New Release BLY แปล : ตราบนิรันดร์ 1

อัพเดทข่าวบงกชบุ๊คส์ ความเคลื่อนไหว และกิจกรรมพิเศษ ตลอดจนร่วมสนุกชิงรางวัลพร้อมของรางวัลมากมาย

Moderator: P'Bly, Gals, พี่บี

ตอบกลับโพส
Gals
โพสต์: 1068
ลงทะเบียนเมื่อ: ศุกร์ 13 ก.พ. 2009 3:47 pm

New Release BLY แปล : ตราบนิรันดร์ 1

โพสต์ โดย Gals »

บทนำ

แสงรัตติกาลมืดมิด จันทร์กระจ่างลอยเด่นกลางนภา คหบดีโหลวแห่งเมืองจี้หยางเพิ่งจะดื่มสุราสังสรรค์กับสหายเสร็จสิ้น นั่งเมาแอ๋อยู่ในเกี้ยวขณะเดินทางกลับคฤหาสน์
หลังจากเกี้ยวโคลงเคลงไปมาอยู่เป็นระยะทางช่วงหนึ่งก็หยุดนิ่งลง คนหามเกี้ยวเลิกผ้าม่านออก ทำเป็นไม่สนใจต่อกลิ่นสุราที่เหม็นหึ่งนั่น เอ่ยเตือนขึ้นด้วยสุ้มเสียงแผ่วเบาว่า “นายท่าน พวกเราถึงแล้วขอรับ”
“หือ? อ้อ...ถึงแล้ว ถึงแล้ว”
คหบดีโหลวพูดจางึมงำไม่ชัดเจน เขาเดินโซซัดโซเซมาจนถึงหน้าประตูคฤหาสน์โดยมีคนหามเกี้ยวคอยพยุงไว้
เขาเคาะประตูเล็กน้อย ประตูคฤหาสน์ถูกพ่อบ้านชราเปิดออก คนหามเกี้ยวจึงมอบคหบดีโหลวให้แก่พ่อบ้าน หลังจากได้รับเงินแล้วก็หามเกี้ยวกลับไป
คหบดีโหลวดื่มจนเมาเมายไม่ได้สติ ต้องให้พ่อบ้านชราประคองเดินเข้าเรือนไปตลอดทาง พ่อบ้านชราอายุมากแล้ว ต้องมาประคองคหบดีโหลวที่มีรูปร่างอ้วนเตี้ยนั้นมิใช่เรื่องง่ายดายเลยจริงๆ ทั้งสองเดินอย่างทุลักทุเลไปตลอดทาง เห็นแล้วชวนให้คนประหวั่นพรั่นพรึงเช่นกัน
“นายท่าน ระวัง ระวังขอรับ...ช้าหน่อย ช้าหน่อย...”
ทั้งสองฝีเท้าไม่มั่นคง เมื่อเดินผ่านห้องหนังสือคหบดีโหลวก็หยุดฝีเท้าลงอย่างฉับพลัน
พอรอบด้านเงียบสงัดลงก็เหมือนดั่งทุกราตรีที่ผ่านมาของคฤหาสน์สกุลโหลว ทว่าพอตั้งใจฟังให้ดีๆ จะสังเกตได้ไม่ยากว่ามีเสียงดังแว่วลอยออกมาจากภายในห้องหนังสือ จะคล้ายเสียงสะอื้นไห้ก็มิใช่ จะคล้ายเสียงครวญครางก็มิเชิง เหมือนกับเสียงลูกแมวเพิ่งเกิดเปล่งออกมามากกว่า
ยามนี้คหบดีโหลวได้สติขึ้นมาครึ่งหนึ่ง เขาเปิดประตูห้องหนังสือออกอย่างเงียบเชียบเบามือ จากนั้นมองผ่านรอยแง้มเล็กๆ เข้าไปภายในโดยอาศัยแสงสว่างจากจันทรา ภาพโลกีย์โจ๋งครึ่มทำให้เขาตื่นตะลึงจนอ้าปากค้างราวกับถูกอสนีบาตฟาดฟัน
คนทั้งสองที่อยู่ภายในห้องหนังสือ คนหนึ่งร่างกายท่อนบนฟุบลงกับโต๊ะหนังสือ ส่วนร่างกายท่อนล่างสองขาอ้ากว้าง ถูกคนอีกคนหนึ่งกระแทกกระทั้นตัวใส่อย่างไม่มีความทะนุถนอมแม้แต่น้อย คนอีกคนหนึ่งนั้นสวมชุดตัวนอกเอาไว้ตัวหนึ่งอย่างลวกๆ มือข้างหนึ่งจับขาข้างหนึ่งของคนที่อยู่ใต้ร่างเอาไว้ บนใบหน้าเต็มไปด้วยหยาดเหงื่อและความพออกพอใจ
“ถงเอ๋อร์ ตรงไหนรู้สึกดีกว่ากัน? หืม?”
