New Release BLY แปล : ปราบทมิฬ 1

อัพเดทข่าวบงกชบุ๊คส์ ความเคลื่อนไหว และกิจกรรมพิเศษ ตลอดจนร่วมสนุกชิงรางวัลพร้อมของรางวัลมากมาย

Moderator: P'Bly, Gals, พี่บี

ตอบกลับโพส
Gals
โพสต์: 1068
ลงทะเบียนเมื่อ: ศุกร์ 13 ก.พ. 2009 3:47 pm

New Release BLY แปล : ปราบทมิฬ 1

โพสต์ โดย Gals »

บทนำ

แค้วฉีอี้ เมืองชิงโจว
คิมหันตฤดูปีนี้น้ำฝนมากล้น เดิมทีเป็นเรื่องมงคลที่ชวนให้ครอบครัวเกษตรกรปีติยินดี ทว่าล่วงผ่านไปครึ่งฤดู สายพิรุณโหมกระหน่ำกลับไม่มีทีท่าจะหยุดลง ผู้คนเริ่มพากันกลัดกลุ้ม ครั้นถึงปลายฤดู...สิ่งที่วิตกกังวลก็กลับกลายเป็นความจริง...เนื่องจากฝนตกเกินความจำเป็น น้ำริมตลิ่งเอ่อล้น คลื่นถาโถมสาดซัด เขื่อนพังทลายเพราะมิอาจแบกรับปริมาณน้ำฝนได้
ในช่วงเวลาสั้นๆ เมืองชิงโจวซึ่งแต่เดิมมั่งคั่งอุดมสมบูรณ์กลายเป็นนรกแห่งอุทกภัย ผู้ประสบเคราะห์ภัยมีมากมายทุกแห่งหน ต่างพากันหนีเอาชีวิตรอดกระจัดกระจายไปตามที่ต่างๆ
เรื่องนี้ถูกนำความรายงานแก่ราชสำนัก ราชสำนักมีคำสั่งให้จัดสรรเงินทองช่วยเหลือผู้ประสบภัยพิบัติทันที จากนั้นก็ส่งผู้ตรวจราชการไปตรวจสอบการให้ความช่วยเหลือสงเคราะห์ผู้ประสบภัยด้วยตนเอง เมื่อถึงต้นสารทฤดู สายพิรุณก็ค่อยๆ หยุดลง ภัยพิบัตินี้ถึงคลี่คลายลงในที่สุด

ในราตรีนี้เงาร่างสายหนึ่งหลีกเลี่ยงสายตาของทุกคนในเมืองชิงโจว เดินโซซัดโซเซมาถึงบนสะพานขาดริมแม่น้ำ
ทหารผู้น้อยซึ่งมีหน้าที่เฝ้าตรวจตราผู้หนึ่งเดินผ่านมา เห็นเงาร่างคนรางๆ อยู่ริมแม่น้ำ ยากจะแยกได้ในทันทีทันใดว่าเป็นคนหรือเป็นวิญญาณ จึงละล้าละลังไม่กล้าเดินเข้าไป
“นี่ คนตรงนั้น ริมแม่น้ำอันตรายนะ รีบกลับไปเร็วเข้า!”
ทหารผู้น้อยตะโกนเสียงดังไปยังทิศทางนั้น คนผู้นั้นคล้ายกับไม่ได้ยิน ผมเผ้าปล่อยสยายก้าวเดินด้วยฝีเท้าเชื่องช้าราวกับล่องลอยเหมือนกับภูตผีวิญญาณในตำนานเล่าขานยิ่งนัก ดื้อดึงจะเดินตรงต่อไป
“นี่ เจ้าไม่ได้ยินหรือไร?” ทหารผู้น้อยคิดว่าเขาได้ยินไม่ชัด ดังนั้นจึงตะโกนด้วยสุ้มเสียงดังก้องกว่าเดิม
ทว่าคนผู้นั้นยังคงไม่มีปฏิกิริยา
“ยังไม่หยุดอีก? คงจะไม่ใช่ภูตผีปีศาจอันใดกระมัง?”
ทหารผู้น้อยพูดพึมพำกับตัวเอง ครั้นแล้วก็เห็นว่าเงาร่างนั้นยิ่งเดินยิ่งอันตรายขึ้นเรื่อยๆ
ข้างหน้าสะพานขาดยังไม่ได้รับการซ่อมแซม หากยังเดินเช่นนี้ต่อไปจะต้องร่วงลงสู่แม่น้ำ สิ้นชีวิตอย่างไม่เห็นศพเป็นแน่ ถ้าเป็นคนปกติคงจะไม่เอาตัวเองไปเสี่ยงอันตรายแน่นอน แต่ว่าคนผู้นั้นกลับ...
“นี่ๆ เจ้าจะทำอันใด?”
เมื่อทหารผู้น้อยตระหนักได้ถึงเจตนาของเขาก็สายเกินไปเสียแล้ว แม้ทหารผู้น้อยจะเร่งฝีเท้าวิ่งเข้าไปอย่างสุดความสามารถ แต่เพราะว่าทางเดินนี้เฉอะแฉะเต็มไปด้วยโคลนเลนเดินยากยิ่ง ไม่ว่าเขาจะเร่งรีบเช่นไรก็มิอาจพลิกสถานการณ์กลับมาได้
คนผู้นั้นหยุดนิ่งลงชั่วขณะในก้าวสุดท้ายและมิได้สนใจเสียงแหกปากร้องของทหารผู้น้อยที่อยู่ด้านหลัง โลกของเขาราวกับหยุดนิ่งลงในชั่วเวลานี้!
เขามีสีหน้าเช่นไร มีรูปโฉมเช่นไร ทหารผู้น้อยล้วนมองไม่เห็นทั้งสิ้น เขาได้ยินแค่เสียงดังตูม หลังจากนั้นก็เห็นเงาร่างนั้นร่วงหล่นลงไปราวกับใบไม้ในช่วงสารทฤดู ในชั่วพริบตาที่สัมผัสกับผิวน้ำก็ถูกแม่น้ำที่กำลังไหลหลากใต้แสงจันทร์กลืนกินไป
“ใครก็ได้ ใครก็ได้มาช่วยที แย่แล้ว มีคน มีคนกระโดดน้ำตายแล้ว!”


