New Release เหลียนฮวา : โฉมสะคราญในม่านราตรี

อัพเดทข่าวบงกชบุ๊คส์ ความเคลื่อนไหว และกิจกรรมพิเศษ ตลอดจนร่วมสนุกชิงรางวัลพร้อมของรางวัลมากมาย

Moderator: P'Bly, Gals, พี่บี

ตอบกลับโพส
Gals
โพสต์: 1068
ลงทะเบียนเมื่อ: ศุกร์ 13 ก.พ. 2009 3:47 pm

New Release เหลียนฮวา : โฉมสะคราญในม่านราตรี

โพสต์ โดย Gals »

บทที่หนึ่ง
เจ้าของร่างเดิมที่ถูกตามใจจนนิสัยเสีย


แสงแดดยามเข้าสู่ฤดูใบไม้ร่วงอบอุ่นและอ่อนโยน ไม่ร้อนแรงเท่าไรนัก สาดส่องลอดผ่านกลุ่มก้อนเมฆบนท้องฟ้า ทำให้ผู้คนง่วงงุน
ภายในสวนไม่ได้มีสภาพงดงามตระการตา ดอกพุดซ้อนสีเหลืองดอกใหญ่ที่อยู่ริมกำแพงบานอย่างโรยแรง แต่ผลส้มบนกิ่งของต้นส้มเก่าแก่ที่อยู่ด้านข้างกลับกำลังเปลี่ยนจากสีเขียวเป็นสีเหลือง แผ่เป็นร่มเงาเขียวขจีสลับกับสีเหลืองทอง บดบังแสงอาทิตย์ให้กับหญิงสาวที่กำลังเอนกายบนเก้าอี้รถเข็นอย่างพอดิบพอดี
ผมดกดำถูกมัดรวบอย่างลวกๆ หญิงสาวหยีตาเล็กน้อย ที่วางอยู่บนหน้าผากขาวผ่องคือหนังสือนิยายเล่มหนึ่งที่มีสภาพถูกเปิดอ่านจนใกล้ขาด กำลังอาบแสงอบอุ่นที่เหมือนจะมีเหมือนจะไม่มี
สาวใช้วิ่งเข้าวิ่งออกชะโงกหน้ามอง หนก่อนนั้นในมือถือตะหลิว หนก่อนหน้าในมือถือมีดผ่าฟืน มาหนนี้ดูท่าจะเสร็จงานแล้ว มือทั้งสองว่างเปล่า นางเห็นท่านั่งของหญิงสาวที่อยู่บนรถเข็นไม่เปลี่ยนไปเลยสักนิด ราวกับหุ่นไม้รูปคนจึงเดินมาเขย่าไหล่ของหญิงสาว “คุณหนู ไม่ใช่ว่านอนไปนอนมาแล้วก็คิดสั้นอีกนะเจ้าคะ”
สาวใช้อายุราวสิบเอ็ดสิบสองปี เส้นผมที่ไม่ค่อยจะดกหนาทั้งสีออกเหลืองถูกมัดเป็นสองมวยเล็กๆ รูปร่างบึกบึน การเขย่าครั้งนี้ไม่เห็นว่านางออกแรงเท่าใดนัก ทว่าหญิงสาวกลับถูกนางเขย่าเสียจนหนังสือหล่น คนก็เฉไปด้านข้าง ร่างกายที่สูญเสียสมดุลเอนเอียงไปตามเก้าอี้รถเข็น ดูท่าว่าจะล้มอย่างไม่น่าดูเสียแล้ว
ยามนั้นเองคนที่กำลังง่วงงุนกลับได้สติขึ้นมาอย่างเต็มที่ แล้วอะไรกันที่บอกว่านอนไปนอนมาแล้วก็คิดสั้นอีก?
เก้าอี้รถเข็นหนักสิบกว่าชั่ง ถูกสาวใช้พยุงไว้ในมืออย่างมั่นคง น้ำหนักเช่นนี้ถูกสาวใช้คนเดียวยกไว้ในมือ จะไม่ให้คนตกใจได้อย่างไรเล่า?
“รู้ว่าเจ้าแรงเยอะอย่างกับวัว วางข้าลงเถอะ” ความง่วงหนีหายไปหมด สาวใช้ทำให้นางรู้สึกขบขันยิ่งนัก
ได้รับร่างกายที่อ่อนแอ สุขภาพไม่ดี ขาก็ไม่ดี สวรรค์ให้นางเกิดใหม่อีกครั้ง แต่กลับให้ของขวัญใหญ่หลวงเช่นนี้มาด้วย
จากความทรงจำที่สับสนของหญิงสาวที่มีชื่อแซ่เหมือนกับนางว่าป๋อเพียวเหมี่ยวแล้ว ชีวิตสิบสามปีของเจ้าของร่างเดิมนั้นเรียกได้ว่าหยิ่งผยองโดยแท้...ใช้เงินราวกับเศษดิน หยิ่งยโสเป็นนิสัย นางเป็นดั่งอัญมณีในฝ่ามือของฮูหยินผู้เฒ่าเก๋อ ถูกเลี้ยงดูอยู่ในเรือนตั้งแต่เล็ก อาหารการกินที่เข้าปากไม่มีที่ไม่ประณีตเลิศรส ที่สวมใส่หรือก็เป็นของที่ดีที่สุด เสื้อผ้าที่ตัดเย็บจากผ้าดิ้นทองแซมด้วยขนนกยูงนั้นเป็นชุดที่ใส่ในยามทั่วไป อาภรณ์เครื่องประดับบนเรือนร่างล้วนมีมูลค่ามหาศาล เสื้อผ้าหนึ่งปีสี่ฤดูน้อยนักที่จะใส่ซ้ำกัน เลี้ยงดูฟูมฟักอย่างดีราวกับบุปผาล้ำค่า
ฮูหยินผู้เฒ่าเก๋อคือใครนั้นหรือ?
