New Release เหลียนฮวา : ลิขิตคู่ตุนาหงัน

อัพเดทข่าวบงกชบุ๊คส์ ความเคลื่อนไหว และกิจกรรมพิเศษ ตลอดจนร่วมสนุกชิงรางวัลพร้อมของรางวัลมากมาย

Moderator: P'Bly, Gals, พี่บี

ตอบกลับโพส
Gals
โพสต์: 1068
ลงทะเบียนเมื่อ: ศุกร์ 13 ก.พ. 2009 3:47 pm

New Release เหลียนฮวา : ลิขิตคู่ตุนาหงัน

โพสต์ โดย Gals »

บทที่หนึ่ง
ตกน้ำข้ามภพ


อำเภออวี๋เป็นศูนย์กลางในการมุ่งหน้าสู่ซีเป่ย ภายในอำเภอมีลำคลองสลับกันไปมาเชื่อมโยงกันเป็นโครงข่ายแม่น้ำหนาแน่น การขนส่งทั้งทางบกและทางน้ำเจริญรุ่งเรือง แม่น้ำหลีเชื่อมเข้ากับอำเภออวี๋ คดเคี้ยววกวน เส้นทางในแม่น้ำมีทั้งแคบและกว้างแตกต่างกัน ทำให้ยามที่เรือสินค้าขนาดใหญ่มาถึงแม่น้ำไหวเจิ้นจำต้องขนถ่ายสินค้าออก เปลี่ยนไปโดยสารด้วยเรือเล็กหรือเรือสำปั้นเข้าไปยังภูเขาชื่อซาน
สำหรับพ่อค้าที่มีกำลังในการขนส่งไม่มากนัก การขนส่งทางน้ำเป็นวิธีขนส่งที่สะดวกที่สุด แต่สำหรับตระกูลกู้ซึ่งเป็นพ่อค้าที่มีกำลังการขนส่งมาก การขนส่งทางบกนั้นสะดวกต่อการประหยัดต้นทุนแรงงานคน
ตระกูลกู้อยู่ที่อำเภออวี๋มาสามชั่วอายุคน สั่งสมบารมีมาได้ไม่น้อย บรรพบุรุษของตระกูลกู้เป็นผู้ที่ ‘ซื่อสัตย์และรักษาสัจจะ’ เป็นพ่อค้าเร่ที่ยึดมั่นไม่หลอกลวงแม้แต่เด็กและคนชรา ค้าขายของแท้ด้วยราคาสมน้ำสมเนื้อ
บ้านของตระกูลกู้นั้นตั้งอยู่ทางใต้ของเมืองในอำเภออวี๋ เป็นบ้านใหญ่ห้าตอนที่เห็นได้ยากยิ่งในซีเป่ย แม้ว่าจะถูกข้าศึกภายนอกเข้ารุกรานและเผชิญกับความผันผวนทางการเมืองอยู่บ่อยครั้ง แต่เพราะตั้งอยู่บนชัยภูมิที่ได้เปรียบ ยากต่อการถูกรุกล้ำ ภายในมีผืนดินอุดมสมบูรณ์มากมาย ฉะนั้นจึงไม่ได้รับผลกระทบและความเสียหายเท่าใดนัก
ในระยะเวลาไม่กี่ปีมานี้ที่ขั้วอำนาจทางการเมืองเกิดความผันผวน อำเภออวี๋ที่ห่างไกลจากฮ่องเต้ แม้ว่าจะไม่ถึงกับเจริญรุ่งเรือง แต่การใช้ชีวิตของประชาชนก็ไม่ได้ทุกข์ร้อนเรื่องอาหารการกินหรือเรื่องเครื่องนุ่งห่ม ใช้ชีวิตอย่างอยู่เย็นเป็นสุข
เวลานี้ย่างเข้าเดือนสามแล้ว อากาศเดี๋ยวร้อนเดี๋ยวหนาว เรือทัศนาจรลำหนึ่งแล่นเอื่อยเฉื่อยอยู่บนแม่น้ำหลี ที่หัวเรือมีบรรดาเจ้านายและบ่าวรับใช้ร่วมยี่สิบคน เป็นกู้ชิวเฟิงคุณชายตระกูลกู้ที่พาหลี่เซียงจวินผู้เป็นภรรยา กู้ชิวซินและกู้ชิวถงน้องสาวทั้งสองคนชมทัศนียภาพของแม่น้ำ