บทที่หนึ่ง

“เฮ้อ น่าเบื่อจัง!”
หอฉินยวนในยามกลางวันช่างเปล่าเปลี่ยวเงียบเหงาแตกต่างจากความสนุกสนานครื้นเครงในยามราตรีโดยสิ้นเชิง ภายในห้องโถงใหญ่ซึ่งมีแสงอาทิตย์สาดส่องเข้ามาจนสว่างโร่ อิ๋นฮวนใช้น้ำชาต่างสุราเทลิ้มรสอยู่เพียงลำพัง บางครั้งบางคราก็ฟุบคว่ำลงกับโต๊ะพร้อมบ่นกระปอดกระแปดสองสามคำ ถึงแม้จะอยู่คนเดียวแต่ก็สุขสงบยิ่ง
ทว่าทั้งหมดทั้งมวลนี้เป็นเพียงหน้าฉากเท่านั้น ความสับสนว้าวุ่นในหัวใจเขาไม่มีผู้ใดในหอนายบำเรอแห่งนี้สังเกตเห็นแม้แต่คนเดียว
เหล่านายบำเรอของหอฉินยวนล้วนว่าง่ายรู้ประสาจนเป็นที่เลื่องชื่อ ขอแค่มิได้กระทำการเลยเถิดจนถึงขีดสุด พวกเขาก็จะทำตามแต่โดยดี อีกทั้งยังงัดกลเม็ดต่างๆ นานาออกมาเอาอกเอาใจลูกค้า ให้ลูกค้าได้รับความอิ่มเอมใจมากที่สุด นี่ก็เป็นหนึ่งในเหตุผลที่หอฉินยวนมีลูกค้าหลั่งไหลเข้ามาไม่ขาดสาย
หลายปีที่ผ่านมานี้ ภายใต้ความ ‘พยายาม’ ของเถ้าแก่น้อยเย่าหลิง ‘สินค้าขายไม่ออก’ หลายคนในหอบ้างก็ออกเรือนไป บ้างก็ไปจากที่นี่ บัดนี้ในบรรดากลุ่มคนที่สนิทคุ้นเคยกัน นอกจากเถ้าแก่น้อยแล้วก็เหลือแค่เขาคนเดียว
อีกชั่วพริบตาเดียว เมื่อปีนี้พ้นผ่านไปอิ๋นฮวนก็จะมีอายุครบยี่สิบเจ็ดปีแล้ว แม้สำหรับบุรุษเพศอายุเท่านี้จะถือว่ายังน้อยมากอยู่ แต่สำหรับนายบำเรอคนหนึ่งถือว่าไม่มีความเยาว์วัยคงเหลืออีกต่อไปแล้ว
เมื่อก่อนตอนที่อายุยังน้อยกว่านี้อิ๋นฮวนมีรูปโฉมงดงามยิ่ง เครื่องหน้างามละเอียดได้สัดส่วน ผิวพรรณนุ่มนิ่มนวลเนียน เรือนกายผอมเพรียวแบบบาง แค่รูปลักษณ์ภายนอกเช่นนี้จะต้องเป็นดาวเด่นอันดับต้นๆ ของหอนายบำเรอเป็นแน่ นี่เป็นอาวุธเดียวที่เขาใช้ดึงดูดลูกค้า แต่เมื่ออายุค่อยๆ เพิ่มมากขึ้น รูปร่างและอัตลักษณ์ของบุรุษเพศก็ค่อยๆ ปรากฏชัดเจนขึ้น จุดเด่นดึงดูดคนนั้นแทบจะมลายหายสิ้นไป
เมื่อก่อนสะสวยงดงาม แต่ตอนนี้รูปโฉมและเสน่ห์ดึงดูดกลับลดหายไปหลายส่วน ถึงแม้เรือนร่างจะยังคงนุ่มละมุนดุจกาลก่อน แต่กลับไม่มีลูกค้าคลั่งไคล้หลงใหลอีกต่อไป เขาในตอนนี้ที่อยู่ในวงการนี้ได้ก็เพราะมีประสบการณ์และความเจนโลกมากกว่าคนอื่นๆ ส่วนสิ่งอื่นนั้นไม่มีอันใดเลยสักอย่าง
“เฮ้อ...” อิ๋นฮวนถอนหายใจอย่างหนักหน่วง วางศีรษะลงบนโต๊ะก่อนจะหลับตาลงอย่างเหนื่อยอ่อน “ทุกคนโชคดีกันจริงๆ ไฉนถึงไม่เห็นมีคนที่มีใจรักมีคุณธรรมมาเลี้ยงดูข้าบ้างเล่า?”
“ข้าก็นึกว่าใคร เป็นเจ้าจริงๆ เสียด้วย” ยามนี้มีเสียงดังลอยมาจากชั้นบน
อิ๋นฮวนเงยหน้าขึ้นมองดู เห็นเถ้าแก่น้อยเดินออกมาจากห้องของตัวเองจึงไม่หันไปสนใจอีก ศีรษะกระแทกลงกับผิวโต๊ะแรงๆ อีกครา
“นี่ๆ อย่ากระแทกซี้ซั้วสิ กระแทกพังทั้งศีรษะพังทั้งโต๊ะจะไม่คุ้มเอานะ” เย่าหลิงนั่งลงข้างกายเขาพลางกล่าวเตือน