ผู้นำของตระกูลขุนนาง เหล่าไท่จวิน ขั้นหนึ่งผู้มากไปด้วยบารมี
แต่ทว่าทุกบ้านต่างมีปัญหาของตนเอง ไม่เห็นว่ามีฐานะ มีตำแหน่ง มีชาติตระกูลที่มีความสามารถโดดเด่น มีอำนาจเหนือสรรพสิ่งบนโลกแล้วเรื่องทุกข์ใจจะน้อยลง
ปีแรกที่ก่อร่างสร้างเมือง อดีตฮ่องเต้ทรงมีเมตตาอย่างยิ่งต่อผู้ที่ติดตามพระองค์ช่วงชิงแผ่นดิน ที่ควรพระราชทานบรรดาศักดิ์ก็พระราชทานบรรดาศักดิ์ ที่ควรพระราชทานรางวัลก็พระราชทานรางวัล ตำแหน่งฝู่กั๋วกง แห่งจวนสกุลเก๋อก็ได้มาจากความดีความชอบที่ติดตามอดีตฮ่องเต้นั่นเอง
ได้รับเกียรติยศเป็นขุนนางขั้นสูงเช่นนี้ คนที่สร้างตัวจากการไม่มีอะไรเลยล้วนยินดียิ่งนัก มีทั้งเงินและอำนาจในมือ อยากได้อะไรมีหรือจะไม่ได้
เช่นนี้เองแต่ละคนจึงมุ่งหน้าแสวงหาความสุขอย่างดีอกดีใจ ฟุ่มเฟือยได้แค่ไหนก็แค่นั้น ใช้เงินดั่งสายน้ำไหลแล้วจะทำไม หาข้าทาสบริวาร แต่งภรรยารับอนุมากมาย ด้วยหวังว่าจะแผ่กิ่งก้านสาขาเพื่อที่ตระกูลจะได้เจริญรุ่งเรืองต่อไป
น่าเสียดายที่ความเป็นจริงไม่เป็นดังที่ฝัน
ไม่รู้ว่าเป็นเพราะวัยหนุ่มจากไปไว หรือบาดเจ็บจากการออกรบ หรือเป็นเพราะเข่นฆ่ามากเกินไป ผลของการที่ฝู่กั๋วกงแต่งภรรยารับอนุมากมาย หว่านเชื้อพันธุ์ไปถ้วนทั่ว กลับกลายเป็นทารกไม่ตายตั้งแต่ในครรภ์ก็เลี้ยงไม่รอด สุดท้ายรักษาไว้ได้เพียงหนึ่งบุตรและหนึ่งบุตรีเท่านั้น
บุตรชายที่เป็นดังเพชรนิลจินดาเชื่อฟังคำสั่งเสียของผู้เป็นพ่ออย่างดี จะต้องทำให้ตระกูลยิ่งใหญ่เกรียงไกร เขาฉลาดขึ้นบ้างแล้ว ผู้หญิงที่จะแต่งเข้าจวนกั๋วกง คุณสมบัติข้อแรกมิใช่หน้าตางดงาม รูปร่างอรชร และไม่ใช่รอบรู้สรรพศาสตร์ แต่เป็นร่างกายแข็งแรง ทว่าภายหลังก็พิสูจน์แล้วว่าไม่ได้ผล
ในสถานการณ์ที่คนรุ่นหนึ่งไม่ได้ดีไปกว่าอีกรุ่นหนึ่ง พอถึงรุ่นของฮูหยินผู้เฒ่าเก๋อก็ได้เพียงหนึ่งบุตรชายเท่านั้น
ที่น่าเจ็บแค้นที่สุดคือ ซื่อจื่อ ผู้นี้ก็ไม่ได้ดีไปกว่ากัน สาวใช้ห้องข้างที่ฮูหยินผู้เฒ่าเก๋อคัดเลือกอย่างตั้งใจ เขารับไว้และใช้แล้ว แต่ก็ยังคงไม่มีวี่แวว ฮูหยินผู้เฒ่าเก๋อคิดขึ้นมาได้ว่า การให้กำเนิดบุตรชายคนโตจากอนุก่อนหน้าที่จะแต่งภรรยาไม่ใช่เรื่องดี จึงหันไปจัดการงานแต่งงานของบุตรชายอย่างรวดเร็ว
ภาพวาดของคุณหนูแต่ละตระกูลถูกส่งไปถึงมือของซื่อจื่อดังสายน้ำไหลไม่เว้นแต่ละวัน เขาดูจนมึนหัวตาลาย จนสุดท้ายไม่อาจไม่สารภาพกับมารดา เขายังไม่อยากแต่งงาน ไม่ใช่ว่าไม่แต่ง เพียงแต่ให้เวลาเขาไม่กี่ปีเท่านั้น
ฮูหยินผู้เฒ่าเก๋อไม่อาจพูดชนะลูกชายได้ ตอบตกลงอย่างหมดหนทาง แล้วฮูหยินผู้เฒ่าก็ดูชราลงมากนับตั้งแต่นั้น