“อื้อ...ตรงนั้น...อ๊ะอ๊า...อึก...”
“ตรงนี้...ใช่หรือไม่?”
“อึก...”
ถ้อยคำลามกสัปดนของทั้งสองกระตุ้นให้คหบดีโหลวเดือดดาลจนตัวสั่นเทิ้มไม่หยุดไปทั่วทั้งกายา
ถึงแม้คหบดีโหลวจะมิใช่ปัญญาชนคนมีปณิธานอันใด แต่ก็ให้ความสำคัญกับขนบธรรมเนียมและเกียรติยศศักดิ์ศรียิ่ง อบรมสั่งสอนบุตรธิดาอย่างไม่มีบกพร่อง แต่ต่อให้เขาคิดหัวแทบแตกก็คาดคิดไม่ถึงว่าบุตรชายของตนเองกลับมีสัมพันธ์กับเด็กรับใช้เสียได้ ซ้ำยังมาทำเรื่องคาวโลกีย์พรรค์นี้ในสถานที่ศักดิ์สิทธิ์อย่างห้องหนังสืออีกด้วย ช่างเสื่อมเสียวงศ์ตระกูล น่าอัปยศอดสูจริงๆ
ดังนั้นเขาจึงไม่สนใจสิ่งใด เตะประตูออกพรวดแล้วพุ่งปรี่เข้าไปตบหน้าบุตรชายสองฉาด
“เจ้ามันไม่ได้เรื่อง ถึงกับ...ถึงกับ...”
ทุกอย่างเกิดขึ้นอย่างรวดเร็วเกินไป คนทั้งสองที่อยู่ในห้องหนังสือยังมิทันได้ตื่นตกใจ นายน้อยโหลวก็ถูกฝ่ามือหนึ่งฟาดเข้าใส่เสียก่อน ส่วนเด็กรับใช้ที่หมอบอยู่กับโต๊ะเขียนหนังสือก็ได้สติสัมปชัญญะกลับคืนมาเล็กน้อยเช่นเดียวกัน จึงรีบหยิบเสื้อผ้าที่อยู่บนพื้นขึ้นมาปิดบังร่างกายอย่างรีบๆ
“นะ นายท่าน?”
“ท่านพ่อ...”
“อย่ามาเรียกข้า เจ้ามันสัตว์เดรัจฉาน!”
นายท่านโหลวโกรธกระฟัดกระเฟียด เดินเข้าไปหมายจะทุบตีบุตรชายของตนเองต่อ แต่โชคดีที่พ่อบ้านชราคอยยับยั้งห้ามปรามอยู่ข้างหลังจึงไม่ถึงกับเกิดโศกนาฏกรรมขึ้น
นายน้อยโหลวเห็นเรื่องแดงขึ้นจึงคลานเข้าไปคุกเข่าลงตรงหน้าคหบดีโหลวอย่างลนลาน ตะโกนร้องขอความเป็นธรรมเสียงดังลั่น “ทะ ท่านพ่อ ข้าไม่ได้...เป็นเขา เป็นถงเอ๋อร์ที่ยั่วยวนข้าขอรับ ท่านพ่อ!”