“เช่นนั้นก็โขกให้ข้าตายๆ ไปเสีย” อิ๋นฮวนพูดอย่างห่อเหี่ยว
หลังจากเย่าหลิงได้ยินก็ตบศีรษะเขาเบาๆ “พูดเลอะเทอะอันใดกัน ถ้าโขกจนตายไป แล้วจะไปหาคนที่มีใจรักมีคุณธรรมผู้นั้นของเจ้าจากไหนได้?”
“ฮ่าๆ...” อิ๋นฮวนหัวเราะแห้งๆ สองเสียง “ข้าก็แค่พูดไปเฉยๆ ใครๆ ก็รู้ว่าไม่มีคนที่มีใจรักมีคุณธรรมอย่างนั้นหรอก”
“ใช่ที่ไหนกัน หลายคนที่ถูกส่งออกไปเมื่อก่อนก็พูดเช่นนี้มิใช่หรือ? แต่เจ้าดูสิ ตอนนี้พวกเขาแต่ละคนต่างก็มีชีวิตสุขสันต์กันทั้งนั้น”
“เถ้าแก่ นั่นไม่เหมือนกันเสียหน่อย ผู้อื่นเขามีโชคชะตานำพา” อิ๋นฮวนเอ่ยพลางขยับนิ้วก้อยของตนเองเล็กน้อย “แต่ท่านดูข้าสิ ไม่มีอันใดทั้งสิ้น”
“เจ้าไม่ใช่เฒ่าจันทรา เสียหน่อย รู้ได้อย่างไรว่าไม่มีอันใดเลย?”
“ก็เป็นเรื่องจริงนี่นา” อิ๋นฮวนเน้นย้ำ “ข้ามิได้มีเพื่อนวัยเด็กที่เติบโตมาด้วยกันอย่างเฉิงอิน และก็ไม่มีเด็กวัยละอ่อนที่เกาะติดตามตื้อไม่เลิกราเช่นเซวียนชิง ยิ่งไม่มีเคราะห์ดีที่สั่งสมมาตั้งแต่ชาติปางก่อนอย่างหลีหวา ไม่มีอันใดทั้งสิ้น แล้วด้ายแดงจะมาจากไหนเล่า?”
“ฮ่าๆ...คิดมากขนาดนั้นไปเพื่ออันใดกัน เมื่อถึงเวลาย่อมมีทางเอง ตอนนี้เจ้าก็สุขสบายดีมิใช่หรือ?”
นายบำเรอทั่วๆ ไปพออายุประมาณยี่สิบห้าก็จะเลือกว่าไปจากที่นี่หรือว่าไถ่ตัวออก แต่อิ๋นฮวนกลับบอกว่าผูกพันมิอาจตัดใจออกไปจากหอฉินยวนได้ ดังนั้นจึงไม่ได้เลือกทั้งสองอย่าง เขาเลือกที่จะถอยออกมาอยู่เบื้องหลัง...แม้นยามราตรีจะมิได้ปรนนิบัติลูกค้าแล้วก็ยังอาศัยอยู่คอยช่วยงานในหอฉินยวน
งานที่ช่วยได้มีเยอะแยะมากมาย นอกจากหลับนอนเป็นเพื่อนลูกค้าแล้วเขาก็แทบจะทำทุกอย่าง แต่เนื่องจากระยะนี้มี ‘คนใหม่’ เข้าหอมาเรื่อยๆ ดังนั้นภารกิจหลักของเขาจึงกลายเป็นผู้แนะนำหอฉินยวน แนะนำทุกอย่างในหอแก่ ‘คนใหม่’ เหล่านั้น อีกทั้งย้ำเตือนพวกเขาถึงท่าทีที่ต้องปฏิบัติต่อลูกค้าเป็นต้น
ภารกิจนี้ดียิ่งและเหมาะสมกับเขามากเช่นกัน ทว่าอิ๋นฮวนมิอาจสบายใจได้ เรื่องพรรค์นี้เถ้าแก่ก็ทำเองได้ แต่เขากลับมาทำหน้าที่แทน กินอาหารของเถ้าแก่ อาศัยอยู่ในร้านของเถ้าแก่ ซ้ำแต่ละเดือนยังมีเงินค่าแรงให้ ไม่ว่ามองอย่างไรเขาก็กำลังเอาเปรียบเถ้าแก่อยู่ชัดๆ!
แม้ว่าเถ้าแก่จะไม่ใส่ใจ แต่เขามิอาจไม่สนใจได้ คนเรานั้นใช้ชีวิตคลุกคลีอยู่ในที่ต่างๆ สิ่งที่ปรารถนาก็มีเพียงความสุขสงบไม่มีสิ่งตะขิดตะขวงใจมิใช่หรือ!?
“เถ้าแก่ ข้าติดเงินท่านเท่าไรหรือ?”
“เยอะจนนับไม่ถ้วนเลยล่ะ” เย่าหลิงตอบส่งๆ
“โอ๊ย...เช่นนี้ข้าควรทำอย่างไรดี?”
“ไม่เป็นไร รอให้คนคนนั้นของเจ้ามาจ่ายให้สิ”
“...เขาอาจจะตายไปแล้วก็ได้”
“.....”
“ก็ได้ บางทีอาจจะยังอยู่ครรภ์มารดา”