ซื่อจื่อยิ่งคิดยิ่งไม่สบายใจ เห็นมารดาเอาใจทั้งหมดทุ่มเทกับการกินเจสวดมนต์ ไม่ถามเรื่องใดๆ กับเขาอีก มองเห็นแผ่นหลังเหงาหงอยนั้นทำให้ใจของเขากระตุกอย่างเจ็บปวด
เขาเรียกผู้เฒ่าป๋อสหายต่างวัยที่คบหาในราชสำนักออกมาดื่มสุรา ทั้งสองดื่มสุราจนมึนเมา ต่างระบายความทุกข์ของตน ชายหนุ่มถูกบังคับให้แต่งงาน ชายสูงวัยกลับทุกข์ที่สูญเสียบุตรชาย บุตรชายคนเล็กของบ้านกับสะใภ้ตายด้วยเหตุมิคาดคิดทั้งคู่ เหลือไว้เพียงหนึ่งบุตรชายและหนึ่งบุตรสาว เขาที่ตำแหน่งขุนนางไม่สูง ฐานะทางบ้านไม่สู้ดี ก็หวังพึ่งสุราให้เมาเพื่อลืมเรื่องทุกข์ทั้งปวง
วันนั้น ซื่อจื่อแห่งจวนฝู่กั๋วกงที่เมาแอ๋ อุ้มป๋อเพียวเหมี่ยวกลับมาให้ฮูหยินผู้เฒ่าเก๋อเลี้ยงดู
ที่จริงแล้ว พอซื่อจื่อสร่างเมาในวันรุ่งขึ้นก็รู้สึกว่าตนช่างบ้าบิ่น ทำไมจึงรับหลานสาวของผู้เฒ่าป๋อมาเสียได้ เขารีบเร่งไปดูที่เรือนของฮูหยินผู้เฒ่าเก๋อ พอเห็นภาพตรงหน้าเขาแทบจะร่ำไห้ออกมา
มารดาที่แต่เดิมสูญสิ้นความหวัง ผอมแห้งเหมือนซากไม้กลับเผยรอยยิ้มที่เขาไม่ได้เห็นมานานกำลังหยอกล้อกับเด็ก
เขาจึงกลืนคำพูดทั้งหมดกลับลงท้อง พลาดก็พลาดไปแล้ว ไม่ว่าจะว่าเขาอาศัยอำนาจรังแกผู้อื่นก็ดี หรือว่าใช้ทั้งไม้แข็งไม้อ่อนก็ดี ประการหนึ่งคือเขาได้ช่วยผู้เฒ่าป๋อแบ่งเบาภาระเลี้ยงดู ประการที่สองมารดาของเขาก็ดีใจ
สำหรับเขาแล้ว เพิ่มเด็กสาวมาหนึ่งคนก็แค่เรื่องเพิ่มตะเกียบอีกหนึ่งคู่
ซื่อจื่อคิดไปคิดมาจึงกลับไปให้คนส่งทรัพย์สินเงินทองไม่น้อยให้กับตระกูลป๋อ
ว่ากันอย่างมีเหตุผลแล้ว เรื่องนี้เป็นเรื่องน่ายินดี ทั้งสองฝ่ายต่างได้ในสิ่งที่ตนเองต้องการ แต่ป๋อเพียวเหมี่ยวคนนี้กลับเป็นพวกไม่รู้จักสำนึก หลายปีต่อมา อาศัยอำนาจของฮูหยินผู้เฒ่า ยกตนราวกับเป็นบุตรสาวแท้ๆ ยโสโอหัง ไปๆ มาๆ ก็มีเรื่องบาดหมางกับญาติห่างๆ ที่อาศัยอยู่ในจวนฝู่กั๋วกงไปทั่ว ยิ่งไม่ต้องพูดถึงบ่าวไพร่ นางไม่ถือว่าคนรอบข้างเป็นคนเสียด้วยซ้ำ ด่าทอทุบตีเป็นประจำ พวกบ่าวไพร่แค่ได้ยินชื่อนางต่างก็กลัวจนไม่กล้าส่งเสียง
ยามนั้นนางจะไปรู้ได้อย่างไรว่ายิ่งถูกยกขึ้นสูงเท่าใด เวลาตกลงมาก็ยิ่งอนาถมากขึ้นเท่านั้น
แต่ไหนแต่ไรซื่อจื่อก็ไม่ชอบการวางท่าของนาง จนนางอายุมากขึ้น ความไม่ชอบใจนั้นยิ่งรุนแรงขึ้น ต่อมาเขาเองแต่งภรรยาและรักใคร่ภรรยาของตนยิ่งนัก แต่ป๋อเพียวเหมี่ยวที่ก้าวร้าวไร้มารยาทผู้นี้กลับมาล่วงเกินภรรยาของเขาไม่รู้กี่ครั้งต่อกี่ครั้ง ถึงขั้นทำให้ฮูหยินซื่อจื่อที่กำลังตั้งครรภ์ หรือที่นางควรจะเรียกว่ามารดาบุญธรรมเกือบรักษาครรภ์นี้ไว้ไม่ได้