พวกเขาออกเดินทางตั้งแต่รุ่งอรุณ เทียบเรือที่ไหวเจิ้น จากนั้นจึงให้คนขนเครื่องยาและเครื่องหอมยี่สิบหีบที่ตระกูลกู้จัดซื้อมาจากซีเป่ยซึ่งขนส่งมาถึงไหวเจิ้นขึ้นเรือทัศนาจรแล้วจึงเดินทางกลับ
ทั้งที่เป็นเรือทัศนาจรสำหรับการล่องชมแม่น้ำ แต่กลับเข้าบรรทุกสินค้าที่ไหวเจิ้นได้นับว่าประหลาดยิ่งนัก ทว่าเรื่องต่างๆ ของตระกูลกู้ล้วนเป็นบุรุษที่ตัดสินใจ หลี่เซียงจวิน กู้ชิวซิน และกู้ชิวถงไม่สามารถเอ่ยปากถามมากความได้
เดินทางผ่านภูเขาชื่อซานมาได้ไม่นาน กู้ชิวเฟิงที่นั่งอยู่บนที่นอนในเก๋งเรือหาวออกมาครั้งแล้วครั้งเล่า ขยี้ดวงตาไปมา
“สี่ไหล นำหอมลืมโศกของข้าออกมา”
กู้ชิวเฟิงเป็นบุตรชายเพียงคนเดียวของกู้วั่นเต๋อผู้นำตระกูลกู้คนปัจจุบัน เพราะเป็นบุตรชายและทายาทเพียงคนเดียว ตั้งแต่เล็กเลยได้รับความรักความเอ็นดูเต็มเปี่ยม
สี่ไหลที่อยู่ด้านข้างขานรับออกมาหนึ่งครั้งแล้วรีบไปเอากระถางธูปอวิ๋นหลงหูเดียวออกไปให้เจ้านายที่ด้านนอก พร้อมขวดกระเบื้องเคลือบขวดเล็กๆ ที่บรรจุหอมลืมโศก
กู้ชิวเฟิงเคยชินกับการใช้ธูปหอมมาแต่ไหนแต่ไร ครึ่งปีก่อนเขาได้รู้จักพ่อค้าต่างถิ่นแซ่หลิวผู้หนึ่งที่หอเซียวเซียง เรื่องราวการพบกันของทั้งสองนั้นเป็นเช่นนี้ หลังจากอีกฝ่ายทราบถึงความเคยชินในการใช้ธูปหอมของเขาจึงได้มอบเครื่องหอมหายากและแสนล้ำค่าจากทางตะวันตกให้เขา นับจากนั้นเขาก็หลงใหลอย่างถอนตัวไม่ขึ้น
ทุกครั้งที่หมดอาลัยตายอยากหรือหงุดหงิดใจ เพียงแค่ได้สูดดมกลิ่นธูปที่จุดก็สามารถปลอบโยนจิตใจ อารมณ์ดีขึ้นได้
เพราะได้ผลลัพธ์อันแสนอัศจรรย์ หลังจากนั้นเขาจึงซื้อจากพ่อค้าต่างถิ่นแซ่หลิวมาชุดหนึ่ง ถึงอย่างไรวันนี้ทั้งวันก็ต้องใช้ให้ได้สามหรือห้าอันถึงจะสมใจอยาก
กู้ชิวเฟิงอดรนทนรอสี่ไหลช่วยเขาจุดหอมลืมโศกไม่ไหวจึงคว้าเอามาแล้วปักหอมลืมโศกไปกลางกระถางธูปอย่างคล่องแคล่วด้วยตนเอง ใช้แท่งจุดไฟจุดลงไป เพียงครู่เดียวควันสีขาวก็ลอยออกมาเฉื่อยๆ ไม่ขาดสาย อากัปกิริยาราวกับอูจี้ ที่ร่ายรำอย่างงดงามอ่อนช้อย
เขาคว้ากระถางธูปเข้ามาใกล้ สูดดมกลิ่นหอมหวานอันเป็นเอกลักษณ์นั้น หรี่ดวงตาลงเล็กน้อย เผยรอยยิ้มสุขสมออกมา
