New Release BLY แปล : ตราบนิรันดร์ 2 (เล่มจบ)

อัพเดทข่าวบงกชบุ๊คส์ ความเคลื่อนไหว และกิจกรรมพิเศษ ตลอดจนร่วมสนุกชิงรางวัลพร้อมของรางวัลมากมาย

Moderator: P'Bly, Gals, พี่บี

ตอบกลับโพส
Gals
โพสต์: 1068
ลงทะเบียนเมื่อ: ศุกร์ 13 ก.พ. 2009 3:47 pm

New Release BLY แปล : ตราบนิรันดร์ 2 (เล่มจบ)

โพสต์ โดย Gals »

บทที่สิบสอง

เวลาผ่านไปอย่างเงียบสงบอีกสองวัน ในวันนี้โหลวเซี่ยวเซวียนกลับมาที่คฤหาสน์ ซ้ำยังพาคนผู้หนึ่งมาด้วยอย่างไม่คาดคิด พวกเขามาพบนายท่านจั๋ว นายท่านจั๋วเองก็พอจะเดาได้อยู่หลายส่วนจึงสั่งให้หลีหวาเข็นเขาออกไปพบแขก
เมื่อได้เห็นผู้มาเยือน นอกจากหลีหวาแล้วคนที่อยู่ในเหตุการณ์ดูเหมือนจะไม่มีผู้ใดรู้สึกตกใจเลยสักคน ทว่าเหตุผลที่ทำให้หลีหวาประหลาดใจเป็นเพราะรูปโฉมของผู้มาเยือนละม้ายคล้ายคลึงกับนายท่านจั๋วเป็นอย่างมาก แต่กลับเยาว์วัยกว่าไม่น้อย
“เป็นเจ้าจริงๆ เสียด้วย น้องรอง” นายท่านจั๋วหัวเราะฮึพลางเอ่ย
ผู้มาเยือนระบายใบหน้าแย้มยิ้ม เอ่ยราวกับพูดคุยสัพเพเหระก็มิปาน “พี่ใหญ่ ท่านยังดูเหมือนเดิมไม่มีผิด อยู่สบายไม่เลวเลยนี่นา!”
ครั้นหลีหวาได้ยินก็เผยสีหน้าสื่อความว่าที่แท้ก็เป็นเช่นนี้นี่เองออกมา...ที่แท้พวกเขาก็เป็นพี่น้องกันนี่เอง...เพลิงสงครามระหว่างนายท่านจั๋วทั้งสองคนปรากฏออกมาให้เห็นประจักษ์ชัดแจ้ง คนนอกยากจะสอดเท้าเข้าไปขวางกลางได้ โหลวเซี่ยวเซวียนดูเหมือนจะได้รับสัญญาณไว้ก่อนหน้านี้แล้ว จึงรีบโบกมือสั่งให้ข้ารับใช้ออกไปข้างนอกทันที แม้แต่ตัวเขาก็ออกไปนอกห้องด้วยเช่นกัน นี่ทำให้หลีหวาเริ่มทำตัวไม่ถูกขึ้นมา เขาไม่รู้ว่าตนเองควรจะฟังคำสั่งใครดี แต่โชคดีที่นายท่านจั๋วสังเกตถึงจุดนี้อย่างรวดเร็วเลยส่งสัญญาณเป็นนัยให้เขาออกไปรอข้างนอกก่อน ให้เขาระมัดระวังตัวเองเอาไว้
ยามนี้หลีหวาถึงได้ออกไปนอกห้องอย่างวางใจ แต่ไม่นานเขาก็เข้าใจถึงสาเหตุที่นายท่านจั๋วบอกให้เขา ‘ระวังตัว’ อย่างรวดเร็ว พอหลีหวาหายลับไปจากสายตาของนายท่านจั๋ว โหลวเซี่ยวเซวียนก็เข้ามาเกาะติดราวกับผึ้งที่เห็นน้ำผึ้งอย่างไรอย่างนั้น เขาจูงมือหลีหวามายังลานบ้านเพียงลำพังสองต่อสอง ทั้งยังไต่ถามสารทุกข์สุกดิบไม่ยอมหยุด ความเป็นห่วงเป็นใยอันมากเกินเหตุนี้ทำให้หลีหวารู้สึกแปลกประหลาดใจอยู่บ้าง
หลังจากพูดจาไร้สาระเอ่ยถามเรื่องไม่สลักสำคัญแล้ว สุดท้ายโหลวเซี่ยวเซวียนก็ถอนหายใจออกมายาวๆ แล้วเอ่ยว่า “...ถงเอ๋อร์ เรื่องเมื่อปีนั้นข้ายอมรับว่าตนเองทำผิดไปจริงๆ แต่ว่าข้าก็มิได้บีบบังคับฝืนใจเจ้าเสียหน่อย เจ้าเองก็ยินยอมพร้อมใจถูกต้องหรือไม่?”
“...ใช่” หลีหวามิได้ถือโทษเขามากมายเช่นกัน แต่แค่มักจะนึกเสียใจในความหัวช้าและโง่เขลาของตนเองเท่านั้น
เมื่อโหลวเซี่ยวเซวียนได้ยินก็โล่งอกไปเปลาะหนึ่ง พูดต่ออย่างไม่ลดละว่า “ถ้าอย่างนั้นพอเรื่องนี้สิ้นสุดลงแล้ว เจ้ายินดีกลับมาอีกครั้งหรือไม่? ข้าหมายถึงกลับมาอยู่ข้างกายข้า...”
หลีหวาย่นคิ้วพลางเอ่ยย้อนถาม “นายน้อยโหลว ตอนนี้ท่านเป็นผู้นำดูแลสกุลโหลว มีภรรยามีอนุแล้ว ข้าเดาว่าคงจะมีบุตรธิดาเป็นโขยงเช่นกัน ครอบครัวคงจะอยู่กันอย่างสุขสันต์กลมเกลียว ยังจะต้องการข้าไปเพื่ออันใดอีก?”
“เมื่อก่อนข้าติดค้างเจ้าเลยอยากจะชดเชยให้เจ้า ละ แล้วก็...” โหลวเซี่ยวเซวียนกระดากอายยากจะเอ่ยปากเล็กน้อย
หลีหวาเป็นข้ารับใช้อุ่นเตียงคนแรกของโหลวเซี่ยวเซวียน เขาไม่มีความรู้สึกเจ็บ ไม่ว่าจะจับทำอย่างไรก็ไม่ตะโกนร้องโอดโอยด้วยความเจ็บปวดทรมาน มีแต่จะร้องครางอย่างสุขสมเมื่อถูกกระทำถูกจุดเท่านั้น นี่ทำให้ศักดิ์ศรีของลูกผู้ชายอกสามศอกได้รับการเติมเต็มอย่างเปี่ยมล้น หลังจากนั้นมาแม้โหลวเซี่ยวเซวียนจะเคยไปเยือนหอนายบำเรอมาบ้าง แต่ว่าอย่างไรร่างกายของบุรุษก็สู้สตรีมิได้ พอทำแล้วมักจะทำให้เขาเหน็ดเหนื่อยเปลืองแรงยิ่ง เมื่อเทียบกันแล้วข้อดีของหลีหวาก็ยิ่งโดดเด่นขึ้นมากกว่าเดิม และทำให้เขายิ่งถวิลหามากขึ้นด้วยเช่นกัน ดังนั้นเขาจึงตัดสินใจแน่วแน่ว่า หลังจากตนเองได้กุมอำนาจสกุลโหลวแล้วจะต้องพาหลีหวากลับมาให้ได้ โหลวเซี่ยวเซวียนต้องการร่างกายของเขา ต้องการความรู้สึกอิ่มเอมใจที่เขามอบให้ตนเอง
แน่นอนว่าถ้อยคำเหล่านี้มิอาจเอ่ยออกมาตรงๆ ได้ โหลวเซี่ยวเซวียนข่มกลั้นอารมณ์อยู่นานกว่าจะเอ่ยออกมาอย่างขาดๆ หายๆ หนึ่งประโยค “ข้า...ชะ ชอบ...”