สำหรับตระกูลเก๋อแล้วทายาทเป็นสิ่งสำคัญมากเพียงใด ด้วยความโกรธซื่อจื่อจึงไม่ให้ป๋อเพียวเหมี่ยวเรียกเขาว่าบิดาบุญธรรมอีกต่อไป เขากล่าวว่าในเมื่อไม่เคยผ่านพิธีรับเป็นบุตรบุญธรรมอย่างเป็นทางการ ต่อไปในภายหลังนางเรียกเขาว่าซื่อจื่อก็แล้วกัน
เรื่องมาถึงเพียงนี้ หากคุณหนูใหญ่ป๋อสำนึกในสิ่งที่ตนทำทั้งหมดสักนิดก็คงไม่เกิดเรื่องราวเหล่านั้นในภายหลัง
ความอดทนของซื่อจื่อมีจำกัด เมื่อเขามีบุตรชายบุตรสาวของตัวเอง สำหรับเขาป๋อเพียวเหมี่ยวก็ไม่ต่างอะไรกับอุจจาระเพียงกองหนึ่ง
เห็นแก่ที่นางเคยมอบความสุขของการมีบุตรหลานห้อมล้อมให้กับฮูหยินผู้เฒ่าเก๋อ เขาอดทนมาโดยตลอด
เพียงแต่ยามนี้ไม่ได้แล้ว พอฮูหยินผู้เฒ่าเก๋อจากไป ยังไม่ทันจะขนย้ายโลงศพ ไม่ต้องพูดถึงคำสั่งเสียของฮูหยินผู้เฒ่าที่ยังไม่ได้อ่าน เขาสั่งกักตัวป๋อเพียวเหมี่ยวไว้ก่อน เดิมคิดว่าจะย้ายนางไปอยู่ศาลบรรพบุรุษหรือวัดประจำตระกูลให้สิ้นเรื่อง สุดแล้วแต่นางจะใช้ชีวิตที่เหลืออย่างไร ภายหลังตระกูลป๋อรู้ข่าวเข้า ไม่รู้ทั้งสองตระกูลคุยกันว่าอย่างไร ป๋อเพียวเหมี่ยวถูกส่งกลับบ้านเดิมที่ทงโจวในซานซีอย่างไม่เต็มอกเต็มใจ
ไหนเลยจะรู้ว่าคุณหนูใหญ่ป๋อผู้นี้จะไม่เข้าใจในสถานการณ์ของตนเลยสักนิด พอเห็นบ้านที่มีประวัติตระกูลไม่ถึงหนึ่งร้อยปี ไม่คู่ควรแม้แต่จะถือรองเท้าให้กับจวนฝู่กั๋วกงก็โวยวายใหญ่โต มิใช่ว่าทั้งครอบครัวถูกนางรบกวนจนมิอาจสงบสุข ขณะนั้นนายท่านผู้เฒ่าป๋อล่วงลับไปแล้ว ผู้เป็นใหญ่ในบ้านก็คือฮูหยินผู้เฒ่าป๋อ เห็นหลานสาวที่ใจออกห่างจากตระกูล อีกทั้งถูกเอาใจจนเสียคน นอกจากจะเสียใจยังรู้สึกว่านางขาดการอบรม จึงจับนางโยนไปที่หมู่บ้านจูเจียเจี่ยวที่อยู่ห่างออกไปร้อยลี้เพื่อให้นางสำนึกตน
บ้านหลังนั้นเป็นของป๋อซานเหนียง นางเป็นน้องสามีของมารดาป๋อเพียวเหมี่ยวที่ตายไปแล้ว ยามเยาว์นับว่าเข้ากันได้ดี นางยังเคยอุ้มป๋อเพียวเหมี่ยวยามแรกเกิดด้วย
แต่ป๋อซานเหนียงเป็นคนสันโดษ ในสายตาไม่มีผู้ใด เดิมคิดว่าชาตินี้จะโดดเดี่ยวจนตาย ภายหลังกลับหลงรักสามีที่ไม่มีอะไรเหนือกว่านางสักอย่าง ครอบครัวตักเตือนแต่ไม่ฟัง ถูกมองว่าเนรคุณจึงถูกไล่ออกจากบ้าน
ชะตาชีวิตของนางก็ไม่ดี แต่งงานได้ไม่กี่ปีสามีก็มาจากไป ไม่ทิ้งไว้แม้บุตรชายหรือบุตรสาวสักคน มีเพียงแค่บ้านหนึ่งหลัง นางไม่ยอมกลับบ้านเดิมไปเป็นกูไหน่ไน ผ่านชีวิตวัยกลางคนก็ยังคงโดดเดี่ยว อาศัยเป็นอาจารย์หญิงให้กับพวกคุณหนูตระกูลขุนนางดำรงชีพ