หลี่เซียงจวินที่เดิมทีนั่งมองดูเหตุการณ์อยู่ข้างเขาเผยสีหน้ากังวลออกมาเล็กน้อย นางผุดลุกขึ้นและออกไปจากเก๋งเรืออย่างเงียบเชียบ
นางเป็นหลานสาวแท้ๆ ของหลี่ซิงลี่ผู้ว่าการเขตทงโจวคนก่อน เมื่ออายุได้สิบห้าก็แต่งเข้าตระกูลกู้ จวบทุกวันนี้หน้าท้องของนางก็ยังไร้วี่แวว
ที่กาบเรือ กู้ชิวซินพิงราวกั้นเรืออยู่เพียงลำพัง ชื่นชมทัศนียภาพวสันตฤดูบนผืนน้ำ หางตาเหลือบเห็นหลี่เซียงจวินเดินมาหานาง
หมุนกายไปมองหลี่เซียงจวิน “พี่สะใภ้ ด้านนอกนี้เย็นนัก ออกมาทำไมหรือ?” เห็นใบหน้าอมทุกข์ของหลี่เซียงจวินแล้ว ในฐานะที่นางเป็นสตรีเหมือนกันก็อดรู้สึกเช่นเดียวกันไม่ได้
“พี่ชายเจ้าใช้หอมลืมโศกอีกแล้ว...” หลี่เซียงจวินทอดถอนหายใจอีกครั้ง “ตั้งแต่ที่ได้หอมลืมโศกนั่นมา วันทั้งวันเขาก็เอาแต่จุดตั้งไม่รู้กี่รอบ”
“พี่สะใภ้ไม่ชอบกลิ่นนั้นหรือ?” นางเอ่ยถาม
หลี่เซียงจวินขมวดคิ้วงาม “ของสิ่งนั้นมีบางอย่างผิดปกติ...”
กู้ชิวซินชะงักเล็กน้อย “ผิดปกติเช่นไร?”
“ข้าก็บอกไม่ถูก แต่...” ขณะที่หลี่เซียงจวินกำลังพูดอยู่นั้นนางอดที่จะผินหน้ามองไปทางเก๋งเรือไม่ได้ พลางกล่าวออกมาอย่างทุกข์ใจ “เจ้าไม่รู้สึกบ้างหรือว่าเขาผ่ายผอมลงไปเยอะนัก สีหน้าก็เหลืองราวกับเทียนไข”
ปกติแล้วกู้ชิวซินไม่ได้คบค้าสมาคมอะไรกับกู้ชิวเฟิงมากมาย ถึงจะเจอหน้ากันแต่ก็ไม่ได้สนใจสีหน้าของเขาแต่อย่างใด นางคิดว่าที่หลี่เซียงจวินอ่อนไหวขนาดนี้ อาจจะเป็นเพราะคอยสนใจแต่กู้ชิวเฟิงเสียมากกว่า
กู้ชิวซินยิ้มระคนถอนหายใจ “เกรงว่าพี่สะใภ้จะคิดมากไปแล้ว ดูแล้วพี่ใหญ่เขาก็มีชีวิตชีวาดี”
“ไม่หรอก เขา...” ดูเหมือนว่าหลี่เซียงจวินต้องการจะพูดอะไรบางอย่าง แต่ไม่ทันได้พูดออกมาก็กลับกลืนคำพูดลงไป
กู้ชิวซินสะท้อนสายตาสงสารออกมา “พี่สะใภ้ ถึงพี่ใหญ่จะเย็นชากับท่าน แต่ใจของท่านก็ยังเป็นของเขาใช่หรือไม่?”
หลี่เซียงจวินสูดหายใจลึกๆ ครั้งหนึ่ง จากนั้นก็ผ่อนออกมาอย่างเงียบเชียบ กล่าวออกมาด้วยน้ำเสียงจนปัญญา “แต่งกับไก่ก็ต้องตามไก่ ข้าเป็นภรรยาของเขาแล้ว ใจก็ต้องเป็นของเขา”
กู้ชิวซินกุมมือของนางและนวดให้อย่างอ่อนโยน “พี่สะใภ้ หวังว่าพี่ใหญ่จะรับรู้ถึงจิตใจของท่าน...”