“ท่านชอบข้า?” หลีหวาพูดออกมาแทนเขา ในถ้อยวจีมีแต่น้ำเสียงฉงนสงสัย
โหลวเซี่ยวเซวียนพยักหน้า ลอบปลอบใจตนเองว่าถ้ามองจากอีกด้านหนึ่งเขาก็ชอบหลีหวาจริงๆ ดังนั้นตนเองไม่ถือว่าพูดปดเสียหน่อย
หลีหวาได้ยินดังนั้นก็กะพริบตาปริบๆ ก้มหน้าลูบแผ่นอกเบาๆ พบว่าไม่มีความผิดปกติใดๆ เลยแม้แต่นิดเดียว ราวกับว่านี่เป็นเพียงเรื่องตลกขบขัน แตกต่างจากตอนที่ได้ยินเสี่ยวจั๋วจื่อเอ่ยว่าชอบตนเองโดยสิ้นเชิง นี่ทำให้เขาจิตใจเหม่อเลยเล็กน้อย
หลีหวาคิดว่าเขาอาจจะชอบเสี่ยวจั๋วจื่อมาตั้งแต่ตอนนั้นแล้วก็ได้ ดังนั้นยามที่เขาบอกว่าชอบตนเอง ตนถึงได้รู้สึกดีอกดีใจ แต่กับนายน้อยโหลว... “ขอบคุณนายน้อยโหลวมากที่เอ็นดู...”
น้ำเสียงของเขาสงบราบเรียบเหมือนในยามปกติ โหลวเซี่ยวเซวียนคิดว่าเขายอมรับแล้วจึงรีบร้อนเอ่ยว่า “เจ้ารับปากแล้ว? เช่นนั้นข้าจะไปจัดการเรื่องไถ่ตัวเจ้าเดี๋ยวนี้ เจ้าเองก็อย่าอยู่ที่นี่อีกเลย กลับคฤหาสน์สกุลโหลวของข้าดีหรือไม่?”
หลังจากหลีหวาชะงักนิ่งไปชั่วครู่ก็เอ่ยตอบว่า “ทุกเรื่องล้วนมีลำดับก่อนหลัง ที่ตอนนี้ข้าติดตามปรนนิบัติอยู่ข้างกายนายท่านจั๋วก็เพราะว่าเขาจ่ายเงินเหมาข้าเอาไว้ หากนายน้อยโหลวอยากจะไถ่ตัวข้าก็ต้องรอทีหลัง”
โหลวเซี่ยวเซวียนย่นคิ้วครุ่นคิด แต่ก็คลายหัวคิ้วออกอย่างรวดเร็ว “ได้ ข้าจะรอทีหลัง อย่างไรเสีย...” เรื่องนายท่านจั๋วอีกไม่นานก็จะจัดการเรียบร้อยแล้ว
ขอเพียงแค่หลีหวาไม่ปฏิเสธการไถ่ตัว โหลวเซี่ยวเซวียนก็ไม่มีอันใดจะต่อว่า เขาแย้มยิ้มพลางจูงมือหลีหวาเดินทอดน่องอยู่ในลานบ้าน ทว่าสิ่งที่หลีหวากำลังคิดอยู่นั้นกลับเรียบง่ายยิ่ง ประการแรก ยามอยู่ที่หอฉินยวนเขาเป็นเพียงสินค้าที่รอคอยให้ผู้คนมาเลือกซื้อ เรื่องการไถ่ตัวเป็นสิ่งที่ตัวเขาเองมิอาจควบคุมได้อยู่แล้ว ประการต่อมา นายท่านจั๋วสั่งไม่ให้เขาไปรบกวนเสี่ยวจั๋วจื่อ เขาก็รับปากแล้ว หากถูกผู้อื่นไถ่ตัวไปก็น่าจะทำให้นายท่านจั๋วสบายใจยิ่งกว่าเดิมอีกนิด
หลีหวาไม่เคยคิดต้องการความจริงใจจากผู้ใด ไม่ว่าจะเป็นเสี่ยวจั๋วจื่อหรือว่าโหลวเซี่ยวเซวียน ความทรงจำในวัยเยาว์นั้นสลักลึกเกินไป ทำให้เขาสูญสิ้นความเชื่อมั่นที่จะได้รับความรักไปเสียแล้ว พอไม่มีความมั่นใจนี้ก็พาให้ความปรารถนามากมายหลายอย่างขาดหายตามไปด้วย ด้วยเหตุนี้จึงทำให้การตัดสินใจเป็นไปเพื่อผู้อื่นหรือประโยชน์ของส่วนรวมมากกว่า หาใช่เพื่อตนเองไม่
ในขณะที่โหลวเซี่ยวเซวียนคิดโลดแล่นถึงอนาคตอีกไม่นานนี้ต่อไป หลีหวาก็ขบคิดตรึกตรองเรื่องราวต่างๆ หลังจากนี้ จู่ๆ เสียงดังโครมครามระลอกหนึ่งก็ลอยดังออกมาจากในเรือน ทั้งสองพลันตื่นตระหนักแล้วรีบวิ่งปรี่ไปที่เรือนทันที ขณะที่กำลังจะเปิดประตูออกนั้นก็ประจวบเหมาะกับที่นายท่านรองจั๋วถีบประตูห้องเดินออกมาพอดี เขามีสีหน้าโกรธจัดสุดขีด ทำให้ทั้งสองต่างก็ตกใจไปทันใด
นายท่านรองจั๋วมองพวกเขาทั้งสองแวบหนึ่ง แค่นเสียงเย็นชาดังฮึแล้วเดินออกไปข้างนอกทันที โหลวเซี่ยวเซวียนเห็นแล้วก็เร่งรีบเดินไล่หลังตามไป ทว่าหลีหวากลับเดินเข้าไปในห้องเพื่อสำรวจดูอาการของนายท่านจั๋ว
“นายท่านจั๋ว!?”