เห็นแก่สัมพันธ์น้องสามีกับพี่สะใภ้ที่เคยมี ป๋อซานเหนียงตกลงให้ป๋อเพียวเหมี่ยวผู้ไม่รู้จักฟ้าสูงแผ่นดินต่ำพักอาศัยอยู่ที่บ้านจูเจียเจี่ยวแห่งนี้
แต่ว่าที่นี่ขอเงินไม่มีเงิน ครั้นขอคน ข้างกายก็มีแค่สาวใช้หนึ่งคนที่ป๋อซานเหนียงทิ้งไว้ให้ ป้าใหญ่ที่ฮูหยินผู้เฒ่าป๋อมอบให้นาง กับชายชราที่มีหน้าที่เฝ้าประตูหนึ่งคน ป๋อเพียวเหมี่ยวมิอาจรับสภาพเช่นนี้ได้ นางคือป๋อเพียวเหมี่ยวเชียวนะ จะให้ใช้ชีวิตยากจนข้นแค้น ไม่มีศักดิ์ศรีราวกับถูกเหยียบอยู่ใต้โคลนตมเช่นนี้ได้อย่างไร
นางดิ้นรนอยู่หลายครั้ง จนชัดแจ้งแล้วว่าตนมิอาจกลับไปจวนฝู่กั๋วกงได้อีก แม้แต่ท่านยายแท้ๆ ของนางก็ละทิ้งนาง นางเจ็บปวดเสียจนไม่อยากมีชีวิตอยู่ ให้นางใช้ชีวิตเช่นนี้ มิสู้ตายไปเสียดีกว่า
นางจึงกลืนทอง แล้วก็กระโดดสระ
การกระทำครั้งนี้ทำให้ป๋อซานเหนียงโกรธมาก รู้สึกว่าตนเก็บเอาตัววุ่นวายกลับมา เจ้าคนไม่รู้ดีรู้ชั่ว ไม่รู้สึกรู้สา! คนมีชีวิตอยู่ก็ยากแล้ว นางกลับรนหาที่ตาย!
ด้วยเหตุนี้นอกจากเชิญหมอมารักษาป๋อเพียวเหมี่ยว นางก็ไม่ยอมทำอะไรที่มากกว่านี้อีก
ส่วนนาง ป๋อเพียวเหมี่ยวที่มาแทนที่เจ้าของร่างเดิมก็มีชีวิตร่อแร่เช่นนี้ไปวันๆ กินยาน้ำสีดำครึ่งปีถึงมีแรงลงจากเตียง เพียงแต่ลงจากเตียงแล้ว เป็นเพราะแช่ในสระน้ำเย็นนานเกินไป ขาทั้งสองข้างหนาวเย็นจึงใช้การไม่ได้ อีกทั้งผ่านความลำบาก ช่วงหลายวันมานี้เลยกลายสภาพเป็นเช่นนี้
ถ้าให้ป๋อเพียวเหมี่ยวพูดละก็ เจ้าของร่างเดิมเป็นเช่นนี้ก็สมควรแล้ว คนเช่นนี้ แม้แต่นางที่ยืมร่างมายังไม่อยากจะเห็นใจเลย
สาวใช้ที่อยู่ข้างกายผู้นี้เป็นคนที่เห็นเจ้าของร่างเดิมร้องไห้จะเป็นจะตาย และอยู่ตรงหน้าคอยรับใช้ให้กินยา ตั้งแต่ป๋อเพียวเหมี่ยวฟื้นขึ้นมาจนถึงตอนนี้ สาวใช้ที่ชื่อว่าฮวาเอ๋อร์ผู้นี้เฝ้าดูนางอย่างเข้มงวดดังเช่นแม่ไก่ปกป้องลูกไก่อย่างไรอย่างนั้น แม้แต่อาบแดดก็ยังวิ่งมาชะโงกหน้าดูบ่อยๆ กลัวเหลือเกินว่านางจะทำเรื่องโง่เดือดร้อนคนทั้งบ้านอีก
ฮวาเอ๋อร์สมองไม่ดี แต่ดีตรงที่มีเรี่ยวแรงเยอะ งานหนักหรืองานที่ต้องใช้กำลังในบ้านนางเป็นคนรับผิดชอบทั้งหมด ถึงรอยหยักในสมองจะตรงไปหน่อย แต่ก็พูดได้ว่าคนเดียวทำงานแทนได้หลายคน
แม้จะรู้ตั้งแต่แรกแล้วว่านางมีกำลังมาก แต่คาดไม่ถึงว่าจะมากถึงเพียงนี้ เห็นนางยกเก้าอี้รถเข็นขึ้นอย่างง่ายดาย ป๋อเพียวเหมี่ยวรีบสั่งให้นางวางเก้าอี้รถเข็นลง “เจ้าวางใจเถอะ ข้าจะไม่ทำเรื่องโง่อีก จะไม่คิดสั้นอีกแล้ว”
“จริงนะเจ้าคะ” แววตาของฮวาเอ๋อร์แสดงชัดเจนว่าไม่เชื่อ
ป๋อเพียวเหมี่ยวเบิกตาที่กระจ่างใสราวกับน้ำในฤดูใบไม้ผลิคู่นั้นเล็กน้อย นี่สงสัยนางหรือ?