“...นายน้อย?” เมื่อได้ยินถ้อยคำนี้ของนายน้อยโหลว เด็กรับใช้ก็จ้องมองเขาอย่างไม่อยากจะเชื่อสายตา แต่กลับมิกล้าเอ่ยพูดอันใดมาก
ทว่านายน้อยโหลวกลับไม่ยอมมองมาที่เขาแม้แต่ปราดเดียว ในใจคิดแต่ต้องการร้องขอความเมตตา หวังว่าคหบดีโหลวจะให้อภัยเขา
“สารเลว ถ้าเจ้าไม่มีใจคิดสกปรก เขาจะยั่วยวนเจ้าสำเร็จได้อย่างไร?” คหบดีโหลวเหลือบมองเด็กรับใช้อย่.ี้ยมแวบหนึ่งพลางเอ่ย
“นี่...ไม่ ขะ เขาวางยาข้า...ท่านพ่อ เป็นความผิดของเขา ลูกถูกบังคับ ท่านต้องเชื่อข้านะขอรับ ท่านพ่อ”
นายน้อยโหลวเอ่ยไปพลางร่ำไห้ไปพลาง นายท่านโหลวจึงใจอ่อนขึ้นมาไม่น้อยอย่างอดมิได้ อย่างไรเสียก็เป็นบุตรชายคนโตของตน ความรักใคร่เอ็นดูอย่างมากล้นที่ผ่านมามิใช่ว่าพอบอกไม่มีปุ๊บก็จะไม่มีได้
ในราตรีนี้ พอฮูหยินใหญ่สกุลโหลวได้ข่าวก็รีบมาร้องขอความเมตตาให้บุตรชายเช่นกัน ดังนั้นท้ายที่สุดแล้วความผิดทั้งหมดจึงตกไปอยู่ที่เด็กรับใช้ตัวน้อยเพียงคนเดียวเท่านั้น
เด็กรับใช้เพื่อนเรียนหนังสือเช่นนี้จะเก็บเอาไว้มิได้ ดังนั้นเช้าตรู่วันถัดมาคหบดีโหลวจึงสั่งให้คนนำเงินมาให้เด็กรับใช้ผู้นี้แล้วส่งตัวเขากลับไป
หลายเดือนผ่านไป คหบดีโหลวซื้อที่ดินผืนหนึ่งเอาไว้ที่นอกเมือง ทั้งครอบครัวจึงพากันย้ายไปอยู่ที่นั่น หลังจากนั้นเวลาก็ล่วงผ่านไปอีกหลายปี นายน้อยโหลวเติบโตเป็นผู้ใหญ่ เขาพาภรรยาและบุตรกลับมาอยู่ที่เมืองจี้หยาง แต่ไม่ว่าจะสืบหาข่าวคราวเช่นไรกลับไม่มีใครจดจำเด็กรับใช้ตัวน้อยที่คฤหาสน์สกุลโหลวได้อีกแล้ว


บทที่หนึ่ง

ณ สถานที่ซึ่งอยู่ห่างจากเมืองจี้หยางออกไปไม่ไกลมีอำเภอเล็กๆ อยู่แห่งหนึ่ง อำเภอแห่งนี้อยู่ใกล้ชิดติดกับชายแดน เป็นหนึ่งในสถานที่ที่อยู่ห่างไกลที่สุดภายในอาณาเขตของแคว้นฉีอี้ ถึงอำเภอเล็กๆ แห่งนี้จะมีพื้นที่ไม่ใหญ่มาก แต่ก็เรียกได้ว่ามีทุกสิ่งพร้อมสรรพครบครัน แม้แต่ถนนสายเริงรมย์ก็ไม่แพ้ตัวเมืองใหญ่ๆ อันเจริญมั่งคั่งเหล่านั้นเลยเช่นกัน
บนนถนนสายเริงรมย์มีหอนางโลมอยู่ไม่น้อย ทว่าหอนายบำเรอกลับมีอยู่แห่งเดียว ชื่อว่าหอฉินยวน นายบำเรอที่ร้านนี้รูปโฉมงามล้ำโดดเด่น แต่ทว่าไม่มีนายบำเรอแรกบริสุทธิ์ กฎระเบียบก็แปลกประหลาดยิ่ง มีชื่อเสียงเป็นที่รู้จักในแถบนี้เป็นอย่างมาก มีคนไม่น้อยแวะเวียนมาเยือนเพราะได้ยินคำบอกเล่ากล่าวขาน สุดท้ายกลับบ้านไปด้วยความอิ่มเอมเปรมใจ กิจการเจริญรุ่งเรืองยิ่งนัก