หลี่เซียงจวินยังคงขมวดคิ้ว นางส่ายหน้า ถอนหายใจออกมาอย่างแผ่วเบาแล้วไม่เอ่ยคำใดออกมาอีก
การแต่งงานของตระกูลกู้และตระกูลหลี่ก็เพียงเพื่อเชื่อมเส้นสายทางการเมืองและการค้าในอำเภออวี๋เท่านั้น ทว่าปัจจุบันนี้เป็นเพราะหลี่ซิงลี่ฉ้อฉลรับสินบนจนถูกยื่นคำร้องให้พ้นจากตำแหน่ง ทั้งหลี่เซียงจวินเองยังไม่ได้ให้กำเนิดทายาท ถูกทิ้งราวกับรองเท้าคู่เก่านั้นล้วนเป็นเรื่องที่ช้าเร็วจะต้องเกิด
สตรีในตระกูลกู้นั้นไม่มีฐานะอะไร นอกจากจะมีค่าพอให้ใช้ประโยชน์
หวังซื่อ มารดาผู้ให้กำเนิดกู้ชิวซินเป็นภรรยาเอกของกู้วั่นเต๋อ เกิดในครอบครัวบัณฑิต เป็นคนอ่อนโยนมีเมตตา เคารพนบนอบผู้อื่น ประหยัดมัธยัสถ์และอ่อนน้อมถ่อมตน ชนะใจกู้โส่วเฉิงบิดาของกู้วั่นเต๋อ แต่ทว่าหวังซื่อร่างกายอ่อนแอขี้โรค ไม่สามารถตั้งครรภ์มีบุตรได้ ก่อนที่กู้โส่วเฉิงจะตายจากไปได้อนุญาตให้กู้วั่นเต๋อแต่งจ้าวซื่อเข้ามาเป็นอนุภรรยา
ทันทีที่จ้าวซื่อแต่งเข้ามาก็ตั้งครรภ์ คลอดกู้ชิวเฟิงบุตรชายคนโตให้แก่กู้วั่นเต๋อ มารดาได้ดีเพราะอาศัยบุตรชาย ฉะนั้นถึงจ้าวซื่อจะเป็นอนุภรรยา แต่เมื่ออยู่ในตระกูลกู้นั้นนางเรียกลมก็ต้องได้ลม เรียกฝนก็ต้องได้ฝน หวังซื่อภรรยาเอกก็จำต้องยืมจมูกผู้อื่นหายใจถึงจะดำเนินชีวิตอยู่ในตระกูลกู้ได้อย่างสงบ
สามปีต่อมา ในที่สุดหวังซื่อก็คลอดบุตรคนแรกของนางกับกู้วั่นเต๋อ และเป็นบุตรเพียงคนเดียว น่าเสียดาย...ที่เป็นบุตรี
หวังซื่ออยู่ในตระกูลต่อได้อีกสามปีก็ป่วยตายจากไป เวลานั้นจ้าวซื่อที่กำลังตั้งครรภ์ได้รับการแต่งตั้งให้เป็นภรรยาเอกทันที ในสายตาของจ้าวซื่อ กู้ชิวซินไม่ได้เป็นตะปูในสายตาและไม่ได้เป็นหนามตำใจ เพราะที่ตระกูลกู้นั้นบุรุษสำคัญกว่าสตรี ฐานะสูงกว่าสตรี นางจึงไม่ได้เป็นภัยคุกคามอะไรต่อจ้าวซื่อ ในสายตาของจ้าวซื่อมีเพียงแต่กู้ชิวเฟิงผู้เป็นบุตรชาย กระทั่งกับกู้ชิวถงที่เป็นบุตรีแท้ๆ ก็แสนเย็นชา
เคราะห์ดีที่แม่นมหม่าที่เลี้ยงดูพวกนางเป็นคนใจดีมีเมตตา อีกทั้งกู้ชิวซินก็มีความรู้สึกดีๆ ต่อน้องสาวร่วมบิดรต่างมารดา