ไม่เลว ก้าวหน้าขึ้น
“แม่ของข้าเคยบอกว่าตายนั้นดีมิสู้ทนมีชีวิตต่อ มีชีวิตดีจะตาย มีเนื้อให้กิน มีผลไม้เคลือบน้ำตาลให้กิน ได้เที่ยวเล่น แถมยังได้เล่นสาดน้ำกับสาวใช้หวังที่อยู่ทางตะวันตกของหมู่บ้าน” นี่คือความทรงจำทั้งหมดของฮวาเอ๋อร์
เท่าที่ป๋อเพียวเหมี่ยวรู้ แม่ของฮวาเอ๋อร์จากไปตั้งนานแล้ว พ่อแต่งงานใหม่ก็กลับกลายเป็นพ่อเลี้ยง แล้วก็กลายเป็นพ่อเลว แม่เลี้ยงใช้ ‘ลูกชาย’ ที่อยู่ในครรภ์เป็นข้ออ้าง คิดจะขายฮวาเอ๋อร์ที่เป็นดังสินค้าขาดทุน
แม่เลี้ยงผู้นั้นก็ไม่คิดเสียหน่อยว่างานในบ้านฮวาเอ๋อร์เป็นคนทำทั้งหมด ขายฮวาเอ๋อร์ไปแล้วภายหลังงานทั้งหมดใครจะทำ
คิดหวังแต่ความสุขตรงหน้า ไม่คิดถึงผลที่ตามมา สมองหมูจริงๆ!
ป๋อซานเหนียงรู้เรื่องนี้เข้าก็ซื้อฮวาเอ๋อร์มา
อย่าเห็นว่าฮวาเอ๋อร์อายุน้อยไม่ประสีประสา นางก็มีอารมณ์ความรู้สึก ตั้งแต่นั้นมาแม้ว่าจะอยู่ในหมู่บ้านเดียวกัน อย่าว่าแต่กลับไปเยี่ยมพ่อของนาง แม้แต่ทางที่ใช้กลับบ้านเส้นนั้นก็ไม่เดินไปอีก
ป๋อเพียวเหมี่ยวฟังที่ฮวาเอ๋อร์พูดเสียยืดยาว เอ่ยขึ้นเรียบๆ ว่า “คนเลอะเลือนหนึ่งหน กล่าวได้ว่าไม่รู้เรื่อง แต่ถ้าทำเรื่องโง่ๆ ถึงสองหนก็ไม่มีหนทางรักษาแล้ว คุณหนูของเจ้าเป็นคนโง่เช่นนั้นหรือ”
ฮวาเอ๋อร์ฟังไม่เข้าใจ อะไรเลอะเลือนไม่เลอะเลือน เพียงแต่เชื่ออย่างแท้จริงว่าสมองของคุณหนูเหมือนกับนางที่ไม่ค่อยจะดีเสียเท่าไร ในมือมีทองไม่เอาไปซื้อเนื้อซื้อไข่ไก่กิน กลับกลืนทองแข็งๆ ลงไปในท้อง ต้องโง่เพียงใดถึงทำเช่นนี้ได้
หากเป็นนางละก็ นางยอมเป็นผีอิ่มๆ ไม่เป็นผีอดอยาก นางไม่โง่เช่นนั้นแน่ๆ
เพียงแต่เวลานี้คุณหนูคล้ายว่าจะไม่เหมือนเดิม คำพูดของคุณหนูหมายถึงว่าจะไม่คิดสั้นอีก ไม่ฆ่าตัวตายแล้วใช่หรือไม่
เช่นนี้ก็ย่อมดี นางจะได้ไม่ต้องกินไม่อิ่ม นอนไม่หลับ กังวลจนผอมลงไปหลายชั่ง
ป๋อเพียวเหมี่ยวไม่รู้ว่าในใจคดเคี้ยวของฮวาเอ๋อร์คิดเช่นนี้ มิเช่นนั้นแล้วจะต้องหัวเราะออกมาเป็นแน่ นางเห็นฮวาเอ๋อร์ยิ้มอย่างไร้เดียงสา พลันนึกอะไรขึ้นมาได้ ยื่นมือมาหยิกที่ข้อมือของนาง
ฮวาเอ๋อร์รู้สึกตัว “คุณหนู คุณหนูหยิกบ่าวทำไมเจ้าคะ เป็นเพราะเมื่อครู่บ่าวพูดผิดหรือเจ้าคะ”
ป๋อเพียวเหมี่ยวไม่ตอบ พอหยิกจึงได้รู้ว่ากระดูกของนางต่างกับคนทั่วไป เป็นต้นกล้าที่ดีเหมาะจะฝึกวรยุทธ์
“เจ้าแรงเยอะ เคยคิดจะฝึกวรยุทธ์เรียนรู้วิชาติดตัวหรือไม่”