***

ในวันเดียวกันนี้รถม้ารูปลักษณ์วิจิตรหรูหราคันหนึ่งขับเคลื่อนเข้ามาในอำเภอเล็กๆ แห่งนี้ ระหว่างทางดึงดูดสายตาตื่นเต้นแปลกประหลาดใจได้ไม่น้อย
สารถีผู้บังคับรถม้าทนรับสายตาสำรวจสอดส่องจากรอบด้านไม่ไหวสักเท่าไรจึงกำบังเหียนเร่งความเร็วขึ้นเล็กน้อยอย่างห้ามไม่อยู่ ด้วยเหตุนี้รถม้าซึ่งเดิมทีเคลื่อนอย่างนุ่มนวลมั่นคงจึงเริ่มสะเทือนโคลงเคลงขึ้น ผ่านไปครู่หนึ่งคนที่นั่งอยู่ในรถม้าก็ส่งเสียงออกมาอย่างทนไม่ไหว
“ช้าหน่อย...”
สุ้มเสียงอันทุ้มต่ำเคร่งขรึมช่างหนักแน่นน่าเกรงขาม แค่ถ้อยคำเพียงสองพยางค์ก็ทำให้สารถีตกใจกลัวจนเหงื่อกาฬเย็นๆ ผุดพรายได้แล้ว
“ขะ ขอรับ นายท่าน”
ได้ยินเพียงเสียงทว่าไม่เห็นตัวคน นี่ยิ่งทำให้ผู้คนสนใจใคร่รู้มากขึ้นไปอีก ผู้คนที่มุงดูอยู่โดยรอบมิได้ลดน้อยลงด้วยสาเหตุนี้ พวกเขาเพียงแค่ยืดระยะห่างระหว่างตัวเองกับรถม้าออก แต่สายตายังคงหยุดอยู่ที่รถม้าเช่นเดิม
ไม่นานนักก็เห็นมือน้อยๆ ข้างหนึ่งยื่นออกมาจากหน้าต่างรถม้า เลิกม่านรถออก ดวงตากลมโตซึ่งเต็มไปด้วยความอยากรู้อยากเห็นที่อยู่ด้านหลังผ้าม่านทอดมองดูข้างนอกอยู่พักหนึ่งแล้วก็ลดผ้าม่านลงอย่างรวดเร็ว เวลาเพียงชั่วขณะนี้กลับทำให้ผู้คนเห็นโฉมหน้าของคนที่นั่งอยู่ในรถม้าชัดเจนเต็มสองตา...เป็นเด็กน้อยที่น่ารักยิ่งผู้หนึ่ง!
“ท่านพ่อ ท่านแม่...ข้าหมายถึงคนที่ให้กำเนิดข้าผู้นั้น เขาอยู่ที่นี่จริงๆ หรือขอรับ?” เด็กน้อยเก็บสายตาอยากรู้อยากเห็นกลับมา จากนั้นเอ่ยถามบุรุษที่อยู่ในรถม้าซึ่งตนเรียกว่าบิดาผู้นั้น
“คนที่เมืองชิงโจวบอกว่าเขามาที่นี่ เช่นนั้นคงจะไม่มีผิดแน่” เสียงของชายหนุ่มยังคงทุ้มต่ำยิ่ง แต่เมื่อฟังให้ดีๆ แล้วกลับเจือความแหบพร่าเล็กน้อย มีแรงดึงดูดมากทีเดียว ช่างมีเสน่ห์น่าหลงใหลยิ่งนัก
พอเด็กชายได้ยินก็พยักหน้าเบาๆ แล้วมิได้ส่งเสียงออกมาอีก เขานั่งอยู่ตรงข้ามกับชายหนุ่ม นั่งตัวตรงนิ่งไม่ขยุกขยิกแม้แต่น้อย
หากคนนอกเห็นคงคาดเดาไม่ถูกแน่นอนว่าทั้งสองเป็นพ่อลูกกัน รูปโฉมและสุ้มเสียงของชายหนุ่มให้ความรู้สึกเงียบขรึมขึงขัง ไร้อารมณ์ความรู้สึก แม้รูปโฉมจะหล่อเหลาสง่างาม กิริยาท่วงท่าไม่ธรรมดา แต่ในดวงตามักจะแฝงด้วยแววหวาดระแวงและเจ้าเล่ห์เพทุบาย ชวนให้คนรู้สึกว่าเข้าใกล้ได้ยาก
ทว่าเด็กชายกลับแตกต่างจากบิดาที่เป็นเช่นนี้โดยสิ้นเชิง มิได้มีความองอาจและหล่อเหลาอย่างไม่บันยะบันยังเหมือนเช่นผู้เป็นบิดา เครื่องหน้าออกไปทางนุ่มนวลแต่มิได้ดูเหมือนอิสตรี ควรจะบอกว่าสะสวยงดงามมากกว่า มุมปากมักจะประดับรอยยิ้มรำไรอยู่เนืองๆ อ่อนโยนนุ่มละมุน เส้นผมถูกรวบเอาไว้ด้านหลังอย่างสบายตา เสื้อผ้าสีเรียบๆ ธรรมดาๆ ทำให้ดูแล้วเปี่ยมล้นไปด้วยกลิ่นอายของบัณฑิต ชวนให้รู้สึกสบายใจดั่งหยกงามชั้นเลิศชิ้นหนึ่ง
รถม้าเคลื่อนที่ไปข้างหน้าต่อไปจนกระทั่งหายลับไปจากสายตาผู้คน ครั้นเห็นทิศทางที่รถม้าขับเคลื่อนไปก็มีคนตะลึงงันยืนนิ่งอยู่กับที่อย่างอดมิได้
“เมื่อครู่...ในรถม้ามีเด็กอยู่ด้วยกระมัง?”
“ใช่แล้ว มีอันใดหรือ?”
“ทิศทางที่พวกเขากำลังไป...เป็นถนนสายเริงรมย์นะ!”