สภาพภายในห้องทำให้หลีหวาตื่นตกใจมิวางวาย นายท่านจั๋วถูกกระชากจนล้มลงกับพื้น รถเข็นที่ทำจากไม้คว่ำอยู่อีกด้าน เพียงเห็นปราดแรกก็รู้ได้ทันทีว่ามีคนจงใจผลักรถเข็นให้ล้มลง
หลีหวาวิ่งเข้าไปยกรถเข็นให้กลับมาตั้งตรงดังเดิมอย่างรีบร้อน ต่อมาก็ประคองนายท่านจั๋วให้กลับไปนั่งบนรถเข็น หลังจากนั้นก็เทน้ำให้เขาดื่มหนึ่งถ้วยเพื่อบรรเทาอาการเสียขวัญ ครั้นแล้วย่อกายลง พินิจสำรวจดูอย่างละเอียดถี่ถ้วนว่านายท่านจั๋วได้รับบาดเจ็บหรือไม่ สีหน้าแววตาเปี่ยมล้นด้วยความพะวงใจเป็นหนักหนา
นายท่านจั๋วดื่มน้ำลงไปหนึ่งอึกแล้วไอเบาๆ ออกมาสองที ก่อนจะหลับตาลงพักผ่อนครู่หนึ่งถึงสามารถยับยั้งความรู้สึกวิงเวียนตาลายเมื่อครู่นี้ลงได้ เมื่อเขาลืมตาขึ้นมาอีกคราก็ยังคงเป็นชายชราที่เคร่งขรึมขึงขังดุจเดิม เกิดเป็นความแตกต่างจากหลีหวาอย่างชัดเจน
นายท่านจั๋วก้มใบหน้าลงมองแล้วเห็นหลีหวากำลังร้อนรนใจอย่างกับอะไรดีก็อดขบขันมิได้เช่นเดียวกัน จึงตบมือของเขาเบาๆ แล้วกล่าวว่า “ข้าไม่เป็นไร เจ้าลุกขึ้นเถิด”
“จะไม่เป็นไรได้อย่างไรกัน? ท่านอายุเยอะขนาดนี้แล้วปล่อยให้ล้มกระแทกมิได้หรอกนะขอรับ จริงๆ เลยเชียว...ล้มได้อย่างไรกัน? เป็นฝีมือของน้องชายท่านหรือ? เหตุใดเขาต้องทำเช่นนี้ด้วย? มีเรื่องอันใดก็พูดกันดีๆ ไม่ได้หรือ?” ที่ผ่านมาหลีหวาพูดไม่ค่อยเยอะ แต่ว่าคราวนี้เขาอดทนไม่ไหวแล้วจริงๆ
เขาไม่เข้าใจ อายุตั้งปูนนี้กันแล้วยังจะมีเรื่องใดพูดจากันดีๆ ไม่ได้อีก เหตุใดต้องลงไม้ลงมือกันด้วย คนผู้นั้นไม่มีความสงสารสักนิดเลยหรืออย่างไรกัน?
เมื่อได้เห็นท่าทางหงุดหงิดของเขาอย่างหาได้ยากยิ่ง นายท่านจั๋วจึงเอ่ยอย่างอึ้งทึ่งอยู่บ้าง “จุ๊ๆ หลีหวาเอ๋ย ข้าคิดว่าเจ้า ‘โกรธ’ ไม่เป็นเสียอีก!”
“จะเป็นไปได้อย่างไร ข้ามิใช่นักบวชเสียหน่อย” หลีหวาพูดไปพลางตรวจสอบขาทั้งสองข้างของนายท่านจั๋วไปพลาง เมื่อแน่ใจแล้วว่าไม่มีรอยฟกช้ำถึงค่อยวางลงอย่างช้าๆ แล้วลุกยืนขึ้น “นายท่านรองไม่ควรทำแบบนี้เลยจริงๆ ท่านเป็นพี่น้องของเขานะ...”
เมื่อได้ยินคำพร่ำบ่นของเขา นายท่านจั๋วก็แค่นเสียงหัวเราะฮึอย่างห้ามตัวเองไม่อยู่ “พี่น้องแล้วอย่างไรเล่า เมื่ออยู่ต่อหน้าทรัพย์สินอันมากมายมหาศาล ความเป็นพี่เป็นน้อง มิตรภาพ ความรัก...ล้วนเป็นสิ่งจอมปลอมทั้งสิ้น!”
ครั้นหลีหวาได้ยินเช่นนั้นก็ลองคาดเดาดูเล็กน้อย เขาคิดในใจว่าคงเป็นเพราะเงินของสกุลจั๋วอีกแล้วสินะ เขาไม่เข้าใจเลยจริงๆ เงินทองแค่พอมีพอใช้ก็พอแล้ว เหตุใดยังจะต้องการเยอะแยะมากมายขนาดนั้นด้วยเล่า เอาลงโลงไปด้วยไม่ได้เสียหน่อย... “ฮึ พวกเขาอยากให้ข้าแบ่งเงินให้พวกเขาหลังจากตายไปแล้ว แต่ว่าข้าดันไม่ทำอย่างนั้นนะสิ!” นายท่านจั๋วยิ้มออกมาอย่างมีเล่ห์เหลี่ยมล้ำลึก
หลีหวารับฟังโดยมิได้เอ่ยวาจาใดๆ ออกมา นี่มิใช่เรื่องที่เขาควรเข้าไปก้าวก่าย
“คนที่อยากได้มีเยอะ แสดงให้เห็นถึงแรงดึงดูดของทรัพย์สมบัติก้อนนี้...หากกระจายออกจากกัน เสน่ห์ดึงดูดนี้ก็จะหายไป ดังนั้น...ทุกอย่างของสกุลจั๋ว ข้าจึงมอบให้คนผู้เดียว!”
“อึก...เพราะว่าคนผู้นั้นมิใช่น้องชายของท่าน ดังนั้นเขาเลยโกรธ?” หลีหวาเอ่ยถาม
นายท่านจั๋วพยักหน้ายิ้มๆ จากนั้นก็ทำมือไม้บอกให้เขาเทน้ำให้ตนเองอีกถ้วย
“เฮอะๆ เขานะอยากให้ข้าเปลี่ยนแปลงการตัดสินใจ แต่น่าเสียดายที่สายไปหนึ่งก้าว!”
หลีหวายื่นถ้วยน้ำให้ ไม่ค่อยเข้าใจสักเท่าไร “ท่านยังมีชีวิตอยู่ เหตุใดถึง ‘สายไปหนึ่งก้าว’ เล่า?”
“เพราะว่าข้านะ ก่อนหน้านี้เขียนพินัยกรรมเอาไว้ที่เมืองหลวงแล้ว ร่างเป็นลายลักษณ์อักษรมอบให้ทางการเก็บรักษาไว้ให้ข้า อีกทั้งในนั้นได้เขียนไว้อย่างชัดเจนแล้วว่าหากพินัยกรรมนี้สัมฤทธิผลเมื่อใด ต่อไปในภายหน้าถึงข้าจะอยากแก้ก็แก้ไม่ได้เช่นกัน!” นายท่านจั๋วแค่นเสียงหัวเราะฮึพลางเอ่ย “ธรรมะสูงหนึ่งฉื่อ ปีศาจสูงหนึ่งจั้ง ...ข้าคิดวางแผนมาตลอดชีวิต ทว่าสุดท้ายก็จำต้องวางแผนใส่ตัวเองด้วยเช่นกัน!”