“มีวิชาติดตัวแล้วทำอะไรได้หรือเจ้าคะ ใช้สู้กับคนเลวหรือเจ้าคะ” ฮวาเอ๋อร์เป็นคนซื่อ คิดอะไรก็มีเพียงเส้นตรงเสมอมา นางจะไม่ถามป๋อเพียวเหมี่ยวว่าเพราะอะไรคุณหนูที่ป่วยออดๆ แอดๆ ไม่สนใจไยดีนางจึงจะสอนวรยุทธ์ให้กับนาง หรือคุณหนูเป็นวรยุทธ์ตั้งแต่เมื่อไร ทำไมจึงดูต่างกับยามที่เพิ่งมาถึงจูเจียเจี่ยว
นางรู้แต่เพียงว่า คุณหนูที่ยิ้มให้นาง พูดคุยกับนางในยามนี้ดียิ่งนัก คุณหนูพูดอะไรนางก็จะทำเช่นนั้น ถ้าถามนางว่าเพราะอะไร นางก็จะบอกว่าเจ้านายเก่าของนางสั่งให้นางเชื่อฟังคำพูดของคุณหนู เหตุนี้นางจึงเชื่อฟัง
“นอกจากทำให้ร่างกายแข็งแรงแล้ว ใช้สู้กับคนเลวก็ใช่ว่าจะไม่ได้ ใครกล้ารังแกเจ้า หากเจ้าฝึกวรยุทธ์สำเร็จ เตะทีเดียวคนผู้นั้นก็ติดกำแพง เจ้าว่าเช่นนี้ดีหรือไม่เล่า”
ติดกำแพง เหมือนกับแผ่นแป้งทอดเช่นนั้นหรือ?
ฟังดูไม่เลวเลย
ฮวาเอ๋อร์ตาเป็นประกาย “ฝึกเป็นแล้วมีลูกกวาดให้กินหรือไม่เจ้าคะ”
ไม่มีเด็กคนไหนไม่ชอบลูกกวาด โดยเฉพาะเด็กชนบท ทั้งปีหาโอกาสที่จะกินลูกกวาดได้ยาก แค่พูดถึงของหวานก็มีท่าทีไม่ต่างอะไรกับมด
“หากเจ้าฝึกได้ดี ก็จะซื้อน้ำตาลปั้นให้เจ้ากิน”
พอได้ยินว่ามีลูกกวาดให้กิน น้ำลายของฮวาเอ๋อร์แทบจะไหลออกมา “พวกเราจะเริ่มฝึกเมื่อไรเจ้าคะ มิสู้เริ่มวันนี้เลย อย่างไรเสียงานในบ้านก็ทำหมดแล้ว” นางทำท่า ‘ยามนี้ข้าว่างมาก ข้ามีเวลา’
“ได้ เช่นนั้นเริ่มจากวรยุทธ์ขั้นพื้นฐาน” มีเพียงฝึกวรยุทธ์ขั้นพื้นฐานจนแกร่งกล้าเท่านั้น ระหว่างฝึกจึงจะไม่ล้มเหลวกลางทาง
เพียงแต่การฝึกฝนวรยุทธ์ขั้นพื้นฐานลำบากยิ่งนัก ท่านั่งม้า ฉีกขาดัดเอว โดยเฉพาะท่าฉีกขาทำให้คนตกใจหนีมานักต่อนักแล้ว เพราะว่าช่วงแรกที่ฉีกขาจะรู้สึกแปลกใหม่ แต่การฉีกขานั้นทำให้เส้นเอ็นเจ็บปวด เมื่อฉีกขาได้ดีแล้วจึงจะใช้กระบวนท่าที่ต้องใช้ขาทุกกระบวนท่าได้อย่างใจคิด มีเพียงผ่านด่านฝึกนี้จึงจะไปต่อได้ พูดได้ว่าการฉีกขาเป็นก้าวแรกแห่งหนทางอันยาวไกล ส่วนท่านั่งม้านั้นเป็นท่าพื้นฐานของการฝึกวรยุทธ์ทั้งปวง
ชาติที่แล้วป๋อเพียวเหมี่ยวเกิดในตระกูลที่ฝึกฝนวรยุทธ์ ถ่ายทอดรุ่นสู่รุ่นอย่างแท้จริง ตระกูลเช่นนี้ในยุคสมัยใหม่เหลือน้อยดุจขนหงส์เขากิเลน เป็นเพราะถ่ายทอดมารุ่นแล้วรุ่นเล่า รวบรวมไว้เพียงสิ่งที่ดี สิ่งที่นางศึกษาจึงล้วนแต่ล้ำเลิศ
เป็นเพราะคนในตระกูลไม่อาจออกห่างวรยุทธ์ ฝึกร่างกายฝึกวรยุทธ์เป็นเวลานาน แต่ละคนล้วนอายุยืนทั้งนั้น
ดูจากปู่ทวดของนางก็ได้ อายุปาเข้าไปเก้าสิบเก้าปียังไปเที่ยวรอบโลกคนเดียว อายุร้อยกว่าปียังเดินเหินคล่องแคล่ว ในหนึ่งมื้อต้องกินข้าวสองชามใหญ่ ไม่มีเนื้อไม่ได้ วิชาของนางก็ได้มาจากการฝึกฝนกับปู่ทวดนี่เอง