***

ยามกลางวันบนถนนสายเริงรมย์ไม่มีสิ่งบันเทิงใจอันใดแม้แต่กระผีกริ้น ร้านรวงต่างปิดประตู บางร้านที่เปิดร้านเป็นครั้งคราวก็เงียบเหงาไร้ผู้คนเช่นกัน
สารถีรถม้าขับผ่านร้านเหล่านั้นไปโดยไม่มีการหยุดแวะที่ร้านใดภายใต้คำสั่งของผู้เป็นนาย จนกระทั่งขับเคลื่อนมาถึงหน้าประตูร้านแห่งหนึ่งที่ชื่อว่า ‘หอฉินยวน’ ถึงได้หยุดรถม้าลง
“นายท่าน พวกเรามาถึงแล้วขอรับ” สารถีลงจากรถม้า อดไม่ได้ที่จะมองไปยังประตูใหญ่ที่ปิดสนิทหลายปราด หลังจากนั้นจึงเอ่ยรายงานคนที่อยู่ในรถว่า “แต่...ร้านนี้ดูเหมือนจะปิดอยู่นะขอรับ”
“เคาะประตู” บุรุษที่อยู่ในรถออกคำสั่งอย่างเฉียบขาด
สารถีก็มิกล้าขัดขืนรีบเดินเข้าไปเคาะประตูทันที ส่วนชายหนุ่มใช้จังหวะนี้เดินลงมาจากรถม้าด้วยตนเอง โดยเด็กชายไล่หลังตามมาติดๆ
“มาแล้วๆ”
เมื่อชายหนุ่มเดินมาถึงหน้าประตูก็ประจวบเหมาะกับที่มีเสียงบุรุษดังแว่วออกมาจากด้านใน “ให้ตายสิ วันนี้ลมอันใดพัดมากัน ไฉนแต่ละคนไม่ยอมให้ข้าได้อยู่สงบๆ เลย...”
น้ำเสียงที่แฝงคำพร่ำบ่นต่อว่าอย่างเห็นได้ชัดนี้ทำให้สารถีหวาดกลัวนิดๆ เขาชำเลืองมองผู้เป็นนายปราดหนึ่ง เมื่อเห็นว่าเจ้านายมิได้โกรธเกรี้ยวถึงค่อยเบาใจลง
“เช้าขนาดนี้ ใครกัน?”
เย่าหลิงหาวหวอดพลางเดินมาเปิดประตู ทว่ายามประตูเปิดออกมองเห็นเงาร่างทั้งสามที่นอกประตู เขาก็ชะงักนิ่งไปทันใด
คนกลุ่มนี้ฐานะแบ่งแยกอย่างชัดเจน แค่เห็นปุ๊บก็รู้ว่าใครเป็นนายใครเป็นบ่าว แต่นี่ไม่ใช่เหตุผลที่ทำให้เย่าหลิงตะลึงงัน สิ่งที่เขาสนใจมากกว่ากลับเป็น...เด็กชายตัวน้อย
“ข้ามาหาคน” บุรุษหล่อเหลารูปงามแจ้งถึงจุดประสงค์การมาอย่างตรงไปตรงมา
ถึงกระนั้นก็ยังมิอาจดึงดูดความสนใจของเย่าหลิงไปได้ เขายังคงพิศจ้องรูปโฉมของเด็กคนนั้นอย่างอึ้งงัน มองสำรวจอย่างละเอียดถี่ถ้วน
จุ๊ๆ เหมือนจริงๆ...
พวกเขาทั้งสี่ยืนนิ่งอยู่นอกประตู ท่าทางมิอาจเรียกได้ว่าน่ามองนัก อิ๋นฮวนที่อยู่ในห้องโถงใหญ่อยู่ในช่วงอารมณ์ไม่ดีจึงไม่มีความอดทนสักเท่าไร ครั้นเห็นว่าเถ้าแก่ชักช้าไม่กลับมาเสียทีก็ตะโกนเสียงดังไปทางนอกประตูอย่างอดไม่อยู่ “เถ้าแก่ ทำอันใดของท่านอยู่? มีสิ่งใดน่าดูขนาดนั้นเชียวหรือ? คงไม่ใช่ว่ามีพ่อค้ามาอีกแล้วกระมัง?”
คนที่อยู่ตรงหน้าประตูหากมิได้หูหนวกต่างก็ได้ยินเสียงของเขาทั้งสิ้น แต่ที่น่าประหลาดใจคือคนอื่นๆ กลับไม่มีปฏิกิริยาตอบสนอง มีเพียงบุรุษร่างสูงใหญ่ผู้นั้นที่ขมวดหัวคิ้วขึ้นมาหลังจากได้ยินเสียง เขาผลักเย่าหลิงออก เดินตรงไปยังที่มาของเสียงนั้นโดยไม่สนใจว่าบุตรชายจะติดสอยห้อยตามอยู่ข้างหลัง