แม้นนายท่านจั๋วจะกำลังยิ้ม แต่หลีหวาไม่รู้สึกว่าเขามีความยินดีปรีดาเลยแม้แต่น้อย กระทั่งญาติพี่น้องของตนเองก็ไม่อาจเชื่อใจได้ นั่นเป็นความรู้สึกที่สุดแสนเจ็บปวดขนาดไหนกันหนอ!
หลีหวาถอนหายใจเฮือกใหญ่ด้วยน้ำเสียงเศร้าระทม เขาไม่มีความสามารถพอจะช่วยเหลืออันใดได้ ได้แต่คิดในใจว่าคนรวยเองก็มิได้มีความสุขเหมือนอย่างที่จินตนาการไว้ นายท่านจั๋วมองดูเขาปราดหนึ่ง ครั้นแล้วก็ทุบเขาเบาๆ ถลึงตาใส่เขาด้วยความขบขัน
“ข้ายังไม่เห็นจะเป็นไร เจ้าหน้าม่อยคอตกไปเพื่ออันใดกัน!”
“แค่รู้สึกเศร้านิดๆ ขอรับ” หลีหวาทอดถอนใจกับตัวเองไปตามประสา จากนั้นหันหน้ากลับมาเอ่ยย้อนถามว่า “นายท่านจั๋วไม่รู้สึกเศร้าอย่างนั้นหรือ?”
นายท่านจั๋วได้ยินก็หัวเราะร่วนแล้วตอบว่า “ข้าเป็นคนทำการค้านะ คนทำการค้าย่อมเจ้าเล่ห์เพทุบาย...ถ้ามัวแต่ทอดถอนใจอย่างเจ้าทุกครั้ง ป่านนี้คงเศร้าซึมสะสมจนเจ็บไข้ได้ป่วย ตรอมใจตายไปนานแล้ว”
“ท่านนี่มองโลกในแง่ดีมากเหมือนกันนะขอรับ” หลีหวาบู้ปากบ่นอุบอิบ ท่าทางดูน่าตลกขบขันทีเดียว
นายท่านจั๋วเห็นดังนั้นก็ยิ่งหัวเราะเสียงดังก้องกังวานกว่าเดิม เรื่องเมื่อครู่นี้ราวกับถูกเขาโยนทิ้งออกไปจนหมดสิ้น...ผ่านไปพักใหญ่ๆ นายท่านจั๋วถึงหยุดเสียงหัวเราะลง ท่าทีแปรเปลี่ยนเป็นจริงจังขึ้นมา เขาเอ่ยกับหลีหวาว่า “หลีหวา บอกมาตามความจริง เจ้าเชื่อใจข้าหรือไม่?”
“ข้าเชื่อสิขอรับ เหตุใดจะไม่เชื่อ?” หลีหวาเอ่ยถามด้วยความประหลาดใจ
นายท่านจั๋วคาดเดาคำตอบของเขาได้ตั้งแต่แรกจึงตบศีรษะเขาเบาๆ อีกหนึ่งที “เจ้าเด็กโง่ ข้าเพิ่งบอกไปหยกๆ ว่าคนทำการค้าย่อมเจ้าเล่ห์เพทุบาย เรื่องที่เก่งกาจที่สุดก็คือพูดโกหก เจ้าเชื่อให้มันน้อยๆ หน่อย เข้าใจหรือไม่!”
หลีหวายิ่งฉงนงุนงงเข้าไปใหญ่ ในเมื่อเป็นเช่นนี้ แล้วคำพูดของนายท่านจั๋วในตอนนี้เขาควรจะเชื่อด้วยหรือไม่?
หลังจากผงะอึ้งไปครู่หนึ่ง สุดท้ายหลีหวาก็เอ่ยตอบว่าขอรับ เรื่องเชื่อไม่เชื่ออันใดนั่นถูกโยนทิ้งไปอีกด้านตั้งนานแล้ว เพราะอย่างไรเสียตอนนี้พวกเขามีสถานะเป็นนายบ่าว ถ้อยคำที่นายท่านกล่าวย่อมถูกต้องอย่างแน่นอน

***

ในขณะเดียวกันนั้นในอำเภอเล็กๆ ที่ชายแดนก็มิได้สงบสุขเท่าใดนัก เพราะว่าในอำเภอเล็กๆ ซึ่งเงียบสงบมาตลอดแห่งนี้กลับเกิดคดีฆาตกรรมขึ้น!
หลายวันก่อนสตรีชาวไร่ผู้หนึ่งไปซักผ้าที่ริมแม่น้ำ แล้วก็พบศพคนอยู่ตรงตลิ่ง เมื่อเจ้าหน้าที่ทางการของเมืองจี้หยางทราบเรื่องก็รีบส่งมือปราบและแพทย์ชันสูตรไปตรวจสอบเรื่องนี้ทันที แต่ว่าเบาะแสมีไม่มาก แม้แต่ศพก็ไม่มีใครรู้จัก พวกเขาจึงจำต้องส่งศพไปยังสถานเก็บศพไร้ญาติด้วยความจนปัญญา หลังจากนั้นก็ค่อยไปสืบถามจากชาวบ้านเพื่อให้รู้ฐานะของศพโดยเร็วที่สุด
ในสถานที่เล็กๆ เช่นนี้ข่าวคราวแพร่กระจายได้อย่างรวดเร็วยิ่ง ไม่นานนักทุกคนต่างก็รู้กันทั่ว ทุกคนจึงอดหวาดผวามิได้ เพราะว่าน้อยครั้งยิ่งที่จะได้พบเจอกับเรื่องพรรค์นี้ ตอนนี้พอพบเจอเข้าต่างก็ลนลานทำอันใดไม่ถูก ไม่รู้ว่าจะทำอย่างไรดี
เสี่ยวจั๋วจื่อกับเย่าหลิงต่างก็ได้ยินข่าวคราวนี้เช่นเดียวกัน ทีแรกก็มิได้สนใจใคร่รู้อันใดมาก แต่อาจเป็นเพราะชีวิตในอำเภอเล็กๆ แห่งนี้ช่างน่าเบื่อหน่ายเกินไป ทั้งสองอยู่ว่างๆ ไม่มีเรื่องใดให้ทำจนรู้สึกจิตใจไม่สงบ ดังนั้นในบ่ายวันหนึ่งทั้งสองจึงบังเอิญประจันหน้ากันที่หน้าประตูสถานเก็บศพไร้ญาติอย่างมิได้คาดหมาย
เสี่ยวจั๋วจื่อมาพร้อมกับข้ารับใช้ทั้งสอง เย่าหลิงเองก็พาอิ๋นฮวนมาด้วย แต่ว่าพอทั้งสองฝ่ายเจอหน้ากันกลับมิได้มีปฏิกิริยารุนแรงแต่อย่างใด เพียงแค่มีแววตะลึงงันวาบผ่านในดวงตาไปในทีแรก ต่อจากนั้นก็เดินเข้าไปในสถานเก็บศพไร้ญาติอย่างพร้อมเพรียงกัน ไม่มีอันใดเกิดขึ้นทั้งสิ้น