ปีที่อายุสิบห้าปีครานั้น นางได้รับการพูดคุยเรื่องแต่งงานหลังจากพิธีปักปิ่น คู่หมั้นของนางคืออวี๋เหรินโจวบุตรชายของตระกูลอวี๋ เจ้าของเหมืองแร่แห่งเขาไหวซาน อวี๋เหรินโจวนั้นมีความสำคัญเป็นลำดับที่สองของตระกูล เป็นบุตรที่เกิดจากภรรยาเอก เพราะได้ติดต่อกันจากการค้าขาย ในที่สุดกู้วั่นเต๋อก็บังเกิดสายใยรักต่อกู้ชิวซินที่สามารถแต่งเข้าตระกูลอวี๋ได้ขึ้นมาหนึ่งสาย
อาจเป็นเพราะโชคชะตาเล่นตลก หลังจากที่ทั้งสองตระกูลแลกเปลี่ยนใบเทียบชะตากันได้ไม่นาน ขณะที่อวี๋เหรินโจวอยู่ในเหมืองแร่ของตระกูลก็ถูกหินทับจนสิ้นชีพ นับแต่นั้น ‘ดาวหายนะ’ สองคำนี้ก็ตามติดกู้ชิวซินเป็นเงาตามตัว
เพราะสูญสิ้นซึ่งประโยชน์ นางจึงได้รับความเย็นชาจากบิดาอีกครั้ง กระทั่งไม่กี่เดือนก่อนหน้าอำเภออวี๋มีหานโม่โหลวนายอำเภอคนใหม่มาประจำการ อาศัยความสัมพันธ์แต่เก่าก่อนของบิดา จากการเป็นพ่อสื่อพ่อชักของฉางหย่งรองเสนาบดีฝ่ายขวาแห่งกรมคลัง นางจึงได้หมั้นหมายกับหานโม่โหลว
เมื่อมีค่าพอให้ใช้ประโยชน์อีกครั้ง นางจึงได้ใช้ชีวิตอย่างสบายอกสบายใจอยู่ระยะเวลาหนึ่ง หากไม่เป็นเช่นนั้น การล่องแม่น้ำในวันนี้คงมาไม่ถึงนาง
หานโม่โหลวเข้ามารับตำแหน่งจวนจะครบสามเดือนแล้วแต่นางไม่เคยได้เจอเขาสักครั้ง แน่นอนว่าไม่รู้ว่าเขาเป็นคนอย่างไรเช่นกัน นางรู้แค่ว่าปีนี้เขาอายุยี่สิบเจ็ดปี อายุมากกว่านางสิบปีพอดี แต่อายุไม่ใช่ปัญหาสำหรับนาง นางหวังเพียงแค่ว่าเขาจะเป็นคนอ่อนโยนคนหนึ่ง
ตอนนี้เรือทัศนาจรแล่นผ่านศาลเจ้าแม่หลิวสุ่ยที่ริมฝั่งแม่น้ำหลี ศาลแห่งนั้นมีประวัติศาสตร์มานานนับร้อยปี เมื่อหนึ่งร้อยปีก่อนทุกครั้งที่ถึงคิมหันตฤดู น้ำในแม่น้ำหลีก็จะเอ่อล้นท่วมทำลายท้องทุ่ง ทำให้เก็บเกี่ยวผลผลิตได้ไม่ดี ชาวบ้านต่างทุกข์ระทมแสนสาหัส ดังนั้นแม่น้ำหลีจึงทิ้งชื่อที่ไม่เป็นมงคลไว้ชื่อหนึ่งว่า ‘แม่น้ำมรณะ’