“นี่ ข้าว่านะ เถ้าแก่...”
ในขณะที่อิ๋นฮวนนอนฟุบอยู่บนโต๊ะ คิดจะพูดปรับทุกข์ต่อไป จู่ๆ เงามืดสายหนึ่งก็สะท้อนเข้าสู่สายตาของเขา
เขาผงะอึ้งไป เงยหน้าขึ้นมาด้วยสัญชาตญาณ บุรุษผู้นั้นกำลังจ้องเขาเขม็งด้วยสายตาคมปลาบ ในระหว่างที่เขายังไม่เข้าใจว่าเกิดเรื่องอันใดขึ้นก็เห็นชายหนุ่มยื่นมือออกมาคว้าเขาเอาไว้อย่างฉับพลัน ควบคุมเขาไว้ในขอบเขตของตนเอง
“เจอตัวเจ้าเสียที เอาของของข้าคืนมาเดี๋ยวนี้”
ชายหนุ่มมีเรี่ยวแรงเยอะยิ่งนัก อิ๋นฮวนมิอาจหลบหลีกได้ทันจึงถูกกระชากขึ้นมาอย่างรวดเร็ว ร่างทั้งร่างยังคงอยู่ในสภาวะมึนงง ฟังไม่รู้เรื่องแม้แต่นิดเดียวว่าเขาพูดอันใดอยู่ เลยเอาแต่เกาศีรษะแกรกๆ ก่อนจะหลับตาลงแล้วเริ่มเรียบเรียงเรื่องราวที่เกิดขึ้นในชั่วพริบตาเมื่อครู่นี้
เริ่มแรก มีคนแวะมาที่ร้านตั้งแต่ไก่โห่...หลังจากนั้นเถ้าแก่ก็ไปเปิดประตู เนิ่นนานผ่านไปไม่กลับเข้ามา...ต่อมาตนเองเลยเปิดปากเอ่ยถาม แล้วก็มีบุรุษคนหนึ่งปรี่เข้ามาเอ่ยถามตนเอง...เขาถามว่าอะไรนะ?
‘เจอตัวเจ้าเสียที เอาของของข้าคืนมาเดี๋ยวนี้’
ของเขา? ของ? เอาคืนมา? น่าขัน เขาเป็นใครกัน?
อืม เขาเข้าใจแล้ว บุรุษคนนี้ป่วยแน่ๆ
อิ๋นฮวนส่ายศีรษะด้วยความเสียดาย ถอนหายใจเฮือกใหญ่แล้วตอบว่า “คุณชายท่านนี้ ที่นี่มิใช่โรงหมอ พวกเจ้ามาผิดที่แล้ว”
ชายหนุ่มได้ยินก็ผงะนิ่งไป ท่าทางดูคล้ายกับเพิ่งสังเกตเห็นถึงปัญหาจึงอดไม่ได้ที่จะยืนขมวดคิ้วนิ่ง จ้องมองอิ๋นฮวนไม่วางตา
ลักษณะการพูดเช่นนี้ น้ำเสียงเช่นนี้ แม้นสุ้มเสียงจะละม้ายคล้ายคลึงกันมาก ไม่ เกือบจะเหมือนกันเลยด้วยซ้ำ แต่ว่า...ไม่ถูก!
“เจ้าไม่ใช่เขา?”
น้ำเสียงกึ่งเชื่อกึ่งเคลือบแคลงทำให้อิ๋นฮวนรู้สึกไม่สบอารมณ์ เขากลอกตาใส่ชายหนุ่มแล้วเอ่ยถามว่า “เขาอันใดของเจ้ากัน เขาไหน? เจ้าไม่บอกแล้วผีจะรู้หรือ!?”
ชายหนุ่มได้ยินก็นิ่งเงียบไป ผ่านไปครู่หนึ่งถึงค่อยส่งเสียงเรียกออกมา “เชียนเฉิง!”
เชียนเฉิง?
ในขณะที่อิ๋นฮวนรู้สึกถึงความแปลกพิกล อยู่ๆ ด้านหลังของชายหนุ่มก็มีเสียงเด็กดังขึ้นมาว่า “ขอรับ ท่านพ่อ”
ต่อมาเสียงฝีเท้าว่องไวระลอกหนึ่งก็ดังขึ้น เพียงชั่วประเดี๋ยวเดียวเงาร่างเล็กจ้อยก็แทรกเข้ามาอยู่ตรงกลางระหว่างทั้งสอง
“ไอ้หยา!”