ทางใครก็ทางมัน ตั้งแต่เสี่ยวจั๋วจื่อย้ายออกไปจากหอฉินยวนก็ตัดขาดกับพวกเย่าหลิงโดยสิ้นเชิง ด้วยเหตุนี้จึงไม่มีใครเอ่ยวาจาทักทายออกมา จุดประสงค์ของพวกเขาคือเพื่อมาดูศพที่สถานเก็บศพไร้ญาติเท่านั้น
ศพที่สถานเก็บศพไร้ญาติจะมีมือปราบคอยเฝ้าอารักขาอยู่ คนที่มาดูศพจะต้องลงนามชื่อแซ่เอาไว้ หลังจากพวกเขาทั้งห้าทยอยเขียนชื่อทีละคนๆ เสร็จแล้ว มือปราบก็เปิดโลงศพออก เสี่ยวจั๋วจื่อมองเข้าไปด้านในด้วยความอยากรู้อยากเห็นเป็นคนแรก ทว่าแค่เห็นเพียงแวบแรกกลับทำให้เขาตัวแข็งทื่ออยู่กับที่ในทันใด
ช่วงนี้สภาพอากาศค่อยๆ ร้อนอบอ้าวขึ้น การจะเก็บรักษาศพเป็นเรื่องยุ่งยากยิ่งนัก ที่ว่าการต้องใช้น้ำแข็งเป็นจำนวนมากถึงสามารถรักษาสภาพศพให้สมบูรณ์ได้ ทว่าในชั่วพริบตาที่โลงศพเปิดออกนั้น กลิ่นที่เล็ดลอดออกมาก็ยังทำให้อิ๋นฮวนอดไม่ได้ที่จะต้องปิดจมูกแล้วถอยกรูดออกไปหลายก้าว เย่าหลิงเองอดขมวดหัวคิ้วมิได้ แต่ในใจมีความคิดว่า ‘ในเมื่อมาถึงนี่แล้วก็ต้องเข้าไปดูเสียหน่อยว่าเป็นผู้ใด’ เย่าหลิงจึงเดินเข้าไปหนึ่งก้าว เขามองเข้าไปในโลงศพอย่างเร็วรี่ ด้วยเหตุฉะนี้เลยมิทันสังเกตเห็นสีหน้าคล้ำเขียวของเสี่ยวจั๋วจื่อที่อยู่ข้างๆ
“นี่มัน...!?” ครั้นเย่าหลิงได้เห็นก็เกือบร้องตะโกนออกมา
ศพอยู่ในสภาพสมบูรณ์ยิ่ง มีเพียงรอยแผลฉีกขาดขนาดใหญ่ตรงลำคอเท่านั้น ยามนี้ไม่มีโลหิตสดๆ มาช่วยปกปิดจึงยิ่งน่าประหวั่นพรั่นพรึงมากกว่าเดิม ศพใบหน้าขาวซีด แต่หน้าตามิได้เสียโฉมเปลี่ยนรูปจึงยังพอจะแยกแยะตัวตนได้ว่านั่น...คือพ่อบ้านชราของคฤหาสน์สกุลจั๋ว!
“มีอันใดรึ? เป็นคนรู้จักเจ้าหรือ?” มือปราบที่อยู่อีกด้านเห็นเช่นนั้นก็เอ่ยถามขึ้น
เย่าหลิงปรายตามองเสี่ยวจั๋วจื่อที่อยู่ข้างๆ ปราดหนึ่ง เห็นเขากัดริมฝีปากล่างแน่น แต่กลับมิได้พูดความจริงออกมา เย่าหลิงเข้าใจกระจ่างอยู่ในใจจึงเอ่ยตอบไปว่า “เปล่า ข้าแค่ตกใจเท่านั้น คนผู้นี้ข้าไม่รู้จักเลย”
มือปราบรู้จักเย่าหลิงเลยไม่คิดว่าเขาจะพูดโกหก จึงเชื่อในถ้อยคำของเขา หลังจากดูเสร็จแล้วก็รีบสั่งให้พวกเขาออกไปโดยเร็ว เมื่อเย่าหลิงได้ยินก็รีบลากพวกเสี่ยวจั๋วจื่อออกมาจากสถานเก็บศพไร้ญาติเพื่อหลีกเลี่ยงผู้อื่นเคลือบแคลงสงสัย
นับตั้งแต่เสี้ยวพริบตาที่เสี่ยวจั๋วจื่อได้เห็นศพเขาก็เริ่มครุ่นคิดเรื่องราวต่างๆ นานา เหตุใดศพของพ่อบ้านชราถึงมาอยู่ที่นี่ได้? เหตุใดเขาถึงไม่อยู่ข้างกายนายท่านจั๋ว? หรือว่านายท่านจั๋วเองก็...ความคิดอันสับสนปนเปทำให้เขาไม่มีเวลาไปสนใจสิ่งอื่น จึงถูกเย่าหลิงลากตัวกลับไปยังหอฉินยวนทั้งๆ อย่างนี้ ส่วนข้ารับใช้ทั้งสองก็ตื่นตกใจเช่นเดียวกัน แต่ว่าพวกเขามิได้คิดมากเหมือนอย่างผู้เป็นนาย เพียงแค่เดินตามเจ้านายไปเรื่อยๆ เท่านั้น ด้วยเหตุนี้พวกเขาจึงตามกันมาจนถึงหอฉินยวน ส่วนอิ๋นฮวนนั้นเห็นไม่ชัดด้วยซ้ำว่าคนที่นอนอยู่ในโลงศพเป็นผู้ใด เลยยิ่งไม่เข้าใจถึงเหตุผลที่เถ้าแก่น้อยเร่งรีบร้อนรนปานนี้
เมื่อกลับมาถึงหอฉินยวน เย่าหลิงก็บอกให้อิ๋นฮวนออกไปก่อน หลังจากนั้นก็พาทั้งสามคนเข้ามาในห้องของตนองแล้วลงกลอนประตู
พอแน่ใจแล้วว่านอกห้องไม่มีผู้ใดได้ยิน เขาก็รีบซักไซ้ไต่ถามอย่างกลัดกลุ้มทันที “นี่มันเรื่องอันใดกัน? พวกเขามิได้อยู่กับเจ้าหรอกหรือ? นายท่านจั๋วเล่า? หลีหวาเล่า? เจ้าพาพวกเขาไปอยู่ที่ไหน?”
เสี่ยวจั๋วจื่อไม่รู้ถึงร่องรอยของนายท่านจั๋วเลยด้วยซ้ำ แถมยามนี้จู่ๆ ก็ถูกเย่าหลิงถามถึงหลีหวา นี่จึงยิ่งทำให้เขาฉงนงงงวยเข้าไปใหญ่
“เหตุใดพวกเขาควรอยู่กับข้ากัน?” เสี่ยวจั๋วจื่อขมวดคิ้วขึ้น ขบคิดอยู่ชั่วขณะแล้วก็รู้สึกว่ามีบางอย่างผิดปกติ “เดี๋ยวนะ? เจ้ารู้จักพ่อบ้านชรา? เจ้าเคยเจอบิดาข้า?”