อยู่มาปีหนึ่ง รูปสลักไม้เทวรูปองค์หนึ่งถูกน้ำท่วมพัดขึ้นมาเกยริมแม่น้ำ คู่สามีภรรยานักตกปลาแซ่กัวคู่หนึ่งเก็บองค์เทวรูปขึ้นมาและใช้ก้อนหินกับท่อนไม้สร้างศาลาบูชาหลังเล็กขึ้นมาอย่างง่ายๆ ตรงบริเวณที่เก็บองค์เทวรูปได้ พูดไปก็แสนประหลาดนัก นับตั้งแต่ที่คู่สามีภรรยาแซ่กัวบูชาองค์เทวรูป เรื่องที่ตกปลาได้จำนวนมากขึ้นนั้นไม่ต้องพูดถึง กระทั่งภรรยาที่ร่างกายอ่อนแอขี้โรคของชาวประมงผู้เฒ่าแซ่กัวก็ค่อยๆ แข็งแรงขึ้น
ด้วยเหตุนี้คู่สามีภรรยาแซ่กัวจึงเรียกขานองค์เทวรูปว่าเจ้าแม่หลิวสุ่ยและคอยเคารพบูชา เมื่อข่าวแพร่กระจายออกไปก็เริ่มมีผู้คนเข้ามาจุดธูปขอพร อีกทั้งเจ้าแม่หลิวสุ่ยยังให้สมดังปรารถนาอยู่เสมอ ที่อัศจรรย์ไปกว่านั้นคือหลังจากที่เจ้าแม่หลิวสุ่ยมาประดิษฐานอยู่ที่ริมแม่น้ำหลี น้ำก็ไม่ท่วมอีกเลย ประชาชนต่างใช้ชีวิตอย่างสงบสุข สองปีให้หลังเหล่าคนตระกูลสูงศักดิ์ต่างรวบรวมเงินบริจาคสร้างศาลเจ้าแม่หลิวสุ่ยขึ้น นับแต่นั้นตะเกียงและธูปก็สว่างไสวอยู่เรื่อยมา
เมื่อเจอศาลเจ้าแม่หลิวสุ่ย หลี่เซียงจวินกับกู้ชิวซินก็พนมมือหลับตาพร้อมกันอย่างไม่ได้นัดหมาย หันหน้าไปทางศาลเจ้าขอพรเจ้าแม่หลิวสุ่ยให้คุ้มครองเรื่องแต่งงานของพวกนางให้ผ่านไปได้ด้วยดีและมีทายาทโดยไวอย่างจริงใจ
ขอพรเรียบร้อย พอลืมตาขึ้นมากลับเห็นอีกหลายศีรษะโผล่พ้นขึ้นมาจากน้ำ จู่ๆ ตัวเรือก็สั่นโคลงเคลง คนจำนวนนับไม่ถ้วนโผล่กายขึ้นมาจากผืนน้ำ บ้างก็ปีนขึ้นมาอยู่บนดาดฟ้าเรือ ทันใดนั้นบรรดาสตรีที่อยู่บนดาดฟ้าเรือต่างกรีดร้องอย่างตกใจและวิ่งหนีกันกระเจิดกระเจิง
กู้ชิวเฟิงเห็นสถานการณ์เช่นนั้นจึงตะโกนเสียงดังลั่น “เอาของลงแม่น้ำไปเสีย!”
ได้ยินเช่นนั้นบรรดาผู้ติดตามและบ่าวรับใช้เกือบสิบคนพุ่งไปยังเก๋งเรือ คนหนึ่งรับหีบไม้ที่อยู่ทางด้านหนึ่งของเก๋งเรือมาไว้ คนหนึ่งก็โยนลงแม่น้ำหลีไป
มือของกู้ชิวซินข้างหนึ่งจับหลี่เซียงจวินไว้แต่กลับไม่รู้ว่าจะหนีไปทางไหนดี ทันทีที่หันหน้าไปก็เห็นกู้ชิวถงขดตัวอยู่ที่ริมขอบเรือ ตกใจร้องไห้คร่ำครวญจนไม่ได้ยินเสียงอะไร
“อาเยว่ ดูแลฮูหยินน้อยให้ดี!” นางตะโกนเรียกบ่าวสตรีคนหนึ่งที่อยู่ใกล้ๆ วิ่งไปหากู้ชิวถงอย่างไม่คิด
ฉับพลันตัวเรือก็สั่นไหวอย่างรุนแรง นางจิตใจไม่สงบเอาเสียเลย ซวนเซล้มหัวฟาดตกสู่แม่น้ำ...