หลีหวามาอยู่ที่ร้านนี้ได้เกือบห้าปีแล้ว ปีนี้ใกล้จะอายุสิบแปดปีเต็ม รูปลักษณ์ของเขามิอาจพูดได้ว่าโดดเด่นเหนือใคร ร่างกายก็เล็กจ้อย ในยามปกติแต่งกายเรียบง่ายเสียจนดูไม่เหมือนกับนายบำเรอ แต่กลับเหมือนข้ารับใช้เสียมากกว่า ด้วยเหตุนี้เขาจึงมักจะถูกลูกค้าเข้าใจผิด เรียกใช้ให้เขาทำนู่นทำนี่เป็นประจำ สุดท้ายยังตกรางวัลให้เงินเขาเล็กๆ น้อยๆ อีกด้วย ทว่าหลีหวาเป็นคนโอนอ่อน ยิ่งกว่านั้นยังนิสัยดีอย่างหาได้ยากยิ่ง แม้นจะถูกปฏิบัติด้วยเช่นนี้ก็ไม่โกรธ พอจัดการเรื่องเสร็จสรรพแล้วก็ไม่เพียงแต่ไม่รับเงินรางวัล ยังบอกลูกค้าอย่างพินอบพิเทาว่าเขาเข้าใจผิดแล้ว
นิสัยเช่นนี้มักทำให้คนอื่นๆ ในร้านอยากจะร้องไห้ก็ร้องไม่ได้อยากจะหัวเราะก็หัวเราะไม่ออกอยู่บ่อยๆ ในจำนวนนั้นอิ๋นฮวนที่สนิทกับเขามากที่สุดยิ่งมักจะใช้ฐานะผู้อาวุโสกว่าสั่งสอนเขาเป็นประจำว่าไม่ต้องอ่อนโยนขนาดนี้ก็ได้ แต่สุดท้ายก็ต้องกลับไปด้วยความล้มเหลวทุกครา
นิสัยดีๆ เช่นนี้แม้จะมิได้นำพาลูกค้ามากมายมาให้เขา แต่กลับทำให้เขาผูกสัมพันธ์อันดีกับคนอื่นได้ไม่น้อย กับทุกคนในหอฉินยวนยิ่งไม่จำเป็นต้องพูด แม้กระทั่งหญิงสาวและพวกลูกจ้างมากมายในถนนสายเริงรมย์ต่างก็ชื่นชอบเขากันทั้งสิ้น เพราะว่าเขาอายุยังน้อย ทุกคนจึงเห็นเขาเป็นเหมือนดั่งน้องชาย มีของอร่อยของสนุกอันใดก็มักไม่ลืมแบ่งปันให้เขาหนึ่งส่วน
ได้ใช้ชีวิตในสภาพแวดล้อมเช่นนี้ หลีหวารู้สึกพึงพอใจมากแล้ว
หลายวันมานี้ในหอฉินยวนน่าเบื่อหน่ายยิ่ง ทั้งหมดล้วนเป็นเพราะเมื่อหลายวันก่อนเฉิงอินถูกคนซื้อตัวไป เซวียนชิงเองก็ถูกคนพาตัวไปเช่นกัน มี ‘รุ่นพี่’ หายไปสองคนในชั่วเวลาสั้นๆ ภายในร้านจึงเงียบเหงาขึ้นไม่น้อย
เพื่อให้หลุดพ้นจากบรรยากาศอันกระอักกระอ่วนนี้ เถ้าแก่น้อยเย่าหลิงจึงตัดสินใจควักเงินตัวเองพาทุกคนในหอไปเดินตลาด ไปชมละครโรง ไม่นานนักวิธีนี้ก็เห็นผล ภายในหอกลับมาคึกคักมีสีสันอีกครา ทุกคนก็ค่อยๆ กลับคืนสู่สภาพเดิมเฉกเช่นก่อนหน้านี้
ว่ากันตามหลักแล้ว ในเมื่อทุกอย่างกลับคืนสู่ปกติ เช่นนั้นก็ไม่มีความจำเป็นจะต้องหยุดกิจการออกไปเที่ยวเล่นอีก ทว่าในยามเที่ยงของวันนี้ จู่ๆ เย่าหลิงก็พุ่งปรี่เข้ามาในห้องของหลีหวา จากนั้นลากเขาแล่นเข้าไปในเมืองจี้หยางอย่างไม่พูดพร่ำทำเพลง หลีหวายังไม่ทันเข้าใจสถานการณ์ใดๆ ก็ต้องตามเขาเข้าเมืองไปเสียแล้ว
พวกเขามาถึงใต้หอจิ่นซิ่วที่อยู่ในตัวเมือง ที่นี่มีคนมารวมตัวกันเป็นจำนวนมาก ทุกคนต่างก็แหงนหน้ามองบนหอสูง ไม่รู้ว่ามีเรื่องแปลกใหม่น่าสนุกอันใด เย่าหลิงลากหลีหวาเข้าไปในฝูงชน หลังจากยึดครองตำแหน่งที่ค่อนข้างชิดกับแถวหน้าสุดได้แล้วถึงค่อยหยุดฝีเท้าลง หลังจากนั้นเขาก็มองขึ้นไปยังหอสูงอย่างตื่นเต้น มีสีหน้าเช่นเดียวกับผู้คนที่อยู่รายล้อมโดยรอบ