เรื่องนี้แปลกพิกลเป็นอย่างยิ่ง เสี่ยวจั๋วจื่อยอมรับว่าพอจะเข้าใจนิสัยของบิดาอยู่บ้าง สิ่งที่เขาดูถูกดูแคลนมากที่สุดในชีวิตก็คือพวกโสเภณีที่ขายเรือนร่างเป็นอาชีพ ตลอดทั้งชีวิตที่ผ่านมาไม่เคยเหยียบย่างเข้าสถานเริงรมย์เลยแม้แต่ครึ่งก้าว บัดนี้เขาอายุปูนนี้แล้วไยต้องมาที่ร้านของเย่าหลิงด้วยตนเองกัน!?
เย่าหลิงมิได้เอ่ยตอบไปตรงๆ แต่กลับย้อนนึกถึงถ้อยคำของนายท่านจั๋วในตอนนั้น เขาบอกว่าเขาสืบความจริงเรื่องสัญญาหมั้นหมายจนกระจ่างแล้ว อยากจะสังเกตดูว่าหลีหวามีคุณสมบัติพอจะแต่งเข้าสกุลจั๋วหรือไม่ ฉะนั้นจึงต้องการพาตัวหลีหวาไปสักระยะหนึ่ง ดูว่าหลีหวาเข้ากับบุตรชายได้หรือไม่ อีกทั้งเขายังให้คำมั่นสัญญาว่าจะบอกความจริงแก่เสี่ยวจั๋วจื่อ... “น่าตายนัก เขาหลอกข้า!” เย่าหลิงกัดฟันกรอด โทสะปะทุขึ้นมาในฉับพลัน
แต่นี่ก็โทษเย่าหลิงไม่ได้ นายท่านจั๋วเป็น ‘จิ้งจอกเฒ่า’ ผู้เลื่องชื่อในแวดวงการค้า พูดโกหกหลอกลวงได้อย่างคล่องปากราวกับเป็นเรื่องจริงอย่างไรอย่างนั้น หากจะปะทะกับเขา เย่าหลิงยังอ่อนหัดกว่าเล็กน้อยจริงๆ
“อะไรนะ?”
เย่าหลิงถลึงตาใส่เสี่ยวจั๋วจื่อ ครั้นเห็นสีหน้าซื่อๆ ไม่รู้เรื่องรู้ราวของเขา ความเดือดดาลก็ยิ่งเพิ่มพูนมากขึ้น เอ่ยด่ากราดใส่เขาทันที “สกุลจั๋วของพวกเจ้าไม่มีดีเลยสักคน เป็นเพราะข้าตาบอดถึงได้ยกหลีหวาให้ คนแซ่จั๋วเจ้าจำเอาไว้เลยนะ เจ้าเสียหลีหวาไปเป็นเพราะเจ้าไม่มีวาสนา เจ้ารอให้นึกเสียใจจนวันตายไปเสียเถิด!”
ทุกถ้อยวจีของเขาดุเดือดคมปลาบ เสี่ยวจั๋วจื่อฟังเข้าใจแต่ก็ดูเหมือนจะไม่รู้ถึงความนัยที่แฝงอยู่ เขานิ่งงันไปสักพักแล้วเอ่ยถามด้วยความฉงนสนเท่ห์ว่า “ตอนนี้พวกเรากำลังหารือเกี่ยวกับร่องรอยของบิดาข้าอยู่มิใช่หรือ? เหตุใดต้องเอาเสี่ยวหลีเข้ามาเกี่ยวข้องด้วย?”
เย่าหลิงเหลือบตามองเขาแวบหนึ่งอย่างกระฟัดกระเฟียด เอ่ยตอบแค่ว่า “เขาถูกบิดาเจ้าพาตัวไปแล้ว...”
“เพราะเหตุใดกัน?” ระหว่างที่เสี่ยวจั๋วจื่อรู้สึกตกอกตกใจอยู่นั้นเขาก็พลันนึกขึ้นมาได้ “หรือว่าบิดาข้าส่งคนมาตรวจสอบแล้วพบว่าข้ากับเสี่ยวหลีมีการไปมาหาสู่กัน จึงเกิดความสงสัยถึงได้พาตัวเขาไป?”
“ข้าไม่รู้ เจ้าคิดเอาเองสิ!”
หากบอกว่าเมื่อก่อนเย่าหลิงยังคงวาดฝันว่าจะช่วยให้หลีหวาเข้าไปอยู่ในคฤหาสน์สกุลจั๋วอย่างเปิดเผยมีหน้ามีตา เช่นนั้นตอนนี้เขาก็ล้มเลิกความคิดนั้นโดยสิ้นเชิงแล้ว การโกหกหลอกลวงของนายท่านจั๋วได้ล่วงละเมิดศักดิ์ศรีของเขา ตอนอยู่ที่เมืองหลวงเขาเคยถูกใครปั่นหัวเช่นนี้ที่ไหนกัน ยิ่งไปกว่านั้นหลีหวาเป็นคนใสซื่อบริสุทธิ์ ไร้ความสามารถยิ่งกว่าเขาเสียอีก หากเข้าไปอยู่ในถ้ำหมาป่าอย่างคฤหาสน์สกุลจั๋วจริงๆ ละก็ จะต้องถูกกัดแทะจนไม่เหลือแม้แต่กระดูกเป็นแน่
เสี่ยวจั๋วจื่อเองก็มิใช่คนที่จะยอมรองรับโทสะของผู้อื่น คำพูดกระแทกแดกดันหลายประโยคของเย่าหลิงกระตุ้นให้เขาหมดความอดทนตั้งแต่แรกแล้ว แต่ว่าครั้งนี้เขาไม่มีเวลามาโต้เถียงกับเย่าหลิง เพราะอย่างไรแล้วเรื่องนี้ก็มีความสำคัญยิ่งยวด เขาจะไม่ยอมให้เรือล่มเมื่อจอดในเวลานี้เด็ดขาด!
พอคิดได้เช่นนี้โทสะเดือดดาลที่ค่อยๆ ผุดขึ้นมาในหัวใจของเสี่ยวจั๋วจื่อก็สงบลงอย่างช้าๆ เขาพยายามปรับอารมณ์ให้สงบลง จากนั้นเพ่งความสนใจทั้งหมดไปที่ร่องรอยของบิดา
“สรุปแล้วก็คือตอนนี้เสี่ยวหลีอยู่กับบิดาข้า เดิมทีพ่อบ้านชราก็ควรจะอยู่ข้างกายพวกเขา แต่บัดนี้เขาตายไปแล้ว...” เสี่ยวจั๋วจื่อเอ่ยพูดพลางขมวดหัวคิ้วขึ้นมา “ก็หมายความว่ามีคนประสงค์ร้ายต่อพวกเขา”
“จะต้องเกิดเรื่องวุ่นวายที่คฤหาสน์สกุลจั๋วแน่ๆ น่าชังนัก ตาเฒ่าสมควรตายนั่นยังจะลากหลีหวาไปด้วยกันอีก บอกว่าจะไปหาเจ้า แต่ในความเป็นจริงกลับปกปิดร่องรอยของตนเอง! ฮึ...สมควรตาย!” เย่าหลิงเอ่ยเหน็บแนม
เสี่ยวจั๋วจื่อมองเขาปราดหนึ่งแล้วเอ่ยถามว่า “เถ้าแก่เย่า...เจ้าไม่รู้จริงๆ หรือว่าบิดาข้ากับเสี่ยวหลีอยู่ที่ไหน?”