***

เขากุ่ยคู หมู่บ้านเฮยเฟิง
จี้โม่ชิวนั่งอยู่บนขอบเตียง มือทั้งสองข้างกุมมือเย็นเยียบของกู้ชิวซินไว้แน่น ทั้งนวดทั้งถูมือไปมา เหมือนกับต้องการทำให้มือเย็นเยียบของนางอุ่นขึ้น
ข้างๆ กันนั้นเป็นสามีของนาง ซึ่งก็คือตี๋เลี่ยหัวหน้าโจรภูเขาของหมู่บ้านเฮยเฟิง พูดกับนางอย่างเคร่งขรึม “โม่ชิว เจ้าเหนื่อยหรือไม่ ไปพักสักหน่อยเถิด ข้าจะให้โซ่วหวามาช่วย”
“ข้าไม่เป็นอะไร...” จี้โม่ชิวส่ายหน้าแล้วยิ้ม “หวังว่าเจ้าแม่หลิวสุ่ยที่คุ้มครองข้าในคราแรกจะคุ้มครองให้นางผ่านวิกฤตนี้ไปได้อย่างปลอดภัย”
ก่อนหน้านี้เมื่อหนึ่งปีกว่าตอนที่พวกเขามาที่หมู่บ้านเงียบสงบแห่งนี้ เพราะพิษที่เหลือค้างในตัวนางกำเริบ ไข้ขึ้นไม่ลดอยู่หลายวัน ถึงเหอเชาหมอในหมู่บ้านจะมีวิชาการรักษาปราดเปรื่อง ทว่าก็หมดปัญญาเช่นกัน
คืนหนึ่งตี๋เลี่ยกึ่งหลับกึ่งตื่นฝันเห็นอารามแห่งหนึ่ง วิหารหลังใหญ่ในอารามมีเทวรูปไม้สลักสถิตอยู่ ป้ายไม้ด้านล่างเขียนด้วยอักษรสีทองว่า ‘เจ้าแม่หลิวสุ่ย’ สี่คำ ในฝันมีเสียงหนึ่งเอ่ยกับเขาว่า
‘ริมแม่น้ำหลี รีบมารับน้ำมนต์โดยเร็ว...’
เขาตื่นขึ้นมามุ่งหน้าไปยังริมแม่น้ำหลีด้วยเชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่ง ไม่คาดคิดว่าจะมีศาลเจ้าแม่หลิวสุ่ยที่ธูปเทียนไม่มอดดับอยู่จริงๆ เขาขอน้ำมนต์มาจากศาลเจ้า หลังจากกลับมาที่หมู่บ้านแล้วก็มอบให้จี้โม่ชิวดื่มกิน คิดไม่ถึงว่าไข้นางจะทุเลาลงจริงๆ ทั้งยังค่อยๆ ฟื้นคืนสติ
เพื่อแสดงความขอบคุณและความเคารพ เมื่อจี้โม่ชิวอาการดีขึ้นแล้วจึงมุ่งหน้าไปขอของศักดิ์สิทธิ์จากเจ้าแม่หลิวสุ่ยที่ศาลเจ้าแม่ จากนั้นก็บูชาเจ้าแม่หลิวสุ่ยอยู่กลางหมู่บ้าน นับแต่นั้นมาคนเฒ่าคนแก่ ลูกเล็กเด็กแดงในหมู่บ้านต่างก็ร่างกายแข็งแรง ใช้ชีวิตอย่างสงบสุข
เวลานี้จี้โม่ชิวผู้มีจิตใจงดงามหวังเพียงแค่ว่าแม่นางที่ท่านหมอเหอตัดสินว่าหมดหนทางเยียวยาจะได้รับความคุ้มครองจากเจ้าแม่หลิวสุ่ย
“ท่านหมอเหอบอกแล้วว่านางจมน้ำนานเกินไป หัวใจ ปอด และสมองได้รับอันตรายสาหัส เกรงว่า...” ตี๋เลี่ยไม่ได้เอ่ยปากต่อ เพราะเขาเห็นจี้โม่ชิวก้มหน้าราวกับจะพูดว่า ‘อย่าได้เอ่ยคำพูดที่ทำให้คนหมดกำลังใจเลย’
แม่นางผู้นี้เป็นคนที่พวกเขากลุ่มหนึ่งคว้าขึ้นมาได้จากแม่น้ำพร้อมกับหีบไม้ แม้นางจะเหลือลมหายใจเพียงเสี้ยวเดียวพวกเขาก็ยังเร่งฝีเท้ากลับหมู่บ้านเฮยเฟิงให้เร็วขึ้นอีก ไม่แน่ว่าเหอเชาอาจจะช่วยชีวิตนางไว้ได้ เสียดายที่จนบัดนี้นางก็ยังไม่ฟื้นขึ้นมา
ตี๋เลี่ยย่นคิ้วดกดำของตัวเอง “โม่ชิว พวกเราทำดีกับนางจนถึงที่สุดแล้ว เจ้าไม่จำเป็นต้องทำเช่นนี้...”