หลีหวาไม่เข้าใจว่าเหตุใดถึงมีคนมากมายขนาดนี้ และไม่รู้เช่นกันว่าทุกคนกำลังมองดูอันใดกันอยู่ เขาเงยหน้าขึ้นจ้องมองนิ่งเหมือนกับเถ้าแก่น้อย ทว่าสิ่งที่เห็นกลับมีเพียงหอสูงอันว่างเปล่าเท่านั้น
“กำลังดูอันใดอยู่หรือขอรับ?” หลีหวาหันหน้าไปถาม
เย่าหลิงมองดูอย่างฮึกเหิม จ้องมองไปพลางเอ่ยตอบไปพลาง “ดูเหมือนว่าพวกเราจะมาทัน ยังมิได้เริ่มเลย”
“อันใดหรือ?”
“โยนลูกหนังผ้าปักอย่างไรเล่า!” เย่าหลิงหันหน้าไปฉีกยิ้มให้หลีหวา “ได้ยินว่าเป็นบุตรสาวของพ่อค้าร่ำรวยคนหนึ่งในเมืองหลวง อายุยี่สิบสามแล้วยังแต่งไม่ออกเลยมาโยนลูกหนังผ้าปักเลือกคู่ที่นี่”
“เลือกคู่?” หลีหวากะพริบตาปริบๆ อย่างไม่อยากจะเชื่อ ทั้งที่เป็นถึงคุณหนูในเมืองหลวง เหตุใดถึงมาแต่งงานในสถานที่ห่างไกลความเจริญเช่นนี้ได้เล่า?
หลีหวาเป็นคนนิสัยดี แต่ว่ากลับจริงจังต่อผู้อื่นต่อเรื่องราวต่างๆ อย่างยิ่ง โดยเฉพาะเรื่องใหญ่บางเรื่องยิ่งต้องรอบคอบระมัดระวัง คิดว่าไม่ควรจะทำอย่างถูไถขอไปทีแม้แต่น้อย
เย่าหลิงรู้นิสัยในจุดนี้ของเขาดีจึงยักไหล่พลางเอ่ยว่า “ใครจะไปรู้เล่า ข้าแค่รู้สึกว่าน่าสนุก แล้วก็ไม่เคยเห็นงานโยนลูกหนังผ้าปักเลือกคู่มาก่อนเลยลากเจ้ามาดูด้วยกัน”
“เช่นนี้นี่เอง”
เมื่อเข้าใจเหตุผลแล้วหลีหวาก็ไม่คิดเตลิดอีก เขายืนอยู่ที่เดิมพร้อมกับเงยหน้ามองไปบนหอสูงอย่างซื่อๆ ไร้เดียงสา การโยนลูกหนังผ้าปักเลือกคู่เขาก็เพิ่งเคยจะได้เห็นเป็นครั้งแรกเหมือนกัน ถือเสียว่าเป็นการเปิดหูเปิดตาก็ไม่เสียหายอันใด
ผ่านไปเป็นเวลาราวๆ หนึ่งถ้วยชา ในที่สุดบนหอจิ่นซิ่วซึ่งถูกประดับประดาด้วยผ้าแพรต่วนสีแดงก็ปรากฏเงาร่างหลายสายขึ้นมาภายใต้ความสนใจใคร่รู้ของผู้คน มีเจ้าสาวซึ่งใส่ชุดแต่งงานพร้อมกับคลุมผ้าปิดศีรษะทับเอาไว้ มีฮูหยินที่งามสง่าภูมิฐาน สีหน้าเข้มงวดสองคน ยังมีแม่สื่อที่แต่งองค์ทรงเครื่องเสียฉูดฉาดสะดุดตาอีกหนึ่งคน
การรวมตัวเช่นนี้ช่างแปลกพิลึกอย่างบอกไม่ถูก ทำให้คนจำนวนมากงุนงงตะลึงงันไป บรรยากาศข้างล่างหอซึ่งเดิมทีมีเสียงดังเซ็งแซ่คึกคักเงียบกริบลงในบัดดล คนไม่น้อยเปลี่ยนจากไชโยโห่ร้องมากระซิบกระซาบเสียงเบา ถ่ายทอดข่าวสารบางอย่างให้แก่กันและกัน
เย่าหลิงมองดูบนหอสูงแวบหนึ่ง ในดวงตาระคนด้วยแววสนุกสนานเสี้ยวหนึ่ง เขากระตุกแขนเสื้อของหลีหวาที่อยู่ข้างกาย เอ่ยถามเสียงต่ำเบาว่า “หลีหวา รู้สึกถึงปัญหาหรือไม่?”