“ไร้สาระ!” เย่าหลิงโกรธแค้นในความขี้ระแวงของเขาจนแทบคลั่ง เอ่ยโต้กลับไปอย่างรุนแรงว่า “ถึงตาเฒ่าของเจ้าจะเป็นอย่างไรก็ช่างหัวเขา แต่ว่าข้าเป็นห่วงความปลอดภัยของหลีหวา!”
เสี่ยวจั๋วจื่อได้ยินดังนั้นในใจก็พลันชะงักกึก เริ่มเป็นห่วงหลีวหวาขึ้นมาเช่นเดียวกัน
พูดกันตามจริงแล้ว เขาไม่กังวลว่าบิดาจะถูกปองร้ายเลยสักนิด ตาเฒ่านั่นฉลาดเป็นกรด คนที่จะทำร้ายเขายังจะต้องกังวลถึงสถานะของตัวเองด้วยซ้ำไป เสี่ยวจั๋วจื่อแค่ว้าวุ่นใจกลัวว่าเขาจะได้รับอิทธิพลจากผู้อื่นแล้วยกทรัพย์สินให้คนอื่นไป เมื่อเปรียบเทียบกันแล้ว หลีหวาอ่อนแอใสซื่อกว่ามาก ดังนั้นย่อมมีอันตรายมากกว่า... “ถ้าอย่างนั้นครั้งนี้เจ้าคงจะช่วยข้ากระมัง?” เสี่ยวจั๋วจื่อเอ่ยถามเย่าหลิงตรงๆ
เย่าหลิงคร้านจะมองเขา แต่กลับเอ่ยตอบอย่างหนักแน่นว่า “คราวหน้าไม่มีข้อยกเว้นอีกแล้ว!”
“แน่นอน!”
เสี่ยวจั๋วจื่อกับเย่าหลิงผนึกกำลังกันอย่างหาได้ยากยิ่ง จากนั้นเริ่มออกตามหาคนในแถบชายแดน ทว่าหลีหวาซึ่งอยู่ห่างไกลออกไปหลายลี้ กลับไม่รู้เรื่องรู้ราวเลยแม้แต่น้อย นับตั้งแต่เข้ามาอยู่ที่เรือนพัก เขากับนายท่านจั๋วก็ตัดขาดการติดต่อจากโลกภายนอก คนที่ได้พบเจอในแต่ละวันนอกจากพวกข้ารับใช้แล้วก็มีแค่โหลวเซี่ยวเซวียนกับนายท่านรองจั๋วเท่านั้น
พวกเขาพูดพล่ามน่ารำคาญยิ่ง โหลวเซี่ยวเซวียนเอาแต่ยุยงหลีหวา บอกให้เขา ‘หักหลัง’ นายท่านจั๋ว หลังจากนั้นก็กลับสกุลโหลวไปกับตน ส่วนนายท่านรองจั๋วมักจะเกาะแกะวุ่นวายกับนายท่านจั๋ว บังคับให้นายท่านจั๋วยกทรัพย์สมบัติของตนเองให้เขา
ในสายตาของหลีหวา โหลวเซี่ยวเซวียนมีความปรารถนาจะครอบครองอย่างแปลกพิกลต่อตัวเขา เหมือนอย่างที่เด็กเล็กๆ มีต่อของเล่น ทำตัวเป็นเด็กๆ ไม่น่าเชื่อ นายท่านรองจั๋วนั้นกลับไร้ยางอายเหลือแสนจริงๆ แม้แต่นายบำเรออย่างเขายังรู้เลยว่าพี่น้องแท้ๆ ต้องแยกบัญชีให้ชัดเจน เงินนั้นนายท่านจั๋วหามาได้ด้วยตนเอง มิหนำซ้ำเขายังมีบุตรชายอีกเป็นโขยง แล้วเหตุใดเขาต้องยกให้นายท่านรองจั๋วด้วยเล่า!?
หลีหวามิอาจเข้าใจพฤติกรรมของสองคนนี้ได้เลยจริงๆ
อีกด้านหนึ่ง ในช่วงหลายวันมานี้นายท่านจั๋วก็มีความเปลี่ยนแปลงเช่นเดียวกัน นี่ทำให้หลีหวารู้สึกแปลกประหลาดใจยิ่ง
ในหัวใจของหลีหวา นายท่านจั๋วคนก่อนก็เหมือนกับน้ำแข็ง เย็นชา ซ้ำยังมักจะทำเหมือนเขาไม่มีตัวตนอยู่เป็นประจำ แต่ในตอนนี้แม้ท่าทีของนายท่านจั๋วจะมิอาจเรียกได้ว่าอ่อนโยนเป็นมิตร แถมยังด่าเขาว่าเจ้าโง่อยู่บ่อยๆ แต่หลีหวากลับรับรู้ได้ถึงความ ‘อบอุ่น’ ของเขา นายท่านจั๋วในเวลานี้มิใช่น้ำแข็งอีกต่อไป แต่เป็นเพียงชายชราธรรมดาๆ ที่อารมณ์ร้ายผู้หนึ่งเท่านั้น
ชายชราผู้นี้อารมณ์ดุร้ายรุนแรงยิ่งนัก มักจะใช้คำพูดที่ทั้งโหดร้ายและเจ็บแสบด่าทอด้อยค่าโหลวเซี่ยวเซวียนกับนายท่านรองจั๋วต่อหน้าหลีหวาเป็นประจำ พอหลีหวาได้ยินจะร้องไห้ก็ร้องมิได้จะหัวเราะก็หัวเราะไม่ออก แน่ใจได้อีกครั้งว่าเขากับเสี่ยวจั๋วจื่อมี ‘ความสัมพันธ์ทางสายเลือด’ กันจริงๆ
หลังจากนายท่านรองจั๋วถูกนายท่านจั๋วทำให้เดือดดาลจนเดินปึงปังกลับออกไปครั้งที่เท่าไรแล้วก็มิอาจทราบได้ หลีหวาจึงค่อยเดินเข้าไปในห้อง ครั้นเห็นนายท่านจั๋วนั่งหลับตาพักผ่อนอยู่บนรถเข็นอย่างสบายอกสบายใจ เขาก็ถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่ จากนั้นเดินเข้าไปเก็บกาน้ำชาและถ้วยที่ถูกขว้างปาจนแตกกระจายอยู่บนพื้นขึ้นมา
นายท่านจั๋วไม่จำเป็นต้องลืมตาขึ้นมา แค่ได้ยินเสียงเขาก็รู้แล้วว่าเป็นหลีหวา เขาเผยรอยยิ้มอ่อนๆ อย่างแฝงด้วยความเหนื่อยล้าพลางเอ่ยว่า “หลีหวา พวกเราอยู่ที่นี่มากี่วันแล้ว?”