นางไม่ได้เดินตามทางที่ครอบครัวเลือกให้อย่างการเป็นอาจารย์สอนวรยุทธ์หรือตัวแสดงแทน เพราะวัยรุ่นเลือดร้อน นางรู้สึกว่างานพวกนั้นน่าเบื่อจึงเข้าร่วมองค์กรใต้ดิน รับภารกิจลอบสังหาร
แม้จะเก่งกาจแต่ก็ยังพลาดพลั้ง ยามที่ออกไปทำภารกิจ เพื่อจะช่วยคู่หูที่บังเอิญเหยียบกับระเบิด นางถูกระเบิดเป็นชิ้นๆ
ถ้าถามว่าให้นางเลือกอีกครั้ง นางจะทำเช่นนี้อีกหรือไม่
คำตอบคือไม่ สภาพที่มิอาจอยู่ได้โดยไม่มีคนข้างกายเช่นตอนนี้ นางจะไปช่วยใครได้

***

ป๋อเพียวเหมี่ยวคิดว่าฮวาเอ๋อร์จะมีนิสัยเด็กๆ เลยไม่ได้คาดหวังว่านางจะกระตือรือร้นฝึกวรยุทธ์ที่น่าเบื่อได้นาน คิดไม่ถึงเลยว่านางบ่นว่าทำท่านั่งม้าน่าเบื่อก็จริง ดังนั้นยามที่ทำท่านั่งม้า ฉีกขาและดัดเอว นางจึงยกโม่หินที่อยู่ในบ้านขึ้น ใช้สองแขนหมุนเล่น
โม่หิน...ป๋อเพียวเหมี่ยวไม่มีอะไรจะเอ่ย สาวใช้คนนี้บางทีไม่เพียงแต่เรี่ยวแรงเยอะ ไม่ใช่ต้นกล้าที่ดีเหมาะจะฝึกวรยุทธ์เท่านั้น แต่นางมีพรสวรรค์
ช่วงเวลาหลายวันมานี้ฮวาเอ๋อร์ขยันฝึกฝน ป๋อเพียวเหมี่ยวก็ไม่ได้อยู่ว่าง ยามค่ำคืนเงียบสงบ นางนั่งสมาธิเดินลมปราณ ให้ลมปราณวิ่งพล่านไปทั่วร่าง นางลองใช้ลมปราณพุ่งชนจุดชีพจรที่อุดตัน เพียงแต่ยิ่งรีบร้อนยิ่งไม่เห็นผลดี ทุกคืนนางเหนื่อยจนไม่มีเรี่ยวแรง ทุกวันจึงนอนถึงยามตะวันโด่ง มีหนหนึ่งเกือบจะธาตุไฟเข้าแทรก
นับแต่นั้นมานางไม่กล้ารีบร้อนเช่นนี้อีก สามารถเดินลมปราณทะลุจุดชีพจรที่อุดตันหนึ่งเส้นก็ถือว่าเป็นผลสำเร็จ ไม่บังคับให้ตนทำสำเร็จได้ในครั้งเดียวเพราะว่าเป็นไปไม่ได้ ร่างกายตอนนี้ของนางรับไม่ไหว




+++++++++++++++++++++++++++++++++++
ภพก่อนป๋อเพียวเหมี่ยวเป็นมือสังหารผู้เก่งกล้า กลับทะลุมิติมาเป็นคุณหนูพิการนั่งรถเข็น! นางจึงใช้กำลังภายในรักษาขาให้หาย และเริ่มเพาะเห็ดล้ำค่าขายจนมีเงินถุงเงินถัง แต่ชีวิตสุขสบายได้ไม่ทันไรคู่หมั้นที่เป็นถึงผู้สำเร็จราชการก็ถ่อมาชนบทเพื่อถอนหมั้น เช่นนั้นก็ย่อมได้! ทว่าใครจะรู้ว่าสวรรค์ช่างเล่นตลกนัก กลางวันเพิ่งถอนหมั้นกันหมาดๆ กลางคืนกลับถูกวางยาจนร่วมเตียงกับเขา...

ดึกดื่นค่ำคืนนางหลบหนีไป ไม่อยากจะมีส่วนเกี่ยวข้องใดๆ กับบุรุษที่จิตใจลึกลับซับซ้อนผู้นี้อีก เดิมทีจึงคิดเสียว่าโดนหมากัด แต่หลังจากนั้นสองเดือนกว่า สิ่งที่ควรมากลับไม่มา แถมอดีตคู่หมั้นยังหวนมาทวงสิทธิ์ที่อยู่ในท้องของนาง ทำไมนางต้องแต่งงานกับเขาด้วย ในเมื่อเป็นแม่ค้าผู้ร่ำรวยดีกว่าเป็นอนุภรรยาที่โดนขังอยู่ในเรือนหลังเป็นไหนๆ!


รูปภาพ

ตอบกลับโพส

ย้อนกลับไปยัง “Bongkoch Books News & Activities”