“ปัญหา?” หลีหวามองไปบนหอสูงอีกปราดหนึ่ง หลังจากนั้นก็ส่ายศีรษะ “ไม่นี่ขอรับ ก็แค่เจ้าสาวดู...กำยำไปเสียหน่อย...”
“พรืด นั่นมิใช่คุณหนู แต่เป็นนายน้อยต่างหาก” เย่าหลิงรู้ดีว่าหลีหวาใสซื่อบริสุทธิ์ มองสาเหตุที่สถานการณ์กลายเป็นเช่นนี้ไม่ออก จึงเอ่ยเตือนขึ้นด้วยความปรารถนาดี
เมื่อได้ยินเขาบอกเช่นนี้ หลีหวาก็เบิกตากว้างถลน มองดูเจ้าสาวผู้นั้นอีกปราดหนึ่งก่อนจะย้อนถามอย่างไม่อยากจะเชื่อสายตาว่า “ปะ เป็นไปได้อย่างไร? วันนี้มิใช่ว่าจะโยนลูกหนังผ้าปักเลือกคู่หรอกหรือ?”
เย่าหลิงขยับเข้าไปใกล้ๆ หูของเขาแล้วเอ่ยว่า “อย่าลืมสิ ในแคว้นฉีอี้บุรุษกับบุรุษก็สามารถแต่งงานกันได้”
“ข้ารู้ แต่ว่า...” นี่มันออกจะมั่วซั่วเกินไปหน่อยกระมัง!
“แต่ละบ้านต่างก็มีปัญหาต่างกันไป ถ้าจะให้ข้าพูดละก็...” เย่าหลิงพูดพลางเหลือบมองฮูหยินผู้มีสีหน้าเย็นชาทั้งสองคนซึ่งอยู่บนหอสูงแวบหนึ่ง “เรื่องนี้มิธรรมดา กลับไปแล้วข้าค่อยวิเคราะห์ให้เจ้าฟังก็แล้วกัน”
หลีหวาคิดเพียงแค่มารอชมความสนุกสนานครื้นเครง เดิมทีก็ไม่คิดอันใดลึกซึ้งมากเกินไปอยู่แล้ว ยิ่งไปกว่านั้นเขาก็รู้ดีว่าตนเองโง่เขลา ต่อให้คิดแค่ไหนก็คิดหาสาเหตุไม่ออก ในเมื่อเถ้าแก่น้อยพูดว่าจะบอกให้ตนเองฟัง เช่นนั้นก็ไม่จำเป็นต้องไปคิดให้สับสนวุ่นวายอีก ด้วยเหตุนี้เขาจึงพยักหน้าเป็นการตอบรับ แล้วยืนอยู่ที่เดิมอย่างนิ่งเงียบต่อไป
ผ่านไปครู่หนึ่งก็เห็นบนหอสูงมีสาวใช้ผู้หนึ่งเดินออกมา นางประคองลูกหนังผ้าปักด้วยมือทั้งสองข้างเดินมาถึงตรงหน้าฮูหยินทั้งสอง หลังจากฮูหยินพยักหน้าเป็นการให้สัญญาณแล้วถึงค่อยมอบลูกหนังผ้าปักใส่มือของเจ้าสาวอย่างช้าๆ
ครั้นลูกหนังผ้าปักปรากฏขึ้น เสียงนินทากระซิบกระซาบเมื่อครู่นี้ก็หายวับไปในทันใด บุรุษกลุ่มหนึ่งทั้งตะโกนทั้งโห่ร้องอยู่ใต้หอสูง อีกทั้งยังมีคนปรบมือไม่หยุด หวังว่าเจ้าสาวจะโยนลูกหนังผ้าปักมาทางพวกเขา
หลีหวาเห็นแล้วก็สับสนงุนงง เขาดึงแขนเสื้อของเย่าหลิงเบาๆ พร้อมกับเอ่ยถามเสียงเบา “เถ้าแก่น้อย ในเมื่อไม่เห็นหน้าของเจ้าสาว ไม่รู้ว่ากลมหรือแบน เหตุใดทุกคนถึงยังกระตือรือร้นกันถึงขนาดนี้อีกเล่า?”