“สิบสามวันแล้วขอรับ” หลีหวาเก็บกวาดสิ่งของพร้อมกับเอ่ยตอบไปพลาง
“...กว่าจะรู้ตัวก็ผ่านไปนานขนาดนี้แล้วหรือนี่ เฮ้อ หลีหวา เจ้าว่าพวกเขายังจะทนได้อีกนานแค่ไหน?”
“ทน?” หลีหวาเงยหน้าขึ้นด้วยความประหลาดใจ การเคลื่อนไหวในมือหยุดชะงักลงเช่นกัน “นายท่านจั๋ว พวกเขามิได้กะว่าจะขังท่านไปเรื่อยๆ แล้วหลังจากนั้นค่อยบังคับให้ท่านมอบทรัพย์สมบัติให้หรอกหรือ?”
“เฮอะ...พวกเขาไม่มีความอดทนขนาดนั้นหรอก จนถึงบัดนี้พวกเขาต่างก็อดทนอยู่ต่างหาก” นายท่านจั๋วเอ่ยอย่างหยามเหยียด “ข้าว่านะ อีกไม่นานพวกเขาก็จะเริ่มลงมือแล้ว”
เมื่อหลีหวาได้ยินก็พลันตื่นตระหนก รีบร้อนลุกขึ้นเอ่ยถามว่า “ลงมือ? พวกเขาจะทำอันใดหรือ?”
นายท่านจั๋วลืมตาขึ้น ครั้นแล้วก็เห็นสีหน้าของหลีหวากำลังวิตกกังวลเหมือนอย่างที่เขาคาดคิดไว้ไม่มีผิด เขาจึงหัวเราะออกมาแล้วหลับตาลงอีกครา
“ข้าเดาว่าพวกเขาคงจะเลือกวิธีที่เร็วที่สุด คือพาดดาบลงบนคอข้า บังคับให้ข้ายกทรัพย์สมบัติให้ หลังจากนั้นก็สังหารข้าทิ้งเสีย”
หลีหวาฟังจนอกสั่นขวัญแขวน ลนลานถามขึ้นอีกครั้งว่า “ละ แล้วถ้าต่อให้ต้องตายท่านก็ไม่ยอมเล่า?”
“เฮอะๆ นั่นก็จัดการไม่ยากหรอก...แค่หาใครสักคนมาแปลงโฉมเป็นข้า แล้วค่อยไปแก้พินัยกรรมก็ไม่ต่างกันหรอก” นายท่านจั๋วเอ่ยตอบอย่างไม่ใคร่ใส่ใจนัก “กลยุทธ์นี้ของยอดฝีมือในยุทธภพใช้กันน้อยเสียที่ไหน? เพียงแต่วิธีนี้ค่อนข้างเสี่ยงเท่านั้น เพราะว่าคนที่รู้จักข้ามีอยู่ไม่น้อย หากคนที่ปลอมตัวเป็นข้าถูกจับได้ พวกเขาก็หมดโอกาสแล้ว”
“เช่นนั้นจะทำอย่างไรดี? พวกเขาจะสังหารท่านนะขอรับ...ทำอย่างไรดี? พวกเราควรจะหนีออกไปหรือไม่? หรือ หรือว่าหาคนมาช่วย...”
หลีหลาแตกตื่นจนพูดจาสับสนไม่ได้ศัพท์ โลกของเขาเรียบง่ายจืดชืดทว่าสุขสงบปลอดภัยมาตลอด แต่ไหนแต่ไรมาไม่เคยเกี่ยวข้องอันใดกับการสังหารคนหรือการถูกคนสังหารเลย ยามนี้จู่ๆ ก็มาเจอเรื่องแบบนี้เข้า เขาไม่รู้ควรจะทำอย่างไรจริงๆ!
นายท่านจั๋วเหลือบมองเขาอีกครั้งแวบหนึ่ง ต่อจากนั้นก็ย้อนถามกลับอย่างแฝงเจตนาร้าย “ใช่แล้ว ควรทำอย่างไรดีเล่า? หลีหวา เจ้ามีวิธีช่วยข้าหรือไม่?”
“ข้า?”
หลีหวารู้สึกประหลาดใจ ไม่ใช่ว่าน่ายท่านจั๋วไม่รู้จักเขาเสียหน่อย ย่อมต้องรู้ดีว่าเขาเป็นแค่นายบำเรอธรรมดาๆ คนหนึ่ง วิชาบุ๋นไม่ได้ วิชาบู๊ก็ไม่เข้าใจ ถามเขาไปก็เท่ากับเสียเวลาเปล่า แต่ครู่หนึ่งผ่านไปหลีหวากลับคิดได้ว่า นายท่านจั๋วสุขภาพร่างกายไม่แข็งแรง อายุก็มากแล้ว ซ้ำยังไม่สามารถเดินได้ ในยามนี้โดดเดี่ยวเดียวดายไร้คนคอยช่วยเหลือ นอกจากตนเองแล้วเขายังจะพึ่งพาใครได้อีก!?





+++++++++++++++++++++++++++++++
การดูถูกหยามเหยียดจากญาติพี่น้อง เสียงหัวเราะเยาะเย้ยของผู้คน ความต่ำต้อยด้อยค่าตลอดชีวิตที่ผ่านมา และความรักที่มิอาจช่วงชิงมาครองได้ ดูแล้วเหมือนเจ็บปวดทรมาน แต่เพราะหลีหวาไม่เคยคาดหวังสิ่งใดแต่แรกอยู่แล้ว เขาจึงไม่เคยผิดหวัง ต่อให้เป็นได้เพียงตัวหมากที่ถูกหลอกใช้ ขอแค่เสี่ยวจั๋วจื่อมีชีวิตอยู่อย่างมีความสุขตลอดไป เท่านี้ก็ดีมากแล้ว...
ทว่าพิธีแต่งงานที่เสี่ยวจั๋วจื่อไม่ให้ความสำคัญนี้ จริงๆ แล้วกลับทำให้หลีหวาต้องเจ็บปวดชอกช้ำอย่างสุดขั้วหัวใจ แต่ว่าเขามิได้เอื้อนเอ่ยอันใดทั้งสิ้น แม้กระทั่งหัวคิ้วยังไม่ขมวดมุ่น เมื่อความจริงที่ถูกปิดบังเอาไว้ปรากฏออกมาต่อหน้าทุกคนแล้ว เสี่ยวจั๋วจื่อจะตัดสินอนาคตของเขากับหลีหวาอย่างไรกัน?


รูปภาพ

ตอบกลับโพส

ย้อนกลับไปยัง “Bongkoch Books News & Activities”