโดยพลัน มือทั้งสองข้างไม่สั่นเทาอีกต่อไป ขอบตายังคงเปียกชื้น แต่ความรู้สึกที่อยากจะสื่อออกไปกลับแรงกล้าและชัดเจน “เกลียด!”
“แต่ว่า...” มุมปากยกขึ้นช้าๆ รอยยิ้มขื่นขมเปี่ยมล้นด้วยความทุกข์ระทมพาให้จวินโม่ฉิงหัวใจสั่นไหว “ข้าก็...ยังชอบท่านอยู่ดี”
ใช่แล้ว ถ้าไม่มีรัก ความเกลียดชังจะมาจากหนใดได้...
“ชิวเหิง” จวินโม่ฉิงเรียกชื่อนี้อีกครั้ง เอ่ยถามอย่างระมัดระวังว่า “...มันคุ้มแล้วหรือ?”
นี่เป็นคำพูดที่จวินโม่ฉิงอยากถามมากที่สุด...มันคุ้มแล้วหรือ? เพื่อบุรุษที่ไม่รักเขาคนหนึ่ง เพื่อบุรุษที่แทบจะเรียกได้ว่าเป็นคนแปลกหน้าคนหนึ่ง...
“ข้า...” อิ๋นฮวนพูดได้เพียงครึ่งเดียวลมหายใจก็หยุดชะงัก มือทั้งสองข้างพลันออกแรง ส่วนที่แหลมคมของกริชสั้นจมเข้าไปในแผ่นอกของจวินโม่ฉิงในทันใด
“อึก!”
จวินโม่ฉิงรู้สึกถึงความเจ็บปวดระลอกหนึ่งจึงส่งเสียงร้องด้วยความเจ็บออกมาอย่างห้ามไม่อยู่
ส่วนอิ๋นฮวนนั้นมือกำกริชสั้นเอาไว้ ส่ายศีรษะอย่างสุดชีวิต หยาดน้ำตาไหลรินลงมาอย่างกลั้นไม่อยู่อีกต่อไป
“ขะ ขอ...โทษ...ขอโทษ...ข้าไม่อยาก...ไม่อยาก...”
“อึก...” จวินโม่ฉิงมิได้ส่งเสียงดังไปมากกว่านี้ ทว่ากล่องผ้าดิ้นในมือกลับถือเอาไว้ไม่อยู่
“นายน้อย ระวังขอรับ!” หมิงชิงที่ยังไม่รู้ความจริงเห็นว่ากล่องผ้าดิ้นกำลังจะร่วงหล่นลงพื้นจึงส่งเสียงตะโกนออกมาทันที
แต่ใครเล่าจะคิดว่าเวลานี้ภาพเหตุการณ์พิลึกพิลั่นกลับปรากฏขึ้น เจ้าสาวซึ่งเดิมทียืนอยู่อีกด้านยามนี้กลับพลันเลิกผ้าปิดหน้าออก วิ่งเข้าไปรับกล่องผ้าดิ้นเอาไว้ด้วยมือทั้งสองข้างแล้วเปิดกล่องผ้าดิ้นออกสุดแรง หยิบ ‘เหยาเฟิ่ง’ ที่อยู่ข้างในออกมา จากนั้นยกชายกระโปรงวิ่งปรี่ออกไปข้างนอก
แม่สื่อยืนอยู่อีกด้านหนึ่ง แทบจะไม่อยากเชื่อสายตาตนเอง จนกระทั่งเจ้าสาวหายลับไปนอกประตูคฤหาสน์สกุลจวินนางถึงค่อยได้สติกลับคืนมา ตะเบ็งเสียงร้องลั่นว่า “ใครก็ได้ ใครก็ได้มานี่ที แย่แล้ว...เจ้าสาว เจ้าสาวหนีไปแล้ว รีบตามไป รีบตามไปเร็วๆ เข้า!”
ในยามนี้เองทุกคนถึงค่อยๆ ตื่นขึ้นจากภวังค์ คนที่ไล่ตามก็ไล่ไป คนที่อยู่จัดการสะสางก็อยู่ต่อ สถานการณ์อลหม่านยุ่งเหยิงขึ้นมาในบัดดล
“นายน้อย นายน้อย เรื่องนี้...”
หมิงชิงกำลังจะเดินเข้าไปพยุง แต่จวินโม่ฉิงกลับผลักเขาออกแล้วรวบตัวอิ๋นฮวนมาอยู่ตรงแผ่นอกเพื่อบดบังบาดแผลแทน
“อย่าแตกตื่น หมิงชิง ไล่แขกกลับไปให้หมด...” น้ำเสียงของจวินโม่ฉิงเริ่มไม่มั่นคง แต่ยังมอบหมายภารกิจต่อไปอย่างชัดแจ้ง “ฮวาหลี อิงลั่ว พาข้ากับอิ๋นฮวนกลับห้อง จื่อถาน ปี้เหยา ดูแลนายน้อยเล็ก สุดท้ายปิดประตูหน้าต่างให้สนิทอย่าให้ใครเห็น นอกจากถึงคราวจำเป็น มิฉะนั้นห้ามปล่อยใครเข้ามาในคฤหาสน์เด็ดขาด”
“ขอรับ/เจ้าค่ะ!”
คำพูดของจวินโม่ฉิงถือเป็นเด็ดขาด พอเหล่าข้ารับใช้ได้รับคำสั่งก็มิกล้าขัดขืน ถึงขนาดสาวใช้สองคนสังเกตเห็นบาดแผลแล้วก็ไม่กล้าป่าวร้องโพนทะนา
เมื่อเห็นสถานการณ์เช่นนี้พวกนางก็พอจะคาดเดาได้คร่าวๆ การกระทำของผู้เป็นนายไม่มีตรงไหนที่มิได้ช่วยอิ๋นฮวนปกปิดความผิด เหตุผลที่ซุกซ่อนอยู่เบื้องหลังการกระทำยิ่งชวนให้คนขบคิดมากกว่าเดิม



+++++++++++++++++++++++++++++++++++++++
การแต่งงานครั้งใหม่ของจวินโม่ฉิงกำลังจะมาถึง แต่ไม่คาดคิดว่าในคฤหาสน์กลับเล่าลือกันว่ามีผีออกอาละวาด ทว่าวิญญาณเร่ร่อนสวมชุดแดงที่พวกข้ารับใช้พูดลือกันนั้น แท้จริงหาใช่วิญญาณไม่ แต่คืออิ๋นฮวนตัวเป็นๆ อิ๋นฮวนนึกไม่ถึงว่าน้องชายที่ตายไปแล้วจะมาสิงร่างเขาแล้วออกอาละวาด
หากจุดประสงค์ของน้องชายคือทำลายการแต่งงาน เช่นนั้นตนต้องรีบไปจากที่นี่เพื่อป้องกันการเกิดเรื่องซ้ำอีกครั้ง แต่ที่แปลกคือจวินโม่ฉิงกลับดึงดันรั้งให้เขาอยู่ต่อ ยิ่งไปกว่านั้นยังทำตัวติดกับเขาแทบทุกที่ทุกเวลา ทว่าในวันพิธีแต่งงานที่อิ๋นฮวนเตรียมตัวจะเดินทางจากไปนั้น เขากลับกลายเป็นน้องชายอย่างไม่รู้เนื้อรู้ตัว...น้ำตาไหลอาบแก้ม แทงกริชปักอกจวินโม่ฉิงในโถงพิธีแต่งงาน...


รูปภาพ

ตอบกลับโพส

ย้อนกลับไปยัง “Bongkoch Books News & Activities”