ยังไม่ทันได้เอ่ยจบ เพียงเห็นจี้โม่ชิวมีหยาดน้ำตา กลิ่นอายความแข็งแกร่งทั่วร่างของตี๋เลี่ยก็มลายหายไป เขาเป็นชายหยาบกระด้างคนหนึ่ง ต่อให้มีใบมีดมาทิ่มแทงเขาหลายใบก็ไม่อาจทำให้เขาขมวดคิ้วหรือแค่นเสียงออกมาได้ แต่ที่เขากลัวก็คือน้ำตาของจี้โม่ชิว
นางเป็นศัตรูโดยธรรมชาติของเขาตี๋เลี่ยผู้นี้ชัดๆ!
“เจ้าร้องไห้ทำไมรึ?” เขาขมวดคิ้ว
“ข้าก็แค่นึกถึงตอนที่พี่สาวของข้าตาย อายุของนางก็เท่านี้...” จี้โม่ชิวปาดน้ำตาตรงหางตาออกไป “วัยเบ่งบานราวบุปผา แต่กลับ...”
“โม่ชิว...” ในสายตาของตี๋เลี่ยมีเพียงความรู้สึกรักและทะนุถนอมภรรยาของเขาที่เคยมีอดีตอันน่าเศร้าเท่านั้น หากรู้แต่แรกว่าจะเป็นเช่นนี้ เขาจะไม่พาตัวแม่นางที่ตกน้ำผู้นี้กลับมายังหมู่บ้านเฮยเฟิงเด็ดขาด จะทิ้งนางไว้ที่ริมแม่น้ำหลีอยู่เช่นนั้น



+++++++++++++++++++++++++++++
เมื่อลืมตาอีกครั้งหลังจมน้ำเธอกลับพบว่าตัวเองมาอยู่ในร่างของกู้ชิวซินลูกสาวตระกูลพ่อค้าร่ำรวย แถมยังถูกจับมาอยู่ในหมู่บ้านโจรในยุคสมัยไหนก็ไม่รู้ โชคดีที่เธอกุมจุดอ่อนของหัวหน้าโจรไว้ได้จึงใช้ชีวิตได้อย่างสบาย ทว่าก็ไม่คาดคิดว่านายอำเภอหน้าใหม่คู่หมั้นที่ไม่เคยเห็นหน้าจะมาไถ่ตัวเธอกลับไปด้วยตัวคนเดียว แล้วยังนำชุดบุรุษมาให้เปลี่ยนเพื่อรักษาชื่อเสียงของเธออีกด้วย

ทีแรกเธอคิดว่าจบเรื่องแล้วเขาคงจะถอนหมั้น ทว่าเขากลับยินดีแต่งงานแม้ต้องถูกตระกูลเธอใช้ประโยชน์เข้าสักวัน มิหนำซ้ำในคืนเข้าหอเขายังบอกว่าจะรอจนกว่าเธอเต็มใจ แต่ระหว่างที่ช่วยแบ่งเบางานของเขา เป็นคู่คิดในการเชื่อมเบาะแสคดีธูปพิษที่ทำให้คนเสพติดในช่วงนี้ให้เขา กลับพบว่า...ดูเหมือนตระกูลของเธอจะมีส่วนเกี่ยวพัน?


รูปภาพ

ตอบกลับโพส

ย้อนกลับไปยัง “Bongkoch Books News & Activities”