ในขณะที่ได้เห็นเด็กน้อยอิ๋นฮวนก็อุทานออกมาด้วยความตื่นตกใจอย่างห้ามไม่อยู่ ร่างกายถอยกรูดออกไปหลายก้าวอย่างเกินจริงเช่นกัน “จะ จะ จะ เจ้า เหตุใดถึงได้หน้าตาเหมือนข้าขนาดนี้ล่ะ?”
เขามิได้คิดไปเอง แต่เด็กคนนี้ละม้ายคล้ายคลึงเขาเป็นอย่างมาก แน่นอนว่าเหมือนแค่รูปลักษณ์ภายนอก ซึ่งก็หมายถึงแค่องคาพยพทั้งห้า นอกจากนี้แล้วทั้งสีหน้าท่าทางและบุคลิกล้วนไปคนละทางกับเขาโดยสิ้นเชิง แค่เห็นก็รู้ว่าเป็นลูกคนร่ำรวยที่ได้รับการศึกษาเป็นอย่างดี
ทว่าสีหน้าไม่อยากเชื่อสายตาอย่างเกินเหตุของเขากลับยิ่งทำให้ชายหนุ่มฉงนสนเท่ห์ สุดท้ายเขาก็ส่งเสียงเอ่ยถามอีกคราอย่างห้ามไม่อยู่ “เจ้าไม่รู้จักเขา? เจ้าไม่ใช่ชิวเหิง?”
ใครเล่าจะรู้ว่าอิ๋นฮวนซึ่งเดิมทีมีท่าทางก๋ากั่นไร้มารยาทหลังจากได้ยินชื่อนี้ก็พลันตัวสั่นเทิ้มไปทั้งร่าง สีหน้าเคร่งขรึมจริงจังขึ้นมาราวกับเป็นคนละคน เขาจ้องมองเด็กคนนั้นอีกหลายครา หลังจากนั้นก็หันไปมองทางชายหนุ่มก่อนจะเผยรอยยิ้มเสียดสีเย้ยหยันออกมา
“ที่แท้ก็เป็นเช่นนี้ เจ้านี่เองไอ้คนสารเลว!”
ยามนี้เย่าหลิงก็รีบเร่งเดินเข้ามาจึงเห็นภาพเหตุการณ์ฉากนี้เข้าพอดี สีหน้าแววตาโกรธแค้นเกลียดชังบนใบหน้าของอิ๋นฮวนทำให้เขาตกอกตกใจยิ่ง แต่ก็ดูเหมือนเขาพอจะจับเบาะแสบางอย่างได้จากถ้อยคำของอิ๋นฮวน
“เจ้ารู้จักชิวเหิงจริงๆ ด้วย...” ชายหนุ่มมิได้แตกตื่นตกใจสักเท่าไรและไม่ได้โต้แย้งคำพูดของอิ๋นฮวน “เช่นนั้นก็ดี ขอให้เจ้าช่วยบอกให้เขาเอาของของข้ามาคืนด้วย”
“ท่านพ่อ...”
“ถุย คืนกับผีนะสิ!”
เด็กน้อยยังอยู่ที่นี่ แต่อิ๋นฮวนก็ยังคงแผดเสียงตะโกนลั่นโดยไม่สนใจไยดีแม้แต่นิดเดียว เดิมทีจากอุปนิสัยใจคอของเขา ต่อให้ลูกค้าไม่มีความเกรงใจแค่ไหนก็ยังอดทนข่มกลั้นได้ แต่คนคนนี้ไม่เหมือนกัน บุรุษผู้นี้หาใช่ลูกค้าไม่ เขาเป็นฆาตกร...ฆาตกรฆ่าคน!
“เจ้าไสหัวไปเดี๋ยวนี้ ไสหัวไปยิ่งไกลยิ่งดี!” พูดจบอิ๋นฮวนก็เดินเข้าไปในห้องตนเองโดยไม่หันกลับมามอง ไม่ไว้หน้าใดๆ ทั้งสิ้น
เป็นครั้งแรกที่เย่าหลิงเห็นเขาอาละวาดโวยวายรุนแรงขนาดนี้ แต่ก็โทษเขาไม่ได้ ใครใช้ให้บุรุษผู้นี้...
“เจ้าไม่ไปหรือ?” เย่าหลิงมองชายหนุ่มพลางเอ่ยถาม
คำพูดของอิ๋นฮวนเมื่อครู่นี้ยั่วยุอารมณ์อย่างยิ่ง คนธรรมดาได้ยินแล้วคงจะเกรี้ยวโกรธ โดยเฉพาะคนมีเงินจะยิ่งโกรธมากกว่าเดิม บุรุษเบื้องหน้าตรงกับเงื่อนไขนี้อย่างเห็นได้ชัด แต่เพราะเหตุใดเขาถึงยังคงสงบเยือกเย็นได้ขนาดนั้นกัน?