เย่าหลิงมีท่าทางราวกับกำลังรอชมละครสนุกๆ เขาเอ่ยอธิบายที่ข้างหูหลีหวาว่า “มิได้คึกคักเพราะเจ้าสาวหรอก แต่เพราะสินเดิมต่างหาก เจ้าดูฮูหยินสองคนนั่นสิ คนไหนไม่สวมใส่เครื่องเงินเครื่องทองบ้างเล่า หรูหราเสียกว่าอะไรดี คนมีเงินก็ชอบวางท่าโอ้อวดเช่นนี้แล...ไม่ว่าเจ้าสาวจะเป็นเช่นไร แต่สินเดิมไม่มีทางน่าเกลียดแน่นอน”
“อ้อ” หลีหวาพยักหน้าอย่างเข้าใจ
“ไอ้หยา มาแล้ว!”
“...!”
หลังจากเสียงหวีดร้องพลันดังขึ้น หลีหวากับเย่าหลิงยังไม่ทันได้หันขึ้นไปมอง เพิ่งจะเงยหน้าขึ้นก็ถูกลูกหนังผ้าปักสีแดงลูกโตกระแทกเข้าใส่อย่างจัง มิใช่พุ่งเข้าใส่เย่าหลิงแต่ว่ากระแทกใส่บนร่างของหลีหวา พาให้คนแตกตื่นจนรับมือไม่ทัน
“โอ๊ย!”
หลีหวาร่างเล็กเตี้ย ลูกหนังผ้าปักลูกนี้ถูกโยนเข้ามาอย่างรุนแรงยิ่ง เขาหลบหลีกไม่ทันจึงถูกลูกหนังผ้าปักกระแทกใส่จนล้มลงกับพื้น
คนที่อยู่โดยรอบถอยหลังออกตามสัญชาตญาณ เหลือช่องว่างเป็นวงกลมวงหนึ่งเอาไว้ หลีหวาล้มนั่งลงกับพื้น แรงกระแทกเมื่อครู่นี้ทำให้เขาวิงเวียน งุนงงไม่รู้ว่าเกิดอันใดขึ้นไปชั่วขณะหนึ่ง
“หลี หลีหวา...เจ้าไม่เป็นไรนะ?” เย่าหลิงยืนอยู่อีกด้าน เมื่อเห็นสถานการณ์กลายเป็นเช่นนี้ก็อดผงะอึ้งไปมิได้ คนอื่นๆ ยิ่งไม่ต้องพูดถึง
เบื้องล่างหอสูงเงียบกริบเป็นเป่าสาก ทุกคนล้วนมองไปทางหลีหวาอย่างไม่อยากจะเชื่อสายตาของตน ไม่สิ มองลูกหนังผ้าปักที่กระแทกเข้าใส่ร่างของหลีหวาต่างหาก...พอหลีหวาตั้งสติได้แล้ว เขาก็มองดูสภาพอันทุลักทุเลของตนเองเล็กน้อย ต่อมาก็มองไปยังลูกหนังผ้าปักที่เปรอะเปื้อนฝุ่นลูกนั้นครู่หนึ่ง พอจะรู้คร่าวๆ ว่าเกิดอันใดขึ้น เขาค่อยๆ ยืนขึ้นอย่างไม่รีบไม่ร้อน ตบเศษฝุ่นบนร่างและบนมือทั้งสองข้างออก หลังจากนั้นหยิบลูกหนังผ้าปักขึ้นมาอย่างเงียบๆ ก่อนจะเดินไปทางหอสูง
ในขณะเดียวกันนั้นบนหอสูงก็มีบุรุษผู้หนึ่งที่ดูท่าทางเหมือนองครักษ์เดินลงมาเช่นกัน พอหลีหวาเห็นว่ามีคนมาก็ประคองลูกหนังผ้าปักให้อย่างเคารพนบนอบ “พี่ใหญ่ท่านนี้ ข้าไม่...”