++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++
นายบำเรออายุยี่สิบเจ็ดปี ไร้ซึ่งความเยาว์วัยยังจะมีอนาคตอะไรให้เอ่ยถึง? พอคิดว่านายบำเรอในหอฉินยวนบ้างก็แต่งออก บ้างก็ไปจากที่นี่ อิ๋นฮวนจึงคิดว่าไยถึงไม่มีคนที่มีใจรักมีคุณธรรมมาเลี้ยงดูเขาบ้างเล่า? ทว่าเรื่องที่คาดหวังไว้ยังไม่ทันมาถึง แขกผู้อยู่เหนือความคาดหมายกลับมาเยือนเสียก่อน...บุรุษใจไม้ไส้ระกำที่หลอกใช้น้องชายเขาเป็นเครื่องมือให้กำเนิดบุตร
น้องชายของเขาที่เป็นนายบำเรอเช่นกันผู้นั้น...ช่างโง่เขลาจริงๆ คนอย่างจวินโม่ฉิงนี่ควรจะหลอกเอาเงินสักก้อนให้เข็ดหลาบ จากนั้นก็เตะโด่งให้กระเด็นถึงจะเป็นการกระทำอันชาญฉลาด หากทำได้เขาหวังเหลือเกินว่าจะสามารถสั่งสอนน้องชายจอมโง่เง่าให้เข้าใจถ้อยคำนี้ได้ เพียงแต่ว่ามันสายไปเสียแล้ว…


รูปภาพ

ตอบกลับโพส

ย้อนกลับไปยัง “Bongkoch Books News & Activities”