“คนที่โดนลูกหนังผ้าปักคือเจ้าสินะ?”
“เอ๋? อ้อ เป็นข้าเอง แต่ว่า...”
“เป็นเจ้าก็ใช้ได้แล้ว เข้าหอไปแต่งงานกับ...เจ้าสาวเถิด!” คนผู้นั้นพูดพลางลากหลีหวาเดินเข้าไปในหอ
หลีหวาเรี่ยวแรงไม่มากพอมิอาจขืนแรงเขาได้ จึงจำต้องหันกลับไปขอความช่วยเหลือจากเย่าหลิงอย่างสุดชีวิต “เดี๋ยวก่อน ข้าไม่...เถ้าแก่น้อย คือว่า...”
เย่าหลิงตะลึงลานไปก่อนในทีแรก ต่อมาพอเห็นหลีหวาถูกคนลากไปถึงค่อยได้สติกลับคืนมา แต่ว่าเขาหาได้รีบร้อนเข้าไปช่วยไม่ กลับยิ้มตาหยีโบกมือให้หลีหวาแล้วเอ่ยว่า “หลีหวา ดีกับเจ้าสาวของเจ้าให้มากๆ เล่า เจ้าวางใจเถิด เรื่องต่อจากนี้เดี๋ยวข้าจะช่วยเอง เจ้าไปเข้าห้องหออย่างมีความสุขเถิด!”
ครั้นวาจานี้โพล่งออกมา หลีหวาก็รู้ว่าเถ้าแก่น้อยของตนเองวางแผนจะดูละครสนุกจนถึงที่สุด ไม่คิดจะช่วยเหลือเขาแต่อย่างใด
เขาลอบถอนหายใจเฮือก จำต้องเดินตามไปเพื่อไม่ให้ผู้อื่นต้องเสียหน้า ทว่าแอบตัดสินใจเอาไว้ในใจว่า...อีกประเดี๋ยวจะต้องพูดกับเจ้าสาวผู้นั้นให้รู้เรื่อง
หลีหวาเดินเข้ามาในหอพร้อมกับความคิดเช่นนี้ ด้านในถูกประดับตกแต่งอย่างใหม่เอี่ยมเอาไว้ตั้งแต่แรกแล้ว ทั้งตัวอักษรมงคลสีแดง เทียนไขสีแดง ผ้าแพรต่วนสีแดง ชุดแต่งงานสีแดง...ทุกอย่างล้วนแต่เป็นสีแดง หลีหวามองดูจนดวงตาพร่าลายไปหมด




++++++++++++++++++++++++++++++++++++++
หลีหวาซึ่งมีเรือนกายเล็กจ้อย แต่งกายเรียบง่าย เป็นนายบำเรอที่ธรรมดาที่สุดในหอฉินยวน แต่เพียงแค่ถูกลากไปชมการโยนลูกหนังผ้าปักเลือกคู่อย่างกะทันหัน เขากลับต้องกลายเป็น ‘สามีปลอมๆ’ ของเสี่ยวจั๋วจื่อ ยิ่งไปกว่านั้นยังค้นพบว่าคู่หมั้นคู่หมายที่ตนไม่เคยเห็นหน้าค่าตาและรอให้มาหาผู้นั้นก็คือเสี่ยวจั๋วจื่อ
เขาถึงขนาดไม่สนในคำมั่นสัญญาที่ว่า ‘ละครหลอกๆ ไม่ถือเป็นจริงเป็นจัง’ แอบหลงชอบเสี่ยวจั๋วจื่อเข้าจริง... แต่เสี่ยวจั๋วจื่อกลับพูดว่าพวกเราเป็นได้แค่สหายกัน ซ้ำยังบอกว่าจะแต่งคู่หมั้นที่มารดาเลือกเอาไว้เป็นภรรยา ดังนั้นเมื่อคำนึงถึงพื้นเพอันโสมมและร่างกายอันพิลึกพิลั่นของตน หลีหวาจึงมีแต่ต้องถอนหมั้นเท่านั้น จะทำร้ายเสี่ยวจั๋วจื่อมิได้เป็นอันขาด…


รูปภาพ

ตอบกลับโพส

ย้อนกลับไปยัง “Bongkoch Books News & Activities”